10
« เมื่อ: มิ.ย. 13, 2010, 11:08 PM »
salam
คำทำนายเกี่ยวกับนบีมูฮัมหมัด....[ในคัมภีร์ไบเบิล]
**Part I: Migration and Conquest **
ก่อนการเดินทางครั้งใหญ่สู่นครมาดี นะฮ์ นบีมูฮัมหมัด (ซล.) หันหน้ากลับไปมอง นครมักกะฮ์อันเป็นที่รัก ของท่านแล้วกล่าวว่า:
“ขอสาบานด้วยองค์ อัลลอฮ์! โอ้ มักกะฮ์ เจ้าเป็นสถานที่ที่ฉันรักที่สุด
ถ้าไม่ใช่เพราะ พลเมืองของเจ้าไล่ฉันไป ฉันคงไม่มีวันทิ้งเจ้าแน่นอน“
(ตีรมีซี)
ชาว มาดีนะ หลังจากทราบข่าวการเดินทางออกจากนครมักกะฮ์ของท่านนบีฯ ต่างออกมารอคอยการมาถึงของท่านทุกวัน เมื่อวันนั้นมาถึง มีชาวยิวคนนึง ตะโกนบอกชาวอาหรับมาดีนะว่า “โอ้ ชาวอาหรับ, โอ้ ผู้คนที่พักผ่อนยามบ่าย สิ่งที่เจ้ารักมาถึงแล้ว“ เมื่อได้ยินเช่นนี้ ผู้คนต่างรีบออกมาต้อนรับ ด้วยความปีติยิ่ง
หลังจากนบีมูฮัมหมัด (ซล.) ถูกชาวมักกะฮ์ขับไล่ สุดท้าย วันที่ 11 รอมาฎอน ปี ฮ.ศ. 8 ท่าน (ซล.) เดินทางออกจากนครมะดินะ สู่นครมักกะฮ์อันเป็นที่รักของท่าน ร่วมกับซอฮาบัตกว่า 10,000 คน พร้อมกับชัยชนะในการพิชิตนครมักกะฮ์โดยปราศจากการนองเลือดแม้แต่น้อย ชาวกุร้อชที่เคยข่มเหงท่าน ทำไม่ดีต่อท่าน ต่างหวาดกลัวการล้างแค้นจากท่าน
ตอน นึงท่านได้ถามชาวกุร้อชว่า (*1*)
“โอ้ ชาวกุร้อช พวกเจ้าคิดว่าเราจะทำอย่างไรต่อพวกเจ้า?“
พวกเขาตอบว่า “หวังสิ่งที่ดีที่สุดจากท่าน ท่านเป็นคนที่ประเสริฐ เป็นพี่น้องที่ประเสริฐ“
นบีมูฮัมหมัด (ซล.) จึงกล่าวกับพวกเขาว่า
“ฉันขอกล่าว อย่างที่นบียูซุฟ (อล.) กล่าวกับพี่ชายของเขา
’ไม่มีการประนามใดๆต่อพวกเจ้า พวกเจ้าเป็นอิสระ’“
อ้าง อิง.
(*1*) Akbar Shah Najeebabadi, Revised by Safi-ur-Rahman Mubarakpuri, The History of Islam, Vol. 1, Darussalam, 2001.
ทำไมชาวคัมภีร์ในนครมาดีนะ ต่างก็รอคอยการมาถึงของนบีมูฮัมหมัด (ซล.)?
ชี้แจง...เนื่องจากต้นฉบับจริงของคัมภีร์ไบเบิลไม่มี แล้ว จะมีก็เพียงฉบับที่ได้รับการเขียนใหม่ และได้รับการแปลเป็นภาษาต่างๆ ทำให้ค่อนข้างลำบากเล็กน้อยสำหรับการสื่อความหมาย จะอ้างอิงจากสองฉบับเป็นหลัก...
Electronic English Bible: Revised Standard Version (RSV)
Electronic Thai Bible: King James Version (KJV พอได้ แต่ควรเทียบกลับไปที่ RSV)
1- ชาวเคดาร์ หรือ ชาวอาหรับนั่นเอง
Isaiah 42:11-12 “11: Let the desert and its cities lift up their voice, the villages that Kedar inhabits (*1*); let the inhabitants of Sela sing for joy, let them shout from the top of the mountains. 12: Let them give glory to the LORD, and declare his praise in the coastlands.“
Isaiah 42:11-12 “11:จงให้ดินแดนทะเลทรายและหัวเมืองในนั้นเปล่งเสียง ทั้งชนบทที่เคดาร์อาศัย (*1*) อยู่ จงให้ชาวศิลาร้องเพลง ให้เขาโห่ร้องมาจากยอดภูเขา 12:จงให้เขาถวายสง่าราศีแด่พระผู้เป็นเจ้าและถวายการสรรเสริญพระองค์ในเกาะ ทั้งหลาย“
(*1*) เคดาร์ คำนี้ บ่งบอกว่านบีท่านสุดท้ายเป็นใครไม่ได้นอกจาก นบีมูฮัมหมัด (ซล.) เพราะท่านเป็นนบีท่านเดียวที่สืบเชื้อสายจาก เคดาร์ ลูกชายของนบีอิสมาเอลซึ่งเป็นลูกชายของนบีอิบราฮิม (อล.) นบีท่านอื่นๆที่เราทราบกันดีนั้นสืบเชื้อสายจากลูกชายของนบีอิสฮาก (อล.) ลูกชายของนบีอิบราฮิม (อล.) จากภรรยาอีกคนของท่าน:
“These are the names of the sons of Ish'mael, named in the order of their birth: Neba'ioth, the first-born of Ish'mael; and Kedar, Adbeel, Mibsam,“ (Genesis 25:13)
“ต่อไปนี้เป็นชื่อบรรดาบุตรชาย ของอิสมาเอล ตามชื่อ ตามพงศ์พันธุ์ คือเนบาโยธเป็นบุตรหัวปีของอิสมาเอล และ เคดาร์ อัดบีเอล มิบสัม“ (Genesis 25:13)
และเคดาร์คือชาวอาหรับ
“Arabia and all the princes of Kedar were your favoblue dealers in lambs, rams, and goats; in these they trafficked with you.“ (Ezekiel 27:21)
“เมือง อาระเบียและเจ้านายทั้งหลายของเมืองเคดาร์ เป็นพ่อค้าขาประจำในเรื่องลูกแกะ แกะผู้ แพะ เขาไปมาค้าขายกับเจ้าในเรื่องเหล่านี้“ (Ezekiel 27:21)
นอกจากนั้น หากเราไม่พิจารณายุคของนบีอิบราฮิมและนบีอิสมาแอล (อล.) แล้ว ลูกหลานของเคดาร์ไม่เคยนับถึงศาสนาที่เผยแพร่โดยนบีท่านใดเลย จนกระทั่งนบีมูฮัมหมัด (ซล.) และหลังจากพวกเขานับถือศาสนาที่เผยแพร่โดยนบีมูฮัมหมัด (ซล.) พวกเขาจะโห่ร้อง จะประกาศก้องผ่านหอขยายเสียงของมัสยิดต่างๆวันละห้าครั้ง โดยคำพูดสรรเสริญพระเจ้า สนับสนุนและเป็นพยานเรื่องการมีของพระเจ้าองค์เดียว พวกเขา(มุสลิม)ยังมีการตะโกนร้องเพื่อสรรเสริญพระเจ้า ทุกๆปี จากยอดเขา อาราฟัต ในช่วงพิธีฮัจย์
2- ชาวเคดาร์ หรือ ชาวอาหรับ ที่เคยกล่าวว่า เจว็ดนั้นเป็นพระเจ้าของพวกเขา สุดท้ายพวกเขาเกิดความอายกับสิ่งที่เขาได้กล่าวไป
Isaiah 42:17 “ 17: They shall be turned back and utterly put to shame, who trust in graven images, who say to molten images, "You are our gods."“
Isaiah 42:17 “ 17: เขาทั้งหลายจะหันกลับ และจะต้องขายหน้าอย่างที่สุด ผู้ซึ่งเชื่อในเจว็ด ผู้ที่เคยกล่าวแก่เจว็ดเหล่านั้นว่า "พวกท่านเป็นพระเจ้าของเรา"“
ในปี ฮ.ศ. 8 นบีมูฮัมหมัด (ซล.) ได้รับชัยชนะในการพิชิตนครมักกะฮ์โดยปราศจากการนองเลือด จากชาวอาหรับกุร้อช ที่เคยกล่าวกับพวกเขา (มุสลิม) ว่า "พวกท่าน (เจว็ด) เป็นพระเจ้าของเรา (ของชาวกุร้อช)"“ นอกจากนั้น ในวันนั้น นบีมูฮัมหมัด (ซล.) และผู้ติดตามได้มีการทำลายเจว็ดเหล่านั้นด้วย
3- พาราน หรือ เทือกเขามักกะ, เทมาน, และ สาวกจำนาว 10,000 คน
3.1 พาราน หรือ เทือกเขามักกะ
Deuteronomy 33:2 “ He said, "The lord came from Sinai, and dawned from Se'ir upon us; he shone forth from Mount Paran (*2*), he came from the 10,000 of holy ones, with flaming fire at his right hand.“
Deuteronomy 33:2 “ ท่านกล่าวว่า "ผู้ยิ่งใหญ่จะเดินทางมาจากซีนาย และนะรุ่งแจ้งจากเสอีร์มายังเขาทั้งหลาย ท่านจะ ทรงฉายรังสีจากเทือกเขาพาราน (*2*), ท่านจะเดินทางมาพร้อมวิสุทธิชนจำนวน 10,000 ท่าน ที่มือข้างขวามีแสงสว่างเป็นพระราชบัญญัติแก่เขา“
(*2*) พื้นที่ของพารานนั้น รวมไปถึงส่วนที่ภรรยาของนบีอิบราฮิม (อล.) ที่ชื่อว่า ฮาการ์ และลูกชายของท่านคือนบีอิสมาแอล (อล.) ซึ่งเป็นพ่อของ เคดาร์ซึ่งเป็นบิดาของชาวอาหรับ ได้ปักหลักตั้งถิ่นฐานที่ ทะเลทรายอาหรับ (Genesis 21:21) โดยเฉพาะแถบที่เรียกว่า มักกะฮฺ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของอาราเบีย และเป็นถิ่นกำเนิดของนบีมูฮัมหมัด (ซล.) นางฮาการ์และนบีอิสมาแอล (อล.) ทำให้พื้นที่แห่งนั้น เปลี่ยนจากทะเลทรายแห้งแล้งมาเป็นศูนย์กลางที่เรียกว่า นครมักกะฮฺ ของมุสลิมนั่นเอง เทือกเขาพารานนั้นเป็นส่วนที่ต่อมาจากเทือบเขาในบริเวณเดียวกันที่ชาวอาหรับ เรียกกันว่า เทือกเขาซาราวัต
3.2 เทมาน. ชื่อของ โอเอซิสที่ตั้งอยู่ทางทิสเหนือของนครมาดีนะ
Habakkuk 3:1-6 “1: A prayer of Habak'kuk the prophet, according to Shigion'oth. 2: O LORD, I have heard the report of thee, and thy work, O LORD, do I fear. In the midst of the years renew it; in the midst of the years make it known; in wrath remember mercy. 3: God came from Teman, and the Holy One from Mount Paran. (*3*) His glory coveblue the heavens, and the earth was full of his praise. Selah“
Habakkuk 3:1-6 “1: คำอธิษฐานของฮาบากุกผู้พยากรณ์ ตามทำนองชิกกาโยน 2: โอ ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ได้ยินกิตติศัพท์ของพระองค์ แล้วข้าพระองค์ยำเกรง โอ ข้าแต่พระพระเจ้า พอถึงกลางยุคขอทรงรื้อฟื้นพระราชกิจของพระองค์ขึ้นใหม่ พอถึงกลางยุคขอทรงแจ้งให้ทราบทั่วกัน เมื่อทรงกริ้ว ขอทรงระลึกถึงความกรุณา 3: พระเจ้าที่เดินทางมาจากเทมาน ซึ่งท่านมาจากเทือกเขาพาราน, (*3*) เซลาห์ ความสง่าราศีของท่านจะปกคลุมทั่วฟ้าสวรรค์ และโลกก็เต็มด้วยคำสรรเสริญพระองค์“
(*3*) ตามข้อมูลของ J. Hasting’s Dictionary of the Bible, เทมานเป็นชื่อของโอเอซิสที่ตั้งอยู่ทางเหนือของนครมาดีนะ นบีมูฮัมหมัด (ซล.) ท่านเป็นคนจากเทือกเขาพาราน และประมาณปี ค.ศ. 622 ท่านและผู้ติดตามของท่านต้องอพยบจากพารานหรือมักกะ สู่เทมานหรือมาดีนะ และที่นั่น ท่านได้ใช้ชีวิตที่เหลือของท่านและเผยแพร่ศาสนาอิสลาม นครมักกะและมาดินะนั้นเป็นเมืองที่มีความสำคัญกับอิสลามเป็นอย่างมาก จะเห็นได้ว่าซูเราะห์ต่างๆในอัลกุรอ่านจะแบ่งออกเป็นสองประเภทหลักๆคือ มักกียะ สำหรับซูเราะที่ได้ประทานสมัยที่ท่านอยู่ที่มักกะ และ มาดานียะ สำหรับซูเราะที่ได้ประทานสมัยที่ท่านอยู่ที่มาดานะ
3.3 วิสุทธิชนจำนวน 10,000 ท่าน
Deuteronomy 33:2 “ He said, "The lord came from Sinai, and dawned from Se'ir upon us; he shone forth from Mount Paran, he came from the 10,000 of holy ones (*4*), with flaming fire at his right hand.“
Deuteronomy 33:2 “ ท่านกล่าวว่า "ผู้ยิ่งใหญ่จะเดินทางมาจากซีนาย และนะรุ่งแจ้งจากเสอีร์มายังเขาทั้งหลาย ท่านจะทรงฉายรังสีจากเทือกเขาพาราน, ท่านจะเดิน ทางมาพร้อมวิสุทธิชนจำนวน 10,000 ท่าน (*4*) ที่มือข้างขวามีแสงสว่างเป็นพระราชบัญญัติแก่เขา“
(*4*) ตัวเลข 10,000 นี้ ค่อนข้างมีความสำคัญเป็นอย่างมาก ท่านผู้นี้ต้องเป็นคนจาก พาราน และต้องเดินทางกลับสู่พารานพร้อมด้วยวิสุทธิชนจำนวน 10,000 คน เราจะเห็นว่า ตัวเลขนี้ ตรงกับจำนวนซอฮาบัตที่ติดตามนบีมูฮัมหมัดในครั้งพิชิตนครมักกะ หลังจากต้องอพยพไปอยู่ที่มาดินะ หรือ เทมานนานกว่า 8 ปี
อีกครั้ง ...
ถ้าลูกหลานนบีอิส มาแอล (อล.) ตั้งถิ่นฐานที่ พาราน และท่านเป็นบิดาของเคดาร์ ซึ่งเป็นบิดาของชาวอาหรับ
ถ้าลูกหลานของอาหรับจะเป็นคนที่ได้รับ คัมภีร์จากพระเจ้า
ถ้าชาวเคดาร์ ในที่สุดยอมรับคัมภีร์นั้น และมีการสรรเสริญ ณ บ้านของพระเจ้า ที่ๆเคยอยู่ในความมืดเป็นเวลานาน
และ ถ้าลูกหลานเคดาร์ ท่านหนึ่ง ต้องย้ายจากพารานไป เทมาน และกลับมาพารานอีกครั้งพร้อมด้วยผู้ตามจำนวน 10,000 คน
ฯลฯ
ทั้งหมดนี้ เป็นใครไม่ได้นอกจาก นบีมูฮัมหมัด (ซล.)
ท่านเป็นลูกหลานที่สืบเชื้อสายจากเคดาร์ซึ่งเป็นลูกชายของนบีอิสมา แอล (อล.) เราจะเห็นว่า นบีท่านอื่นๆ สืบเชื้อสายจากลูกชายของนบีอิบราฮิม (อล.) คนที่สองที่ชื่อว่า นบีอิสฮาก (อล.) น้องชายนบีอิสมาแอล อล. สำหรับบางคนพยายามเข้าใจว่า คนที่ตรงกับคำทำนายดังกล่าวคือ นบีอีซา (อล.) นั้น จริงๆแล้วอาจจะลืมไปว่า ท่านเป็นคนที่สืบเชื้อสายจากนบีอิสฮาก นั่นแสดงว่า ท่านไม่ใช่ลูกหลานของเคดาร์!
นบีมูฮัมหมัด (ซล.) เป็นคนมักกะฮ์หรือพาราน ด้วยศาสนาที่ท่านเผยแพร่ “อิสลาม“ ทำให้ชาวมักกะฮ์ไม่ยอมรับท่าน ขับไล่ท่าน จนท่านต้องย้ายไปมะดินะฮฺหรือเทราน แต่สุดท้ายท่านสามารถพิชิตมักกะฮ์ และในวันนั้น ท่านเดินทางสู่พารานพร้อมผู้ติดตามหรือซอฮาบัตจำนวน 10,000 คน คนมักกะ คนที่เคยบอกว่าเจว็ดเป็นพระเจ้าของพวกเขา สุดท้ายพวกเขากลัวและอายกับสิ่งที่พวกเขาเคยกระทำต่อนบีมูฮัมหมัด (ซล.) และซอฮาบัตท่านอื่นๆ
มันคงไม่เป็นการบังเอิญเกินไปอย่างแน่นอน!!
บทส่งท้าย
“บรรดาผู้ที่เราได้ให้ คัมภีร์แก่พวกเขานั้น พวกเขาย่อมรู้จักเขา (นบีมูฮัมหมัด ซล.) ดี
เหมือน กับที่พวกเขารู้จักลูก ๆ ของเขาเอง และแท้จริงกลุ่มหนึ่งจากพวกเขานั้นปิดบังความจริงไว้
ทั้ง ๆ ที่พวกเขารู้กันอยู่“ (Al-Quran 2:146)