แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - Carrothz

หน้า: [1] 2 3 ... 8
1
ยอมรับคืออะไร หมายถึงไม่ค้าน หรือว่าทำตาม ถ้าทำตามอาจจะไม่เยอะ แต่ไม่คัดค้านผมว่าเยอะนะ เพราะการออกแบบกลุ่มดาวะห์ตับลีฆ เป็นหลักสูตรหนึ่งอย่างที่ว่านั่นแหละ ไม่ได้บอกว่าเป็นข้อบัญญัติทางศาสนา หรือเป็นหุกุ่มทางศาสนา

ดีเสียอีกในการทำกิจกรรมเคลื่อนไหวทางศาสนาบ้าง ได้ลงมือปฏิบัติที่เรียนไปบ้าง ความรู้จะได้ไม่ขึ้นสนิม

2
อ้างถึง
แต่ อิฉันมี ข้อสงสัยเพิ่มเติม เกี่ยวกับเรื่อง ซะกาต
 ที่ จะรบกวนขอความรู้จากเพื่อน ๆ มุสลิม เพิ่มเติม ดังนี้ ค่ะ
 
ที่ บอกว่า

มูลค่าที่ต้องนับซะกาตควรนับรวมกับเงินสด เงินในธนาคาร มูลค่าคงคลังสินค้า
หรือ ทองที่คุณเป็นเจ้าของ นั้น
 
ในกรณีที่ เป็นการลงทุนเพื่อเก็งกำไร เช่น ที่ดิน หุ้น ทอง ( ซึ่งราคามันผันผวนมาก  )
 แล้ว ตอนสิ้นปี เราขาดทุนป่นปี้จากการเก็งกำไรมาก ๆ จนแทบหมดตัว
เราจะต้องจ่าย ซะกาตไหมคะ หรือว่า ขอค้างไว้ก่อนสะสมไว้จ่ายในปีที่ สามารถมีกำลังทรัพย์จ่ายได้
 


ขอยกตัวอย่าง ให้เห็นภาพ ชัดเจน เช่น
 

ถ้ามี ทองเพื่อเก็งกำไร ไว้ในครอบครอง
 สมมุติ ซื้อมา ตอนต้นปี ราคา 26,000 บาท/ 1 บาททอง
 เป็น จำนวน 200 บาททอง  ตอนนั้นจ่ายเงินซื้อทอง
=  26000*200 บาท=5,200,000 บาท
 

แต่พอ สิ้นปี ราคาทองลดลงเหลือ 20,000 บาท / 1บาททอง
 มูลค่าทอง ณ ตอนนั้น = 20,000 บาท * 200 = 4,000,000 บาท
 ซึ่งก็เท่ากับว่า ณ สิ้นปี ขาดทุน =  6,000*200 บาท = 1,200,000 บาท
 

ตอนสิ้นปี เมื่อ คำนวณ มูลค่าที่ต้องนับซะกาต
จึงต้องจ่าย 2.5 % ของมูลค่าทองที่มี = 2.5 % * 20,000*200 = 100,000 บาท
 แต่ ณ ขณะนั้น เราอยู่ในสภาวะขาดสภาพคล่อง ไม่มีเงินสดพอที่จะจ่าย ซะกาตเลย
 บัญชี รายรับ-รายจ่าย ขาดทุนติดลบ ( แต่ก็ยังมี จำนวนทอง 200 บาท ซึ่ง มากกว่า 5.6 บาทอยู่ดี )
แต่ถ้า ขายเอามาจ่ายเป็น ค่าซะกาต ก็คงขาดทุนยับเยิน
 เราจะต้องจ่าย ซะกาตไหมคะ หรือว่า ขอค้างไว้ก่อนสะสมไว้จ่ายในปีที่ สามารถมีกำลังทรัพย์จ่ายได้
 
แล้ว มูลค่าที่ต้องนับซะกาต นั้น
เวลา คำนวณ สามารถเอา ส่วนของมูลค่าเงินที่ลดลง
 เช่น เงินส่วนที่ ขาดทุนจากการเก็งกำไร ทอง มูลค่า 1,200,000 บาท
มา หักลบเพื่อลดหย่อน จาก  มูลค่าที่ต้องนับซะกาต ได้หรือไม่
 
เช่น ในครั้งนี้

ตอนซื้อทองมา มูลค่า= 26,000*200 บาท = 5,200,000 บาท
 
ตอนสิ้นปี มูลค่าลดลง เหลือ = 20,000*200 =4,000,000 บาท
( โดยขาดทุนจากการเก็งกำไร ทอง มูลค่า 1,200,000 บาท )
 

1. มูลค่าที่ต้องนับซะกาต คือ
20,000*200 =4,000,000 บาท
หรือ 4,000,000 - 1,200,000 = 2,800,000 บาท  คะ ?
 

2 หรือว่า  ปีนั้น อนุโลม ไม่ต้องจ่าย ซะกาต เลย เพราะถือว่า เป็นผู้มี หนี้สิน )
 หรือ  ขอค้างไว้ก่อนสะสมไว้จ่ายในปีที่ สามารถมีกำลังทรัพย์จ่ายได้
 
3.แล้ว ในกรณีที่ ต้องค้างไว้ก่อนสะสมไว้จ่ายในปีที่ สามารถมีกำลังทรัพย์จ่ายได้
 ถ้าทรัพย์สินที่มีนั้น มันไม่มีการ งอกเงย หรือ ทำกำไรเลย
 ( เช่น ทองที่เก็งกำไร ไว้ ขาดทุนยาวเป็น 10 ปี รวด )
ถ้า ดูจาก มูลค่าสะสมของการจ่ายซะกาต ก็จะมีการสะสม แบบแบบต้นทบดอก
 เช่นนี้ ผู้ที่เจอสภาวะแบบนี้ จะต้องปฏิบัติอย่างไร จึงจะไม่ขัดกับหลักอิสลาม คะ
 

ขอบคุณค่ะ ^^
http://pantip.com/topic/30418671

3
ถ้าพอใจคนที่ไม่ใช่มุสลิม ก็ต้องให้เขารับอิสลามก่อนน่ะแหละครับ แต่ถ้าไม่ยอมรับก็คงได้แต่เก็บความรู้สึกดีดีไว้ แล้วก็ดุอาให้เขาไป

4
ฮาราม ฮารอม แปลว่าต้องห้ามจ้า ถ้าบอกว่า อาหารนี้ฮารามนะ ก็คืออาหารนี้ต้องห้ามนะ กินไม่ได้นะ เป็นต้น

5
http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y12098118/Y12098118.html

เป็นการกล่าวหาท่านนบีมุฮัมมัดโดยตรงอย่างโจ่งแจ้ง เราสามารถดำเนินการใดได้หรือไม่ครับ?

หรือมองเป็นเรื่องเล็ก

6
มุสลิมเราต้องปฏิบัติตามหลักศาสนามากขึ้นนะครับ แต่ผมไม่คิดว่าเราต้องทำตัวเป็นนักบวชตัดขาดซึ่งการเรียนรู้ทางเทคโนโลยี และความก้าวหน้าต่างๆ เราใช้เท่าที่จำเป็นโดยทำให้เทคโนลียีเป็นของเรา เป็นสิ่งอำนวยความสะดวกแก่เรา ไม่ใช่ทุ่มเทจนเราเป็นของเทคโนโลยี มีชีวิตอยู่เพื่อเทคโนโลยี

แต่ตอนนี้ ผมรู้สึกว่า เหตุการณ์จะค่อนข้างลักลั่นย้อนแย้งในสังคมมุสลิมบางส่วนพยายามปฏิเสธความเจริญก้าวหน้า เทคโนโลยี วิทยาการต่างๆ โดยคิดว่า นั่นเป็นยิว นั่นเป็นคริสต์ เพื่ออะไร? ทั้งๆ ที่วิทยาการหลากหลายของพวกยิว และคริสต์ มันมีพื้นฐานมาจากนักวิชาการอิสลามทั้งนั้น แทนที่เราจะใช้ประโยชน์เทคโนโลยีต่างๆ ให้มันส่งผลดีต่อศาสนา ดันกลายเป็น ปฏิเสธหมด ประหนึ่งว่า จะกลับไปจุดตะเกียง ขี่อูฐ เหมือนเมื่อก่อน ซึ่งมันไม่น่าใช่

กับอีกบางส่วนก็ละทิ้งทุกอย่างเพื่อก้าวให้ทันโลกโดยไม่สนใจความเป็นจริง ทิ้งข้อปฏิบัติ ข้อห้ามของศาสนาเพื่อก้าวหน้าตามกระแส ทั้ง ๆ ที่บางกระแสนั้นเป็นเพียงกระแสที่สร้างขึ้นเพื่อหลอกคน

เมื่อมันไม่สมส่วนกันไปกันคนละทิศละทางสังคมเราจึงไม่ไปไหนเสียที

ผมเข้าใจเจ้าของบทความนะครับ ว่าเขามองอะไร เขามองว่าเราได้แต่ทำตามรูปแบบ แต่ไร้จิตวิญญาณในการลงมือปฏิบัติ เราไม่ได้เอาอิสลามมาใช้ในชีวิตประจำวัน การดำรงชีวิตตามแบบอย่างนบีนั้นสำคัญนะครับ ตลอด 24 ชั่วโมง

ผมขอพูดถึงการทำงานในชีวิตประจำวันก็แล้วกัน ถ้าเรา ซื่อสัตย์ ขยันอดทน ไม่คดโกง ทำตามแบบอย่างของท่านนบี สิ่งดีดีย่อมเกิดขึ้น เราก็พัฒนาไปในทางที่ดี ถ้าใครเป็นนักวิทยาศาสตร์ หรือเป็นสถาบันที่ขายเทคโนโลยี ก็มีเป้าหมายในการทำผลิตภัณฑ์ที่เอื้ออำนวยต่อศาสนา สิ่งเหล่านี้คือสังคมมุสลิม

เราไม่ควรปฏิเสธเรื่องศาสนาที่มีส่วนในชีวิตประจำวันออกไป

หรือเราจะนั่งอ่านกุรอานทั้งวัน ละหมาดตลอด ถือศีลอดไป แล้วไม่ประกอบอาชีพ หรือใช้ชีวิตด้านอื่นเลย อิสลามสอนเราแบบนั้นหรือเปล่า?

7
ฟันธงไม่ได้หรอกครับ เพราะคัมภีร์ที่กล่าวถึง สังคายนาหลายรอบมาก จนเราไม่รู้ว่าเหลือดั้งเดิมกี่ %

อาจจะใช่หรือไม่ใช่ก็ได้

เหมือนเรื่องท่านนบีอีซา ท่านก็ไม่ได้บอกว่าท่านเป็นบุตรอัลลอฮฺ แต่หลังๆ ก็กล่าวถึงกันแบบนั้นนี่ครับ ผมว่าถ้าข้อมูลไม่พออย่าไปชี้ชัดเลย

8
ดังนั้นสรุปได้ดังนี้

1. คุณบอกว่าละหมาดไปออกกำลังกายไปด้วยได้ แต่กุรอ่านให้ยืนละหมาด ยกเว้นช่วงคับขัน ดังนั้นเมื่อผมหลอกถามว่าละหมาดไปออกกำลังกายไปได้ไหม คุณบอกว่าได้ แสดงว่าขัดกับกุรอ่าน

2. คุณบอกว่าละหมาดตลอดเวลา ได้นั้น ผิดครับ เพราะกุรอ่านบอกว่าละหมาดมีเป็นเวลา

3. คุณบอกว่าละหมาดแบบท่าทางสอนเรื่องต่างๆ ไม่ได้ แต่การละหมาดนั้นมีการอ่านโองการต่างๆ นะครับ




สุดท้ายผมอยากจะบอกว่า การที่คุณเข้ามา หลอกถามเรื่องละหมาด โดยกล่าวมั่วๆ เพื่อเอาข้อมูลไปตอบในพันทิพนั้น ผมรู้ครับ เดาได้ไม่ยาก แต่มันช่วยไม่ได้หรอกครับ เพราะกุรอ่านให้เรารู้ว่า กุรอ่านเป็นเวลา แต่ไม่ได้มองว่า มีกี่เวลาชัดเจนแน่นอน ดังนั้น ต้องอาศัยฮะดีษอยู่ดี ผมไม่หา 5 เวลาให้คุณ ไปแย้งผมในพันทิพหรอกนะครับ

9
อ้างถึง
ใช่ครับ ละหมาด จะส่งผลให้ [29:45] สามารถยังยั้งจากความชั่ว และนี่คือความหมายที่ชัดเจนของการละหมาด(แท้จริง)
แต่ถ้าละหมาดด้วยท่าทาง หรือเป็นเวลา จะสามารถช่วยยับยั้งจากความเชื่อได้ตลอดหรือ?

และเรื่องที่ผมบอกว่าการละหมาด เปรียบเสมือนการรักษาศีล ซึ่งเราจะต้องละหมาดอยู่ตลอดเวลา เพราะเราจะต้องมีความสามารถที่จะยับยั้งความชั่วได้ตลอดเวลา
ไม่ใช่เพียงแค่วันละ 5 เวลา ต่อครั้งละประมาณ 5 นาที

อันนี้ชัดเจนว่า คุณกำลังบิดเบือน และต่อเติมกุรอ่านเองนะครับ กุรอ่านบอกว่า ละหมาดนั้นเป็นเวลา มีการละหมาดเสร็จ และมีบอกเวลาละหมาดต่างๆ คุณจะปฏิเสธหรือครับว่า ละหมาดนั้น ไม่ได้เป็นเวลา ตามที่กุรอ่านบอก

นี่แสดงว่าคุณยึดถือสิ่งอื่นแทนกุรอ่านแล้วครับ เพราะคุณกล่าวสิ่งที่ขัดกับกุรอ่าน

ส่วนการละหมาด ยับยั้งความชั่วได้นั้น เป็นผลจากการละหมาดนะครับ นั่นแปลว่า ถ้ากุรอ่านบอกว่า ละหมาดเป็นเวลา ไม่ใช่ตลอดเวลา การยับยั้งความชั่วของละหมาดนั้น คือผลของการละหมาดตามเวลาอย่างถูกต้องครับ แต่ถ้าละหมาดโดยไม่ยำเกรง ละหมาดโดยไม่มีสมาธิไม่มีวิญญาณ การละหมาดย่อมไม่ช่วยเขา ดังนี้

“ดังนั้นความวิบัติจงมีแด่ผู้ละหมาด ผู้ล่าช้าในการละหมาด ผู้ที่ทำความดีเพื่อที่จะให้คนอื่นเห็นและปฏิเสธการให้ยืมสิ่งเล็กๆน้อยๆ (อัลมาอูน ๔-๗)” (อัลมาอูน  : 4-5)
นี่คือผลที่ละหมาดแล้วทำไมไม่ยับยั้งความชั่ว ทั้งที่ละหมาด แต่เขาละเลยการละหมาด

ไม่ใช่ ละหมาดตลอดเวลา เพราะกุรอ่านบอกว่า ละหมาดเป็นเวลา ไม่ใช่ตลอดเวลาครับ ย้ำนะครับว่า กุรอ่านบอกว่าละหมาด มีเวลาของมัน ไม่ใช่ละหมาดตลอดเวลา

คุณกำลังขัดกับกุรอ่านอยู่นะครับ

คำอ้างนี้ก็ผิด

อ้างถึง
แต่การละหมาดด้วยท่าทางนั้น สอนเราเรื่องละทิ้งสิ่งที่บรรพบุรุษเคารพบูชา ไม่ได้

เพราะกุรอ่านนั้น มีการอ่านโองการในนั้นด้วยครับ จึงสอนได้อยู่แล้ว

10
ทำไมผมจะไม่รู้ว่าคุณคือใคร หรือเป็นกลุ่มก้อนองค์กรเดียวกับใคร เพราะลักษณะคุณแทบจะถอดแบบออกมาเลยกับ login แมทท์ในพันทิพ เพียงแต่กำจัดจุดอ่อนของแนวคิดที่แมทท์ใช้เท่านั้น คือคุณถึงกับโกหกว่า ละหมาดตลอดเวลา โดยหารู้ไม่ว่า คุณได้เผยจุดอ่อนออกมาแล้ว เพราะละหมาดนั้นทำเป็นเวลา ดังนั้น คุณจึงใช้วิธีสุดท้าย นั่นคือ บอกว่าผมด่าทอ

รสูลอ่านเฉพาะกุรอ่าน ก็ชัดเจน ไม่เห็นขัดแย้ง ทั้งสองโองการ ก็สอนด้วยกุรอ่านทั้งหมดทำไมคิดว่ากุรอ่านจะขัดแย้งล่ะครับ ไม่คิดว่าความเข้าใจของคุณจะขัดแย้งบ้าง

ผมว่าคุณเลิกตอบ forum ด้วยถ้อยคำที่ดูถูกด่าทอเถอะครับ ไม่ได้ทำให้คุณดูสูงขึ้น
บางครั้งผมก็อยากตอบกลับไปด้วยความรุนแรงเช่นกัน แต่ผมก็สามารถเอาชนะชัยฏอนที่คอยกระซิบได้เกีอบทุกครังครับ
และผมคิดว่าเราคุยด้วยหลักฐานก็พอครับ
และถ้าหากคุณเชื่อกุรอ่าน ดู Signature ผมครับ เรื่องการพูดคุยที่ดี

ผมไปด่าทอคุณตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะครับ ผมก็พูดไปตามจริง คำหยาบผมไม่ใช้สักคำ จริงๆ มันรุนแรงน้อยกว่าการที่พวกปฏิเสธฮะดีษบอกว่าฮะดีษเป็นนิทานเสียด้วยซ้ำ

ดังนั้น วิธีการนี้ใช้ไม่ได้ผลหรอกครับ

อ่อ แล้วที่บอกว่าขัดนั้น แน่นอนโองการของอัลลอฮฺไม่ขัดกัน แต่การตีความมั่วๆ ของคุณโดยปราศจากความรู้นั่นล่ะมันคือการพยายามทำให้โองการขัดกัน คุณพยายามบอกว่า ท่านนบีมีหน้าที่บอกแต่กุรอ่านอย่างเดียว ไม่ได้มีหน้าที่สอน ชัดๆ นะครับ

แต่โองการที่ผมยกมา มีคำว่า "สอน" เต็มๆ แถมไม่ได้สอนเฉพาะกุรอ่านด้วย โองการกุรอ่านไม่ขัดกันหรอกครับ แต่คุณเองที่ขัดกับกุรอ่าน ผมยกตัวอย่างมาชัดเจนแล้วนะ

3:164. แน่นอนยิ่ง อัลลอฮ์นั้นทรงมีพระคุณแก่ผู้ศรัทธาทั้งหลาย โดยที่พระองค์ได้ทรงส่งร่อซูลคนหนึ่งจากพวกเขาเองมาในหมู่พวกเขาโดดยที่เขาจะได้อ่านบรรดาโองการของพระองค์ให้พวกเขาฟัง และจะทำให้พวกเขาสะอาดและจะสอนคัมภีร์ และความรู้เกี่ยวกับข้อปฏิบัติในบัญญัติศาสนาแก่พวกเขาด้วย และแท้จริงเมื่อก่อนนั้นพวกเขาเคยอยู่ในความหลงผิดอันชัดแจ้ง


3:164 laqad man-nal-laahu 'Alal mu'miniyna idh ba'Atha fiyhim rasuulam min anfusihim yatluu 'Alayhim aayaatihii wa yuzak-kiyhim wa yu'Al-limuhumul kitaaba wal Hikmah* wa in kaanuu min qablu lafiy Dalaalim mubiyn


Ahmed Raza Khan: Mohammed Aqib Qadri:
Allah has indeed bestowed a great favour upon the Muslims, in that He sent to them a Noble Messenger (Prophet Mohammed - peace and blessings be upon him) from among them, who recites to them His verses, and purifies them, and teaches them the Book and wisdom; and before it, they were definitely in open error. (The Holy Prophet Mohammed - peace and blessings be upon him - is one of Allah's greatest favours to mankind.)

Yusuf Ali:
Allah did confer a great favour on the believers when He sent among them a messenger from among themselves, rehearsing unto them the Signs of Allah, sanctifying them, and instructing them in Scripture and Wisdom, while, before that, they had been in manifest error.

Pickthal:
Allah verily hath shown grace to the believers by sending unto them a messenger of their own who reciteth unto them His revelations, and causeth them to grow, and teacheth them the Scripture and wisdom; although before (he came to them) they were in flagrant error.

11
ผมถึงบอกไงล่ะครับ จะจับโกหก คนที่พยายามบิดเบือนกุรอ่านนั้น งานนี้ไม่ยากเลย อัลลอฮฺเมตตาให้คุณเผยตัวตนไวมาก

คุณบอกละหมาดตลอดเวลา แต่ละหมาดนั้นอัลลอฮฺกำหนดในกุรอ่านให้เป็นเวลาครับ

คุณบอกว่าละหมาดนั้น เหมือรการรักษาศีล แต่การละหมาดนั้นทำให้ยับยั้งจากการทำชั่ว ไม่ใช่การยับยั้งความชั่วโดยตรงอย่างเดียว

เพราะฉะนั้น ทำละหมาดตลอดเวลานั้น ไม่มีในกุรอ่านนี่ครับ คุณกำลังบิดเบือน และต่อเติมศาสนาโดยอ้างกุรอ่านนะครับ

12
มันไม่ช่วยอะไรหรอกครับ เพราะละหมาดนั้น ในโองการได้บอกโดยตัวอยู่แล้วว่า แยกจากการ รำลึกในโองการนั้น ผมถึงบอกไงล่ะครับ คุณไม่มีคุณสมบัติในการทำความเข้าใจกุรอ่านเอง เพราะคุณไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับกุรอ่านจริงๆ โองการที่คุณอ้าง ไม่ได้ช่วยให้ การละหมาด ทำได้ตลอดเวลาอย่างที่คุณอ้างนะครับ แม้แต่โองการที่คุณยกมานั่น ก็แสดงให้เห็น

[29:45]เจ้าจงอ่านสิ่งที่ถูกวะฮีย์แก่เจ้าจากคัมภีร์ และจงดำรงการละหมาด (เพราะ) แท้จริงการละหมาดนั้นจะยับยั้งการทำลามก และความชั่ว และการรำลึกถึงอัลลอฮ์นั้นยิ่งใหญ่มาก และอัลลอฮ์ทรงรอบรู้สิ่งที่พวกเจ้ากระทำ

การละหมาดจะยับยั้งการทำลามก และความชั่ว

การยังยั้งการทำลามก และความชั่วนั้น เป็นคนละอย่างกับการทำละหมาดนะครับ แต่การยังยั้งจากความชั่ว เป็นผลจากการละหมาด

ที่คุณอ้างมาว่า

อ้างถึง
ผมได้บอกคุณไปแล้วอย่างไรครับ ว่า ซอลาต นั้น มันเป็นได้หลายความหมาย
มันเหมือนกับการรักษาศีลน่ะครับ ไม่โกหก ไม่ด่าทอ ไม่ฉ้อโกง เอื้อเฟื้อ ตักเตือนกันในสิ่งที่ดี กล่าวสรรเสริญ

จึงไม่เป็นจริง คุณเดาเอาเองนะครับ ปราศจากการอ้างอิงใด เพราะการละหมาดนั้น กุรอ่านบอกชัดเจนว่า ทำเป็นเวลา และมีเวลาต่างๆ ไม่ใช่ตลอดเวลาแบบที่คุณอ้าง เป็นคุณนั่นล่ะครับ ที่ทำนอกกุรอ่าน บิดเบือน กุรอ่าน และอาจจะถึงกับต่อเติมกุรอ่านด้วยซ้ำ

อ่านใหม่อีกครั้ง คุณจะบอกได้ไหมว่า อัลลอฮฺ บอกว่า ละหมาดนั้นเป็นเวลา และมีเวลาต่างๆ ทำไมคุณถึงแย้งกับอัลลอฮฺ ถ้าคุณศึกษากุรอ่านจริง?

13
ยืนยันเช่นเดิม

ผมว่า admin พิจารณา ผู้ใช้นามว่า wisdom ได้แล้วล่ะครับ เพราะตอนนี้ได้เปิดเผยความ ไม่รู้ และการบ่อนทำลายอิสลามมาโดยตรงแล้ว

ละหมาดไปออกกำลังกายไปก็ได้

ละหมาดตลอดเวลา

ละหมาดไม่ได้มี 5 เวลา

แถมยังบอกอะไรที่ขัดกับกุรอ่านอีก

เรียกได้ว่า ผิดพลาด และโกหก ใส่อิสลามเต็มๆ แล้วครับ จะทำอย่างไร? เพราะเท่าที่ไล่ต้อนมา ก็ไม่มีเหตุผลอะไรมาโต้แย้ง ได้แต่เลี่ยงไป หลบมาเท่านั้นเอง



ไม่เอาฮะดีษ แล้วตัวเองละหมาดยังไงก็ไม่บอก อันนี้ปิดบังอำพราง มีวาระซ่อนเร้นแหงๆ

14
อัลฮัมดุลิลลาฮฺ คุณได้เปิดเผยตนเองออกมาอีกครั้งหนึ่งแล้ว ไม่ช้าเลย เปิดเผยติดๆ กันทีเดียว

อ้างถึง
ผมละหมาดได้ตลอดเวลาครับ ความหมายของละหมาดนั้นกว้างครับ คือการยำเกรง รำลึก ติดต่อ สรรเสริญ ...
ซึ่งถ้าหากมีอัลลอฮฺอยู่ในจิตใจ เราจะต้องยำเกรงตลอดเวลา เมื่อเรายำเกรงตลอดเวลา มีนจะไม่มีช่วงใหนของเรา ที่จะสามารถเข้าใกล้ความชั่วได้เลย ซึ่งการละหมาดด้วยท่าทาง ครั้งละ 5 นาที รวมกัน 5 เวลา ประมาณ 30 นาที/วัน ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย ซึ่งหลายคน เอาเวลาบางส่วนที่เหลือ กว่า 23 ชั่วโมง ไปทำชั่ว ฉ้อโกง โกหก

เพราะ แท้จริงนี่คือความหมายของการละหมาดครับ

[29:45]เจ้าจงอ่านสิ่งที่ถูกวะฮีย์แก่เจ้าจากคัมภีร์ และจงดำรงการละหมาด (เพราะ) แท้จริงการละหมาดนั้นจะยับยั้งการทำลามก และความชั่ว และการรำลึกถึงอัลลอฮ์นั้นยิ่งใหญ่มาก และอัลลอฮ์ทรงรอบรู้สิ่งที่พวกเจ้ากระทำ

โองการนี้บอกอะไรแก่เราบ้าง

4:103. ครั้นเมื่อพวกเจ้าเสร็จจากการละหมาดแล้ว(*1*) ก็จงกล่าวรำลึกถึงอัลลอฮฺ ทั้งในสภาพยืนและนั่งและในสภาพนอนเอกเขนกของพวกเจ้า ครั้นเมื่อพวกเจ้าปลอดภัยแล้ว ก็จงดำรงไว้ซึ่งการละหมาด(*2*) แท้จริงการละหมาดนั้นเป็นบัญญัติที่ถูกกำหนดเวลา(*3*)ไว้แก่ผู้ศรัทธาทั้งหลาย

รู้สึกว่า โองการนี้ จะกล่าวไปคนละทิศกับคุณเลยนะครับ คุณ wisdom ครับ

อย่างแรก ละหมาดนั้น มีเวลานะครับไม่ใช่ทำตลอดเวลา และบอกด้วยว่า หลังจากเสร็จละหมาดแล้ว ก็กล่าวรำลึกถึงอัลลอฮฺ ไม่ทราบว่า ความหมายกว้างไปจนถึง รำลึก แล้วเนี่ย ทำไมโองการนี้ถึงบอกว่า กล่าวรำลึก หลังจากเสร็จละหมาดล่ะครับ?

คุณ wisdom ใช้กุรอ่านเท่านั้นเป็นทางนำจริงหรือครับ เหตุใดคุณจึงกล่าวออกมาประหนึ่งว่าคุณแทบไม่มีความรู้เกี่ยวกับกุรอ่านเลยล่ะครับ

15
เอาล่ะ โดนเปิดโปง ซะขนาดนี้ wisdom จะทำยังไงต่อไป?

หน้า: [1] 2 3 ... 8