แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - Napat

หน้า: [1] 2 3 ... 14
1
การแพร่กระจายและแหล่งของแนวคิดอัล-มาตุรีดียะฮฺ


แนวคิดอัล-มาตุรีดียะฮฺ ได้แพร่กระจายไปยังหลายประเทศ โดยเฉพาะในชมพูทวีปและประเทศใกล้เคียงอย่าง จีน บังคลาเทศ ปากีสถาน และอัฟกานิสถานนั้น มีผู้ยึดถือตามแนวคิดนี้อย่างมากมาย เช่นเดียวกับ ประเทศตุรกี เปอร์เซีย บางประเทศในยุโรป เอเชียกลาง และประเทศแถบแอฟริกาตอนเหนือก็มีผู้ฝักใฝ่แนวคิดนี้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการแพร่กระจายของอิทธิพลมัซฮับ หะนะฟีย์ นับว่าแนวคิดอัล-มาตุรีดียะฮฺยังคงได้รับกระแสความนิยมในแถบประเทศเหล่านี้ด้วยเหตุผล ดังต่อไปนี้


1. บรรดาปราชญ์ของสำนักคิดนี้ได้รับการสนับสนุนและการอุปถัมภ์จากบรรดากษัตริย์และผู้ปกครองรัฐ โดยเฉพาะบรรดาสุลต่านแห่งราชวงศ์อุษมานิยะฮฺ (ออตโตมาน)


2. โรงเรียนหรือสถาบันการศึกษาของอัล-มาตุรีดียะฮฺ มีบทบาทสำคัญมากในการเผยแพร่แนวคิดนี้ โดยเฉพาะโรงเรียนดิวบันดิยะฮฺในประเทศอินเดีย ปากีสถาน และประเทศอื่นๆ ซึ่งในโรงเรียนเหล่านี้ยังมีการเรียนการสอนตำรับตำราเกี่ยวกับหลักการศรัทธาของอัล-มาตุรีดิยะฮฺ ว่า "อัล-มาตุรีดิยะฮฺ" คือ แนวทางของอะฮฺลุสสุนนะฮฺ วัล ญะมาอะฮฺ


3. มีการเคลื่อนไหวอย่างจริงจังโดยเฉพาะในด้านการแต่งตำราเกี่ยวกับอิลมุลกะลาม (วิชาวิภาษวิทยา) และหนังสือตอบโต้กลุ่มแนวคิดเบี่ยงเบนอย่างแนวคิดของญะฮฺมิยะฮฺ แนวคิดมุอฺตะซิละฮฺ และแนวคิดรอฟีเฎาะฮฺ (ชีอะฮฺ)


4. จะมีการพาดพิงถึงอิมาม อบู หะนีฟะฮฺ และจะสังกัดกับมัซฮับ หะนะฟีย์ในด้านวิชาฟิกฮฺ


2
อัล-มาตุรีดิยะฮฺ ศรัทธาในเรื่องสิ่งเร้นลับของศาสนา เช่น เรื่อง เหตุการณ์ในโลกแห่งบัรฺซัค (สุสาน) สถานการณ์ในวันกิยามะฮฺ การชุมนุม ณ ทุ่งมะห์ชัรฺ การฟื้นคืนชีพ ตราชูชั่งความดีความชั่ว สะพานอัศ-ศิรอฏ การชะฟาอะฮฺ (ไถ่ถอนโทษ) สวรรค์ และนรก เนื่องจากพวกเขาถือว่า หลักฐานของศาสนานั้นมาจากการฟัง และสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ที่จะเกิดขึ้นจริงตามที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้บอกกล่าวไว้ อีกทั้งยังมีหลักฐานยืนยันจากอัลกุรอานและสุนนะฮฺ


อัล-มาตุรีดิยะฮฺมีทัศนะว่าบ่าวสามารถมองเห็นพระผู้เป็นเจ้าในโลกอาคิเราะฮฺ โดยปราศจากทิศและรูปแบบและวิธีการ


อัล-มาตุรีดิยะฮฺ มีความเห็นในประเด็นเศาะหาบะฮฺ กับลำดับการดำรงตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺ และเชื่อว่าข้อพิพาทระหว่างเศาะหาบะฮฺด้วยกันนั้นถือว่าเป็นการวินิจฉัยของแต่ละคน ดังนั้น จำเป็นต้องหยุดการกล่าวหาละเมิดจาบจ้วงบรรดาเศาหาบะฮฺ เนื่องจากการกระทำดังกล่าวถือว่าเป็นการปฏิเสธศรัทธา หรืออุตริกรรมหรือเป็นพฤติกรรมที่ชั่วช้า


อัล-มาตุรีดิยะฮฺ มีทัศนะว่า ตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺนั้นเหมาะควรเฉพาะชนตระกูลกุร็อยชฺเท่านั้น และอนุญาตให้ละหมาดตามหลังมุสลิมทุกคนไม่ว่าเขาผู้นั้นจะเป็นคนดีหรือคนเลว และไม่อนุญาตให้ทรยศหรือเป็นกบฏต่อผู้นำที่มีพฤติกรรมชั่ว


อัล-มาตุรีดียะฮฺ มีทัศนะเกี่ยวกับประเด็นเรื่องอัล-เกาะดัรฺ อัล-กุดเราะฮฺ และอัล-อิสติฏออะฮฺ โดยเชื่อว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกนี้ล้วนแล้วมาจากประสงค์ของอัลลอฮฺ และการกระทำของมนุษย์ทั้งที่ดีและชั่วนั้นคือสิ่งที่อัลลอฮฺได้สร้างมา แต่มนุษย์นั้นมีสิทธิเลือกที่จะกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดโดยจะได้รับผลตอบแทนที่ดีและชั่วในสิ่งที่ตนได้กระทำ และบ่าวนั้นมีสิทธิเลือกปฏิบัติในคำสอนของศาสนาโดยไม่มีการบังคับให้กระทำแต่อย่างใด


3
ความหมายของอัต-เตาฮีด ตามทัศนะของอัล-มาตุรีดียะฮฺ คือ การยืนยันว่าอัลลอฮฺทรงเอกะในซาต(อาตมัน)ของพระองค์เอง ไม่มีสาขา หรือส่วนย่อยออกมาจากพระองค์ พระองค์ทรงเอกะในคุณลักษณะโดยไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือน เอกะในการกระทำของพระองค์ ไม่มีผู้ใดมีภาคีในการสร้าง สรรพสิ่งต่างๆ


ดังนั้นกลุ่มอัล-มาตุรีดียะฮฺพยายามอย่างสุดกำลังเพื่อยืนยันอัต-เตาฮีดประเภทนี้ ด้วยทัศนะที่ว่า อัลลอฮฺนั้น คือ ผู้ทรงอานุภาพในการสร้าง โดยนำหลักฐานต่างๆ มาอ้างอิงไม่ว่าจะเป็นเหตุผลทางตัวบทหรือทางปัญญา


อัล-มาตุรีดิยะฮฺยืนยันว่าอัลลอฮฺ ตะอาลา นั้นทรงมีพระนามอันวิจิตร พวกเขากล่าวว่า ไม่มีการเรียกพระนามของอัลลอฮฺ นอกจากพระนามที่พระองค์ทรงเรียกขานพระองค์เองในอัลกุรอานหรือสุนนะฮฺ เท่านั้น


อัล-มาตุรีดียะฮฺ ยืนยันถึงคุณลักษณะที่สำคัญๆ ของอัลลอฮฺเอาไว้ 8 คุณลักษณะด้วยกัน คือ อัล-หะยาฮฺ(ทรงมีชีวิต), อัล-กุดเราะฮฺ (ทรงเดชานุภาพ), อัล-อิลมฺ (ทรงรอบรู้), อัล-อิรอดะฮฺ (ทรงเจตนา), อัส-สัมอฺ (ทรงได้ยิน), อัล-บะศ็อรฺ(ทรงมองเห็น) , อัล-กะลาม (ทรงพูด), อัต-ตักวีน (ทรงสร้าง)  และการกระทำของพระองค์ทุกอย่างนั้นอยู่ในประเภทคุณลักษณะอัต-ตักวีน


ส่วนคุณลักษณะอื่นๆ ที่ระบุในอัลกุรอานและสุนนะฮฺ นั้นคือ ศิฟาต เคาะบะริยะฮฺ (คุณลักษณะของอัลลอฮฺที่ไม่สามารถรู้ได้เองด้วยสติปัญญา แต่รู้ได้ด้วยบทบัญญัติ) และศิฟาต ซาติยะฮฺ(คุณลักษณะที่ผูกพันกับอาตมัน) หรือ ศิฟาต ฟิอฺลิยะฮฺ(คุณลักษณะที่ผูกพันกับการกระทำ)นั้น ไม่อยู่ในกรอบของปัญญาที่จะรับรู้ได้

4
แนวความคิดและหลักการเชื่อมั่นที่สำคัญของอัล-มาตุรีดียะฮฺ


ที่มาของความรู้ศาสนาตามแนวคิดอัล-มาตุรีดิยะฮฺ แบ่งออกเป็นสองแหล่ง ดังต่อไปนี้

1. อัช-ชัรอียาต (หลักฐานทางตัวบท) คือ สิ่งที่ปัญญาจำเป็นต้องเชื่อตามไม่ว่าในทางยืนยันหรือปฏิเสธ ซึ่งปัญญาไม่สามารถเข้าถึงเรื่องเหล่านี้เองได้ เช่น อัน-นุบุวาต(การเป็นนบี-ศาสนทูต), การลงโทษในหลุมฝังศพ, และเรื่องราวในวันอาคิเราะฮฺ บางคนนั้นยังถือว่าเรื่อง อัน-นุบุวาต ก็เป็นเรื่องอักลิยาต (ปัญญา) ด้วยเช่นกัน


2. อัล-อิลาฮียาต (หลักฐานทางปัญญา) คือ การที่ปัญญามีความเชื่อโดยเอกเทศ โดยใช้ปัญญาสนับสนุนหลักฐานจากตัวบท ซึ่งรวมถึงประเด็นต่างๆ ของอัต-เตาฮีดและคุณลักษณะของอัลลอฮฺ


อัล-มาตุรีดิยะฮฺ ได้จำแนกอุศูลุดดีน(หลักศาสนา) เป็น 2 ประเภท คือ อักลิยาตและสัมอิยาต จากการจำแนกหลักศาสนาดังกล่าวนี้ จะเห็นว่าจุดยืนของพวกเขาต่อตัวบทหลักฐานศาสนาในประเด็นอัล-อิลาฮิยาต หรือ อัล-อักลิยาต มีดังนี้


หากเป็นหลักฐานจากอัลกุรอานหรือสุนนะฮฺที่มุตะวาติรฺ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่เด็ดขาดแน่นอนและจำเป็นต้องรับรู้อย่างมั่นใจ(ก็อฏอีย์) ตามทัศนะของพวกเขา กล่าวคือ ปัญญาสามารถรับรู้ได้โดยไม่มีข้อขัดแย้งกับปัญญาของพวกเขาแต่อย่างใด ดังนั้น พวกเขาจึงนำหลักฐานนี้มายืนยันในหลักการเชื่อมั่นของพวกเขา


หากหลักฐานนั้นเป็นหลักฐานที่เป็นเรื่องที่รับรู้อย่างซ็อนนีย์(สงสัย) ซึ่งหมายถึง ตัวบทที่อาจมีความหมายมากกว่าหนึ่งนัยยะ พวกเขาก็จะมีการตีความหลักฐานนั้น เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการโดยใช้เหตุผลเหตุผลทางปัญญาเข้ามาเสริม หรือพวกเขาจะตัฟวีฎ(มอบหมาย) ความหมายเหล่านั้นว่าอัลลอฮฺองค์เดียวเท่านั้นที่ทรงรู้ถึงความหมายที่แท้จริง พวกเขาเห็นว่าการตีความนั้น เป็นสิ่งที่เหมาะกับบรรดาผู้รู้หรือปราชญ์เท่านั้น ส่วนการตัฟวีฎ-มอบหมายความหมายนั้น จะเหมาะสมกับผู้คนสามัญชนทั่วไป


5
2. สำนักอัล-บัรเลวีย์ (ฮ.ศ. 1272) เป็นสำนักที่พาดพิงไปยังผู้นำของพวกเขา ที่ชื่อ อะหฺมัด ริฎอ ข่าน อัล-อัฟฆอนีย์ สังกัดมัซฮับ อัล-หะนะฟีย์ ด้านวิชาฟิกฮฺ และสังกัดอัล-มาตุรีดิยะฮฺด้านหลักศรัทธา เป็นศูฟีย์ ได้รับฉายานามว่า “อับดุลมุศเฏาะฟา-บ่าวของท่านนบี” (ฮ.ศ.1340)


3. สำนักอัล-เกาษะรีย์ (ฮ.ศ. 1296) เป็นกลุ่มที่ก่อตั้งโดยชัยคฺมุหัมมัด ซาฮิด อัล-เกาษะรีย์ อัล-ญัรกะสีย์  สังกัดมัซฮับ อัล-หะนะฟีย์ ด้านวิชาฟิกฮฺ และสังกัดอัล-มาตุรีดิยะฮฺด้านหลักศรัทธา (ฮ.ศ. 1371) ท่าน อัล-เกาษะรีย์ที่ได้ทำการตะหฺกีกหนังสือ อัล-อัสมาอ์ วะ อัศ-ศิฟาต ของท่านอิมาม อัล-บัยฮะกีย์ และมีหนังสือ "มะกอลาต" ที่ท่านอัล-เกาษะรีย์ ได้แต่งขึ้นมาเอง

6
ปัจจุบันในชมพูทวีปยังมีหลายสำนักที่ยังคงเผยแพร่แนวคิดของอัล-มาตุรีดิยะฮฺ เช่นสำนักต่อไปนี้


1. สำนักดิวบันด์ และอัน-นัดวียะฮฺ (ฮ.ศ. 1283) สำนักนี้ให้ความสำคัญกับการแต่งตำราหะดีษ และอธิบายหะดีษ สำนักดิวบันดิยะฮฺ คือ ผู้นำด้านวิชาการอัลกุรอาน อัล-หะดีษ และเหตุผลทางปัญญา  และหนึ่งในตำราสำคัญของสำนักคิดนี้ คือตำรา “อัล-มุฮันนัด อะลา อัล-มุฟันนัด” แต่งโดย ชัยคฺ เคาะลีล อะหฺมัด อัส-สะฮารันฟูรีย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในแกนนำของสำนักนี้ และหนังสือนี้ถือว่าเป็นหนังสืออ้างอิงสำคัญด้านอะกีดะฮฺของสำนักดิวบันดิยะฮฺ และเช่นเดียวกัน สำนักอัน-นัดวิยะฮฺ ก็มีแนวคิดคล้ายคลึงกับดิวบันดิยะฮฺ ซึ่งยึดหลักตามอัล-มาตุรีดิยะฮฺ

7
4. ยุคการเผยแพร่แนวคิดอัล-มาตุรีดียะฮฺ (ฮ.ศ.700-1300) ยุคนี้นับได้ว่าเป็นยุคที่สำคัญอีกยุคหนึ่งของแนวคิดอัล-มาตุรีดิยะฮฺ เนื่องจากแนวคิดนี้ได้แพร่กระจายไปทั่วพื้นที่ ทั้งนี้เพราะได้รับแรงหนุนจากบรรดาสุลต่านราชวงค์อุษมานียะฮฺ (ออตโตมาน) จึงทำให้แนวคิดอัล-มาตุรีดียะฮฺขจรขจายไปทั่วแคว้นในอาณาจักรออตโตมาน ทั้งเอเชียตะวันออก เอเชียกลาง เอเชียตะวันตก ประเทศอาหรับ อินเดีย ตุรกี และโรม


ในยุคนี้มีบุคคลที่โดดเด่น คือ ท่าน อัล-กะมาล บิน อัล-ฮัมมาม ผู้แต่งหนังสือ อัล-มุสายะเราะฮฺ ฟี อัล-อะกออิด อัล-มันญุยะฮฺ ฟี อัล-อาคิเราะฮฺ ซึ่งเป็นหนังสือที่ใช้สอนอยู่ในบางมหาวิทยาลัยอิสลามในปัจจุบัน


ในยุคนี้มีการแต่งตำรามากมายเกี่ยวกับวิชาวิภาษวิทยา ไม่ว่าจะเป็นมะตัน(ตัวบท) หรือหนังสืออธิบายตัวบทต่างๆ หนังสือที่มาเพิ่มเติมคำอธิบาย และเล่มที่อธิบายปลีกย่อยอีกมากมาย


8
ท่าน นัจญ์มุดดีน อุมัรฺ อัน-นะสะฟีย์ (ฮ.ศ. 462-537) ท่านมีชื่อเต็มว่า อบู หัฟศฺ นัจญ์มุดดีน อุมัรฺ บิน มุหัมมัด บิน อะหฺมัด บิน อิสมาอีล อัล-หะนะฟีย์ อัน-นะสะฟีย์ อัส-สะมัรก็อนดีย์


ท่านมีฉายานามมากมาย แต่ที่โดดเด่นคือ นัจญ์มุดดีน ท่านเกิดที่เมือง นะสัฟ ปี ฮ.ศ. 462 ท่านเป็นผู้ที่มีอาจารย์มากมายถึง 500 คน อาทิเช่น อบู อัล-ยุสรฺ อัล-บัซดะวีย์, อับดุลลอฮฺ บิน อะลีย์ บิน อีซา อัน-นะสะฟีย์ เป็นต้น


ท่านมีลูกศิษย์ที่มาเล่าเรียนตักตวงความรู้จากท่านมากมายเช่นกัน นอกจากนี้ท่านได้แต่งตำรามากมาย ประมาณ 100 กว่าเล่ม เช่น หนังสือมุญัมมะอฺ อัล-อุลูม, หนังสืออัต-ตัยสีรฺ ฟี ตัฟสีรฺ อัลกุรอาน, หนังสืออัน-นะญาหฺ ฟี ชัรหฺ กิตาบ อัคบาร  อัศ-ศิหาหฺ, หนังสืออัล-อะกออิด ซึ่งรู้จักกันในชื่อ อะกออิด อัน-นะสะฟียะฮฺ ซึ่งนับว่าเป็นหนังสือแม่บทที่สำคัญเกี่ยวของกับหลักการเชื่อมั่นตามแนวทางของอัล-มาตุรีดิยะฮฺ เป็นหนังสือฉบับย่อจากหนังสือ ตับศิเราะฮฺ อัล-อะดิลละฮฺ ของอบู อัล-มะอีน อัน-นะสะฟีย์


อัส-สัมอานีย์ ได้กล่าวยกย่องท่านว่า “ท่านเป็นผู้นำที่ทรงเกียรติ มีความปราดเปรื่อง ท่านได้แต่งตำรามากมายเกี่ยวกับตัฟสีรฺ และอัล-หะดีษ"


ซึ่งท่านนัจญ์มุดดีน อุมัรฺ อัน-นะสะฟีย์ เสียชีวิต ณ เมือง สะมัรก็อนดฺ คืนวันพฤหัสบดี วันที่ 12 เดือน ญุมาดัลเอาวัล ฮ.ศ. 537


9
3. ยุคแห่งการแต่งตำราและวางรากฐานหลักการเชื่อมั่นของ อัล-มาตุรีดียะฮฺ (ฮ.ศ. 500-700) ในยุคนี้มีความโดดเด่นเฉพาะคือ มีการแต่งตำราตลอดจนรวบรวมหลักฐานต่างๆ เกี่ยวกับหลักการเชื่อมั่นตามแนวคิดของอัล-มาตุรีดียะฮฺ ด้วยเหตุนี้ยุคนี้ถือว่าเป็นยุคที่ยิ่งใหญ่ในหน้าประวัติของอัล-มาตุรีดียะฮฺ เนื่องจากมีการวางรากฐานของแนวคิดหรือหลักการศรัทธาของอัล-มาตุรีดียะฮฺ ในยุคนี้มีบุคคลที่โดดเด่นดังต่อไปนี้


ท่าน อบู อัล-มะอีน อัน-นะสะฟีย์ (ฮ.ศ. 438-508) ท่านมีชื่อเต็มว่า มัยมูน บิน มุหัมมัด บิน มุอฺตะมัด อัน-นะสะฟีย์ อัล-มักหูลีย์ คำว่า อัน-นะสะฟีย์ มาจากคำว่า "นะสัฟ" คือ ชื่อเมืองใหญ่เมืองหนึ่งตั้งอยู่ระหว่าง ญัยหูน และ สะมัรก็อนดฺ


สำหรับ "อัล-มักหูลีย์" มาจากชื่อปู่ของเขา แต่ส่วนมากจะรู้จักชื่อของท่านด้วยการพ่วงท้ายชื่อเมือง คือ อัน-นะสะฟีย์ สะมากกว่า ท่านมีฉายานามมากมาย เช่น สัยฟุล หักก์ วัดดีน นับว่าท่านเป็นปราชญ์แห่งสำนักคิดอัล-มาตุรีดียะฮฺที่โดดเด่นท่านหนึ่ง แต่ผู้ที่บันทึกชีวประวัติของท่านไม่ได้กล่าวถึงคณาจารย์ของท่านและการศึกษาหาความรู้ของท่านมากนัก


ดร.ฟัตหุลลอฮฺ เคาะลีฟ กล่าวว่า นับว่าท่านอบู อัล-มะอีน อัล-นะสะฟีย์ เป็นผู้ที่รับใช้สำนักคิดอัล-มาตุรีดียะฮฺ เขาอยู่ในแนวคิดอัล-มาตุรีดียะฮฺเหมือนกับอัล-บากิลลานีย์ และเหมือนอัล-เฆาะซาลีย์ในแนวคิด อัล-อะชาอิเราะฮฺ


ส่วนตำราที่สำคัญของท่าน คือ ตับศิเราะฮฺ อัล-อะดิลละฮฺ ซึ่งเป็นหนังสืออ้างอิงที่สำคัญในการจะรู้จักแนวคิดอัล-มาตุรีดียะฮฺ รองจากหนังสือ อัต-เตาฮีด ของอบู มันศูรฺ อัล-มาตุรีดีย์ และยังถือว่าเป็นหนังสืออ้างอิงที่เนื้อหากว้างขวางมากกว่าหนังสือเล่มอื่นๆ นอกจากนี้ท่านได้ย่อหนังสือเล่มนี้ลงในหนังสือของท่านแต่งเอง คือหนังสือ อัต-ตัมฮีด


และท่านยังแต่งตำราชื่อว่า บะหฺรุลกะลาม ซึ่งเป็นหนังสือฉบับกระทัดรัดกล่าวถึงประเด็นต่างๆของอิลมุลกะลาม (วิภาษวิทยา) ท่านเสียชีวิตเมื่อวันที่ 25 เดือนซุลหิจญะฮฺ  ฮ.ศ. 508 ท่านมีอายุรวม 70 ปี

10
จากนั้นเป็นการเริ่มเข้าสู่ยุคต่อไป ซึ่งเป็นยุคต่อเนื่องจากยุคที่ผ่านมา โดยมีปราชญ์ที่โดดเด่น ดังนี้


บุคคลสำคัญของแนวคิดอัล-มาตุรีดียะฮฺ

ท่านอบู อัล-ยุสรฺ อัล-บัซดะวีย์ ( ฮ.ศ. 421-493) ท่านมีชื่อเต็มว่า มุหัมมัด บิน มุหัมมัด บิน อัล-หุสัยนฺ บิน อับดุลกะรีม  คำว่า อัล-บัซดะวีย์ มาจากคำว่า บัซดะวะฮฺ หรือ บัซดะฮฺ ท่านมีฉายานามว่า อัล-กอฎีย์ อัศ-ศ็อดรฺ ท่านเป็นปราชญ์คนหนึ่งในมัซฮับ หะนะฟีย์ รองจากพี่ชายของท่าน อะลีย์ อัล-บัซดะวีย์ ท่านเกิดเมื่อปี ฮ.ศ. 421


ท่านได้ศึกษาความรู้จากบิดา ซึ่งรับการศึกษามาจากปู่ของท่าน  ซึ่งเป็นศิษย์เอกของท่านอบู  มันศูรฺ อัล-มาตุรีดีย์ ท่านได้ศึกษาตำราปรัชญาต่าง เช่น ตำราของ อัล-กินดีย์ ศึกษาตำราของมุอฺตะซิละฮฺ เช่น ตำราของอัล-ญุบบาอีย์ , อัล-กะอฺบีย์ และ อัน-นัซซอม เป็นต้น ท่านได้กล่าวถึงตำราเหล่านั้นว่า ไม่อนุญาตให้ถือและอ่านตำราเหล่านั้น เพื่อไม่ให้เกิดความเคลือบแคลงใจ และดูหมิ่นต่อหลักการศรัทธา แต่ท่านก็ไม่เห็นด้วยจะไปกล่าวคนที่ยึดถือตำราเหล่านั้นเป็นสิ่งอุตริกรรม


นอกจากนี้ท่านได้ศึกษาตำราของอบู  หะซัน อัล-อัชอะรีย์ อย่างล้ำลึก จนท่านกล่าวว่าอนุญาตให้อ่านตำราของอัล-อัชอะรีย์ได้หลังจากที่ผู้อ่านรู้ว่ามีประเด็นไหนบ้างที่บกพร่อง ท่านยังศึกษาตำราสองเล่มของอบู มันศูรฺ อัล-มะตุรีดีย์ คือ ตำรา อัต-ตะวีลาต และ อัต-เตาฮีด แล้วท่านพบว่าตำรา อัต-เตาฮีดนั้นมีเนื้อหาที่ยาว และการเรียบเรียงค่อนข้างยาก ดังนั้นท่านจึงได้ทำการเรียบเรียงใหม่เพื่อให้ตำรามีความง่ายขึ้น นอกจากนี้ท่านยังเพิ่มเติมประเด็นต่างๆ ไว้อีกด้วยในหนังสือที่ชื่อว่า อุศูลลุดดีน


อบู อัล-ยุสรฺ อัล-บัซดะวีย์ มีลูกศิษย์มากมายที่มาเล่าเรียนหาความรู้จากท่าน เช่น บุตรชายของท่านเอง มีชื่อว่า อัล-กอฎีย์ อบู อัล-มะอานีย์ อะหฺมัด , ท่าน นัจญ์มุดดีน อุมัรฺ บิน มุหัมมัด อัน-นะสะฟีย์ เจ้าของตำรา อัล-อะกออิด อัล-นะสะฟียะฮฺ และคนอื่นๆ อีกมากมาย


และท่าน อบู อัล-ยุสรฺ ได้เสียชีวิต ณ เมืองบุคอรอ ในวันที่ 9 เดือน เราะญับ ปี ฮ.ศ. 493




11
2. ยุคการก่อตั้ง (ฮ.ศ. 333 – 500) เป็นช่วงที่สานุศิษย์ของอัล-มาตุรีดีย์ และผู้ที่ได้รับอิทธิพลจากท่านเริ่มเผยแพร่แนวคิดนี้ ยุคนี้ถือว่าเป็นยุคที่กลุ่มวิภาษวิทยาถือกำเนิดขึ้นในเมืองสะมัรก็อนดฺเป็นครั้งแรก จากนั้นมีการเผยแพร่แนวคิดนี้อย่างแพร่หลาย ตลอดจนถึงการแต่งตำราเพื่อสนับสนุนปกป้องแนวคิดนี้ โดยยึดวิชาฟิกฮฺตามมัซฮับ หะนะฟีย์เป็นหลัก


จึงทำให้แนวคิดอัล-มาตุรีดิยะฮฺ ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้คนในเมืองนี้และเมืองอื่นๆ ที่ใกล้เคียงอย่างมาก ปราชญ์ที่มีความโดดเด่นในยุคนี้คือ อบู อัล-กอสิม อิสหาก บิน มุหัมมัด บิน อิสมาอีล อัล-หะกีม อัส-สะมัรก็อนดีย์ ฮ.ศ.342 ท่านมีปรัชญาคำสอนมากมาย และอีกท่านหนึ่งคือ อบู มุหัมมัด อับดุลกะรีม บิน มูซา บิน อีซา อัล-บัซดะวีย์ (ฮ.ศ. 390)



12
แนวคิด "อัล-มาตุรีดิยะฮฺ" ได้มีวิวัฒนาการหลายช่วงระดับเฉกเช่นกลุ่มแนวคิดวิภาษวิทยากลุ่มอื่นๆ ซึ่งสามารถสรุปได้ว่าแนวคิดกลุ่มนี้ได้ผ่านวิวัฒนาการมา 4 ยุคสมัย ดังนี้


1. ยุคของการเริ่มต้น (ปี ฮ.ศ. 333) ซึ่งมีลักษณะเด่นอยู่ที่การโต้เถียงอภิปรายปัญหาต่างๆกับกลุ่มอัล-มุอฺตะซิละฮฺ ซึ่งมีบุคคลที่โดดเด่นในยุคนี้คือ อบู มันศูรฺ อัล-มาตุรีดีย์ ท่านมีชื่อเต็มว่า มุหัมมัด บิน มุหัมมัด บิน มะหฺมูด อัล-มาตุรีดีย์ อัส-สะมัรก็อนดีย์ 


คำว่า “อัล-มาตุริดีย์” มาจากคำว่า “มาตุรีด” ซึ่งเป็นชื่อ หมู่บ้านหนึ่งใกล้กับเมืองสะมัรก็อนดฺ (Samarkand) ปัจจุบันอยู่ในประเทศอุซเบกิสถาน อบู มันศูรฺเกิดที่หมู่บ้านนี้และไม่ปรากฏวันเดือนปีเกิดของท่านอย่างชัดเจน และไม่มีการบันทึกชีวประวัติและเกร็ดชีวิตของท่านมากมายนัก แม้กระทั่งประวัติการศึกษาของท่านในวัยเยาว์และผู้ที่มีอิทธิพลทางความคิดก็ไม่มีการบันทึก  หรือหากมีการบันทึกก็มีจำนวนน้อยเท่านั้น เช่น ท่านนุศ็อยรฺ บิน ยะหฺยา อัล-บัลคีย์ เป็นต้น บ้างก็ว่าท่านผู้นี้ชื่อ นัศรฺ ซึ่งท่านอบู มันศูรฺ อัล-มาตูรีดีย์ ก็ได้รับเอาฟิกฮฺในสายมัซฮับหะนะฟียฺและอิลมุลกะลามจากท่านผู้นี้


อบู มันศูรฺได้รับฉายานามจากผู้เจริญรอยตามแนวคิดของท่านว่า “อิมาม อัล-มะฮฺดีย์” และ “อิมามอัล-มุตะกัลลิมีน” ซึ่งแสดงให้เห็นว่าท่านเป็นคนที่มีฐานะสูงส่งแค่ไหนในทัศนะของผู้ติดตามแนวคิดท่าน


อับดุลลอฮฺ อัล-มุรออีย์ กล่าวไว้ในหนังสือ “อัล-ฟัตหฺ อัล-มุบีน ฟี เฏาะบะกอต อัล-อุศูลิยีน (1/193-194)” ว่า “อบู มันศูรฺ เป็นผู้ที่มีความหนักแน่นเวลาโต้เถียง ท่านได้พิทักษ์ปกป้องหลักการเชื่อมั่นของชาวมุสลิม และโต้ตอบข้อคลุมเครือของพวกปฏิเสธพระเจ้า”


ชัยคฺ อบู อัล-หะสัน อัน-นัดวีย์ ได้กล่าวในหนังสือ “ริญาล อัล-ฟิกรฺ วะ อัล-ดะอฺวะฮฺ” (หน้า 139) ว่า “อบูมันศูรฺ อัล-มาตุริดีย์ ท่านเป็นนักคิดที่สำคัญคนหนึ่ง ท่านมีคุณลักษณะพิเศษ คือเป็นอัจฉริยบุคคล มีความรู้ในวิชาด้านต่างๆ” จะเห็นได้ว่าชัยคฺ อบู อัล-หะสัน อัน-นัดวีย์ ได้ให้ความสำคัญแก่อบู มันศูรฺ อัล-มาตุริดีย์มากกว่าอบู อัล-หะสัน อัล-อัชอะรีย์เสียอีก ตามที่ปรากฏในหนังสือ ตารีค อัด-ดะอฺวะฮฺ วะ อัล-อะซีมะฮฺ (1/114-115)


อบู มันศูรฺ อัล-มาตุริดีย์ มีชีวิตอยู่ในยุคเดียวกับอบู อัล-หะสัน อัล-อัชอะรีย์ ท่านเป็นผู้หนึ่งที่ได้เห็นหรือร่วมสมัยกับยุคความขัดแย้งระหว่างอะฮฺลุลหะดีษ กับอะฮฺลุลกะลามจากกลุ่มมุอฺตะซิละฮฺและกลุ่มอื่นๆ ท่านเป็นผู้หนึ่งที่อยู่ตรงข้ามกับฝ่ายมุอฺตะซิละฮฺ แต่ว่าท่านอาจมีแนวทางที่แตกต่างจากแนวทางของ อบู อัล-หะสัน อัล-อัชอะรีย์ อยู่บ้าง  แม้ว่าในหลายประเด็นทัศนะของท่านทั้งสองจะสอดคล้องกันก็ตาม แต่ในประวัติศาสตร์ไม่มีการบันทึกว่าบุคคลทั้งสองเคยพบเจอ หรือเคยติดต่อสื่อสารถึงกัน หรือเคยอ่านหนังสือของกันและกัน


อบู มันศูรฺ อัล-มาตุริดีย์ เสียชีวิตในปี ฮ.ศ. 333 ร่างของท่านถูกฝัง ณ เมือง สะมัรก็อนดฺ ท่านมีผลงานทางวิชาการมากมาย ไม่ว่าจะเป็นผลงานด้านวิชาฟิกฮฺ (ศาสนบัญญัติ) หรือวิชาตัฟสีรฺอัลกุรอาน(อรรถาธิบายอัลกุรอาน) เช่น หนังสือ ตะอ์วีลาต อะฮฺลิ อัส-สุนนะฮฺ หรือ ตะอ์วีลาต อัลกุรอาน หนังสือเล่มนี้ได้ทำการตะอ์วีล (ตีความ) โองการต่างๆ ในอัลกุรอาน อาทิเช่น โองการที่เกี่ยวข้องกับศิฟาต(คุณลักษณะ) ของอัลลอฮฺ เป็นต้น


หนังสือเกี่ยวกับวิภาษวิทยาของท่านมีชื่อว่า กิตาบ อัต-เตาฮีด ในหนังสือเล่มนี้ท่านได้ยอมรับทฤษฎีของพวกวิภาษวิทยา และได้ชี้แจงทัศนะของท่านเกี่ยวประเด็นปัญหาหลักที่เกี่ยวข้องกับหลักการเชื่อมั่น โดยให้เกิดความบริสุทธิ์แด่อัลลอฮฺและปฏิเสธการเสมอเหมือนระหว่างคุณลักษณะของอัลลอฮฺกับคุณลักษณะของสรรพสิ่งที่ถูกสร้าง


มีบางคนกล่าวว่าท่านได้แต่งหนังสืออธิบายหลักการเชื่อมั่นของอิมามอบู หะนีฟะฮ ชื่อหนังสือว่า ชัรหฺ กิตาบ อัล-ฟิกฮฺ อัล-อักบัรฺ นอกจากนี้ท่านได้แต่งหนังสือตอบโต้กลุ่มมุอฺตะซิละฮฺ , หนังสือตอบโต้กลุ่มอัร-รอฟิเฎาะฮฺ และหนังสือตอบโต้กลุ่มอัล-เกาะรอมิเฏาะฮฺ


14
สั่งซื้อยังไงครับตอบด้วย



มีขายตามร้านหนังสือทั่วไป ส่วนการจัดส่งมีมั้ยนั้น เดี๋ยวจะลองถามอาจารย์เค้าให้ รอแป๊ปนึง

15
ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ มีพี่น้องหลายๆ ท่านในเวปนี้ ที่สนใจในตำราศาสนาที่เป็นภาษาไทย ต่างก็หาซื้อตำราศาสนาของท่าน อาจารย์ อารีฟีน แสงวิมาน (เจ้าของเวปไซด์แห่งนี้) มาอ่านกัน .. ไม่ว่าจะเป็น ตำรา วิทยโวหาร(ฮิกัม) ,ตำรา อัตเตาบะฮฺ หรือ ตำรา จดหมายถึงผู้ป่วย เป็นต้น


แต่นอกจาก ท่านอาจารย์ อารีฟีน แสงวิมาน แล้ว .. ยังมีอาจารย์อีกหนึ่งท่าน ซึ่งท่านก็เป็นผู้ทรงความรู้ของเวปสุนนะฮฺฯ แห่งนี้เช่นกัน และท่านก็เคยตอบปัญหาศาสนาให้กับพวกเรามามากมาย ในบอร์ดนิติศาสตร์อิสลาม(ฟิกฮฺ) แล้วท่านเองก้อเป็นผู้ดูแลบอร์ดนั้นอยู่ด้วย และอาจารย์ที่ข้าพเจ้ากำลังกล่าวถึงนี้ ก็คือ อาจารย์ มุสตอฟา โต๊ะลง





หลังจากที่ ท่าอาจารย์ มุสตอฟา โต๊ะลง จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย อัล-อัซฮัร ไปเมื่อ 2-3 ปีก่อน ท่านก็ได้มีผลงานทางวิชาการศาสนาออกมาให้พวกเราได้ชื่นชมกันแล้ว เป็นจำนวน 6 เรื่องด้วยกัน .. และในวันนี้ ข้าพเจ้าจะเสนอแนะผลงานของท่าน ดังต่อไปนี้ คือ ..



ออร่า มหัศจรรย์แห่งแสงบนเรือนร่าง




ตำรา "ออร่า มหัศจรรย์แห่งแสงบนเรือนร่าง มุมมองด้านวิทยาศาสตร์และศาสนศาสตร์"  มีทั้งหมด 90 หน้า  ราคา 90 บาท


สารบัญที่น่าสนใจ


บทที่ 1 ออร่า

ออร่า คือสนามพลังงานที่แผ่อยู่รอบสิ่งมีชีวิตต่างๆ เป็นพลังงานที่ปลดปล่อยออกมาในรูปแบบของแสงและความร้อน ซึ่งในปัจจุบันนี้ สามารถวัดแสงรัศมีดังกล่าวได้โดยผ่านเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ และยังสามารถวัดคลื่นความร้อนได้โดยผ่านกระบวนการตรวจจับความร้อน


บทที่ 2 พลังงานและศูนย์รวมของพลัง

เรามีชีวิตอยู่ได้ด้วยพลังงาน เรามี 75,000 ล้านเซลล์ ทุกเซลล์ในร่างกายเป็นแบตเตอรี่ขนาดจิ๋วทุกเซลล์ส่งพลังงานสเคล่าร์ ขนาด 70-80 มิลลิโวลท์ ออกมารอบกายเราจึงมีพลังงานห่อหุ้มเรียกว่า “ออร่า”


บทที่ 3 ผู้รู้แจ้งด้วยอัลลอฮ์กับออร่าบนเรือนร่าง

การสร้างจิตที่สงบนิ่งด้วยการรำลึกถึงอัลลอฮ์ เท่ากับการเพิ่มรัศมีให้กับตนเอง ด้วยเหตุนี้ ผู้มีจิตวิญญาณบริสุทธิ์จากบรรดาผู้รู้แจ้งด้วยอัลลอฮ์ จึงมีรัศมีหรือแสงออร่าที่แข็งแกร่งและสูงส่ง


บทที่ 4 น้ำกับแสงออร่า

ในภพนี้ ร่องรอยของการอาบน้ำละหมาดจะปรากฏเป็นรัศมีบนใบหน้า ทำให้หัวใจเกิดความสงบนิ่ง และทำให้ชีวิตมีการผ่อนคลาย และในภพหน้า ร่องรอยของการอาบน้ำละหมาดจะส่งผลให้เกิดแสงนวลและขาวผ่องบนใบหน้า และอวัยวะที่สัมผัสกับน้ำละหมาด ซึ่งการมีแสงนวลผ่องนั้น เป็นสัญลักษณ์หนึ่งในปรโลกที่ทำให้รู้ว่าเขาคือผู้ศรัทธา


บทที่ 5 การกอดและการจับมือ

ดร. เทลม่า มอส นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ได้ทำการวิจัยเรื่องแสง ออร่าบนเรือนร่างมนุษย์ โดยทดลองด้วยการใช้เครื่องถ่ายภาพเกอร์เลี่ยน เพื่อจับภาพแสงออร่าโดยให้สองคนที่รักกันประสานมือเข้าหากันไปบนเครื่องถ่ายภาพดังกล่าว เธอจึงได้พบว่ารังสีของทั้งสองคนนั้นผสานเข้าหากัน


บทที่ 6 สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในอิสลาม

กะบะห์ และบัยติ้ลมักดิส ถือเป็นสถานที่อันประเสริฐที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน เป็นแหล่งรวบรวมออร่าและคลื่นแรงสั่นสะเทือนของท่านศาสดามูฮัมหมัด บรรดาศาสดาท่านอื่นๆ และบรรดา อัครสาวกที่พวกเขาได้ทิ้งไว้ในช่วงที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ ซึ่งพวกเขาเป็นผู้มีสถานะอันยิ่งใหญ่ ณ อัลลอฮ์


บทที่ 7 รัศมีของผู้รำลึกถึงอัลลอฮ์   

“ไม่มีกลุ่มๆ ใดที่ทำการรำลึกถึงอัลลอฮ์ นอกเสียจากบรรดามะลาอิกะห์จะมาห้อมล้อมพวกเขา ความเมตตาของอัลลอฮ์จะปกคลุมพวกเขา ความสงบนิ่งจะถูกส่งมายังพวกเขา และอัลลอฮ์นั้นจะรำลึกถึงพวกเขาในบุคคลที่อยู่กับอัลลอฮ์” (บันทึกโดย มุสลิม)


บทที่ 8 แสงไฟของชัยฏอน

เมื่อบ่าวผู้ศรัทธามีความศรัทธาอย่างแท้จริง แน่นอนชัยฏอนจะมีความหวาดกลัวและหนีห่างจากเขา เนื่องจากรัศมีที่พุ่งออกมาจากหัวใจ พร้อมทั้งได้รับสนับสนุนจากรัศมีของเหล่ามะลาอิกะห์ที่เข้ามาห้อมล้อม ฉะนั้นเมื่อแสงออร่าของเรือนร่างเข้มข้น แสงจากเปลวไฟของชัยฏอนจะถอยห่างออกไป แต่เมื่อแสงออร่าแผ่วบาง แสงจากเปลวไฟย่อมต้องประชิดติดตัว


บทที่ 9 ออร่ากับการบำบัด

ศาสนกิจต่างๆ ที่อัลลอฮ์ทรงกำหนดให้ปวงบ่าวปฏิบัตินั้น มิใช่เพื่อแสดงความภักดีต่ออัลลอฮ์เพียงเท่านั้น ทว่านั้นคือรางวัลชิ้นใหญ่ที่อัลลอฮ์ทรงมอบให้แก่ปวงบ่าวผู้ศรัทธาในภพนี้ โดยถือว่าเป็นที่มาของการผลิตพลังงานไฟฟ้าประจุลบ เพื่อเป็นการบำบัดรักษาเรือนร่างและจิตใจให้เกิดความสมดุล ฉะนั้นผู้ใดปฏิบัติมาก ก็ย่อมได้รับผลตอบแทนมาก

บรรณานุกรม


สนใจติดต่อสอบถามจากเฟสอาจารย์เค้าได้ที่ :http://www.facebook.com/photo.php?fbid=4216716829597&set=a.1679899570751.74518.1635414487&type=3&src=http%3A%2F%2Fsphotos-a.ak.fbcdn.net%2Fhphotos-ak-prn1%2F602884_4216716829597_1661223341_n.jpg&size=700%2C920

หน้า: [1] 2 3 ... 14