แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - ahlil-assunah

หน้า: [1]
1
salam
...

ผมยังยืนยันอยู่ว่า "บิดอะฮฺหะสะนะฮฺนั้นไม่มี ใครว่ามีบิดอะฮฺหะสะนะฮฺ ก็จงออกไปเถิด" นะครับ. والله أعلم 
by: มุรีด ทิมะเสน - mureed@mureed.com - 12/11/09 23:33  [/color]
ป.ล. ผมขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยน่ะครับ


             ผมอยากได้ความกระจ่างจากวะฮาบีย์ ที่ชอบกล่าวว่าไม่มีบิดอะฮฺหะสะนะฮ์ว่า ท่านช่วยแยกความแตกต่างระหว่างหลักการมะศอลิหฺ มุรสะละฮ์ กับ บิดอะฮ์หะสะนะฮ์ ได้ไหม เพราะผมเห็นเรื่องฟิกฮฺบางเรื่อง ฝ่ายท่านทำไปทั้งๆ ที่ไมมีหลักฐานจากกิตาบุลลอฮฺและสุนนะฮ์ ซ้ำบางเรื่องขัดกับทั้งสองอีกด้วย แต่ท่านกลับอ้างเรื่องหลักการมะศอลิหฺมุรสะละฮ์ (ผลประโยชน์ส่วนรวม) ตัวอย่างในเรื่องคือ การอนุญาตผู้ที่ไม่ใช่มุสเตาฏีน (ผู้ที่อาศัยถาวรของพื้นที่นั้นๆ) สามารถทำญุมุอะฮ์กันเองได้? ได้โปรดอธิบายเรื่องด้วยนะครับ อยากทราบจริงๆ - วัสสลามุอลัยกุม

เดี๋ยวผมจะลองเอาคำถามจากคุณอัลฟาตอนี ไปถามเวบ อ. เค้าน่ะครับ

2
 salam

คุณ truth น่าจะตักเตือนกันดีๆอย่างที่หลายๆคนว่าน่ะครับ

ดังสุภาษิตที่ว่า "สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล"

กิริยาในทีนี้ มันก็ชี้ให้เห็นถึงลักษณะของการพูดด้วยเช่นกัน

3
salam
ตั้งใจจะตอบกระทู้อยู่ครับ เคยอ่านพบหะดีษที่ท่านเราะสูลละหมาดค่ำคืนในเดือนเราะมะฎอนแบบเป็นญะมาอะฮฺในหนังสือ
หะดีษซอเฮี้ยะฮ์ ที่ อ.อรุณ บุญชม แปลจาก อัตตาจญฯ แต่ตัวบทไม่ได้อยู่ในมือ อินชาอัลลอฮฺ หลังละหมาดวันศุกร์จะกลับไปเอาที่บ้าน
ถ้าใครมีหนังสืออยู่ ช่วยตอบไปก่อนที่ท่าน ahlil-assunah จะน้อยใจ
والسلام

 yippy:

4

 ไม่มีผู้ใดเสวนาหัวข้อของผมเลยหรือครับ หรือว่ามันไม่เป็นประโยชน์อะไรเลย  sad:

5
 salam

ผมเองก็ไม่ค่อยสันทัดภาษาอังกฤษสักเท่าไหร่ อยากให้คุณเจ้าของกระทู้ช่วยกรุณาแปลเป็นภาษาไทยโดยสรุปๆอ่ะครับ

6
 salam

ผมเป็นน้องใหม่ครับ
คือผมได้มีโอกาสเข้าไปศึกษาในเวบ อ.มุรีดครับ เผอิญไปเจอคำถามนึง เลยเกิดข้อสงสัยว่าท่านนบีเคยละหมาดตะรอเวียะฮฺเป็นญามาอะห์จริงตามที่ อ. มุรีดอ้างหรือปล่าว
ก็เลยยกคำถามดังกล่าวมาให้พี่น้องในเวบนี้ร่วมกันเสวนาครับ

คำถามที่ : 13434
คำถาม : ใครว่าบิดอะห์ฮาซานะห์ไม่มี จงออกมา 
จากที่อาจารย์มุรีดเคยกล่าวไว้ ตามที่อุมัร(รฎ.) บอกว่า ทุกๆบิดอะห์นั้นลุ่มหลง
ไม่จริงหรอกน่ะครับ เพราะขนาดท่านอุมัรเองยังกล่าวถึงบิดอะห์ที่ดีจากรายงานข้างล่างนี้ เรื่องการละหมาดตะรอเวียะฮ์ร่วมกันเป็นญามาอะห์

จากอับดุรเราะห์มาน บุตร อับดุลกอรี เขากล่าวว่า ฉันได้ออกไปพร้อมกับท่านอุมัร บุตร ค๊อฏฏอบ ในเดือนรอมาดอน ไปยังมัสยิด ได้พบว่าประชาชนได้แยกกันเป็นกลุ่ม ๆ คนหนึ่งละหมาดคนเดียวตามลำพัง คนหนึ่งมีคนละหมาดตามหมู่หนึ่ง ท่านอุมัรได้กล่าวขึ้นว่า ถ้าหากพวกเขารวมกันละหมาดตามคนที่อ่านถูกต้องเพียงคนเดียวก็จะเป็นการดี ยิ่ง ต่อมาท่านอุมัรก็ได้รวมผู้คนให้ละหมาดตามอุบัยย์ บุตร กะอับ จากนั้นฉันได้ออกไปพร้อมกับเขาในอีกคืนหนึ่ง ประชาชนกำลังละหมาดตามผู้นำของเขา ท่านอุมัรกล่าวว่า "นี่เป็นอุตริ (บิดอะฮ์) ที่ดี ช่วงเวลาที่พวกเขานอนกันนั้น ดีกว่าช่วงเวลาที่พวกเขาละหมาดกิยาม เขาหมายถึงช่วงเวลาท้ายคืน แต่ประชาชนจะละหมาดกยามในตอนหัวค่ำ"

จากหลักฐานข้างต้นนี้ แสดงให้เห็นว่า สิ่งใดๆก้แล้วแต่ ถ้ามันเป็นสิ่งที่ดี ก็ล้วนส่งเสริมให้กระทำ ไม่ใช่ว่าทุกๆการการกระทำที่เป็นบิดอะห์นั้น เป็นการลุ่มหลง นำไปสู่การเป็นชาวนรก

by: คนอยากร่วม - - 12/11/2009 
คำตอบ :

อัสสลามุอะลัยกุมครับ

คำตอบ อันที่จริงไม่อยากตอบคำถามนี้หรอกครับ แต่พอไม่ตอบก็หาว่าหนีอีก แต่ที่ไม่อยากตอแยด้วย เพราะคำถามอื่นๆที่มีประโยชน์รอคำตอบจากผมอยู่อีกแยะ แต่สำหรับคำถามนี้ขอพูดหน่อยก็แล้วกัน

อันที่จริง คนที่ไม่รู้ก็ไม่น่าจะชี้ ไม่รู้ไม่ชี้ นั่นแหละครับสังคมจะดีเยี่ยม แต่ไม่รู้แล้วชี้นี่สิครับ สังคมหายนะ ก็ยังไม่ทันไรเลย ก็ไปใส่ร้ายท่านอุมัรว่าท่านอุมัรฺกล่าวถึง "บิดอะฮฺที่ดี" ผู้ที่ใช่นามแฝงว่า "คนอยากร่วม" ช่วยตอบหน่อยให้หน่อยนะครับว่า ที่ท่านอุมัรกล่าวในหะดีษที่ระบุว่า "نِعْمَتِ البِدْعَةُ هَذِهِ" (ที่แปลว่า นี่เป็นอุตริ (บิดอะฮฺ) ที่ดี) นั่นแหละ นักวิชาการเค้าอธิบายสำนวนข้างต้นว่าอย่างไร? ครับ สำนวนข้างต้น ที่ระบุว่า "نِعْمَتِ البِدْعَةُ هَذِهِ" นี่เป็นบิดอะฮฺที่ดี คำว่า " بدعة " บิดอะฮฺ ในที่นี้ นักวิชาการหมายถึง "บิดอะฮฺ" ทางด้านภาษาไม่ใช่บิดอะฮฺทางด้านบทบัญญัติ เพราะการอุตริสิ่งใดขึ้นมาโดยไม่มีพื้นฐานทางบทบัญญัติ เรียกว่า บิดอะฮฺเฎาะลาละฮฺ การอุตริกรรมที่หลงทาง ตัวอย่างเช่น กินบุญ 3 วัน 7 วัน เป็นต้น ส่วนที่กระทำขึ้นมาใหม่โดยมีพื้นฐานจากศาสนาอยู่แล้ว อย่างเช่น การนมาซตะรอวีหฺเป็นญะมาอะฮฺที่มัสญิด ท่านนบีเคยทำมาแล้ว แต่ต้องยุติลงเพราะท่านนบีกลัวว่านมาซตะรอวีหฺจะเป็นวาญิบ จึงเลิกกระทำญะมาอะฮฺที่มัสญิด เรื่อยมาจนกระทั่งในสมัยของท่านอุมัร ท่านอุมัรก็เลยดำริการนมาซตะรอวีหฺเป็นญะมาอะฮฺขึ้นใหม่ ท่านอุมัรก็เลยพูดว่า "نِعْمَتِ البِدْعَةُ هَذِهِ" นี่เป็นการอุตริขึ้นใหม่ นั่นเป็นการแปลทางด้านภาษา แต่ถ้าแปลเป็นทางวิชาการ ก็ต้องแปลว่า "นี่เป็นการฟื้นฟูขึ้นใหม่" หรือ "ดำริขึ้นมาใหม่ (ภายหลังที่ได้เลิกทำไปแล้ว)" ซึ่งการฟื้นฟูขึ้นใหม่นี้โดยท่านนบีมุหัมมัดเคยกระทำไว้ในอดีตนั่นเอง

ท้ายนี้ ต้องขอแนะนำผู้ถามก็แล้วกันว่า หากสิ่งใดที่ไม่รู้ก็ไม่ควรนำเสนอเพราะจะทำให้คนอื่นหลงผิดได้ ซึ่งถ้าวันหน้าวันหลังต้องการอยากร่วม ก็ย่อมกระทำได้ แต่ต้องสร้างสรรหน่อยนะครับ ไม่ใช่นำเสนอเสมือนน้ำเต็มแก้ว สำนวนที่ใช้ราวกับว่าผมพาพี่น้องคนอื่นหลงผิดซะงั้น ผมเป็นมนุษย์ย่อมมีผิดพลาดได้ เป็นเรื่องธรรมดา แต่หากสิ่งใดที่ผมพลาดแนะนำผมได้นี่ครับ แต่ไม่ใช่ว่าไม่รู้แล้วชี้ ดังนั้น "ทุกๆ บิดอะฮฺถือว่าหลงผิด และทุกๆ การหลงผิดอยู่ในนรก " นี่คือคำพูดของท่านนบีมุหัมมัด ซึ่งเราไม่สามารถบิดเบือนได้เลย หน้าที่ของมุสลิมจำเป็นจะต้องละทิ้งสิ่งที่เป็นบิดอะฮฺทุกรูปแบบ ไม่ใช่แสวงหาข้ออ้างเพื่อให้ตนเองมีความชอบธรรมในการทำบิดอะฮฺนะครับ

ผมยังยืนยันอยู่ว่า "บิดอะฮฺหะสะนะฮฺนั้นไม่มี ใครว่ามีบิดอะฮฺหะสะนะฮฺ ก็จงออกไปเถิด" นะครับ. والله أعلم 
by: มุรีด ทิมะเสน - mureed@mureed.com - 12/11/09 23:33 

ป.ล. ผมขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยน่ะครับ

หน้า: [1]