แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - เด็กน้อยๆ

หน้า: [1] 2 3 4
1
อ้างจากคุณนูรุ้ลอิสลาม ที่มั่วและไม่ค่อยยกหลักฐาน


ในส่วนหนังสือที่ท่านอ้างมาคือ "หนังสือ อัลหาวีย์ ฟี อัลฟะตาวา เล่ม 2 หน้า 234 " ผมเองก็ไม่ค่อยสันทัดวิชาการแบบท่านสักเท่าไหร่ (ก็เคยบอกไปแล้ว)
ที่จริง ถ้าท่านจะอ้างถึงเรื่องที่ท่านอ้างมา ก็อ้างฮาดีษซอเฮียะบุคอรี/มุสลิม จะไม่ดีกว่าเหรอครับ? ให้มันเห็นๆ กันไปเลย ผมและพี่น้อง จะได้หาเปิดดูกันง่ายๆ หน่อย

6.  ล่าสุดครับ  วะฮาบีย์ชอบอ้างสะลัฟ  แต่เวลามีหลักฐานว่าซอฮาบะฮ์และสะลัฟได้กระทำนั้น  วะฮาบีย์ก็จะเลื้อยเป็นปลาไหลโดยบอกว่า  "ก็อ้างฮาดีษซอเฮียะบุคอรี/มุสลิม จะไม่ดีกว่าเหรอครับ? "  คือประเด็นใหนที่ตนเองจนแต้ม ก็จะบอกว่าเอาหลักฐานจากหะดิษบุคอรีมุสลิมเท่านั้นและดีกว่า  แล้วที่วะฮาบีย์มักกะฮ์เขาทำกันน่ะ  มันมีในหะดิษบุคอรีและมุสลิมหรือเปล่า  เช่น ละหมาดตะฮัจยุดเป็นญะมาอะฮ์ในมัสยิดหะรอมทั้งที่ท่านนบี(ซ.ล.)ไม่เคยทำในเดือนรอมะฏอนซึ่งในบุคอรีและมุสลิมมีเหรือเปล่า?   เวลาจะละหมาดตะรอวิห์ก็จะมีคนกล่าวว่า ซ่อลาตุลญะมาอะฮ์ร่อฮิมะกุมุลลอฮ์  แล้วในซอฮิห์บุคอรีและมุสลิมหรอเปล่า?  อ่านกุนูตวิติรเสียยืดยาวซึ่งถ้อยคำส่วนมากไม่มีระบุจากท่านนบี(ซ.ล.)แล้วในบุคคอรีและมุสลิมมีระบุไว้หรือเปล่า?  อ่านดุอาอ์ค่อตัมอัลกุรอานในละหมาดคืนที่ 27 - 28 ของเดือนร่อมะฏอน  แล้วมีหะดิษบุคคอรีและมุสลิมระบุไว้เปล่า?



แยกคำถามเป็นข้อๆ ได้ดังนี้ ซึ่งผมจะตอบเท่าที่ผมมีความสามารถ และตรวจพบหลักฐาน
โดยจะยกหลักฐานจาก ตัวบทและคำแปลภาษาไทย "หะดีษเศาะฮิหฺ มุสลิม" เล่ม 1 แปลโดย จารึก เซ็นเจริญ ,มุฮัมหมัด พายิบ สำนักพิมพ์ อัล-อีหม่าน
(เล่มแปลไทยสีเขียว) เพื่อประโยชน์ในการค้นหาโดยง่ายของพี่น้องมุสลิมที่เข้ามาอ่านกระทู้นี้
ท่านนูรุ้ลอิสลามถามว่า

1."แล้วที่วะฮาบีย์มักกะฮ์เขาทำกันน่ะ  มันมีในหะดิษบุคอรีและมุสลิมหรือเปล่า  เช่น ละหมาดตะฮัจยุดเป็นญะมาอะฮ์ในมัสยิดหะรอมทั้งที่ท่านนบี(ซ.ล.)ไม่เคยทำในเดือนรอมะฏอนซึ่งในบุคอรีและมุสลิมมีเหรือเปล่า?"
ตอบ : มีหลักฐานการละหมาดในเวลากลางคืนพร้อมกับท่านนบีฯ ซ็อลล็อลลอฮูอลัยฮิวะซัลลัม
   อ้างจากส่วนที่ 18 "การละหมาดสุนัตและดุอาอฺของท่านรสูล ซ็อลล็อลลอฮูอลัยฮิวะซัลลัม ในช่วงกลางคืน" หน้า 365 ฮาดีษลำดับที่ 737
"จากอิบนุ อับบาสเล่าว่า คืนหนึ่งฉันได้พักค้างอยู่ที่บ้านน้าสาวของฉัน คือมัยมูนะฮฺ ท่านนบี ซ็อลล็อลลอฮูอลัยฮิวะซัลลัม ได้ตื่นขึ้นมาในช่วงกลางคืน
ทำธุระของท่าน(หมายถึงปัสสาวะ) ล้างหน้า ล้างมือแล้วนอนอีก ต่อมาก็ตื่นอีก ท่านไปที่ถุงหนังใส่น้ำ แก้เชือกผูกออก ต่อมาท่านได้อาบน้ำละหมาดอย่างสมบูรณ์
โดยใช้น้ำน้อยแต่ก็สมบูรณ์ ต่อจากนั้นท่านก็ได้ละหมาด ฉันเองก็ลุกขึ้นละหมาดทำอย่างที่ท่านทำ โดยฉันไม่อยากให้ท่านรู้ว่า ฉันกำลังสังเกตท่านอยู่
ฉันจึงได้อาบน้ำละหมาด เมื่อท่านได้ละหมาด ฉันก็ได้ยืนละหมาดอยู่ทางซ้ายท่าน ท่านได้จับมือฉันย้ายฉันมาไว้ทางขวาท่าน ฉันได้ละหมาดตามท่านรสูล
ซ็อลล็อลลอฮูอลัยฮิวะซัลลัม อย่างสมบูรณ์ในคืนนั้นสิบสามรอกาอัต ต่อมาท่านก็ได้เอนนอนแล้วหลับไปจนกรน เมื่อท่านหลับจนกรนนั้น ได้ยินเสียงบิล้าล
อะซานเพื่อละหมาดศุบุฮฺ ท่านรสูล ซ็อลล็อลลอฮูอลัยฮิวะซัลลัม ก็ได้ลุกขึ้นละหมาด โดยไม่ได้อาบน้ำละหมาดใหม่ และท่านขอในดุอาอฺว่า อัลลอฮุมมัจอัล.........
...........นูรอน "โอ้-อัลลอฮฺ ขอได้โปรดให้หัวใจของฉันเป็นรัศมี ดวงตาของฉันเป็นเช่นรัศมี หูของฉันเป็นเช่นรัศมี ด้านขวา ซ้าย บน ล่าง หน้า หลังของฉัน
เป็นรัศมี และขอได้โปรดให้รัศมีเป็นเช่นความยิ่งใหญ่แห่งฉันด้วยเถิด" "
   ฮาดีษลำดับที่ 738 หน้า 366
"จากกุรัยบฺ ผู้เคยเป็นทาสของอิบนุ อับบาสเล่าว่า อิบนุ อับบาส ได้เคยบอกกับเขาว่า คืนหนึ่งฉันได้พักค้างคืนที่บ้านของมัยมูนะฮฺ ผู้เป็นอุมมุล มุอฺมินีนซึ่ง
เป็นน้าสาวของเขา เล่าว่า ฉันได้นอนพักอยู่บนหมอนชั่วคราว ท่านรสูล ซ็อลล็อลลอฮูอลัยฮิวะซัลลัม ได้นอนพักเอนหลังอยู่ โดยมีครอบครัวของท่าน(ภรรยา)
นอนตามขวางอยู่ ท่านรสูล ซ็อลล็อลลอฮูอลัยฮิวะซัลลัม นอนไปจนถึงครึ่งคืน ก่อนหรือหลังเล็กน้อย ท่านก็ตื่นขึ้น เอามือลูบหน้า (เพื่อให้หายง่วง) ต่อจาก
นั้นก็อ่านสิบอายะฮฺสุดท้ายของสูเราะฮฺอาลิอิมรอน แล้วจึงเดินไปที่ถุงหนังน้ำเก่าๆ ท่านอาบน้ำละหมาดอย่างสวยงามหมดจด แล้วละหมาดสุนัต อิบนุ อับบาส
กล่าวว่า ฉันเองก็ยืนขึ้นละหมาด ฉันทำเช่นเดียวกับที่ท่านรสูล ซ็อลล็อลลอฮูอลัยฮิวะซัลลัม ทำ (หมายถึงเรื่องอาบน้ำละหมาดและอื่นๆ) เสร็จแล้วก็ไปยืนข้างๆ
ท่านรสูล ซ็อลล็อลลอฮูอลัยฮิวะซัลลัม ท่านได้เอามือขวาของท่านมาจับที่ศรีษระของฉัน จับที่หูดึงให้ฉันย้ายไปทางขวา ท่านได้ละหมาดสองรอกาอัต อีกสอง
รอกาอัต อีกสองรอกาอัต อีกสองรอกาอัต อีกสองรอกาอัต และอีกสองรอกาอัต ต่อจากนั้นได้ละหมาดวิติรฺ แล้วนอนเอนกายพัก จนกระทั่งมุอัซซินได้มา
ท่านรสูล ซ็อลล็อลลอฮูอลัยฮิวะซัลลัม จึงได้ละหมาดสุนัต สองรอกาอัตอย่างเร็ว และได้ออกมาที่มัสยิด และได้ละหมาดศุบุฮฺ"
   อ้างจากส่วนที่ 19 "การอ่านนานในละหมาดกลางคืน" หน้า 372 ฮาดีษลำดับที่ 744
"จากหุซัยฟะฮ์ (อิบนุ อัลยะมาน)เล่าว่า คืนหนึ่งฉันได้ละหมาดพร้อมกับท่านนบี ซ็อลล็อลลอฮูอลัยฮิวะซัลลัมท่านเริ่มต้น (ในรอกาอัตแรกหลังฟาติหะฮฺ) ด้วยสูเราะฮฺ อัลบะกอเราะฮ์ ฉันคิดว่า ท่านรอซู้ล ซ็อลล็อลลอฮูอลัยฮิวะซัลลัม จะรุกัวอฺ ขณะที่อ่านได้ร้อยอายะฮฺแล้ว
ท่านก็ยังอ่านต่อไป (ท่านยังไม่รุกัวอฺ) ฉันจึงคิดว่าท่านคงอ่านสูเราะฮฺสำหรับรอกาอัตแรก ฉันคิดว่าท่านจะรุกัวอฺเมื่อได้อ่านจบสูเราะฮฺ ต่อมาก็เริ่มอ่านสูเราะฮฺ
อันนิสาอฺอีก แล้วอ่านสูเราะฮฺอาลิอิมรอนเป็นลำดับต่อมา โดยท่านรสูล ซ็อลล็อลลอฮูอลัยฮิวะซัลลัม อ่านอย่างชัดถ้อยคำ เมื่อท่านอ่านถึงอายะฮฺที่กล่าวสดุดีตัสบีหฺ
ท่านจะกล่าวตัสบีหฺ เมื่ออ่านถึงอายะฮฺที่เกี่ยวกับการขอ ท่านก็จะขอ และอ่านผ่านอายะฮฺที่ขอความคุ้มครอง ท่านก็จะขอความคุ้มครอง ต่อจากนั้นก็รุกัวะอฺ ซึ่งท่าน
รุกัวะอฺอย่างยาวนาน ปรากฏว่ารุกัวะอฺของท่านนั้นยาวนานเกือบเท่าเมื่อยืน ต่อจากนั้น(เอียะอฺติดาล) ท่านก็จะกล่าวว่า สะมิอัลลฮุ ลิมัน หะมิดะหฺ ต่อมาก็ยืนนาน
(ในช่วงเอียะอฺติดาล) เกือบเท่ากับรุกัวะอฺ แล้วจึงสุญูดโดยกล่าวในช่วงสุญูดว่า สุบหานะร็อบบิยัลอะอฺลา ซึ่งความนานในสุญูดนั้นใกล้เคียงกับการยืน"
   และฮาดีษลำดับที่ 745 หน้า 373
"จากอับดุลลอฮฺเล่าว่า ครั้งหนึ่งฉันได้ละหมาดพร้อมกับท่านรสูล ซ็อลล็อลลอฮูอลัยฮิวะซัลลัม ท่านละหมาดนานจนฉันคิดไปในทางที่ไม่ดีต่างๆ นานา
เขาเล่าอีกว่าถึงขนาดมีคนถาม(เขา)ว่า ที่ฉันคิดไม่ดีนั้นคืออะไร เขาเล่าว่า ฉันตอบว่า ฉันคิดจะนั่งลงและปล่อยท่านรสูล ซ็อลล็อลลอฮูอลัยฮิวะซัลลัม ไว้"

2."เวลาจะละหมาดตะรอวิห์ก็จะมีคนกล่าวว่า ซ่อลาตุลญะมาอะฮ์ร่อฮิมะกุมุลลอฮ์  แล้วในซอฮิห์บุคอรีและมุสลิมหรอเปล่า?"
ตอบ : การกล่าว "ซ่อลาตุลญะมาอะฮ์ร่อฮิมะกุมุลลอฮ์" อันนี้ผมไม่แน่ใจ เพราะผมยังไม่เจอหลักฐาน อาจจะมีระบุหรือไม่ระบุไว้ก็ได้ วัลลอฮูอะลัม
แต่เข้าใจว่าที่มีบางที่ปฏิบัติ ก็อาจจะด้วยกับหลักฐานดังต่อไปนี้ และเป็นหลักฐานการละหมาดญามาอะฮ์ในเดือนรอมฏอนสำหรับข้อแรกด้วย
   อ้างจากส่วนที่ 16 "ละหมาดสุนัตตะรอวีหฺ"  หน้า 364 ฮาดีษที่ 735
"จากอุรวะฮฺ อิบนุ อัซซุบัยรฺ เล่าว่า อาอิชะฮฺได้บอกกับเขาว่า ท่านรสูล ซ็อลล็อลลอฮูอลัยฮิวะซัลลัม ได้ออกจากบ้านช่วงกลางดึก ท่านได้ละหมาดที่มัสยิด
โดยมีผู้คนหลายคนร่วมละหมาดกับท่าน ครั้นรุ่งเช้าผู้คนพากันพูดถึงเรื่องนี้ ผู้คนก็พากันมารวมกันมากขึ้น(ในคืนต่อมา) ท่านรสูล ซ็อลล็อลลอฮูอลัยฮิวะซัลลัม
ได้ออกมาเป็นคืนที่สอง พวกเขาได้ละหมาดร่วมกับท่านรสูล ซ็อลล็อลลอฮูอลัยฮิวะซัลลัม รุ่งเช้าอีก(วันที่สาม) ผู้คนก็พากันกล่าวถึงเรื่องนี้ คนที่มามัสยิดในคืนที่สาม
ก็มากขึ้น ท่านรสูล ซ็อลล็อลลอฮูอลัยฮิวะซัลลัม ได้ออกมา พวกเขาได้ร่วมละหมาดกับท่านรสูล ซ็อลล็อลลอฮูอลัยฮิวะซัลลัม ครั้นถึงคืนที่สี่มัสยิดเต็มไปด้วยผู้คน
ท่านรสูล ซ็อลล็อลลอฮูอลัยฮิวะซัลลัม ยังไม่ได้ออกมาหาพวกเขา(ที่มัสยิด) ผู้คนคิดว่าได้รับความสำเร็จต่างพูดกันว่า "ละหมาด" แต่ท่านรสูล ซ็อลล็อลลอฮูอลัยฮิวะซัลลัม
ก็ไม่ได้ออกมาหาพวกเขา จนกระทั่งท่านได้ออกมาละหมาดศุบุฮฺ ครั้นเมื่อละหมาดศุบุฮฺเสร็จ ท่านได้หันมาหาประชาชน พลางกล่าวตะซะฮุดและกล่าว อัมมาบะอฺด
อันที่จริงความประสงค์ของพวกท่าน ในช่วงเวลากลางคืน(ที่ผ่านมานั้น) ไม่ได้ก่อให้เกิดความวิตกอะไรกับฉันหรอก นอกจากฉันเกรงว่า ละหมาดสุนัตกลางคืน
(เดือนรอมะฎอน) จะก่อให้เกิดเป็นฟัรฎูกับพวกท่าน ซึ่งพวกท่านจะพากันลำบาก"

3."อ่านกุนูตวิติรเสียยืดยาวซึ่งถ้อยคำส่วนมาก ไม่มีระบุจากท่านนบี(ซ.ล.)แล้วในบุคคอรีและมุสลิมมีระบุไว้หรือเปล่า?"
ตอบ : การอ่านดุอาอฺกุนูตนั้นเป็นการอ่านเพื่อขอดุอาอฺให้แก่มุอฺมินทั้งหลาย แต่สาปเเช่งพวกที่ปฎิเศษทั้งหลายด้วย
ซึ่งการอ่านนี้จะอ่านในภาวะเมื่อประชาชาติมุสลิมอยู่ในอันตราย เช่น ในสงคราม ถูกกดดันหรือขมขู่ ฯลฯ แล้วแต่ละกรณี
จึงไม่มีบทคำอ่านที่ตายตัว ขึ้นอยู่กับว่าในขณะนั้นประชาชาติมุสลิมกำลังประสบกับภาวะใด และยังมีทัศนะหลายทัศนะ
โดยอ้างอิงจากหลักฐานฮาดีษเหล่านี้
   อ้างจากส่วนที่ 7 "กุนูต" หน้า 321 ฮาดีษที่ 635
"จากอบู ฮุรอยเราะฮฺเล่าว่า ท่านรสูล ซ็อลล็อลลอฮูอลัยฮิวะซัลลัม เคยปฏิบัติใน ละหมาดศุบุฮฺ เมื่อเสร็จจากการอ่าน (ทั้งฟาติหะฮฺและสูเราะฮฺหนึ่งเเล้ว)
ตักบีรฺ โดยที่เงิยศรีษระ(จากรุกัวะอฺ)ว่า สะมิอัลลอฮุ ลิมัน หะมิดะฮฺ ร็อบบะนา วะละกัลหัมดฺ แล้วจึงกล่าวขณะที่ยืนตรงว่า อัลลอฮุมมะอันญิลวะลีด......
.............................วะรสูละฮฺ "โอ้-อัลลอฮฺ ขอพระองค์ได้โปรดให้ความปลอดภัยแก่อัลละลีด อิบนุ อัลวะลีด ,สะละมะฮฺ อิบนุ ฮิซาบ ,อัยยาซ อิบนุ อบี
รอบีอะฮฺ และบรรดาผู้ศรัทธามั่นที่อ่อนแอทั้งหลายด้วยเถิด โอ้-อัลลอฮฺ ขอพระองค์ได้โปรดให้เกิดความเข้มแข็งด้วย แรงกดดันของพระองค์ท่านต่อ
พวกมุฎอรฺด้วยเถิด และได้โปรดให้ปีของพวกเขาประดุจดังปีของนบียูสุฟด้วยเถิด โอ้-อัลลอฮฺ ขอพระองค์ได้โปรดงดความเมตตาต่อพวกลิหฺยาน ริอฺล ซักวาน
และอุศอยยะฮฺด้วยเถิด เพราะกลุ่มเหล่านี้ทรยศต่ออัลลอฮฺและรสูลของพระองค์" ต่อจากนั้นมีผู้เล่าว่า ท่านรสูล ซ็อลล็อลลอฮูอลัยฮิวะซัลลัม ได้งดอ่านดังกล่าว
เมื่ออายะฮฺกุรอ่านที่ว่า "การนั้นหาใช่เป็นหน้าที่ของท่านแต่ประการใดไม่ ไม่ว่าพระองค์จะทรงรับการสารภาพผิดแก่พวกนั้น หรือจะทรงลงโทษพวกนั้นก็ตาม
เพราะแท้จริงพวกเขาเป็นผู้ฉ้อฉล" (3:128) "
   ฮาดีษที่ 636 หน้า 322
"จากอบู ฮุรอยเราะฮฺเล่าว่า ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ ฉันจะต้องนำเสนอ(รูปแบบ) การละหมาดของท่านรสูล ซ็อลล็อลลอฮูอลัยฮิวะซัลลัม ต่อพวกท่านอย่างแน่นอน
(ในรูปแบบนั้น) อบู ฮุรอยเราะฮฺได้กูนูตทั้งในละหมาดซุฮุรฺ อิชาอฺและศุบุฮฺ โดยได้ขอดุอาอฺให้กับมุอฺมินทั้งหลาย แต่สาปแช่งพวกที่ปฏิเศษทั้งหลายด้วย"
   ฮาดีษที่ 637 หน้า 323
"จากมุหัมหมัดเล่าว่า ฉันได้กล่าวถามอนัสว่า ท่านรสูล ซ็อลล็อลลอฮูอลัยฮิวะซัลลัม เคยกุนูตในละหมาดศุบุฮฺหรือไม่ อนัสตอบว่า (ท่านได้กุนูต) หลังจากรุกัวะอฺ
(ในรอกาอัตที่สอง)"
   ฮาดีษที่ 638 หน้า 323
"จากอนัส อิบนุ มาลิกเล่าว่า ท่านรสูล ซ็อลล็อลลอฮูอลัยฮิวะซัลลัม ได้กุนูตในละหมาดศุบุฮฺ หลังจากรุกัวะอฺ(รอกาอัตที่สอง) เป็นเวลาหนึ่งเดือน โดยขอให้
(อัลลอฮฺทรงลงโทษ) กับกลุ่มริอฺลและซักวานรวมทั้งกลุ่มอุศอยยะฮฺด้วย ซึ่งพวกนี้ได้ทรยศต่ออัลลอฮฺและรสูลของพระองค์"
   ฮาดีษที่ 639 หน้า 323
"จากอัลบัรรออฺ อิบนุ อาซิบ เล่าว่า ท่านรสูล ซ็อลล็อลลอฮูอลัยฮิวะซัลลัม เคยกุนูตทั้งในละหมาดศุบุฮฺ และมัฆริบ (1)"
หมายเหตุ (1) ปัญหาเรื่องกุนูต
ก.   ตามแนวทางของซาฟิอี ถือเป็นสุนัตในทุกๆ ละหมาดศุบุฮฺ ในละหมาดอื่นๆ นอกจากศุบุฮฺแล้วมี 3 ทัศนะ
- สุนัตเมื่อประชาชาติมุสลิมอยู่ในภาวะอันตราย เช่น ในสงคราม โรคระบาด ความหิวโหย ถูกกดดันหรือข่มขู่ ฯลฯ เช่นนี้ให้กุนูตในทุกๆ ละหมาดวาญิบ
- กุนูตในละหมาดวาญิบทุกเวลา ไม่ว่าจะอยู่ในภาวะปกติหรือภาวะอันตราย
- ไม่กุนูตในทุกละหมาด
ข.   ช่วงกุนูตคือเมื่อเงยขึ้นจากรุกัวะอฺในรอการอัตสุดท้าย
ค.   การอ่านดุอาอฺกุนูต สุนัตให้ยกสองมือแต่ไม่สุนัตให้ลูบใบหน้ามีเพียงบางทัศนะที่เห็นว่าอนุญาตให้ลูบหน้า และห้ามยกมือ แต่ทุกทัศนะเห็นว่าการลูบอก
ถือเป็นมักรุฮฺ ดุอาอฺกุนูตนั้นไม่มีดุอาอฺเฉพาะ ดุอาอฺที่ว่า "อัลลอฮุมมะฮฺดินี...................." เป็นที่ยอมรับกันอย่างแพร่หลาย แต่ที่ถูกต้องคือ กุนูตนั้นเป็นเพียงสุนัต
และมิได้เป็นองค์ประกอบที่จะทำให้ละหมาดสมบูรณ์แต่ประการใด (ดูซะเราะฮฺ นะวะวี เล่มที่ 2 หน้า 319)

4."อ่านดุอาอ์ค่อตัมอัลกุรอานในละหมาดคืนที่ 27 - 28 ของเดือนร่อมะฏอน  แล้วมีหะดิษบุคคอรีและมุสลิมระบุไว้เปล่า?"
ตอบ : สำหรับข้อนี้ผมก็ไม่ทราบ แล้วก็ไม่ได้ปฏิบัติ และไม่เคยได้ยิน (ถ้าไม่ได้ปล่อยให้ผ่านหูไปโดยไม่ได้ฟัง)
ขอให้ท่านบอกรายละเอียดมาให้มากกว่านี้ เพื่อผมจะได้นำไปถามผู้รู้ท่านต่างๆ และจะได้นำไปค้นหาหลักฐานต่อไป
เพราะเท่าที่ทราบและเท่าที่เห็น ก็พบแต่เพียงว่า (อย่างเต็มที่) ก็อ่านอัลกุรอ่านคืนละยุซ จนจบสุดท้ายเมื่อคืนสุดท้ายของเดือนรอมฏอนเท่านั้น
ไม่เคยพบตามที่ท่านบอกมาแต่อย่างใด...จึงยินดีอย่างยิ่งถ้าท่านจะให้รายละเอียดที่มากขึ้นเกี่ยวกับคำถามนี้.....





2
ส่วนที่ท่านบอกมาว่า...

"การสุนัตให้อาหาร(เป็นทานแก่มัยยิด)นั้น ไม่เคยถูกทิ้งการกระทำมาเลยตั้งแต่สมัยของซอฮาบะฮ จวบจนถึงปัจจุบัน"

อย่างนี้ มันก็ค้านกับฮาดีษที่บอกว่า หลังจากบุคคลใดๆ ได้ตายลง การงานผลบุญถูกตัด เหลือเพียง 3 ทางเท่านั้น ที่จะได้รับผลบุญสิครับ คือ
1.ความรู้ที่ยังประโยชน์
2.ซอดาเกาะฮ์ญารียะฮ์ (การทำทานถาวร)
3.ลูกซอเเละฮ์ที่ขอดุอาอ์ให้

ไม่เห็นมีการให้อาหารเป็นทานอย่างที่ท่านยกมาเลยครับ? ทำไมมันขัดกันล่ะครับ? เป็นไปได้เหรอครับที่เรื่องศาสนามันจะขัดกันในสิ่งที่ถูกต้อง?
นั่นแหละครับ ผมถึงบอกว่าให้อ้างอิงฮาดิษซอเฮียะมา (เฮ้อ เอาเถ๊อะ ฮาดิษฮาซันก็ยังดี) ก็ท่านดันอ้างหนังสือ มันก็แย้งกันแบบนี้แหละ คราวหน้าขอฮาดีษซอเฮียะไปเลยนะครับ พี่น้องเราในนี้และผมจะได้ไปเปิดดูกันง่ายๆ หน่อย ไม่ต้องมานั่งดูอ้างอิงหนังสือแทนฮาดิษอีก...

เพราะถ้าท่านอ้างหนังสือน่ะนะครับ โดยที่ไม่มีหลักฐานอัลกุรอ่านหรือฮาดีษที่เชื่อถือได้กำกับ มันก็อดห่วงไม่ได้ละครับ ว่าผู้แต่งหนังสือกำลังใส่ทัศนะตนเองหรือเปล่า?
เพื่อจะได้เป็นหลักฐานยืนยันในสิ่งที่ตัวเองทำ โดยใส่ความคิดของตนเองเข้าไป แต่ถ้าไม่ใส่ ก็ขอหลักฐานครับ...

เอ้า ตอบที ทำไมที่ท่านอ้างมามันขัดกับฮาดีษข้างต้น เรื่องผลบุญหลังจากมุสลิมตาย 3 ข้อนั้นครับ คุณเว็บมาสเตอร์?

"อะไรกัน  แบบนี้ก็กล่าวหาซอฮาบะฮ์กระทำการที่ขัดแย้งกับหะดิษนบีน่ะซิ  "

"ดังนั้น อะมัลของคนตายย่อมขาดตอน(นอกจาก 3 ประการ) แต่อะมัลของคนเป็นที่มอบให้แก่พี่น้องมุสลิมที่เสียชีวิตย่อมไม่ขาดตอนครับ  พูดง่ายๆคือ  อะมัลของตนเองขาดตอน  ส่วนอะมัลของคนอื่นที่มอบให้ไม่ขาดตอน  เมื่อเป็นเช่นนี้  มันจะขัดหะดิษกันอย่างไรครับแล้วนักหะดิษท่านใดบ้างที่บอกว่าการฮะดียะฮ์ผลบุญให้พี่น้องคนอื่นขัดกับหะดิษนบี  ;D"




นั่นไง ผมว่าแล้ววววววววววววววววววว  ว่าท่านนูรุ้ลอิสลามที่เคารพ ท่านนี่มันมั่วอร่อยจริงๆ ท่านแก่แล้วรึยังไงครับ? สายตาท่านถึงได้ฝ้าฟางจริงๆ
ฮาดีษที่ผมยกมาก็บอกอยู่เนี่ยว่า

"หลังจากบุคคลใดๆ ได้ตายลง การงานผลบุญถูกตัด เหลือเพียง 3 ทางเท่านั้น ที่จะได้รับผลบุญ"

ท่านก็ยังดันมาบอกอีกว่า อะมัลของคนอื่นที่มอบให้ไม่ขาดตอน ท่านก็ให้ไปเถอะครับ ให้ไปให้พอ ในเมื่อการที่ท่านให้ไม่ได้อยู่
ในทั้ง 3 ข้อ ที่จะทำให้ผู้ตายได้รับผลบุญ ต่อให้ท่านให้ไปเท่าไหร่ ยังไงๆ ผู้ตายก็ไม่ได้รับอยู่ดี ท่านทำเป็นให้คนอื่น ท่านเอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะครับ

ฮาดีษก็บอกอยู่ทนโท่ ว่าคนตายได้รับเพียง 3 ทาง ไม่มีข้อไหนสักข้อที่บอกว่าให้อาหารแก่คนตายแล้วจะถึง ท่านก็ดันบอกว่าสามารถให้ได้ แล้วก็ถึงผู้ตายด้วย
โดยไม่ขาดตอน นั่นแหละครับ ที่ผมบอกว่า ขอหลักฐาน ไหนครับ? ยกมาสิครับหลักฐานน่ะ ที่เป็นอัลกุรอ่านและอัลฮาดีษ?

เวลาเพื่อนบ้านเอาตำรวจมาจับท่าน บอกว่าท่านเป็นขโมย ท่านยังร้องลั่นบอก ขอหลักฐานเลยครับ นี่เรื่องศาสนา เรื่องใหญ่กว่าชัดๆ ทำไมท่านไม่มีหลักฐาน?

การที่ท่านมั่วเอา แล้วบอกว่าอย่างนั้นอย่างนี้ได้ โดยที่ไม่มีหลักฐานที่เป็นการรองรับจากท่านนบีฯ นั่นก็หมายความได้ว่า...

ท่านไม่มีหลักฐานจากอัลฮาดีษที่เชื่อถือได้ => ท่านนบีฯ ไม่ได้ให้การรับรอง => เมื่อท่านนบีฯ ไม่ได้ให้การรับรองก็หมายความว่า => อัลลอฮ์ก็ทรงไม่รับรอง

เมื่ออัลลอฮ์ไม่รับรองว่าจะถึง แล้วท่านนูรุ้ลอิสลามรู้ได้ยังไงครับ ว่าที่ท่านทำทานให้มัยยิตจะถึง ? หรือว่าท่านได้รับวะฮีย์หลังจากนบีฯ เสียชีวิตเหรอครับ?

ก็นี่แหละ ที่เค้าบอกว่ามุสลิมสาย บ.ด.อ น่ะ ทำอะไรไม่มีหลักฐานที่ท่านนบีฯ รับรอง ที่เชื่อถือได้ แล้วก็มั่วเอาเองว่าได้

ท่านทำแบบนี้ยังกับท่านอยู่ศาสนาคิดเลยครับ คิดเอาเอง(ว่าได้,ว่าถึง) มั่วอันดับหนึ่งเลยครับท่าน...

และทางเราต่างหากที่ต้องบอกว่า ท่านโกหกใส่ซอฮาบะฮ์ ว่าซอฮาบะฮ์ทำสิ่งที่นบีฯ ไม่ได้รับรอง และทำเป็นแบบอย่าง วันกียามัตท่านไปตอบเอาเองเถอะครับ...

ท่านอยู่ดีๆ ก็เข้ามาตอบไม่ได้รู้เรื่องด้วยซ้ำ ว่าเค้าสนทนาประเด็นไหนกันอยู่ ท่านไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากระทู้ก่อนหน้าของผมที่ถูกเว็บมาสเตอร์ลบไปคืออันนี้...

หัวข้อกระทู้ : มิน่าละ เว็บมาสเตอร์ถึงไม่อยากให้ใครอ่านกระทู้นั้น เพราะท่านมีผลประโยชน์นี่เอง
ข้อความกระทู้ :
"ก็อย่างที่บอกครับ ท่านเว็บมาสเตอร์ผู้ทรงคุณวุฒิ ท่านอย่ามัวแต่ลบเลยครับ....

อยากให้ท่านรณรงค์ผู้คน โต๊ะครูในสายของท่าน ช่วยกินบุญบ้านคนตายแล้วไม่ต้องรับซองได้รึเปล่า? สงสารเด็กกำพร้าครับ...

ไปนั่งอ่านอีซีกูโบร์ไม่ต้องรับตังค์ได้มั้ยครับ? กลับมาเป็นอีหม่ามที่บ้านเกิดแล้วทำเพื่ออัลลอฮ์ไปเลย ไม่ต้องรับตังค์
เอาผลบุญดีกว่ากันแยะ ทำได้มั้ยครับ?

ถ้าไม่ได้ ก็หนีไม่ได้ที่จะถูกตราหน้าว่า โต๊ะครูทำงานศาสนาไม่อิคลาส แต่ทำแล้วหาผลประโยชน์จากคนในชุมชน

ขอแค่เนี้ยะมันมากตรงไหน?

1.ไปกินอย่างเดียวไม่ต้องรับซองได้ป่ะ หลายคนมาอ่านให้คนตายน่ะ มันหลายตังค์อยู่นา
2.ไปนั่งที่กุโบร์อ่านไปเลยครับ แต่ไม่มีตังค์ให้อ่ะ เพราะเชื่อว่าโต๊ะครูที่เคารพต้องช่วยเหลือลูกญามาอะฮ์เพื่ออัลลอฮ์อยู่แล้ว

กินบุญมาเยอะแล้ว ทำบุญมั่งเถอะครับท่าน...

ที่จริงถ้าเรื่องแค่นี้ ไม่ต้องไปเรียนให้เสียค่าเครื่องบินถึงไคโรหรอกครับท่านเว็บมาสเตอร์
ฝึกอ่านอีซีกูโบร์ให้คล่องๆ ก็หากินได้แล้ว ไปแล้วเสียตังค์ค่าเครื่องเปล่าๆ

เพราะต่อไปพอเรียนไปแล้ว ก็กลับมาไม่เห็นมีอะไรที่เป็นกิจกรรมที่แตกต่างไปจากหัวข้อหน้าแรกในเว็บนี้เลย...
กลับมาเถอะ ท่านโต๊ะครู อย่าเสียเวลาไปเรียนเลย รีบกลับมาบริการสังคมจะดีกว่านะครับท่านครับ... :D "

เข้ามาตอบนี่ไม่ได้รู้เรื่องเล้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย มาแล้วก็มั่วเอาเอง คิดเอาเองว่าอย่างนั้นอย่างนี้ได้
เอ้าไหนครับ ? ถ้าท่านเป็นผู้สัตย์จริง ผมขอหลักฐาน...

1.ฮาดีษ่ซอเฮียะหลักฐานการสุนัตให้อาหารเป็นทานแก่มัยยิด ? (คุณเว็บมาสเตอร์)
2.ทำไมความในหนังสือที่ท่านอ้างมาจึงขัดกับฮาดีษผลบุญที่ได้รับเหลือเพียง 3 ทาง ? (คุณเว็บมาสเตอร์)
3.ฮาดีษซอเฮียะหลักฐานว่าทำทานให้แก่มัยยิตแล้ว ผลบุญถึงมัยยิต ? (ท่านนูรุ้ลอิสลาม)

การที่ท่านยกอ้างหนังสือมาน่ะ ไม่ผิดหรอก แต่อ้างมามันต้องอ้างอัลกุรอ่านและอัลฮาดีษด้วย เพราะสองสิ่งนี้เท่านั้นจึงจะนับว่าเป็นหลักฐานการปฏิบัติสิ่งหนึ่งได้
ถ้าจะอ้างหลักฐานจากหนังสือ หนังสือนั้นก็จะต้องอ้างอัลกุรอ่านและอัลฮาดีษอีกที นั่นแหละถึงจะเชื่อถือได้
พวกท่านอ้างจากหนังสือมาแล้ว ไม่เห็นจะอ้างฮาดีษซอเฮียะที่อยู่ในหนังสือมาด้วย แล้วอย่างนี้ชาวบ้าน ชาวช่องเค้าจะเชื่อถือกันมั้ยครับ?
ถ้าท่านคิดว่าหนังสือเชื่อถือได้ ยังไงๆ ท่านอิหม่ามอัสสะยูฏีย์  ก็ต้องอ้างฮาดีษไว้แน่นอน นั่นแหละครับยกมาหน่อย ถ้าท่านสัตย์จริง....

อนึ่ง ที่ท่านอ้างมาว่า

"ถึงข้าพเจ้าว่า การที่สุนัตให้อาหารเป็นทานแก่มัยยิด ยังคงมีการปฏิบัติกันอย่างต่อเนื่องจากถึงปัจจุบัน ณ ที่นครมักกะฮ์และนครมะดีนะฮ์ "

วันก่อนมีมุสลิมที่อาศัยอยู่ที่มาดีนะฮ์ ได้เดินทางมาละหมาดที่มัสยิด ผมก็ได้ลองถามไถ่ดูว่ามีอย่างที่ท่านว่าหรือเปล่า?
เค้าไม่เห็นตอบว่ามีเลยครับ เค้าบอกว่ามีแต่การที่เพื่อนบ้านทำอาหารไปให้บ้านคนตาย เพื่อช่วยเหลือคนเป็นในบ้านเพราะเค้าประสบกับความยุ่งยาก
เค้าบอกว่าทำให้คนเป็นนะ ไม่ใช่ทำให้คนตาย ดังนั้น ผมถึงได้ถามไงครับ ว่าท่านอีหม่ามอัสสะยูฏีย์ ทำไมไม่ยกฮาดีษมาบ้าง จะได้ไปตอบกับชาวมาดีนะฮ์ถูก
ว่า เฮ้ย มีหลักฐานนะ ว่าทำทานอาหารแจกจ่ายเป็นผลบุญมอบให้แก่คนตายได้ ถึงและได้รับการตอบรับด้วย ขอร้องเถอะครับ ช่วยเอาหลักฐานมาทีเถอะครับ
ผมนี่อยากจะเชื่อตามที่พวกท่านเชื่อซะเต็มแก่อยู่แล้ว ไม่ยอมเอาหลักฐานมาซะที...ช่วยทีเถอะครับ...เอาหลักฐานมาที ผมนี่อยากจะกินบุญ
บ้านเด็กกำพร้าบิดาตาย จะแย่อยู่แล้ว กินให้เด็กกำพร้ามันพังเข้าไปเลยครับ ไม่เห็นท่านอ้างซอเฮียะที่เชื่อถือได้สักที....

เว็บมาสเตอร์ท่านมาตอบหน่อยเถอะครับ

มัวแต่ปล่อยให้พวกลิ่วล้อมั่วๆ เข้ามาตอบอยู่ได้....

3
วอลัยกุมุสสลาม

ก็ต้องตอบตามความเป็นจริงนะครับ คุณเว็บมาสเตอร์ ว่าผมพึ่งจะพบบทความนี้ เพราะผมไม่ค่อยได้เข้าเว็บนั้นเท่าไหร่...

นั่นไง  คุณเข้ามาเว๊บไซต์นี้แต่ไม่ค่อยได้อ่านสิ่งที่เว๊บมาสเตอร์และพี่น้องได้ชี้แจงไว้แล้ว  แบบนี้ก็คุยกันไม่รู้เรื่องน่ะซิ  แล้วใครจะมาอยากตอบชี้แจงซ้ำไปซ้ำกับคนดื้อดึงไม่ฟังใครแบบวะฮาบีย์อย่างคุณ  :o



คุณนูรุ้ลอิสลาม ท่านมึนอีกแล้วครับ ด้วยความเคารพ ผมไม่เคยเห็นใครมั่วเท่าท่านเลย
คำว่า "บทความ" น่ะ หมายถึงบทความ "เลี้ยงเจ็ดวันเมื่อมีคนตาย" ในเว็บอิกเราะฮ์โน่น ไม่ได้หมายถึงบทความในเว็บไซต์นี้
ผมก็ยังบอกอยู่ว่า "เว็บไซต์นั้น" ท่านดันมาบอกว่าเป็น "เว็บไซต์นี้" ท่านนี่มั่วได้ที่จริงๆ ครับ สมเเล้ว ที่เป็นท่านจริงๆ

ฟังไม่ได้ศัพท์แต่ดันจับไปกระเดียด......มั่วดีแท้ นูรุ้ลอิสลาม...






4



พอดีเจออันนี้มา ก็เลยเอามาลองให้อ่านกันดู

อ้างอิงจาก
คุณ cavaso


"บิสมิลลาฮิรฺเราะห์มานิรฺรอหีม

1. ชื่อ วะฮาบีย์
วะฮาบียะฮ คือ ชื่อของขบวนการฟื้นฟูอิสลาม โดยการนำของ เชคมูฮัมมัด อิบน อับดุลวาฮาบ มีชีวิตอยู่ในช่วง
(1115 ? 1206 ฮ.ศ.) ตรงกับ (1703 ? 1791 ค.ศ.) ที่เมืองนัจด ในซาอุดิอาระเบีย ชื่อนี้มาจากพยางค์ที่สองของชื่อบิดา
คือ อัลวะฮาบ ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นพระนามหนึ่งของอัลลอฮ พระผู้เป็นเจ้า มีความหมายว่า ผู้ทรงให้อย่างมากมาย ชื่อนี้บางคนเรียกเพี้ยนเป็น วะฮบีย์ ซึ่งไม่ถูกต้อง ที่ถูกต้องคือ วะฮาบียะฮ หมายถึง ขบวนการฟื้นฟูอิสลาม วะฮาบียะฮ หรือ วะฮาบีย์ หมายถึงผู้มีแนวคิดและแนวปฏิบัติตามขบวนการดังกล่าว
อย่างไรก็ตามชื่อนี้ไม่เป็นที่ชื่นชอบของกลุ่มวะฮาบียะฮ เนื่องจากเป็นชื่อที่ถูกตั้งขึ้นโดยฝ่ายต่อต้าน และมักจะนำมาใช้ในเชิงลบเป็นส่วนใหญ่ กลุ่มวะฮาบียะฮเองจึงไม่ใช้ชื่อนี้เรียกกลุ่มของตน แต่จะเรียกกลุ่มของตนว่ากลุ่ม ?สะลาฟียะฮ? (Salafiah) หรือ ?สะละฟียูน?(Salafiyoon) แปลว่า กลุ่มที่ยึดมั่นในแนวคิดดั้งเดิมของอิสลาม หรือบางทีเรียกกลุ่มของตนว่า ?มุวะหิดูน? (Muwahidoon) แปลว่า กลุ่มผู้ยึดมั่นในเอกภาพของอัลลอฮ

2. ประวัติความเป็นมาของวะฮาบียะฮ
เป็นที่ทราบกันดีว่าในตอนต้นของศตวรรษที่ 12 แห่งฮิจเราะฮศักราช (หรือคริสต์ศตวรรษที่ 18) ศาสนาและศิลธรรมในโลกอิสลามเสื่อมทรามลงมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคาบสมุทรอาระเบีย
กล่าวคือ มุสลิมส่วนใหญ่ได้พากันละทิ้งหลักการอิสลาม ละทิ้งหลักความเชื่อในเอกภาพของพระผู้เป็นเจ้า และ ละทิ้งการปฏิบัติตามแนวทางของศาสนทูต มูฮัมมัด ( ศ็อลลอลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) พวกเขาได้หันไปหลงไหล คลั่งไคล้อยู่กับเรื่องไสยศาสตร์ เวทมนต์คาถา และการตั้งภาคีต่อพระผู้เป็นเจ้าในรูปแบบต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเคารพสักการะ และการขอความช่วยเหลือและคุ้มครองจากสุสานของบุคคลต่างๆ ที่ตัวเองเห็นว่าเป็นผู้วิเศษและศักดิ์สิทธิ
ในท่ามกลางสภาพสังคมที่ฟอนเฟะและโง่งมงายนี้ได้มีบุคคลผู้หนึ่งถือกำเนิดขึ้นที่ตำบลอัลอุยัยนะฮ ในเมืองนัจด (เมืองริยาด) ในปี ค.ศ. 1703 บุคคลผู้นั้นคือ มูฮัมมัด อิบน อับดุลวะฮาบ เขามาจากตระกูล อุลามาอ (ผู้ทรงความรู้) ได้ศึกษาวิชาความรู้จากบิดา และสามารถท่องจำอัลกุรอานทั้งเล่มได้เมื่อมีอายุเพียง 10 ขวบเท่านั้น และแม้ว่าเขาจะได้รับการยกย่องว่าเป็นปราชญ์ผู้มากด้วยความรู้ แต่เขาก็ตัดสินใจออกเดินทางเพื่อแสวงหาความรู้เพิ่มเติมยังหัวเมืองต่าง ๆ เช่น มักกะฮ มะดีนะฮ บัศเราะฮ บัฆดาด และเมาศิลในอิรัก เมื่อเขาได้กลับมาสู่มาตุภูมิ และได้เรียกร้องเชิญชวนผู้คนให้กลับสู่แนวทางอันบริสุทธิ์ของอิสลาม เขาก็ได้รับการต่อต้านจากบรรดาผู้ปกครองซึ่งพากันหวาดระแวงกับอิทธิพลของเขาที่จะสั่นสะเทือนต่ออำนาจการ
ปกครองของพวกตน เขาต้องถูกขับไล่ออกจากดินแดนที่เป็นบ้านเกิดเมืองนอน แต่เขาก็ยังยืนหยัดในอุดมการณ์อันมั่นคงที่จะฟื้นฟูและกอบกู้สังคมให้กลับไปสู่หลักการอันบริสุทธิ
จุดเปลี่ยนที่สำคัญของ มูฮัมมัด อิบน อับดุลวะฮาบ ก็คือ เมื่อท่านเดินทางมาที่เมือง อัดดัรอียะฮ ซึ่งเป็นเมืองในการ
ปกครองของตระกูล สะอูด (ราชวงศ์สะอูดในปัจจุบัน) ท่านก็ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากอามีร มูฮัมมัด อิบนสะอูด เจ้าเมืองคนหนึ่งซึ่งตกลงใจที่จะร่วมงานกับเขาในการฟื้นฟูและเผยแผ่คำสอนของอิสลาม หลังจากนั้นไม่นานภายใต้การปกครองของ อามีร มูฮัมมัด อิบน สะอูด และการเผยแพร่คำสอนของ เชค มูฮัมมัด อิบน อับดุลวะฮาบ อย่างเอาจริงเอาจัง วิถีชีวิตและความเชื่อของมุสลิมที่อยู่ภายใต้การปกครองก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง จากความโง่งมงายในหลักการอิสลาม และหลงผิดในการตั้งภาคี (ชิรก) และการนิยมชมชอบในอุตริกรรมทางศาสนา
(บิดอะฮ) ุกคนถูกเรียกร้องเชิญชวนสู่การเคารพภักดีต่ออัลลอฮองค์เดียวและยึดมั่นในคำภีร์อัลกุรอานและแบบอย่างคำสอนของ
ศาสนทูตมูฮัมมัด ( ศ็อลลอลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ทุกคนหันมานมาซรวมกัน ปฏิบัติศาสนกิจรวมกัน และศึกษาศาสนาร่วมกัน สัญลักษณ์ต่างๆ ของการตั้งภาคีและสิ่งไม่ดีงามต่างๆ ได้ถูกทำลายสิ้น สังคมอาหรับได้กลับคืนสู่ความอยู่เย็นเป็นสุขอีกครั้งหนึ่ง และที่สำคัญก็คือได้กลับมาสู่การดำเนินตามหลักคำสอนดั้งเดิมอันบริสุทธิที่ถูกปกปักษ์รักษา ถ่ายทอด และฟื้นฟูโดยนักปราชญ์ชาว สลัฟ (นักปราชญ์ในยุค 300 ปีแรก)
การที่มูฮัมมัด อิบน อับดุลวะฮาบได้รับการอุ้มชูอุปถัมป์จากราชสำนักของราชวงศ์สะอูดทำให้เขามีฐานอำนาจในการดำเนินกิจการต่างๆ จนบรรลุผล ฐานอำนาจดังกล่าวทำให้ดูเหมือนว่าเขามีท่าทีที่แข็งกร้าวต่อกลุ่มสองกลุ่มที่แพร่หลายอยู่ในขณะนั้น คือ
1) กลุ่มซูฟีย์ (Sufism) คือ กลุ่มนิยมความลี้ลับและมีความคลั่งไคล้ในวิชาตะเซาวุฟ (การฝึกจิตภายใน) มูฮัมมัด อิบน อับดุลวะฮาบเห็นว่า วิชานี้เป็นยาเสพติดที่มอมเมาคนในสมัยนั้นให้เฉื่อยชา ไม่เข้มแข็ง และเป็นวิชาที่ถูกนำมาใช้ในทางที่ผิดและบิดเบนออกไปจากเดิมมากมาย ตัวอย่างที่ชัดเจนก็คือ สิ่งอุตริทางศาสนาใหม่ๆ ที่กลุ่มซูฟีย์ได้สร้างขึ้น เช่น การเคารพ สักการะนักบุญ หลุมฝังศพและสัญลักษณ์ต่างๆ การเคารพ บูชาบรรพบุรุษหรือขอความช่วยเหลือจากผู้ที่ตายไปแล้ว หรือขอให้ผู้ที่ตายช่วยเป็นสื่อหรือนายหน้าติดต่อกับพระเจ้า การสร้างมัสยิดหรืออาคารเหนือหลุมฝังศพและการประดับตบแต่งหลุมฝังศพ เป็นต้น
2) กลุ่มมุตะกัลลิมีน (Mutakallimin) คือกลุ่มนักเทววิทยาที่เน้นการเอาเหตุผลทางปัญญาและทางตรรกวิทยามาอธิบายหลักความเชื่อในอิสลามจนทำให
้เกิดความคลาดเคลื่อนและเบี่ยงเบนจากความถูกต้อง มูฮัมมัด อิบน อับดุลวะฮาบเห็นเช่นเดียวกันว่า วิชาอิลมุลกะลาม Elmulkalam (เทววิทยา) เป็นยาเสพติดอีกชนิดหนึ่งที่ มอมเมาคนในสมัยนั้นให้หมกมุ่นอยู่กับการถกเถียงในเรื่องที่ไม่ควรถกเถียง แล้วในที่สุดก็ทำให้พวกเขาหลงทาง
มูฮัมมัด อิบน อับดุลวะฮาบได้ทำการคัดค้านทั้งสองกลุ่มอย่างแข้งกร้าว และได้ใช้ฐานอำนาจทางการปกครองสนับสนุนและจัดการกับสิ่งอุตริทางศาสนาอย่างได้ผล แน่นอนการกระทำของเขาได้ไปขัดผลประโยชน์และทำลายความเชื่อของคนที่โง่งมงายในสิ่งเหล่านั้นอย่างรุนแรง คนเหล่านั้นจึงตั้งตนเป็นศัตรู และพยายามชักชวนและประกาศให้คนทั่วไปเชื่อว่าสิ่งที่เขาสอนนั้นเป็นศาสนาใหม่ที่
มิใช่อิสลาม และกล่าวหาเขาว่าเป็นผู้สร้างลัทธิใหม่สำหรับผู่ที่ปฏิบัติตามคำสอนของมูฮัมมัด อิบน อับดุลวะฮาบนั้นก็ถูกคนกลุ่มดังกล่าวประณามว่าเป็นพวกนอกศ่าสนา และเรียกพวกเขาว่า วะฮาบียะฮ (Wahabism)
ในที่สุด

3. แนวคิดที่สำคัญของวะฮาบียะฮ
สำหรับแนวคิดที่สำคัญของวะฮาบียะฮนั้นพอสรุปเป็นหัวข้อได้ดังนี้ คือ
1) ยึดแนวของอิมามอะฮมัด อิบน ฮัมบัล (มัซฮับฮัมบะลีย์) ในเรื่องปลีกย่อยต่างๆ แต่ไม่ยึดแนวของ อิมามคนใดเป็นเกณฑ์แน่นอนในเรื่องหลักพื้นฐานทั่วไป
2) เรียกร้องให้เปิดประตูการอิจติฮาด (หมายถึงการวิเคราะห์และวินิจฉัยหลักฐานต่างๆ ทางศาสนาเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อบัญญัติของปัญหาต่างๆ ) หลังจากที่ได้ถูกปิดมานานตั้งแต่กรุงแบกแดดแตกจากการโจมตีของพวกมองโกลในปี ฮ.ศ. 656 (ค.ศ.1235)
3) ยืนยันในความจำเป็นที่จะต้องยึดถือคัมภีร์อัลกุรอานและสุนนะฮ(แบบฉบับของศาสนทูตมูฮัมมัด)
4) ยึดมั่นในแนวทางของอะฮลิสสุนนะฮวัลญะมาอะฮ (นิกายสุนนีย์)
5) เรียกร้องสู่หลักเตาฮีด (การให้เอกภาพต่อพระผู้เป็นเจ้า) อันบริสุทธิตามแนวทางของกัลญานชนมุสลิมในยุคแรกของอิสลาม
6) เน้นหลักเตาฮีดอูลูฮียะฮ (การให้เอกภาพต่อพระผู้เป็นเจ้าในด้านการเคารพสักการะ) และหลักเตาฮีดอัสมาอ
วัศศิฟาต (การให้เอกภาพต่อพระผู้เป็นเจ้าด้านนามชื่อ และคุณลักษณะของพระองค์)
7) ต่อต้านสิ่งเหลวไหลและอุตริกรรมทางศาสนาที่แพร่หลายในสังคมอันเนื่องจากความโง่งมงายของผู้คน
8) คัดค้านกลุ่มฏอรีเกาะฮซูฟีย์และกลุ่มมุตะกัลลีมีน และสิ่งอุตริทางศาสนาที่กลุ่มเหล่านี้สร้างขึ้นมา
9) ต่อต้านการทำชีริก (ตั้งภาคี) ต่ออัลลอฮทุกประเภท
10) ต่อต้านการตักลีด (การตามอย่างคนตาบอด) และเรียกร้องสู่การให้ความรู้และการค้นคว้าหาหลักฐาน

4. อิทธิพลและการแพร่หลายของกลุ่มวะฮาบียะฮ
ภายใต้การอุปถัมป์ของราชวงศ์สะอูดทำให้วะฮาบียะฮแพร่หลายในซาอุดิอาระเบีย โดยเฉพาะภายหลังการสถาปนาราชอาณาจักรโดยกษัตริย์อับดุลอาซีซ อิบน อับดิรรอหมาน อาลิสะอูด ในปี ฮ.ศ. 1351 (ค.ศ.1930) และต่อมาวะฮาบียะฮได้แพร่หลายอย่างรวดเร็วยังกลุ่มประเทศต่างๆ ในโลกมุสลิมผ่านทางคณะต่างๆ ที่เดินทางเข้ามาเพื่อประกอบพิธีอัจย์และอุมเราะฮ และนักศึกษาที่เข้ามาศึกษาในมัสยิดหะรอมทั้งสองแห่งที่นครมักกะฮและนครมะดีนะฮ และที่เข้ามาศึกษาในโรงเรียน มหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษาอื่นๆ ในซาอุดิอาระเบียและประเทศใกล้เคียง ปัจจุบันรัฐบาลซาอุดิอาระเบียให้ทุนการศึกษาแก่นักเรียนมุสลิมทั่วโลกเป็นจำนวนมากเพื่อเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่สอนเกี่ยวกับอิสลามศึกษาและภาษาอาหรับทั้งในระดับปริญญาตรี ปริญญาโทและปริญญาเอก บัณฑิตที่จบจากมหาวิทยาลัยเหล่านี้กระจัดกระจายอยู่ในทุกส่วนของโลกเพื่อทำหน้าที่อบรมสั่งสอนจริยธรรมอิสลาม และเรียกร้องเชิญชวนสู่หลักการอันบริสุทธิ นอกเหนือจากนั้นแล้วรัฐบาลซาอุดิอาระเบียยังได้สนับสนุนงานด้านสังคมสงเคราะห์ การเผยแผ่อิสลามในรูปแบบต่างๆ แก่มุสลิมทั่วโลกอีกด้วย อาทิ เช่น การสร้างมัสยิดและสถาบันการศึกษา การจัดอบรมภาษาอาหรับและวิทยาการอิสลาม การพิมพ์อัลกุรอานและความหมายอัลกุรอานเป็นภาษาต่างๆ กว่า 150 ภาษา (รวมทั้งภาษาไทย) และการช่วยเหลือสงเคราะห์คนยากจนและผู้ได้รับความเดือดร้อนจากภัยพิบัติ เป็นต้น ดังกล่าวมานี้แสดงให้เห็นถึงการแผ่ขยายของวะฮาบียะฮภายใต้การสนับสนุนอย่างจริงจังจากรัฐบาลของซาอุดิอาระเบีย สำหรับอิทธิพลของวะฮาบียะฮนั้นอาจกล่าวได้ว่า วะฮาบียะฮหรือสะละฟียะฮในชื่อทางวิชาการได้มีอิทธิพลอย่างใหญ่หลวงต่อการฟื้นฟูอิสลามและการปฏิรูปสังคมมุสลิม
ให้กลับไปสู่หลักคำสอนดั้งเดิมอันบริสุทธิ ขบวนการฟื้นฟูอิสลามที่เกิดขึ้นในระยะหลังในแอฟริกา ในอียิปต์ และในชมพูทวีป ล้วนแล้วแต่ได้รับอิทธิพลและอานิสงส์จากแนววะฮาบียะฮด้วยกันทั้งสิ้น


บทส่งท้าย
วะฮาบียะฮ อาจถูกมองว่าเป็นแนวใหม่หรือลัทธิใหม่ในอิสลาม แต่นั่นเป็นความเข้าใจผิด เพราะใน วะฮาบียะฮไม่มีคำสอนใดที่ออกนอกหลักการอิสลาม ตรงกันข้ามวะฮาบียะฮเรียกร้องผู้คนให้กลับไปสู่หลักคำสอนดั้งเดิมอันบริสุทธิของอิสลาม ขบวนการวะฮาบียะฮจึงไม่แตกต่างไปจากขบวนการฟื้นฟูอิสลามอื่นๆในแนวอะฮลิสสุนนะฮ (สุนนีย์) ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นแต่อย่างใด การกล่าวหาว่าขบวนการวะฮาบียะฮเป็นขบวนการก่อการร้ายเท่ากับเป็นการกล่าวหาคำสอนของอิสลามอันบริสุทธิ
ว่าเป็นคำสอนที่ต้องการให้ผู้ปฏิบัติมีความคิดหรือมีพฤติกรรมอย่างนั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่รับไม่ได้ และไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง จึงสมควรที่จะได้รับการเผยแพร่เพื่อความเข้าใจในวงกว้างต่อไป...

วัสลามมูอะลัยกุมวาเราะห์มาตุลลอฮฺ วาบารอกาตุ"



5
อ้างจาก: เด็กน้อยๆ

อัสสลามมุอลัยกุม พี่น้องทุกท่าน

คือว่าผมได้ลองเอาบทความนี้ ไปลองโพสต์ในเว็บบอร์ดของเว็บ Sunnahstudent ดู

http://www.------------------------

ได้ผลปรากฎว่า เว็บมาสเตอร์ลบกัน 3-4 รอบเลยครับ เหอๆ ดูท่าเว็บมาสเตอร์จะไม่อยากให้เด็กๆ อัลอะชาอิเราะฮ์ของเขาไขว้เขวน่ะ

พ้มเองก็ไม่รู้จะทำไง กับโต๊ะครูที่อยากอนุรักษ์หนทางหากินของตัวเอง (กินบุญรับซองบ้านคนตาย ฯลฯ)

หรือพี่น้อง ( ****สงวน*** ) มีความเห็นว่าไงกันบ้างครับ? ช่วยออกความเห็นกันที ว่าจะช่วยเหลือชาวบ้านพี่น้องมุสลิมเรา
กันอย่างไรดี ไม่ให้พวกโต๊ะครูโคโยตี้พวกนี้มันหลอกกิน....
วัสสลามมุอลัยกุม

อัสสลามมุอลัยกุม ฯ เด็กน้อยๆ

.....ข้อความที่เด็กน้อยๆได้ไปโพสท์ด้วยความหวังดีที่เว็บหนึ่ง  (ผมอ่านแล้วนะ บทความตั้งแต่ปีที่แล้ว)

.....และไม่ต้องกลัวว่า เด็กๆอัลอะชาอิเราะฮ์อย่างผมเอง จะไขว่เขวนะ ขอบคุณที่เป็นห่วง

.....และถามหน่อยนะ โต๊ะครูโคโยตี้ คืออะไรเหรอ แบบว่าแก่แล้วไม่ค่อยเข้าใจ ช่วยอธิบายหน่อยดิ นิยามหน่อยก็ดีนะ

.....ปล. เอามาลงเว็บนี้ไม่ใช่ว่าจะประจานนะ แต่ว่าอยากให้มาแสดงความหวังดีที่เว็บนี้อย่าไปปล่อยที่อื่น เดี่ยวคนอื่นจะเข้าใจผิด



โอเค ลงได้ไม่มีปัญหาครับ ที่จริง ผมเองก็ต้องขอบคุณด้วยซ้ำ ที่ช่วยเอามาลงให้อ่าน เพราะว่าที่โน่นโดนลบไปแล้ว ท่าทาง 2 เว็บนี้ จะมีอะไรบาดหมางกันไม่น้อย

โต๊ะครูโคโยตี้ ก็คือ โต๊ะครูที่เต้นกินรำกิน ตามที่ชาวบ้านบอกให้เป็น ถึงแม้เค้าจะไปเรียน ไปศึกษาความรู้ถึงต่างประเทศก็ตาม โดยไม่สนใจว่า
เป็นสิ่งที่ค้านกับอัลกุรอ่าน และซุนนะฮ์นบีหรือไม่ก็ตาม และไม่สนใจว่าจะก่อให้เกิดการอุตริตามมาหลังจากเขาอย่างไรก็ตาม เอาคร่าวๆ แค่นี้นะครับ


6
พี่น้องทั้งหลายเคยได้ยินไหมครับว่า  แนวทางอะฮ์ลิสซุนนะฮ์อัลอะชาอิเราะฮ์เคยฮุกุ่มแนวทางอื่นว่าเป็นชาวนรก?


ที่จริงเราเอง ก็ไม่ได้ฮูกุ่มท่านหรอกนะ ว่าเป็นชาวนรก เราเพียงแต่นำคำพูดที่เป็นฮะดีษของท่านนบีมาบอกกล่าวไว้ให้ท่านได้ระวังไว้มากกว่า

และคำพูดของนบีฯ ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นจะต้องยึดถือตาม หรือว่าคุณนูรุ้ลอิสลามไม่ได้เชื่อที่ท่านนบีบอกว่า "ทุกบิดอะฮ์คือความหลงผิด และทุกๆ ความหลงผิดอยู่ในนรก" เหรอครับ?

เราไม่ได้เชื่อเองว่าเป็นเช่นนี้ เราเชื่อเพราะนบีฯ บอก แต่ถ้าท่านจะไม่เชื่อ แต่ยังอยากทำต่อ โดยไม่ได้ฉุกคิดที่เราหวังดีบอกไป ก็แล้วแต่ท่านละ เฮ้อออออออ...

7
เช้าแล้วอ่ะ เอาเป็นว่า ผมออฟไลน์ไปก่อนละกัน ค่อยเข้ามาอ่านคำตอบท่านวันหลัง ไม่ไหวรอท่านตอบ เดี๋ยวไม่ทันละหมาด....

ถ้าท่านจะลบกระทู้นี้ออก ก็ไม่เป็นไรครับ ตามสบาย ถ้างั้นค่อยตอบมาทาง "ข้อความส่วนตัว" ละกันนะ มีภารกิจต้องไปทำต่อ... :D

วัสสลามมุอลัยกุมว่าเราะมะตุ้ลลอฮ์ ว่าบารอกาตุฮ์...

8
วอลัยกุมุสสลาม

ก็ต้องตอบตามความเป็นจริงนะครับ คุณเว็บมาสเตอร์ ว่าผมพึ่งจะพบบทความนี้ เพราะผมไม่ค่อยได้เข้าเว็บนั้นเท่าไหร่...

อ๋อ แน่นอนละครับ ว่าเมืองมักกะฮ์และมาดีนะฮ์ นำมาเป็นหลักฐานอย่างที่ท่านเข้าใจไม่ได้

แต่ในเมื่อเราก็รู้ๆ กันอยู่ ว่าเมืองมาดีนะฮ์เป็นเมืองที่ยังคงรักษาซุนนะฮ์ของท่านนบีฯ แบบดั้งเดิมได้อย่างเหนียวแน่น

อย่างน้อยมันก็น่าคิดไม่ใช่เหรอครับ? ว่าในเมื่อแหล่งที่ท่านนบีฯ ได้เผยแพร่เป็นอันดับต้นๆ ไม่มีสิ่งที่เรากำลังกระทำกันอยู่ในปัจจุบัน
หรือจะบอกว่า เมืองมาดีนะฮ์ไม่รักษาซุนนะฮ์นบีฯ กันซะแล้วครับ แต่ว่าพวกเราที่ทำในสิ่งที่ท่านนบีฯ ไม่เคยทำ ซอฮาบะฮ์ก็ไม่เคยทำ
กลายเป็นเเหล่าคนที่รักษาซุนนะฮ์นบีฯ แทน?

ในส่วนหนังสือที่ท่านอ้างมาคือ "หนังสือ อัลหาวีย์ ฟี อัลฟะตาวา เล่ม 2 หน้า 234 " ผมเองก็ไม่ค่อยสันทัดวิชาการแบบท่านสักเท่าไหร่ (ก็เคยบอกไปแล้ว)
ที่จริง ถ้าท่านจะอ้างถึงเรื่องที่ท่านอ้างมา ก็อ้างฮาดีษซอเฮียะบุคอรี/มุสลิม จะไม่ดีกว่าเหรอครับ? ให้มันเห็นๆ กันไปเลย ผมและพี่น้อง จะได้หาเปิดดูกันง่ายๆ หน่อย
ไม่ใช่มาอ้างหนังสือ อ้างหน้าหนังสือ อย่างที่ท่านทำอยู่

ส่วนที่ท่านบอกมาว่า...

"การสุนัตให้อาหาร(เป็นทานแก่มัยยิด)นั้น ไม่เคยถูกทิ้งการกระทำมาเลยตั้งแต่สมัยของซอฮาบะฮ จวบจนถึงปัจจุบัน"

อย่างนี้ มันก็ค้านกับฮาดีษที่บอกว่า หลังจากบุคคลใดๆ ได้ตายลง การงานผลบุญถูกตัด เหลือเพียง 3 ทางเท่านั้น ที่จะได้รับผลบุญสิครับ คือ
1.ความรู้ที่ยังประโยชน์
2.ซอดาเกาะฮ์ญารียะฮ์ (การทำทานถาวร)
3.ลูกซอเเละฮ์ที่ขอดุอาอ์ให้

ไม่เห็นมีการให้อาหารเป็นทานอย่างที่ท่านยกมาเลยครับ? ทำไมมันขัดกันล่ะครับ? เป็นไปได้เหรอครับที่เรื่องศาสนามันจะขัดกันในสิ่งที่ถูกต้อง?
นั่นแหละครับ ผมถึงบอกว่าให้อ้างอิงฮาดิษซอเฮียะมา (เฮ้อ เอาเถ๊อะ ฮาดิษฮาซันก็ยังดี) ก็ท่านดันอ้างหนังสือ มันก็แย้งกันแบบนี้แหละ คราวหน้าขอฮาดีษซอเฮียะไปเลยนะครับ พี่น้องเราในนี้และผมจะได้ไปเปิดดูกันง่ายๆ หน่อย ไม่ต้องมานั่งดูอ้างอิงหนังสือแทนฮาดิษอีก...

เพราะถ้าท่านอ้างหนังสือน่ะนะครับ โดยที่ไม่มีหลักฐานอัลกุรอ่านหรือฮาดีษที่เชื่อถือได้กำกับ มันก็อดห่วงไม่ได้ละครับ ว่าผู้แต่งหนังสือกำลังใส่ทัศนะตนเองหรือเปล่า?
เพื่อจะได้เป็นหลักฐานยืนยันในสิ่งที่ตัวเองทำ โดยใส่ความคิดของตนเองเข้าไป แต่ถ้าไม่ใส่ ก็ขอหลักฐานครับ...

เอ้า ตอบที ทำไมที่ท่านอ้างมามันขัดกับฮาดีษข้างต้น เรื่องผลบุญหลังจากมุสลิมตาย 3 ข้อนั้นครับ คุณเว็บมาสเตอร์?



9
อ้อ คุณนูรุ้ลอิสลาม ติดอามานะฮ์ผมอยู่เรื่องนะครับ เรื่องความเข้าใจในคำว่า "วะฮาบี" คืออะไร? อย่าลืมตอบด้วยนะครับ

แล้วก็เลยฝากฮาดีษอีกบท...


ท่านรอซูลุลอฮ์กล่าวว่า

?แท้จริงอัลลอฮ์จะทรงปิดกกั้น-ไม่รับ-การเตาบะห์ของผู้ทำบิดอะห์ทุกคน จนกว่าเขาจะทิ้งการทำบิดอะห์นั้นเสีย? บันทึกโดยอัตติรมีซีย์

10
ส่วนถ้าจะบอกว่าแนวทางของอัลอะชาอิเราะฮ์เป็นแนวทางบิดอะฮ์อย่างที่คนอื่นๆ เค้าว่ากัน

แล้วมันผิดตรงไหนครับ? คุณนูรุ้ลอิสลาม

ก็ในเมื่อพวกท่านบอกเอง ว่าท่านทำ -บิดอะฮ์ฮาซานะฮ์- ก็ถ้าพวกท่านจะโดนเรียกว่ามุสลิมสาย "บดอ.(บิดอะฮ์) " แล้วมันผิดตรงไหน? ในเมื่อท่านบอกเองว่าท่านทำบิดอะฮ์
เออ.. คนเรามันก็เเปลก ไม่อยากให้คนอื่นเรียกว่ามุสลิมสายบิดอะฮ์ แต่ดันทำบิดอะฮ์....

-  อิมามชาฟิอีย์  ก็แบ่งบิดอะฮ์ออกเป็นสองคือบิดอะฮ์ที่ฮาซานะฮ์กับบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลง  ผมไม่เห็นว่าอิมามชาฟิอีย์จะเข้าใจว่า  หากแบ่งบิดอะฮ์ออกเป็นแบบนี้และปฏิบัติ  แนวทางของท่านอิมามชาฟิอีย์จะกลายเป็นพวกบิดอะฮ์  ซึ่งไม่มีนักปราชญ์ผู้มีคุณธรรมท่านใหนหรอกที่เรียกกลุ่มทัศนะที่แบ่งแยกออกเป็นบิดอะฮ์หะซานะฮ์ว่า "เป็นพวกบิดอะฮ์"  นอกจากกลุ่มวะฮาบีย์เท่านั้น  ที่อุตริจุดยืนการเรียกนี้ขึ้นมา  จะเรียกว่ากลุ่มสะละฟีย์หรือ ก็ไม่ถูกต้องเพราะสะลัฟเองเขาไม่มีพฤติกรรมอย่างนี้  จะเรียกว่ากลุ่มอะฮ์ลิสซุนนะฮ์หรือ  ก็ไม่ถูกเพราะกลุ่มอะฮ์ลิสซุนนะฮฺเขาไม่มีพฤติกรรมอย่างนี้  นอกจากลุ่มวะฮาบีย์ครับ  ชื่อนี้เหมาะสำหรับพวกเขาและไม่หยาบคายแต่อย่างใด

-  กลุ่มวะฮาบีย์กลุ่มว่าแนวทางอัลอะชาอิเราะฮ์นั้นเป็นแนวทางบิดอะฮ์  ธาตุแท้จริงๆของกลุ่มวะฮาบีย์นั้น  ไม่ใช่พวกเขาฮุกุ่มอัลอะชาอิเราะฮ์บิดอะฮ์เท่านั้น  แต่พวกเขาฮุกุ่มว่าเป็นกาเฟรหรือกุฟฟารเลยก็ว่าได้  ซึ่งได้ระบุเอาไว้ในตำราของวะฮาบีย์เอง  ดังนั้นเราจึงทราบได้ว่า  วะฮาบีย์เองนั้นพวกเขาคิดว่ากลุ่มอื่น ๆ นอกจากตนนั้นลงนรกหมดแหละครับ นอกจากกลุ่มวะฮาบีย์เท่านั้น

-  เราเรียกพวกเขาว่า วะฮาบีย์  แต่พวกเขาเคืองครับ นั่นก็เพราะว่าวะฮาบีย์นั้นยึดเพียงแค่  นิยมรูปภายนอก  ตั้งชื่อให้โก้ไว้ก่อน  แต่วะฮาบีย์เคืองเมื่อตนเองถูกเรียกว่าวะฮาบีย์  ทั้งที่ความหมายมันดีจะตายไป   แต่ในขณะเดียวกันวะฮาบีย์เองก็เรียกฝ่ายอื่นเสียชั่วช้าไปเลยครับ  เช่นเรียกว่า "พวกบดอ" (พวกโง่งี้เง้า)  หรือเรียกว่า "พวกบิดอะฮ์" (หมายถึงพวกนรก) เพราะวะฮาบีย์มีความเชื่อมั่นศรัทธาว่า  "ทุกพวกที่อื่นจากตนนั้นบิดอะฮ์  ทุกพวกบิดอะฮ์นั้นลุ่มหลง และทุกพวกที่ลุ่มหลงนั้นลงนรก"  ดังนั้น  มุสลิมทั่วไปคือพวกนรก นอกจากพวกวะฮาบีย์เท่านั้นที่เป็นพวกสวรรค์(รำไร)

- แต่แม้ว่าพวกวะฮาบีย์จะเรียกเราว่า พวกบดอหรือพวกบิดอะฮ์ เราก็เฉยๆน่ะ  ไม่ได้โกรธเคืองอะไรกับคำพูดของพวกหยิบมือเดียว   แม้คุณเด็กน้อยๆ จะบอกว่าเราเป็นมุสลิม(แต่เป็นชาวนรกตามทัศนะของเขา)  มันก็น่าชื่นใจดีน่ะ  ;D



55555 มั่วได้ที่จริงๆ ผมว่าคุณนูรุ้ลอิสลามคงโดนปั่นหัวมาน่าดูจากบรรดาผู้เสียผลประโยชน์ ผมละนั่งหัวเราะข้อความนี้ของท่านซะเกือบ 1 นาที

งั้นตอบให้ท่านเลยละกัน...

ท่านบอก...

"-  กลุ่มวะฮาบีย์กลุ่มว่าแนวทางอัลอะชาอิเราะฮ์นั้นเป็นแนวทางบิดอะฮ์  ธาตุแท้จริงๆของกลุ่มวะฮาบีย์นั้น  ไม่ใช่พวกเขาฮุกุ่มอัลอะชาอิเราะฮ์บิดอะฮ์เท่านั้น  แต่พวกเขาฮุกุ่มว่าเป็นกาเฟรหรือกุฟฟารเลยก็ว่าได้  ซึ่งได้ระบุเอาไว้ในตำราของวะฮาบีย์เอง  ดังนั้นเราจึงทราบได้ว่า  วะฮาบีย์เองนั้นพวกเขาคิดว่ากลุ่มอื่น ๆ นอกจากตนนั้นลงนรกหมดแหละครับ นอกจากกลุ่มวะฮาบีย์เท่านั้น"

อ๋อ ท่านมั่วแล้วครับ การทำบิดอะฮ์ถึงจะเป็นบาป แต่ก็จริงอยู่ว่าบางอย่างไม่ถึงขึ้นตกมุรตัดเป็นกาเฟร แล้วมันเรื่องอะไรที่เราต้องไปฮูกุ่มพวกท่านแบบนั้นครับ? แล้วตำราอ้างอิงนี่
มันเล่มไหนกันครับ? ช่วยเอาชื่อกับหน้าเพจหนังสือ ให้ผมที ผมจะได้ไปเปิดค้นดู ผมเองก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าขนาดนั้นเลยเชียว?

ถ้าเป็นชีอะฮ์น่ะ แน่นอน อย่างที่ท่านว่าเปี้ยบละครับ ซุนนีย์ทุกสาย โดนฮูกุ่มหมดว่าเป็นกุฟฟาร ว่าตกมุรตัด และชีอะฮ์คิดว่าซุนนีย์ลงนรกหมด นอกจากกลุ่มชีอะฮ์เอง
ผมว่าไม่ท่าน หรือคนที่บอกท่านสับสน ไม่ก็โดนชีอะฮ์หลอกอีกแล้วละครับท่าน ไม่เชื่อก็ไปถามเว็บมาสเตอร์ดู ผมละอยากรู้จริงๆ ว่าหนังสือเล่มไหน?

ท่านยังบอกอีกว่า...

"แต่ในขณะเดียวกันวะฮาบีย์เองก็เรียกฝ่ายอื่นเสียชั่วช้าไปเลยครับ  เช่นเรียกว่า "พวกบดอ" (พวกโง่งี้เง้า)  หรือเรียกว่า "พวกบิดอะฮ์" (หมายถึงพวกนรก) เพราะวะฮาบีย์มีความเชื่อมั่นศรัทธาว่า  "ทุกพวกที่อื่นจากตนนั้นบิดอะฮ์  ทุกพวกบิดอะฮ์นั้นลุ่มหลง และทุกพวกที่ลุ่มหลงนั้นลงนรก"  ดังนั้น  มุสลิมทั่วไปคือพวกนรก นอกจากพวกวะฮาบีย์เท่านั้นที่เป็นพวกสวรรค์(รำไร) "

เรื่อง "บดอ." นี่ ผมก็ชี้แจงไปแล้วนะครับ ที่ตอบคุณ isma-il คงไม่ตอบแล้วนะครับ ประเด็นนี้ ท่านไปอ่านเอาเอง...
ส่วนคำว่า "พวกบิดอะฮ์ (หมายถึงพวกนรก)" ของท่านนี่ ท่านมึนอีกแล้วครับ บิดอะฮ์น่ะ มันหมายถึง การต่อเติมในเรื่องศาสนา ถ้าไม่เตาบัตตัวก่อนตาย ก็อาจจะลงนรก วัลลอฮูอลัม
ท่านอย่ารีบฮูกุ่มตัวเองสิครับ ว่าเป็นชาวนรก...

ส่วนอีกท่อนที่ท่านบอก "ทุกพวกที่อื่นจากตนนั้นบิดอะฮ์  ทุกพวกบิดอะฮ์นั้นลุ่มหลง และทุกพวกที่ลุ่มหลงนั้นลงนรก" ท่านมึนรอบ 3 อีกแล้ว
จริงๆ น่ะมันเป็นอันนี้ครับ "กุ้ลลูบิดอะดอลาละฮ์ ว่ากุ้ลลูดอลาละฮ์ตินฟินนาร" "ทุกๆ บิดอะฮ์คือความหลงผิด และทุกความหลงผิด(อยู่)ในนรก" อีกฮาดิษ

ท่านรอซุลุลลอฮ์ทรงกล่าวว่า
?พวกท่านพึงระวังสิ่งที่เป็นถูกอุปโลกน์ทั้งหลายในศาสนาเถิด ทั้งนี้เพราะทุกสิ่งที่ถูกอุปโลกน์ในศาสนาเป็นอุตริกรรมทั้งสิ้น และทุกอุตริกรรมในศาสนาล้วนเป็ความผิด (นอกรีต) และทุกความผิด (นอกรีต) ย่อมต้องอยู่ในนรกอย่างแน่นอน? บันทึกโดยอะหมัดและอัตติรมิซีย์

ขอมาอัฟครับ ถ้าท่านจะโดนใครๆ เค้าฮูกุ่มพวกท่านด้วยกับข้อความท่อนด้านบน พวกผมไม่ได้พูดเองนะครับท่าน แต่เป็นฮาดีษที่ท่านนบีฯ กล่าว

นบีฯ บอก "ทุกๆ บิดอะฮ์" นะครับ ไม่ใช่เฉพาะบิดอะฮ์ฮาซานะฮ์ถึงจะรอด...

แล้วตกลง วันนี้เราจะเชื่อใครครับ? คุณนูรุ้ลอิสลาม และพวกท่านทั้งหลาย...

เราจะเชื่อโต๊ะครู จะเชื่ออีหม่าม จะเชื่อใครๆ หรือว่าเราจะเชื่อท่านนบีมูฮัมหมัด ศ็อลล็อลลอฮูอลัยฮิวะซัลลัม ดีครับ?

คุณนูรุ้ลอิสลาม ตอบผมที...


11
แป้บนะท่าน ขอตอบกระทู้นู้นให้เสร็จก่อน

มีไร ก็โพสต์ไปพลางๆ ละกัน ...

12
สลาม ถึงเด็ก(สมอง)น้อยๆ 
ไม่กล้าตอบไรแระ พอดีเพิ่งเห็นหัวข้อกระทู้


Re: ถึงคุณ al-azhary โดยตรง(2) โปรดอ่าน

 ;D ;D





เรียนคุณ หนูอยากรู้

ไม่ใช่ไม่กล้าตอบครับ แต่ติดภารกิจงานหลายๆ อย่าง และยิ่งรัดตัวยิ่งขึ้น เพราะไม่โสดแล้วครับ  :)


13
อ้างถึง

ก็ในเมื่อพวกท่านบอกเอง ว่าท่านทำ -บิดอะฮ์ฮาซานะฮ์- ก็ถ้าพวกท่านจะโดนเรียกว่ามุสลิมสาย "บดอ.(บิดอะฮ์) " แล้วมันผิดตรงไหน? ในเมื่อท่านบอกเองว่าท่านทำบิดอะฮ์

เรียนถามคุณเด็กน้อย แบบว่าสงสัย ?

.......คือผมคิดว่าการเรียกคนมุสลิมสาย "บดอ(บิดอะฮ์)" นั้นเป็นคำเรียกเชิงดูถูกอย่างชัดเจน เพราะคำว่า "บดอ" ถ้าภาษามลายูนั้นสามารถอ่านออกเสียงโดยแปลว่า โง่ ซึ่งถ้าคนที่กล่าวรู้ความหมาย เวลาเขาเรียกก็แปลว่าเขากำลังด่าพี่น้องมุสลิมด้วยกันว่าโง่

.......ส่วน วาฮาบีย์ นั้น รูปคำก็ไม่มีในเชิงความหมายอื่นๆ นอกจากเรียก กลุ่ม หรือ ชื่อบุคคล ที่อ้างอิงไปถึง

ดังนั้นจึงเป็นความแตกต่างนะ หรือคุณคิดว่ายังงัย
.......ส่วนใครจะเรียกว่ามุสลิมสายบิดอะฮ์ อันนี้ผมไม่มีความคิดเห็น แต่ก็ไม่พอใจถ้ามีใครเรียกอย่างนั้น ส่วนเหตุผลที่ไม่พอใจ คงไม่ต้องบอก

อ้างถึง
เพราะมุสลิมในประเทศไทยส่วนใหญ่ ที่หลงไปกับแนวทางของชีอะฮ์ 12 อีหม่าม ก็คือมุสลิมในแนวทางของ...

อัลอะชาอิเราะฮ์....นั่นเอง              (สำรวจมาแล้ว และยืนยันข้อมูลครับ)

เรียนถามคุณเด็กน้อย
.....คุณไปสำรวจเมื่อไร ยืนยันได้ยังงัย
ที่คุณกล่าวว่า มุสลิมในแนวทางของ อัลอะชาอิเราะฮ์ ผมว่าคุณน่าเรียกว่า มุสลิมซุนนี มากกว่ามั้ง
เพราะว่า ถ้าถามบางคน ว่าเขารู้จักอีมามอบูฮาซัน อัลอัชอารีย์ ใหม ผมว่าไม่รู้จักเยอะนะ
.....หรือคุณว่างัย  ;D
[/quote]



555 ผมเองก็พึ่งจะสังเกต ว่ามันไปพ้องกับภาษามลายูที่พ้องกับคำว่า "บอด้อ = โง่" ที่จริง ก็ไม่ได้จะหมายความว่าโง่หรอกครับ ที่คุณเข้าใจผิดคงเพราะความ
ขี้เกียจใส่จุด หลายๆ ตัวนั่นเอง ที่จริงๆ มันเป็นอย่างนี้ต่างหากครับ "บ.ด.อ.(บิดอะฮ์)" ครับ

ส่วนที่คุณไม่พอใจเรื่องที่ว่าโดนเรียกว่ามุสลิมสาย(ทำ)บิดอะฮ์นั้น คุณก็ต้องรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเราครับ เพราะเราเองก็ไม่ชอบโดนเรียกว่าเป็น "วะฮาบี" โดยไม่มีเหตุผล
เหมือนกัน ถ้าทางคุณยังยืนยันที่จะเรียกเราเช่นนั้น ท่านก็บ่นไม่ได้ครับ ถ้าเราจะเรียกท่านบ้างว่า "มุสลิมสายบิดอะฮ์" จึงเรียนมาให้ท่านได้เข้าใจ

ส่วนที่ผมบอกไปว่า ส่วนใหญ่ที่หลงไปเป็นชีอะฮ์นั้น ก็เป็นมุสลิมที่มาจากสายอัลอะชาอิเราะฮ์นี้ แล้วจะไม่ให้ผมรู้ข้อมูลนี้ได้ยังไงกันครับ?

ในเมื่อผมคุยกับชีอะฮ์มานาน แล้วหลายคนด้วย ล้วนแต่บอกมาว่าเป็นมุสลิมสายเก่า สายกินบุญบ้านคนตาย อ่านอีซีกูโบร์ ฯลฯ มาก่อนแทบทั้งสิ้น
บวกกับพรรคพวกผมหลายๆ คนก็ไปคุยมา แล้วก็เจอคำตอบมาแบบเดียวกัน ไม่รู้ก็ต้องรู้แหละครับ งานนี้ ว่ามาจากสายไหนกัน...

อนึ่ง ก็น่าสังเกตว่า พอเวลาชีอะฮ์เรียกทางเรานั้น ก็เรียกว่า "วะฮาบี" เหมือนกันกับทางสายมุสลิมบิดอะฮ์เลยครับ ไม่เห็นจะต่างกันเลย

อย่างนี้มันก็น่าสนใจดีนะ ว่าที่ผ่านมานั้น มีที่มา มาจากมุสลิมสายบิดอะฮ์หรือเปล่า?...

ท่านคิดว่าไงครับ? ท่าน isma-il



14
อ๋อ ลบมานานแล้ว โอเคครับเข้าใจ

ผมจัดการลบลายเซ็นให้ได้ แต่คงต้องเเลกกับการที่ลิงค์นี้คงไปโผล่ในหลายๆ ที่ ต่อไปท่านคงลำบากหน่อยนะครับ พอกลับมา

อนึ่ง ท่านบอกว่า ท่านกลัวอัลลอฮ์ ดังนั้น เมื่อท่านไปเรียนถึงอียิปต์ ไคโร อยากทราบจริงๆ ว่าที่ไคโรนี่เค้าทำบุญกัน 7 วันหรือเปล่า?

มีอ่านอีซีกูโบร์ไหม? ถ้ามี ก็น่าสนใจ น่าค้นหาข้อมูลเพื่อสืบเสาะสำหรับการปฏิบัติตาม แต่ถ้าไม่มี แล้วที่มาดีนะฮ์ มักกะฮ์ก็ไม่มี

และก็ไม่ทำ เพราะหาหลักฐานอ้างอิงที่หนักแน่นไม่เจอ

แล้วท่านจะตอบต่อหน้าอัลลอฮ์อย่างไรครับ? ตรงนี้แหละที่มันวัดกันว่า ท่านกลัวอัลลอฮ์จริงหรือเปล่า?

ช่วยตอบผมที?...

15
กลัวเหรอครับ? ท่านกลัวอะไร?

กลัวเค้ารู้ความจริงหรือไง?

ถ้ากระดานนี้เป็นกระดานเสวนาธรรม ก็น่าจะเปิดโอกาสให้พี่น้องคนอื่นๆ ได้เรียนรู้เกี่ยวกับแนวทางของสายอื่นๆ บ้างไม่ใช่หรือ?

นี่ท่านไม่เปิดโอกาสเลยครับ เหมือนท่านต้องการปกปิดอะไรสักอย่าง

ถึงผมไม่ทำอะไรวันนี้ ยังไงๆ วันหนึ่ง ผู้คนก็ต้องรู้อยู่แล้ว แล้ววันนั้นท่านจะอยู่ยังไงครับ?

แค่ผมลงลายเซ็น ท่านก็เสียวไปถึงตาตุ่มซะแล้ว

ท่านมีอำนาจนี่ครับ เชิญไปแก้ไขลายเซ็นในเเอ็คเค้าต์ผมได้เลย ผมยินยอมครับ ในโลกออนไลน์แห่งนี้ ท่านอำนาจล้นมืออยู่แล้ว....

แต่ในโลกความจริง ระหว่างที่คุณเรียนอยู่ที่ไคโร กว่าจะกลับมา สงสัยคงไม่ทันซะแล้วครับ

เพราะยังมีหนทางอื่นๆ อีกมาก ที่มีทราฟฟิคสูงๆ ที่จะสามารถเผยแพร่ได้

จะลบลายเซ็นต์ผม ก็เชิญ ยินยอมครับ   :D;D

หน้า: [1] 2 3 4