แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - al-kudawah

หน้า: [1] 2 3 ... 16
1
ความหมายของ "อัลเอี๊ยะห์ซาน"

โดย เป็นแค่ คนรอง

คำว่า "อัลเอี๊ยะห์ซาน" ตามที่ท่านนบี(ซล.)ได้ทรงกล่าวไว้ ก็คือ

أَنْ تَعْبُدَ اللهَ كَأَنَّكَ تَرَاهُ فَإِنْ لَمْ تَكُنْ تَرَاهُ فَإِنَّهُ يَرَاكَ

ความว่า "คือการที่ท่านทำอิบาดะฮ์ต่ออัลเลาะฮ์ต้าอาลา เสมือนกับว่าท่านแลเห็นพระองค์ ถึงแม้ว่าท่านจะไม่เห็นพระองค์ แต่พระองค์ก็ทรงเห็นท่าน"

ดังนั้น หากท่านทำอมั้ลความดีใด โดยมีจิตสำนึกอยู่เสมอว่า อัลเลาะห์ทรงมองดูท่าน และมันทำให้ท่านห่างไกลจากการประพฤติชั่ว นั่นถือว่า ท่านมี "อัลเอี๊ยะห์ซาน" แล้ว ในระดับนึง และจงมุ่งมั่นสู่เอี๊ยะห์ซานขั้นต่อไป จนกว่าท่านจะพบกับความหอมหวานในรสชาติของการศรัทธา...

และเมื่อใดที่ในจิตใจของท่านพบว่า อิบาดะห์ของท่าน อีหม่านของท่าน มันช่างหอมหวาน และท่านมีความรักในพระองค์อย่างสุดซึ้ง นั่นก็แสดงว่า ท่านได้พบกับ "อัลเอี๊ยะห์ซาน" ขั้นสูงแล้ว แต่ก็ต้องพยายามต่อไป เพราะว่า คุณธรรมและความดีนั้น มันไม่มีวันสิ้นสุด และอีหม่านนั้น ก็มีวันขึ้น-ลง หากไม่รักษามัน มันก็จะหายไปเหมือนกับน้ำที่ซึมลงบ่อทราย

สิ่งสำคัญที่สุด ที่จะทำให้ท่านไปถึงขั้นของ "จิตที่สงบ" (อัลนัฟซุ้ลมุฎม่าอินนะห์) ก็คือ การที่ท่านหมั่นฝึกฝนจิตใจของท่าน และจรรยามารยาทที่แสดงออกของท่านให้แสดงออกมาโดยสวยงาม ทั้งคำพูดและการกระทำ และต้องระวังการมุ่งมั่นที่จะไปให้ถึงขั้นเพียงอย่างเดียว เพราะจะทำให้ท่านลืมไปว่า แท้จริงแล้วความสำเร็จนั้นอยู่ที่อัลเลาะห์ ไม่ใช่สำเร็จด้วยตัวท่านเอง ถ้าท่านมุ่งมั้นที่จะไปให้ถึงและคิดว่ามันมาจากตัวของท่าน ดังนั้น จิตของท่านจะยังไม่สามารถทะลุไปถึงพระองค์ได้หรอก ข้อนี้ต้องระวังให้ดี เพราะคนส่วนมากมักจะลืมว่า ความสำเร็จนั้น มันก็มาจากอัลเลาะห์ เพราะงั้นเมื่อปฎิบัติแล้ว ก็อย่าลืมขอดุอาอ์ พร้อมทั้งมุ่งมั่นกระทำต่อไป โดยให้ใจของท่านคิดอยู่เสมอว่า ทำได้เพราะอัลเลาะห์ และสำเร็จเพราะอัลเลาะห์ให้สำเร็จ เพียงเท่านี้ ท่านก็จะไปถึงฝั่งฝันของท่านได้อย่างไม่ยากเย็น ด้วยการอนุมัตของอัลเลาะห์...อินชาอัลเลาะห์

วัสสลามมู่อ้าลัยกุม ว่าเราะห์ม่าตุ้ลลอฮี่ ว่าบ้าร่อกาตุฮ์

2
ปราชญ์ผู้มีวิทยปัญญา !!

โดย เป็นแค่ คนรอง

เมื่อเราพูดถึงผู้รู้ในสายของคนซูฟีย์ พวกเขาก็คือ เหล่าปราชญ์ในยุคแรกๆที่มีความเข้าใจในหลักวิชาการทั้ง 3 อย่างแท้จริง อันได้แก่ วิชาเตาฮีด ฟิกห์ และตะเซาวุฟ ซึ่งนักวิชาการผู้ที่มีความรู้จริงเหล่านี้แหละ ที่ได้รับการยกย่องจากบรรดานักวิชาการด้วยกัน และจากผู้คนในทุกยุคสมัย

ท่านอิบนุกอยยิม(รฮ.) ได้กล่าวว่า

وإِنما الصوفية صوفية الحقائقِ الّذين خضعت لهم رؤوس الفقهاء والمتكلمين فهم في الحقيقة علماء حكماء

ความว่า "แท้จริงแล้วบรรดาชนซูฟีย์ ซึ่งเป็นซูฟีย์ผู้รู้แจ้งเห็นจริงจากแก่นแท้ของสิ่งต่างๆ ที่บรรดาเหล่าปราชญ์ทั้งฟิกห์และเตาฮีดต่างยอมสยบให้พวกเขา ในความจริงแล้ว พวกเขาก็คือ เหล่าปราชญ์ผู้มีวิทยปัญญา" ( หนังสือ ม่าดาริญ อัซซาลี่กีน เล่ม 1 หน้า 499 )

คำว่า "ปราชญ์ผู้มีวิทยปัญญา" นั้น หมายถึง ปราชญ์ทางด้านตะเซาวุฟ ซึ่งพวกเขามีความรู้และความเข้าใจทั้งในเรื่องของฟิกห์และเตาฮีดอยู่แล้ว แต่พวกเขามีความเข้าใจในอีกหนึ่งวิชา นั่นก็คือ วิชาของดาอีย์ตะเซาวุฟ ซึ่งพวกเขาจะประกอบไปด้วย หลัก 3 ประการ คือ 1.มีฮิกมะห์ในการสอน 2.มีความสุขุมนุ่มลึก และ 3.มีความซอบัร(อดทน)

หลักที่ 1.มีฮิกมะห์ หมายถึง พวกเขามีคำพูดที่แฝงไว้ด้วยเคล็ดลับและวิทยปัญญาซึ่งซ่อนอยู่ในคำพูดของเขา บางครั้งก็อาจจะฟังดูสับสนซึ่งความหมาย แต่หากได้ทบทวนจนเป็นที่เข้าใจแล้ว เราก็จะเข้าใจได้อย่างท่องแท้ว่า คำพูดของคนเหล่านี้ ก็คือสัจธรรมนั่นเอง

หลักที่ 2.มีความสุขุม หมายถึง พวกเขามีความนุ่มลึกทั้งในคำพูดและมารยาทที่แสดงออก พวกเขามีความนอบน้อมและมีความอ่อนโยนต่อผู้คนที่อยู่รอบข้าง พวกเขาไม่พูดมาก และพวกเขาพูดแต่เฉพาะสิ่งที่มีความจำเป็นเท่านั้น

หลักที่ 3.มีความซอบัร หมายถึง พวกเขามีความอดทนต่อผู้อื่นได้ดี พวกเขาไม่ชอบตำหนิ ไม่พูดจาหักหามน้ำใจผู้ใด เพราะพวกเขารู้ว่า การหักหามน้ำใจ และการตำหนิผู้อื่นด้วยถ้อยคำที่รุนแรงนั้น ย่อมนำพาความปวดร้าวและความทุกข์เข้าสู่จิตใจของคนผู้นั้น แต่พวกเขาจะใช้การอดทนและการตอบแทนในสิ่งที่ดีกว่า ในการเข้าหาผู้คน มาเป็นหลักในการยึดปฎิบัติแทน

นี่คือ คุณลักษณะ 3 ประการสำหรับบรรดาอุลามาอ์ในสายซูฟีย์ ซึ่งแน้นทางด้านของหลักการโน้มน้าวและการขัดเกลาจิตใจให้มีความน้อมน้อมและยอมสิโรราบต่อัลเลาะห์(ซบ.)ด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์

ช่างมีวาสนาเหลือเกิน...สำหรับผู้ที่ได้ครอบครองมัน

วัสสลามู่อ้าลัยกุม ว่าเราะห์ม่าตุ้ลลอฮี่ ว่าบ้ารอกาตฺุฮ์

3
การรู้จักอัลเลาะห์ (ตะเซาวุฟ) !!

ท่านนบี(ซล.)ได้กล่าวกับเราไว้ในหะดีษบทหนึ่งว่า

"แรกเริ่มของศาสนานั้น คือ การรู้จักอัลเลาะห์"

การที่เราจะรู้จักอัลเลาะห์(ซบ.)นั้น ก็คือ การเพ่งพินิจพิจารณาดูสิ่งต่างๆรอบตัว โดยพิจารณาถึงการกำเกิดขึ้นของมัน ก็จะทำให้เราทราบได้โดยทั้นทีว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีขึ้นมานั้น ย่อมจะต้องมีผู้สร้าง และผู้ที่สร้างสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ นั่นก็คือ อัลเลาะห์(ซบ.) ผู้ทรงเ้ป็นเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียว

ฉนั้น การรู้จักอัลเลาะห์ นั้น ในภาคของวิชาตะเซาวุฟนั้น สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทหลักๆ คือ

1.มุรตาบัต ชะรีอัต : คือ การรู้จักอัลเลาะห์(ซบ.)โดยอาศัยหลักฐานจากบรรดามัคโล๊ก(สิ่งถูกสร้างทั้งหลาย) เพื่อนำไปสู่การรู้จักองค์พระผู้สร้าง และเอาจากความรู้ในภาคของวิชาอุศูลุดดีน(หลักการศรัทธาพื้นฐาน)ที่เราเรียกว่า "อิ้ลมุ้ลยะกีน" (ยะเก่นจากความรู้) หมายถึง รู้จักอัลเลาะห์ ด้วยกับหลักฐานทั้งทางปัญญา(อักลีย์) และหลักฐานทางด้านตัวบท(นักลีย์)

โดยอาศัยวิชาความรู้เป็นหลักยึดมั่น เพื่อทำให้เขามีการศรัทธายึดมั่นอย่างถูกต้อง มีความเข้าใจอย่างถูกต้อง มีอีหม่านที่แน่นแฟ้น แต่การอีหม่ามในรูปแบบที่หนึ่งนี้ มันเป็นอีหม่านที่แน่นแฟ้นอยู่แค่ปัญญา หรือ มันสมองเท่านั้น มิได้เหนียวแน่นอยู่ในจิตใจ

การอีหม่านยังอยู่ในรูปของความเข้าใจ แต่ไม่ได้ฝังอยู่ในจิตวิญญาณ และยังไม่อาจรู้จักอัลเลาะห์(ซบ.)อย่างแท้จริงและลึกซึ้ง

แต่ก็ยังดีกว่าผู้ที่รู้จักอัลเลาะห์แบบตักลึด คือ รู้จักตามที่คนอื่นบอกเกล่าว่า พระเจ้าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ โดยไม่มีความรู้ และโดยไม่มีหลักฐาน ซึ่งถือเป็นสิ่งต้องห้ามในด้านของหลักการศรัทธา

มุรตาบัตนี้ หากเราจะเรียบเทียบกับลูกทุเรียน ก็คือ รู้จักแต่เปลือกทุเรียนเท่านั้น โดยยังไม่ได้รับรู้ว่า รสชาตของมันเป็นเช่นไร ดังนั้น การรู้จักอัลเลาะห์ในขั้นนี้ ถือได้ว่า เป็นขั้นที่ต่ำที่สุด ซึ่งมีขึ้นได้ สำหรับคนธรรมดาทั่วไป

2.มุรตาบัต มะอ์ีัรีฟะห์ : คือ การรู้จักอัลเลาะห์(ซบ.)โดยอาศัยแนวทางแห่งความรู้สึก หมายถึง มีความรู้สึกเหมือนได้ลิ้มรสชาดความรักที่มีต่อพระองค์ในจิตวิญญาณ เนื่องจากการปฏิบัติอามั้ลอิบาดะฮ์อย่างขยันขันแข็งตามความรู้ที่ได้เรียนรู้มา เมื่อมีการปฎิบัติมันอย่างเป็นเนืองนิจ ก็จะสามารถยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น จนได้ลิ้มรสชาด "ความหอมหวานของการศรัทธา"

มุรตาบัตชนิดนี้ เราเรียกว่า "อัยนุ้ลยะกีน" (ตัวยะเก่นที่แท้จริง) หรือ มุรตาบัต มะอ์ริฟะห์

เปรียบเทียบ คือ เมื่อเราได้แกะเปลือกทุเรียนออกมาแล้ว เราก็จะได้รับรู้ถึงได้กลิ่นอายอันหอมหวลของมัน แต่หาได้เคยลิ้มลองรสชาตของมันไม่

มุรตาบัตขั้นนี้สูงกว่ามุรตาบัตแรก และมีให้สำหรับคนซูฟีย์ที่ได้ลิ้มรสชาดแห่งการรู้สึกมะอ์ริฟัตต่ออัลเลาะห์(ซบ.)แล้ว ซึ่งหมายถึง คนวลีย์ ที่ได้รับการ ตะญัลลีย์แบบญาเมี๊ยะอ์แล้ว

3.มุรตาบัต ฮะกีกัต ขั้นสูงสุด : คือ การรู้จักอัลเลาะห์(ซบ.)โดยหนทางแห่งความรู้สึก ด้วยการรู้สึกลิ้มรสชาดความหอมหวานในจิตวิญญาณ มีการ "ซุฮูด" เพ่งมองอย่างประจักษ์แจ้ง อีกทั้งมีความหวานชื่น เอร็ดอร่อย และมีความสุขอย่างพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ซึ่งเรียกว่า "ฮักกุ้ลยะกีน" (หมายถึง ยะเก่นที่แท้จริง) คือ หัวใจของเขาจะมีความเชื่อมโยงไปยังพระองค์เสมอ ไม่ว่าจะทำอะไร เขาจะมีความรู้สึกความสดชื่น เบิกบาน ในทุกๆการดำเนินชีวิต

เปรียบเทียบคือ ได้สัมผัสลิ้มรสชาดของทุเรียน คือ ได้กินทุเรียนเข้าไปแล้วนั่นเอง

การอีหม่านในขั้นนี้ เป็นการอีหม่านขั้นสูงสุด ที่คนเราจะใคว่คว้ามาครองได้ ซึ่งก็คือ ได้รับการตะญัลลีแบบฟะรอกแล้ว อันเป็นมุรตาบัตสำหรับบรรดาวลีย์ใหญ่ ชนชั้นอาริฟบิ้ลลาห์ และสูงไปกว่านั้น คือ บรรดานบีและร่อซู้ลทั้งหลาย

วัลลอฮู่อะอ์ลัม.

เรียบเรียงโดย # เป็นแค่ คนรอง #

4
อัลหะดีษ / Re: จัดการแปลหน่อย....
« เมื่อ: ก.ย. 11, 2013, 12:16 PM »
วะอะลัยกุมุสลาม

1- โอ้มนุษย์ทั้งหลาย  พวกท่านจงแพร่หลายกันสลาม  จงเชื่อมสัมพันธไมตรี  จงละหมาดยามค่ำคืนโดยขณะที่ผู้คนทั้งหลายนอนหลับไหล  พวกท่านก็จะได้เ้ข้าสวรรค์โดยสันติ

2- ไม่ใช่พวกเราผู้ที่ไ่ม่เมตตาผู้น้อยเขาเราและไม่ให้เกียรติผู้ใหญ่ของเรา

3- ไม่ใช่เป็นผู้ศรัทธา  ผู้ที่ชอบตำหนิ(ผู้คนทั้งหลาย) ผู้ที่ชอบสาปแช่ง ผู้ที่ด่าทออย่างน่ารังเกียจ  และผู้ที่พูดหยาบคาย

5
 10 อันดับประเทศที่คนเกลียดมากที่สุดในโลก

ขอนำเสนอ 10 ประเทศที่คนเกลียดมากที่สุดในโลก พร้อมคำบรรยายว่าเหตุใดประเทศเหล่านี้ถึงถูกชาวโลกเกลียดชังถึงขนาดนี้ ตามมาดูเลย

 

อันดับ 10 อิรัก

      สาเหตุน่าจะมาจาก การรุกรานของอิรักในอดีต ครั้งหนึ่งอิรักเคยใช้กำลังรุกรานคูเวตแล้วบังคับให้คูเวตยอมลงนามในสนธิสัญญาฝ่ายเดียวว่าด้วยการยินยอมเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนอิรัก เหตุนี่เองจึงเป็นชนวนให้เกิดสงครามในตะวันออกกลางในสมัยนั้น อิรักถูกประณามจากทั่วโลกอย่างหนัก แถมสถานการณ์การเมืองในประเทศก็ไม่สงบ

 

อันดับ 9 อัฟกานิสถาน

         จากต้นเหตุของมุฮามัด บินลาเดน หัวหน้าต้นตอของกองกำลังบาลีบัน ชาวอิสลามที่มีหัวรุนแรงของประเทศนี้ ที่จุดชนวนให้โลกตะวันออกกลางมีปัญหากับเจ้าโลกอย่าง สหรัฐฯและพันธมิตรต้องเดือดอีกครั้ง โดยที่บินลาเดนได้ส่งกองกำลังไปก่อการร้ายที่สหรัฐฯ หลังจากที่บินลาเดนตายเมื่อปีกลาย ดูท่าชาวอเมริกันทั้งประเทศจะดีใจที่สามารถเอาชนะอุปสรรค์อันยิ่งใหญ่ของชาติ แต่นั้นก็ไม่ใช่ความยินดีถาวรเสมอไป เพราะผู้สื่อทอดเจตนารมณ์ของบินลาเดน จะจ้องเล่นงานสหรัฐฯและพันธมิตร (ไทยด้วยหรือเปล่า?) ด้วยการแก้แค้นแทนบินลาเดนได้ตลอดเวลา ประเทศนี้เลยเป็นประเทศที่ชาวโลกกลัวและเกลียดมากที่สุด

 

อันดับ 8 รัสเซีย

         ชาวยุโรปส่วนใหญ่ยังเกลียดรัสเซีย โดยเฉพาะประเทศที่เคยถูกรวบรวมให้เป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียด อย่าง ลิทัวเนีย ลัทเวียและอื่นๆ ประเทศเหล่านี้ถูกฝ่ายโซเวียดจับรวมทำสงครามโดยปราศจากการเหยียวยาจากโซเวียดในภายหลัง พอจบสงครามก็ปล่อยให้เป็นเอกราชแต่ตัวเปล่า เรียกได้ว่าเป็นหุ่นเชิดใช้งานให้กับรัสเซียไปโดยปริยาย

 

อันดับ 7 จีน

        ประเทศนี้เป็นพี่ใหญ่ในเอเชีย และเป็นชาติมหาอำนาจทั้งเศรษฐกิจและการทหารสูสีกับสหรัฐฯ สหรัฐฯเป็นศัตรูหมายเลข 1 ของเขา จีนชอบคิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางของโลกในยุคปัจจุบันนี้ อีกทั้งยังชอบผลิตสินค้าปลอมไร้คุณภาพส่งออก เพราะราคาถูก รวมถึงสินค้าอันตรายที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งและโรคต่างๆ ไม่เคยเคารพกฎหมายระหว่างประเทศสากล (ฉันอยากทำอะไรแล้วหนักหัวใคร อะไรประมาณนั้น) ชอบทำตัวตรงกันข้ามกับสหรัฐฯ นอกจากนี้ยังรุกรานประเทศเพื่อนบ้านเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง อย่างกรณีไต้หวันและทะเลจีนใต้ที่ เวียดนาม มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ บรูไน อินโด กับจีนตอแยกันอยู่

 

อันดับ 6 อิหร่าน

         อิหร่านไม่ต่างอะไรจาก "นาซี" ในยุคปัจจุบัน เป็นผู้สนับสนุนตัวยงให้กับประเทศเพื่อนบ้านที่ทำสงครามกับสหรัฐฯอยู่เบื้องหลัง เจ้าเล่ห์บางครั้งก็ชอบลอบกัดคนเขาไปทั่ว จึงไม่น่าแปลกเลยที่ติดโพลกับเขาด้วย

 

อันดับ 5 ฝรั่งเศส

         นอกจากคนในประเทศที่ทำตัวหยิ่งแล้ว ยังหน้าไม่ยิ้มแขกอีก ตกลงใครบอกว่าชาวฝรั่งเศสอ่อนโยนกันย่ะ จะว่าไป พวกเขารักภาษาประจำชาติเหลือเกิน ไม่คิดจะพูดภาษาอื่นเลยหรือไง คุณไปฝรั่งเศส ห้ามพูดภาษาอื่นเลยนอกเหนือจากภาษาท้องถิ่นนั้นคือ ภาษาฝรั่งเศส แม้กระทั่งภาษาอังกฤษที่ชาวโลกใช้กันอยู่ เพราะคุณอาจจะโดนเชิดมาแบบตามองอึ้งเลยทีเดียว ถ้าคุณถามคนที่เกลียดประเทศนี้เข้าไส้สุดๆ จะได้คำตอบที่ว่า "ฝรั่งเศสเหรอ น่ารังเกียจมาก หยิ่ง กินทั้งกบ กินทั้งหอยทาก โดยเฉพาะตับห่าน ทรมานสัตว์สุดๆ" อีกทั้งคนฝรั่งเศสไม่ชอบอาบน้ำ ซึ่งผิดกับสโลแกนประเทศที่ผลิตน้ำหอมยี่ห้อดังๆ

 

อันดับ 4 อังกฤษ หรือ ราชอาณาจักร

        เมืองผู้ดี แต่จิตใจป่าเถื่อน ชอบคิดว่าตัวเองอยู่ในโลกสังคมชั้นสูง ก็เลยเอาเปรียบคนเขาไปทั่ว กลบสื่อสารพัดเพื่อจะได้ให้ชาวโลกยังเห็นความเป็นผู้ดีคงไว้ แต่หารู้ไม่ว่าเขาเกลียดพวกเธอเข้าไส้ปานจะฉีกเนื้อกินได้เลย ลูกเลี้ยงมือขวาของสหรัฐฯ เห็นลูกพี่ยิ่งใหญ่ก็เลยไม่เกรงกลัวชาวบ้าน

 

อันดับ 3 เกาหลีเหนือ

        ประเทศคอมมิวนิสต์สุดโต่ง ถึงประเทศจะกระจิ๊ดจิ๋วแต่อำนาจทางทหารน่าเกรงขามอย่าบอกใครเชียว (อยากเจอไหมล่ะ ระเบิดนิวเคลียร์) ปิดประเทศลับๆซุ้มทำแต่ระเบิดนิวเคลียร์ พอเปิดเผยออกมาสู่สายตาชาวโลก จนสหรัฐฯยังผวา ยิ่งถ้าได้รับการสนับสนุนอยู่เบื้องหลังอย่างจีนหรือโซเวียด ไม่กลัวใครในโลกเลยค่ะ สหรัฐฯก็สหรัฐเถอะ พ่อจะยิง.....

 

อันดับ 2 อิสราเอล

        ฆ่าคนบริสุทธิ์อย่างใจจืดใจดำ พวกเขายังสมควรถูกเรียกว่ามนุษย์อีกเหรอ ไปตายซะ อิสราเอล "ทำการฆ่าคนโดยอ้างลัทธิยูดาย (ยิว) บ้าๆของพวกแก คนกี่พันกี่หมื่นแล้วต้องตายไปเพราะลัทธิบ้าๆนี่ สมัยนี้ยังจับคนไปบูชายันต์อีกเหรอ โอ้แม่เจ้า ภูมิใจเถอะค่ะ ที่เราเกิดมาเป็นคนไทย ดินแดนแห่งนี้ถือเสียว่าเป็นอาถรรพ์" และที่สำคัญ ชอบทำตัวเป็นอันธพาลในภูมิภาค เพราะกองกำลังแกร่งสุดในตะวันออกกลางเลยก็ว่าได้ รุกรานดินแดนชาวบ้านเหมือนกับจีนโดยมีอเมริกาปูทางหนุนหลัง นี่มันนาซีชัดๆ ไม่น่าแปลกเลยที่ติดอันดับ 2

 

อันดับ 1 สหรัฐอเมริกา

         อย่างที่รู้ๆกัน ประเทศนี้ ชอบสำออยทำตัวเป็นตำรวจโลก แต่ที่จริงแล้วมันอันธพาลชัดๆ เรียกได้ว่าเป็นสถานีแวะจอดขี้ปากชาวบ้านเขาไปทั่ว มีศัตรูทั่วโลก แม้กระทั่งจีนหรือพวกชาวตะวันออกกลาง พันธมิตรเริ่มถอยห่าง เพราะไปสร้างศัตรูไว้มาก กลัวท่าเกิดสงครามลูกพี่ใหญ่อย่างเธอจะไม่ไหว จากความเห็นตัวอย่างที่มีคนเกลียด จะได้ประมาณที่ว่า "อเมริกาน่ะเหรอ ชอบแส่เรื่องชาวบ้านเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ไปไหนมาไหนในโลกทำอย่างกับว่าเป็นบ้านมัน ชอบโกหกสร้างภาพว่าทำไปเพราะสิทธิมนุษยชนบ้าง ทีเรื่องชาวบ้านล่ะสนใจกันใหญ่ แต่เรื่องของตัวเองกลับทำตรงกันข้าม ตลกดีนะ ประเทศนี้อ่ะ บอกให้เอาบุญนะ เช่นเรื่องอุบายมุกหลอกควายๆทั้งหลายของแก อย่างโสเภณี การค้ามนุษย์ ยาเสพติดเนี่ย ด่าประเทศอื่นจัง แต่ตัวเองน่ะชอบโปรโมตเรื่องพวกนี้ ตามภาพยนต์บ้าง สื่อต่างๆบ้าง ประเทศตัวเองก็มีโสเภณีให้ว่อนชุมกว่าแมลงวันเสียอีก เรียกได้ว่า "Free sex" ซะประดาตัว ไม่เห็นจะประณามเล๊ย พวกเขามัวแต่ห่วงเศรษฐกิจโลก จนลืมไปว่าตนเองเป็นหนี้อยู่ 14 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ (เอาเงินไทย 32 คูณเข้าไปดูนะ) แถมยังมีท่าว่าไอประเทศนี้มันจะผลาญเงินต่อไปเรื่อยๆไปกับกองกำลังทหาร ส่งออกทหารไปประจำการแถวประเทศที่รวยน้ำมันอย่างตะวันออกกลาง เพื่อขโมยมาเป็นของตัวเอง ถ้าคุณไปแถบตะวันออกกลาง คุณจะเห็นทหารอเมริกาทุกๆระยะ 10 เมตร ประเทศนี้ชอบคิดเอง เออเอง ไม่ฟังใครพูด ถ้ากล้าพูดเธอเจอ จบ

http://blog.eduzones.com/studyabroad/94673


7
 :salam:

โหลดไฟล์ pdf เพื่อปริ้นไปเผยแพร่ติดตามมัสยิดและสถานที่ต่างๆ ช่วยกันจ่ะ http://www.upload-thai.com/download.php?id=344280dd9d1cb87bd8b2d2ea6406c4df

8
عَلَّمَ الإنسان مَا لَمْ يَعْلَمْ
"พระองค์ทรงสอนให้มนุษย์รู้ในสิ่งที่เขาไม่รู้" อัลอะลัก 5

9
ค่าจัดส่ง คิดยังไง ครับ

ถ้าจะซื้อ รวมกับหนังสือ ก้าวเเรกอัตเตาบะฮ์


ขอ ข้อมูล นิดส นึง mycool: mycool:

สองเล่มค่าส่งแบบ ems  62 บาท  ซอง 5 บาท หนังสือจดหมายถึงผู้ป่วย 65 บาท และหนังสือเตาบะฮ์ก้าวแรกของผู้ศรัทธา 80 บาท  รวมทั้งหมด 212 บาทจ่ะ

10




ผู้ใดมีความต้องการที่จะสั่งซื้อหนังสือ "จดหมายถึงผู้ป่วย" (เล่มละ 65 บาท ไม่รวมค่าส่ง) ทางไปรษณีย์ โปรดติดต่อเหรัญญิกสถาบันอัลกุดวะฮ์  ที่อีเมลล์ al_kudawah@hotmail.com หรือโทรติดต่อได้ที่สถาบันอัลกุดวะฮ์ 02-9343369 หรือ 08-29613974

วิธีการชำระเงิน โอนเงินเข้าบัญชี
ธนาคารกรุงไทย สาขาย่อย รามคำแหง 65 (อาคารเอฟบีที)
ชื่อบัญชี ฤทธิชัย  แสงวิมาน
เลขที่บัญชี 569-0-08750-5

11
 :salam:

ซาตตามหลักภาษาอาหรับแปลว่า แก่นแท้  ซาตของอัลลอฮ์  แปลว่า แก่นแท้ของอัลลอฮ์

12
 :salam:

ซีดีดีเบทหมดแล้ว  และเรากำลังทำเพิ่มเติม  พี่น้องที่ติดต่อมาทางเรา  โปรดรอสักนิด  อินชาอัลลอฮ์

วัสลาม

14
:salam:
ถ้าเป็นวะลียุลลอฮ์...
ในหนังสือฮิกัมของท่านอาจารย์อารีฟีน แห่งเว็บนี้ก็มีเขียนไว้ถึงเรื่องนี้ค่ะ
(ซึงท่านเขียนไว้บนเว็บนี้เช่นกัน) แต่อ่านหนังสือ มันต่างจากอ่านในเว็บ
ในเรื่องความรู้สึก... loveit:
ถ้าอ่านรอบแรกไม่เข้าใจ อ่านซ้ำอีก อ่านไปหลายๆรอบ จากที่เข้าใจแล้วก็จะยิ่งแจ้งใจขึ้น

เมื่อก่อนเคยสงสัยเช่นท่าน เพราะมีคนพูดให้ได้ยินอยู่บ่อยๆ
แต่เมือได้อ่านหนังสือฮิกัมของอาจารย์แล้ว
หลายๆอย่างที่เคยกังขาอยู่ก็กระจ่างขึ้น แจ้งใจขึ้น(ชอบคำไทยโบราณคำนี้มากค่ะ)
เพราะน่าจะใช้คำว่า "แจ้งใจ" จึงจะตรงกับความหมายมากกว่าคำว่า "เข้าใจ  loveit:

วัสสลามค่ะ



อ่านหลายเที่ยวแล้วเข้าใจ  เป็นการให้โอกาสหัวใจรับรู้เกี่ยวกับเรื่องของผู้ที่สูงส่งและทำให้หัวใจผูกพันกับผู้ที่สูงส่ง  ดังนั้นการอ่านซ้ำๆ แล้วเข้าใจก็เหมือนกับการซักขยี้เสื้อผ้าที่มีรอยเปื้อนหลายๆ ครั้ง  แล้วเสื้อผ้าก็จะสะอาด

หน้า: [1] 2 3 ... 16