แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - ibnu_suntol

หน้า: [1] 2
1
ญาซากัลลอฮุค็อยร็อน ..........
 เอาอีกคับ ไฟล์ สอนของท่านจุฬาฯ ขอเยอะๆเลยนะคับ
(โอ้อัลลอฮฺผูทรงเพิ่มพูนที่ดียิ่ง ขอพระองค์ได้โปรดเพิ่มพูลความดีแก่ท่าน โอ้อัลอฮฺผู้ทรงรักการให้อภัยยิ่ง ขอพระองค์ได้โปรดอภัยแก่ท่านด้วยการทดสอบนี้ด้วยเถิด....อามีน)

2
:salam:พี่น้องทุกท่าน
อัลกุรอาน คือทางนำของเรา อัลกุรอานคือหนึ่งในหลักศรัทธาของเรา อัลกุรอานคือมั๊วะยิซาต ของท่านนบีซอลลอลฮุอลัยฮิวะซัลลัม อัลกุรอานถูกบันทึกด้วยภาษาอาหรับ
ภาษาที่คนเอาวามอย่างผมไม่สามารถอ่านแล้วรู้ถึงความหมายในทันที ไม่รู้ว่าอ่านบทไหนในทันที ครั้งนึงผมเคยร่วมงานที่จัดขึ้นแล้วมีการอ่านกุรอ่านเปิดงาน งานนี้มีคนสำคัญในพื้นที่ที่ไม่ใช่มุสลิมร่วมให้เกียรติในงานนี้ด้วย หลังจากเปิดงานมีการกล่าวต้อนรับ ซึ่งมีอยู่ช่วงนึงคนกล่าวต้อนรับได้บอกว่า คนที่มาร่วมงานคนนี้กล่าวชมว่า "อัลกุรอานช่างเป็นทำนองที่ไพเราะจริงๆ เสียดายที่ผมไม่รู้ว่าอัลกุรอ่านกล่าวว่าอย่างไรบ้าง" ผมไม่รู้ว่าคนจัดงานรู้สึกเช่นไร ส่วนผมได้แต่เขินและละอายที่เกิดเรื่องเช่นนี้อีกแล้ว ได้แต่บ่นกับตัวเองว่าบอกแล้วเห็นมั้ย ก่อนหน้างานนี้ผมเคยบอกกรรมจัดงานไปว่าอ่านอัลกุรอ่านเปิดงานแล้วให้ความหมาย และบอกอายะห์ ซูเราะห์ ด้วย

2-3 ปีมานี้ผมได้พบเจอกับกรรมการหรือผู้มีส่วนในงานกิจกรรมเหล่านี้บ่อย และจะหาโอกาสบอกเช่นนี้อยู่เสมอ บ้างก็อ้างว่ากินเวลาพิธีการ บ้างก็บอกว่าบางเรื่องไม่เหมาะที่จะให้คนที่ไม่ศรัทธารู้ความหมาย ผมก็ยังยืนยันและบอกอยู่เช่นนี้เสมอว่า อ่านเปิดงานแล้วให้ความหมายด้วย ผมอยากรู้ความหมาย อยากรู้ว่าอ่านอายะห์ไหน ซูเราะห์ไหน ผมโตมากับฟัรดูอัยนฺ ละหมาดเป็นด้วยฟัรดูอัยนฺ นี่เป็นคุณูประการที่ไม่อาจลืมต้องสำนึกอยู่เสมอสำหรับตัวผมเอง มีคนคนนึงเคยกล่าวใว้จำไม่ได้แล้วว่าใครแต่ยังจำติดหูอยู่ว่า “เป็นครูครั้งนึงเท่ากับเป็นครูตลอดชีวิต”

ทั้งหมดที่เล่ามานี้เพียงอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงจากการอ่านอัลกุรอ่านอย่างไพเราะแค่เปิดงาน แล้วบอกกว่าเอาบารอกัตจากการอ่าน แต่ไม่ได้เอาสาระจากอัลกุรอานออกมาด้วย ดูแล้วคล้ายกับว่าจะซื้อแตงโมทั้งลูก แต่จ่ายแค่ราคาครึ่งลูก (หวังว่าคงมีพ่อค้าขายของอย่างนี้) หรือซื้อทุเรียนในราคาเปลือกทุเรียน แต่จะขอเนื้อในด้วย ที่ไม่ใช่จะตำหนิ แต่อยากจะเรียกร้องเชิญชวนกัน ร่วมรณรงค์ให้เปลี่ยนแปลง ไม่ต้องถึงขั้นตัฟซีร และคงไม่กินเวลานักการเมืองมากมายหรอกคับ ผมว่าดีไม่ดีนักบรรยายของเราจะได้สานต่ออีก แค่กลุ่มฟัรดูอัยนฺเปลี่ยนก็แทบจะเปลี่ยนกันทั้งสังคมแล้ว

หวังว่าท่านที่อ่านคงจะเข้าใจ หวังว่าเรื่องนี้คงจะถึงคนที่ทำกิจกรรมด้านศาสนาที่นิยมเอาบารอกัตจากการอ่านอัลกุรอานเปิดงาน หวังและขอต่ออัลลลฮฺให้พี่น้องเข้าใจในวัตถุประสงค์ที่เชิญชวน เพราะเพียงแค่ใครคนนึงสนใจและสนใจจนนำไปสู่การได้รับฮิดายะ เท่านี้ผลทีได้ก็มหาศาล เห็นได้จากนักวิชาการระดับโลกหลายๆคนที่เริ่มสนใจอิสลามก็เนื่องด้วยอายะห์อัลกุรอานไม่กี่อายะห์ แต่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตเขา และการเปลี่ยนแปลงของของเขานำการเปลี่ยนแปลงของผู้คนอีมากมาย...นี่คือสิ่งที่เราเห็นได้ในดุนยา แต่ที่.จะได้วันวันที่เราไปยืนต่อหน้าอัลลฮฺหละ?..วัลลอฮุอะลัมบิศเซาะวาบ


3
http://www.alisuasaming.com/index.php/webboard/12-------/924---

หะดิษที่บอกผลบุญของการละหมาดตะรอวีฮฺแต่ละคืนนั้นเป็นอย่างไร

อ้างจากหนังสือดุรเราะตุนนาศีหีน อ้างถึงรายงานจากท่านอลีเราะฏิยัลลอฮุอันฮุ ความว่า

คืนที่1 ผู้ละหมาดจะไม่มีบาปเหมือนกับตอนที่เขาถูกคลอดจากท้องมารดาใหม่ๆ
คืนที่ 2 อัลเลาะห์อภัยโทษแก่เขาและบิดาของเขาหากเขาทั้งสองเป็นผู้ที่ศรัทธาต่ออัลเลาะห์
คืน ที่ 3 มาลาอีกะจะประกาศใต้อารัชว่าเจ้าจงเริ่มทำความดีเถิดเพราะความชั่วทั้งหลาย ถูกลบล้างออกไปหมดแล้วเจ้าจงใช้ชีวิตให้สวยงามต่อไป
.......................
.........ข้อมูลจาก muslimthai.com ครับ เขาให้ความเห็นว่าเป็นหะดิษเมาฎัวะอฺ อาจารย์ช่วยบอกหน่อยว่าเป็นยังไง
เชี่อได้เหรอไม่

ในคำถามโพสครบ จนถึงคืนที่ 30 (ขออนุญาติตัดทอนทิ้ง ไม่อยากให้มันเผยแพร๋ หลายคนคงอ่านกันบ้างแล้ว)

    
ตอบ
الحمدلله والصلاة والسلام على رسول الله وبعد...؛

หะดีษที่อ้างมาอยู่ในหนังสือดุรร่อตุนนาซิฮีน ฟิลวะอฺซิวัล อิรฺชาดฺ (درة الناصحين فى الوعظ والإرشاد) ซึ่งรวบรวมโดยอุสมาน อิบนุ หะซัน อิบนิ อะฮฺหมัด อัชชากิร อัลคูบาวีย์ เป็นนักวิชาการในศตวรรษที่ 13 แห่งฮิจเราะฮฺศักราช หน้า 18 และ 19 โดยระบุที่มาว่า มะญาลิซ (مجالس) ซึ่งไม่ทราบว่าเป็นตำราเล่มใด เพราะในหนังสือดุรร่อตุนนาซิฮีน ผู้รวบรวมจะคัดข้อความจากตำรับตำราต่าง ๆ แล้วระบุชื่อว่าเป็นตำราที่มีชื่อว่าอะไร แต่ไม่ระบุชื่อผู้เขียนหรือเจ้าของตำรา อย่างคำว่า มะญาลิซนี้อาจจะเป็น มะญาลิซุลอับร๊อร, หรือ มะญาลิซุลอันว๊าร, หรือ มะญาลิซ อัรฺรูมีย์ หรือ นุซฮะตุ้ลมะญาลิซ ไม่ทราบว่าเป็นเล่มใดในหน้าที่ 18-19 ของหนังสือดุรร่อตุนนาซิฮีน ซึ่งอ้างว่าคัดมาจากมะญาลิซ ระบุว่า จากท่านอะลี อิบนุ อบีฏอลิบ (ร.ฏ.) ว่า ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ได้ถูกถามถึงบรรดาความประเสริฐของตะรอวีฮฺในร่อมาฎอน ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าวว่า : ผู้ศรัทธาจะออกจากบาปของตนในค่ำคืนแรกประหนึ่งดังวันที่มารดาของเขาคลอดเขาออกมา ... อัลหะดีษ แล้วก็ไล่เรียงไปจนครบ 30 คืน

ข้อสังเกตจากข้อความที่ระบุในหะดีษนี้คือ

1. หะดีษนี้ไม่มีระบุหรือถูกบันทึกเอาไว้ในตำราหะดีษที่ถูกยึดถือเป็นมาตรฐาน (كتب الأحاديث المعتمدة) แต่ถูกระบุไว้ในตำราที่กล่าวถึงเรื่องการตักเตือนชี้แนะซึ่งมักเป็นตำราที่รวบรวมเอาทั้งหะดีษซอฮีฮฺ หะซันฎ่ออีฟ และเมาฎูอฺเอาไว้ตลอดจนเรื่องเล่าต่าง ๆ ที่ไม่มีที่มาหรือไม่มีสายรายงาน

2. หะดีษที่อ้างว่ารายงานจากท่านอะลี (ร.ฎ.) ไม่ปรากฏสายรายงาน (สะนัด) ได้แต่อ้างถึงผู้รายงานสูงสุดคือท่านอะลี (ร.ฎ.) การจะรับเอาหะดีษมาปฏิบัติจะต้องทราบถึงที่มาและต้นสายปลายเหตุว่ามีผู้รายงานเป็นใคร นักวิชาการระบุว่า การอ้างสายรายงานเป็นส่วนหนึ่งจากศาสนา (الإِسْنَادُمِنَ الدِّيْنِ) เพราะถ้าไม่มีสายรายงานก็ตรวจสอบสถานภาพของหะดีษไม่ได้ การอ้างว่ารายงานจากท่านอะลี (ร.ฎ.) เพียงอย่างเดียวถือว่าไม่เพียงพอ เพราะหะดีษเมาฎูอฺเป็นอันมากนั้น ผู้แต่งหะดีษ (กุ) มักจะอ้างถึงบุคคลสำคัญเพื่อให้หะดีษดูน่าเชื่อถืออยู่แล้ว

3. ตัวบทของหะดีษ (มัตฺน์) มีเนื้อหาเกี่ยวกับความประเสริฐของการละหมาดตะรอวีฮฺ โดยใช้สำนวนว่า "ตะรอวีฮฺ" ซึ่งคำ ๆ นี้ไม่มีระบุในสมัยของท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) แต่ได้กลายมาเป็นคำศัพท์เฉพาะ (มุสฏ่อละฮาตฺ) ที่นักวิชาการกำหนดขึ้นเพื่อเรียกการละหมาดกิยามุลลัยล์ในเดือนร่อมาฎอนในภายหลังว่า "ละหมาดตะรอวีฮฺ" และเนื้อหาของตัวบทที่ไล่เรียงจนครบ 30 คืนนั้นก็น่าคิดอยู่ว่าทำไมมันจึงละเอียดได้ขนาดนั้น เพราะโดยลักษณะของตัวบทในซุนนะฮฺทั่ว ๆ ไปเมื่อกล่าวถึงความประเสริฐของสิ่งหนึ่งสิ่งใดหรือเรื่องหนึ่งใดก็จะกล่าวไอ้แบบกว้าง ๆ ไม่ลงลึกในรายละเอียดเช่นนี้ และรอมาฎอนในความเป็นจริงก็ไม่ได้ครบ 30 วันเสมอไป และส่วนมากจะมี 29 วันด้วยซ้ำไป แต่สำนวนในหะดีษระบุเอาไว้ครบจนดูเป็นเรื่องที่แน่นอนแบบจงใจ

4. นักวิชาการผู้สันทัดกรณีได้ระบุถึงประเด็นที่สังเกตได้ว่าหะดีษใดน่าจะเป็นหะดีษเมาฎูอฺเอาไว้หลายประเด็น ส่วนหนึ่งคือ หะดีษนั้น ๆ บอกถึงเรื่องราวที่สำคัญซึ่งย่อมเป็นปัจจัยให้มีบุคคลเป็นจำนวนมากรายงานหะดีษนั้นแต่ปรากฏว่ามีผู้รายงานเพียงคนเดียว อันนี้ประเด็นหนึ่ง ส่วนอีกข้อหนึ่งก็คือ มีการสัญญาอันยิ่งใหญ่ต่อการกระทำที่เล็กน้อย ตลอดจนไม่ปรากฏว่ามีการบันทึกหะดีษนั้น ๆ ในตำรับตำราที่เชื่อถือได้ เป็นต้น (ดิรอซาตฺ ฟี อุลูมิลหะดีษ ; ดร.มุฮัมมัด อะลี ฟัรฮาตฺ หน้า 151)

ข้อสังเกตก็คือว่าท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ได้ออกมาละหมาดตะรอวีฮฺ (กิยามุลลัยล์) ในรอมาฎอนตามที่มีรายงานอย่างถูกต้องเพียง 2 หรือ 3 คืนเท่านั้น ถ้าหากการละหมาดตะรอวีฮฺมีผลบุญมากมายดังที่ระบุในหะดีษดังกล่าวแล้วท่านทำไมจึงละทิ้งในคืนหลัง ในบางกระแสรายงานระบุด้วยซ้ำว่าท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ออกมาในค่ำที่ 23,25 และ 27 (รายงานโดยอันนะซาอีย์, อะฮฺหมัด อิบนุ อบีชัยบะฮฺ และอิบนุคุซัยมะฮฺ) แล้วคืนก่อนหน้านั้นเล่าทำไมท่านจึงไม่ออกมา หรืออย่างน้อยท่านก็ต้องบอกกล่าวแก่เหล่าซอฮาบะฮฺถึงภาคผลอันมหาศาลให้ได้รับรู้ ซึ่งผลบุญที่ถูกระบุก็ดูจะเกินความเป็นจริง

เช่น ในคืนที่ 5 อัลลอฮฺจะทรงประทานผลบุญเท่ากับผู้ที่ละหมาด ณ มัสญิดสำคัญ 3 แห่งในคืนที่ 8 ได้ผลบุญเท่ากับสิ่งที่อัลลอฮฺประทานแก่นบีอิบรอฮีม (อ.ล.) ในคืนที่ 9 ได้รับผลบุญเท่ากับการทำอิบาดะฮฺของท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ซึ่งค้านกับตัวบทที่ถูกต้องอย่างชัดเจน ในคืนที่ 11 ก็มีข้อความคล้าย ๆ กับคืนแรก ในคืนที่ 14 มาลาอิกะฮฺจะมาเป็นสักขีพยานแก่เขาว่าได้ละหมาดตะรอวีฮฺ แล้วอัลลอฮฺจะไม่สอบสวนเขาในวันกิยามะฮฺ ซึ่งเรื่องนี้ไม่มีนักวิชาการท่านใดระบุว่า บุคคลที่จะไม่ถูกสอบสวนในวันกิยามะฮฺนั้นส่วนหนึ่งคือคนที่ละหมาดตะรอวีฮฺในคืนที่ 14 แต่อย่างใด ในคืนที่ 17 เขาจะได้รับผลบุญเยี่ยงบรรดานบีทั้งหลาย ในคืนที่ 24 เขาจะมีสิทธิได้รับคำขอที่ถูกตอบรับ 24 ประการ ในคืนที่ 28 อัลลอฮฺจะยกฐานะของเขาในสวนสวรรค์ถึง 1000 ขั้น ในคืนที่ 29 อัลลอฮฺจะประทานผลบุญเท่ากับฮัจญ์ที่ถูกตอบรับ 1000 ฮัจญ์ เป็นต้น

ซึ่งเป็นที่ทราบกันว่าการละหมาดตะรอวีฮฺเป็นซุนนะฮฺและมีหะดีษที่ซ่อฮีฮฺรับรองอยู่แล้วว่ามีผลบุญมากมาย แต่การระบุผลบุญในหะดีษดังกล่าวดูจะไม่สมเหตุสมผล เพราะดูเหมือนว่าจะมีผลบุญมากกว่าการละหมาดฟัรฎูด้วยซ้ำไป

ผู้ตอบได้ตั้งข้อสังเกตเอาไว้เกี่ยวกับหะดีษบทนี้ แต่ผู้ตอบก็คงไม่อาจหาญชี้ขาดว่าเป็นหะดีษเมาฎูอฺ ถึงแม้ว่าจะมีประเด็นที่ทำให้เชื่อได้ว่า น่าจะเป็นหะดีษเมาฎูอฺ ผู้ตอบคงตอบได้เพียงว่าหะดีษบทนี้ไม่มีสายรายงาน หาที่มาไม่ได้ (لاَأَصْلَ لَه) ซึ่งนักวิชาการถือว่าเป็นหะดีษที่โมฆะ (بَاطِلٌ) ไม่อาจนำมาเป็นหลักฐานได้

อย่างไรก็ตาม ต้องขอย้ำว่า หะดีษที่ซ่อฮีฮฺซึ่งบ่งบอกถึงภาคผลในการละหมาดตะรอวีฮฺนั้นมีอยู่และก็เพียงพอแล้วในการนำมาเป็นหลักฐาน โดยที่เราไม่ต้องไปอ้างหะดีษบทนี้เลยแม้แต่น้อย เพราะถ้าเข้าข่ายว่าเป็นหะดีษเมาฎูอฺก็จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ คือกล่าวตู่ว่าท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ได้กล่าวทั้ง ๆ ที่ท่านมิได้กล่าว ซึ่งเป็นบาปหนัก จึงขอเตือนพี่น้องว่า อะไรที่ไม่ชัดเจนก็ควรหลีกห่างจากสิ่งนั้นเสีย

والله أعلم بالصواب

4
รายงานจาก อบีมูซา กล่าวว่า ท่านรอซูล กล่าวว่า : ผู้ศรัทธาต่อผู้ศรัทธานั้น (ต้องช่วยเหลือกัน) เหมือนกับอาคาร
ซึ่งบางส่วนของมันยึดเหนี่ยวกับอีกบางส่วน แล้วท่านรอซูลประสานมือเข้าด้วยกัน  บันทึกโดยบุคอรีย์ และมุสลิม

"เมื่อชาวเมืองชามพินาศแล้วไซร้ ก็ไม่หลงเหลือความดีใดๆในตัวพวกท่าน"
(บันทึกโดยติรมิซีย์ /2192 อัลบานีย์ระบุเป็นหะดีษเศาะฮีหฺ )


5

السلام عليكم

แรงเกินไปหรือเปล่า ถ้าจะไปหุก่มผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว

ตามไปขอมะอัฟก็ไม่ได้ ฟังอย่างพินิจพิจารณาก็แล้วกัน
...สลามม....เสียดายไม่มีไลฟ์ให้กด

7
อ.เฟาซัน หลังปูเต๊ะ คนเดียวกับที่เป็นข่าวรึเปล่าคับ

10
สลาม..
ไฟล์นี้ จังกั๊บนายูหรอ

12
4shared เข้าไม่ได้คับรบกวนด้วยย
ญาซ่ากัลลออ

หน้า: [1] 2