แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - Islamicstudentcity

หน้า: [1] 2
1
อัสลามุอะลัยกุม :  เรียบร้อยแล้วครับ อาจารย์  หากมีอะไรจะให้รับใช้โปรดติดต่อมาได้ครับ  แต่เย็นนี้ขอไปกินแกงส้มฝีอาจารย์น่ะครับ  พาเพื่อนๆ ไปด้วย  วัสลาม .

2
กัฟฟาเราะห์ในรอมาดอน


       เหตุที่ทำให้จำเป็นต้องจ่ายกัฟฟาเราะห์ :

       คือการทำให้การถือศิลอดในรอมาดอนด้วยการร่วมประเวณี โดยมีเงื่อนไขว่าผู้ร่วมประเวณีรู้ตัวว่ากำลังถือศิลอด และรู้ว่าการร่วมประเวณีขณะถือศิลอด เป็นสิ่งต้องห้าม ( หะรอม ) และไม่ใช่เป็นผู้ได้รับการการผ่อนผันให้ละศิลอดด้วยการเดินทาง

       ดังนั้นถ้าหากผู้ที่ร่วมประเวณีขณะถือศิลอด กระทำไปโดยลืมว่ากำลังถือศิลอด หรือไม่รู้ว่าการร่วมประเวณีขณะถือศิลอดเป็นสิ่งต้องห้าม หรือร่วมประเวณีขณะถือศิลอดอื่นที่ไม่ใช่ในเดือนรอมาดอน หรือจงใจทำให้เสียศิลอดด้วยอย่างอื่นที่ไม่ใช่การร่วมประเวณี หรือเป็นผู้เดินทางไกลที่ได้รับการผ่อนผันให้ละศิลอด และเขาได้ร่วมประเวณี ทุกกรณีที่กล่าวมานั้นไม่ต้องจ่ายกัฟฟาเราะห์ แต่เขาจำเป็นต้องถือศิลอดชดใช้

       ใครที่จำเป็นต้องจ่ายกัฟฟาเราะห์ :

       สามีที่ร่วมประเวณีขณะถือศิลอดรอมาดอน เป็นผู้จำเป็นต้องจ่ายกัฟฟาเราะห์แต่เพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น ส่วนภรรยาหรือหญิงที่ถูกร่วมประเวณีด้วยนั้น ไม่จำเป็นต้องจ่ายกัฟฟาเราะห์แต่อย่างใดแม้จะถือศิลอดด้วยก็ตาม เพราะความผิดของผู้กระทำหนักกว่า ดังนั้นจึงเป็นการเหมาะสมแล้วที่เขาถูกศาสนาบังคับให้จ่ายกัฟฟาเราะห์

       กัฟฟาเราะห์คืออะไร :

       สำหรับกัฟฟาเราะห์ในกรณีที่ทำให้เสียการถือศิลอดรอมาดอน ด้วยการร่วมประเวณีนั้นคือ ต้องปล่อยทาสทีมีศรัทธาจะเป็นหญิงหรือชายก็ได้จำนวนหนึ่งคน ถ้าหากไม่มีทาส หรือเขาไม่สามารถจัดหาทาสมาได้ ให้เขาถือศิลอดสองเดือนติดต่อกันไป ถ้าหากเขาไม่มีความสามารถถือศิลอดสองเดือนได้ ให้เขาจ่ายอาหารแก่คนยากจนหกสิบคน คนละหนึ่งมุด เป็นอาหารที่คนส่วนใหญ่ในเมืองนั้นใช้รับประทาน และถ้าหากไม่มีความสามารถกระทำทุกอย่างที่กล่าวมา กัฟฟาเราะห์ก็จะติดตัวเขาตลอดไปจนกว่าจะสามารถกระทำประการหนึ่งประการใดได้

       หลักฐานในเรื่องนี้ได้แก่ฮาดิษที่บุคอรี ( 1834 ) มุสลิม ( 1111 ) และคนอื่นๆ ได้รายงานจากอะบูฮูรอยเราะห์ ( ร.ด ) ที่กล่าวว่า :

        "ขณะที่พวกเรานั่งอยู่กับท่านนบี ( ซ.ล ) นั้นได้มีชายคนหนึ่งมาหาท่านแล้วกล่าวขึ้นว่า โอ้ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ ฉันคงพินาศแน่ ท่านถามว่า เจ้าเป็นอะไรหรือ ? เขาตอบว่า ฉันร่วมประเวณีกับภรรยาขณะที่ฉันถือศิลอด ในรายงานหนึ่งว่า ในเดือนรอมาดอน ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ ( ซ.ล ) กล่าวว่า เจ้ามีทาสที่จะปลดปล่อยไหม ? เขาตอบว่าไม่มี ท่านถามว่า เจ้าจะถือศิลอดสองเดือนติดต่อกันได้ไหม ? เขาตอบว่า ไม่ได้ ท่านถามว่า มีอาหารแจกแก่คนยากจนหกสิบคนไหม ? เขาตอบว่าไม่มี อะบูฮูรอยเราะห์ กล่าวว่า ท่านนบี ( ซ.ล ) นิ่ง ขณะที่พวกเราตกอยู่ในสภาพเช่นนั้นได้มีผู้นำตะกร้า ที่สานด้วยใบอินทผาลัม ที่มีอินทผาลัมบรรจุอยู่มาให้ท่านนบี ( ซ.ล ) ท่านกล่าวขึ้นว่า คนที่ถามอยู่ไหน ? เขาตอบอยู่ที่นี่ ท่านกล่าวว่า จงเอานี่ไปและนำไปแจกจ่าย ชายคนนั้นถามว่าแก่คนที่ยากจนกว่าฉันอย่างนั้นหรือ ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ ? ไม่มีครอบครัวใดระหว่างสอง ฮัรเราะห์ เป็นชื่อเรียกสถานที่ในมะดีนะห์ซึ่งเป็นบริเวณที่มีหินลาวาสีดำ นี้ยากจนยิ่งกว่าครอบครัวของฉัน ท่านนบี ( ซ. ล ) หัวเราะจนเห็นเขี้ยวของท่าน แล้วท่านก็กล่าวว่า จงนำมันไปเป็นอาหารแก่ครอบครัวของเจ้าเถิด"

       ผู้รู้กล่าวว่า : ศาสนาไม่ยินยอมให้คนยากจน ที่สามารถจ่ายอาการเป็นกัฟฟาเราะห์ได้ นำอาหารนั้นไปจ่ายให้ครอบครัวของตน และสิ่งที่เป็นกัฟฟาเราะห์ต่างๆ ก็เช่นกัน ไม่ยินยอมให้จ่ายแก่ครอบครัวของตน เรื่องที่กล่าวในฮาดิษเป็นกรณีพิเศษ ( คุซูซีย์ ) เฉพาะชายคนนั้นเท่านั้น

       และอีกสิ่งหนึ่งที่ควรรู้ก็คือ ผู้ที่ร่วมประเวณีนั้นนอกจากต้องจ่ายกัฟฟาเราะห์แล้ว ยังจำเป็นต้องชดใช้การถือศิลอดในวันที่เขาทำให้เสียด้วยการร่วมประเวณีอีกด้วย และจำนวนกัฟฟาเราะห์จะเพิ่มขึ้นเมื่อเพิ่มวันที่เขาทำให้เสียการถือศิลอดด้วยการร่วมประเวณี ดังนั้นถ้าหากเขาร่วมประเวณีขณะถือศิลอดรอมาดอนสองวันเขาจำเป็นจะต้องจ่ายสองกัฟฟาเราะห์ พร้อมทั้งต้องชดใช้การถือศิลอดสองวัน ถ้าหากเขาร่วมประเวณีสามวัน ก็ต้องจ่ายสามกัฟฟาเราะห์ เป็นต้น

3
       2 .  คนชรา คนไร้ความสามารถ และผู้ป่วยที่ไม่มีความหวังว่าจะหาย :

       เมื่อคนชราสูงอายุมีความจำเป็นต้องละศิลอด เขาจำเป็นต้องจ่ายอาหารเป็นทานวันละหนึ่งมุดจากอาหารที่คนส่วนใหญ่ใช้รับประทาน หลังจากนั้นทั้งตัวเขาและญาตของเขาไม่จำเป็นต้องกระทำใดๆอีก

       บุคอรี ( 4235 ) ได้รายงานจาก อะตออ์ ว่า เขาได้ยินอิบนุอับบาส ( ร.ด ) อ่าน :

       ? และเหนือผู้ที่ ( ไม่ ) มีความสามารถถือศิลอด จ่ายฟิดยะห์ เป็นอาหารแก่คนยากจน ? ( อัลบากอเราะห์ 184 ) อิบนุอับบาสได้กล่าวว่า อายะห์นี้ไม่ได้ถูกยกเลิก แต่หมายถึงคนชราสูงอายุทั้งชายและหญิง ที่ไม่สามารถถือศิลอดได้ ให้เขาจ่ายอาหารแทนทุกวันต่อทุกหนึ่งคนยากจน

       และมีสิ่งที่จำเป็นต้องทราบก็คือคนป่วยที่ไม่มีหวังว่าจะหายนั้น ใช้ข้อบังคับอย่างเดียวกับผู้สูงอายุที่ไม่สามารถถือศิลอดได้ คือให้เขาละศิลอด และจ่ายอาหารแทนวันละหนึ่งมุด จากอาหารที่คนส่วนใหญ่ใช้รับประทาน

       3.  หญิงตั้งครรภ์ และหญิงที่ให้นมทารก :

       เมื่อหญิงที่ตั้งครรภ์และหญิงที่ให้นมทารกละศิลอด บางครั้งนางอาจกลัวเป็นอันตรายกับตนเองหรืออาจกลัวเป็นอันตรายกับทารก
ถ้าหากนางกลัวจะเกิดอันตรายกับตนเอง ก็จำเป็นต้องชดใช้การถือศิลอดที่ขาดเท่านั้นก่อนที่รอมาดอนหน้าจะมาถึง

       ติรมีซี ( 715 ) และอะบูดาวุด ( 2408 ) และคนอื่น ๆ ได้รายงานจากอะนัส อัลกะอ์บีย์ ( ร.ด ) จากท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ ( ซ.ล ) ว่า :

       ? ความจริงอัลเลาะห์ ตาอาลา ได้ผ่อนปรนการถือศิลอด และครึ่งหนึ่งของละหมาดให้คนเดินทางและได้ผ่อนปรนการถือศิลอด ให้แก่หญิงมีครรภ์ และหญิงที่ให้นมทารก ? คือผ่อนผันให้ย่อละหมาด และละศิลอดพร้อมทั้งต้องชดใช้ภายหลัง
 
       และถ้าหากนางละศิลอดเพราะกลัวจะเป็นอันตรายต่อทารก โดยนางกลัวว่าจะแท้งถ้าหากถือศิลอด หรือกลัวว่าจะมีน้ำนมน้อยไม่พอเลี้ยงทารก นางจำเป็นต้องชดใช้การถือศิลอดในวันที่นางละศิลอดและจำเป็นต้องจ่ายอาหารที่คนส่วนใหญ่ใช้รับประทานอีกวันละหนึ่งมุด เป็นทาน
อะบูดาวุด ( 2318 ) รายงานจาก อิบนิอับบาส ( ร.ด ) ว่า :

       ? เหนือผู้ที่ ( ไม่ ) สามารถถือศิลอด ต้องจ่ายฟิตยะห์ เป็นอาหารแก่คนยากจน ? ( อัลบากอเราะห์ 184 ) อิบนุอับบาส กล่าวว่า :

       ( มันเป็นข้อผ่อนผันสำหรับคนชราทั้งชายและหญิงที่ไม่สามารถถือศิลอดได้ ให้เขาละศิลอดและจ่ายอาหารแทนทุกวันต่อทุกคนหนึ่งคนยากจน หญิงที่มีครรภ์และหญิงที่ให้นมทารกเมื่อกลัวทารกจะเป็นอันตราย ให้ละศิลอด ( ต้องชดใช้ ) และจ่ายอาหาร )

4
 
ชดใช้การถือศิลอดเดือนรอมาดอน ฟิดยะห์ และกัฟฟาเราะห์


       1.   คนเดินทางและคนป่วย :

       ผู้ใดที่ขาดการถือศิลอดในเดือนรอมาดอน เพราะสาเหตุเดินทางหรือป่วย เขาจำเป็นต้องชดใช้ การถือศิลอดวันที่ขาดนั้นก่อนถึงรอมาดอนของปีถัดไป ถ้าหากเขาไม่ชดใช้โดยมีเหตุจำเป็น จนถึงรอมาดอนปีถัดไปเขาก็มีบาป และจำเป็นต้องชดใช้พร้อมจ่าย ฟิดยะห์ คือต้องจ่ายอาหารที่ใช้บริโภคเป็นส่วนมากในเมืองนั้นเป็นค่าปรับวันละหนึ่งมุดให้แก่คนยากจน และยิ่งจำนวนปีผ่านไปโดยที่เขายังไม่ได้ชดใช้การถือศิลอด จำนวนค่าปรับก็จะเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น อาหารจำนวนหนึ่งมุด มีปริมาณเท่ากับการใช้มือของคนรูปร่างปานกลางสองข้าง กอบขึ้นมาครั้งหนึ่งเต็มๆ หรือมีน้ำหนักประมาณ 600 กรัม

       สำหรับผู้ที่มีอุปสรรคเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่นมีอาการป่วยเรื้อรังจนถึงรอมาดอนของปีถัดไป เขาจำเป็นต้องชดใช้เมื่อหายเป็นปกติแล้ว ไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าปรับในเรื่องชดใช้แต่อย่างใด

       ถ้าหากเขาเสียชีวิตไปโดยยังไม่ได้ชดใช้การถือศิลอดที่ขาด ซึ่งในเรื่องนี้มีสองกรณีคือ
       1.บางทีเขาเสียชีวิตไปก่อนที่จะมีความสามารถชดใช้การถือศิลอดได้
       2.หรือเสียชีวิตไปภายหลังจากมีความสามารถจะชดใช้ได้แล้ว แต่เขาละเลยยังไม่ชดใช้

       สำหรับกรณีแรกไม่มีบาปในเรื่องนี้ติดตัวเขา เพราะเขาไม่ใช้เป็นผู้ละเลย
       ส่วนในกรณีที่สอง เขามีบาป เพราะเขาเป็นผู้ละเลย และสุนัตให้วะลี ของเขาถือศิลอดแทนวันที่เขาขาดการถือศิลอด

       คำว่าวะลีในที่นี้หมายถึงญาติของเขาคนใดก็ได้ หลักฐานในเรื่องนี้ ได้แก่ฮาดิษที่บุคอรี ( 1851 ) และมุสลิม ( 1174 ) ได้รายงานจากอะอีชะห์ ( ร.ด ) ว่าท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ ( ซ.ล ) ได้กล่าวว่า :

       ? ผู้ใดเสียชีวิตไปในสภาพที่มีการถือศิลอดติดอยู่เหนือเขา ให้วะลีของเขาทำการถือศิลอดแทน ?

       บุคอรี ( 1852 ) และมุสลิม ( 1148 ) รายงานจาก อิบนิอับบาส ( ร.ด ) ได้กล่าวว่า ชายคนหนึ่งได้มาหาท่านนบี ( ซ.ล ) แล้วกล่าวว่า :
 
       ? โอ้ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ มารดาของข้าพเจ้าเสียชีวิตโดยมีการถือศิลอดหนึ่งเดือนติดตัวอยู่ ข้าพเจ้าจะถือศิลอดชดใช้แทนได้ไหม ? ท่านตอบว่า ได้ หนี้ที่ติดอัลเลาะห์อยู่สมควรต้องชดใช้ยิ่ง ?

       บุคคลที่ไม่ได้เป็นญาติของผู้ตายจะถือศิลอดแทนผู้ตายไม่ได้ เว้นแต่เมื่อได้ขออนุญาตถือศิลอด แทนจากญาตคนใดคนหนึ่งของผู้ตายเสียก่อน ถ้าหากถือศิลอดแทนโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือโดยผู้ตายไม่ได้สั่งเอาไว้ การถือศิลอดแทนผู้ตายมีผลใช้ไม่ได้
ในกรณีที่ไมมีผู้ใดถือศิลอดแทนผู้ตาย ให้จ่ายเป็นอาหารแทนวันละหนึ่งมุด ส่วนที่จ่ายเป็นอาหารนี้ให้เอามาจากกองมรดกเหมือนการชดใช้หนี้สินที่ต้องเอามาจากกองมรดกของผู้ตายเช่นเดียวกัน ถ้าหากผู้ตายไม่มีมรดก อนุญาตให้จ่ายแทนได้ และถือว่าพ้นตัวผู้ตาย

       ติรมีซี ( 817 ) ได้รายงานจาก อิบนุอุมัร ( ร.ด ) ว่า :

       ? ผู้ใดตายโดยมีการถือศิลอดติดตัวอยู่หนึ่งเดือน ให้มีผู้จ่ายอาหารแทนเขาทุกวันต่อทุกหนึ่งคนยากจน ?

       และอะบูอาวุด ( 2401 ) ได้รายงานจาก อิบนิอับบาส ( ร.ด ) ว่า :

       ? เมื่อชายคนหนึ่งป่วยในเดือนรอมาดอน แล้วเขาเสียชีวิต โดยไม่ได้ถือศิลอดให้จ่ายอาหารแทนเขา ?

5
       7.  ควรกล่าวขณะละศิลอดว่า :

       ? ข้าแด่อัลเลาะห์เจ้า ข้าพเจ้าถือศิลอดเพื่อพระองค์ท่าน ข้าพเจ้าละศิลอดด้วยปัจจัยยังชีพ ( ริสกี ) ของพระองค์ท่าน ความากระหายมลายไป เส้นเลือดชุ่มน้ำ ผลบุญปรากฏหากอัลเลาะห์ประสงค์ ?

       8.  ควรเลี้ยงอาหารละศิลอดแก่ผู้ถือศิลอด :

       โดยการเลี้ยงอาหาร และถ้าหากไม่สามารถเลี้ยงอาหารได้ ก็ให้อินทผาลัม หรือน้ำดื่มในการละศิลอด

       ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ ( ซ.ล ) กล่าวว่า :

       ? ผู้ใดเลี้ยงอาหารละศิลอดแก่ผู้ถือศิลอด เขาจะได้รับผลบุญเท่ากับผู้ถือศิลอด โดยไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันเลย ?

       9.  ทำทานให้มาก อ่านและทบทวนอัลกรุอ่าน เอี๊ยะตีกาฟในมัสยิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสิบวันสุดท้ายของรอมาดอน :

       เล่าจากอนัส ( ร.ด ) ว่า ได้มีผู้ถามว่า ? โอ้ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ การทำทานอะไรประเสริฐที่สุด ? ท่านตอบว่า การทำทานในรอมาดอน ? รายงานโดย ติรมีซี ( 663 )

        บุคอรี ( 1803 ) และมุสลิม ( 2308 ) รายงานว่า ญิบรีลได้พบท่านนบี ( ซ.ล ) ทุกปี ในรอมาดอนจนสิ้นเดือน ญิบรีลจะนำอัลกรุอ่านมานำเสนอต่อท่านนบี ( ซ.ล ) สำหรับเรื่องเอี๊ยะตีกาฟ จะนำมากล่าวไว้ท้ายเรื่องการถือศิลอด

       สิ่งที่ไม่ควรปฏิบัติ ( มักรูห์ ) ในขณะถือศิลอด :

       สิ่งที่ไม่ควรปฏิบัติขณะถือศิลอดใด้แก่สิ่งที่ขัดกันกับระเบียบของการถือศิลอดดังได้กล่าวมาแล้ว บางอย่างจัดเข้าอยู่ในประเภท มักรูห์ตันซีห์ เช่น ล่าช้าในการละศิลอดและรีบรับประทานอาหารดึก ( สะฮูด ) และบางอย่างจัดเข้าอยู่ในประเภท สิ่งที่ต้องห้าม ( หะรอม ) เช่น การนินทา การยุแหย่ และการพูดปด

6
       4.  ควรต้องสงวนถ้อยคำ :

       โดยละทิ้งคำพูดประเภทโกหก ด่า นินทา ยุแหย่ และต้องควบคุมจิตใจ ไม่ให้เกิดกำหนัดต่างๆ เช่นการมองดูเพศตรงข้าม และฟังเพลง เป็นต้น บุคอรี ( 1804 ) ได้รายงานจาก อะบูฮูรอยเราะห์ ( ร.ด ) ว่า :

       ? ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ ( ซ.ล ) ได้กล่าวว่า ผู้ใดไม่ละทิ้งคำพูดเท็จ และไม่เลิกกระทำการโป้ปด อัลเลาะห์จะไม่ทรงเกี่ยวข้องอะไรกับการที่เขาอดอาหารและเครื่องดื่ม ?

       ที่จริงแล้วการด่าทอ การโกหก การนินทา และการยุแหย่นั้น ล้วนเป็นสิ่งที่ต้องห้าม ( ฮะรอม ) อยู่ในตัวของมันเองอยู่แล้ว แต่ที่นำมาเกี่ยวข้องกับผู้ที่ถือศิลอด ก็เพราะนอกจากเป็นบาป แล้ว มันยังทำลายผลบุญของการถือศิลอดอีกด้วย แม้ว่าการถือศิลอดจะมีผลใช้ได้และพ้นการบังคับ ของศาสนาก็ตาม ทั้งนี้เพราะสิ่งที่กล่าวมานี้จัดอยู่ในระเบียบของการถือศิลอด ที่ผู้ถือศิลอดต้องดำเนินตาม

       5.  ควรอาบน้ำยกฮะดัษใหญ่ ( ญูนุบ ) ก่อนแสงอรุณขึ้น :

      เพื่อให้ร่างกายสะอาดก่อนที่จะเริ่มต้นถือศิลอด ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า การมีญูนุบ จะทำการถือศิลอดไม่ได้ แต่ที่ดีนั้นควรอาบน้ำยกฮาดัษ ญูนุบ ก่อนแสงอรุณขึ้น หลักฐานในเรื่องดังกล่าว ได้แก่ ฮาดิษที่บุคอรี ( 1825 .1830 ) ได้รายงานว่า :

     ? ท่านนบี ( ซ.ล ) มีญูนุบที่ไม่ใช่เกิดจากความฝัน หลังจากนั่นท่านได้อาบน้ำและทำการถือศิลอด ?

       สำหรับสตรีที่หมดเลือดประจำเดือน และเลือดนิฟาส ก็ควรอาบน้ำยกฮาดัษก่อนแสงอรุณขึ้นถ้าเลือดหยุดก่อนหน้านั้น
 
       6.  ควรระยับการกรอกเลือด การเจาะเส้นเลือด และการกระทำคล้ายกับสองอย่างนี้ :

       เพราะจะทำให้ร่างกายของผู้ถือศิลอดอ่อนเพลีย และผู้ถือศิลอดไม่ควรซิมอาหารและใช้ลิ้นแตะอาหาร เพราะกลัวว่าจะมีสิ่งใดหลุดเข้าไปถึงเขตภายใน ซึ่งจะทำให้เสียการถือศิลอด

7
ระเบียบของการถือศิลอดและสิ่งที่ไม่ควรปฏิบัติขณะถือศิลอด


       ระเบียบของการถือศิลอด

       สำหรับการถือศิลอดมีระเบียบหลายประการพอสรุปได้ดังต่อไปนี้ :

       1.  รีบละศิลอด :

       คือรีบละศิลอดทันทีภายหลังตะวันลับขอบฟ้า หลักฐานในเรื่องนี้ คือฮาดิษ บุคอรี ( 1856 ) และมุสลิม ( 1098 ) ที่รายงานจาก สะหัล    บุตร สะอัด ( ร.ด ) ว่าท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ ( ซ.ล ) กล่าว่า :

       ? มนุษย์จะยังคงอยู่ในความดี ตราบที่พวกเขารีบละศิลอด? และที่ดีนั้นควรละศิลอดด้วยอินทผาลัมสด หรือแห้ง ถ้าหากไม่มีให้ละศิลอดด้วยน้ำ

       ติรมีซี ( 696 ) และอบูดาวูด ( 3356 ) ได้รายงานว่าท่านนบี ( ซ.ล ) :

       ? เคยละศิลอดก่อนละหมาด ด้วยอินทผาลัมสด ถ้าไม่มีก็ด้วยอินทผาลัมแห้ง และถ้าไม่มีท่านก็จะดื่มน้ำหลายอึก เพราะมันทำให้สะอาด ?

       2.  รับประทานอาหารดึก ( สะฮูร ) :

       คือการรับประทานอาหารภายหลังเที่ยงคืนไปแล้ว หลักฐานในเรื่องนี้ได้แก่ ฮาดิษ บุคอรี ( 1823 ) และมุสลิม ( 1095 ) ได้รายงานจากท่านนบี ( ซ.ล ) ว่าท่านได้กล่าวว่า :

      ? ท่านทั้งหลายจงรับประทานอาหารดึก เพราะในอาหารดึกนั้นมีความเพิ่มพูน ?

       ส่วนเคล็ดลับที่สุนัตให้รับประทานอาหารดึกนั้น เพื่อให้แข็งแรงสามารถถือศิลอดในวันรุ่งขึ้นได้ ฮากิมได้รายงานในหนังสือ มุสตัดร๊อก ของเขา ( 1/425 ) ว่าท่านนบี ( ซ.ล ) ว่า :

      ? ท่านทั้งหลายจงเอาอาหารดึกมาช่วยการถือศิลอดในเวลากลางวันเถิด ?

        เข้าเวลาอาหารดึก เมื่อเข้าเวลาเที่งคืน การรับประทานอาหารดึกไม่ว่าจะมากหรือเล็กน้อย หรือเพียงแค่ดื่มน้ำ ก็ถือว่าได้รับความประเสริฐแล้ว

       อิบนุฮิบบานได้รายงานในหนังสือ ซอเฮี๊ยะของเขาว่าท่านนบี ( ซ.ล ) ได้กล่าวว่า :

       ? ท่านทั้งหลายจงรับประทานอาหารดึกเถิด แม้เป็นน้ำเพียงอึกเดียวก็ตาม ? ( มะวาริดุซซอมอาน 884 )

       3.  ควรรับประทานอาหารดึกในเวลาใกล้รุ่ง :

       โดยกะเวลาให้การรับประทานและดื่มน้ำเสร็จก่อนแสงอรุณขึ้นเล็กน้อย หลักฐานในเรื่องนี้ได้แก่ ฮาดิษ ที่อิหม่าม อะห์หมัดได้รายงานไว้ในหนังสือ มุสนัดของเขา ( 5/147 ) จากท่านนบี ( ซ .ล ) ว่า :

       ? ประชากรของฉันจะคงอยู่ในความดี ตราบที่พวกเขารีบละศิลอด และล่าช้าการรับประทานอาหารดึก ?

       และบุคอรี ( 556 ) ได้รายงานจากอะนัส ( ร.ด ) ว่าท่านนบี ( ซ.ล ) และ เซต บุตร ซาบิต ได้รับประทานอาหารดึก เมื่อทั้งสองรับประทานอาหารดึกเสร็จ ท่านนบี ( ซ . ล ) ได้ลุกขึ้นและไปละหมาดพวกเราถามอะนัสว่า ช่วงเวลาระหว่างที่ทั้งสองเสร็จจากการรับประทานอาหารดึกและเขาทั้งสองเข้าไปละหมาดห่างกันเท่าใด ? เขาตอบว่า เท่ากับช่วงที่คนหนึ่งอ่านกรุอ่านได้สิบห้าอายะห์

8
       5.  กระทำให้อสุจิหลั่ง :

       คือกระทำให้อสุจิหลั่งด้วยการสัมผัส จูบ เป็นต้น หรือโดยใช้มือ ถ้าหากผู้ถือศิลอดเจตนา กระทำก็ถือว่าเสียศิลอด ส่วนกรณีไม่สามารถอดกลั้นไม่ให้หลั่งได้ ก็ไม่เสียการถือศิลอด

       การจูบภรรยาขณะถือศิลอดในเดือนรอมาดอนถือเป็น มักรูห์ตะห์รีม สำหรับบุคคลที่การจูบของเขาทำให้เกิดความกำหนัด ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายชายหรือฝ่ายหญิงก็ตาม เพราะการกระทำดังกล่าว ถือเป็นการล่อแหลมที่จะเสียศิลอดได้

       สำหรับการจูบไม่ก่อให้เกิดกำหนัด ที่ดียิ่งสำหรับเขาคือการไม่จูบเพื่อเป็นการปิดประตูที่จะนำไปสู่การเสียศิลอด

       มุสลิม ( 1106 ) ได้รายงานจากอะอีชะห์ ( ร.ด ) ว่า :

       ? ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ ( ซ . ล ) เคยจูบฉันขณะที่ท่านถือศิลอด จะมีใครในหมู่พวกท่านที่จะสามารถควบคุมความต้องการของตนเองได้ เหมือนกับที่ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ ( ซ . ล ) ควบคุมความต้องการของท่าน?

        ผู้รู้กล่าวว่า คำพูดของอาอิชะห์ ( ร.ด ) หมายความว่า พวกท่านควรระมัดระวังเรื่องการจูบ พวกท่านอย่าสำคัญตนผิดว่าพวกท่านสามารถควบคุมความต้องการของตังเองได้เหมือนท่านนบี ( ซ . ล ) ที่ควบคุมความต้องการของตัวท่านได้ การจูบของท่านจึงไม่น่าไปสู่การหลั่งหรือเกิดกำหนัด แต่พวกท่านจะไม่สามารถเช่นนั้น

       6.  มีเลือดประจำเดือนหรือนิฟาส :

       เพราะเลือดทั้งสองเป็นอุปสรรคขัดขวางการถือศิลอด สตรีคนใดที่มีเลือดประจำเดือนหรือนิฟาสเกิดขึ้นในช่วงใดของเวลากลางวันขณะถือศิลอด ถือว่าเสียการถือศิลอดของนาง และจำเป็นนางต้องชดใช้ การถือศิลอดในภายหลัง บุคอรี ( 298 ) และมุสลิม ( 80 ) ได้รายงานจากอบีสะอีด ( ร.ด) ว่าท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ ( ซ.ล ) ได้กล่าวถึงผู้หญิงขณะที่ท่านถูกถามเกี่ยวกับความบกพร่องในเรื่องศาสนาของนางว่า :

       ? เมื่อนางมีเลือดประจำเดือน นางไม่ต้องละหมาด และไม่ต้องถือศิลอดไม่ใช่หรือ ? ?

       7.  เป็นบ้าและสิ้นสภาพการเป็นอิสลาม :

       ทั้งสองประการนี้เป็นอุปสรรคที่จะทำให้การถือศิลอดมีผลใช้ได้ เพราะขาดคุณสมบัติ ของผู้ที่ทำอีบาดะห์

       ดังกล่าวมานี้ ผู้ที่ถือศิลอดจะต้องอดกลั้นไม่กระทำสิ่งที่ทำให้เสียการถือศิลอดต่างๆ เพื่อให้การถือศิลอดของตนมีผลใช้ได้ เริ่มตั้งแต่แสงอรุณขึ้น จนตะวันลับขอบฟ้า ถ้าหากผู้ถือศิลอดกระทำสิ่งที่ทำให้เสียการถือศิลอด โดยเชื่อว่าแสงอรุณยังไม่ขึ้น แต่ปรากฏว่าความเชื่อของเขาไม่ตรงความจริงการถือศิลอดของเขาใช่ไม่ได้ และเขาจะต้องอดอาหารตลอดวันนั้น เพื่อให้เกียรติแก่รอมาดอน และจะต้องชดใช้ในภายหลังด้วย

       และเช่นเดียวกับกรณีดังกล่าว ถ้าหากเขาละศิลอดในตอนค่ำโดยเชื่อว่าตะวันลับขอบฟ้าแล้ว แต่ปรากฏว่าตะวันยังไม่ลับขอบฟ้า การถือศิลอดของเขาใช้ไม่ได้และจำเป็นต้องชดใช้ในภายหลัง

9
       3.  จงใจทำให้อาเจียน :

       การจงใจทำให้อาเจียน ถือเป็นสิ่งที่ทำให้เสียการถือศิลอด แม้ผู้ถืดศิลอดจะมั่นใจว่าไม่มีสิ่งใดกลับเข้าไปภายในอีกเลยก็ตาม แต่ถ้าหากเขาไม่สามารถฝืนการอาเจียนไว้ได้ ก็ไม่ทำให้เสียการถือศิลอดแม้จะรู้ว่ามีบางอย่างที่ออกมากลับเข้าไปภายในอีก โดยที่เขาไม่ได้เจตนาก็ตาม
หลักฐานในเรื่องนี้ได้แก่ฮาดิษที่อะบูฮูรอยเราะห์ (ร.ด) ได้รายงานว่า ท่านนบี ( ซ. ล ) กล่าวว่า :

       ? ผู้ใดไม่สามารถฝืนการอาเจียนไว้ได้ ขณะที่เขาถือศิลอด เขาไม่จำเป็นต้องชดใช้ และหากเขาจงใจให้อาเจียน ให้เขาจงชดใชเถิด ? นำออกรายงานโดย อะบูดาวูด ( 2380 ) ติรมีซี ( 720 ) และท่านอื่น

       4.  ร่วมประเวณีโดยเจตนา :

       แม้ไม่ถึงขั้นหลั่งอสุจิก็ตาม หลักฐานในเรื่องนี้ คือดำรัสของอัลเลาะห์ ตาอาลาที่ว่า :

       ? ท่านทั้งหลายจงกินและจงดื่ม จนกว่าเส้นด้ายสีขาว จากเส้นด้ายสีดำ ของแสงอรุณจะปรากฏแก่พวกท่านจากนั้นให้พวกท่านจงถือศิลอดให้ครบถึงกลางคืนเถิด และท่านทั้งหลายอย่าสัมผัสพวกนาง ขณะพวกท่านเอียะตีกาฟอยู่ในมัสยิด ? ( อัลบากอเราะห์ 187 )

       คำที่ว่าเส้นด้ายขาว คือ แสงอรุณของเวลากลางวัน คำที่ว่าเส้นด้ายดำ ความมืดของเวลากลางคืน คำที่แสงอรุณขึ้น หมายถึง แสงอรุณที่ขอบฟ้าซึ่งเป็นสิ่งบ่งบอกว่าสิ้นสุดเวลากลางคืนและเริ่มเข้าสู่เวลากลางวัน คำที่ว่า และท่านทั้งหลายอย่าสัมผัสพวกนาง หมายถึงอย่าร่วมประเวณีกับพวกนาง

       ถ้าหากได้ร่วมประเวณีโดยลืมว่าตนถือศิลอด ไม่ทำให้เสียการถือศิลอด โดยเทียบเคียง ( กียาส ) กับการกินและการดื่มโดยลืม

10
สอง : อดกลั้นไม่กระทำสิ่งที่จะทำให้เสียการถือศิลอด :

       สิ่งที่ทำให้เสียการถือศิลอดมีหลายประการ :

       1.  การกิน การดื่ม :

       เมื่อเกิดจากเจตนา ไม่ว่าอาหารหรือเครื่องดื่มจะเล็กน้อยขนาดไหนก็ตาม ถ้าหากเขากินและดื่มโดยลืมไปว่าตัวเองถือศิลอด ไม่ว่าจะกินและดื่มมากขนาดไหนก็ตาม การถือศิลอดของเขาก็ไม่เสีย

       หลักฐานในเรื่องนี้ได้แก่ฮาดิษอะบูฮุรอยเราะห์ ( ร.ด ) ว่า ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ ( ซ.ล ) ได้กล่าวว่า :

       ? ผู้ใดลืมขณะที่ถือศิลอด และเขาได้กินหรือดื่ม ให้เขาจงถือศิลอดให้ตลอดเถิดเพราะแท้ที่จริงอัลเลาะห์เป็นผู้ให้อาหารและน้ำดื่มแก่เขา ? รายงานโดย มุสลิม ( 1155 ) และบุคอรี ( 1831 )

       2.  มีวัตถุเข้าไปถึงภายในจากทางทวารที่เปิด :

       คำที่ว่า วัตถุ หมายถึงสิ่งที่มองเห็นด้วยตา คำที่ว่าภายใน หมายถึง โพลงสมอง หรือลึกลงไปเกินลูกกระเดือกถึงกระเพาะและลำไส้
       คำที่ว่าทวารที่เปิด ได้แก่ ปาก รุหู รูทวารหน้า และทวารหลัง ทั้งผู้หญิง และผู้ชาย
       การหยอดหู ทำให้เสียการถือศิลอด เพราะหูเป็นทวารที่เปิด
       การหยอดตา ไม่ทำให้เสียการถือศิลอด เพราะตาไม่ใช่ทวารเปิด
       การสวนทวารหนัก ทำให้เสียการถือศิลอด เพราะรูทวารเปิด
       การฉีดยาเข้าเส้น ไม่ทำให้เสียการถือศิลอด เพราะเส้นไม่ใช่ทวารเปิด
       ทั้งนี้ โดยมีเงื่อนไขว่าต้องกระทำโดยเจตนา ถ้าหากกระทำโดยลืม ก็ไม่เกิดผลเสีย โดยเทียบเคียง ( กิยาส ) กับการกินและการดื่ม
หากแมลงวันหรือยุง หรือฝุ่นละอองตามทางเข้าไปถึงภายใน ก็ไม่เสียการถือศิลอดอีกเช่นกัน เพราะเป็นการยากลำบากที่จะป้องกันได้
การกลืนน้ำลายตนเอง ก็ไม่ทำให้เสียการถือศิลอด
       ถ้าหากกลืนน้ำลายที่มีนายิสปะปนอยู่ เช่นคนที่มีเลือดออกที่เหงือก และเขาไม่ได้ล้างปากให้สะอาด แม้น้ำลายจะขาวก็ตาม ทำให้เสียการถือศิลอด
       ถ้าหากบ้วนปากหรือสูดน้ำเข้าจมูกขณะอาบน้ำละหมาด น้ำที่บ้วนปากหรือที่ใช้สูดเข้าจมูกนั้นพลาดเข้าไปข้างใน ไม่ทำให้เสียการถือศิลอดถ้าหากเขาไม่ได้ทำให้น้ำเข้าปากหรือจมูกลึกเกินไปขณะบ้วนปากหรือสูดเข้าจมูก แต่ถ้าหากเขาปล่อยให้น้ำเข้าลึกเกินไปก็ทำให้เสียการถือศิลอด เพราะเขาได้กระทำสิ่งที่เป็นข้อห้ามไม่ให้กระทำขณะถือศิลอด
       ถ้าหากมีเศษอาหารติดอยู่ตามซอกฟัน และมันได้หลุดติดไปกับน้ำลายลงไปภายในโดยไม่ได้มีเจตนา ให้พิจารณาดังนี้ ถ้าเขาไม่สามารถแยกอาหารออกจากน้ำลาย และบ้วนอาหารทิ้งไปได้ ก็ไม่เสียการถือศิลอด เพราะสุดวิสัย และไม่เป็นผู้ประมาท และถ้าหากเขาสามารถแยกได้แต่ไม่ยอมแยกก็ถือว่า เสียการถือศิลอด เพราะเขาบกพร่องและประมาท
       ถ้าหากถูกบังคับ ให้กินและดื่มก็ไม่เสียการถือศิลอดอีกเช่นเดียวกัน เพราะกระทำไปโดยไม่สมัครใจ

11
รุกุ่น ( องค์ประกอบสำคัญ ) ของการถือศิลอด


       การถือศิลอดจะเกิดขึ้นได้ต้องมีองค์ประกอบสำคัญสองประการ คือ :

       หนึ่ง - ตั้งเจตนา ( เนียต ) :

       คือตั้งเจตนาทำการถือศิลอดด้วยหัวใจ การใช้แต่ปากกล่าวถ้อยคำยังถือว่าใช่ไม่ได้ และไม่มีเงื่อนไขว่าต้องใช้ปากกล่าวถ้อยคำที่จะใช้ตั้งเจตนา หลักฐานที่ว่าการตั้งเจตนาเป็นองค์ประกอบสำคัญได้แก่ ฮาดิษที่ท่านนบี ( ซ.ล ) กล่าวว่า :

       ?การกระทำต่างๆที่จะมีผลใช้ได้นั้นต้องมีการตั้งเจตนา ? รายงานโดย บุคอรี ( 1 ) และมุสลิม ( 1908 )

       ถ้าหากเป็นการตั้งเจตนาเพื่อการถือศิลอดในเดือนรอมาดอน จำต้องประกอบด้วยสิ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้ :

       1.  ต้องตั้งเจตนาในเวลากลางคืน :

       คือต้องมีการตั้งเจตนาในเวลากลางคืนก่อนแสงอรุณขึ้น ถ้าหากไม่ได้มีการตั้งเจตนาเอาไว้ในตอนกลางคืน เช่นมาตั้งเจตนาภายหลังแสงอรุณขึ้นแล้ว การตั้งเจตนาใช้ไม่ได้ และเมื่อการตั้งเจตนาใช่ไม่ได้ การถือศิลอดก็ใช่ไม่ได้

       หลักฐานในเรื่องดังกล่าวได้แก่ฮาดิษที่ท่านนบี ( ซ.ล ) กล่าวว่า :

      ? ผู้ใดไม่ได้ตั้งเจตนาทำการถือศิลอดเอาไว้ในเวลากลางคืน ก็ไม่มีการถือศิลอดสำหรับเขา? รายงานโดย ดารุกุตนี ( 2/172 ) ดารุกุตนี กล่าวว่า ผู้รายงานฮาดิษนี้เชื่อถือได้ และรายงานโดย บัยฮะกี ( 4/202 )

       2.  ต้องระบุเจาะจงให้แน่ชัด :

       โดยต้องระบุประเภทของการถือศิลอดให้ชัดเจน หากเป็นการถือศิลอดในเดือนรอมาดอนเขาก็ต้องตั้งเจตนาว่า ? ข้าพเจ้าตั้งใจถือศิลอดในวันพรุ่งนี้เป็นฟัรดูเดือนรอมาดอน ? ถ้าหากเขาตั้งเจตนาว่าเป็นการถือศิลอดเฉยๆ โดยไม่ระบุไปว่าเป็นการถือศิลอดเดือนรอมาดอน การตั้งเจตนาของเขาใช้ไม่ได้ เพราะฮาดิษ ที่ว่า :

       ? การกระทำต่างๆ ที่จะมีผลใช้ได้นั้นต้องมีการตั้งเจตนา ? ที่ได้กล่าวผ่านมาแล้ว ว่า :

       ? แต่ละคนจะได้รับสิ่งที่ตนตั้งเจตนาไว้ ? หมายความว่า การกระทำจะเป็นไปตามการตั้งเจตนาที่จะกระทำของเขา

       3.  ต้องตั้งเจตนาซ้ำ :

       หมายความว่าต้องมีการตั้งเจตนา ( เนียต ) ถือศิลอดทุกคืนก่อนแสงอรุณขึ้น สำหรับการถือศิลอดในวันถัดไป การตั้งเจตนาเพียงครั้งเดียว จะใช้กับการถือศิลอดตลอดทั้งเดือนไม่ได้ เพราะการถือศิลอดเดือนรอมาดอนไม่ใช่เป็นอีบาดะห์เดียว แต่เป็นหลายอีบาดะห์ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ตลอดเดือน ซึ่งแต่ละอีบาดะห์ ต้องมีเจตนาที่เป็นอิสระต่อกัน ( 1)

        ส่วนการถือศิลอดที่เป็นสุนัตนั้น ไม่ได้มีเงื่อนไขว่าต้องตั้งเจตนา ( เนียต ) ในเวลากลางคืน และไม่มีเงื่อนไขว่าต้องระบุเจาะจง ดังนั้นการตั้งเจตนาก่อนตะวันคล้อยโดยที่เขายังไม่ได้กระทำการใดๆที่ทำให้เสียศิลอดเลยตั้งแต่แสงอรุณขึ้น หรือตั้งเจตนาถือศิลอดเฉยๆ สำหรับการถือศิลอดที่เป็นสุนัต ถือว่ามีผลใช้ได้แล้ว

      หลักฐานในเรื่องนี้ได้แก่ฮาดิษอาอะชะห์ ( ร.ด ) ท่านนบี ( ซ .ล ) ได้กล่าวแก่เธอในวันหนึ่งว่า :

       ? พวกท่านมีอาหารเช้าไหม? อาอิชะห์ตอบว่า ไม่มี ท่านกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นฉันถือศิลอด ? รายงานโดย ดารุกุตนี

----------------
(1) อนุญาตให้ตามมัซฮับ มาลิกี ได้ในเรื่องการเหนียตถือศีลอดตลอดทั้งเดือน  โดยเนียตในคืนแรกครั้งเดียว  เพื่อป้องกันการลืมเหนียตทุก ๆ คืน (ผู้แปล)

12
ส่วนอุปสรรคที่ทำให้อนุญาตละศิลอดได้แก่ :

       1.  อาการป่วยที่จะทำให้เกิดอันตรายอย่างยิ่ง หรือเจ็บปวด หรือ ทรมานอย่างยิ่ง สำหรับอาการป่วย หรือ อาการเจ็บปวด ที่ทวีความรุนแรงขึ้นถึงขั้นกลัวว่าจะเสียชีวิต จำเป็นต้องละศิลอดทันที

       2.  การเดินทางไกลซึ่งที่มีระยะทางไม่น้อยกว่า 83 กิโลเมตร โดยมีเงื่อนไขว่าเป็นการเดินทางที่ศาสนาอนุญาต และการเดินทางนั้นใช้เวลาทั้งวัน

       ถ้าหากตอนเช้าเขาถือศิลอดอยู่กับบ้าน แล้วออกเดินทางในตอนกลางวัน ก็ไม่ยินยอมให้เขาละศิลอด

       หลักฐานในข้ออุปสรรคสองประการนี้ : ได้แก่คำดำรัสของอัลเลาะห์ ตาอาลา ที่ว่า :

       ? ผู้ใดป่วยหรืออยู่ในการเดินทาง ให้เขาชดใช้การถือศิลอดในวันอื่น ? ( อัลบากอเราะห์ 185 )

         3.  ไม่สามารถถือศิลอดได้ ผู้ที่ไม่สามารถทำการถือศิลอดได้ เพราะชราภาพ หรือป่วยเรื้อรัง หมดหวังที่จะหาย ไม่จำเป็นต้องถือศิลอด เพราะการถือศิลอดบังคับกับผู้ที่มีความสามารถเท่านั้น

       หลักฐานในเรื่องนี้ : ได้แก่คำดำรัสของอัลเลาะห์ ตาอาลา ที่ว่า :

       ? เหนือผู้ที่ไม่สามารถทำการถือศิลอดได้ จะต้องเสียค่าปรับเป็นอาหารมอบแก่คนยากจน ? ( อัลบากอเราะห์ 184 )

       บางกิรออะห์อ่าน ( ยุเตาวะกูนะฮู )  หมายความว่าพวกเขาถูกกำหนดให้ถือศิลอด แต่พวกเขาไม่สามารถปฏิบัติได้
อิบนุอับบาส ( ร.ด) กล่าวว่า คือชาย หญิงที่ชราภาพ ไม่สามารถถือศิลอดได้ ให้เขาจ่ายอาหารแก่คนยากจนแทนการถือศิลอดทุกวัน รายงานโดย บุคอรี ( 4235 )

13
เงื่อนไขที่ทำให้จำเป็นต้องถือศิลอด

และเงื่อนไขที่จะทำให้การถือศิลอดมีผลใช้ได้


       ผู้ที่ครบเงื่อนไขดังต่อไปนี้ คือผู้ที่จำเป็นต้องถือศิลอดเดือนรอมาดอน

       1.  อิสลาม :

       ดังนั้นการถือศิลอดจะไม่บังคับแก่ผู้ไร้ศรัทธา ( การเฟร ) หมายความว่าจะไม่ถูกเรียกร้องให้มาทำการถือศิลอดในดุนยานี้ เพราะเขาไม่ได้เข้าอยู่ในอิสลาม ตราบที่เขาไม่ได้เข้าอยู่ในอิสลามก็ไม่มีความหมายอะไรที่เขาจะถือศิลอด และไม่มีความหมายที่จะเรียกร้องให้เขามาถือศิลอด ส่วนในอาคีเราะห์นั้นผู้ไร้ศรัทธาจะต้องถูกลงโทษ

       2.  อยู่ในเกณฑ์บังคับขอศาสนา :

       หมายถึงเป็นมุสลิมที่บรรลุศาสนภาวะ มีสติปัญญาสมบูรณ์ ถ้าหากมีลักษณะไม่ครบสองประการนี้ เขาก็ไม่อยู่ในเกณฑ์บังคับ เมื่อไม่อยู่ในเกณฑ์บังคับของศาสนา เขาก็ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติหน้าที่ใดๆทางศาสนา

       หลักฐานในเรื่องดังกล่าว :

       ได้แก่ฮาดิษ อะลี ( ร.ด ) ที่รายงานจากท่านนบี ( ซ.ล ) ว่า :
       ? ปากกา ( การบังคับของศาสนา ) ได้ถูกยกออกจากสามคนนี้ คือคนนอนหลับจนกว่าจะตื่นนอน จากเด็กจนกว่าจะบรรลุศาสนภาวะ และจากคนบ้าจนกว่าจะได้สติ ? รายงานโดย อะบูดาวูด ( 4403 ) และบุคคลอื่น

       3.  ไม่มีอุปสรรคขัดขวางการถือศิลอด หรือไม่มีอุปสรรคที่ทำให้อนุญาตละศิลอด

       สำหรับอุปสรรคที่ขัดขวางการถือศิลอดได้แก่ :

       ก . มีเลือดประจำเดือน ( ฮัยด์ ) หรือ น้ำคาวปลาหลังการคลอดบุตร ( นิฟาส ) ในช่วงใดช่วงหนึ่ง ของเวลากลางวัน

       ข . เป็นลม สลบ หรือเป็นบ้าตลอดทั้งวัน ถ้าหากหายจากอาการดังกล่าว แม้เพียงครู่เดียวในเวลากลางวัน ถือว่าอุปสรรคดังกล่าวหายไป เขาจำเป็นต้องอดอาหาร ( อิมซาก ) ในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ของวันนั้น

14
       หลักที่ใช้ในการพิจารณาว่าเป็นเมืองที่ไกลกันก็คือมีมัตละอ์ ( ตำแหน่งขึ้นตกของดวงอาทิตย์ ) ต่างกัน

       หลักฐานในเรื่องดังกล่าว :

       ฮาดิษ ที่มุสลิม ( 1087 ) ได้รายงานจากกุรัยบ์ ว่า :

       ข้าพเจ้าได้เข้าสู่รอมาดอนขณะที่ข้าพเจ้าอยู่ในเมืองชาม ข้าพเจ้าเห็นเดืนเสี้ยวในคืนวันศุกร์ หลังจากนั้นข้าพเจ้าได้เดินทางมาที่เมืองมะดีนะห์ ในตอนปลายเดือนนั้น อิบนุอับบาส ( ร.ด ) ได้ถามข้าพเจ้าว่า พวกท่านเห็นเดือนเสี้ยวเมื่อไหร่? ข้าพเจ้าว่า พวกเราเห็นเดือนเสี้ยวในคืนวันศุกร์ เขาถามอีกว่า ท่านเห็นมันด้วยหรือ ข้าพเจ้าตอบว่า ถูกแล้ว และประชาชนก็เห็นมัน พวกเขาได้ถือศิลอด และมุอาวียะห์ ก็ได้ถือศิลอด เขากล่าวขึ้นว่า พวกเราเห็นมันคืนวันเสาร์ ดังนั้นเราจะต้อถือศิลอดเรื่อยไปจนกว่าจะครบสามสิบวัน หรือจนกว่าเราจะเห็นมัน ฉันถามว่า ท่านยังไม่พอหรือที่มุอาวียะห์เห็นและถือศิลอด เขาตอบว่า ไม่ ดังที่กล่าวนี้ ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ ( ซ.ล ) ได้ใช้พวกเรา .

       ผู้รู้กล่าวว่า : ในกรณีของชาวเมืองที่อยู่ไกล ที่ยังไม่จำเป็นต้องถือศิลอดนั้น ถ้าหากมีคนจากเมืองที่เห็น เดินทางไปยังเมืองที่อยู่ไกล ให้เขาถือศิลอดตามชามเมืองนั้น แม้ตัวเขาเองจะถือศิลอดครบสามสิบวันแล้วก็ตาม เพราะการที่เขาเดินทางไปยังเมืองนั้นทำให้เขากลายเป็นสมาชิกคนหนึ่งของเมืองนั้นไป ข้อบังคับที่ใช้อยู่กับชาวเมืองนั้นก็จะต้องนำมาใช้บังคับเขาด้วยเช่นกัน ส่วนคนที่เดินทางไปจากเมืองที่ยังไม่เห็นฮิลาล ไปยังเมืองที่เห็นฮิลาลกันแล้ว ให้เขาออกจากการถือศิลอดพร้อมกับชาวเมืองนั้น โดยไม่คำนึงว่าเขาจะถือศิลอดได้ยี่สิบแปดวัน เพราะเดือนนั้นอาจเป็นเดือนขาดที่มียี่สิบเก้าวัน หรือเขาถือศิลอดได้ยี่สิบเก้าวัน เพราะเดือนนั้นอาจเป็นเดือนเต็มที่มีสามสิบวัน ก็ตาม แต่ในกรณีที่เขาถือศิลอดได้เพียงยี่สิบแปดวันนั้นเขาจำเป็นต้องถือศิลอดชดใช้ ( กอดออ์ ) อีกหนึ่งวัน เพราะเขายังถือศิลอดไม่ครบเดือนทั้งนี้เพราะเดือนอาหรับจะไม่มียี่สิบแปดวัน อย่างน้อยต้องไม่ต่ำกว่ายี่สิบเก้าวัน และอย่างมากไม่เกินสามสิบวัน

       คนหนึ่งออกเดินทางจากเมืองที่กำลังเป็นอีด ไปยังเมืองหนึ่งอยู่ห่างไกลและชาวเมืองกำลังถือศิลอดกัน เขาจำเป็นต้องอดอาหาร ( อิมซาก ) ตลอดวันนั้น เพื่อให้สอดคล้องกับชาวเมืองนั้น

15
การเข้าสู่เดือนรอมาดอน


       จะเข้าสู่เดือนรอมาดอน ด้วยประการหนึ่งจากสองประการดังต่อไปนี้ :

       หนึ่ง : เห็นหิลาล ( ดวงจันทร์เสี้ยว ) ในเวลากลางคืนของวันที่สามสิบ ( หมายถึงวันที่ยี่สิบเก้าค่ำลง ) ของเดือนชะบาน ทั้งนี้โดยมีพยานที่มีคุณธรรมหนึ่งคนมายืนยันต่อหน้ากอดี ว่าตนได้เห็นดวงจันทร์เสี้ยวแล้ว

       สอง : ครบเดือนชะบานสามสิบวัน ในกรณีที่เห็นดวงจันทร์เสี้ยวได้ลำบากเพราะมีเมฆบดบังหรือไม่มีพยานทีมีคุณธรรมมาให้การยืนยันว่าตนได้เห็นเดือนเสี้ยวแล้ว ดังนั้นให้ปล่อยเดือนชะบานไปจนครบสามสิบวัน เพราะถือว่าเป็นต้นเดิมเมื่อไม่มีอะไรมาโต้แย้งเป็นอย่างอื่น

       หลักฐานในทั้งสองประการนี้ : ได้แก่คำของท่านนบี ( ซ.ล ) ที่ว่า :

       ? ท่านทั้งหลายจงถือศิลอดเพราะเห็นเดือนเสี้ยว และจงละศิลอดเพราะเห็นเดือนเสี้ยว ดังนั้นถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนชะบานให้ครบสามสิบวันเถิด ? รายงานโดยบุคอรี ( 1810 ) และมุสลิม ( 1080 )

       ? เล่าจากอิบนิอับบาส ( ร.ด ) ได้กล่าวว่า มีชาวอาหรับจากชนบทคนหนึ่งมาหาท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ ( ซ.ล ) แล้วพูดขึ้นว่า แท้จริงฉันเห็นเดือนเสี้ยวของรอมาดอน ท่านกล่าวว่า เจ้าจะปฏิญาณได้ไหมว่าไม่พระเจ้าที่ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้นอกจากอัลเลาะห์ เท่านั้น เขาตอบว่า ครับ ท่านกล่าวอีกว่า เจ้าจะปฏิญาณได้ไหมว่า มุฮำหมัดเป็นศาสนทูตของอัลเลาะห์ เขาตอบว่าได้ครับ ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ จึงกล่าวขึ้นว่า บิลานเอ๋ย เจ้าจงประกาศให้ประชาชนทราบเถิดว่า พวกเขาจงถือศิลอดในวันพรุ่งนี้ ? อิบนุฮิบบานกล่าวว่าเป็นฮาดิษซอเฮียะฮ์ ( มะวาริด ซอมอาน 870 ) และฮากิม ( 1/ 424 )

       เมื่อเห็นเดือนเสี้ยวในเมืองหนึ่งชาวเมืองใกล้เคียงจำเป็นต้องถือศิลอดตามชาวเมืองในเมืองที่เห็นด้วย แต่ชาวเมืองที่ห่างไกลกันไม่จำเป็นต้องถือศิลอดตาม เพราะเมืองที่ใกล้กัน เช่น ดามัสกัด ฮิมด์ และฮะลับ มีสภาพเหมือนเป็นเมืองเดียวกัน ซึ่งไม่เหมือนกับเมืองที่ไกลๆ กัน เช่น ดามัสกัด ไคโร และมักกะห์

หน้า: [1] 2