แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - عاش حميدا ومات شهيدا

หน้า: [1]
1
โหลดหนังสือ ตอบโต้ข้อสงสัยของพวกนอกศาสนาและนักบูรพาคดี
ردود علماء المسلمين على شبهات الملحدين والمستشرقين
للشيخ محمد يا سين


1.          http://www.mediafire.com/?mjzgzlmjnm2

หรือ

2.          http://www.megaupload.com/?d=0W8B1UUL

จาก เว็บ      http://www.forsanelhaq.com/showthread.php?t=168582

2
ขอแหกกฏเพื่อน ๆ ครับ เห็นเนื้อหามันดีเลยมาแบ่งปัน แต่รบกวนท่าน ๆ ช่วยแปลหน่อย

ที่สำคัญ ขอให้อัลลอฮทรงตอบแทนท่านที่จะกรุณาแปลด้วยครับ

بكم تشتري الجنه 






يقول الله تعالى: {إن الله وملائكته يصلون على النبي يا أيها الذين آمنوا صلوا عليه وسلموا تسليما }
بكم تشترى الجنة ؟
استوقفتني كلمة جميلة لأبي هريره ـ رضي الله عنه
توضح جانبًا من حياة ذي النورين عثمان بن عفان ـ رضي الله عنه ـ
.. فقد أخرج الحاكم عن أبي هريرة رضي الله عنه متحدثًا عن عثمان :"اشترى عثمان الجنة من النبي صلى الله عليه وسلم مرتين..!!"
وقد نسأل أنفسنا : بأي ثمن اشترى عثمان الجنة ؟؟!
إن لشراء الجنة طرقاً كثيرة:
1) تشترى الجنة بركعتين خاشعتين في جوف الليل..
2) قد تشترى الجنة بكلمة حق.. تردُّ ظالمًا.. أو تنتصر لمظلوم..
3) قد تشترى الجنة بصيام يوم حارٍّ في سبيل الله...
4) وقد تشتريها ببسمة ودٍّ صافية في وجه أخيك..
5) أو مسحة كفٍّ حانية على رأس يتيم....
حقًّا يا إخواني.. ما أكثر طرق شراء الجنة!
ولكن.. أيَّ هذه الطرق سلك عثمان؟؟
والجواب عند أبي هريرة.. يقول:
".. حين حفر بئر رومة ! وحين جهز جيش العسرة..!"
في كلتا المرتين – وفي غيرهما – سلك عثمان في شرائه للجنة طريقًا تميَّز به كثيرًا
طوال حياته رضي الله عنه.. ذلكم هو طريق:
"الجهاد بالمال.."
فأي الطرق ستتميز بها أنت لشراء الجنة ؟!

3
อ้างถึง
"เมื่ออัลลอฮ์ทรงต้องการที่จะให้บ่าวของพระองค์ได้รับความดีงามแล้ว พระองค์ก็ทรงเร่งรีบทำการลงโทษแก่เขาในโลกนี้ และเมื่อพระองค์ทรงต้องการที่จะให้บ่าวของพระองค์ได้รับความชั่วช้าแล้ว พระองค์ก็ทรงรั้งรอบาปโทษของเขาไว้ให้แก่เขา เพื่อที่เขาจะได้นำเอาบาปโทษนั้นมาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ในวันกิยามะฮ์"
อ้างถึง
"แท้จริง ความยิ่งใหญ่ของผลตอบแทนนั้นอยู่กับความยิ่งหญ่ของบททดสอบ(จากอัลลอฮ์) และแท้จริง พระองค์ตะอาลาเมื่อพระองค์ทรงรักหมู่คณะหนึ่งหมู่คณะใดแล้ว พระองค์ก็ทรงทดสอบพวกเขา แล้วผู้ใดพอใจ ความพอใจ(จากอัลลอฮ๋์)ก็เป็นของเขา และผู้ใดโกรธกริ้ว ความโกรธกริ้ว(จากอัลลอฮ์)ก็เป็นของเขา(เช่นเดียวกัน)"

อยากได้ตัวบทหะดีษนี้จังเลย ขอขอบคุณ  คุณbeechern

4
ชอบหัวข้อนี้มากเลย อยากจะขอรว่มมาก.. มีคำอาหรับง่าย ๆ อยากให้ท่านช่วยแปล

และขอขอบคุณล่วงหน้า

خمسين طريقه لتعليم طفلك الثقه بالنفس
 
الي كل اب او ام


1.امدح طفلك أمام الغير.


2. لا تجعله ينتقد نفسه.


3. قل له(لو سمحت)


4. عامله كطفل واجعله يعيش طفولته.


5. ساعده في اتخاذ القرار بنفسه.


6. علمه السباحة.


7. اجعله ضيف الشرف في إحدى المناسبات.


8. اسأله عن رأيه, وخذ رأيه في أمر من الأمور.


9. اجعل له ركنا في المنزل لأعماله واكتب اسمه على إنجازاته.


10. ساعده في كسب الصداقات, فإن الأطفال هذه الأيام لا يعرفون كيف يختارون أصدقاءهم.


11. اجعله يشعر بأهميته ومكانته وأن له قدرات وهبها الله له.


12. علمه أن يصلي معك واغرس فيه مبادئ الإيمان بالله.


13. علمه مهارات إبداء الرأي والتقديم وكيف يتكلم ويعرض ما عنده للناس.


14. علمه كيف يقرأ التعليمات ويتبعها.


15. علمه كيف يضع لنفسه مبادئ وواجبات ويتبعها وينفذها.


16. علمه مهارة الإسعافات الأولية.


17. أجب عن جميع أسئلته.


18. أوف بوعدك له.


19. علمه مهارة الطبخ البسيط كسلق البيض وقلي البطاطا وتسخين الخبز وغيرها.


20. عرفه بقوة البركة وأهمية الدعاء.


21. علمه كيف يعمل ضمن فريقه.


22. شجعه على توجيه الأسئلة.


23. اجعله يشعر أن له مكانة بين أصدقائه.


24. أفصح عن أسباب أي قرار تتخذه.


25. كن في أول يوم من أيام المدرسة معه

5
จะมีผลข้างเคียง หรือจะเป็นอะไรบ้างไหมถ้าจะใช้ยาไปพร้อมๆ กันไปด้วย ?โดยปกติทั่วไปจะไม่มีผลข้างเคียง การบำบัดรักษาจะเป็นไปอย่างนิ่มนวล อ่อนโยน ในบางกรณีบางโรค อาจจะมีอาการมากขึ้นมาบ้างนิดหน่อย ก็อย่าไปวิตกกังวล เพราะอาการที่เกิดขึ้นนั้นเป็นสัญญาณที่ดี
บอกให้เราได้รู้ว่าโรคที่เป็นอยู่นั้นกำลังได้รับการบำบัดอยู่ ให้อดทนหน่อย แต่ถ้าในกรณีที่มีอาการมากขึ้นจนทนไม่ได้ ก็ให้หยุดทำ OP ไปสัก 2-3 วัน หรือจะกินยาเพื่อช่วยระงับอาการและทำ OP ไปด้วยก็ได้
ในกรณีที่ต้องกินยา หรือยังไม่อยากจะหยุดยาทีเดียวเลย ก็ให้กินยาไปด้วยพร้อมๆ กัน แล้วค่อยๆ ลดจำนวนยาลงทีละน้อย แบบค่อยเป็นค่อยไป จนมีความแน่ใจว่าได้ผลดีแล้ว จึงหยุดยาทั้งหมด แล้วทำ OP อย่างเต็มที่เพื่อเป็นการถอนรากถอนโคนของโรคออกไปให้หมด ในกรณีที่เป็นโรคเรื้อรัง เป็นมานาน ต้องกินยาอยู่ ไม่อยากหยุดยา ก็ให้ทำ OP พร้อมๆ กันไป ก็ไม่เกิดผลเสีย

อ้างอิง     Oilpulling.com
บทความแปล โดย
หมอแดง the-arokaya.com



6
คำถามที่ถูกถามบ่อย เกี่ยวกับ Oil pulling

ควรจะทำ OP เวลาไหนถึงจะดี?
แพทย์ทางอายุรเวท แนะนำว่าควรจะทำในช่วงเช้า หลังจากแปรงฟัน และท้องว่างอยู่
Dr Karach แนะนำให้ทำช่วงเช้า ตอนท้องว่าง จะให้ดีควรเป็นหลัง 1 ชั่วโมง หลังจากดื่มน้ำเปล่า ชา กาแฟ หรือน้ำใดๆ ในช่วงเช้า แต่ขอให้ทำก่อนอาหารมื้อเช้า หรือ ตอนท้องว่าง ขณะที่รู้สึกไม่ค่อยสบาย สุขภาพร่างกายมีปัญหา ก็ทำได้

ใครบ้างที่ทำได้ ?
ใครๆ ก็ทำได้ อายุ 5 ขวบขึ้นไปก็ฝึกทำได้ สำหรับอายุ 5 ขวบหรือเกินกว่าไม่มาก ให้ใช้น้ำมันเพียง 1 ช้อนชา (5 cc.) ก็พอ ผู้ที่ถอนฟันแล้ว สตรีที่ตั้งครรภ์อยู่ ก็ทำได้

แล้วจะดื่มน้ำหรือทานอาหารได้หลังจาก OP นานเท่าไร?
หลังจากทำ OP แล้วล้างปาก แล้วก็สามารถดื่มน้ำหรือทานอาหารได้เลย ไม่ต้องทิ้งช่วงเวลา

น้ำมันอะไรบ้างที่นำมาใช้ OP ได้?
Dr Karach แนะนำให้ใช้น้ำมันทานตะวัน ส่วนการแพทย์อายุรเวทแต่โบราณ ใช้น้ำมันงาเป็นหลัก ซึ่งน้ำมันทั้งสองชนิดก็ทำงานได้ดีในการช่วยบำบัดสุขภาพ บางท่านว่าน้ำมันงาใช้ได้ดีที่สุด ส่วนน้ำมันอื่นๆ ก็ใช้ได้แล้วแต่ความชอบ ของแต่ละคน เพียงแต่ยังไม่มีรายงานผลการใช้น้ำมันชนิดอื่นๆ มาให้ทราบมากนัก น้ำมันอื่นๆ อาจจะใช้ได้ดีในการนำมาใช้ก็ได้ แต่ยังไม่ได้รับความนิยมที่จะใช้กัน



(หมอแดง แนะนำให้ใช้ น้ำมันมะพร้าว ในการทำ Oil Pulling ซึ่งก่อนหน้านี้ยังไม่มีน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นใช้กันมากนัก และก็กลัวไขมันอิ่มตัวน้ำมันมะพร้าวกันมาก แต่ปัจจุบันนี้ความเชื่อนั้นเปลี่ยนไป)


น้ำมันที่ใช้เพียง 10 cc. มันดูน้อยจัง ใช้ 20 cc. จะได้ไหม?
เมื่อเราทำ OP น้ำมันที่อมในปากนั้นจะต้องรู้สึกบางเบา จางลง มีความรู้สึกคล้ายน้ำ ไม่ใช่ยังรู้สึกว่ายังอมน้ำมันอยู่ ควรจะรู้สึกคล้ายน้ำ เมื่อมีความรู้สึกอย่างนี้จึงจะเป็นผลดี และเป็นไปตามวัตถุประสงค์ ความมุ่งหมายในการทำ โดยทั่วไปความรู้สึกอย่างนี้จะเกิดขึ้นหลังจากอมไว้ 15-20 นาที แต่ถ้าใช้น้ำมันมากเกินไปมาอม ก็จะต้องใช้เวลานานขึ้นกว่าที่น้ำมันจะกลายเป็นน้ำสีขาวๆ เราก็คงไม่มีเวลาที่จะมาอมน้ำมันอยู่นานๆ กันแน่
ถ้าหากบ้วนทิ้งออกมาแล้วยังรู้สึกว่ายังคงเป็นน้ำมันอยู่ ก็เป็นเรื่องเสียเปล่า ไม่ค่อยได้ประโยชน์นัก จะไม่ค่อยรู้สึกสดชื่น ไม่ได้ผลสำเร็จตามที่ปรารถนา ถ้าจะใช้มากสักนิดหน่อยก็ไม่เป็นอันตรายใดๆ ไม่เสียหายมากมาย เพียงแต่ใช้เวลานานเสียหน่อย และสำหรับเด็กเราก็ใช้แค่ 5 cc.ก็พอ

ขณะที่ทำ OP อยู่นั้น จะทำอย่างอื่นพร้อมไปด้วยได้หรือไม่?
ไม่ควร ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ควรทำ OP อย่างช้าๆ นั่งในท่าสบายๆ เชยคางขึ้น นึกถึงน้ำมันที่แทรกเข้าไปตามซอกฟัน เข้าไปสัมผัสกับทุกๆ ส่วนของเยื่อบุผนังในช่องปาก ผ่อนคลายอารมณ์และร่างกาย

สำหรับโรคที่เจ็บปวดรุนแรงจนจะต้องผ่าตัด หรือโรคเรื้อรัง จะมีการทำ OP อย่างไร?
โรคที่มีอาการปวดอย่างมากจนถึงขนาดจะต้องผ่าตัดนั้น วิธีการนี้จะช่วยบำบัดได้ภายใน 4 วัน โดยปฏิบัติวันละ 3 ครั้ง
ตอนช่วงท้องว่าง ก่อนอาหารเช้า กลางวัน และเย็น
ส่วนในโรคที่มีอาการเรื้อรังมานานนั้น อาจต้องใช้เวลาเป็นปี หรือมากกว่า แล้วแต่อาการและความหนักหนาของโรคที่เป็นอยู่นั้น เป็นมานานมากแค่ไหนแล้ว อายุของผู้ป่วย อุปนิสัย พฤติกรรมในการดำเนินชีวิตของผู้ป่วยก็เป็นปัจจัยสำคัญ

จะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นบ้างในการทำ OP?
น้ำมันที่อมยังคงสภาพเป็นน้ำมันอยู่ ไม่มีลักษณะคล้ายน้ำ หรือรู้สึกบางเบา หลังจาก 30 นาที แล้วกับรู้สึก
ถูกดูดซึม และเหลือปริมาณน้อยลง
เหตุที่น้ำมันไม่แปรสภาพไปคล้ายน้ำ ก็เพราะว่ามีน้ำลายน้อย หรือการผลิตน้ำลายออกมาน้อย ในช่องปากแห้ง เป็นมากในกรณีนี้ ซึ่งอาจเกิดขึ้นในตอนเช้า หรือไม่ก็ตอนเย็น
ในสภาวะปกติทั่วไป น้ำมันจะไม่ถูกดูดซึมในปาก สาเหตุนั้นมาจากน้ำลายมีน้อย หรือร่างกายขาดน้ำ ขาดสารเหลว ในกรณีนี้ให้ดื่มน้ำ 2-3 แก้ว แล้วออกเดินสัก 30 – 45 นาที แล้วกลับมาทำ OP
รู้สึกในจมูกถูกปิดกั้น เกิดการสะสมของน้ำมูก ทำให้หายใจไม่ค่อยดีขณะมีน้ำมันอยู่ในปาก
กรณีนี้ให้ล้าง ทำความจมูกให้ดี สั่งน้ำมูกออกให้รู้สึกโล่งจมูกก่อน แล้วจึงทำ OP
ขณะที่อมน้ำมันอยู่ในปาก เมื่อมีน้ำมูกให้ใช้วิธีหายใจแรงหลายๆครั้ง เพื่อให้มีแรงลมดันออกมาทางจมูก
อยากจะจาม หรือไอขณะที่อมน้ำมันอยู่
รู้สึกระคายคอ คันคอทำให้เกิดความรู้สึกรำคาญ อยากจะจามหรือไอขณะที่กำลังอมน้ำมันอยู่ในปาก ให้ค่อยๆ ทำ และให้ผ่อนคลาย ไม่ต้องคิดถึงน้ำมันที่อยู่ในปาก ถ้าจะจามหรือไอ ให้ทำตรงอ่างหรืออะไรรองรับ เพื่อไม่ให้มีการพ่นเป็นสเปร์ยออกมา หรือไม่ก็หากระดาษทิชชูมาปิดปากป้องกันไว้
เสมหะ เสลดในลำคอไหลเข้ามาที่ในปาก ขณะที่อมน้ำมันอยู่
ถ้ามีเสมหะเกิดขึ้นมาเต็มปากเต็มคอ ทำให้ทำ OP ไม่สะดวก ก็ให้บ้วนทั้งน้ำมันและเสมหะออกทิ้งไป และอมน้ำมันใหม่อีกครั้ง
กระตุ้นให้อยากถ่ายปัสสาวะ อุจจาระ ขณะทำ OP
เมื่อมีกระตุ้นให้เกิดปัสสาวะและถ่ายอุจจาระขณะที่ทำ OP ก็ให้ไปปัสสาวะ อุจจาระได้ระหว่างทำ OP อมน้ำมันไปด้วยให้สบายใจ ไม่ต้องเครียด

จะใช้เวลาสักเท่าไรในการที่จะรักษาโรค?
ระยะเวลาที่จะใช้ในการดูแลรักษาโรคแต่ละโรคนั้น เป็นการยากที่จะกะเกณฑ์ ขึ้นอยู่กับอายุของผู้ป่วย สภาพร่างกายของผู้ป่วยว่าทรุดโทรมขนาดไหน และโรคที่เป็นอยู่หนักหนาขนาดไหน อาหาร อัปนิสัยและพฤติกรรมของตัวผู้ป่วยแต่ละคน
Dr Karach กล่าวว่า “โรคที่เจ็บป่วยเรื้อรังมานานอาจใช้เวลาปีหนึ่ง ขณะที่โรคที่มีอาการปวดจนถึงขนาดจะต้องผ่าตัด อาจใช้เวลาแค่ 2 – 4 วัน ให้ฝึกทำจนกว่าจะรู้สึกแข็งแรงดังเดิม มีความสดชื่น หลับได้ดี รู้สึกเจริญอาหาร ความจำที่ดีกลับคืนมาเหมือนเดิมอีกครั้ง”


7
ประสบการณ์จากการบำบัดโดย Oil Pulling
จากผลการสำรวจโดยหนังสือพิมพ์ในประเทศอินเดีย
ในปี ค.ศ. 1996 ที่ Andhra Jyoti ได้เขียนเรื่องราวข้อมูลจากบำบัดรักษาโรคภัยไข้เจ็บโดยวิธีการ Oil Pulling ในหนังสือพิมพ์รายวัน Telugu มา 3 ปี ก็ได้จัดการสำรวจดูว่าวิธีการดังกล่าวนี้รักษาโรคอะไรได้บ้าง แล้วผลการรักษาได้ผลดีมากน้อยประการใด จากผลสำรวจที่ได้ตอบรับกลับมา 1,041 ราย
จำนวน 927 ราย หรือ (89%) ได้รายงานผลการรักษามารายละโรค บางรายก็หลายโรค ส่วนอีก 114 ราย หรือ (11%) ราย ไม่ได้รายงานผลการรักษาว่าได้ผลแค่ไหน ตามผลการรายงานพอสรุปได้ดังนี้
อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย คอ ศรีษะ 758 ราย
อาการภูมิแพ้ ปัญหาที่ปอด หอบหืด หลอดลมอักเสบ 191 ราย
ปัญหาเกี่ยวกับผิวหนัง สีผิวที่ผิดปกติ อาการคัน รอยแผลเป็น ปื้นสีดำๆ ผื่นคัน 171 ราย
ระบบย่อยอาหารที่ไม่ดี 155 ราย
อาการท้องผูก 110 ราย
โรคข้ออักเสบ ปวดตามข้อ 91 ราย
โรคหัวใจ โรค MS (อารมณ์แปรปรวน) 74 ราย
โรคเบาหวาน 56 ราย
โรคริดสีดวงทวาร 27 ราย
โรคเกี่ยวกับระบบสืบพันธ์ของสุภาพสตรี 21 ราย
อาการที่คล้ายโรคโปริโอ มะเร็ง โรคเรื้อน โรคเกี่ยวกับไต ปัสสาวะบ่อย โรคเกี่ยวกับระบบประสาท
และอัมพาต การตายด้าน การหมุนเวียนเลือดไม่ดี 72 ราย

8
วิธีการทำ “Oil Pulling”
- เช้าตื่นนอนขึ้นมา ช่วงท้องว่าง ก่อนรับบประทานอาหารเช้า เอาน้ำมันประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ใส่เข้าปาก อย่าได้กลืนลงคอไปนะครับ แล้วทำให้น้ำมันเคลื่อนไหวไปมาอยู่ในปาก (Move Oil Slowly) กลั้วอยู่ในปาก ไม่ต้องทำแรงนัก Dr.Karach ใช้วิธีค่อยๆ จิบน้ำมันเข้าปาก ดูด และดึง น้ำมันให้ผ่านฟันไปมาให้ทั่วๆ ใช้เวลา 15 – 20 นาที
- ในขั้นตอนนี้ น้ำมันจะผสมกลมกลืนกับน้ำลาย แล้วทำให้มันเคลื่อนไหวกระตุ้นเอนไซม์ เพื่อให้เอนไซม์ดึงสารพิษออกมาจากกระแสเลือด จงอย่ากลืนน้ำมันนี้ลงคอไป เพราะมันมีพิษ พิษที่ดึงออกมานั่นแหละ
- เมื่อเราคลื่อนไหวน้ำมันอยู่ในปากสักพัก จะรู้สึกว่าน้ำมันนั้นเบาบางลงไม่หนืด ลักษณะคล้ายน้ำ สีขาว
- แต่ถ้าน้ำมันนั้นยังมีสีเหลือง(น้ำมันงา ทานตะวันจะสีเหลือง น้ำมันมะพร้าวจะใส) อยู่เหมือนเดิม แสดงว่าใส่น้ำมันมากไป หรือยังใช้เวลาไม่นานพอ
- ขั้นต่อไป ให้บ้วนน้ำมันที่อมอยู่ทิ้ง แล้วใช้น้ำสะอาดล้าง หรือจะให้ดี ก็ใช้นิ้วมือช่วยทำความสะอาดฟันและเหงือกด้วยก็ได้

ล้างทำความสะอาดอ่างล้างหน้าให้ดี
คุณควรล้างทำความสะอาดอ่างล้างหน้าให้ดี (ถ้าบ้วนน้ำมันที่อมลงในอ่าง) ใช้สบู่ น้ำยาฆ่าเชื้อล้างด้วยก็ดี เพราะน้ำมันที่บ้วนทิ้งลงไปนั้นจะมีแบคทีเรีย และสารพิษ Toxin ของเสียที่ดึงออกจากร่างกาย ถ้าลองใช้กล้องขยายขนาด 600 เท่าส่องดูก็จะพบว่ามีแบคทีเรีย และจุลินทรีย์ที่อยู่ในระยะฟักตัวเพื่อก่อโรคอยู่
สิ่งสำคัญต้องทำความเข้าใจว่าการทำ OP เป็นกระบวนการทำให้ระบบเมทาโบริซึมเข้มแข็งขึ้น เพื่อให้ร่างกายเราแข็งแรง
สิ่งที่ทำให้เราเห็นชัดเจนก็คือจะทำให้ฟันของเราแน่นขึ้น ไม่โยกคลอน ทำให้เหงือกแข็งแรงสดใส ฟันก็จะขาวขึ้น
การทำ OP จะดีที่สุดก็คือตอนก่อนอาหารเช้า แต่ถ้าจะเร่งกระบวนการบำบัดให้เร็วขึ้น ก็ให้ทำ OP วันละ 3 เวลา ก่อนอาหารเช้า กลางวัน เย็น ตอนท้องว่าง

ข้อควรระวังคือ
1 อย่ากลืนน้ำมันที่ทำ OP ลงคอไป จะต้องบ้วนน้ำมันที่อมอยู่ออกทิ้งไป แต่ก็อย่าวิตกกังวลถ้าเกิดกลืน หรือ
มีน้ำมันไหลลงคอไปบ้าง ร่างกายก็จะขับออกมาทางอุจจาระเอง
2 ถ้าเกิดอาการแพ้ หรือไม่ถูกโรคกับน้ำมันที่ใช้อยู่ ก็ให้ลองเปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ดู
3 น้ำมันทานตะวัน และน้ำมันงา นั้นใช้ได้ผลพอๆ กัน น้ำมันอื่นๆ ยังไม่พบว่าใช้มากนัก และควรใช้น้ำมัน
สกัดเย็น (แต่ก่อนนั้น น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นยังไม่มีใช้ในอายุรเวท จะใช้น้ำมันงารักษาโรคเป็นส่วนใหญ่)

9
 salam
เห็นท่านกำลังพูดประโยชน์น้ำมะพร้าว ก็เลยอยากจะแนะนำ น้ำมันมะพร้าวกันบ้าง 
ก็คือการทำออลย์พูลลิ่ง  Oil pulling  ที่กำลังฮือฮามาก. สามารถรักษาโรคได้หลายอย่าง
ยังงัยลองศึกษา และลองใช้กันดู..

Dr. F. Karach, M.D., ได้เสนอรายงานต่อที่ประชุมสัมนาบัณฑิตย์ทางด้านวิทยาศาสตร์ ที่ประเทศ USSR ปี 2534-2535
การประชุมนั้นมีผู้เชี่ยวชาญในเรื่องเนื้องอก และแบคทีเรีย
ซึ่ง Dr.Karach ได้อธิบายถึงการบำบัดรักษาโรค ที่ยอดเยี่ยมไม่เหมือนใคร ด้วยวิธีง่ายๆ โดยใช้ น้ำมันสกัดเย็น หรือ หีบเย็น (สกัดน้ำมันออกมาโดยใช้ความร้อนต่ำ หรือไม่ใช้ความร้อนเลย)

ผลลัพธ์ของการบำบัดด้วยวิธีนี้ ทำให้ผู้คนตะลึง ประหลาดใจ เต็มไปด้วยความสงสัย ในรายงานของเขาเป็นอันมาก อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้มีการอธิบาย ซักถามกันถึงการรักษาด้วยน้ำมันสกัดเย็น มีการทดสอบ ทดลองใช้ ทดลองทำพิสูจน์หาความสมเหตุสมผลที่เกิดขึ้น ต่างก็ยิ่งประหลาดใจถึงผลที่ได้รับจากการรักษาอย่างสมบูรณ์ อีกทั้งยังไม่มีอันตรายใดๆด้วย เป็นการรักษาทางด้านชีววิทยาโดยแท้ ด้วยวิธีการง่ายๆ ที่มีประสิทธิภาพ ช่วยรักษาโรคได้มากมายหลายโรค
ในบางกรณี บางรายที่ไม่ต้องการรักษาโรคด้วยการผ่าตัดหรือการกินยา ก็ได้ใช้วิธีการนี้บำบัด ซึ่งก็เป็นผล อีกทั้งไม่เกิดผลข้างเคียงเหมือนการใช้ยาเคมี
 
 
กระบวนการบำบัด และผลที่ได้รับที่น่าตื่นเต้นตามทฤษฎีนี้ กลับแสนง่าย โดยเริ่มต้นที่ใส่น้ำมันสกัดเย็นเข้าไปในปาก (น้ำมันทานตะวัน น้ำมันงา หรือน้ำมันสกัดเย็นอื่น ไม่จำเป็นต้องกลั่นโดยวิธีธรรมชาติเสมอไป น้ำมันทานตะวันที่ซื้อจากซุปเปอร์มาเก็ตก็พอใช้ได้แล้ว)

กระบวนการบำบัดจะบรรลุผลสำเร็จด้วยระบบบำบัดของผู้นั้นเอง ในกรณีนี้อาจจะไปบำบัดเซลล์ เนื้อเยื่อ อวัยวะต่างๆ ในเวลาเดียวกัน ร่างกายเองก็จะขับสารพิษออกทิ้งไม่ให้รบกวนระบบต่างๆ ของร่างกาย
Dr.Karach กล่าวว่า คนเราส่วนใหญ่จะมีชีวิตอยู่แค่ครึ่งหนึ่งของชีวิตที่น่าจะเป็น ความจริงแล้วถ้าสุขภาพที่ดีจะมีอายุได้ถึง 140- 150 ปี


 
 

11
 fouet:

แบบทดสอบสมอง


เรามาทำแบบทดสอบกันเถอะ(ใครตอบถูกคงไอคิวสัก 250)

คุณต้องตอบคำถามนี้ ในทันทีที่อ่านจบห้ามใช้เวลา
และห้ามแอบดูคำตอบก่อน


มาลองพิสูจน์ดูว่าคุณฉลาดแค่ไหน
.*
* คณิตศาสตร์แสนซน

หมายเหตุ: กรุณาใช้สมองคิด อย่าทดหรือกดเครื่องคิดเลขล่ะ ^^'

ตั้งด้วย 1000 บวก 40 เข้าไป จากนั้นบวกด้วย 1000 อีกที
แล้วก็บวกด้วย 30 แล้วบวกด้วย 1000 แล้วบวก 20
จากนั้นบวก 1000 อีกที แล้วก็บวก 10 คำตอบคือ?



 boulay:                                                      ***** ไม่ทราบตั้งกระทู้ตรงนี้ถูกหรือเปล่า   ขออภัย ผู้ดูแล ***********

12

   การละหมาดญะมาอะฮฺที่สองหลังจากญะมาอะฮฺแรกได้ละหมาดเสร็จสิ้นไปแล้วสามารถแบ่งออกเป็น สาม กรณีคือ
   กรณีแรก: กรณีที่อุละมาอฺมีทัศนะที่พ้องกันว่าอนุญาตให้กระทำได้
   กรณีที่สอง: กรณีที่อุละมาอฺมีทัศนะพ้องกันว่าไม่อนุญาตให้กระทำได้
   กรณีที่สาม: กรณีที่อุละมาอฺมีทัศนะที่แตกต่างกันกันระหว่างอนุญาตกับมักรูหฺ

   กรณีแรก: กรณีที่อุละมาอฺมีทัศนะที่เห็นพ้องกันว่าอนุญาตให้กระทำได้
   นั่นคือกรณีที่มัสญิดไม่มีอิหม่ามประจำที่ถูกแต่งตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ ไม่ว่าจะถูกแต่งตั้งโดยองค์กรทางศาสนาหรือโดยความเห็นต้องกันของประชาชน หรือในกรณีมัสญิดที่สร้างขึ้นเพื่อรองรับหลายญะมาอะฮฺโดยเฉพาะ เช่น มัสญิดตามสถานีขนส่ง มัสญิดตามปั้มน้ำมัน และมัสญิดตามริมถนนที่อนุญาตให้มีการตั้งหลายญะมาอะฮฺได้เพื่อคนเดินทาง เป็นต้น
   ท่านอิหม่ามอัน-นะวะวีย์ได้กล่าวว่า:
   “เมื่อไม่มีอิหม่ามที่ถูกแต่งตั้งอย่างเป็นทางการแล้ว ดังนั้นไม่ถือว่าเป็นสิ่งที่มักรูหฺ (น่ารังเกียจ) ที่จะมีญะมาอะฮฺที่สอง หรือสาม หรือมากกว่านั้นด้วยมติที่เป็นเอกฉันท์ ” [อัลมัจญ์มูอฺ 4/119]

   กรณีที่สอง: กรณีที่อุละมาอฺมีทัศนะพ้องกันว่าไม่อนุญาตให้กระทำได้
   นั่นคือกรณีที่มีการละหมาดญะมาอะฮฺที่สองทั้ง ๆ ที่ญะมาอะฮฺแรกยังละหมาดไม่เสร็จ  อันเนื่องจากการละหมาดมากกว่าหนึ่งญะมาอะฮฺในคราเดียวกัน ถือเป็นการรบกวนระหว่างกัน และยังเป็นภาพลักษณ์ของความแตกแยกระหว่างมุสลิมด้วยกัน อีกทั้งการปฏิบัติดังกล่าวไม่เป็นที่ปรากฏในหมู่บรรดาสลัฟอีกด้วย
   หรือในกรณีที่มีการกำหนดอย่างชัดเจนว่าให้มีการละหมาดญะมาอะฮฺสองครั้งหรือมากกว่าในมัสญิดหนึ่ง ๆ หลังจากญะมาอะฮฺก่อนหน้านั้นละหมาดเสร็จแล้ว โดยไม่มีเหตุอุปสรรคอะไร กล่าวคือมีการแต่งตั้งอิหม่ามนำละหมาดมากกว่าหนึ่งคน โดยอิหม่ามคนแรกนำละหมาดญะมาอะฮฺแรก พอญะมาอะฮฺแรกเสร็จอิหม่ามคนที่สองก็นำละหมาดญะมาอะฮฺที่สอง
   ท่านอัซ-ซัรฺกะชียฺได้กล่าวว่า:
   “การละหมาดญะมาอะฮฺซ้ำ ในมัสญิดเดียวกันหลังอิหม่ามสองคนหรือมากกว่า ดังที่ปรากฏในปัจจุบันนี้ที่นครมักกะฮฺและญามิอฺดิมัชกฺ ถือเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยปรากฏในช่วงแรก ๆ ” [อิอฺลามุลมะสาญิด หน้า 366]
   
   กรณีที่สาม: กรณีที่อุละมาอฺมีทัศนะที่ขัดแย้งกันระหว่างอนุญาตกับมักรูหฺ
   คือกรณีที่มีการละหมาดญะมาอะฮฺที่สองหลังจากญะมาอะฮฺแรกละหมาดเสร็จแล้ว สืบเนื่องจากมีเหตุอุปสรรคที่ทำให้ละหมาดพร้อมกับละหมาดญะมาอะฮฺแรกไม่ทัน เช่น เนื่องจากการหลงลืม  หรือไม่รู้เวลาเข้าละหมาด เป็นต้น โดยไม่มีเจตนาเพื่อมาตั้งละหมาดญะมาอะฮฺที่สองแต่ประการใด

13
 salam

عن عائشة (رضي الله عنها) قالت : ((والذي ذهب بهِ ما تركهما حَتَّى لَقِيَ الله ، … ، وكان النبـي
 (r) يُصليهما ، ولا يُصليهما فـي الـمسجدِ مـخافةَ أنْ يُثقِلَ على أُمتهِ ، وكان يُحِبُّ ما يُخَفِّفُ عنهم))( صحيح البخاري رقم : (590)).
 
จากท่านอาอีชะ ท่านรซุล ไม่เคยละทิ้ง 2 รอกะอัตอัศรี แต่ท่านมิได้กระทำในมัสยิด กลัวว่า จะเป็นภาระกับอุมมะฮของท่าน

เหล่าศอหะบะฮ กระทำเยี่ยงอย่าง
..
1.
فقد صح عن عائشة (رضي الله عنها) أنـها قالت : ((قد كان عمر يصليهما ، وقد علم أنَّ رسول الله (r)كان يصليهما …
***سلسلة الأحاديث الصحيحة : (6/ 1013) ، * وفي الـمجلد السابع برقم : (3488) ***
2.
علي بن أبـي طالب (t) : عن عاصم بن ضمرة قال : ((كنا مع علي (t) فـي سفرٍ ، فصلى بنا العصر ركعتين ـ يعني قصراً ـ ثُمَّ دخل فسطاطه وأنا انظر فصلى ركعتين))
***سلسلة الأحاديث الصحيحة : (1/ 389 ـ 390 ) .***
3. ـ عائشة وأم سلمة أُمَّا الـمؤمنين (رضي الله عنهما).
4. ـ وعن طاوس قال : ((سُئِلَ ابن عمر عن الركعتين بعد العصر ؟ فرخص فـيهما)) ().
5 ـ الزبير بن عوام ، وأبو الدرداء ، وأبو أيوب الأنصاري ، وتَميم الداري ، وزيد بن خالد الـجهنـي ، وعبد الله بن الزبير ، وغيرهم

ส่วนบรรพชนที่กระทำเยี่ยงอย่างนี้ มีดังนี้
عروة بن الزبير ، وسعيد بن الـمسيب ، والـحسن البصري ، ومسروق ، والأسود ، والقاسم بن محمد بن أبـي بكر ، وشريح القاضي ، وطاوس ، وأبو بردة بن أبـي موسى الأشعري ، وأنس بن سيرين ، وأبو وائل ، وعمرو بن ميمون ، وأبو الشعثاء ، والأحنف بن قيس ، وغيرهم (16).
قال الإمام الألـبانـي : (هذا وقد روى ابن أبـي شيبة عن جماعة من السلف : أَنَّهم كانوا يصلون هاتين الركعتين بعد العصر ، منهم : أبو بردة بن أبـي موسى ، وأبو الشعثاء ، وعمرو بن ميمون ، والأسود بن يزيد ، وأبو وائل ، رواه بالـسنــد الصحــيح عنـهم ،
ومنهم محمد بن الـمنتشر ومسروق كما تقدم آنفاً

***(15) سلسلة الأحاديث الصحيحة : (1/390) ، وقد ناصر ابن حزم القول بـ (استحباب صلاة ركعتين بعد العصر قبل الإصفرار) ورد على مَنْ خالف هذا القول بشكلٍ مُفصل وقوي فـي بداية الـجزء الثالث من كتابـهِ ((الـمـحلـى)) ، فراجعـهُ  ـ غير مأمورٍ ـ .
(16) الـمـحلـى بالآثار : (3 / 13 ـ 14) .
(17) سلسلة الأحاديث الصحيحة : (6 /1012) ، * قلتُ : وانظر الـمجلد السابع : (7 / 527) ******


14
อยากทราบ หลักฐาน "ยาละตี ฟุยากาฟี ....." ที่อ่านกัน นั้นมีอยู่ในหนังสือใดบ้าง... พอดีน้องชายกำลังทำวิทยานิพนย์อยู่
อยากทราบจริง ๆ ผู้รู้ช่วยตอบหน่อย ..หาดูในสารบัญ ถาม-ตอบ ปัญหาศาสนา ก็ยังไม่มีใครถามเลย ..ช่วยหน่อยนะครับ ขอบคุณล่วงหน้าครับ.

15
อ้างถึง
ไม่แน่ ผมอาจจะเปลี่ยนเป็นซุนนี่เลย  เพราะ ผมก็ชอบที่จะอยู่กับความจริง  และสัจธรรม

ถึงเวลาแล้ว ที่ คุณ Mannan จะได้รับความสัจธรรม ขออัลลอฮทรงโปรดชี้ทางนำ..อามีน

หน้า: [1]