แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - Haytham

หน้า: [1] 2 3 ... 7
1
              ไปยังไงครับ

           แนะนำกันหน่อย  เส้นทาง  รถโดยสาร   

           แผนที่
         
           รายละเอียดเกี่ยวกับกิจกรรม

2
                 สี่ลำดับแรกเป็นของกษัตริย์มุสลิม   เนียะมัตทรัพย์สินที่อัลลอฮ.ให้ผู้นำมุสลิมยุคปัจจุบันมากมายยิ่งนัก
           ลำดับที่ 1 สุลต่าน สมเด็จพระราชาธิบดีฮัจญี ฮัสซานัล โบลเกียห์ มูอิซซัดดิน วัดเดาละห์ แห่งบรูไน มีทรัพย์สินคิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้นประมาณ 22 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ

          ลำดับที่ 2 ประธานาธิบดี Sheikh Zayed Bin Sultan Al-Nahyan เจ้าผู้ครองรัฐอาบูดาบี (รัฐอาบูดาบี (Abu Dhabi) เป็นรัฐใหญ่ที่สุด) แห่งสหพันธรัฐอาหรับเอมิเรตส์มีทรัพย์สินคิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้นประมาณ 21 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ

         ลำดับที่ 3 กษัตริย์อับดุลลาห์ บิน อับดุลลาซิสแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย มีทรัพย์สินคิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้นประมาณ 19 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ
         
        ลำดับที่ 4 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชีค โมฮัมหมัด บิน ราชิด อัล มัคทูมแห่งดูไบ มีทรัพย์สินคิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้นประมาณ 16 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ


                       
                         
                         

         

3

1. Sultan Haji Hassanal Bolkiah
Sultan/Brunei $22 billion Age: 61

Became 29th Sultan of Brunei 40 years ago, inheriting riches of an unbroken 600-year-old Muslim dynasty. Rules concurrently as the oil-rich land's prime minister, defense minister, finance minister and head of religion.

2. Sheikh Khalifa Bin Zayed Al Nahyan
President/United Arab Emirates $21 billion Age: 59

Hereditary ruler of tiny emirate Abu Dhabi, home to one-tenth of world's oil reserves. Reinventing emirate as "cultural hub" of Middle East; Frank Gehry-designed branch of the Guggenheim Museum set to open in 2011.

3. King Abdullah Bin Abdulaziz
King/Saudi Arabia $19 billion Age: 83

King since August 2005; soon after, began construction on a $26 billion city named in his honor. More fiscally conservative than his big- spending half-brother, the late King Fahd.

4. Sheikh Mohammed Bin Rashid Al Maktoum
Ruler/Dubai $16 billion Age: 57

"CEO of Dubai Inc." shares fortune with two brothers. Government holding companies bought big stakes in HSBC (nyse: HBC - news - people ) and Deutsche Bank (nyse: DB - news - people ); bid for U.S retailer Barneys New York.

5. King Bhumibol Adulyadej
King/Thailand $5 billion Age: 79

World's longest-reigning living monarch is U.S.-born, Swiss-educated and revered as deity in Thailand. Family fortune includes investments, real estate mostly held through Crown Property Bureau.

6. Prince Hans-Adam II von und zu Liechtenstein
Prince/Liechtenstein $4.5 billion Age: 62

Heads country. Family fortune goes back 900 years. Family has been collecting art for four centuries; own 33 Rubens, largest number in private hands.

7. King Mohammed VI
King/Morocco $2 billion Age: 44

Nicknamed "King of the Poor" for efforts to alleviate poverty and improve human rights. Palace's reported budget exceeds $960,000 a day, much spent on clothes and car repairs.

8. Prince Albert II
Prince/Monaco $1.2 billion Age: 49

Eligible bachelor inherited tiny principality after father's death in 2005, as well as fortune in real estate, art and stake in Monte Carlo's casinos.

9. Sheikh Hamad Bin Khalifa Al Thani
Emir/Qatar $1 billion Age: 55

Overthrew father in a bloodless coup in 1995. Sports enthusiast bringing events like Asian Games to tiny state. Funded Al Jazeera and its English-language sister station.

10. Prince Karim Aga Khan
Prince $1 billion Age: 70

Celebrated fiftieth anniversary as leader of world's 15 million Ismaili Muslims this year. Suave businessman runs business conglomerate from France and Switzerland.

11. Queen Elizabeth II
Queen/U.K. $600 million Age: 81

Long-reigning Queen keeps active travel schedule, including a state visit to the U.S. this year, her fourth since 1957. Real estate holdings in England and Scotland appreciating.

12. Sheikh Sabah Al Sabah
Emir/Kuwait $500 million Age: 78

Took over as emir in 2006 after crown prince deemed too ill to ascend throne. Soon after, voted for a significant raise in the royal family stipend.

13. Sultan Qaboos Bin Said
Sultan/Oman $500 million Age: 66

After six years under house arrest, overthrew father in 1970. Began modernization to open country to outside world. Funded restoration of a dozen mosques.

14. Queen Beatrix Wilhelmina Armgard
Queen/Netherlands $300 million Age: 69

Powerful monarch appoints prime minister and deputies, signs bills into law. Family fortune includes real estate, equity investments and antiques.

15 King Mswati III
King/Swaziland $200 million Age: 39

Africa's last absolute monarch assumed throne at age 18. Wealth derived from investments, real estate. Lavish spender building palaces for each of his 13 wives.



http://members.forbes.com/forbes/2007/0917/054.html

4
เชิงอรรถ

(1) Anthony Reid. Understanding Melayu (Malay) as a Source of Diverse Modern Identities. Journal of Southeast Asian Studies. Vol 32: 3, 2001.

(2) การอธิบายถึงลักษณะความเป็นมลายูทางวัฒนธรรม และเกี่ยวข้องกับสภาพการณ์ทางประวัติศาสตร์ในคาบสมุทรมลายู ดู "บทสรุป: บางสาระในประวัติศาสตร์" ใน ประวัติศาสตร์มาเลเซีย บาร์บาร่า วัตสัน อันดายา และ ลีโอนาร์ด วาย. อันดายาม พรรณี ฉัตรพลรักษ์ แปล, มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์, ๒๕๔๙.

(3) ภาษามาเลย์มาตรฐาน [Standard Malay] หมายถึงการภาษามาเลย์อย่างถูกต้อง วลีในภาษามาเลย์คือ Bahasa Melayu Baku ซึ่งมีการตกลงร่วมกันระหว่างอินโดนีเซีย มาเลเซีย และบรูไน ว่าใช้ภาษาบาฮาซารีเยา (Bahasa Riau) เป็นมาตรฐาน เพราะภาษาของหมู่เกาะรีเยาถือว่าเป็นต้นกำเนิดของภาษามลายู

(4) ปรากฏคำนิยามในบทนำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของ Saroja Devi Dorairajoo. "No Fish in the Sea: Thai Malay Tactics of Negotiation in a Time of Scarcity" Ph.D. dissertation, Dept. of Social Anthropology, Harvard University. (2002)

(5) David Brown, THE STATE AND ETHNIC POLITICS IN SOUTH EAST ASIA, Routledge, London and New York, 1994., pp. 206-265. ภูมิบุตรา กลายเป็นกลุ่มชาติพันธุ์แบบหนึ่งที่เป็นทั้งคำเรียกตนเอง การอ้างสิทธิเหนือแผ่นดิน โดยมีภาษาและวัฒนธรรมเป็นหัวใจสำคัญของการแยกแยะความเป็นกลุ่ม ภูมิบุตรากลายเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจในระบบทุนนิยม ให้สามารถดำเนินไปได้อย่างรวดเร็ว มีการเกิดขึ้นของสภาเศรษฐกิจภูมิบุตรา [Bumiputra Economic Congress] ในปี ๑๙๖๕ โดยข้าราชการ นักการเมืองและชนชั้นกลางโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อรักษาระบบการเงินของคนมาเลย์ เพื่อถ่วงดุลกับนักลงทุนชาวจีนที่เข้ามาในประเทศและที่อยู่ในประเทศแต่เดิม

มีการสถาปนาธนาคารภูมิบุตรา (Bank Bumiputra) พร้อมกับ MARA (Council of Trust for the Indigenous People) เพื่อทำธุรกรรมทางการเงินและโครงการต่างๆ ที่เกิดจากชาวมาเลย์ การเกิดขึ้นของภูมิบุตราจึงกลายเป็นสิ่งที่นักวิชาการตะวันตกหลายคนมองว่า เป็นมายาคติ [myth] ของคนชั้นกลาง พ่อค้า และนักการเมืองที่สร้างขึ้นมาเพื่อธำรงเศรษฐกิจแบบทุนนิยม การเมือง และการสร้างชาติ มากกว่าการอธิบายถึงประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ของตนเอง ภูมิบุตราจึงกลายเป็นทั้งการเมืองเรื่องชาติพันธุ์และอุดมการณ์ทางชาติพันธุ์ ที่ถูกสร้างขึ้นและกีดกันคนหรือเชื้อชาติอื่นออกไปเพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ การสร้างชาติในยุคหลังอาณานิคม

(6) จารึกภาษายาวีที่เก่าที่สุดพบที่ตรังกานู ในช่วงราวปลายศตวรรษที่ ๑๔ เขียนโดยใช้อักษรยาวี ซึ่งหมายถึงตัวอักษรอารบิคที่ยืมและปรับมาใช้ในภาษามาเลย์ ซึ่งไม่มีตัวอักษรของตนเอง นำเข้ามาโดยพ่อค้าชาวอาหรับตั้งแต่ศาสนาอิสลามแพร่เข้ามาในศตวรรษที่ ๑๔

(7) ประวัติศาสตร์มาเลเซีย บาร์บาร่า วัตสัน อันดายา และ ลีโอนาร์ด วาย. อันดายาม พรรณี ฉัตรพลรักษ์ แปล, มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์, ๒๕๔๙. (หน้า ๔๘๒-๔๘๗)

(8) Hasan Madmarn. The Pondok & Madrasah in Patani. PENERBIT UNIVERSITI KEBANGSAAN MALAYSIA, 2001 [pl.49-50]

(9) คำว่า "ยาวี" มีบริบทในการใช้คือ Sura Jawi คือการเขียนภาษายาวี Baso Jawi เรียกภาษาพูด และ Ore Jawi คือคนยาวี

(10) ข้อสังเกตนี้น่าสนใจที่จะตรวจสอบอัตลักษณ์การเรียกชื่อมักจะเลื่อนไหลไปตามสถานการณ์ Pierre Le Roux. To Be or Not to Be ... the Cultural Identity of the Jawi. Asian Folklore Studies. Vol 57: 2, 1999.

(11) "Social space" คือ พื้นที่ที่กำหนดโดยระบบของลักษณะร่วมของผู้คน หมายถึงรูปลักษณ์ความสัมพันธ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ที่ถูกกำหนดมา, ibid., อ้างจากงานของ CONDOMINAS, Georges. L'Espace social. A propos de l'Asie du Sud-Est, 1980

(12) กำเนิดและความเป็นมาของ "ลัทธิแบ่งแยกดินแดน" ของมลายูมุสลิมในภาคใต้ไทย แปลและเรียบเรียงจาก งานวิจัยของ ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ เรื่อง Origins of Malay Muslim "Separatism" in Southern Thailand โดยได้รับทุนจาก Asian Research Institute (ARI) แห่งมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ [National University of Singapore] ใน พ.ศ. ๒๕๔๗

(13) Khun Eng Kuah. Maintaining Ethno-Religious Harmony in Singapore. Journal of Contemporary Asia. Vol 28: 1, 1998.

(14) ความเห็นเหล่านี้ไม่ถูกยืนยันในพื้นที่จากการสอบถามบุคคลในระดับปัญญาชน หลังจากผู้เขียนเฝ้าสังเกตและหาคำตอบก็ยังไม่ชัดเจน แต่ถูกนำเสนอในบทความของ Aurel Croissant. Unrest in South Thailand: Contours, Causes, and Consequences since 2001. Contemporary Southeast Asia. Vol 27: 1, 2005.

(15) เสียงโต้จากกลุ่มส่งเสริมศิลปะและวัฒนธรรมมุสลิมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (เซาดารอ) สำนักข่าวประชาไท [www.prachathai.org] เปิดพื้นที่ให้'กลุ่มส่งเสริมศิลปะและวัฒนธรรมมุสลิมจังหวัดชายแดนภาคใต้' หรือเซาดารอ ชี้แจงและตอบโต้รายงานเรื่อง 'เจาะวงใน 'นักศึกษามุสลิม' กับสถานการณ์ร้ายชายแดนใต้' ที่มีผลกระทบต่อนักศึกษามุสลิมในวงกว้าง ๑๖/๘/๒๕๔๙ ความขัดแย้งเช่นนี้ เมื่อสอบถามบุคคลในระดับปัญญาชนจะเห็นว่า ไม่ใช่ปัญหามากนัก เป็นความขัดแย้งระหว่างสำนักคิด แต่สำหรับชาวบ้านในหมู่บ้านที่มองเห็นความขัดกันดังกล่าว พบว่ามีปฏิกิริยาเช่นเดียวกับนักศึกษาที่ออกแถลงการณ์

(16) อิบรอฮิม ชุกรี. ประวัติศาสตร์ราชอาณาจักรมลายูปะตานี แปลโดย ดร.หะสัน หมัดหมาน และมะหามะซากี เจ๊ะหะ. ซิลค์เวอร์ม บุ๊ค, ๒๕๔๙ (หน้า ๙๕)


5
ชีวิตที่สับสน
          อัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ควรจะเลื่อนไหลไปตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ในขณะที่นักวิชาการจำนวนไม่น้อยในขณะนี้ใช้คำว่า "มลายูมุสลิม" เพื่อหลีกเลี่ยงและแสดงความนับถือในการเป็นอีกกลุ่มชาติพันธุ์ที่แตกต่าง ในขณะที่รัฐพึงพอใจจะเรียกว่า "ชาวไทยมุสลิม" ที่เป็นการแสดงการไม่ยอมรับความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์โดยวัฒนธรรม เพียงนี้ก็พอจะมองเห็นนโยบายที่รัฐมีต่อปัญหาในสามจังหวัดภาคใต้ได้พอสมควร

          หนทางของชาวมลายูมุสลิมในประเทศไทยถูกบีบรัดเข้ามาในทุกด้าน คำถามที่ตอบไม่ได้ในขณะนี้คือ "คนตานี" จะไปเดินไปสู่หนใด

การละทิ้งความเป็นมลายูสู่ความเป็นอิสลาม
          รัฐไทยไม่รับรู้หรือให้ความสนใจที่คนสามจังหวัดไปเรียนต่อกันตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ในโลกอาหรับ ซึ่งเป็นการสูญเสียโอกาสไปโดยเปล่า หลายคนกลับมาเคว้งคว้าง "สังคมมุสลิมเป็นสังคมที่รักการศึกษา" มีระบบการศึกษาของตนเองที่ได้รับการยอมรับไปทั่วโลก การที่รัฐไทยระแวงและแทรกแซงการจัดการศึกษามาโดยตลอด ไม่ส่งเสริมระบบการศึกษาตามแนวทางที่ชาวมุสลิมในท้องถิ่นต้องการ คือการทำลายความคาดหวังในอนาคตของชาวมุสลิมอย่างสิ้นเชิง

          จากกระแสการฟื้นฟูศาสนาของกลุ่มวาฮาบี ซึ่งมีนักศึกษาจากประเทศไทยไปเรียนเป็นจำนวนมาก มักได้รับการบริจาคเงินเพื่อการกุศล โดยผู้บริจาคนี้คือคนในตะวันออกกลางและการอุปถัมภ์ของกลุ่มออธอดอกซ์แก่โรงเรียนศาสนาไม่น้อย การเผยแพร่ศาสนาอิสลามที่เป็นแบบออธอดอกซ์ เช่น วาฮาบี และ Fundamentalist สร้างอุสตาสรุ่นใหม่ที่ผลิตนักเรียนซึ่งมีแนวคิดทางการเมือง (14) ผลก็คือการขยายตัวของความแตกแยกห่างเหินของเยาวชน ที่ละทิ้งความเข้าใจวัฒนธรรมท้องถิ่นแบบมลายูหรือแบบดั้งเดิม กลายเป็นกลุ่มคนเคร่งศาสนาที่ขาดความเข้าใจในมิติทางสังคม

          ความขัดแย้งของกลุ่มเดิมที่ปฏิบัติแบบจารีต และกลุ่มวาฮาบีที่น่าสนใจ ปรากฏในเอกสาร ที่เป็นปฏิกิริยาของนักศึกษามุสลิมในมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ต่อการขยายตัวของแนวคิดวาฮาบีในวิทยาลัยอิสลาม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานีแห่งนี้ กล่าวว่าสร้างความอึดอัดใจแก่นักศึกษาที่ไม่ใช่วาฮาบี สร้างความหนักใจแก่ผู้ปกครองที่จะส่งลูกหลานมาศึกษาต่อในสถาบันแห่งนี้ เพราะกลัวการครอบงำบุตรหลานของตน เพราะแนวคิดของวาฮาบีต่างไปจากการประพฤติและปฏิบัติของมุสลิมในสามจังหวัดภาคใต้อย่างมาก และดูถูกระบบการศึกษาแบบปอเนาะดั้งเดิม (15)

          การสนับสนุนของมุสลิมจากตะวันออกกลาง ซึ่งได้บริจาคเงินนำมาใช้สร้างมัสยิดแทนที่สุเหร่าไม้เก่าๆ ที่ดูเหมือนกับอาคารแบบคนมาเลย์พื้นถิ่นทั่วไป มากกว่าที่จะเป็นสถานที่สำหรับอิสลามมิกชน รวมถึงการสนับสนุนเงินช่วยเหลือกับครูสอนศาสนาบางกลุ่ม ได้สร้างความขัดแย้งในหมู่บ้านที่เป็นกลุ่มแบบดั้งเดิม เพราะการสร้างมัสยิดขึ้นมาสักหลังหนึ่งโดยน้ำพักน้ำแรงของชาวบ้านใช้เวลานาน เน้นความสามัคคีรวมพลัง แต่การบริจาคเงินจำนวนมากสู่สังคมหมู่บ้านเพื่อมีมัสยิดเพิ่มอีกหลังหนึ่ง อาจถูกมองจากคนกลุ่มใหญ่ว่าไม่จำเป็นเพื่อปฏิบัติศาสนากิจที่แตกต่างกัน กลายเป็นรอยร้าวในสังคมหมู่บ้านเล็กๆ ได้

          ในขณะที่กลุ่มดาวะห์เน้นศรัทธาเข้าถึง และได้รับการยอมรับจากชาวบ้านอย่างไม่มีปัญหา จากคนที่เรียนศาสนาในชุมชน ในปอเนาะ เน้นการเชื่อโต๊ะครู การร่วมมือร่วมใจช่วยเหลือกันในสังคม หลังการละหมาดจะมีการประชุมกันไต่ถามทุกข์สุข หาทางช่วยเหลือกัน คนส่วนใหญ่จึงยอมรับได้เร็ว เพราะสร้างความสามัคคีในชุมชน ดึงเยาวชนออกจากอบายมุขได้ ปัจจุบันมักจะเห็นการแต่งกายแบบดาวะห์เข้ามาแทนการแต่งการแบบมลายูมากขึ้นเรื่อยๆ

          แต่ก็เห็นความต่างกันระหว่างการแต่งกายของกลุ่มวาฮาบีที่แต่งกายคล้ายชาวอาหรับ และ การแต่งกายแบบดาวะห์ที่แต่งกายด้วยชุดคลุมยาวสีขาว สวมหมวกกาปิเยาะ และ ในกลุ่มวาฮาบีที่มีบทบาทอยู่ในสังคมระดับมหาวิทยาลัยหรือเรียกว่าเป็นปัญญาชนทางศาสนา

          ทั้งสองกลุ่มคือการเคลื่อนไหวทางศาสนาที่มีต่อสังคมในสามจังหวัดภาคใต้ ซึ่งมีแนวโน้มตัดขาดวัฒนธรรมท้องถิ่น หรือวัฒนธรรมแบบจารีตตามประเพณีมุสลิมดั้งเดิมที่มีรายละเอียดมากมาย เพื่อมุ่งไปสู่หลักศาสนาเพียงด้านเดียว ข้อคิดเห็นดังกล่าวนี้อาจจะผิดก็ได้ เพราะผู้เขียนเป็นคนนอกที่ไม่ได้ทราบในทุกรายละเอียด เพราะยังพบผู้ที่นับถือการปฏิรูปทางศาสนาแบบสายใหม่ที่ยังใช้ชีวิตตามปกติในวัฒนธรรมแบบมลายู โดยไม่ได้เห็นว่าเป็นเรื่องผิดปกติแต่อย่างใด

          อัตลักษณ์นี้กลายเป็นเครื่องหมายของการต่อสู้บางอย่างด้วย ผู้นำในการเคลื่อนไหวทางสังคมต่อโครงการของรัฐในพื้นที่บางคนมักใส่ชุดดาวะห์อยู่เสมอ และใช้เป็นอัตลักษณ์เพื่อแสดงความเป็นเฉพาะตนเมื่อออกนอกพื้นที่หรืออยู่ในหมู่คนไทยพุทธ แสดงออกถึงความเคร่งด้วยการปฏิบัติด้วยการแต่งกาย การสนทนา การละหมาด การรับประทานอาหารที่เคร่งครัดมากกว่าชาวมุสลิมโดยทั่วไป

          การประพฤติปฏิบัติเช่นนี้มักมีผู้เลื่อมใสติดตามมากมาย สถานภาพเช่นนี้ทำให้เกิดการเปรียบเทียบว่า คล้ายๆ โต๊ะครูผู้มีชื่อเสียงจากปอเนาะ ซึ่งถือเป็นเป็นบุคคลศักดิ์สิทธิ์ หรือได้รับการยอมรับในสังคมของคนตานีอย่างแท้จริง

ทรัพยากรที่เหลือ กับคนที่ยังอยู่
          หากลงไปในอ่าวปัตตานี ก็จะรับรู้ได้ว่ามีความคุกรุ่นของความขัดแย้งสะสมและตกตะกอนมาอย่างยาวนาน ปัญหาที่หนักหนาสาหัสคือ การแย่งชิงทรัพยากรจากขบวนการทุนนิยมที่รัฐเอื้อเฟื้อและสนับสนุนให้เกิดขึ้นโดยชอบ เพราะสามารถทำลายล้างสังคมมุสลิมที่ยังอยู่ในระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียง ให้ย่อยยับไปถึงระดับครอบครัวที่เป็นรากฐานแห่งชีวิต

          การรุกไล่ยึดชิงทรัพยากรไปจากบ้านเกิดกลายเป็นแรงกดทับมหาศาลแก่ เรืออวนลากอวนรุนที่ลากกันทั้งคืนและคงเหลือไว้เพียงผืนน้ำที่ว่างเปล่า เรือกอและเล็กๆ เทียบไม่ได้เลยกับเรือประมงจากในเมืองปัตตานี ทางฝั่งปัตตานีเห็นปล่องไฟจากโรงงานอุตสาหกรรมผุดขึ้นเป็นกลุ่มๆ คือเขตอุตสาหกรรมที่รัฐส่งเสริมและกำลังรุกที่ถมทะเลเข้ามาเรื่อยๆ และแน่นอนโรงงานเหล่านี้ปล่อยมลพิษสู่อ่าวปัตตานีสะสมต่อเนื่องกันมาหลายปี ส่วนนาเกลือแห่งเดียวในแหลมมลายูคือบริเวณปากน้ำปัตตานีมาจนถึงบ้านบางปู นาเกลือโบราณส่วนใหญ่เป็นที่ราชพัสดุจึงให้เช่าใช้ทำนากุ้งและโรงงานอุตสาหกรรม และสงวนพื้นที่ไว้ทำนาเกลือเพียงเล็กน้อยพอที่จะได้ชื่อว่าเคยเป็นนาเกลือแห่งเดียวเท่านั้นในภาคใต้

          อ่าวปัตตานีที่เคยได้ชื่อว่าอุดมสมบูรณ์ที่สุดในแหลมมลายู เปลี่ยนไปหวังประโยชน์เฉพาะหน้าโดยการทำลายทรัพยากรธรรมชาติโดยตรง และกำลังทำลายชีวิตวัฒนธรรมของชาวบ้านรอบอ่าวปัตตานีอย่างรุนแรง ทุนนิยมในประเทศไทยมีผลต่อชุมชนของชาวประมงและชาวนาหรือสังคมแบบดั้งเดิมของชาวมลายู เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพการดำรงชีวิต ที่ดินเปลี่ยนมือ เริ่มมีกรรมสิทธิ์และสูญเสียกรรมสิทธิ์นั้นไปอย่างง่ายดาย

          การสูญเสียอาชีพการทำมาหากินที่สมบูรณ์ไป และปรับตัวไม่ได้กับการรุกไล่ของทุนนิยมที่ขัดกับหลักศีลธรรมทางศาสนา ค่านิยมเริ่มเปลี่ยนแปลงไป การค้นหาพื้นที่ของตนเองแบ่งออกเป็นหลายๆ กลุ่มคน กลุ่มที่มีโอกาสมากกว่า เช่น สถานภาพสูง มีฐานะ มีรากฐานหรือเครือญาติในกรุงเทพฯ ก็จะไปแสวงหาโอกาสทางการศึกษาหรือเพื่อหางานทำ คนกลุ่มนี้สามารถปรับตัวได้และมีความยืดหยุ่นมากกว่า

          อีกกลุ่มด้อยโอกาสกว่า แต่ต้องการเริ่มต้นมี "ทุน" เพื่อใช้ในการเริ่มกิจการของตัวเอง หลังจากเปลี่ยนจากอาชีพทางเกษตรกรรมแล้ว เช่น ไม่มีที่ดินเพียงพอ ไม่มีสวนผลไม้ หรือ สวนยาง การมองไปที่มาเลเซียคือคำตอบ เพราะเมืองหลวงของเราไม่สามารถตอบสนองความเป็นอยู่แบบชาวมุสลิมด้วยกัน หรือค่าตอบแทนที่คุ้มค่าให้ได้

          ในสามจังหวัดภาคใต้ ปัจจุบันไม่อาจกล่าวได้ว่าทรัพยากรธรรมชาติยังอุดมสมบูรณ์อยู่ เพราะการรุกคืบของทุนนิยมทำได้ช้า ปัจจุบันทราบกันแล้วว่า สภาพแวดล้อมที่คิดกันว่ายังไม่เปลี่ยนแปลงนั้น เปลี่ยนไปเสียจนชาวบ้านธรรมดาคงปรับตัวได้ยาก เกิดปัญหาสำหรับชีวิตแบบพออยู่พอกินแต่ดั้งเดิม โครงสร้างทางสังคมเปลี่ยนแปลง การปรับตัวได้ช้า และโอกาสในการทำงานสำหรับผู้มีการศึกษาและด้อยการศึกษามีน้อย ในท่ามกลางชีวิตและความสับสนนี้จะทำอย่างไรต่อไป

การออกไปทำงานมาเลเซีย ความหวังสุดท้าย
          จากการพบปะพูดคุยกับชาวบ้านในหมู่บ้านบางแห่ง ประเมินคร่าวๆ ได้ว่า คนในหมู่บ้านเคยไปทำงานที่มาเลเซียในช่วงหนึ่งของชีวิตเฉลี่ยแล้วไม่ต่ำกว่า ๖๐ % บางหมู่บ้านหนุ่มสาวที่จบการศึกษาโดยมากในชั้นประถมหรือมัธยมต้น อายุเพียง ๑๕-๑๖ ก็ออกไปทำงานที่มาเลเซียกันจนเกือบหมดแล้ว
ส่วนใหญ่ไปทำงานร้านต้มยำที่มาเลเซียที่มีอยู่ทุกรัฐ ไม่ทราบว่ามีจำนวนแน่นอนเท่าไหร่ ที่นิยมมากที่สุดคือทำงานร้านต้มยำ มีคนทำงานแบบถูกกฎหมายขึ้นทะเบียนไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนคน ส่วนที่ไม่มีใบอนุญาต ไปทำงานประมง เกี่ยวข้าว ตัดปาล์ม กรีดยาง ก่อสร้าง ซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไม่ถึงน่าจะมากพอๆ กันหรือมากกว่า ดังนั้น จึงมีแรงงานนับหลายแสนคนที่ออกไปทำงานในมาเลเซีย

          นิยา, วัยต้นสามสิบมาจากบาโงยซิแย อำเภอยะหา จังหวัดยะลา. เด๊าะ อายุอ่อนกว่านิดหน่อยมาจากปัตตานี พบรักกันที่ร้านต้มยำ หลังแต่งงานทั้งคู่มีลูกคนหนึ่ง ตอนนี้อยู่กับย่าที่บาโงยซิแน ทั้งสองคนต้องทิ้งลูกไว้ให้เข้าโรงเรียนที่เมืองไทยเพราะเข้าโรงเรียนที่นี่ไม่ได้ ทั้งร้านมีลูกน้องอยู่ ๑๕ คน ส่วนใหญ่เป็นญาติเกี่ยวดองกันทั้งนั้น

          นิยาเป็นลูกจ้างอยู่นาน เก็บเงินเพื่อเปิดร้านซึ่งเป็นความหวังของคนหนุ่มสาวที่มาทำงานมาเลเซีย หลังจากนั้นก็ชักชวนพี่น้องให้มาทำงานและกลายเป็นเจ้าของร้านไปด้วยกัน คือ นิเฮง นิโมะ และน้องสาวของเด๊าะ ทั้งหมดรวมเป็น ๔ ร้าน ลักษณะร้านก็ไม่ใหญ่มากมาย ส่วนใหญ่อยู่บริเวณนอกเมืองในส่วนที่ขยายตัว มีพื้นที่มากพอจะตั้งโต๊ะอาหารได้หลายโต๊ะ

          ทำเลร้านของนิยา อยู่ตรงสี่แยกนอกเมืองมะละกา ในย่านที่เริ่มมีตึกสูงของที่พักตากอากาศเข้ามา เพราะไม่ไกลจากหาดชายฝั่งทะเลนัก ทำเลค่อนข้างดีเพราะเห็นได้ง่าย มีที่จอดรถกว้างขวาง นิยาลองเช่าดู ค่าเช่าเฉพาะที่ดินเดือนละหมื่นเจ็ดพันบาท นิยาใช้ค่าใช้จ่ายเพื่อจ้างงานไม่ต่ำกว่าเดือนละ ๗ หมื่นบาท เริ่มจากหกพันบาทจนถึงพ่อครัวได้มากที่สุดหมื่นสี่พันบาท แต่นิยาก็ต้องเสียค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทำงานแบบถูกกฎหมายเฉลี่ยคนละสองพันบาทต่อเดือน โดยแบ่งจ่ายคนละครึ่งกับลูกน้อง

          นิยามาเซ้งตึกแถวเพื่อเป็นที่พักอาศัยอยู่ แบ่งๆ กันกับลูกน้องทั้งหมด ต้องจ่ายเดือนละสามหมื่นบาท นิยามีรถขับสองคัน ทิ้งไว้ที่บ้านยะลาคันหนึ่งและนำมาใช้ที่มะละกาคันหนึ่ง ค่าใช้จ่ายที่นิยาและเด๊าะต้องใช้จ่ายหมุนเวียนต่อเดือนในร้านต้มยำร้านเดียวไม่ต่ำกว่าสองแสนบาท

          หากนิยาอยู่บ้าน ด้วยการศึกษาไม่จบ ป.๔ และเด๊าะที่จบเพียงมัธยมต้น คงไม่พ้นรับจ้างกรีดยาง ทั้งๆ ที่นิยาและเด๊าะเป็นคนฉลาดและมีศักยภาพในการบริหารจัดการอย่างดีเยี่ยม ดังที่เห็น ครอบครัวของนิยาฐานะไม่ดีและไม่มีที่ดินของตัวเอง แต่นิยาส่งพ่อแม่ไปฮัจห์ได้และซื้อที่ดินซึ่งเป็นสวนยางไว้ให้ทำด้วยได้แล้ว

          บุคคลสองสัญชาติคืออะไร ไม่มีความแน่ชัด. สำหรับแรงงานถูกกฎหมายการถือบัตรประชาชนหรือพาสปอร์ตเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องถูกตรวจตราอย่างเคร่งครัด การเชื่อมโยงแรงงานที่ไปทำงานในมาเลเซียกับคนสองสัญชาติ และขบวนการก่อการร้าย หรือขบวนการแบ่งแยกดินแดน ดูเป็นสมมุติฐานที่เลื่อนลอยเกินไป

          วันนี้ นิยาในวัยต้นสามสิบ กลายเป็นความมุ่งหวังของคนในชุมชนที่ผู้ใหญ่ต้องการให้ดูเป็นตัวอย่าง และเป็นอุดมคติของคนรุ่นหนุ่มสาวที่อยากจะสร้างฝันให้ได้เหมือนนิยา แต่ความฝันเหล่านี้ไล่หาในประเทศไทยไม่ได้ และไม่มีโอกาสที่เด็กหนุ่มสาวจากชายแดนในสามจังหวัดจะมีโอกาส นอกเสียจากที่มาเลเซีย

สรุป
          การที่รัฐไม่สนใจที่จะ "เห็น" ความเปลี่ยนแปลงของสังคมมุสลิม ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงจากภายใน การเปลี่ยนแปลงจากกระแสของมุสลิมโลก กระแสเรื่องความทันสมัย หรือไม่เข้าใจในบริบทที่เปลี่ยนแปลงไปของสถานการณ์ปัญหาที่เกิดแก่ชาวมลายูมุสลิมปัตตานี ทำให้เกิดการแก้ปัญหาไปที่จุดเดิม โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการแบ่งแยกดินแดน

          ในขณะที่รัฐสนับสนุนให้เกิดการทำลายพื้นที่ ทรัพยากร ทุนทางศีลธรรม และวัฒนธรรมอันเนื่องมาจากศาสนาของชาวมลายูมุสลิมไปจนหมด (เป็นการสร้างอาณานิคมภายในเพื่อที่ดึงดูดทรัพยากรเป็นหลัก ไม่ใช่เป็นเพื่อการบูรณาการทางการเมืองเพียงเท่านั้น) และปล่อยให้พวกเขาผจญปัญหาที่เกิดขึ้นจากโจทย์ปัญหาใหม่ๆ ด้วยตัวเอง อาจเป็นเหตุให้คนถูกฆ่าตายไปราวใบไม้ร่วงไปทุกวัน เพราะการแก้ปัญหาไม่ตรงจุด รัฐยังคงมองภาพความเป็นคนตานีในต้นแบบทางประวัติศาสตร์ ที่เห็นเป็นกลุ่มคนที่สร้างแต่ปัญหาและไม่คุ้มในการเกี่ยวข้องด้วย หนทางไปสู่สันติสุขและสันติภาพไม่ได้รับการพิจารณาถึงเหตุที่ทำให้เกิดปัญหา การแก้ปัญหาของรัฐโดยตำรวจหรือกองทัพรวมทั้งพลังสมานฉันท์จึงไม่สามารถทำได้ เพราะไม่เข้าใจบริบทของปัญหาที่เปลี่ยนไปแล้ว

ข้อเขียนของอิบรอฮิม ชุกรี ในหน้าสุดท้ายกล่าวว่า

          "ในจำนวน ๑๐๐ ล้านคนของประชากรของชนชาติมลายูทั้งหมดนั้น ชาวมลายูปะตานีถือว่าเป็นผู้โชคร้ายที่สุด ถึงแม้ว่าพวกเขาจะอยู่ภายใต้การปกครองของระบอบประชาธิปไตยเป็นเวลาที่ยาวนาน แต่ก็ไม่ใช่ประชาธิปไตยที่แท้จริง แต่เป็นประชาธิปไตยที่แบ่งชนชั้นของเชื้อชาติซึ่งกำหนดโดยรัฐบาลสยาม โชคชะตาของชาวมลายูปะตานีจึงเปรียบได้กับต้นไม้เล็กๆ ชนิดหนึ่งที่ไม่มีวันที่จะเจริญเติบโตได้" (16)
          เราจะยอมให้เพื่อนร่วมประเทศเผชิญชะตากรรมอย่างโดดเดี่ยว ดังคำทำนายของนักประวัติศาสตร์เมื่อ ๕๐ กว่าปีที่แล้วเชียวหรือ?


6
เรื่องของภาษา
          ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น มาเลเซีย ซึ่งมีประชากรชาวมลายูเป็นส่วนใหญ่และพื้นที่ทางประวัติศาสตร์ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องเดียวกันกับประวัติศาสตร์ของชาวตานี. "ความเป็นมาเลย์" ถูกบัญญัติไว้ตามรัฐธรรมนูญ อินโดนีเซีย บรูไน และมาเลเซีย ใช้ภาษามาเลย์มาตรฐาน อินโดนีเซียรับการใช้อักษรโรมันมาเป็นตัวเขียน [Bahasa Indonesia] เมื่อ พ.ศ.๒๔๗๑, มาเลเซียใช้ภาษามาเลเซีย [Bahasa Malaysia] เป็นภาษาราชการเมื่อ พ.ศ.๒๕๐๐ โดยเปลี่ยนการใช้อักษรยาวีมาเป็นอักษรรูมี (6)

          การปรับเปลี่ยนในมาเลเซียก็เพื่อมุ่งพัฒนาด้านภาษาและหนังสือ สร้างคำศัพท์มลายูด้านต่างๆ เพื่อการศึกษาในระดับสูง เป็นส่วนสำคัญทำให้ชาวมลายูมีส่วนร่วมในการพัฒนาเศรษฐกิจมากขึ้น ภาษากลายเป็นพื้นฐานในการพัฒนาชีวิตของคนมลายูในมาเลเซีย (7)

          สิ่งเหล่านี้คนตานีในสามจังหวัดไม่ได้มีส่วนร่วมแต่อย่างใด ในขณะที่การสื่อสารระหว่างคนมลายูในโลกของมาเลย์ สามารถสื่อสารกันได้ด้วยภาษามาเลย์มาตรฐานและอักษรรูมี เอกสารตำราและหนังสือจำนวนมากพิมพ์เผยแพร่ความรู้สู่ชาวมลายูในประเทศเหล่านั้น แต่คนตานียังคงใช้อักษรยาวี ซึ่งเคยใช้กันอยู่ในโลกมาเลย์ยุคก่อน ยังพูดภาษายาวีแบบปาตานี

          มีนักวิชาการสมัครเล่นที่เป็นคนตานี ได้รับการศึกษาในระบบการศึกษาขั้นสูงแบบไทย ใช้ภาษายาวีท้องถิ่นเมื่ออยู่บ้าน แต่รู้สึกอึดอัดใจเมื่อต้องไปประชุมในเรื่องประวัติศาสตร์ของชาวมลายูในมาเลเซีย ทั้งที่ทราบข้อมูลเป็นอย่างดี แต่ไม่สามารถสื่อสารได้ดั่งใจ สิ่งนี้ทำให้เห็นว่า "คนตานี" ขาดโอกาสในการสื่อสารและการศึกษาที่รุดหน้าไปอย่างรวดเร็วในโลกของมาเลย์ โดยเฉพาะการรับรู้ข้อมูลเพื่อปรับตัวเองให้ทันโลกและวิทยาการสมัยใหม่แบบมาเลเซีย

          การศึกษาในทางศาสนาคงไม่เพียงพอ ความภาคภูมิใจใน กีตาบยาวี [Kitab Jawi] ซึ่งเป็นหนังสือที่แต่งขึ้นโดยอุลามะห์ชาวปาตานี และกลายเป็นหนังสือพื้นฐานความรู้ของศาสนาอิสลามที่สำคัญในอดีตที่โด่งดังและแพร่หลายในหมู่ชาวมลายูที่ไม่รู้ภาษาอาหรับ (8) คงไม่เพียงพอสำหรับการนำพาคนตานีไปสู่โลกแห่งการศึกษาที่เท่าทันโลกการศึกษาของชาวมลายู

          คนอาหรับที่เมกกะจะเรียกคนมุสลิมที่มาจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ว่า "คนยาวี" และในอดีต คนมาเลย์มุสลิมเรียกตัวเองว่า "คนยาวี" แต่ปัจจุบันเป็นเรื่องพ้นสมัยไป ก่อนปัจจุบันราวสักยี่สิบปี "คนยาวี" (9) เป็นที่รู้กันว่าคือคนจากปัตตานี ประเทศไทยและได้กลายมาเป็นคำที่ใช้เรียกคนในพื้นที่สามจังหวัดภาคใต้ ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นเรียกตนเองว่า "คนนายู" ในทุกวันนี้

คนตานี คนยาวี คนนายู
          การเปลี่ยนการเรียกตนเองจาก "คนยาวี" ซึ่งหมายถึงคนที่พูดภาษายาวี ใช้ตัวอักษรยาวีและเป็นคนจากปัตตานี มาเป็น "คนนายู" หรือคนมลายูในภาษามาเลย์มาตรฐาน มีผู้สังเกตและให้ความเห็นว่า น่าจะเริ่มเมื่อสยามแยกรัฐในปาตานีเดิมบางส่วนให้กับอังกฤษ ในพ.ศ.๒๔๕๒ เป็นต้นมา จนถึงเมื่อราวยี่สิบปีที่ผ่านมา อาจจะพร้อมๆ กับกระแสการฟื้นฟูศาสนาอิสลามที่ผ่านมาจากมาเลเซีย เริ่มจากคนที่มีฐานะเป็นคนชั้นกลางและมีการศึกษาอาศัยอยู่ในเมือง และพอใจจะเรียกตนเองว่า "คนนายู"มากกวา "คนยาวี" เพราะคำว่าอาแฆยาวีค่อนข้างจะรู้สึกว่าเป็นพวกบ้านนอกหรือคนชนบทคล้ายๆ กับคำว่าชาวเขา (10) ทุกวันนี้ คนนอกจะรู้จัก "คนตานี" ในนาม "คนนายู" มากกว่า "คนยาวี" ที่แทบไม่เคยมีใครอ้างถึงแล้ว เพราะต่างเรียกตนเองว่า "คนนายูหรือออแฆนายู" เพื่อให้ต่างไปจาก "ออแฆซีแยหรือคนสยาม"

          ในขณะเดียวกัน "คนตานี" ที่ถูกกวาดต้อนมาเป็นพลเมืองที่กรุงเทพฯ และอาศัยอยู่ในปริมณฑลตามจังหวัดรอบนอก เช่น นนทบุรี ปทุมธานี ฉะเชิงเทรา แม้บางส่วนจะกลับไปสู่ปัตตานีในรุ่นต่อมา แต่ชุมชนเหล่านี้ยังคงอยู่เป็นจำนวนมาก ยังคงนับถือศาสนาอิสลามและบางส่วนยังคงพูดภาษายาวีอยู่ (เช่นที่ชุมชนท่าอิฐ) แต่กลุ่มคนเหล่านี้มีสถานภาพแตกต่างไปจากชาวมลายูมุสลิมที่เป็นคนตานี เพราะสภาพสังคมในเมืองสามารถซ่อนเร้นอัตลักษณ์ของตนเองให้พ้นไปจากสายตาของคนกลุ่มใหญ่ได้ นอกจากในสายตาของผู้คนละแวกใกล้เคียงแล้ว พวกเขาแทบไม่มีตัวตนในสังคมของกรุงเทพมหานคร

          การดำรงอยู่ทางศาสนาก็กลายเป็นบุคคลชั้นสอง คือพวกที่ไม่นับถือพุทธ ซึ่งอาจจะถูกกำหนดจากทางรัฐให้แตกต่าง แต่คนเชื้อสายตานีในปัจจุบันถูกมองจากคนในพื้นที่ว่า พวกเขาได้หลงลืมอดีตไปหมดแล้ว มาตุภูมิในปัจจุบันก็คือ หนองจอก, ลาดกระบัง, นนทบุรี, ปทุมธานี, ไม่ใช่ "ปาตานีดารุสลัม" หรืออีกนัยหนึ่ง มุสลิมที่กรุงเทพฯ หรือภาคกลาง ไม่ใช่คนตานีอีกต่อไป แต่เป็นคนกรุงเทพฯ ที่เป็นมุสลิม

          ดังนั้น คนมลายูในมาเลเซีย, คนตานีที่กรุงเทพฯ, และคนตานีที่ปัตตานี, จึงถูกตัดขาดออกจากกันโดยพื้นที่ทางสังคม [Social Space] (11) นับแต่กระบวนการสร้างรัฐชาติเกิดขึ้น ขอบเขตพื้นที่แน่นอนจึงกลายเป็นพื้นที่ทางสังคม ซึ่งเกี่ยวข้องกันอย่างน้อยที่สุด และแน่นอนที่สุด ได้ตัดขาดชีวิตของคนตานีไว้ในโลกของยาวี ซึ่งหมายถึง โลกของมาเลย์ที่พ้นสมัยและแช่นิ่งโดยขาดการพัฒนาและด้อยโอกาส ไม่ทัดเทียมคนมลายูที่นับถือศาสนาอิสลามกลุ่มอื่นๆ

ความต้องการแบ่งแยกดินแดน
          คนตานีสามจังหวัด ถูกทิ้งไว้กับปัญหาลักษณะเดียวมาตั้งแต่เริ่มต้นความขัดแย้งดังกรณี เต็งกู อับดุลกอเดร์ กอมารุดดีน กษัตริย์ปาตานีองค์สุดท้าย ที่ต้องลี้ภัยไปอยู่ที่กลันตันเพราะเรียกร้องเอกราชคืนในปี พ.ศ.๒๔๖๖ มีการสู้รบที่อำภอมายอ โดยถูกจับข้อหาเป็นกบฎ. กรณีหะยีสุหรงและดุซงญอ ใน พ.ศ.๒๔๙๐ และ ๒๔๙๑ โดยมี "ผี" ของการเรียกร้องเอกราชเพื่อปลดแอกจากรัฐไทยและสร้าง "อาณาจักรหรือชาติ" ของตนขึ้นมาใหม่ เป้าหมายเพื่อรวมกับกลุ่ม (ชาติพันธุ์) เดิมของตนเอง เป็นแม่แบบของปัญหา และถูกมองอย่างเป็นภาพนิ่งมาจนถึงปัจจุบัน

          เพราะชาวมุสลิมในสามจังหวัดภาคใต้อยู่ภายใต้การจองจำของ การสร้างประวัติศาสตร์รัฐปัตตานี ที่มักจะนำมาใช้อ้างอิงจนกลายเป็นข้อสรุปสำเร็จรูปสำหรับเหตุผลในการเรียกร้องรัฐอิสระ ทั้งจากกลุ่มที่ถูกเรียกว่าเป็นกลุ่มแบ่งแยกดินแดนต่างๆ หรือกลุ่มต่อต้าน และนักวิชาการของรัฐที่มองภาพความไม่สงบในพื้นที่นี้ แล้วมักสะท้อนสาเหตุสำคัญว่า มาจากรากเหง้าปัญหาทางประวัติศาสตร์เป็นการอารัมภบทกันอยู่เสมอ

          ดังข้อสรุปเรื่อง "ลัทธิการแบ่งแยกดินแดน" ของอาจารย์ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ โดยย่อว่า ในวาทกรรมการเมืองสมัยใหม่ของรัฐไทยเกิดมายาคติในเรื่อง "กบฏหะยีสุหลง" และ "กบฏดุซงญอ" ในเวลาเดียวกันพัฒนาการและความเป็นมาของรัฐไทยสยาม ที่เปลี่ยนผ่านจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่ระบอบประชาธิปไตย และการสร้างรัฐไทยในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองและสงครามมหาอาเซียบูรพา ก็มีส่วนในการผลักดันและสร้างแนวความคิดทางการเมืองของ "การแบ่งแยกดินแดน" ให้เกิดขึ้นในการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มพลังการเมืองใหม่ในภูมิภาคต่างๆ จากใต้จรดเหนือและอีสาน

          กระบวนการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองและการสร้างรัฐไทยสมัยชาตินิยมนี้ นำไปสู่การใช้กำลังและความรุนแรงปราบปรามและสยบการเรียกร้อง และสร้างอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมการเมืองของภูมิภาคทั้งหลายลงไป โดยที่กรณีของมลายูมุสลิมในภาคใต้มีลักษณะเฉพาะต่างจากภาคอื่น และมีผลสะเทือนที่ยังส่งผลต่อมาอีกนาน ทรรศนะและการจัดการของรัฐไทยต่อข้อเรียกร้องของขบวนการมุสลิมว่า เป็นภยันตราย และข่มขู่เสถียรภาพของรัฐบาล จนเมื่อเกิดรัฐประหาร ๒๔๙๐ และสถานการณ์ในยุคสงครามเย็น ได้มีการสนับสนุนวาทกรรมรัฐว่าด้วย "การแบ่งแยกดินแดน" ซึ่งกลายมาเป็นความชอบทำที่จะจัดการผู้ต่อต้านอย่างรุนแรง (12)

          จนปัจจุบันนี้ การมอง "คนตานี" ยังเป็นการใส่แว่นเดิมนับจากสมัยรัชกาลที่ ๑ จนถึงรัชกาลที่ ๕ ที่รู้สึกรำคาญและต้องการ "จัดการ" กับพื้นที่แห่งความแตกต่างอย่างเบ็ดเสร็จ แม้รัฐไทยมีโอกาสเผชิญปัญหาอื่นๆ เช่น ในยุคสงครามเวียดนามหรือต่อมาในยุคสงครามเย็น การต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์ซึ่งมีความซับซ้อนของปัญหามากเช่นกัน รัฐไทยมีประสบการณ์จากการเข้าจัดการปัญหาทั้งในเขตอีสานและเหนือที่มีความซับซ้อนของปัญหา แต่การมองปัญหาในสามจังหวัดภาคใต้ก็ยังมีโจทย์อยู่ในประเด็นเดิม คือ "การแบ่งแยกดินแดน" (หมายถึงคนมลายูมุสลิมต้องการแบ่งแยกดินแดนเพื่อไปรวมกับมาเลเซีย?) เห็นได้จากการแสดงความคิดของผู้รับผิดชอบในบ้านเมืองและการแสดงความเห็นของประชาชนในเวบบอร์ดต่างๆ รวมทั้งบทความ-หนังสือจากทหารเก่า ผู้เคยรับผิดชอบในการแก้ปัญหาพื้นที่สามจังหวัดภาคใต้มาหลายยุค

          ในความเป็นจริงจะมีที่ทาง (พื้นที่) เหลือให้คนตานีปัจจุบันในสังคมของรัฐชาติไทยและสังคมของโลกมลายูสักเท่าใด ในกระบวนการสร้างรัฐชาติให้ความสำคัญกับอาณาเขตหรือพื้นที่ การสูญเสียดินแดนสำหรับคนไทยเท่ากับเสียอธิปไตยและเป็นเรื่องใหญ่ การผนวกดินแดนไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะเงื่อนไขทำได้ยากอย่างยิ่งในสังคมโลกปัจจุบัน

          เงื่อนไขของสาเหตุแห่งความรุนแรงของปัญหาในภาคใต้ได้เปลี่ยนไปแล้ว เป้าหมายเรื่องการแบ่งแยกดินแดนอาจจะเป็นรองต่อความคับแค้นที่ถูกปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียม ปัญหาในเรื่องความรุนแรงของแนวคิดทางศาสนา อาจจะเป็นปัจจัยโดยอ้อมที่กระตุ้นให้การแบ่งแยกเพื่ออุดมการณ์ทางศาสนาด้วยวิธีการรุนแรง ซึ่งไม่ใช่สาเหตุหลักเท่ากับการเปลี่ยนของระบบคุณค่าและโครงสร้างสังคมภายในที่ถูกทำลายไป

          ทุกวันนี้การสงครามเปลี่ยนไป เป็นสงครามชนิดพิเศษ [Guerrilla Warfare - สงครามกองโจร, กองกำลังติดอาวุธที่ต่อสู้กับกองกำลังที่เข้มแข็งกว่าด้วยการลอบทำลาย] ที่กลายเป็นสงครามกลางเมืองแทรกซึมไปทั่วทั้งสังคมในพื้นที่รุนแรงสามจังหวัด ในขณะที่รัฐบาลยังใช้การจัดรบจากกองทัพและประสบการณ์ปราบปรามคอมมิวนิสต์ในอดีตให้เห็นอย่างชัดเจน

          ความโกลาหลครั้งนี้ คือสงครามภายใน สังคมตกอยู่ใต้ความหวาดกลัวเพราะการสู้รบนั้นเป็นการก่อการร้ายที่ไม่มีรูปแบบและยุทธวิธี ไม่เห็นศัตรูที่ชัดเจนเพราะแฝงเร้นอยู่ทุกหนทุกแห่ง และชาวบ้านทุกคนอาจถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับความรุนแรงนี้ได้ตลอดเวลา คนบริสุทธิ์หลากหลายที่ผ่านมาคือเหยื่อของสถานการณ์ และเมื่อเริ่มก่อรูปเป็นขบวนการเช่นนี้แล้วก็ยากจะยุติ

          มีเพียงการเรียนรู้ ประนีประนอม ปรับเปลี่ยนแนวทางเพื่อไม่สร้างเงื่อนไขให้เกิดความคับแค้น และทำความเข้าใจต่อสังคมอันหลากหลายภายใต้เอกภาพของชาวมุสลิมในท้องถิ่นท่านั้น จึงจะเป็นวิธีแก้ไขและป้องกันไม่ให้สถานการณ์ก้าวเข้าสู่สงครามแบบที่เห็นในปัจจุบัน ซึ่งยังไม่เคยมีรัฐแห่งใดในโลกนี้ สามารถยุติปัญหาดังกล่าวโดยวิธีปราบปรามด้วยความรุนแรงได้สำเร็จ

ความเป็นมุสลิมคือปัญหา?
          นับวันในโลกของข้อมูลข่าวสารนับแต่เหตุการณ์วินาศกรรมที่ ตึกเวิร์ลเทรดเซ็นเตอร์ ในสหรัฐอเมริกา มุสลิมทั่วโลกก็ถูกมองว่าเป็นผู้นิยมความรุนแรง เป็นการติดภาพลักษณ์ทางศาสนา จนทำให้ผู้นับถือศาสนาอิสลามเป็นประชากรชั้นสอง ไม่เว้นแม้ในประเทศไทย ไม่ว่าจะมีผู้ให้ความเห็นว่าความรุนแรงในสามจังหวัดภาคใต้ ไม่ได้มีส่วนร่วมกับเหตุการณ์ดังกล่าวเพื่อไม่ให้เกิดการแทรกแซงโดยชาติตะวันตก อย่างไรก็ตาม แต่เหตุการณ์นี้ส่งผลสะเทือนต่อประชากรทุกคนในโลกของเรา

          ในโลกทุกวันนี้ "กระแสการฟื้นฟูศาสนา" [Religious Revivalism] คือขบวนการเคลื่อนไหวทางศาสนาที่มีความสำคัญซึ่งควรนำมาพิจารณา เพื่อทำความเข้าใจชีวิตทางสังคมและศาสนาที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในสังคมชาวมุสลิมทุกวันนี้

          การฟื้นฟูศาสนาคือ ความพยายามไปสู่โครงสร้างเดิมในอดีตในรูปแบบที่สัมพันธ์กับยุคสมัยปัจจุบัน บางมุมมองว่า เกี่ยวข้องกับการตีความพระคัมภีร์ใหม่ การย่อหย่อนทางศาสนา การเป็นโลกวิสัย [Secularism] ความเป็นเหตุผล และอิสรภาพ สิ่งเหล่านี้ก็คือการปรับความคิดทางศาสนาและการปฏิบัติไปสู่วัฒนธรรมแบบทันสมัยโดยการใช้รูปแบบของความทันสมัยในการปรับตัว หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ การไปสู่หลักพื้นฐานเพื่อพลักดันแนวโน้มแบบทันสมัยให้ถูกต้องกับหลักธรรมเนียมประเพณี การฟื้นศาสนาเป็นความเคลื่อนไหวเพื่อพยายามอยู่เหนือแรงกดดันของความทันสมัย หรือเป็นการต่อต้านจักรวรรดินิยม ต่อต้านผู้มีอิทธิพลเหนือกว่า (13)

          การฟื้นฟูศาสนาเกิดขึ้นได้กับศาสนาต่างๆ ทั่วโลก เช่น การฟื้นศาสนาฮินดูในชุมชนอินเดียทั่วทั้งเอเชีย ความเคลื่อนไหวของการฟื้นศาสนาพุทธที่ทำให้เกิดสภาพุทธศาสนาโลก ส่วนกระแสหรือความเคลื่อนไหวเพื่อสร้างความเป็นอิสลาม [Islamization] เกิดขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อทศวรรษที่ ๑๙๗๐ เป็นความเคลื่อนไหวทางศาสนา. ดาวะห์ [Dakwah] เป็นคำศัพท์ที่รับมาจากภาษาอารบิค คือ da'wah หมายถึงการเชิญชวนให้มีศรัทธาต่ออิสลาม และแสดงปฏิกิริยาต่อต้านแนวคิดและการปฏิบัติที่ขัดต่อหลักศาสนา

ดาวะห์ (da'wah) และวาฮาบี
          ดาวะห์ เป็นขบวนปฏิรูปของสุหนี่ เริ่มที่อินเดียแล้วแพร่ไปทั่วในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความเคลื่อนไหวในอินโดนีเซีย ตั้งแต่ระหว่าง ค.ศ.๑๙๐๐-๑๙๔๒ สำหรับกลุ่มเพื่อฟื้นอิสลามเกิดขึ้นในช่วงหลังการเรียกร้องเอกราชในมาเลเซีย และแพร่เข้ามาสู่สังคมในสามจังหวัดภาคใต้ในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา มีการสร้างอัตลักษณ์ของชาวมุสลิมอย่างแข็งขัน

          วาฮาบีเป็นขบวนการของผู้ปฏิบัติเคร่งครัดทางศาสนาตามแนวทางท่านวาฮาบี แพร่หลายในอาหรับ ปัญญาชนทางศาสนาที่จบจากอาหรับจึงรับอิทธิพลเหล่านี้แล้วแพร่ไปทั่วโลก กลับไปปฏิรูปการศาสนาในบ้านเมืองตนเองให้ถูกต้องตามแนววาฮาบี ในสามจังหวัดก็เช่นกันมีผู้ไปเรียนศาสนาจำนวนมาก

          เมื่อได้พูดคุยกับชาวบ้านอยู่ใกล้ๆ ปอเนาะภูมี ในอำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี ในหมู่โต๊ะปาเกหรือนักเรียนปอเนาะที่ฐานะไม่ดีนัก พบว่าการออกไปดาวะห์ยังอินเดียเป็นความใฝ่ฝันอย่างหนึ่งของเด็กหนุ่ม เพื่อที่จะได้เรียนรู้โลกภายนอกโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายมาก เพราะศูนย์ดาวะห์ยังต่างประเทศจะช่วยเหลือออกค่าใช้จ่ายอยู่กินให้ แต่ต้องหาค่าเดินทางสำหรับตนเองและใช้เวลานานนับปี

          Isamization มีผลต่อการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้คนให้เริ่มหันมาประพฤติปฏิบัติตามวัฒนธรรมที่เชื่อว่าจะถูกหลักศาสนามากกว่า เคร่งครัดต่อการเป็นอิสลามิกที่แท้มากขึ้น การไม่ให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมท้องถิ่นที่ถูกมองว่าขัดต่อหลักศาสนา การตีความใหม่ๆ ทำให้เกิดเอกลักษณ์ในหมู่ชาวมลายูมุสลิมแบบใหม่ที่เน้นศรัทธา และความเคร่งครัดมากขึ้นกว่าในอดีตมาก สร้างความรู้สึกแปลกแยกและหวาดระแวงในหมู่คนไทยที่นับถือพุทธศาสนา และมุสลิมที่ไม่มีท่าทีเคร่งครัดหรืออยู่ในกระแสการฟื้นฟูศาสนาแต่อย่างใด เมื่อผสมกับกระแสโลก ทำให้คนไทยและรัฐไทยในปัจจุบันลงความเห็นในใจทันทีว่า ปัญหาของสามจังหวัดภาคใต้คือการเป็นมุสลิมของคนในพื้นที่

          นี่อาจเป็นสาเหตุของช่องว่างที่ถ่างออกจากการกันระหว่างชาวมุสลิมต่อชาวมุสลิมในท้องถิ่น หรือชาวพุทธและมุสลิม ที่นับวันจะกลายเป็นความไม่เข้าใจและขยายไปสู่ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มได้อีกมาก


7
มาเลเซียคือตัวอย่างที่น่าสนใจของการสร้างชาติหรือสหพันธรัฐและความเป็นมาเลย์ [Malayness] ให้กลายเป็นวัฒนธรรมหลัก และส่งอิทธิพลแก่ประเทศเพื่อนบ้านที่มีกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกันไม่น้อย นโยบายของพรรคอัมโน ที่เน้นประโยชน์ทางเศรษฐกิจแก่คนมาเลย์ ทำให้มีการแยกความชัดเจนระหว่างกลุ่มที่เรียกว่า ภูมิบุตรา [Bumiputra] กับพวกไม่ใช่ภูมิบุตรา [Non-Bumiputra]

ภูมิบุตรา
          คำว่า "ภูมิบุตรา" หมายถึงบุตรแห่งแผ่นดิน เป็นการตอกย้ำถึงความเป็นคนพื้นถิ่น [Indigenous]ก่อนจะมีพวกเจ้าอาณานิคม อินเดีย และจีน ที่อพยพเข้ามาภายหลัง (5) (แต่ก็แปลกที่ชนกลุ่มน้อย เช่น เซมัง เซนอยด์ที่เรียกว่า Orang Asli อาจได้รับสิทธิไม่เท่ากับชาวมลายู ทั้งที่เป็นกลุ่มพื้นเดิมที่อยู่มาก่อนชาวมลายูก็กล่าวได้)

          ภูมิบุตราส่งผลให้เกิดความมั่นคงแข็งแกร่งทางการเมืองและรัฐบาล ทั้งในกระบวนการพัฒนา การสร้างชาติ และการก้าวเข้าสู่ความทันสมัย เกิดความพยายามที่จะทำให้มาเลเซียเป็นศูนย์กลางทั้งในด้านการศึกษา วัฒนธรรมมลายู และศาสนาอิสลาม จนถึงขั้นเปิดให้ผู้คนในกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีภาษา วัฒนธรรม และศาสนาเดียวกันเข้ามาในประเทศมาเลเซียได้ เช่น ชาวจามอพยพจากเวียดนามก็สามารถได้สิทธิเป็นภูมิบุตราได้

          นโยบายภูมิบุตราเป็นผลสำเร็จของรัฐบาลมหาธีร์ ในการยกเอาคนเชื้อสายมลายูให้มีบทบาททางเศรษฐกิจทัดเทียมชาวจีน แต่ผลของนโยบายนี้คงต้องอภิปรายถึงผลเสียที่พบได้หลายประเด็น แต่อาจไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการนำเสนอเรื่องอัตลักษณ์ของชาวมลายูตานีเท่าใดนัก นอกจากจะเปรียบเทียบว่า "ความเป็นมาเลย์" นั้น ด้านหนึ่งเท่ากับ "ความเป็นมุสลิมที่ทันสมัย" นั่นเอง


8
      ตามหัวข้อ  เห็นว่าน่าสนใจ เลยนำ มาให้พี่น้องได้อ่านกัน
 จาก วลัยลักษณ์ ทรงศิริ : มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์

ในท่ามกลางความเคลื่อนไหวทางสังคมและวัฒนธรรมทั้งในกระแสโลก [Globalization] การก้าวไปสู่ความทันสมัยของมาเลเซียประเทศเพื่อนบ้าน กระแสการฟื้นฟูศาสนา [Religious Revivalism] โดยเฉพาะศาสนาอิสลาม เศรษฐกิจทุนนิยมแบบไทยที่เสาะแสวงหาทรัพยากรท้องถิ่นเพื่อนำมาใช้อย่างเต็มที่ และสภาพการณ์ทางการเมืองในประเทศไทที่เปลี่ยนแปลงไปไม่น้อยหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เหล่านี้คือภาพของความเปลี่ยนแปลงรายรอบ แต่ภาพของ "คนตานี" ก็ยังถูกกักขังหรือมองอย่างเป็นภาพนิ่ง


ชาวมลายูที่ถูกทิ้งไว้ในโลกของยาวี
          การเน้นความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์แทนการอยู่ร่วมกันบนพื้นที่อย่างหลวมๆ ของรัฐสมัยใหม่ มีตัวอย่างที่ควรพิจารณาเพราะ เกี่ยวข้องกับความเป็นมลายูของผู้คนส่วนใหญ่ในสี่จังหวัดภาคใต้อย่างแยกกันไม่ออก และส่งอิทธิพลทางวัฒนธรรมต่อพื้นที่นี้เป็นอย่างมากคือ "ความเป็นมาเลย์" [Malayness]

          ความเป็นมาเลย์เกิดขึ้นในคาบสมุทรมลายูเมื่อราวศตวรรษที่ ๑๙ เริ่มจากอิทธิพลของอังกฤษในยุคอาณานิคมที่กล่าวถึงผู้คนในกลุ่มที่พูดภาษาตระกูลออสโตรนีชียน [Austronesian] อย่างรวมๆ ว่าเป็น "พวกมาเลย์" แม้ว่าจะเป็นคนในกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ เช่น บูกิส, อาเจ๊ะห์, อิบัน, ราวาส์ ฯลฯ (1) ดังนั้น ความเป็นมาเลย์จึงเป็นคำสะสม [Collective Term] เมื่อจะอธิบายถึงคนที่พูดภาษามาเลย์และยึดถือจารีตธรรมเนียมหรือ adat แบบมาเลย์ที่เป็นเนื้อเดียวกับความเป็นมุสลิม ส่วนในหมู่เกาะของอินโดนีเซียความเป็นมาเลย์ก็มีลักษณะกลางๆ เช่นเดียวกัน เพราะภาษามาเลย์ใช้เป็นภาษาสื่อสารกลางมานับศตวรรษก่อนหน้านั้นแล้ว (2)

          ความเป็นมาเลย์ถูกทำให้ชัดเจนขึ้นในมาเลเซีย. "มลายู" คือคำในภาษามาเลย์มาตรฐาน [Standard Malay] (3) ที่อ้างอิงถึงความเป็นสมาชิกของกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มใหญ่ในประเทศมาเลเซียที่พูดภาษามาเลย์ นับถือศาสนาอิสลาม ยึดถือและปฏิบัติตามจารีตประเพณีแบบมาเลย์ เริ่มต้นโดยการเขียนบทบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญของสหพันธรัฐมาเลเซีย และส่งอิทธิพลต่อมุสลิมที่พูดภาษามาเลย์ในประเทศเพื่อนบ้านไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ อินโดนีเซีย บรูไน หรือไทย ก็ใช้คำอธิบายแบบมาเลเซียนี้ อธิบายความเป็นมลายูของตนเองเช่นเดียวกัน (4)



9
                          เมื่อรัฐบาลซาอุดีประกาศวันที่ พฤหัสบดีที่ 10  มค.51=1 มุฮัรรอม 1429
                          ทำให้เดือนซุลฮิจญะฮ.มี31 วัน

                          เกิดอะไรขึ้น
                 

10
        ส่วนข้างล่างนี้เป็นวิธีคิดและความเข้าใจของผู้ที่ตักลีดตาม
http://www.islaminside.com/Lufee/1322/%B5%E9%CD%A7%B5%D2%C1%BC%D9%E9%B9%D3%3F+%E1%C1%E9%C7%E8%D2%C1%D1%B9%BC%D4%B4%A1%C3%D0%B9%D1%E9%B9%CB%C3%D7%CD%3F%3F%3F.html
         ทั้งๆที่ใครๆก็รู้ว่า
อีดอัดฮานั้นต้องตามเมกกะ   แต่ก็ยังมีการอีดตามจุฬาฯ??ท   ทำไมสังคมเราต้องเป็นอย่างนี้และต้องเป็นแบบนี้อีกถึงเมื่อไรกัน   
รู้ว่าผิด ยังไปตามเขา รู้ว่าไม่ถูก แต่ก็ไม่กล้าพูด รู้ว่าเฟอะฟะ แต่ก็ยังนับถือเป็นผู้นำ

ไม่เข้าใจเลยจริงๆ

พวกนาซอรอ และยาฮูดีนั้น ดูถูกชาวไทย หาว่าไทย ล้าหลัง คอรับชั่นเยอะที่สุดหนึ่งใน5อันดับแรก และ ฯลฯ

แต่เราก็ต้องถูกผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมดูถูกเข้าไปอีก ว่า แม้แต่พวกเดียวกันยังแตกคอกัน

อันที่จริง ในเมื่อเรารู้ว่า คนบางคนไม่เหมาะเป็นผู้นำ

เราไม่จำเป็นต้องตามเขาก็ได้นี่นา เราตามกุรอานและซุนนะสิ

ทำไมต้องรายอ 2 วัน?

ทำไมต้องแตกแยก?

ทำไมจึงจมปลักอยู่กับความงมงายในตัวผู้คน?

และทำไม คนที่รู้ความจริง จึงไม่กล้าบอก

หรือต้องเป็นอยู่อย่างนี้ อีกสัก 100 ปีแล้วค่อยพัฒนา?

หรือต่อไป เขาบอกอะไรก็ต้องตาม เงียบไว้ จะได้ไม่แตกแยก???

หรือต่อไป ต้องเชื่อฟังเขา แม้สิ่งนั้นจะผิด

เพราะเขาคือ ผู้นำ??????????????????

 



11
http://www.mureed.com/article/Eid_No_Wait/Eid_No_Wait.htm

เหตุผลที่ไม่ปฏิบัติตามที่ท่านจุฬาราชมนตรีประกาศวันอีดิลอัฎฮา มีเหตุผมดั่งนี้ครับ

     1. สำนวนที่กล่าวว่า " มุสลิมอยู่ในประเทศไหนๆ ต้องตามผู้นำประเทศนั้นๆ " ต้องถามก่อนนะครับว่า ผู้นำประเทศมุสลิมนั้นๆ ที่เราจะต้องปฏิบัติตามเขานั้น เป็นผู้นำประเภทไหน? หากเป็นผู้นำอย่างประเทศซาอุดิอาระเบีย นั่นแน่นอนครับที่เราต้องตาม เพราะผู้นำของเขามีอำนาจสั่งการต่างๆ เช่นสั่งการให้ลงโทษผู้ที่กระทำความผิดหลักการของศาสนา เช่น หากทำซินา ก็ให้เฆี่ยนเป็นต้น เช่นนี้ไม่ตามไม่ได้ครับ วาญิบต้องตามครับ, แต่ผู้นำมุสลิมในเมืองไทยเป็นผู้นำที่ทางรัฐบาลกำหนดให้มีตำแหน่งผู้นำมุสลิมโดยให้ชื่อว่า ตำแหน่งจุฬาราชมนตรี ซึ่งเป็นผู้นำมุสลิมที่ไม่สามารถออกกฎหมายหรือลงโทษผู้หนึ่งผู้ใดหากใครทำผิดหลักการของศาสนา ผู้นำประเภทนี้ไม่วาญิบต้องตามนะครับ อีกทั้งทางรัฐบาลยังกำหนดบทบาทของตำแหน่งจุฬาราชมนตรีไว้แค่เป็นผู้นำของปวงมุสลิมในประเทศไทย และเป็นผู้ประกาศการเห็นดวงจันทร์เท่านั้นนะครับ ส่วนการยกหลักฐานหะดีษของท่านรสูลุลลอฮฺที่กล่าวว่า " إنما جعل الإمام ليؤتم به "  ความว่า "แท้จริงอิมามถูกแต่งตั้ง (นำนมาซ) เพื่อถูกตาม" (บันทึกโดยมุสลิม) เป็นเรื่องหน้าที่ของอิมามนำนมาซฟัรฺฎูไม่ใช่ ผู้นำประเทศ หรือ ไม่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งการตามจุฬาราชมนตรีแม้แต่น้อยนะครับคนละประเด็นกัน, ถ้าหากนำหะดีษข้างต้นมาเป็นหลักฐานอ้างอิงว่าจะต้องตามผู้นำในเมืองไทยแล้วไซร้ ถ้าเช่นนั้นสมมติว่า ท่านจุฬาฯ หรือสำนักจุฬาราชมนตรีของเราไปออกตราหะลาล (حلال) ให้กับยาดองเหล้ายี่ห้อหนึ่ง (สมมตินะครับ)  ถามว่ามุสลิมในประเทศไทยสามารถซื้อยาดองเหล้ายี่ห้อนั้นมาดื่มได้หรือไม่? ถ้าเราบอกว่าเราตามผู้นำ หรือตามสำนักจุฬาราชมนตรีเราก็ต้องซื้อมาดื่มนะซิครับ ทั้งๆ ที่รู้ว่ายาดองเหล้านั้น เป็นเหล้าชนิดหนึ่ง ดื่มแล้วทำให้มึนเมา เมื่อเป็นสิ่งมึนเมาศาสนาถือว่าหะรอม (حرام), ฉันใดก็ฉันนั้น วันวุกูฟ หรือวันอะเราะฟะฮฺมีอยู่ที่เดียวบนโลกดุนยานี้เท่านั้น เมื่อทางรัฐบาลซาอุฯ ประกาศว่าวันศุกร์ที่ 29 ธันวาคม 2549 ตรงกับวันอะเราะฟะฮฺ อีกทั้งสุนนะฮฺของท่านนบีก็กำชับให้ถือศีลอดในวันดังกล่าว ถัดจากวันดั่งกล่าวก็เป็นวันอีดิลอัฎฮา การที่เราทำเช่นนี้เราทำตามตัวบทหลักฐาน (ดั่งที่ผมกล่าวมาแล้วข้างต้น) ปฏิบัติสุนนะฮฺของท่านนบีทุกประการ เมื่อทำตามหลักการข้างต้นแล้วจะไม่ตรงกับคำประกาศของสำนักจุฬาราชมนตรีก็ไม่มีปัญหาแต่ประการใด เพราะหลักการของศาสนาจะต้องมีความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด

     ตัวอย่างการไม่ปฏิบัติผู้นำโดยเห็นว่าคำสั่งของผู้นำที่ขัดกับหลักการของศาสนา หรือมีทัศนะไม่ตรงกับผู้นำ

     "ท่านอิมามอะหฺมัด อิบนุฮัมบัล เป็นอุละมาอฺหนึ่งในสี่มัซฮับโดยรู้จักในนาม "มัซฮับฮัมบะลีย์" ท่านอิมามอะหฺมัดอยู่ในยุคของเคาะลีฟะฮฺอัลมะมูน แห่งราชวงศ์อัลอับบาสียะฮฺ ซึ่งยึดมั่นในมัซฮับมุอฺตะซิละฮฺ โดยเขามีความคิดว่า อัลกุรฺอานคือมัคลูกฺ ( مخلوق  สิ่งถูกสร้าง) แล้วเขาก็นำเสนอแนวคิดข้างต้นให้กับประชาชาน และบรรดาอุละมาอฺในยุคนั้น จนกระทั่งอุละมาอฺในยุคนั้นต่างพากันเห็นด้วยในแนวคิดของเคาะลีฟะฮฺท่านนั้น โดยเขาส่งสาส์นไปยังบรรดาอุละมาอฺในยุคนั้น เหล่าบรรดาอุละมาอฺในยุคนั้นต่างก้มหัวและยอมรับความคิดเห็นของเคาะลีฟะฮฺท่านนั้นด้วยความเกรงกลัวอำนาจและอิทธพล รวมทั้งเกรงว่าจะถูกทรมารถ้าหากแสดงความเห็นใดๆ ไปในทำนองคัดค้านออกมา, ส่วนท่านอิมามอะหฺมัดกลับปฏิบัติตรงกันข้าม กล่าวคือ อิมามอะหฺมัดปฏิเสธไม่ยอมน้อมรับความเห็นเช่นนั้น โดยยืนหยัดอยู่บนแนวทางอันเที่ยงตรงและถูกต้อง โดยไม่หวาดเกรงต่ออำนาจอิทธิพลใดๆ ของเคาะลิฟะฮฺท่านนั้น ท่านอิมามอะหฺมัดยังคงยืนยันว่า อัลกุรฺอานนั้นคือ กะลามุลลอฮฺ ( كلام الله ) กล่าวคือ คัมภีร์อัลกุรฺอ่าน คือคำดำรัสของพระองค์อัลลอฮฺ ฉะนั้นอัลกุรฺอานจึงไม่ใช่สิ่งถูกสร้างจากอัลลอฮฺ เพราะหากเข้าใจเช่นนั้นเป็นการเข้าใจที่ผิดไปจากอะกีดะฮฺที่ถูกต้อง , เมื่อเคาะลิฟะฮฺทราบเรื่องก็สั่งให้จับกุมท่านอิมามอะหฺมัด แต่ระหว่างการคุมตัวอยู่นั้น เคาะลีฟะฮฺมะมูนก็สิ้นชีวิตเสียก่อน, แต่ลูกชายของเขาคือมะอฺตะซิมเป็นผู้ตัดสินอิมามอะหฺมัดแทนพ่อของเขา โดยพ่อของเขาได้สั่งเสียไว้เช่นนั้น , ครั้นเคาะลีฟะฮฺมะอฺตะซิมสอบถามท่านอิมามอะหฺมัดถึงอัลกุรฺอานว่าเป็นอะไร? ท่านอิมามก็ยืนยันเช่นเดิมว่า อัลกุรฺอานคือ คำดำรัสของพระองค์อัลลอฮฺ, เมื่อเคาะลีฟะฮฺรู้ว่าไม่สามารถเปลี่ยนใจอิมามอะหฺมัดได้เลย, เขาจึงสั่งเฆี่ยนท่านอิมามอะหฺมัดจนสลบหมดสติ กระทำเช่นนั้นอยู่หลายครั้ง แล้วยังคุมขังอิมามอะหฺมัดเป็นเวลานานถึง 2 ปี 6 เดือน แล้วพวกเขาจึงปล่อยอิมามอะหฺมัดเป็นอิสระ" หวังว่าตัวอย่างของท่านอิมามอะหฺมัด บุตรของฮัมบัลจะทำให้มุสลิมในเมืองไทยแยกแยะออกนะครับว่า ระหว่างคำสั่งของผู้นำ กับความถูกต้องของหลักการศาสนาเราจะเลือกสิ่งไหน?     

     ส่วนที่อ้างว่าผู้นำยึดถือมัซฮับใด หรือตัดสินปัญหาใด มุสลิมในประเทศนั้นต้องปฏิบัติเพราะความสามัคคีเป็นหนึ่งเดียว ถ้าเช่นนั้นช่วยยกตัวบทหลักฐานจากอัลกุรฺอาน หรือหะดีษให้ผมฟังหน่อยซิครับว่า วาญิบต้องตามมัซฮับเหมือนผู้นำประเทศ หากมีหลักฐานผมคนหนึ่งจะปฏิบัติเช่นนั้น หากไม่มีแล้วมากล่าวลอยๆ ให้ชาวบ้านหลงเชื่อได้อย่างไร?, อีกทั้งเจ้าของมัซฮับเองยังบอกเลยว่า อย่ามาตามฉัน หากฉันพูดขัดกับสุนนะฮฺของท่านนบีก็ให้ยึดสุนนะฮฺของท่านนบีไว้และละทิ้งคำพูดของฉันเสีย. ใช่แต่เท่านั้น พระองค์อัลลอฮฺตรัสไว้ในอัลกุรฺอานว่า "ผู้ศรัทธาทั้งหลายจงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และเชื่อฟังรสูลเถิด และผู้ปกครองในหมู่พวกเจ้าด้วย, แต่ถ้าพวกเจ้าขัดแย้งกันในสิ่งหนึ่ง ก็จงนำสิ่งนั้นกลับไปยังอัลลอฮฺและรสูล" (สูเราะฮฺอันนิสาอฺ : 59) โปรดพิจารณาคำสั่งของอัลลอฮฺนะครับ พระองค์ตรัสว่า หากพวกเราขัดแย้งกันในเรื่องหนึ่ง ให้นำเรื่องนั้นไปกลับไปหาอัลลอฮฺและรสูลของพระองค์ ทั้งๆ ที่สำนวนอัลกุรฺอ่านก่อนหน้านี้กล่าวถึงให้เชื่อฟังอัลลอฮฺ, เชื่อฟังรสูล และให้ปฏิบัติตามผู้นำ แต่พอมีปัญหาพระองค์อัลลอฮฺทรงให้บ่าวของพระองค์กลับไปหาอัลลอฮฺ และรสูลเท่านั้นไม่พูดถึงผู้นำแม้แต่น้อย เพราะผู้นำเป็นมนุษย์อาจจะฟัตวา (ตัดสินปัญหา) โดยตัดสินเข้าข้างตนเอง หรือพรรคพวกของตนเองก็ได้, ฉะนั้นการอ้างอิงผิดที่จึงทำให้ชาวบ้านเข้าใจผิดอย่างไม่ต้องสงสัยนะครับ

     2. พระองค์อัลลอฮฺตรัสไว้ในอัลกุรฺอานว่า "ผู้ศรัทธาทั้งหลายจงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และเชื่อฟังรสูลเถิด และผู้ปกครองในหมู่พวกเจ้าด้วย, แต่ถ้าพวกเจ้าขัดแย้งกันในสิ่งหนึ่ง ก็จงนำสิ่งนั้นกลับไปยังอัลลอฮฺและรสูล" (สูเราะฮฺอันนิสาอฺ : 59) ดังนั้น ผู้นำจะต้องเชื่อฟังอัลลอฮฺ และเชื่อฟังรสูลซึ่งเป็นเงื่อนไขของผู้นำมุสลิม, ท่านรสูลุลลอฮฺกล่าวว่า " لا طاعة لمخلوق في معصية الخالق" ความว่า "ไม่มีการเชื่อฟังในเรื่องการฝ่าฝืนอัลลอฮฺ" (บันทึกโดยอะหฺมัด) ฉะนั้นผู้ตามไม่อนุญาตให้ตามผู้นำที่สั่งใช้ในเรื่องที่ขัดกับหลักการของศาสนาอย่างแน่นอน นี่คือประเด็นหนึ่งที่เป็นเงื่อนไขของการตาม, ส่วนกรณีที่ท่านจุฬาราชมนตรีประกาศว่าวันอีดิลอัฎฮา (ปี 2549) ตรงกับวันอาทิตย์นั้น ผมขอชี้แจงดั่งนี้ว่า ไม่มีจุฬาราชมนตรีท่านใดครับ แม้กระทั่งจุฬาราชมนตรีคนปัจจุบันที่ระบุว่า พี่น้องมุสลิมทุกคนในประเทศไทยต้องเข้าบวชหรือออกบวชตรงกับสำนักจุฬาราชมนตรี หรือต้องนมาซอีดิลอัฎฮาตรงกับสำนักจุฬาฯ ไม่ได้มีข้อบังคับเช่นนั้น เพราะอะไร? เพราะท่านรสูลุลลอฮฺกล่าวไว้ว่า " يوم عرفة ويوم النحر وأيام التشريق عيدنا أهل الإسلام وهي أيام أكل وشرب " ความว่า "วันอะเราะฟะฮฺและวันนะหฺริและวันตัชรีก คือวันอีดของพวกเราชาวอิสลาม คือวันแห่งการกินและการดื่ม" (บันทึกโดยใครนั้นอ้างแล้วก่อนหน้านี้) เมื่อวันอีดิลอัฎฮาเป็นวันอีดสำหรับมุสลิมทุกคนซึ่ง เป็นคำสอนของท่านนบีมุหัมมัดที่ชัดเจนที่สุดอีกทั้งยังมีหลักฐานสนับสนุนอีกจำนวนมากซึ่งอ้างมาแล้วก่อนหน้านี้ เมื่อหลักฐานยืนยันชัดเจนเยี่ยงนั้น ไม่มีความจำเป็นอีกแล้วสำหรับมุสลิมที่จะไปเลือกแนวทางอื่นมาปฏิบัติ ด้วยเหตุผลข้างต้น เราก็ปฏิบัติตามตัวบทของหะดีษข้างต้นที่ว่าไว้ด้วยการรับฟังการประกาศวันอะเราะฟะฮฺ และวันอีดิลอัฎฮาดั่งที่ศาสนาระบุไว้นั้น แม้ว่าการประกาศนั้นจะไม่ตรงกับสำนักจุฬาก็ตามเถิด ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลยที่เราจะปฏิบัติตามศาสนาที่เรายึดว่านั่นคือความเข้าใจที่ใกล้เคียงถูกต้องตรงกับสุนนะฮฺมากที่สุด แล้วมากล่าวหาเราว่าไม่เชื่อฟังผู้นำ ซึ่งคนละประเด็นกัน ต้องย้ำว่า คนละเรื่องกันเลยครับ ส่วนการไปเปรียบเทียบกับอิมามนำนมาซก็เป็นอีกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับสิ่งที่กล่าวมาข้างต้น เพราะสิ่งที่เรากล่าวถึงคือเราต้องการปฏิบัติสิ่งที่ถูกต้องตรงกับสุนนะฮฺของท่านรสูลให้มากที่สุดเท่านั้นเอง ฉะนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่มุสลิมจะยอมเชื่อฟังผู้นำเพียงเพราะความสามัคคีแต่เรื่องความถูกต้องตรงกับสุนนะฮฺของท่านนบีฉันไม่ต้องพิจารณา หรือฉันให้ความสำคัญความถูกต้องนั้นเป็นอันดับรอง. والله أعلم بالصواب والسلام

12
                      หมายเหตุ  กระทู้นี้มิได้มีเจตนาที่จะสร้างความบั่นทอนความน่าเชื่อถือของผู้ใดหรือสร้างความแตกแยกใดๆทั้งสิ้น
  หากแต่หวังจะได้ข้อมูลเชิงวิพากษ์อย่างสร้างสรรค์ว่าเกิดกรณีเช่นนี้ได้อย่างไร         
             
เดิม
ปกติ       นายสวาสดิ์ สุมาลยศักดิ์ จุฬาราชมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ได้ออกประกาศเรื่องกำหนดวันอีดิ้ลอัดฮา ประจำปีฮิจญเราะห์ศักราช 1428 โดยระบุว่า “อาศัยอำนาจจุฬาราชมนตรี ผู้นำกิจการศาสนาอิสลามขอประกาศว่า วันที่ 10 ของเดือนซุ้ลฮิจยะห์ ซึ่งเป็นวันอีดิ้ลอัดฮาตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม พ.ศ.2550”
           ทำให้ อังคารที่ 8 มค.51 =29 ซุลฮิจญะฮ์ 1428
                     พุธที่ 9  มค.51    =30 ซุลฮิจญะฮ์ 1428
           และ พฤหัสบดีที่ 10  มค.51=1 มุฮัรรอม 1429
 
           กลับกัน   รัฐบาลซาอุดิอาราเบีย ได้ประกาศผลการดูจันทร์เสี้ยวข้างขึ้นเพื่อกำหนดวันที่ 1 ของเดือนซุลฮิจญะห์ว่า ในเย็นวันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม เวลาหลังตะวันลับขอบฟ้า ปรากฏมีผู้เห็นจันทร์เสี้ยว
ฉะนั้นวันที่ 1 ของเดือนซุลฮิจญะห์ในปีนี้ จึงตรงกับวันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม 2550 และวันวุกูฟ
วันอะรอฟะห์ ตรงกับวันอังคารที่ 18 ธันวาคม 2550
ดังนั้นวันอีดิ้ลอัฏฮาในปีนี้จึงตรงกับวันพุธที่ 19 ธันวาคม 2550   สำหรับนักวิชาการมุสลิมบางคนที่ยึดตามประกาศของรัฐบาลซาอุดีออกอีดวันพุธที่ 19 ธันวาคม 2550   ในประเทศไทย

                 แต่เมื่อ
                                     
                                      http://www.spa.gov.sa/details.php?id=516299  จากซาอุดี เพรส เอเจนซี่
بسم الله الرحمن الرحيم

وكالة الأنباء السعودية تحييكم وتبدأ إرسالها معكم ليوم
الخميس 1 محرم 1429هـ الموافق 10 يناير 2008م 0603 ت م


                   ทำให้

                                                                         http://www.mureed.com/mr_talk/bview.asp?id=8938  จาก web อ.มูรีด
คำถามที่ : 8938
คำถาม : 1 มุหัรรอม 1429 ตรงกับวันที่ 9 มกราคม 2551 จริงหรือ 
อยากให้อาจารย์เสนอหลักฐานที่บอกว่าวันที่ 1 มุหัรรอม 1429 ตรงกับวันที่ 9 มกราคม 2551 มีคนเห็นจันทร์เสี้ยวที่ไหน ประเทศไหนเห็น ประกาศรับรองโดยหน่วยงานไหน มีภาพด้วยยิ่งดี เพื่อให้มีความน่าเชื่อถือมากขึ้นนะครับ by: Ali - - 14/1/2008 

คำตอบ : อัสสลามุอะลัยกุมครับ
 คืออย่างนี้ครับ ผมเองก็ติดตามข่าวจากเว็บไซต์ๆ และจากพี่น้องที่สามารถติดต่อกับต่างประเทศเพื่อสอบถามวันที่ 1 มุหัรฺร็อม

ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า เราตามวันกำหนดของวันอะเราะฟะฮฺ ฉะนั้นวันที่ 29 ของเดือนซุลหิจญะฮฺของเราก็จะเร็วกว่าหนึ่งวัน ซึ่งปรากฎว่าในวันที่ 29 ซุลหิจญะฮฺไม่มีการเห็นเดือน ปฏิทินซาอุฯ นับ 30 วัน ดังนั้นวันที่ 1 มุหัรฺร็อม จึงตรงกับวันพุธที่ 9 มกราคม 51, วันอาชูรอจึงตรงกับวันศุกร์ที่ 18 มกราคม 51 นั่นเองครับ. والله أعلم 

13
มันป่วนอีกแล้ว คลิกดู...เต็มสองตา
admin ไปใหน
ลบออกที

ถามจริงตรวจสอบได้มั้ยว่ามาจากใหน

14
จากhttp://www.midnightuniv.org


"ธิดาแห่งไอซิส" เป็นหนังสืออัตชีวประวัติของนาวัล เอ็ด ซัดดาวี แพทย์หญิงชาวอียิปต์ผู้ซึ่งเกิด เติบโตและใช้เวลาตลอดชีวิตในประเทศอียิปต์ เธอเป็นนักต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมของผู้หญิงชาวอียิปต์ ส่งผลให้ในปี ค.ศ. 1992 ชื่อของเธอได้ปรากฏในบัญชีมรณะของกลุ่มหัวรุนแรง ทำให้ต้องอพยพไปอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาและเป็นช่วงเวลาที่เธอใช้เขียนงานชิ้นนี้
สตรีชาวมุสลิมมักถูกกล่าวถึงในฐานะเป็นกลุ่มผู้หญิงที่ถูกเอารัดเอาเปรียบทางเพศอยู่เสมอ แต่คำกล่าวนี้ก็จะได้รับการโต้แย้งว่าเป็นการมองจากบุคคลนอกวัฒนธรรมที่ไม่มีความเข้าใจที่แท้จริงต่อสังคมอิสลาม หนังสือเล่มนี้จึงมีความน่าสนใจเพราะผู้เขียนเป็นสตรีชาวมุสลิมซึ่งเปรียบเสมือน "คนใน"

 
วารุณี ภูริสินสิทธิ์ เรื่องราวความเหลื่อมล้ำทางเพศของหญิงและชายในประทศอียิปต์ได้ถูกสะท้อนผ่านทางชีวิตที่ดำเนินไปของผู้เขียนและผู้หญิงที่อยู่รอบตัวเธออย่างเรียบ ๆ ง่าย ๆ ไม่มีคำด่าว่าหรือประชดประชันใด ๆ แต่เรื่องราวเหล่านั้นกลับสร้างความสะเทือนใจต่อผู้อ่าน ไม่ว่าจะเป็นการถูกเฉือนคลิตอริสทิ้งในวัยเพียง 6 ขวบด้วยประสงค์ของพระเจ้า หรือความใฝ่ฝันอันยิ่งใหญ่ของเด็กสาวคนแล้วคนเล่าที่ต้องจบลงด้วยการแต่งงานด้วยวัยเพียง 11-12 ปี

ในขณะที่แนวคิดสตรีนิยมในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 เริ่มหันหลังให้กับแนวคิดเรื่อง "ความเป็นพี่น้อง" ของผู้หญิงที่ถูกกดขี่เหมือนกันทั้งโลก หนังสือเล่มนี้ ชีวิตของผู้หญิงในดินแดนที่เก่าแก่แห่งหนึ่งของโลก กลับสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อและการกระทำที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้หญิงที่คล้ายคลึงกับสังคมอื่น ๆ โดยเฉพาะสังคมจีนและอินเดียอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อที่ว่าผู้หญิงเกิดมาเพื่อแต่งงาน ผู้หญิงคือสมบัติของครอบครัวผู้ชายเมื่อแต่งงานไปแล้ว

"เด็กผู้ชายคือผู้ดำรงตระกูล แต่เด็กผู้หญิงต้องแต่งงานแล้วก็ออกจากบ้านพ่อไป และลูก ๆ ของนางก็ต้องใช้ชื่อของผู้ชายที่นางแต่งงานด้วย" (หน้า 66) เพราะฉะนั้น "เด็กผู้ชายคนหนึ่งมีค่าเท่ากับผู้หญิงสิบห้าคนเป็นอย่างน้อย" (หน้า 66) และสำหรับผู้ชายส่วนแบ่งของเขาจะเป็นสองเท่าของผู้หญิง

นอกจากนี้การพิสูจน์และการแสดงความยินดีต่อการได้เห็นเลือดจากการฉีกขาดของเหยื่อพรหมจรรย์หลังการส่งตัวเจ้าสาวก็เป็นเรื่องที่หลายวัฒนธรรมให้ความสำคัญคล้าย ๆ กัน ในประเทศไทยแม้จะไม่มีประเพณีพิสูจน์เลือดพรหมจรรย์อย่างจะจะตา แต่การรณรงค์ทาง
สังคมให้ผู้หญิงรักษาพรหมจรรย์กันอย่างออกหน้าออกตาในช่วงวันวาเลนไทน์ที่ผ่านมาก็มีความหมายที่ไม่ต่างกันนัก ประหนึ่งว่าถ้าสูญเสียพรหมจารีไปแล้ว ชีวิตของผู้หญิงก็จะไม่มีคุณค่าใดเหลืออยู่อีกแล้ว ซึ่งแตกต่างจากชีวิตของผู้ชายอย่างสิ้นเชิง

เรื่องประจำเดือนคือราคี ก็ดูจะเป็นความเชื่อที่แพร่หลายในหลายวัฒนธรรม และจากราคีนี้เองทำให้ผู้หญิงถูกกีดกั้นจากการเข้าใกล้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ผู้หญิงอียิปต์ในช่วงมีประจำเดือนจะถูกห้ามไม่ให้ยืนเบื้องพระพักตร์พระเจ้าและไม่ควรกล่าววจนะในอันกุรอาน ดังเช่นผู้หญิงจีนไม่ควรไหว้เจ้าในช่วงนี้เช่นกัน

อีกทั้งโลกของผู้หญิงอียิปต์ส่วนใหญ่ก็ไม่ต่างจากโลกของผู้หญิงในสังคมอื่น ๆ นัก คือ โลกแคบ ๆ ของกิจกรรมภายในบ้าน และข้ออ้างที่เก็บผู้หญิงไว้ในโลกแคบ ๆ นี้ก็ไม่ต่างเช่นกัน คือ เพื่อทำหน้าที่ (ที่ทรงเกียรติ ?) ของเมียและแม่ และเพื่อความปลอดภัยของผู้หญิงเอง เพราะโลกภายนอกล้วนเต็มไปด้วยผู้ชายที่ชั่วร้าย ผู้เขียนจึงได้สรุปถึงชีวิตของเธอซึ่งก็คือชีวิตของผู้หญิงอียิปต์ส่วนใหญ่ว่า

"โลกของพ่อ ของแผ่นดิน ของประเทศชาติ ศาสนา ภาษาและหลักศีลธรรม มันกลายเป็นโลกที่อยู่รอบตัวฉัน โลกที่สร้างขึ้นจากร่างของเพศชายโดยมี ร่างเพศหญิงของฉันอาศัยอยู่" (หน้า 76)

เรื่องราวของผู้หญิงอียิปต์ล้วนดูคล้ายคลึงกับผู้หญิงอีกจำนวนมากในหลายวัฒนธรรม อย่างไรก็ตามมีเรื่องหนึ่งที่มักไม่ค่อยพบในงานเขียนของนักสตรีนิยมตะวันตกมากนัก แต่ผู้เขียนกลับให้ความสำคัญอย่างมากและสามารถทำให้ผู้อ่านน้ำตาซึมอย่างไม่รู้ตัว คือการกล่าวถึงความผูกพันอย่างลึกซึ้งระหว่างแม่กับลูกสาว นักสตรีนิยมตะวันตกบางส่วนจะมองว่าแม่คือผู้ถ่ายทอดหลักของความเชื่อที่กดขี่ผู้หญิง และมักเสนอถึงความขัดแย้งระหว่างแม่และลูกสาวมากกว่าจะเสนอด้านที่เป็นบวกของความสัมพันธ์

แต่สำหรับเธอนาวัล เอ็ล ซัดดาวี แม่เป็นพลังแฝงที่อยู่ภายในตัวเธอ "กลิ่นกายของแม่เป็นส่วนหนึ่งของตัวฉัน ส่วนหนึ่งของร่างกายของวิญญาณ" (หน้า 18) แม่เป็นคนยืนยันให้เธอเรียนต่อในระดับสูง เมื่อพ่อต้องการให้เธอซึ่งเป็นลูกผู้หญิงคนโตออกจากโรงเรียนเพื่อมาช่วยงานบ้านและเลี้ยงน้องซึ่งมีอีกหลายคน แม่เป็นคนยืนยันให้เธอได้เรียนต่อในระดับสูง เมื่อมีคนพยายามจะให้เธอเลิกเรียนโดยอ้างว่าไม่ปลอดภัยเพราะเธอต้องไปใช้ชีวิตห่างจากครอบครัวในเมืองใหญ่ หรือการเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยทำให้ต้องเรียนปะปนกับผู้ชาย แม่เธอจะบอกว่า

"ถ้าคุณโยนแกเข้ากองไฟ แกจะสามารถรอดออกมาได้โดยไม่เป็นอันตรายใด ๆ สักนิดเดียว" (หน้า 194)

และด้วยการยืนยันอย่างหนักแน่นของแม่ตลอดมา ทำให้เธอสามารถเรียนจนจบแพทย์ ชีวิตของเธอคงเป็นเสมือนความใฝ่ฝันของแม่ ความใฝ่ฝันที่ไม่เคยเป็นจริงในชีวิตของแม่แต่มันสามารถถูกถ่ายทอดผ่านทางเธอ แม่จะเรียกเธอว่า "คุณหมอนาวัล" ตั้งแต่วันแรกที่เธอได้เข้าเรียนแพทย์ และในวันที่เธอเรียนจบ "แม่ดูเหมือนดอกไม้ที่กำลังเบ่งบาน เสียงหัวเราะแบบเด็ก ๆ ประกายระยิบในดวงตาสีน้ำผึ้งของแม่หวนคืนมา" (หน้า 189)

ความเข้มแข็งของแม่รวมทั้งความสามารถที่จะปกป้องลูกและมีอำนาจต่อรองกับสามีได้ในระดับหนึ่ง ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะแม่ผู้เขียนเป็นลูกสาวข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่มีฐานะดี มาจากตระกูลสูง ส่วนบิดาเป็นเพียงลูกชาวนาแต่สามารถเรียนจนจบเป็นข้าราชการครู ด้วยชีวิตที่หลากหลายประสบการณ์ของผู้เขียน การมีเครือญาติที่เป็นทั้งผู้ดีและชาวนา การได้ใช้ชีวิตทั้งในชนบทและเมืองใหญ่ทำให้หนังสือเล่มนี้มีสีสันเพิ่มขึ้น เพราะหนังสือไม่เพียงแต่จะเสนอภาพชีวิตของผู้หญิงมุสลิมซึ่งไม่ค่อยเป็นที่รับรู้มากนัก แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างทางชนชั้นของสังคมอียิปต์ วิถีชีวิตและความเชื่อที่ต่างกันของคนในเมืองและคนในชนบท รวมทั้งสภาพการเมืองและความรู้สึกของผู้คนภายใต้การเป็นอาณานิคมของอังกฤษผ่านทางชีวิตที่ผันแปรไปของผู้เขียน

ดังนั้น ใครที่สนใจเรื่องผู้หญิง สังคมอิสลาม วัฒนธรรมที่หลากหลายของผู้คนในสังคมอื่น ไม่ควรมองข้ามหนังสือที่น่าอ่านเล่มนี้ "ธิดาแห่งไอซิส" แปลเป็นภาษาไทยโดยประสิทธิ์ ตั้งมหาสถิตกุล คบไฟเป็นผู้ดำเนินการจัดพิมพ์


15
กรณีศึกษามาเลเซีย
ประชาไท- 10 ม.ค. 2549 ไซดะห์ อับดุล เราะห์มาน  แม่บ้านชาวสลังงอ กลายเป็นหญิงคนแรกที่ลุกขึ้นมาร้องเรียนเรียกร้องสิทธิที่ไม่เท่าเทียมในพระราชบัญญัติกฎหมายครอบครัวของมาเลเซียมาตรา 108 (รัฐยะโฮร์)  ที่ให้อำนาจผู้ชายจัดการทรัพย์สินของอดีตภรรยาได้

ซันเดย์ เมล์ หนังสือพิมพ์ออนไลน์ขอมาเลเซียรายงานเมื่อวันที่ 8 มกราคมที่ผ่านมาว่า ไซดะห์ อับดุล เราะห์มาน กับกลุ่ม Sister in Islam (SIS) ได้ออกโรงร้องเรียนถึงความไม่เป็นธรรมของกฎหมายครอบครัวอิสลาม มาตรา 108 ของรัฐยะโฮร์ที่อนุญาตให้สามีที่หย่าขาดจากภรรยาไปแล้วยังสามารถเข้าไปจัดการกับทรัพย์สินของภรรยาได้

ที่มาของกรณีดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นเริ่มตั้งแต่ เมื่อเดือนตุลาคม 2004 อดีตสามีของไซด๊ะห์ ดาโต๊ ไซเอ็ด อัสมี ออตมาน ได้ยื่นขอจัดการดูแลบัญชีทรัพย์สินของเธอที่ฝากไว้กับบริษัท Permodal Nasional Berhad รวมทั้งได้ขอระงับการใช้งานบัญชีเงินฝาก Tabung Haji (Pilgrim Fund Board) ของเธอไปด้วย และศาลก็อนุญาตให้เข้าได้รับสิทธิดังกล่าวด้วย และใน เดือนต่อมาเขาก็หย่าขาดกับเธอ

 กฎหมายในรัฐยะโฮร์ ที่มีผลบังคับใช้มาตั้งแต่ปี 2003 ในมาตรา 108 นั้นความจริงแล้วขัดต่อหลักซาริอ๊ะห์ ( กฎหมายอิสลาม) ซึ่งระบุว่า สามีไม่มีสิทธิในทรัพย์สินของภรรยา ทว่า เมื่อไม่นานนี้มีการผ่านกฎหมายของเขตสหพันธ์ ( Federal Territeries) มาตรา 107A ซึ่งมีหน้าตาเหมือนอัดสำเนากฎหมายมาตรา 108 ของรัฐยะโฮร์อย่างไม่ผิดเพี้ยน ที่ค่อนข้างจะเป็นที่แน่นอนว่าทั้งประเทศมาเลเซียจะต้องรับเอากฎหมายนี้มาใช้เนื่องจากว่ารูปแบบของกฎหมายใน Federal Territories นั้นถูกวางไว้ว่าจะให้เป็นแบบอย่างของกฎหมายทั้งหมดเพื่อนำประเทศไปสู่การใช้กฎหมายครอบครัวอิสลามที่มีมาตรฐานเดียวกัน

 พระราชบัญญัติที่เพิ่งจะผ่านวิปรัฐสภาไปนั้น ถูกร้องเรียนโดยองค์กรสตรีมุสลิมเป็นอย่างมากว่าเป็นละเมิดสิทธิสตรีและขัดต่อหลักซาริอ๊ะห์ ทางคณะรัฐบาลจึงได้มากล่าวเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ว่า หากมีถ้อยคำใดในกฎหมายนี้เป็นการเลือกปฎิบัติก็ให้แก้ไขได้ทันทีหลังจากที่กฎหมายผ่านสภาไปแล้ว

 การผ่านกฎหมายฉบับดังกล่าวของสภานั้นมีขึ้นแม้ว่าจะมีการออกมาโต้แย้งและคัดค้านมาเป็นเวลาหลายปีโดย องค์กรมุสลิมสตรี SIS โดยได้แก้ไขมาตรา 107A ที่อนุญาตให้สามีเข้าไปมีส่วนครอบครองทรัพย์สินของภรรยาได้
ณ ขณะนี้มีเพียงรัฐเคดาห์และตรังกานูเท่านั้นที่ยังไม่รับรองกฎหมายครอบครัวฉบับดังกล่าว

 “ ถ้าไม่มีการดำเนินการใดๆที่จะหยุดยั้งการรับรองกฎหมายครอบครัวอิสลามฉบับแก้ไข ในFederal Territories และ ระงับการนำใช้สำหรับรัฐที่รับรองไปแล้ว จะกลายเป็นว่ากฎหมายครอบครัวอิสลามในมาเลเซียจะมีมาตรฐานเดียวกันคือเป็นกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม” ไซนะห์ อันวาร์ ผู้อำนวยการบริหาร SIS  กล่าว

ขณะนี้ได้มีกลุ่มผู้หญิงกลุ่มอื่นๆไดข้าร่วมกับ  SIS เพื่อคัดค้านการผ่านและการนำใช้กฎหมายฉบับแก้ไขดังกล่าว
ทั้งนี้ นอกจากการยินยอมให้สามีเป็นผู้จัดการกับทรัพย์สินของภรรยาแล้ว ในเรื่องของการหย่าที่เคยตกไปในสมัยรัฐบาลมหาเธร์ โมฮัมหมัด เรื่องให้ผู้ชายหย่าผู้หญิงผ่านทาง SMS นั้นก็ได้ผ่านสภาในครั้งนี้ด้วย รวมทั้งการให้สามีสามารถมีภรรยาคนที่2, 3, และ4 ได้โดยไม่ต้องแสดงหลักฐานทางการเงินว่าพร้อมที่จะเลี้ยงดูได้อย่างเท่าเทียม ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนขัดกับหลักซาริอ๊ะห์ทั้งสิ้น

ส่วนในกรณีของไซด๊ะห์นั้น ปัจจุบันไม่มีรายได้จากงานประจำใดๆจึงปรารถนาที่จะต่อสู้เพื่อให้เธอได้รับสิทธิในการดูแลบัญชีของเธอเองรวมทั้งเพื่อส่วนแบ่งในสินสมรสจากอดีตสามี
 เธอเล่าว่า อดีตสามีของเธอนั้น เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จพอสมควรที่สามารถทำราบได้ประมาณเดือนละ 30,000 ริงกิต ( ประมาณ 300,000 บาท)  เมื่อเดือน พฤศจิกายนปี 1985 เธอได้ลาออกจากงานที่ทำอยู่กับบริษัทด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อมาแต่งงานกับไซอิด อัสมี และมาเป็นแม่บ้านเต็มตัวแ ดูแลบ้านและดูแลลูกๆในเวลาต่อมา “ เนื่องจากเขาต้องการให้ฉันเป็นคนดูแลครอบครัว”
ต่อจากนั้นด้วยงานของเขาไซอิดนั้นต้องเดินทางไปทั่วประประเทศในระยะเวลาที่ควรจะต้องสร้างครอบครัวและจะกลับมาบ้านเป็นครั้งคราวเพื่อพักผ่อนเท่านั้น
ในปี 1991 ไซอิดได้นำภรรยาและลูก 3 คน มาอยู่ที่ กัวลาลัมเปอร์เพื่อรอรับตำแหน่งใหม่กับนายจ้างคนปัจจุบันของเขา  และได้ทิ้งบ้านที่บ้านที่แต่งงานกันที่สลังงอในเดือนมีนาคม ปี 2004 หลังจากที่คิดว่าไม่สามรถจะปรองดองกันได้อีก ซึ่งทำให้ไซด๊ะห์ขอหย่าอีกเป็นครั้งที่ 3 ในการแต่งงานกัน ในการขอหย่าในครั้งนี้เธอได้เห็นแล้วว่าไม่มีทางใดทีจะดีไปกว่าการยุติชีวิตสมรสอีกแล้ว
แต่แล้วในเดือนตุลาคม ปี 2004 นั้นเองที่ไซด๊ะห์ได้รับหนังสือแจ้งเตือนว่า บัญชีธนาคารของเธอถูกระงับการใช้งาน  “ไซอิด อัสมียังได้ตัดค่าใช้จ่ายในการดูแลลูกๆด้วยถึงตอนนี้ก็เป็นเวลาหลายเดือนแล้ว” ไซด๊ะห์กล่าว  และกล่าวต่อว่าเธอยังคงจะต้องมีค่าใช้จ่ายเป็นค่าทนายอีก และยอมรับว่า “ไม่ง่ายเลยที่ต้องต่อสู้กับ “ดาโต๊ะ”ผู้มีเส้นสายใหญ่โตคนนี้”
ในเรื่องของเส้นสายของไซอิด อัสมี นี้ ไซด๊ะห์ยกตัวอย่างในเรื่องของวันที่ต้องให้การในการในศาลอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรว่า ว่าทำได้ในเวลาเพียงไม่กี่วัน หรือ บางกรณีศาลก็ยอมให้ทำได้ในวันเดียวกันนั้นเลย

 “เขายื่นขอยับยั้งบัญชีของลูกสาวของเรา 2 บัญชีซึ่งหนึ่งในนั้นคือบัญชีเพื่อการศึกษา ในวันที่ 27 ตุลาคม 2004 และก็มีการตัดสินให้กระทำได้ในวันเดียวกันนั้นเอง....นอกจากนั้นผู้พิพากษาที่ลงนามเป็นพยานในคำให้การที่เป็นลายลักษณ์อักษรกับคนที่นั่งบัลลังก์ฟังคำให้การยังเป็นคนๆเดียวกันด้วย” ไซดะห์ กล่าว

 ในขณะเดียวกันในกรณีของไซด๊ะที่ร้องเรียนเพื่อจัดการกับบัญชีส่วนตัวของเธอนั้น ลงประทับรับฟ้องเพื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2004 และได้ไปให้การไต่สวนในวันที่ 24 ธันวาคม 2004

 

“ต่อจากนั้นก็ถูกเลื่อนออกไปอีก 5 เดือนต่อมา” เธอกล่าวว่าศาลกล่าวว่าเนื่องจากไซอิด อัสมียังไม่ได้ลงนามในคำให้การเขา จนกระทั่งวันนี้เธอเองก็ยังไม่แน่ใจว่าจะสามารถได้รับสิทธิในการจัดการบัญชีของเธอคืนมาหรือไม่ เพราะตอนนี้เงินทองเธอก็ร่อยหรอลงทุกทีแล้ว

 


หน้า: [1] 2 3 ... 7