แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - Hakeem

หน้า: [1] 2 3 4
2
 salam


อ้างถึง
อ้างถึง
สรุปผลการวิจัย เรื่องตัครีจตัวบทหะดีษในหนังสือคุณค่าของอะมาลของเชคคุลหะดีษ (เมาลานา มูฮัมมัด ซะกะรียา)ได้ดังนี้
1. หะดีษทั้งหมดที่นำมาตัครีจมีจำนวน 211 หะดีษ แบ่งตามระดับต่าง ๆ ได้ดังนี้
หะดีษศอเหี้ยะ มีจำนวน 117 หะดีษ หรือ ร้อยละ 55.45
หะดีษหะสัน มีจำนวน 26 หะดีษ หรือ ร้อยละ 12.32
หะดีษฎออีฟ(ธรรมดา) มีจำนวน 51 หะดีษ หรือร้อยละ 24.17
หะดีษฎออีฟยิดดัน มีจำนวน 11 หะดีษ หรือร้อยละ 5.21
หะดีษเมาฎัวะ มีจำนวน 5 หะดีษ หรือร้อยละ 2.36 และ
ไม่พบระดับของหะดีษ จำนวน 1 หะดีษ หรือร้อยละ 0.47
หะดีษทั้งหมดมีรายงานในศอเหี้ยะห์บุคอรีย์หรือศอเหี้ยะห์มุสลิม จำนวน 61 หะดีษ หรือร้อยละ 28.91
มีบันทึกในหนังสือเล่มใดเล่มหนึ่งในหกเล่ม จำนวน 130 หะดีษ หรือร้อยละ 61.61
และในหนังสือนอกเหนือจากหกเล่มมีจำนวน 81 หะดีษ หรือร้อยละ 38.39
หะดีษทั้งหมดอยู่ในข่ายหะดีษมักบูลจำนวน 142 หะดีษ หรือร้อยละ 67.29
และอยู่ในข่ายมัรดูด จำนวน 68 หะดีษ หรือร้อยละ 32.22
2. หนังสือคุณค่าของอะมาล “فضائل اعمال” เป็นหนังสือแนว فضائل   (หนังสือรวบรวมคุณค่าและความประเสริฐของการปฏิบัติศาสนกิจ) หรือแนว “ترغيب” (หนังสือปลุกเร้าและกระตุ้นให้ผู้คนทำความดี) หนังสืออิสลามศึกษาในแนวดังกล่าวนี้มักจะไม่ปลอดจากการมีหะดีษฎออีฟ ฎออีฟยิดดันและหะดีษเมาฎัวะ สาเหตุเนื่องมาจากการใช้กฏเกณฑ์ของนักปราชญ์เรื่องการใช้หะดีษเป็นหลักฐานในเรื่อง فضائل   อย่างไม่รอบคอบและระมัดระวัง เมาลานา มูฮัมมัด ซะกะรียา ผู้แต่งหนังสือ เป็นนักปราชญ์คนหนึ่งที่เชี่ยวชาญหะดีษ แต่ถึงกระนั้นหนังสือของท่านก็ไม่ปลอดจากหะดีษประเภทเหล่านี้ แม้ว่าจะมีอยู่ในสัดส่วนที่น้อย
3. เมาลานา มูฮัมมัด ซะกะรียา ได้ให้ความสำคัญพอสมควรกับการอ้างอิงหะดีษและการระบุทัศนะของนักปราชญ์เกี่ยวกับระดับของหะดีษ แม้ว่าจะมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง โดยเฉพาะการอ้างอิงหะดีษจากหนังสือชั้นรอง(Secondary sources) และการใช้หนังสือหะดีษที่ไม่มีมาตรฐานและไม่ได้รับการยอมรับจากวงการหะดีษ และนี่อาจเป็นสาเหตุสำคัญสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พบหะดีษประเภทดังกล่าวในหนังสือ   والله اعلم

อ้างอิง : อับดุลเลาะ หนุ่มสุข และ อับดุลเลาะ การีนา “ตัครีจตัวบทหะดีษในหนังสือคุณค่าอะมาลของเชคคุลหะดีษ เมาลานามูฮัมมัด ซะกะรียา หน้า (3) – (4) พ.ศ. 2547



เป็นที่รู้กันว่า จำนวนหนังสือเจ้าของมุสุนัดทั้งหลายนั้น ล้วนรู้ดีในการที่พวกเขาเหล่านั้นได้ทำการรวบรวมฮาดิสที่มีหลายระดับในสุนันของท่านเหล่านั้นเล่มเดียวกัน

ทั้งที่เขาเหล่านั้นรู้ที่มาของระดับฮาดิสเป็นอย่างดี แต่อุลามาเหล่านี้ก็ยังคงมีการรวบรวมเก็บฮาดิสระดับต่างๆไว้

เช่น สุนันของอบูดาวูด  สุนันของอัตตัรมีซี สุนันของอิบนุมาญา  สนุนของอันนาซาอี สุนันของต็อบรอนี สุนันของอีม่ามอะหมัด   สุนันของอัดดัยลามีย์ ฯลฯ

ซึ่งเป็นที่รู้เช่นเดียวกันว่าในหนังสือรวบรวมฮาดิสของอิบนุกอยยิมเองก็มีทั้งฮาดิสและเรื่องเล่าที่มีทั้งซอเหียะ ฮาซัน ดออีฟและเมาดัวะ

และจากการบอกกล่าวของชาวคัมภีร์เช่นกรณี อีสรออีลอิลยาต ที่เกี่ยวกับอกีดะเพี้ยนๆมากมายที่เอาปะปนในความเชื่อของอัลอิสลาม



แต่ผมว่าหนังสือที่ท่านอิบนุกอยยิมที่ท่านรวมรวมเรื่องเล่าด้านหลักความศรัทธาที่เกียวพันกับอากีดะที่ว่าอัลลออฮ์มีรูปร่างนี้อันตรายมากกว่า หนังสือเล่มสีเขียวที่เกี่ยวกับการปฎิบัติคุณงามความดีนะครับ


และที่ดร.สรุปว่า

หะดีษศอเหี้ยะ มีจำนวน 117 หะดีษ หรือ ร้อยละ 55.45
หะดีษหะสัน มีจำนวน 26 หะดีษ หรือ ร้อยละ 12.32
หะดีษฎออีฟ(ธรรมดา) มีจำนวน 51 หะดีษ หรือร้อยละ 24.17
หะดีษฎออีฟยิดดัน มีจำนวน 11 หะดีษ หรือร้อยละ 5.21

แค่อยากรู้ว่าท่านใช้มาตรฐานหรือหลักการฮุกมฮาดิสเหล่านี้อย่างไรบ้าง  นี่คือสิ่งที่เราต้องรู้

ฮาดิสซอหิหลายฮาดิสที่เชคฯบางท่านซาอุยังถูกทำเป็นดออีฟก็มากแล้วนับประสาอะไรกับฮาดิสฮาซันหรือกอดีฟจะไม่กลายเป็นเมาดัวะ

ฉนั้นการที่จะมีอจ.บางท่านที่กล่าวว่าในหนังสือเล่มเขียที่ มีฮาดิสซอหิ ฮาซัน และดออีฟในเล่มเดียวกันเปรียบเหมือนน้ำเหล้าในแก้วที่เปรียบสเมือนนายิสต้องบเททิ้งทั้งหมดนั้นผมว่ามันแรงไป

เพราะหมายถึงว่า


เจ้าของสุนันทั้งหลายก็คงโดนแบบนี้เช่นกันถ้า




ดังนั้น การตรวจสอบของดร.อับดุลลอฮ์  หนุ่มสุขนั้น  ไม่ถือว่าเป็นมาตรฐานที่ถูกต้องซะทีเดียว  เพราะเราไม่สามารถรู้ว่า ท่านเอามาตรฐานการตรวจสอบของอุลามะท่านใดเป็นตัววัด

ของเชค อัลบานีย์ เชคบินบาส อิบนุกอยยิม อิบนุตัยมียะ  หรือ อีม่ามบุคคอรี มุสลิม หรือเจ้าของหนังสือสุนันต่างๆ

เมื่อเป็นเช่นนี้เนื้อหาในหนังสือเล่มเขียวนั้นถ้าเราจะเอาผลการสรุปของท่านดร.คนดังกล่าวนั้นผมไม่เห็นด้วย โดยเหตุผลที่ว่า ท่านพร้อมทั้งคุณวุฒิวัยวุฒิหรือความอิคลาสแล้วในการสรุปผลการตรวจสอบว่าถูกต้องจริงแล้วหรือ

วัสลาม

นี่คือสิ่งที่ผมว่าหลายๆคนอยากจะรู้

3
อ้างถึง
อิมามซายูตีย์ พูดไว้ว่าอย่างไร ในตำราเล่มไหนหรอครับ ช่วยให้บังคนนั้นบอกมาด้วย
[/b]

ใช่ตรงนี้หรือปล่าวครับ..ที่ต้องการ


بِسْمِ اللهِ الرَّحْمَنِ الرَّحِيْم

اَلْحَمْدُ للهِ رَبِّ الْعَالَمِيْنَ وَ الصَّلاَةُ وَالسَّلاَمُ عَلىَ سَيِّدِنَا مُحَمَّدٍ وَعَليَ آلِهِ وَصَحْبِهِ أَجْمَعِيْنَ ،،، وَبعْدُ ؛

ทำไมชอบอ่านในวันศุกร์หรือคืนวันศุกร์   เพราะท่านนบี  ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า "วันที่เลิศที่สุด  ที่ดวงอาทิตย์ขึ้นนั้น  คือวันศุกร์ ซึ่งเป็นวันนบอาดัมถูกสร้าง  ถูกนำเข้าสรวงสวรรค์และถูกนำออกจากสวรรค์"  รายงานโดยมุสลิม  และเป็นที่ทราบดีว่าวันศุกร์มีความประเสริญมากกว่าวันอื่น ๆ  ดังนั้นตอนกลางคืนของวันศุกร์ก็เช่นเดียวกัน  เพราะกลางคืนย่อมตามความประเสริฐของกลางวัน

อนึ่ง การเจาะจงวันหรือคืนในการทำความดีงามหนึ่ง ๆ นั้นเป็นสิ่งที่ศาสนาอนุญาตให้กระทำได้

ท่านอิบนุอุมัร ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุมา  ได้กล่าวว่า

‏كَانَ النَّبِيُّ ‏ ‏صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ‏ ‏يَأْتِي ‏ ‏مَسْجِدَ قُبَاءٍ ‏ ‏كُلَّ سَبْتٍ مَاشِيًا وَرَاكِبًا وَكَانَ ‏ ‏عَبْدُ اللَّهِ بْنُ عُمَرَ ‏ ‏رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُمَا ‏ ‏يَفْعَلُهُ ‏

"ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ได้มาที่มัสยิดกุบาอฺทุกวันเสาร์โดยการเดินและขี่พาหนะ  และอับดุลเลาะฮ์ อิบนุ อุมัร ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุมา ได้กระทำสิ่งดังกล่าว" รายงานโดยบุคอรี (1118)

ท่านอัลฮาฟิซฺ อิบนุ ฮะญัร ได้อธิบายฮะดีษนี้ไว้ในหนังสือ ฟัตฮุลบารีย์ของท่านความว่า

وَفِي هَذَا اَلْحَدِيثِ عَلَى اِخْتِلَاف طُرُقِهِ دَلَالَة عَلَى جَوَاز تَخْصِيص بَعْضِ اَلْأَيَّامِ بِبَعْضِ اَلْأَعْمَالِ اَلصَّالِحَةِ وَالْمُدَاوَمَةِ عَلَى ذَلِكَ

"และในฮะดีษนี้  ทั้งที่มีสายรายงานที่แตกต่างกัน  ก็บ่งชี้ถึงว่า  อนุญาตให้เจาะจงบางวันได้สำหรับการปฏิบัติอะมัลที่ดีงามและทำมันให้เป็นประจำต่อสิ่งดังกล่าวได้"

ดังนั้น การอ่านอัลกุรอาน เช่น ยาซีนย่อมเป็นสิ่งที่ดีงาม  ก็อนุญาตให้เจาะจงวันหรือคืนที่เราสะดวกจะกระทำได้

รายงานจากท่านอบูฮุร๊อยเราะฮ์  ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุ  ท่านนบี  ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  กล่าวว่า "ผู้ใดอ่านยาซีนในค่ำคืนใดคืนหนึ่ง  เขาจะถูกอภัยโทษให้  และผู้ใดที่อ่านซูเราะฮ์อัดดุคอนในคืนวันศุกร์  เขาจะถูกอภัยโทษให้"

ฮะดิษนี้ท่านอิบนุเญาซีย์  กล่าวว่า "ในฮะดิษนี้มี มุฮัมมัด บิน ซะการียา  ซึ่งเขากุฮะดิษ"  และท่านอิมามอัสสะยูฏีย์  โต้คัดค้านว่า  "ฮะดิษนี้มีสายรายงานมากมายจาก อบูฮุร๊อยเราะฮ์  ซึ่งสายรายงานบางส่วนนั้น  อยู่บนเงื่อนไขที่ซอฮิห์  ที่ท่านอัตติรมีซีย์ได้นำเสนอรายงาน  และท่านอัลบัยฮะกีย์ได้นำเสนอรายงานไว้ใน  หนังสือชะอฺบุนอีหม่านไว้หลายสายรายงานด้วยกัน"  (ดู หนังสือ อันนุกัตอัลบะดีอาต หน้า 58 - 59 ของท่านอิมามอัสสะยูฏีย์)

ท่านอิมามชาฟีอีย์(ร.ฏ.) ได้กล่าวไว้ในหนังสืออัลอุม ว่า  "ได้รับทราบถึงเราว่า แท้จริงดุอาอ์จะถูกตอบรับ(เป็นพิเศษ) ในห้าคืน คือ คืนวันศุกร์ คืนอีดอัฏฮา คืนอีดฟิตร์ คืนแรกของเดือนระญับ และคืนนิสฟูชะอฺบาน" ดู 2 /264

เป็นที่ทราบกันดีว่า  ยาซีนนั้น  พี่น้องจะถนัดอ่านกันมาก  และเป็นซูเราะฮ์ไม่ยาวมากนัก  แต่เราก็จะพบว่าพี่น้องที่อ่านยาซีนไม่ได้นั้น  ผู้รู้จะแนะนำให้อ่าน  กุลฮุวัลลอฮ์  ทดแทน  เพื่อเป็นความสะดวกแก่เขาในการทำอิบาดะฮ์  

ท่านอิบนุอับบาสรายงานว่า  ท่านนบี  ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า "หรือว่าคนใดจากพวกท่านไม่มีความสามารถอ่านเศษหนึ่งส่วนสามของอัลกุรอานในค่ำคืนหนึ่ง?  บรรดาซอฮาบะฮ์กล่าวถามว่า  เขาจะอ่านเศษหนึ่งส่วนสามจากอัลกุรอานได้อย่างไร?  ท่านนบี  ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า "กุลฮุวัลลอฮุอะฮัด" เท่ากับเศษหนึ่งส่วนสามของอัลกุรอาน" รายงานโดยมุสลิม

ส่วนซูเราะฮ์อัลกะฮ์ฟีนั้น  เป็นซูเราะฮ์ที่ยาว  คนเอาวามส่วนมากอ่านไม่ค่อยชำนาญ  แต่สำหรับผู้ที่อ่านอัลกุรอานได้ถูกต้องและมีความชำนาญ  ก็สมควรอย่างยิ่งที่จะอ่านซูเราะฮ์ อัลกะฮ์ฟีในวันศุกร์ เพราะมีฮะดิษซอฮิห์ได้ระบุไว้ว่า

"ผู้ใดที่อ่านซูเราะฮ์อัลกะฮ์ฟีในวันศุกร์  รัศมีจะแผ่คลุมแก่เขาในระหว่างสองวันศุกร์"  รายงานโดยติรมีซีย์  ฮะดิษซอฮิห์

ดังนั้น  การอ่านซูเราะฮ์ยาซีนกับซูเราะฮ์อัลกะฮ์ฟีย์  มิใช่บ่งชี้ว่าอ่านซูเราะฮ์ยาซีนวันศุกร์เป็นบิดอะฮ์ลุ่มหลงตกนรกส่วนซูเราะฮ์กะฮ์ฟีย์นั้นเป็นซุนนะฮ์โดยห้ามอ่านซูเราะฮ์อื่น  เพราะการอ่านซูเราะฮ์ยาซีนและอัลกะฮ์ฟีล้วนมีหลักซุนนะฮ์มารับรอง  แต่ทว่าเป็นความแตกต่างในเรื่องของความดีเลิศ  ดังนั้น  หากพิจารณาถึงในแง่การอ่านอัลกุรอาน  แน่นอนว่าการอ่านซูเราะฮ์กะฮ์ฟีในวันศุกร์ย่อมดีเลิศกว่าการอ่านยาซีน  แต่หากคนเอาวามทั่วไปอ่านกะฮ์ฟีไม่ได้หรือไม่ค่อยชำนาญ  แน่นอนว่า  การอ่านซูเราะฮ์ยาซีนย่อมดีเลิศสำหรับตัวเขายิ่งกว่าการไม่ได้อ่านอัลกุรอานเลย      

ส่วนเรื่องวิญญาณของญาติ ๆ มาวนเวียนเพื่อมาดูแลความทุกข์สุขของญาติ ๆ พี่น้องที่มีชีวิตอยู่นั้น   ไม่พบหลักฐานแน่ชัด  แต่การอ่านอัลกุรอานและซิกรุลลอฮ์แล้วขอดุอาอ์ให้แก่มัยยิดนั้น  ให้กระทำได้  โดยไม่ได้วางเงื่อนไขว่าต้องทำวันศุกร์หรือไม่ใช่วันอื่น ๆ จากวันศุกร์  แต่หากจะทำวันศุกร์ก็ไม่ผิดอันใด

ท่านอิมามมาลิก บิน อะนัส กล่าวว่า "ได้ทราบมาถึงฉันว่า แท้จริงวิญญาณของบรรดามุอ์มินนั้น จะถูกปล่อย(ให้เป็นอิสระ) ซึ่งวิญญาณจะไปสถานที่ใดก็ได้ตามต้องการ" ซึ่งอิมามอัศศะยูฏีย์ ได้กล่าวบันทึกไว้ในหนังสือ ฟัตวาของท่าน ที่ชื่อ อัลหาวีย์ ลิลฟะตาวา และหนังสือ อัรรั๊วะห์ ของท่านอิบนุก๊อยยิม
ท่านอิมามชาฟีอีย์(ร.ฏ.) ได้กล่าวไว้ในหนังสืออัลอุม ว่า  "ได้รับทราบถึงเราว่า แท้จริงดุอาอ์จะถูกตอบรับ(เป็นพิเศษ) ในห้าคืน คือ คืนวันศุกร์ คืนอีดอัฏฮา คืนอีดฟิตร์ คืนแรกของเดือนระญับ และคืนนิสฟูชะอฺบาน" ดู 2 /264

ท่านอิมาม อันนะวาวีย์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ เราเฏาะฮ์ อัตตอลิบีน ว่า  "ได้รับทราบถึงเราว่า แท้จริงดุอาอ์จะถูกตอบรับ(เป็นพิเศษ) ในห้าคืน คือ คืนวันศุกร์ คืออีดอัฏฮา คืนอีดฟิตร์ คือแรกของเดือนระญับ และคืนนิสฟูชะอฺบาน และและอิมามชาฟิอีย์(ร.ฏ.) กล่าวว่า "ข้าพเจ้ารัก(ที่จะให้กระทำ)กับทุกสิ่งที่ข้าพเจ้าได้รายงานเกี่ยวกับบรรดาคืนเหล่านี้ โดยที่ไม่ใช่เป็นฟัรดู" ดู 2/75

การได้รับผลบุญ ไม่ใช่หมายถึงวิญญาณของพ่อแม่ต้องเดินทางกลับมาเยื่ยมเพื่อมารับผล การที่บิดามารดาผู้ล่วงลับไปแล้วหรือพี่น้องมุสลิมที่เสียชีวิตไปแล้วนั้น พวกเขาจะได้รับผลบุญที่คนเป็นได้มอบ(ฮะดียะอ์)ให้  โดยที่คนตายอยู่ในกุบูร   และบรรดาผู้ล่วงลับไปแล้ว ก็สามารถรับรู้สถานะภาพและพฤติกรรมของคนเป็นได้   โดยสิ่งดังกล่าวจะถูกนำเสนอให้พวกเขาได้รับทราบ

ท่านอิมาม อัสศะยูฏีย์ (ร่อฮิมะฮุลลอฮ์) ได้กล่าวไว้ในหนังสือฟัตวาของท่านว่า

"ถูกรายงานจากมุฮัมมัด บิน วาเซี๊ยะอ์ เขากล่าวว่า ได้ทราบถึงฉันว่า แท้จริงบรรดาผู้ตายสามารถรู้ได้ถึงบรรดาผู้ที่ไปเยี่ยมเยือน(กุบูร)ของพวกเขาในวันศุกร์ และวันก่อนจากนั้น(คืนวันศุกร์ค่ำลง)และวันหลังจากนั้น(คืนวันเสาร์ก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น) , ได้รายงานจากท่านอัฏฏ่อห์ฮาก ซึ่งเขากล่าวว่า ผู้ใดที่เยี่ยมกุบูรใน(คืน)วันเสาร์ก่อนที่ดวงอาทิตย์จะขึ้น ผู้ตายก็จะรู้ถึงการเยี่ยมเยือนของเขา จึงถูกตั้งคำถามขึ้นว่า ดังกล่าวมันเป็นอย่างไรหรือ? ท่านอัฏฏ่อห์ฮากกล่าวว่า เพราะมันอยู่ในตำแหน่งของวันศุกร์"

ท่านอิมามอะห์มัดได้รายงานไว้ในหนังสือมุสนัดของท่าน จากท่านอะนัสบินมาลิก ว่า ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า "บรรดาอะมัลของพวกท่าน จะถูกนำเสนอแก่บรรดาเครือญาติของพวกท่าน และพวกพร้องของพวกท่านจากบรรดาผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ดังนั้น หากมันเป็นความดีงาม พวกเขาจะปลื้มปิติยินดี และหากไม่เช่นนั้น พวกเขาก็จะกล่าวว่า โอ้ อัลเลาะฮ์ พระองค์โปรดอย่าให้พวกเขาตาย จนกระทั่งพระองค์ทรงชี้นำพวกเขา เสมือนกับที่พระองค์ทรงชี้นำต่อพวกเราด้วยเถิด" (หะดิษนี้ซอฮิห์ - แม้ว่าอัลบานีย์(ร.ฮ.)เองเคยฮุกุมว่าหะดิษนี้ฏออีฟ แต่เขาได้ยกเลิกทัศนะดังกล่าวแล้ว ดู อัซซัลซิละฮ์ อัซซ่อฮิฮะห์ ของ อัลบานีย์ เล่ม 6 หน้า 605)

ท่านอัตติรมีซีย์ อัลหะกีม ได้กล่าวรายงานไว้ใหนหนังสือ นะวาดิร อัลอุซูล จากหะดิษของอับดุลฆ่อฟูร บิน อับดุลอะซีซ จากบิดาของเขา จากปู่ของเขา ว่า ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า "บรรดาอะมัลจะถูกนำเสนอต่ออัลเลาะฮ์ในวันจันทร์และวันพฤหัสบดีและบรรดาอะมัลจะถูกนำเสนอแก่บรรดานบีและบรรดาบิดามารดา ในวันศุกร์ ดังนั้น พวกเขาจะมีความปิติยินดี ด้วยบรรดาความดีงามต่าง ๆ ของที่มีชีวิตอยู่  ใบหน้าของพวกเขาจะมีสีขาวและเปล่งประกาย  ดังนั้น พวกท่านจงยำเกรงต่ออัลเลาะฮ์ และพวกท่านจงอย่าสร้างความเดือนร้อนกับบรรดาผู้ตาย" ดู หนังสือ อัลฮาวีย์ ลิลฟาตาวา ของท่านอิมามอัศศะยูฏีย์ เล่ม 2 หน้า 206 ดารุลฟิกร์

จากสิ่งดังกล่าว จึงไม่ใช่เป็นเรื่องแปลกที่พี่น้องมุสลิมจะอิจญฺฮาดขยันมั่นเพียรกระทำอิบาดะฮ์และซิกรุลลอฮ์ต่าง ๆ แล้วมอบฮะดียะฮ์ผลบุญแก่ผุ้ล่วงลับไปแล้วในวันศุกร์และอื่นจากวันศุกร์

อาจจะมีบางคนกล่าวว่า "เวลาทานข้าวคืนวันศุกร์ อย่าเอามือไปแตะข้าวในหม้อ อย่าตักข้าวจนเกลี้ยงหม้อ เพราะวิญญาณของญาติๆจะมาทานด้วย และห้ามปิดหม้อให้มิดชิด?"  แท้จริง  ความเชื่อเช่นนี้  ไม่มีที่มาจากหลักฐานของศาสนา  เราต้องช่วยกันตักเตือนให้คนชราอาวุโสที่ที่มีความเชื่อเช่นนี้อยู่ให้ทราบว่า  ความเชื่อนี้ไม่มีหลักการของศาสนา  เพราะคนเอาวามทั่วไปในยุคก่อนนั้น  ไม่ค่อยมีความรู้มากนัก  เราต้องชี้แจงแบบนิ่มนวล  ค่อยเป็นค่อยไป  และมีฮิกมะฮ์

وَاللهُ سُبْحَانَهُ وَتَعَاليَ أعْلىَ وَأَعْلَمُ
  
...

การอ่านยาซีนในคืนวันศุกร์และความเชื่อ

ท่านอิมาม อัสศะยูฏีย์ (ร่อฮิมะฮุลลอฮ์)  ได้กล่าวไว้ในหนังสือฟัตวาของท่านว่า

"ถูกรายงานจากมุฮัมมัด บิน วาเซี๊ยะอ์  เขากล่าวว่า  ได้ทราบถึงฉันว่า  แท้จริงบรรดาผู้ตายสามารถรู้ได้ถึงบรรดาผู้ที่ไปเยี่ยมเยือน(กุบูร)ของพวกเขาในวันศุกร์ และวันก่อนจากนั้น(คืนวันศุกร์ค่ำลง)และวันหลังจากนั้น(คืนวันเสาร์ก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น) , ได้รายงานจากท่านอัฏฏ่อห์ฮาก ซึ่งเขากล่าวว่า  ผู้ใดที่เยี่ยมกุบูรใน(คืน)วันเสาร์ก่อนที่ดวงอาทิตย์จะขึ้น  ผู้ตายก็จะรู้ถึงการเยี่ยมเยือนของเขา  จึงถูกตั้งคำถามขึ้นว่า  ดังกล่าวมันเป็นอย่างไรหรือ? ท่านอัฏฏ่อห์ฮากกล่าวว่า เพราะมันอยู่ในตำแหน่งของวันศุกร์"ท่านอิมามอะห์มัดได้รายงานไว้ในหนังสือมุสนัดของท่าน จากท่านอะนัสบินมาลิก ว่า ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า "บรรดาอะมัลของพวกท่าน  จะถูกนำเสนอแก่บรรดาเครือญาติของพวกท่าน  และพวกพร้องของพวกท่านจากบรรดาผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว  ดังนั้น  หากมันเป็นความดีงาม พวกเขาจะปลื้มปิติยินดี  และหากไม่เช่นนั้น  พวกเขาก็จะกล่าวว่า  โอ้ อัลเลาะฮ์  พระองค์โปรดอย่าให้พวกเขาตาย  จนกระทั่งพระองค์ทรงชี้นำพวกเขา เสมือนกับที่พระองค์ทรงชี้นำต่อพวกเราด้วยเถิด" (หะดิษนี้ซอฮิห์ - แม้ว่าอัลบานีย์(ร.ฮ.)เองเคยฮุกุมว่าหะดิษนี้ฏออีฟ  แต่เขาได้ยกเลิกทัศนะดังกล่าวแล้ว  ดู อัซซัลซิละฮ์ อัซซ่อฮิฮะห์ ของ อัลบานีย์ เล่ม 6 หน้า 605)

ท่านอัตติรมีซีย์ อัลหะกีม  ได้กล่าวรายงานไว้ใหนหนังสือ นะวาดิร อัลอุซูล  จากหะดิษของอับดุลฆ่อฟูร บิน อับดุลอะซีซ  จากบิดาของเขา  จากปู่ของเขา ว่า ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า "บรรดาอะมัลจะถูกนำเสนอต่ออัลเลาะฮ์ในวันจันทร์และวันพฤหัสบดีและบรรดาอะมัลจะถูกนำเสนอแก่บรรดานบี บรรดาบิดามารดา ในวันศุกร์  ดังนั้น พวกเขาจะมีความปิติยินดี ด้วยบรรดาความดีงามต่าง ๆ ของพวกเขา  ใบหน้าของพวกเขาจะมีสีขาวและเปล่งประกาย ดังนั้น พวกท่านจงยำเกรงต่ออัลเลาะฮ์ และพวกท่านจงอย่าสร้างความเดือนร้อนกับบรรดาผู้ตาย"  ดู หนังสือ อัลฮาวีย์ ลิลฟาตาวา ของท่านอิมามอัศศะยูฏีย์  เล่ม 2 หน้า 206 ดารุลฟิกร์

จากสิ่งดังกล่าว  จึงไม่ใช่เป็นเรื่องแปลกที่พี่น้องมุสลิมจะอิจญฺฮาดขยันมั่นเพียรกระทำอิบาดะฮ์และซิกรุลลอฮ์ต่าง ๆ แล้วมอบฮะดียะฮ์ผลบุญแก่ผุ้ล่วงลับไปแล้วในวันศุกร์และอื่นจากวันศุกร์

4
فثم وجه الله إن الله واسع عليم} ففهم منه أن للمسلم أن يتجه في صلاته إلى أي جهة شاء، كما يدل على ذلك ظاهر اللفظ. و لكنه سمع أن الأئمة الأربعة مجمعون على ضرورة اتجاهه إلى الكعبة، و علم أن لهم على ذلك أدلة و لكنه لم يطلع عليها. فماذا يفعل إذا قام إلى الصلاة، أيتبع قناعته من الدليل الذي توفر لديه أم يتبع الأئمة الذين أجمعوا على خلاف ما فهم؟

ฉันกล่าวว่า : ชายหนุ่มคนหนึ่งเพิ่งเข้ารับศาสนาใหม่  ซึ่งเขาไม่มีส่วนใด ๆ จากการเรียนรู้อิสลามเลย  แล้วเขาก็อ่านคำตรัสของอัลเลาะฮ์ตะอาลา  ความว่า  "และ(ทั่วทั้ง)ทิศตะวันออกและทางทิศตะวันตกล้วนเป็นสิทธิ์ของอัลเลาะฮ์  ดังนั้นไม่ว่าเจ้าจะหันไปทางใดก็ตาม  ณ  ที่นั่น  ย่อมเป็นทิศ(ที่)อัลเลาะฮ์(ให้หันไป)  แท้จริงอัลเลาะฮ์ทรงไพศาลและทรงรอบรู้ยิ่ง" อัลบะกอเราะฮ์ : 115  ดังนั้น  สิ่งที่เข้าใจได้จากคำตรัสของพระองค์ก็คือ  อนุญาตให้มุสลิมทำการหันไปทางทิศใดก็ได้ตามที่เขาต้องการในการละหมาดของเขา  เหมือนดั่งความหมายผิวเผินของถ้อยคำได้บ่งชี้ไว้  แต่ทว่าเขาได้ยินบรรดาอิมามทั้งสี่ได้ลงมติว่าจำเป็นผู้ละหมาดต้องหันไปทางกะบะฮ์  และเขาก็รู้ดีว่าบรรดาอิมามทั้งสี่นั้นก็มีหลักฐานยืนยันในสิ่งดังกล่าว  แต่ทว่าเขาไม่เคยไปดูหลักฐานเหล่านั้นเลย  ดังนั้น  จะให้เขาทำอะไรหรือ  เมื่อเขาได้ทำการละหมาด  จะให้เขาตามความพอใจของตนเองจากที่หลักฐานที่เขาได้รับหรือว่าตามบรรดาอิมามที่มีมติค้านกับสิ่งที่เขาได้เข้าใจ?

- قال: بل يتبع قناعته...!!

เขาตอบว่า : ให้เขาตามความพอใจของตนเอง!!

-قلت: و يصلي إلى جهة الشرق مثلا، و تكون صلاته صحيحة؟!.

ฉันกล่าวว่า : เขาได้ทำการละหมาดโดยหันหน้าไปทางทิศตะวันออก  เป็นต้น  และการละหมาดของเขาจะใช้ได้หรือ?!

- قال: نعم، إذ هو مكلف بإتباع قناعته الذاتية!.

เขาตอบว่า : ใช้ได้  เนื่องจากเขาถูกบัญญัติใช้ให้ตามความพอใจของตนเอง(ไม่ใช่คนอื่น)

-قلت: فهب أن قناعته الذاتية أوحت إليه أن لا حرج عليه في أن يزني بحليلة جاره و أن يملأ جوفه خمرا و أن يسلب أموال الناس بدون حق، أفيحل الله له ذلك كله بفضل (قناعته الذاتية)؟!

ฉันกล่าวว่า : ดังนั้น ท่านจงใคร่ครวญเถิดว่า  ความพอใจส่วนตัวของเขานั้น  อาจชี้นำไปเขาทราบว่า  ไม่เป็นบาปบนเขาที่จะทำการซินาภรรยาเพื่อนบ้านของเขา  และไม่บาปที่เขาจะทำให้สุราเต็มท้องของเขา และไม่เป็นบาปที่เขาจะทำการปล้นทรัพย์สินของผู้คนโดยมิชอบ  ฉะนั้น  อัลเลาะฮ์ได้ทรงอนุมัติให้แก่เขากับสิ่งดังกล่าวทั้งหมดด้วยความประเสริฐของความพึงพอใจส่วนตนกระนั้นหรือ?

- و سكت الرجل قليلا ثم قال: على كل، هذه الصورة التي تسألني عنها صورة وهمية لا تتحق.

ชายคนนั้นหยุดนิ่งครู่หนึ่ง  แล้วกล่าวว่า  ทุก ๆ รูปแบบที่ท่านได้ถามฉันนี้  เป็นรูปแบบที่คลุมเครือมิได้เกิดขึ้นจริง

-قلت: هي ليست وهمية، بل ما أكثر ما يتحقق مثلها و أغرب منها. شاب لا علم له بالإسلام و كتابه و سنته، و سمع عرضا أو قرأ صدفة هذه الآية، فعلم منها ما يعلم كل عربي ينظر إلى ظاهر اللفظ، أن لا حرج في أن يتجه المصلي إلى أي جهة شاء، رغم ما يراه من اتجاه الناس إلى الكعبة دون سواها..أمر طبيعي التصور و الوقوع، ما دام في المسلمين من يجهل كل شيء عن الإسلام. و على كل فقد حكمت على هذه الصورة (وهمية كانت أو حقيقة) بحكم غير وهمي، و اعتبرت القناعة الذاتية هي المحكمة على كل حال، و هذا يناقض تقسيمك للناس إلى ثلاث فئات مقلدين و متبعين و مجتهدين.

ฉันกล่าวว่า : มันมิใช่ความรูปแบบที่คลุมเครือ  แต่ส่วนมากแล้วเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง  และเป็นการที่แปลกอย่างยิ่ง  ก็คือ  ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ไม่มีความรู้ใด ๆ เกี่ยวกับอิสลาม  กิตาบุลลอฮ์  และซุนนะฮ์  และเขาก็ได้ยินการนำเสนอ  หรือได้เจอโดยบังเอิญ  แล้วเขาก็รู้จากอายะฮ์นั้นเหมือนกับคนอาหรับทั่วไปรู้กันถึงความหมายผิวเผิน(จากอายะฮ์ดังกล่าวนั้น)ว่า  ไม่เป็นบาปในการที่ผู้ละหมาดทำการหันไปยังทิศใดก็ได้ตามที่เขาต้องการ  ทั้งที่เขาได้เห็นผู้คนทำการหันไปยังกะบะฮ์ก็ตามที  ซึ่ง(ดังกล่าว)เป็นสิ่งธรรมชาติที่สามารถจินตนาการได้และเกิดขึ้นได้ตราบใดที่ในบรรดามุสลิมีนนั้นยังมีผุ้ที่ไม่รู้หลักการใด ๆ ของอิสลาม

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม  ท่านได้ทำการฮุกุ่มรูปแบบนี้ (ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบที่คลุมเครือหรือเกิดขึ้นจริงก็ตาม)ด้วยฮุกุ่มที่ไม่คลุมเครือ (คือชายคนนี้ได้ฮุกุ่มว่าละหมาดหันไปทางใดก็ได้ดังที่นำเสนอไปแล้วข้างต้น) และท่านพิจารณาว่าความพอใจส่วนตัวนั้น  คือ  ตัวตัดสิน  ในทุก ๆ สภาพการณ์  และการตัดสินของท่านนี้  มันไปค้านกับการที่ท่านได้แบ่งมนุษย์ออกเป็น 3 จำพวก  คือ พวกที่ตักลีดอุลามาอ์โดยมิรู้หลักฐาน , พวกที่ตามอุลามาอ์โดยรู้หลักฐานและวิจัยได้ , ผู้ที่วิเคราะห์วินิจฉัยหลักฐานได้(มุจญ์ตะฮิด) 

0000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ได้อ่านบทความจากบังที่ศึกษาด้านนี้แล้วก็สบายใจครับว่า ผมตักลีดไม่ผิดแน่ เพราะสลัฟก็มีมัสหับก่อนหน้าเราแล้วนิ

5
ท่านอิมาม วะลียุลลอฮ์ อัดดิฮ์ลาวีย์ ร่อฮิมะฮุลลอฮ์ ท่านได้กล่าวว่า

إِنَّ هَذِهِ الْمَذَاهِبَ الأَرْبَعَةَ الْمُدَوَّنَةَ الْمُحَرَّرَةَ قَدِ إجْمَعَتِ الأُمَّةُ أَوْ مَنْ يُعْتَدُّ بِهِ مِنْهَا عَلَى جَوَازِ تَقْلِيْدِهَا إِلَى يَوْمِنَا هَذَا ، وَفِىْ ذَلِكَ مِنَ الْمَصَالِحِ ماَلَا يَخْفَى ، لَا سَيَّمَا فِىْ هَذِهِ الأَيَّامِ الَّتِىْ قَصُرَتْ فِيْهَا الْهِمَمُ جَداً وَأَشْرَبَتِ النُّفُوْسُ الْهَوَى وَأَعْجَبَ كُلُّ ذِىْ رَأْىٍ بِرَأْيِهِ

ความว่า " แท้จริง บรรดามัซฮับทั้งสี่ที่ได้ถูกบันทึกหลักการไว้เรียบร้อยแล้วนั้น ประชาชาติ อิสลามได้ลงมติหรือผู้ที่ถูกนับการลงมติของเขา ได้มีมติเห็นพร้องว่า อนุญาติให้ทำการตักลีดตามบรรดามัซฮับทั้งสี่ได้ จนกระทั้งถึงวันของเรานี้ และในสิ่งดังกล่าว เป็นการรักษาไว้ซึ่งประโยชน์ อย่างชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในบรรดายุคสมัยนี้ ซึ่งบรรดาปณิธานความุ่งมั่นได้ถดถอยลงไปอย่างมาก และบรรดาจิตใจได้ดื่มด่ำกับอารมณ์ และทุก ๆ ผู้มีความเห็น ต่างก็อวดว่าความเห็นของเขาดี " ดู หนังสือ อัลอันซอฟ ของอิมามอัดดะฮฺละวีย์ หน้า 53 และหนังสือ อัลหุจญฺตุลบาลิเฆาะฮฺ ของอิมามอัดดะฮฺละวีย์ เล่ม 1 หน้า 123 ตีพิมพ์ที่ อัลค๊อยรียะฮ์

ผมมั่นใจในการตามมัสหับตรงนี้ครับ..เพราะเขานั้นเป็นสลัฟที่ท่านนบีรับรองความรู้ของพวกเขา แต่วาฮาบีนั้นท่านนบีไม่ได้กล่าวรับรองไว้เลยนิ..ผมเลยเตะฉิ่งมานี้ครับบัง  อิๆๆ mycool:

6

           
อ้างถึง
     แล้วถ้าเป็นการแสวงหาหลักฐาน แต่ตามหลักฐานเดียว โดยที่ไม่สนใจหลักฐานอื่น ซ้ำยังโจมตีเสียๆ หายๆ ต่อหลักฐานในทัศนะอื่น, คุณสับสนครับ ไม่ทราบว่าเขาเรียกว่าเป็นการ "อิตติบาอฺ" (หรือเจริญรอยตามผู้นำเสนอหลักฐานนั้น) หรือเป็นการ "ตักลีด" (ตามแบบหลับหูหลับตา) ครับ?


=ชัดเจนคับบัง=ตอบได้สุดยอดเลย ผมว่าบังสับสนน่าจะย้ายมัสหับวาฮาบีมอยุ่มัสหับชาฟีอีเสียเลยดีกว่าครับเพราะจะได้เป็นเพื่อนกับพวกเรา ผมเองเคยเป็นวาฮาบีเงียบแต่พอมาศึกษาที่นี้ โฮความรู้เพียบเลยนิคับ happy2:

7
 salam    ไอ้กระผมขอแนะสั่งซื้อโดยตรงดีกว่าครับ   แบบ พงก. นะครับ  รับรองว่าแน่นอนและราคาถูกด้วย  มีเป็นโกดังเลยครับ smile:

8
ถึงคุณมุมีน   ไอ้กระผม อยากให้คุณได้  อ่านสาระน่ารู้ข้างล่างเรื่อง  หะดีษ  สักนิดครับ

ความหมายทางวิชาการ

หะดีษ คือ คำพูด  การกระทำ การยอมรับ และคุณลักษณะ ตลอดจนชีวประวัติของท่านนบีมุฮัมหมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวัสลัม)

แต่ถ้าคุณจะเอา แค่ความหมายข้างบน(ซึ่งข้างบนนั้นมันก็คือคำจำกัดความกว้างๆที่บรรดผู้รู้ทางฮาดิเขาให้มาเช่นกัน)  ฉนั้นเราจะปฏิเสธสิ่งเหล่านี้จากผู้รู้ไม่ได้เช่นกัน
เพราะที่กล่าวมานั้นท่านนบีก็ไม่ได้บอกถุงความหมายคำว่าหะดีษเลย  แต่อุลามะไงที่ตีกรอบคำๆนี้ไว้ ไม่งั้นจะไม่รู้เลยว่าอะไรคือความหมายของมัน

แต่ข้างล่างคือ คำอธิบายจากอุลามะที่ชื่อว่า

          อิบนุหะญัร อัล-อัสเกาะลานีย์ให้นิยามของหะดีษว่า ?ทุกๆสิ่งที่พาดพิงถึงท่านนบี(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวัสลัม)?

 คำที่มีความหมายใกล้เคียงกับหะดีษ

1.    อัซซุนนะฮฺ   السنة       

2.    อะษัร  أثر       

3.    เคาะบัร  خبر

 อัซซุนนะฮฺ  السنة  เดิมนั้นแปลว่า แนวทาง หรือ แบบอย่าง  ส่วนความหมายทางวิชาการนั้นมีหลายนิยาม

·  นักปราชญ์วิชาหะดีษและปราชญ์อุศูลุลฟิกฮ์ให้ความหมายอัซซุนนะฮฺเช่นเดียวกับคำว่าหะดีษ

·  นักปราชญ์วิชาฟิกฮฺให้ความหมายอัซซุนนะฮฺว่า สิ่งที่มีบัญญัติพึ่งกระทำ หากละเว้นไม่กระทำก็ไม่มีบทลงโทษใดๆ ซึ่งตรงข้ามกับคำว่าวาญิบ(จำเป็น)หรือฟัรฎู(บังคับต้องกระทำ)

·  นักปราชญ์ทั่วไปใช้คำว่า อัซซุนนะฮฺในบางครั้งหมายถึง สิ่งตรงข้ามกับคำว่าบิดอะฮฺ (อุตริกรรม)


2. อะษัร  أثر  ความหมายเดิมคือ ร่องรอย เครื่องหมาย หรือสิ่งที่หลงเหลือ
·  นักปราชญ์วิชาหะดีษให้ความหมายอะษัรเช่นเดียวกับคำว่าหะดีษ

·  นักปราชญ์บางท่านให้ความหมายว่า คำพูดหรือการกระทำของเศาะหาบะฮฺและตาบิอีน

3.  เคาะบัร خبر  ความหมายเดิมคือ ข่าว เรื่องราว

·  นักปราชญ์วิชาหะดีษให้ความหมายเคาะบัรเช่นเดียวกับคำว่าหะดีษ

·  นักปราชญ์บางท่านให้ความหมายว่า หะดีษคือสิ่งที่มาจากท่านรอซูล  ส่วนเคาะบัรคือสิ่งที่มาจากผู้อื่น

 *ปราชญ์ บางท่านก็จำแนกคำที่กล่าวมาข้างต้นดังนี้

·  หะดีษ  حديث คือสิ่งที่มาจากท่านรอซูล

·  อะษัรأثر  คือสิ่งที่มาจากเศาะหาบะฮฺ ตาบีอีนและผู้ที่มาหลังจากพวกเขา

·  ส่วนเคาะบัร  خبر  คือ ชีวประวัติของบรรดากษัตริย์สมัยโบราณและบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์

 ฉนั้นไม่ว่าคำว่า

 อัซซุนนะฮฺ   السنة       

 อะษัร  أثر       

เคาะบัร  خبر


ที่กล่าวมาแล้วนั้น จะเห็นว่า  เฉพาะคำว่าหะดีษ คำเดียว.... อุลามะก็ยังไม่ให้คำนิยามไปต่างๆกัน เลย  ทั้งนี้เพื่อที่ จะทำให้เราได้รู้ว่า อะไรคือความหมายของมัน   

และการที่คุณไม่เอาการอธิบายของอุลามะนั้น  ถือว่า คุณกำลังหลงทางเข้าหาในการรับหะดิษแบบผิดๆแล้วครับคุณ

9
  hihi  นั่งติดตาม คำถามของคุณ มุมินอยู่นาน เกี่ยวเรื่องการคัดง้าง boulay:ฮาดิส หรือยกระดับสถานะฮาดิส ทั้ง3ตัวอย่าง

ไอ้กระผม นึกสังหรณ์ใจว่าเอ..อยู่ดีๆก็มีความคิดแบบนี้ด้วยหรือ คือ  รับเอาตัวบทฮาดิสอย่างเดียวโดยไม่มีการพิจรณาที่มาที่ไป ว่าฮาดิสมีสายสืบซอเหียะอย่างไร นึกจะเอาอะไรที่มาตรงกับความต้องการ แล้วฉันจะยึดว่างั้นเถอะ  เมื่อถูกใจแล้วฉันก็จะตามทันที โดยนำมาตัดสิน ว่า  โอ  mycry อย่างนี้  ใช่เลย อย่างนั้นถูกแล้ว natural: โดยไม่ต้องเอาคำอธิบายใด

ก็อย่างที่ผู้พอจะรู้ในเวปนี้เขาตักเตือน   ไม่ว่าท่าน elham ,ท่านal-ashary,ท่าน Goddut ท่านal-ciddiс และอีกหลายๆท่าน ที่พยามยามแนะนำ และนะศีฮัต

  ขอเตือน ครับคุณ มุมิน การตัดสินใจเลือกฮาดิสโดยละทิ้งผู้ที่มีความเข้าใจฮาดิสในการชี้แนะ แบบนี้   ถือว่าอันตรายสำหรับตัวเองและครอบครัวมากครับ
 เพราะตัวเองไม่ใช่เป็นนักมุฮาดีศีน ซึ่งไม่สามารถแยกแยะฮาดิสต่างๆได้เอง   ทุกอย่าง

ไอ้กระผมว่า ไม่นานหรือสักวัน1 คุณมุมินจะพบกับการหลงทางในการรับฮาดิสโดยพละการด้วยที่เอาความเข้าใจของตัวเอง มาร่วมตัดสินอย่างนี้   ถ้ายังขืนเข้าใจผิดๆในการรับฮาดิส แบบนี้... Oops:

11
ผมอยากกินข้าวร่วมด้วยกับคุณ ขออนุญาตเลี้ยงข้าวสักมื้อ นะครับ พี่น้อง ....................

..........ได้เลยครับ แต่พูดจริงหรือครับว่า..อยากเลี้ยงข้าวไอ้กระผมนะครับ..ผมทานจุนะครับ...ถ้ายัง..งั้นเราไปนั่งจิบน้ำ.ชาอ้อร้อน ๆกับโรตีน้ำแกง..ที่ร้านนาชาออนไลน์ใกล้ๆนี่ก่อนแล้วกันนะขอรับทาน..อิๆๆๆๆ

12
   ท่านอะลี(อ)   มิได้นิ่งเฉย   แต่เพราะหลักฐานเกี่ยวกับเรื่องอะห์ลุลบัยต์มีน้อย  เพราะ ทั้งสามคอลีฟะห์สั่งห้ามพูดถึงเรื่องนบี(ศ)เพราะกลัวจะพาลไปเรื่องคอลีฟะห์   
 แต่ท่านอะลี(อ)ได้กล่าวไว้ใน คุฏบะห์ ของท่านตอนที่ท่านได้ตำแหน่งคืน   จากอุษมาน   ไม่แน่ใจว่า  คุฏบะห์ที่   3  หรือ 22   ลองไปอ่านดู  ใน นะห์ญุลบาลาเฆาะ
ห์
                 
...
นี่คือการมุสาของชีอะเขาละครับที่ว่า ที่อ้างถึงคุตบะที่ถูกบันทึกผสมผสานด้วยโกหกต่อท่านอะลี...หาว่าท่านอะลี(รด)ทวงคืนตำแหน่ง..

.ชีอะเอ๋ย..ตำแหน่ง คอลีฟะคนแรก..นั้นต่อให้คุณทวงถึงวันกียามะ มันก็ไม่มีทางได้อีกแล้วครับ..เพราะอัลลออ์ทรงยินยอมและประสงค์มอบตำแหน่งนี้ให้ท่านอบูบักร์(รด) ท่านอุมัร(รด) ท่านอุษมาน(รด) และท่านอะลี(รด)ตามลำดับที่พระองค์ประสงค์ไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว.........แล้วชีอะ12อิม่ามจะมาหา หอก อะไรอีกละ....ผ่านมา1400 กว่าปีแล้ว...ยังคิดจะทวงในกดกำหนดที่อ้างว่าไม่ยุติธรรมจากพระองค์อีกกรนั้นหรือ.............เข้าใจไม่..คำว่า..ลาเฮาลา วาลากูตะอิ้ลลา บิ้ลลา..นั้นแปลว่าอะไร..

ท่านอะลีนั้นรู้ดีในคำนี้..ท่านรู้ท่านไม่มีความสามารถใดๆในสิ่งๆนี้ที่พระองค์ประสงค์ให้เป็นไป....มีแต่พวกชีอะชีแอบ เท่านั้นที่ยังไม่พอใจ ความประสงค์ทุกอย่างของอัลลออ์ที่ให้เป็นไปในดุนยานี้...
อาอู้ซุ้บิ้ลลามินซาลิค..

13
........คุณมันไม่เข้าใจอะไรเลย...........

คุณมารร้ายครับ..อยากถามว่าแล้วที่คุณว่าเข้าใจทุกอย่างนั้น...คุณคิดหรือว่า สิ่งที่คุณเข้าใจผ่านมานั้นอัลลอฮ์จะยอมรับว่า..คุณมารร้ายเข้าใจถูกต้องตามพระประสงค์ของอัลลอฮ์........
ไอ้กระผมขอกล่าวว่า..ลัทธิชีอะ12อิม่ามคือลัทธิที่เลียน  แบบอัลอิสลามที่เลยเถิดนอกกรอบของอัลอิสลามของอัลลอฮ์...

อัลลออ์กล่าวว่า.......แท้จริง.ศาสนาของ.อัลลอฮ์นั้นคือ..อัล-อิสลาม..         
  แต่ชีอะ12อิม่ามกลับกล่าว..แท้จริงศาสนาของอัลลอฮ์นั้น..คือ..ชีอะเท่านั้นที่เป็นอิสลาม...

14
คุณอยากเป็นพี่น้องกับผมหรือไม่เท่านั้นเองครับ แต่ผมอยากทำความรู้จักกับคุณอยากเป็นพี่น้องกับคุณ ด้วยความเคารพครับพี่น้อง  ...
...
คุณอะมัดอีซาครับไอ้กระผมไม่ได้ตัดขาดความสสัมพันธ์กับคุยเลยสักครั้ง ทุกคำพูดนั้นมีสักคำไหมว่าผมไม่ยอมรับความเป็นพี่น้องมุสลิมกับคุณ.....
อัชซุนนะท่านนบีมีกล่าวไว้มากมาย ไม่ว่า..........มุสลิมนั้นเป็นพี่น้องกันฯ........หรือพี่น้องมุสลิมคือเรือนร่างเดียวกันฯ...และจงอย่าตัดขาดการสัมพันธ์กับพี่น้องของเจ้าเกิน3วันฯ............
คุณคือพี่น้องมุสลิมของไอ้กระผมครับ.....ที่มี
กาลีมะชาฮาดาเดียวกัน................

...แต่ความเห็นที่แตกต่างกันนั้นไม่ใช้สิ่งที่ทำให้เราพี่น้องมุสลิมต้องแตกแยกกันเลยนี่ขอรับ

...ตราบใดที่ความแปลกแยกนั้นไม่นำไปสู่ความขัดแย้ง

15
แม้จะเป็นคนกลุ่มน้อย แต่ชีอะห์ของอิมามอะลี(อ)  มีหลักฐานนะครับ    ทุกเรื่องที่ท่านกล่าวมาข้างต้นด้วยมีหมด   อยากทราบหาหนังสืออ่านเอานะคับมากมาย       
...

ขอหลักฐานครับ
1.มีหลักฐานไม่ว่า ซอฮาบะอะลี(รด)เป็นชีอะ..
2.หลักฐานที่ว่าชีอะเป็นอิสลามเหมือนอะลิสซุนนะวัลญามาอะ
3.หลักฐานอะกีดะ /ชารีอัตและ/อัลอิคลาส........

ขอบคุณครับ..........

หน้า: [1] 2 3 4