แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - sunnah 50

หน้า: [1] 2 3 4
1
salam

ในหนังสือเล่มนี้  ได้ยกไว้หลายตัวอย่างเกี่ยวกับ  เรื่องที่นักฮะดิษนั้นมิใช่จะชำนาญในวิชาฟิกห์กันทุกคน  นักฮะดิษบางท่านจำฮะดิษแต่ไม่เข้าใจฮะดิษอย่างแจ่มชัด  ตัวอย่างเช่น 

ท่านอัลลามะฮ์  อิบนุ อัลเญาซีย์  ได้กล่าวไว้ในหนังสือ ตัลบีส อิบลีส  ความว่า  ได้ถูกรายงานจากท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ความว่า

أَنَّهُ صَلَّي اللهُ عَلَيْهِ وَسلَّمَ نَهَي أَنْ يَسْقِيَ الرَّجُلُ مَاءَهُ زَرْعَ غَيْرِهِ

"แท้จริง  ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ได้ห้ามให้ผู้ชายคนหนึ่งทำการรดน้ำของเขากับสิ่งเพาะปลูกของคนอื่น"

  เป้าหมายของฮะดิษนั้น  คือห้ามผู้ชายคนหนึ่งไปร่วมหลับนอนกับทาสหญิงที่ตั้งครรภ์จากนายคนอื่นแล้ว 

อัสสลามุอะลัยกุมน้องบ่าวอาจารย์ อัลอัซฮารีย์

หะดิษข้างต้น เป็นการจำกัดเฉพาะในกรณี ห้ามผู้ชายไม่ให้หลับนอนกับทาสหญิงที่ตั้งครรภ์จากนายคนอื่นเท่านั้นหรือครับ
หะดิษนี้เกี่ยวกับกรณีเชลยในการทำสงครามหุนัยน์ มิใช่หรือครับ และหะดิษนี้ไม่น่าจะจำกัดอยู่แค่ทาสหรือเชลยที่ทั้งครรภ์ นะครับ
น่าจะมีความหมายครอบคลุมถึงหญิงที่ตั้งครรภ์ทั่วไปและหญิงที่ตั้งครรภ์เนื่องจากการผิดประเวณีนี(ซีนา)ด้วยนะครับ

ท่านอิบนุกอ็ยยิม(ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน) กล่าวว่า

ونهى النبي صلى الله عليه وسلم أن توطأ المسبية الحامل حتى تضع، مع أن حملها مملوك له، فالحامل من الزنا أولى ألاّ توطأ حتى تضع

และท่านนบี ศอลฯ ได้ห้ามไม่ให้ร่วมหลับนอนกับเชลยหญิงที่ตั้งครรภ์ จนกว่านางจะคลอด โดยที่บุตรในครรภ์ของนางนั้น เป็นเป็นกรรมสิทธิ์ของเขา(หมายถึงเป็นทาสของเขา) ดังนั้น หญิงที่ตั้งครรภ์จากการซีนา(ผิดประเวณี )ย่อมสมควรกว่าที่เขาจะไม่ร่วมหลับนอนกับนางจนกว่านางจะคลอด - หาชียะฮอิบนุกอ็ยยิม เล่ม 6 หน้า 119

ประนี้เป็นประเด็นที่นักวิชาการมีความเห็นที่แตกต่างกัน  แต่บังว่า สมควรหรือที่จะเปิดหนทางให้สะดวกสำหรับคนที่ทำผิดประเวณีซึ่งนับวันจะมีมากขึ้น  โดยส่วนตัวประเด็นนี้เห็นด้วยกับอิหม่ามอะหมัดและท่านอื่นๆที่ต้องมีอิดดะฮสำหรับหญิงที่ทำซีนา


ท่านอิหม่ามนะวาวีย์ (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า

اذا زنت المرأة لم يجب عليها العدة ،سواء كانت حائلا أو حاملا ، فان كانت حائلا جاز للزانى ولغيره عقد نكاح عليها وان حملت من الزنا فيكره نكاحها قبل وضع الحمل،وهو أحد الروايتين عن أبى حنيفة رضى الله عنه وذهب ربيعة ومالك والثورى وأحمد واسحاق رضى الله عنهم الى أن الزانية يلزمها العدة كالموطوءة بشبهة فان كانت حائلا اعتدت ثلاثة أقراء،وان كانت حاملا اعتدت بوضع الحمل ولا يصح نكاحها قبل وضع الحمل

เมื่อผู้หญิง ได้ทำผิดประเวณี ก็ไม่จำเป็นที่นางจะต้องมีอิดดะฮ ไม่ว่านางจะไม่ตั้งครรภ์หรือตังครรภ์(จากการซินานั้น)ก็ตาม แล้วถ้านางไม่ได้ตั้งครรภ์(จากการซีนา) ก็อนุญาตแก่ชายชู้และอื่นจากชายชู้ ทำพิธีนิกะห์กับนางได้ และถ้านางตั้งครรภ์ เนื่องจากการซินานั้น ก็เป็นการน่าเกลียด(มักรูฮ) ทำพิธีนิกะห์กับนาง ก่อนการคลอดบุตร และมันคือ รายงานหนึ่งจากสองรายงานจากอบีหะนีฟะฮ (ร.ฎ) และ เราะบีอะฮ, อิหม่ามมาลิก ,อัษเษารีย์, อิหม่ามอะหมัด และอิสหาก(ขออัลลอฮประทานความโปรดปรานแก่พวกเขา) มีทัศนะว่า หญิงที่ผิดประเวณีนั้น จำเป็นจะต้องมีอิดดะฮ เช่น เดียวกับหญิงที่ถูกร่วมเพศ ด้วยสาเหตุของความเคลือบแคลง(ชุบฮาต) แล้วถ้าปรากฏว่านางไม่ได้ตั้งครรภ์(จากการซีนา) ก็ให้นางมีอิดดะฮ สามครั้งการมีประจำเดือน และถ้าปรากฏว่านางตั้งครรภ์ (จากการซีนา)ก็ให้นางมีอิดดะฮ โดยการคลอดบุตร ก่อน และการทำพิธีนิกะห์นางก่อนการคลอดบุตรนั้นใช้ไม่ได้ – ดูมัจญมัวะ ชัรหุลมุหัซซับ เล่ม 17 หน้า 348

....
;วัสสลาม

2
อัสสลามุอะลัยกุมคร้าบ น้องบ่าว อัลฟะฏอนีย์
ขยันกันจริงน้องๆทางนี้ แค่คืนเดียวปาเข้าไปสามหน้ากระดาน  น้องบ่าวว่า
พวกท่านเหล่านั้นเขาแก่ความรู้ และชำชองมากกว่าพวกบังๆ หลายเท่า เขารู้อะไรดีอะไรไม่ดีครับ
....
อัลหัมดุลิลละฮ  ที่น้องบ่าวได้เรียนกับอาจารย์ที่มีความรู้ชำชองทั้งนั้น น้องบ่าวน่าจะเอาความรู้ของเหล่านั้น มาหักล้างหลักฐานของอ.ปราโมทย์น่าจะดีกว่า ให้บรรดาสหาย มาเที่ยวกล่าวหา เจ้าของบทความ  ส่วนอาบังนั้นมีความรู้น้อย อันนี้ไม่เถียง แต่ที่น้องบ่าวอ้างคำพูดของอาจารย์อุศูลุลฟิกฮที่ว่า

หากอิสลามมีหลกปฏิบัติเพียงแบบเดียว แน่นอนอิสลามคงจะเหมาะเฉพาะกับผู้คนสมัยท่านร็สูลุลลอฮฺ ศ็อลฯ อย่างเดียวเท่านั้น และอิสลามจะเกิดกับปัญหาต่างๆ มากมายเกี่ยวกับการไม่มีบทบัญญัติมารองรับต่อปัญหาที่เกิดขึ้น (สรุปจากคำพูดของ อ.ที่สอนวิชาอุศูลุลฟิกฮฺ วอศ.)
.....
การปฏิบัติตามแบบอย่างที่คนในสมัยรซูลุลลอฮ อย่างเดียวสร้างปัญหา ต้องมีบัญญัติมารองรับ   ผมว่า ถ้าเป็นคำพูดอาจารย์ของน้องบ่าวจริง บอกอาจารย์ว่า  ต้องเรียนใหม่ครับ  ไม่แน่อาจารย์น้องบ่าวอาจจะเป็นเพื่อนผมก็ได้ แต่ ผมว่า ไม่น่าจะเป็นคำพูดของอาจารย์ที่เข้าใจสุนนะฮแน่นอน และบัญญัติที่มารองรับ ใครมีสิทธิในการบัญญัติ ช่วยบอกถามอาจารย์หน่อยได้ไหม?

3
http://www.mureed.com/article/PramoteAchari01.doc

ปล. โพสต์มาเพื่อให้พี่น้องในเว็บนี้เข้าใจในเจตนารมณ์ของ อ.ปราโมทย์

               บังหะสันครับ ทำไมผมเข้าเว็บบังไม่ได้ครับ ปรับปรุงใหม่อยู่หรอ เข้ากี่ครั้งก็เข้าไม่ได้ทุกที - วัสสลาม

อัสสลามมุอะลัยกุมน้องบ่าวอัลฟะฏอนี
 ไม่ทราบว่าเว็บใหน เพราะอาบังดูแลกระดานบอร์ด ทั้งเว็บมรดกและอัสสุนนะฮ  รู้สึกชอบสะโลแกนที่ว่า ถ้าอยู่กับความจริงจะไม่หลง  แต่..ความจริงในมุมมองของอิสลาม กับความจริงตามความเห็นนั้นบางทีมันสวนทางกันอยู่ ว่างๆลองศึกษาให้เคลีย  อาบังนำบทความของอ.ปราโมทย์มาโพสต์ เพื่อจะบอกว่าท่านไม่ได้มีเจตนาจะโจมตีให้ร้ายใคร  แต่รู้สึกว่า คนที่มีนามแฝงว่า "คนบ้าวิชา" ดูๆแล้วไม่ได้บ้าเฉพาะวิชา แต่ตัวเขาน่าจะบ้าด้วย  แหม..ทำตัวเป็นนักวิจารณ์   ไม่รู้สึกละอายผู้อ่านบ้างหรือไร  คนอ่านเขารู้ทันว่าในพุงของน้องบ่าวคนนี้มีแต่ขี้กับไส้ ส่วนวิชา แค่บ้าเท่านั้นเอง..

4
http://www.mureed.com/article/PramoteAchari01.doc

ปล. โพสต์มาเพื่อให้พี่น้องในเว็บนี้เข้าใจในเจตนารมณ์ของ อ.ปราโมทย์

5
 salam
เรียน อาจารย์นูรุลอิสลาม
      ขอเข้ามาคุยนิดหนึ่ง อย่าเพิ่งลบนะครับ  อยากจะเรียนว่า ที่อาจารย์ค้านสิ่งที่อ.ปราโมทย์นำเสนอนั้น การค้านแบบใช้ความเห็นแบบมั่วๆและแถมกล่าวหาท่านนั้น มันไม่ใช่วิสัยนักวิชาการนะครับ  และท่านอ.ปราโมทย์ไม่ได้เล่นเน็ตด้วย ถ้าคุณจะขอมาอัฟเขา คุณจะขออย่างไรละครับ  เมื่อคุณเห็นว่าท่านนำเสนอไม่ถูกต้อง คุณก็เอาหะดิษที่เศาะเฮียะมาหักล้างๆ ไม่ใช่อยู่ๆก็กล่าวหาผู้เขียนแบบดื้อๆ อย่าลืม อ.นูรุลอิสลาม จะเสียรังวัดนะครับ ใครมาอ่านเข้า เขาจะเห็นใส้เห็นพุงของอาจารย์หมด
ด้วยความปราถนาดี
วัสสลาม

6
وقال النووي: والصواب الذي ينبغي الجزم به أن يقال: اللهم صل على محمد وعلى آل محمد, كما صليت على إبراهيم... الحديث
وقد تعقبه جماعة من المتأخرين بأنه ليس في الكيفيتين المذكورتين ما يدل على ثبوت الأفضلية فيهما من حيث النقل, وأما من حيث المعنى فالأفضلية ظاهرة في الأول
والمسألة مشهورة في كتب الفقه, والغرض منها أن كل من ذكر هذه المسألة من الفقهاء قاطبة لم يقع في كلام أحد منهم "سيدنا" ولو كانت هذه الزيادة مندوبة ما خفيت عليهم كلهم حتى أغفلوها, والخيركله في الإتباع, والله أعلم
อิหม่ามนะวาวีย์ กล่าวว่า "และสิ่งที่ถูกต้องที่สมควรจะต้องยึดมันเอาไว้คือ การกล่าวว่า “ขออัลลอฮได้โปรดประทานพรแก่มุหัมหมัดและวงศ์วานของมุหัมหมัด ดังที่พระองค์ได้ทรงประทานแก่อิบรอฮีม ....จนจบหะดิษ
มีบรรดาคนรุ่นหลังกลุ่มหนึ่ง ได้วิจารณ์ไว้ว่า “ในวิธีทั้งสองที่ถูกกล่าวมานั้น ไม่ได้เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงการยืนยันความประเสริฐในทั้งสองนั้น ในแง่การถ่ายทอด และสำหรับในแง่ของความหมายนั้น  ความเป็นสิ่งประเสริฐกว่า ก็ปรากฏชัดเจนในอันแรก
       และประเด็นปัญหานั้น เป็นที่รู้จักกันดี ในบรรดาตำราฟิกฮ  และจุดประสงค์จากมัน คือ  ทุกคนที่ได้กล่าวถึงประเด็นปัญหานี้  จากบรรดานักนิติศาสตร์อิสลาม(ฟุเกาะฮาอฺ)ทั้งหมด จะไม่มีในคำพูดของคนหนึ่งคนใดจากพวกเขาว่า “สัยยิดินา” และหากว่าการเพิ่มเติมนี้(หมายถึงเพิ่มคำว่าสัยยิดินา) เป็นสิ่งที่ได้รับการสนับสนุน(เป็นสุนัต)ให้กระทำ  มันก็จะไม่ถูกปิดบังแก่พวกเขา จนกระทั้งพวกเขาได้ทำให้มันถูกลืมไป  และความดีทั้งปวงนั้น อยู่ที่การเจริญรอยตาม”(ไม่ได้อยู่ที่การอุตริบิดอะฮ- ผู้แปล)
........
วัสสลาม

7
 
 salam
 มีผู้ถามท่านหาฟิซอิบนุหะญัร(ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน) เกี่ยวกับการเพิ่มเติมคำว่า "ซัยยิดินา"ในเศาะละวาตนบี  ท่านตอบว่า
نعم ؛ اتباع الألفاظ المأثورة أرجح ، ولا يقال : لعله ترك ذلك تواضعاً منه صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ؛ كما لم
يكن يقول عند ذكره صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ : " صلى الله عليه وسلم " ، وأمته مندوبة إلى أن تقول ذلك
كلما ذكر !لأنا نقول : لو كان ذلك راجحاً ؛ لجاء عن الصحابة ثم عن التابعين ، ولم نقف في
شيء من الآثار عن أحد من الصحابة ولا التابعين لهم قال ذلك ؛ مع كثرة ما ورد عنهم
من ذلك
ครับ  การปฏิบัติตามบรรดาถ้อยคำที่ถูกสืบค้นมาจากหะดิษ นั้น  มีน้ำหนักกว่า  และไม่ควรจะมีผู้กล่าวว่า "บางที ท่านละทิ้งดังกล่าวนั้น (การกล่าวซัยยิดินา)เป็นการถ่อมตัวจาก ท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม  ดังที่ท่านไม่ได้กล่าว ขณะที่ระบุถึงท่าน ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม  ว่า"ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม " และ อุมมะฮของท่านนั้น ถูกส่งเสริมให้กล่าวถ้อยคำดังกล่าวนั้น ทุกครั้งที่ระบุ(ชื่อนบี)  เราขอกล่าวว่า " ถ้าดังกล่าวนั้น(หมายถึงการเพิ่มซัยยิดินา) มีน้ำหนัก แน่นอน ย่อมปรากฏรายงานมาจากเหล่าเศาะหาบะฮ หลังจากนั้น รายงานจากบรรดาตาบิอีน  และเราไม่เคยพบบรรดาหะดิษใดเลยที่รายงานจากคนหนึ่งคนใดจากบรรดาเศาะหาบะฮและตาบิอีน ที่เจริญรอยตามพวกเขา กล่าวดังกล่าวนั้น(หมายถึงกล่าวคำว่า"ซัยยิดินา") ทั้งๆที่มีรายงานมากมายจากพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวนั้น" - ดู อัลฟัฎลุล อัลมุบีน อะลาอักดิลเญาฮะริษษะมีน หน้า 70 ดู อัลเกาลุลมุบีน ฟีอัคเฏาะอิลมุศอ็ลลีน หน้า  153
...............
 อยากจะเรียนถามว่า ท่านอิหม่ามชาฟิอี ส่งเสริมใหเกล่าวคำว่า "ซัยยิดินา"ในตะชะฮุดหรือไม่ หวังว่าผู้ทรงความรู้จากเว็บนี้คงตอบได้

8
ข้อความโดย: roteeข้อความเมื่อ: วันนี้ เวลา 08:11 am
ผมขอหลักฐานในเรื่องนี้คำว่าใครที่เป็นคนกล่าว  แล้วกล่าวว่าไง  ในหนังสือเล่มไหน  และคำกล่าวของอุละมาอฺอะชาอิเราะฮฺท่านนั้น
ได้ถูกยอมรับด้วยอะชาอิเราะฮฺท่านอื่นด้วยหรือเปล่า  หรือเป็นแค่ทัศนะของท่านคนนั้นเพียงคนเดียว...
....................
อัสสลามุอะลัยกุ้ม คุณโรติและโควี
คนที่โจมตีให้ร้ายอุลามาอฺ เช่น อิบนุตัยมียะฮ  ถ้าจะให้เปิดเผย ก็น่าจะเป็นนักวิชาการในเว็บนี้แหละ อยากให้เปิดเผยไหม 

9
ข้อความโดย: kowee ข้อความเมื่อ: วันนี้ เวลา 01:10 am
คุณ sunnah 50 ตักลีดอุลามาหรือไงกันครับ....ปากชอบบอกว่าตามอัลกุรอานตามซุนนะฮ์....แล้วซุนนะฮ์ที่บอกว่าซอเฮี๊ยะห์นั้น...จริงหรือเปล่า...ก็ต้องชี้แจงกัน...ผมเองก็ทราบมาเหมือนกันว่าฮะดิษกระดิกนิ้วนั้นดออีฟ...ไม่ซอเฮี๊ยะห์...ดังนั้นเมื่อฮะดิษไม่ซอเฮี๊ยะห์...ก็ถือว่ามักโระฮ์....หรือเป็นบิดอะฮ์ตามทัศนะของผู้ที่ไม่ปฏิบัติฮะดิษดออีฟหลังจากที่ยอมรับในข้อเท็จจริ....วัสลาม...
........
อัสสลามุอะลัยกุ้มครับคุณ โควี
  ผมว่าใจเย็นๆก็ได้ แหม องค์รักษ์พิทักษ์อัลอัซฮารีย์  ผมตามอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮครับเป็นอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ ที่อุลามาอฺนำมาอธิบายและถ่ายทอดแก่เรา เมื่อเขาระบุว่า เศาะเฮียะ โดยพิจารณาตามหลักเกณฑ์ ที่วางไว้ ผมก็ยอมรับ เพราะผมไม่ใช่นักหะดิษ แต่เมื่อเขาอ้างหะดิษเศาะเฮียะผมก็ยอมรับ  ผมจึงเข้ามาถามในเว็บนี้ไง ว่า ที่มาจำกัดว่า "การกระดิกนิ้วนั้น เมื่อกล่าวคำว่า"อัลลอฮ"หรือ อิลลัลลอฮ" มีหะดิษไหม? เพราะผมไม่อยากตามแบบหูหนวกตาบอด แต่ ถ้ามาเจอองค์รักษ์แบบนี้ก็รู้สึกเซ็งๆเหมือนกัน
ท่านอัลบัยฮะกีเองได้รายงานหะดิษวาเอล ที่ว่า
 فرأيته يحركها يدعو بها
 แล้วฉันเห็นท่านกระดิกนิ้วพร้อมอ่านดุอาด้วยมัน
  โดยระบุว่า "สายรายงานเศาะเฮียะ - คุณไปดูใน สุนันของท่านอัลบัยฮะกีย์ เล่ม 2 หน้า 27
ส่วนที่เป็นความเห็นของท่านที่ว่า
 يحتمل أن يكون المراد بالتحريك : الإشارة بها ، لا تكرير تحريكها ، فيكون حديث وائل موافقاً لحديث ابن الزبير
อาจจะเป็นไปได้ว่า ความหมายคำว่า "อัตตะหรีก" คือ การชี้ด้วยมัน ไม่ใช่กระดิกมันซ้ำๆ ดังนั้นหะดิษวาอีลจึงสอดคล้องกับหะดิษอิบนุ ซุเบร - หนังสือเล่มเดียวกันหน้า 130
........
ข้างต้นมันเป็นการคาดเดาของท่านไม่ใช่ความหมายตามตัวบทหะดิษ ดังนั้นจึงมีผู้คัดค้าน คือ ท่านอัลบานีย์ โดยท่านกล่าวว่า
قلت : لم تثبت زيادة ((ولا يحركها)) ، لأن الحديث من رواية محمد بن عجلان عن عامر بن عبد الله بن الزبير عن أبيه ، وابن عجلان متكلم فيه ، وقد رواه عنه أربعة من الثّقات دون قوله : ((لا يحركها)) وكذلك رواه ثقتان عن عامر ، فثبت بذلك شذوذ هذه الزيادة وضعفها
ข้าพเจ้าขอกล่าวว่า " การเพิ่มคำว่า "(และท่านนบีไม่กระดิกมัน") ไม่มั่นคง เพราะหะดิษที่รายงานจากมุหัมหมัด บิน อัจญลาน จาก อามีร บิน อับดุลลอฮ บิน อัซซุบีร จากบิดาของเขา โดยที่ อิบนุอัจญลาน เป็นผู้ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์  และ ความจริง หะดิษที่ ผู้รายงานสี่คนที่เชื่อถือได้ได้รายงานจากเขานั้น ไม่มีคำว่า (และท่านนบีไม่กระดิกมัน) และในทำนองเดียวกันนั้น ผู้รายงานที่น่าเชื่อถือสองคนได้รายงานมันจากอามีร  แล้วปรากฏด้วยดังกล่าวว่า สำนวนที่เพิ่มเติมนี้                            (หมายถึงคำว่า لا يحركها)  มันเพี้ยน และเฎาะอีฟ(หลักฐานอ่อน) - ดูตะมามุนมินนะฮ หน้า 281 และ อัลเกาลุลมุบีนฯ หน้า  162
 ถ้าให้ใช้ปัญญา ผมก็ไม่เห็นด้วย ที่นำคำว่า " หะเราะกะ  " แปลว่า ชี้อย่างเดียว  ผมมีสติปัญญาไว้คิดพิจาณาด้วย เวลาจะตามใครนะสักคน ไม่ใช่เอาแต่ตักลิดแบบหูหนวกตาบอดอย่างเดียว
............
ผมว่า ถ้าคุณโควี(kowee)จะเพิ่มบารมีให้อัลอัซฮารีย์ ก็ควรจะมีความอดทนมากกว่านี้ ไม่อย่างนั้น ทั้งลูกพี่และลูกน้องจะเสียคน





10
จริงๆปัญหาเรื่องกระดิกนิ้ว หรือไม่กระดิก ควรจะเปิดกว้าง ดังที่ท่านอิหม่ามอัลกุรฏุบีย์กล่าวว่า
اختلفوا في تحريك أصبع السبابة ، فمنهم من رأى تحريكها ، ومنهم مَنْ لم يره ، و كل ذلك مرويٌّ في الآثار الصحاح المسندة عن النبي  ، وجميعه مباح ، والحمد لله
"พวกเขามีความเห็นแตกต่างกันในเรื่อง การกระดิกนิ้ว  แล้วส่วนหนึ่งจากพวกเขาเห็นว่า ให้กระดิกนิ้ว และส่วนหนึ่งจากพวกเขา ไม่เห็นว่าต้องกระดิกนิ้ว และ ทั้งหมดที่กล่าวมานั้น  ถูกรายงานมาจากหะดิษที่เศาะเฮียะ ที่ถูกอ้างอิงจากนบี และทั่งหมดนั้น เป็นสิ่งที่อนุญาต ,วัลหัมดุลิ้ลละฮ - ตัฟสีรอัลกุรฏุบีย์ เล่ม 1 หน้า 361
..........
แต่ในกรณีหุกุมว่า ใครกระดิก เป็นมักรูฮ อันนี้เกินจริง และต้องชี้แจง

11
[quote author=al-azhary link
แล้วที่ทัศนะของบังเอานิ้วชี้กวนไปกวนมาเวลากล่าวปฏิญารละครับ  อันนี้เอามาจากใครครับ
...........
و" كان إذا أشار بأصبعه وضع إبهامه على أصبعه الوسطى" وتارة " كان يحلق بهما حلقة " وكان إذا رفع أصبعه يحركها يدعو بها
ลองแปลความหมายดูนะครับ
คำของฮะดิษที่บังอะสันเน้นว่า
 كان يحلق بهما حلقة
มันแปลว่าอะไรครับบังอะสัน  ซึ่งหากบังอะสันแปลว่า ชี้นิ้ววนไปมาล่ะก็  บิดอะฮ์น่ะครับ เพราะนบีไม่ได้เจาะจงให้ชี้นิ้วกวนอย่างนั้น  ไม่มีหลักฐานเลยครับ
[/quote]
........

 อ้าวอาบังไม่ได้บอกว่าเป็นทัศนะของอาบังนะครับ แต่คนที่ทำเขาอ้างตัวบทนี้
แต่ความหมายที่ถูกต้อง น่าจะแปลดังนี้
"ปรากฏว่าท่านได้ทำให้มันทั้งสอง(นิ้วหัวแม่มือและนิ้วกลาง)จรดกันเป็นวง"
.........
วัสสลาม

12
[quote author=al-azhary link
ญะซากัลลอฮ์ฮุค็อยร็อน  สำหรับการนะซีฮัตครับ  งั้นผมขอถอนคำพูดที่ได้พูดไป  แล้วเปลี่ยนเป็นสำนวนที่ว่า "การตัดสินฮะดิษของท่านชัยค์อัลบานีย์นั้น  หากเป็นประเด็นคิลาฟิยะฮ์  เราควรพิจารณากลับไปทบทวนศึกษาเปรียบเทียบฮุกุ่มตัดสินฮะดิษของอุลามาอ์นักจำฮะดิษยุคก่อนยุคก่อนอีกครั้ง
[/quote]
.................

คติสอนใจ
คิดก่อนพูด ไม่ใช่พูดก่อนคิด

13
อ้างจาก: al-azhary link
การกระดิกนิ้วนั้น  เป็นฮะดิษฏออีฟ  [b
หากบังอะสันทำระวังบิดอะฮ์น่ะครับ[/b]  หรือว่าบังอะสันตักลีดตามตัดสินฮะดิษเห็นเขาว่าซอฮิห์ก็ซอฮิห์ตาม  ดังนั้นมัซฮับทั้งสี่ที่เลื่องลือ  ถือว่าไม่มีการกระดิกนิ้ว  เพราะเป็นเป็นฮะดิษฏออีฟ  และการกระดิกนั้น  นบีก็ไม่ได้บอกรายละเอียดไว้  เช่น  ชี้นิ้ววนเป็นวงกลม  ซึ่งไม่มีฮะดิษซอฮิห์บอกไว้เลย  ฉะนั้นบังอะสันอย่าทำบิดอะฮ์ตามทัศนะของบังอะสันเพราะฮะดิษฏออีฟนี้เลย
วัลลอฮุอะลัม

หลักฐานที่แสดงว่า ท่านรซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กระดิกนิ้ว ขณะอ่านตะชะฮุด คือ
عن وائل بن حجر أنه قال في صفة صلاة رسول الله صلى الله عليه وسلم(ثم قبض ثنتين من أصابعه وحلق حلقة ثم رفع إصبعه فرأيته يحركها يدعو بها) رواه أحمد والنسائي وأبو داود وغيرهم وهو حديث صحيح.
จากวาอีล บิน หะญัร เขาได้กล่าวในเรื่องลักษณะการละหมาดของเราะซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมว่า(หลังจากนั้น ท่านได้กำนิ้วของท่านทั้งสองนิ้ว(คือ นิ้วนางกับนิ้วก้อย)และท่านทำให้(หัวแม่มือกับนิ้วกลาง)จรดกันเป็นวง ต่อมาท่านได้ยกนิ้ว(ชี้)ของท่าน แล้วฉันเห็นท่านกระดิกนิ้วพร้อมอ่านดุอาด้วยมัน(คืออ่านตะชะฮุด)-รายงาน โดย อะหมัด,อันนะสาอีย์,อบูดาวูดและอื่นจากพวกเขา และมันเป็นหะดิษหซัน เศาะเฮียะ (1)
................................
(1)ดูที่มาของหะดิษ
ثبت في ((مسند أحمد)) : (4/318) و ((المجتبى)) للنسائي : (2/126 -127) و ( 3/371) و ((سنن أبي داود)) : رقم (713) و ((صحيح ابن خزيمة)) رقم (480) و (714) و ((المنتقى)) لابن الجارود : رقم (208) و ((صحيح ابن حبان)) : رقم (1851 – موارد) و (( السنن الكبرى)) للبيهقي : (2/27 و 28 و 132) و ((المعجم الكبير)) للطبراني : (22/35) عن وائل بن حُجر ـ رضي الله عنه

..........
ท่านอบูอุบัยดะฮ มัชฮูร บิน หะซันกล่าวว่า
فهذه رواية صحيحة صريحة في تحريك الأصبع ، وجاء وصف فعله  بـ (( يحرِّك )) وهو فعل مضارع ، يفيد الاستمراريّة حتى تسليم المصلّي و فراغه من صلاته ، ويدل على ذلك ، قوله :
((يدعو بها))
และนี้คือ รายงานที่เศาะเฮียะ อีกทั้งชัดเจน ในการกระดิกนี้ว และปรากฏลักษณะการกระทำของท่านนบี ด้วยคำว่า (ยุหัรริกุ) มันเป็นกริยาปัจจุบันกาล มีความหมายว่า กระดิกตลอดจนกระทั่งผู้ละหมาดกล่าวสลามและเสร็จสิ้นการละหมาดของเขา และ คำพูดของเขา(วาอีล)ที่ว่า (และท่านนบีได้อ่านดุอาด้วยมัน) เป็นหลักฐานแสดงบอกดังกล่าว -  ดู  อัลเกาลุลมุบีน ฟี อัคเฏาะอิลมุศอ็ลลีน หน้า 162
.............

       ท่านอัลอะซีม อะบาดี กล่าวว่า
وفيه تحريكها دائما
ในมัน(ในหะดิษวาอีล) แสดงว่า การกระดิกมัน(นิ้ว)นั้น (กระดิก)ตลอด - เอานุ้ลมะอฺบูด  เล่ม 1 หน้า 374
...........
พรุ่งนี้ขาเชียร์อัลอัซอารี คงเดือดแน่ พอมาอ่านเข้า เพราะกลัวว่าอาจารย์จะเสียหน้า

14

 salam
อยากทราบว่าตดในน้ำ เสียศีลอดหรือไม่ ?
.........
วัสสลาม

15
ท่านครูอัลอัชอารีของเราตอบว่า
สรุปประเด็น  คือการละหมาดอีดนั้นเป็นเพียงแค่สุนัตไม่ใช่วายิบ  ดังนั้นรูปแบบการละหมาดอีดไม่ว่าจะที่ลานกว้างหรือมัสยิด   ก็ไม่สมควรเลยเถิดในการฮุกุ่มโจมตีทัศนะอื่น
..............
อ่านแล้วเป็นฟัตวาที่แปลกพิลึก  โตะครูไม่กล้าตัดสินใจ กล่าวไปกระทบจิตใจขาเชียร์ เฮ้อ...

หน้า: [1] 2 3 4