แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - อัล-อุม

หน้า: [1] 2 3 ... 7
1
นั้นซิว่าทำไมขี้นายสับสนจึงเหม็นจริงคงเป็นเพระว่า  อากีดะที่สับสนของวาฮาบีนี่เอง    ขี้วาฮาบีจึงเหม็น


ประวัติวาอาบี           คร่าวๆ

กลุ่มวะฮาบีย์สุดโต่ง หรือซาละฟียูนสุดขอบก็ยังโจมตีพี่น้องมุสลิมทั้งซุนหนี่และชีอะห์เหมือนเดิม กล่าวหาว่า คนอื่น

ชนกลุ่มอื่น บิดอะห์ ฎอลาละห์ เป็นชาวนรกหมด ยกเว้นพวกวะฮาบีย์


ทั้งๆ ที่วะฮาบีย์อ้างการฟื้นฟูศาสนา
แต่กระทำการบิดอะห์ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในอิสลาม นั่นก็คือ สถาปนาราชวงศ์ ซาอู๊ด เป็นผู้ครองครองฮารอมัยน์(มักกะห์-มะดีน
ะห์)
ทั้งๆที่สถานที่แห่งนี้เป็นของชาวมุสลิมทั้งโลก แต่พวกวะฮาบีย์ก็ยึดครอง สถาปนาตนเองเป็นกษัตริย์ โดยการร่วมมือกับอังกฤษ(

ลอเรนซ์ อ๊อฟ อารเบีย) สถาปนาระบบกษัตย์ขึ้นมาในแผ่นดินอันศักดิ์สิทธิ์ แล้วให้อเมริกามาคุ้มครองแผ่นดินของพระผู้เป็นเจ้า

ผมจะบอกให้รู้ว่า...ถ้าการสถาปนาระบอบกษัตริย์เป็นสิ่งดีงามแล้วละก็
ท่านรอซูลคงจะต้องสถาปนาราชวงศ์บนีฮาชิมขึ้นมาแล้ว ไม่ต้องรอให้จอมโจรเบดูอิน อย่างเช่นอิบนุซาอู๊ด มาสถาปนาหรอก

นี่คือบิดอะห์ และฟิตนะห์อันยิ่งใหญ่ของพวกวะฮาบีย์ที่ได้กระทำต่อมวลมุสลิม
คือรับอาวุธมาจากรัฐบาลอังกฤษ แล้วต่อสู้บ่อนทำลายอาณาจักรอุษมานนียะห์(อ๊อตโตมาน) เข้าปล้นสดมทำลายผู้ว่าการรัฐภายใต้การปกครองของอุษมานียะห์
โดยกล่าวหาว่า คนพวกนี้อุตริ หลงผิด แล้วก็ทำการเข้าปล้นสะดม ยึดทรัพย์สิน ยึดอำนาจ
เพราะไม่พอใจที่พวกอุษมานียะห์ เป็นพวสกเติร์คไม่ไช่อาหรับ
ปัจจุบัน เครื่องบินเอเวคในประเทศซาอุดี้อาระเบีย ทหารอเมริกาเป็นคนขับ ไม่ใช่คนซาอุฯ
ทหารอเมริกาอยู่ในซาอุดี้อาระเบีย มีถึงแปดหมื่นคน บางข่าวบอกว่ามีถึงสองแสนคน (มีเรื่องอะไรมากมายเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไว้ว่างๆ จะมาถ่ายทอดหรือแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันใหม่อีกครั้ง)
อยากจะถามพี่น้องวะฮาบีย์ ที่ชอบโจมตีคนอื่นว่าเป็นนั้นเป็นนี่ ตัวเองมีความรู้เรื่องศาสนา ประวัติศาสตร์ของอิสลามมากแค่ไหน
ว่า...
หลังจากท่านรอซูลถึงแก่อสัญกรรม ก็มีการเลือกตั้งคอลีฟะห์
อบูบักรได้รับเลือกตั้งเป็นคอลีฟะห์
ก่อนท่านอบูบักร(ร.ฎ.)วายชนม์ ก็ได้แต่งตั้งท่านท่านอุมัรฺ(ร.ฎ.) เป็นคอลีฟะห์สืบต่อจากท่านอบูบักร
หลังจากท่ายอุมัรฺ ถูกอบูลุอฺลุอฺฆ่าตาย
ก็มีการชูรอ เลือกคอลีฟะห์ อุษมานก็ได้ถูกเลือก หลังนั้นอุษมานก็ถูกฆ่าตาย(คนฆ่าอุษมาน นี่ก็เป็นมุสลิมร่วมสมัยกับท่าน)
หลังจากอุษมานตาย อาลีก็ได้เป็นคอลีฟะห์ จากนั้นอาลีก็ถูกลอบฆ่าตาย
มีการรบพุ่งกันระหว่างอาลีกับมุอาวียะห์ อาลีถูกทรยศและถอดออกจากตำแหน่ง และถูกฆ่าตาย
มุอาวียะห์ก็ตั้งตนเป็นคอลีฟะห์ ที่ซีเรีย ฮาซันก็ตั้งตัวเป็นคอลีฟะห์สืบต่อจากท่านอาลี
ในที่สุดฮาซันก็ถูกฆ่าตาย(โดนวางยาพิษจากผู้หญิงคนหนึ่ง)
เมื่อมุอาวียะห์ใกล้สิ้นชีวิตลง มุอาวียะห์ก็เริ่มแต่งตั้งยาซีด (คนเสเพล ขี้เมา) เป็นคอลีฟะห์ สืบต่อ และต่อมาก็สถาปนาราชวงศ์อุมมัยยะห์(นี่คือการเริ่มบิดอะห์ครั้งแรกของยาซีด เพราะรอซูลไม่ได้ตั้งราชวงศ์) ที่เป็นเหตุที่ชาวมุสลิมส่วนใหญ่ไม่ยอมรับการเป็นคอลีฟะห์คนที่ ๕-๖ และคนต่อๆ ไป จึงนับคอลีฟะห์เพียงแค่ ๔ ท่าน คือยุคคอลีฟะห์รอชีดีน
เมื่อยะซีดได้รับการตั้งตั้งเป็นคอลีฟะห์
ก็ได้บังคับให้หุเซนมายอมรับการเป็นคอลีฟะห์ เมื่อหุเซน บินอาลี หลานของท่านรอซูลไม่ยอมรับ
หุเซนก็ถูกฆ่าตัดคอที่ทุ่งกัรฺบาลา ลูกหลานของท่านรอซูลของอัลลอฮฺถูกสังหารโหดที่นี่ถึง 16 คน(รวมทั้งอาลีอัซการ์ อายุ 6 เดือนที่เป็นลูกของหุเซน) ซอฮาบะห์ของท่านนบี ถูกกองทัพของอุบัยดิลลาห์ อิบนิ ซิยาต ฆ่าตายที่ทุ่งสังหารแห่งนี้ถึง 56 คน
หลังจากนั้นมุสลิมก็รบราฆ่าฟันกันเองมาตลอด จนสุดท้ายอาณาจักรอิสลาที่ยิ่งใหญ่เช่น อาณาจักรอุสมานียะห์ ก็ถูกท่านมุฮัมมัด อิบนิวาฮับ และมุฮัมมัด อิบนิ ซาอู๊ด โค่นลง ด้วยการสนั
บสนุนของรัฐบาลอังกฤษ
นี้คือที่มาของราชวงศ์ซาอุดี้ และ กลุ่มซาลาฟียูนหรือวะฮาบีย์

2
ผมเองก็ชงดื่มครับแต่เป็นเนสคาแฟที่มีนางแบนออกมาโชว์ใส่กางเกงยีนนะครับอยากทราบ   มีผสเสียหรือไม่ เพราะสกัดมาจากกาแฟสดต้านอนุมูลอิสสระและมีใยอาหาร30006มิลลิกรัมมากกว่ากาแฟของบ.เนจันเกิฟทีมีใยอาหารเเค่200เท่านั้นและมีคาเฟอีนตั้ง22%


ใครพอจะรู้รายละเอียดบ้าง.................แบบว่าดื่มก่อนอาหารประมาณ10นาที   ถ่ายสะดวกครับไม่เชื่อลองดูได้อิๆๆตอนแรก                    60ตอนนีเหลือ 55กกแล้ว     boulay:

3
อ้างถึง
แล้วผมก็สงสัยอยู่ว่า คุณๆจะไปยุ่งทำไมกับเรื่องเขากับพ่อแม่ของเขาหล่ะครับ ไม่เข้าใจจริงๆ ไม่มีเรื่องดีๆที่มีสาระมาพูดคุยกันแล้วหรอครับ อ.อัซฮารี หรือพี่น้องบางท่านก็พูดในประเด็นดีอยู่แล้ว แต่ก็ยังไม่วายมีบางคนนั่นแหล่ะครับ ฝากผู้ใหญ่ในนี้นาซีฮัตด้วย...

ผมก็ยิ่งสัย           บังQolbunSaleemว่าเข้ามายุ่งอันหยังละครับคู่กรณีมีแค่4ท่าน ผม  นายวาฮาบ้า  นายอิลฮามและนายสับสน     เท่านั้น  นายสับสนสร้างเรื่องไว้มากผมต้องเข้ามชำระสิ่งที่นายสับสนฟิตนะเอาไว้



สับสนนำเอาเรื่องปัจจุบันมาเล่าทมำไมผมพูดถึงเรื่องอดีต    ผมเองอยู่ภูเก็ตแลพอรู้จักนายสับสนพอควร  อย่าให้บอกเลยว่านายอยู่หมู่บ้านอะไรเดียวหาว่านินทาอีก   เอาเป็นว่าผมมีข้อมูลทั้งดิบและก็สุขพอๆกัน

สับสนบอกเองในกระทู้เก่าว่าบุพารีเคืองสับสนที่รับเอาลัทธิวาฮาบีมาดำเนินชีวิต  ทั้งบ้านมีสับสนคนเดียวที่พิเรนกว่าเพื่อน    จริงไหมครับ    บอกความจริงมา     เกือบ100เปอร์เซนที่ไม่ใช่วาฮาบี   นี่แหละสาเหตุ  ส่วนเรื่องความผูกพันหรือการกตัญญูพ่อแม่นั้น  เรื่องนี่มันปกติออยู่แล้ว    ไม่จำเป็นต้องสาธยาย     

แต่ที่แน่ๆ  สับสนอยู่ที่บ้านไม่ได้  ก็เพราะแนวทางต่างกันใช่ป้าว      ยอมรับหรือไม่นิ loveit:

4
อ้างถึง
แต่หากที่มีการพูดคุยกันนักกันหนาว่า เป็นอย่างนั้นอย่างนู้นอย่างนี้ ด้วยสาเหตุนั้น ๆ ก็อย่าไปรวมตัวของมหาวิทยาลัยฯ เพราะมหาวิทยาลัยฯไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วย แต่อยู่ที่ตัวของบุคคลบางท่านบางคนเท่านั้น

ถ้าหากว่า ใครที่คิดจะมาเรียนรู้และศึกษาเล่าเรียน เพื่อวิชาความรู้และประสบการณ์แบบจริง ๆ โดยไม่คิดอคติใด ๆ เพราะหากว่า หมกหมุ่นที่จะกลัว หรือมีอาการอคติ(ไม่ชอบ)สิ่งเหล่านั้นอยู่ ก็คงไม่ได้เรียนรู้หรือศึกษาหาวิชากันแล้วล่ะ

ไม่รู้ล่ะเด็กบ้านผมไปเรียนที่นั้นแหละครับกลับมาถึงอ้างอุสตาสนั้นตาสนี้ว่าที่ผ่านมาทำไม่ได้เช่นกุหนูตซุบฮิ หรือยกมือขอดุอาอีกมายมายที่เกิดจากความขัดแย้งทางฟิกฮ์เพราะไม่ยึดมัสหับหนึ่งมัสหับใดในเรื่องอากีดะน้องเขาบอกว่าอายะมุตาชาบีฮาตนั้นสามารถตัฟซีรให้รู้ถึงความหมายได้ในซีฟัตที่อัลลออ?ทรงพรรณาไว้ในคัมภีของพระองค์  เพราะเขาว่าอัลกรุอ่านว่าอย่างไรเช่นอัลเลาะมีพระพักตร์ก็ต้อมีพระพักตร์แต่เป็นอย่างไรไม่รู้   

นี่คือความแตกต่างทั้งด้านฟิกฮ์และอากีดะส่วนตะเวฟนั้นเขาศึกษาแค่จรรยามารยาทมุสลิมเท่านั้น

5
ผมตั้งใจจะขยำตรงนั้นจริงๆครับน้อง อิลฮามมันตับไตไส้พุงวาฮาบีมานานแล้วครับอิๆๆๆ happy2:

6
ที่แน่ๆบางทีฟิกฮ์ที่ถูกต้องอาจจะไม่ได้จากสถาบันนี้ดีไม่ดีเสียอากีดะด้วยเพราะวาฮาบีเยอะครับ loveit:

7



อ้างถึง
    Re: อิมามทั้งสี่ของมัซฮับวะฮาบีย์
« ตอบ #10 เมื่อ: ม.ค. 25, 10, 12:01 pm » อ้างถึง 

--------------------------------------------------------------------------------
อ้างจาก: wahaba ที่ ม.ค. 25, 10, 11:01 am
คนที่ถูกพ่อแม่ตัวเองสาปแช่ง ก็มักจะสับสน อย่างนี่แล


รู้ได้ไงละคะว่า ถูกพ่อแม่เขาสาปแช่ง
 
                             


คุณwahabaพูดถูกครับ  คุณสับสนถูกพ่อแม่สาบแช่งและด่าว่าจิงๆครับ ผมเองก็เคยเจอกระทู้เก่าๆนะครับ สับสนบอกว่า  แม่เขาโกรธมากเมื่อรู้ว่าตนเองรับเอาลัทธิของวาฮาบีมาดำเนินชีวิต เพราะมันหมายถึงว่า อากีดะของสับสนก็กลายเป็นอากีดะแบบบิดอะ คล้ายกับพวกอัลกอรมียะ และพวกมัวตะซีละ หรือคล้ายๆกับพวกยิวประมาณนั้นจริงๆครับ

8
ผมคนหนึ่งเห็นด้วยครับและจะเป็นคนหนึ่งที่จะร่วมขยำวาฮาบีที่มันหลุดคอกมาครับ hihi:

9
ใส่ไคล้อย่างไรบ้างหรือ ช่วยนำเสนอเป็นข้อๆจะได่ไหมครับ      party:

10
ไขปัญหาศาสนา : มัซฮับทั้งสี่ – มัซฮับไหนถูกต้องที่สุด ?
มัซฮับทั้งสี่ – มัซฮับไหนถูกต้องที่สุด ?



คำถาม: มัซฮับทั้งสี่มัซฮับไหนที่ถูกต้องที่สุดในบรรทัดฐานของอัล-กุรอานและฮะดีษเศาะฮีฮฺ?

คำตอบ: ตราบที่มุสลิมคนหนึ่งได้ปฏิบัติตามหลักฐานและต้องการจะปฏิบัติตามซุนนะฮฺที่ ถูกต้อง ก็ไม่เป็นพิษเป็นภัยแต่อย่างไรที่จะตามอิหม่ามคนใดก็ได้ที่แสดงฟิกฮฺไปตาม กฎเกณฑ์

- กรณีมุสลิมทั่วไปที่ไม่ได้รับการศึกษาในทางฟิกฮฺมา(คือต้องอาศัยผู้รู้-ผู้ แปล) มัซฮับของเขาคือมัซฮับของมุฟตี(ผู้ทำหน้าที่ชี้ขาดปัญหาศาสนา)ที่มีความรู้ ที่เขาเชื่อถือ

                 อย่าง ไรก็ตามปัญหาของเรื่องนี้ก็คือ รูปแบบที่เลวร้ายที่เกิดขึ้น เมื่อผู้คนกลายเป็นผู้ที่อุทิศตนตามอิหม่ามคนใด คนหนึ่งหรือมัซฮับใดมัซฮับหนึ่งอย่างคลั่งไคล้ ถึงระดับที่ว่าพวกเขาจะปฏิเสธความจริงหรือไม่รับรู้หลักฐานที่ถูกต้องได้อีก เนื่องจากสาเหตุนี้

                อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮุ วะ ตะอาลา ได้เตือนต่อการปฏิเสธถ้อยคำของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ไว้ว่า

พวกเจ้าอย่าทำให้การร้องเรียกของเราะซูลในหมู่พวกเจ้า เป็นเช่นเดียวกับการร้องเรียกในระหว่างพวกเจ้าด้วยกันเอง แน่นอน อัลลอฮฺทรงรู้บรรดาผู้ที่แอบหลีกออกไปในหมู่พวกเจ้า

ดังนั้น บรรดาผู้ที่ฝ่าฝืนคำสั่งของเขา(มุฮัมมัด) จงระวังตัวเถิดว่า เคราะห์กรรมจะเกิดขึ้นแก่พวกเขา หรือว่าการลงโทษอันเจ็บปวดจะเกิดขึ้นแก่พวกเขาเช่นกัน (อัล กุรอาน 24:63
 
 
 
ตอบคำถามโดย ชัยคฺ มุฮัมมัด ศอลิหฺ อัล มุนัจญิด
อบู ชุเราะห์บีล แปลและเรียบเรียง
                 


ผมว่าเชคแกตอบแบบไม่เคลียร์นะครับ   คำถามๆว่ามัสหับไหนถูกต้อง   เชคตอบว่า    มัสหับทั้ง4ไม่ถูกต้องงั้นๆและ  แต่อำพรางว่า  มัสหับวาฮาบีถูกต้องกว่า4มัสหับประมาณนั้นนะ  พี่น้องว่าจริงไหม

ขอเป็นความเห็นเพื่อวิจาร์บทความนี้เท่านนั้นนะครับ                         hehe



11
จริงๆผมไม่ได้ว่าคุณสับสนเลยนะแต่บางครั้งพี่น้องมักจะถามตัวเองโดยมักแย้งกับความจริงตลอดว่าเขาไม่เป็นวาฮาบี

ปัญหาคีลาฟเรื่องฟิกฮ์นั้นมันหลากหลายเรื่องการซอลาวัตต่อท่านนบีนั้นมีใช้ในหลักกว้างของนิติศาสตร์อิสลาม     อุลามะส่วนมากไม่ละทิ้งทุกอายะที่มาากอัลลอฮ์ฉนั้นการซอลาวัตหลังละหมาดนั้นไม่มีข้อห้ามและไม่พบข้อบ่งชี้ว่าฮารอมเลย    แต่มีแต่วาฮาบีเท่านั้นฮุกมว่าบิดอะ  โดยตัดหลักการที่ข้อบัญญัติของฟิกฮ์ในสิ่งที่เป็นมุบาห์ออกไป      แล้วนำโลโก้บอกชาวบ้านว่าพวกมีมัสหับนั้นไม่ยึดท่าสนนบีแต่ไปยึดทัศนะของอีม่าม     



ปัญหามันเลยเกิดขึ้นถึงณ.วันนี้                                                 boulay:

12
อ้างถึง
เเต่ส่วนพี่น้อง ilham หรือ ท่านอื่นๆที่บอกว่า ผมเป็นพวกวะฮาบีเนียนๆอะไรนั้น
ผมไม่ว่าอะไรหรอกคับ จะไม่โต้อะไรทั้งสิ้น
เพราะผมก็ไม่รู้ซะด้วยซ้ำว่า วะฮาบีชั่วๆตามที่พี่น้องบอกนั้น มันมีตัวตนจริง
เเละผมก้ไม่รู้อะไรมากด้วย

เเต่อย่างหนึ่งที่ผมได้รู้ตอนนี้ก็คือ
พวกเราทะเลาะกัน
เเละด่าว่ากัน วะฮาบง วะฮาบี ซะจนไม่รู้ว่าอะไรจริงอะไรเท็จเเล้ว
เพราะฝ่ายที่ถูกหาว่าวะฮาบีก็เอาเเต่ยกหลักฐานมา เเล้วก็โต้ๆ
อีกฝั่งก็โต้กลับ เเล้วบอกว่าวะฮาบีเเย่ยังงู้นยังงี้
เเต่เป็นวิธีโต้ ที่ไม่เป็นในเเบบพี่น้องกันเลย ตกลงพวกเราเป็นอะไรกันเเน่

ผมเเค่งงนิดหน่อย ที่ต้องมาเจอบรรยากาศเเบบนี้
ผมไม่โต้ เเละ ไม่ว่าอะไรทั้งนั้น
เชิญพี่น้องใส่ผมเลยล่ะกัน ว่าจะให้เปนวะฮาบี ฮาบี อะไร หรือ ยังไงก้ตามเลมเต่ วัลลอฮอะ
ลัม


บางครั้งก็น่าเห็นใจพี่น้องบางท่านที่เข้ามาศึกษาเวปแห่งนี้ โดยเขามีความจริงใจในการค้นคว้าข้อมูลซึ่งแตกต่างกับบางคนที่เข้ามาเพื่อก่อกวนอย่างเดียว

กรณีที่ตนเองไม่รู้ว่าตัวเองได้หลงไปในแนวทางวาฮาบีนั้นเป็นสิ่งที่น่าเห็นใจกับพี่น้องเราบางคนโดยเฉพาะแนวทางวาฮาบีจริงๆแล้วเวปแห่งนี้มีข้วอมูลมากมายที่จะให้คำตอบกับจุดยืนของวาฮาบีว่าตัวเองอยู่ในหมู่คณะนั้นหรือไม่  ตัวอย่างที่ชัดเจน   ในเรื่องของอากีดะระหว่างอากีดะอะลิสซุนนะฯ(อาชาอีเราะ)กับอะลิสซุนนะฯ(วาฮาบี)นั้นมีความแตกต่างกันอยู่แล้วและชัดเจนด้วย

เช่น  หากผู้ทีถามตนเองว่าอยู่ในแนวทางใดกันแน่ก็จงโปรดดูบทสรุปเรื่องอากีดะของท่านข้างล่างนี้และถ้าหากว่าท่านมีอากีดะตรงกับข้อใดแน่นอนนั้นแหละคือคำตอบของท่านที่จะให้ท่านสรุปตัวเองในความสงสัยกับจุดยืนของท่านได้                                         

              1. อะลิสซุนนะทั้งมัสหับทั้ง4มีทั้งอัลมุตูดีรยะซึ่งใช้ฟิกฮ์ของฮาบูฮานีฟะและกลุ่มอะลุ้ลฮาดิสของอีม่ามอะหมัดและกล่มของมาลียะและอัลอะชาอิเราะฮ์ เขาเหล่านั้นต่างมีความเชื่อและกล่าวว่า บรรดาซีฟาตที่มุตะชาบิฮาตสำหรับเรานั้น ก็ให้ทำการมอบหมายความหมายและวิธีการ

2. ส่วนแนวทางวะฮาบีย์ กล่าวว่า บรรดาซีฟาตที่มุตะชาบิฮาตสำหรับเขานั้น พวกเขารู้ความหมายของมัน แต่ไม่รู้วิธีการ (ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของพวกอัลมุญัสสิมะฮ์  ไม่ใช่สะละฟุศศอลิหฺ)                           

ประเด็นต่อมาคือ   ถ้าหากว่าผู้ที่ยังไม่รู้ว่าตนเองเป็นวาฮาบีหรือไม่ ก็ลองดูสิ่งที่นำมาจากหนังสือเล่มดังกล่าวที่อุลามะซาอุดี้ที่เป็นวาฮาบีเข้าใจแบบนี้จริงๆแล้วตัวท่านเข้าใจอย่างนี้หรือไม่

คืออัลลามาอ์วะฮาลีย์  นาม มุฮัมมัด ค่อลีล ฮัรร๊อซ ได้กล่าวอธิบายในหนังสือ (อะกีดะฮ์) อัลวาซิฏียะฮ์  ของอิบนุตัยมียะฮ์ว่า  หน้า 67 ตีพิมพ์ดารุลอัรกอม ว่า
كيف يتأتى حمل اليد على القدرة أو النعمة مع ما ورد من إثبات الكف والأصابع واليمين والشمال والقبض والبسط وغير ذلك مما لا يكون إلا لليد الحقيقية

"จะทำการตีความ มือ(ของอัลเลาะฮ์) อยู่บน(ความหมาย)อำนาจและการให้ความโปรดปรานได้อย่างไร  ทั่งที่พร้อมกับมีสิ่งที่รายงานมาจากการยืนยันเรื่องฝ่ามือ(ของอัลเลาะฮ์) , บรรดานิ้วมือ(ของอัลเลาะฮ์) , มือขวา(ของอัลเลาะฮ์) , มือซ้าย(ของอัลเลาะฮ์) , การกำ , การแผ่(แบมือ) และอื่น ๆ จากดังกล่าว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ย่อมไม่เป็นอื่นใดนอกจากให้กับมือจริง ๆ"


ถ้าหากท่านเชื่อตามอิม่ามอิบนุตัยมียะอธิบายแบบนี้  ก็สามารถสรุปตัวเองได้เลย  ท่านมีอากีดะว่าอัลลออ์มีรูปร่างเช่นเดียวกับอากีดะของพวกมุญัสิมะ กอดมียะและพวกยิวพวกคริสต์ไม่ใช่อากีดัอะลิสซุนนะแน่นอน                               

และถ้าหากตัวคุณ เชื่อว่า  ถ้อยคำคุณลักษณะของอัลเลาะฮ์นั้น  มีความหมายเชิงภาษาแบบฮะกีกัต  หมายถึง  ใช้คำแท้ในเชิงภาษา  เราก็ขอถามว่า  เราจะทราบได้อย่างไรว่า  ถ้อยคำนั้นมีความหมายในเชิงภาษาอย่างไร?  ซึ่งย่อมหลีกเลี่ยงไม่พ้นว่า  เราต้องหวนกลับไปดู  ความหมาย  จากปทานุกรมที่นักปราชญ์อาหรับได้อธิบายความหมายนั้นไว้ในเชิงภาษาที่พวกเขาใช้กัน

ซึ่งหากเรากลับไปดู  เราจะพบว่า  อาหรับ จะให้ความหมายฮะกีกัต(คำแท้)ของคำว่า "มือ" นั้น คือ  "อวัยวะหนึ่งของร่างกายที่มีส่วนนิ้วและฝ่ามือ"  เพราะหากอาหรับคนใดให้ความหมายอื่นจากนี้ "ถือว่าตีความ(ตะวีล)คำว่า(มือ)อย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น"  แต่กลุ่มวะฮาบีย์ไม่ยอมตีความ  เมื่อเป็นเช่นนี้  ดังนั้น เราก็สามารถสรุปหลักความเชื่อของวะฮาบีย์ที่เกี่ยวกับคุณลักษณะของอัลเลาะฮ์ได้ว่า   "มือของอัลเลาะฮ์" นั้น  คือ  "คุณลักษณะอวัยวะหนึ่งของรูปร่างตัวตนของพระองค์ที่ประกอบด้วยนิ้วและฝ่ามือ แต่ไม่คล้ายกับมัคโลค" !!   ซึ่งผมขอยืนยันครับว่า  แบบนี้ไม่ใช่แนวทางของสะละฟุศศอลิหฺ   แต่เป็นแนวทางของวาฮาบีที่แอบอ้างว่ามีอากีดะแบบสลัฟ     และนั้นหมายถึงว่า   คุณกำลังจะโนหลอกหรือโดนหลอกซะแล้ว


ในเรื่อง   สื่อที่เป็นวาฮาบีก็ชัดเจน ทั้งต่างประเทศและในปณะเทศระหว่างวาฮาบีกับมัสหับทั้ง4 ไม่ว่า  อินโด มาเลปากี   ซาอุฯ เมืองไทยถ้าเป็นทีวี ก็ช่องอจ.บรรจง   โซะมณี  ที่มักจะอ้างในเรื่องฟิกฮ์ว่า ตามเฉพาะกีตาบบุลลอ์และซุนนะยบีก็พอ   โดยรณรงค์ให้ทีทิ้งการที่อีม่ามทั้ง4ทำการวินิจฉัยตัวบทจากกีตาบุลลอฮ์และซุนนะบีอย่างแข็งขันถ้าเป็นเวปไซด์ที่ชัดเจนคือ เวป มุรีด เวปมรดกของฟาริด เวปของเชคริดอเวปอัชซุนนะและอีกหลายเวปที่ไม่ชัดเจน                       
และในเรื่องฟิกฮ์เช่นกัน  พวกวาฮาบีจะต่อต้านไม่ให้รับทัศนะหนึ่งทัศนะใดและอนุญาตให้คละมัสหับตามความพอใจและละทิ้งอุลามะบางคนที่ตนเห็นว่าขัดแย้งและจะตักลีดตามาอุลามะที่ตนพอใจหากคุณเป็นเช่นนี้ก็จงรู้ตัวว่าคุณเป็นวาฮาบีแหง  มีอีกมายมายที่แสดงความเป็นวาฮาบีเช่นต่อต้าน พวกซุฟี   พวกตอรีกั  ต   พวกดาวะเหล่านี้คือองค์ประกอบหลักๆของวาฮาบี


ดังนั้นท่านผู้ที่ถามว่าตนเองไม่รุ้ว่าเป็นวาฮาบีหรือไม่ ที่ผมนำมาคร่าวๆนี้ก็พอจะแยกตัวเองได้ชัดเจนยิ่งขึ้นได้บ้างนะครับ


วัลลอฮูอะลาม

13
ไม่มีชาวซุนนะคนใดที่ขัดแย้งกันในเรื่องของอากีดะ  นอกจาก ชีอะ  อาชาอีรอฮ  มั๊วตาซิลลาฮ และกาเฟร

ผมให้เวลา al-azhary  3ปี ไปหาหลักฐานว่าชาวสลัฟเขาเคยขัดแย้งกันเรื่องอากีดะ
 
               

ผมเองให้เวลาคุณสับสนสักกี่ปีก็ได้ว่า  คุณช่วยไปหาหลักฐานให้ผมทีว่า    มีสลัฟคนไหนบ้างที่ยืนยันว่า อัลลออ์ทรงประทับบนบรรลังค์และมีรูปร่างและตัวตนเหมือรอากีดะของพวกยิวในขณะเดียวกันก็อยากถามต่อว่า

ในช่วงที่มัสหับทั้ง4สมบูรณ์แล้วนั้น  ในสมัยสลัฟ300ปี มีใครไหนบ้างที่ไม่สังกัดมัสหับ   และมีทัศนะเดียวกับวาฮาบีในช่วงนั้น
 
[/color]

14
ใช่ครับ ครั้งนั้น ผมจำได้ว่า มีบังอัลฯบังนูรู้ลอิสลามเข้าร่วมชี้แจงด้วยวาฮาบีนั้นโดนชีอะในเวปมุสลิมไทยอัดซะยับยู่ยี่ไปทั้งตัวสู้ไม่ได้สักเรื่อ งโดยเฉพาะเมื่อชีอะอ้างเรื่องอกีดะแบบยิว  วาฮาบีบางคนเลยร้อนตัว

มาพึ่งเวปนี้  แต่เพื่อไม่ให้เสียเลี่ยมวาฮาบีบางคนก็เข้ามาในเชิงกวนโดยอำพรางขอความรู้เพราะลำพังข้อมูลในเวปมุสลิมไซเบอร์นั้น เคยโดนชีอะศอกกลับว่านำภาพโกหกมาหลอกชาวบ้านผมเองติดตามเรื่องนี้

ที่เวปมุสลิมไทยตลอด

ในขณะเดียวกันชีอะจะไม่กล้าที่จะโต้เลยกับอากีดะอะลิสซุนนะมัสหับทั้ง4  เพราะเขารู้ดีว่าอากีดะของเราไม่มีจุดอ่อนที่จะให้ชีอะเข้ามาเจาะและเป็นอากีดะที่พระองค์อัลลอฮ์(ซบ)ยืนยันไว้

ทั้งๆที่พวกเขามักจะปลื้มใจกับฮาดิสซอเหี้ยะและมักจะชี้นำให้ยึดฮาดิสซอเหียะโดยที่ไม่จำเป็นต้องไปฟังผู้รู้ท่านใดอธิบายแต่ในขณะเดียวกันฮาดิสซอเหียะในเรื่องที่ท่านร้อซุลกล่าวยืนยันไว้มากมายและเป็นซุนนะขอ งท่านแต่วาฮาบีกลับเตะโด่งทำเป็นไม่เข้าใจที่จะยอมรับมันแต่ถ้าฮาดิสที่มันมีนัยยะทั้งที่อุลามะส่วนมากคีลาฟกันในเรื่องของความหมายวาฮาบีกลับยึดความเข้าใจของตนเองตามโตะครูของตัวเองอย่างน่าเกลียด                     เราจะพบว่าในเรื่องอากีดะหรือการยึดมั่นนั้นร้อซุลเองไม่เคยที่จะยืนยันเลยว่าอัลลอฮ์(ซบ)ทรงประทับนั่งบนบรรลังค์เหมือนพวกยิวพวกนัสรอพวกวาฮาบีแต่วาฮาบียังดื้อดันที่จะตามอุลามะในสายเดียวกันอย่างไม่พิจารณาเนื้อหาและผ่านความเข้าใจของผู้รู้

ท่านนบีกล่าวในหะดิสซอเหียะว่า  แท้จริงบรรดาอุลามะนั้น คตือทายาทของฉัน  และก็มีทั้งคำยืนยันในกีตาบของอัลลอฮ์ที่พระองค์ทรงยกย่องอุลามะทั้งในความหมายกว้างและชัดเจน


และในเรื่องการยืนยันรูปร่างหรือสถานที่ให้กับพระองค์นั้นก็ที่ซอเหียะ

มีหะดิษมากมาย ที่อยู่ในความหมายของการที่อัลเลาะฮ์ทรงบริสุทธิ์จากทิศและสถานที่  ซึ่งบรรดานักปราชน์ของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ วัลญะมาอะฮ์  ได้ทำการอ้างหลักฐาน  เพื่อยืนยันอากิดะฮ์ของอุมมะฮ์อิสลามดังนี้
1.  ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) กล่าวว่า
كان الله ولم يكن شيء غيره(กานัลลอ วาลัมยากุล ชัยอุน ฮัยเราะ)
" พระองค์ทรงมีมาแล้ว  โดยที่ไม่มีสิ่งใดเลย  นอกจากพระองค์(เพียงองค์เดียว) "  รายงานโดย  อัล-บุคอรีย์  ไว้ในซอเฮี๊ญะหฺของท่าน
หมายถึง  อัลเลาะฮ์(ซ.บ.) ทรงยังคงมีมาตั้งแต่เดิมแล้ว  โดยที่ไม่มีสิ่งใดอยู่พร้อมกับพระองค์  ไม่มีน้ำ  ไม่มีอากาศ  ไม่มีผืนดิน  ไม่มีท้องฟ้า  ไม่มีกุรซีย์  ไม่มีอะรัช  ไม่มีมนุษย์  ไม่มีญิน  ไม่มีมะลาอิกะฮ์  ไม่มีเวลา  และไม่มีสถานที่  ดังนั้น  พระองค์ทรงยังคงมีมาแต่เดิมโดยไม่มีสถานที่   และมีมาก่อนที่จะมีสถานที่   แต่อัลเลาะฮ์ทรงสร้างสถานที่  ดังนั้น  พระองค์จึงไม่ทรงต้องการมัน
และอัลเลาะฮ์  ก็ไม่ทรงมีคุณลักษณะที่เปลี่ยนแปลง  จากสถานะภาพหนึ่งไปสู่สถานะภาพหนึ่ง  เนื่องการการเปลี่ยนแปลงนั้น  เป็นส่วนหนึ่งจากบรรดาคุณลักษณะของมัคโลค   ดังนั้น  เราจะกล่าวเหมือนกับ พวก อัล-มุชับบิฮะฮ์ ไม่ได้ว่า "พระองค์ทรงมีมาแต่เดิม โดยที่ไม่มีสถานที่  หลังจากนั้น  พระองค์ทรงสร้างสถานที่  แล้วพระองค์ก็ทรงอยู่ในสถานที่และทิศเบื้องบน  (วัลอิยาซุบิลลาห์) "  ดังนั้น เราขอกล่าวว่า "พระองค์ทรงทำให้เปลี่ยนแปลง  แต่พระองค์ไม่ทรงเปลี่ยนแปลง"
2.  ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) กล่าวว่า
أنت الظاهر فليس فوقك شيء ، وأنت الباطن فليس دونك شيء " ، وإذا لم يكن فوقه شيء ولا دونه شيء لم يكن في مكان
" โอ้พระเจ้าของข้าฯ  พระองค์คือ องค์แรก  ดังนั้น ไม่มีสิ่งที่ใดอยู่ก่อนพระองค์  และพระองค์คือองค์สุดท้าย  ดังนั้นจึงไม่มีสิ่งใดอยู่หลังจากพระองค์  และพระองค์ทรงเป็นภายนอก  ดังนั้นจึงไม่มีสิ่งใดอยู่เหนือพระองค์  และพระองค์ทรงเป็นภายใน  ดังนั้นจึงไม่มีสิ่งใดที่อื่นจากพระองค์" รายงานโดย ท่านมุสลิม "
ท่าน หะฟิซฺ อัลบัยฮะกีย์  กล่าวว่า " ส่วนหนึ่งจากบรรดาสหายของเรา  ได้อ้างหลักฐาน  ในการปฏิเสธสถานที่จากอัลเลาะฮ์(ซ.บ.) ด้วยคำกล่าวของท่านนบี(ซ.ล.) ที่ว่
    أنت الظاهر فليس فوقك شيء ، وأنت الباطن فليس دونك شيء
"และพระองค์ทรงเป็นภายนอก  ดังนั้นจึงไม่มีสิ่งใดอยู่เหนือพระองค์  และพระองค์ทรงเป็นภายใน  ดังนั้นจึงไม่มีสิ่งใดที่อื่นจากพระองค์"
และเมื่อไม่มีสิ่งใดอยู่เหนือพระองค์  และไม่มีสิ่งใดที่อื่นจากพระองค์  ก็แสดงว่าพระองค์ไม่มีสถานที่ "  (ดู อัล-อัสมาอ์ วะ ซิฟาต  หน้า 400)
ท่านอัล-บัยฮะกีย์กล่าวอีกว่า" สิ่งที่รายงานในส่วนท้ายของหะดิษนี้  ชี้ถึง  การปฏิเสธสถานที่  จากอัลเลาะฮ์(ซ.บ.)  และแท้จริง  บ่าวคนหนึ่งนั้น  ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ใหนก็ตาม  เพราะฉะนั้น  ทั้งในความใกล้หรือไกล จากอัลเลาะฮ์  ก็ย่อมเท่าเทียมกัน  และแท้จริง พระองค์ ทรงเป็นภายนอก  คือสามารถรู้จักพระองค์ได้  ด้วยบรรดาหลักฐานต่างๆ(เช่นโลกจักรวาล)  และพระองค์ทรงเป็นภายใน  จึงไม่สามารถรับรู้การมีของพระองค์ ด้วยกับการมีอยู่ในสถานที่ "  (ดู อัล-อัสมาอ์ วะ ซิฟาต  หน้า 400)
3.  ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) กล่าวว่า
أقرب ما يكون العبدُ من ربّه وهو ساجد ، فأكثروا الدعاء
"บ่าวคนหนึ่ง  จะใกล้ชิดไปยังอัลเลาะฮ์มากที่สุด  โดยที่เขาทำการสุยูด  ดังนั้น  พวกท่านจงขอดุอาอ์ให้มากๆ"  รายงานโดย อิมามมุสลิม
ท่าน อิมาม  หาฟิซฺ  อัสสะยูฏีย์  กล่าวว่า "  ท่าน อัลบัดรฺ บิน อัสศอฮิบ ได้กล่าวไว้ใน  หนังสือ อัตตัษฺกิเราะฮ์ของเขาว่า  ในหะดิษนี้  ชี้ถึง  การปฏิเสธทิศให้กับอัลเลาะฮ์(ซ.บ.) " (ดู  หนังสือ อธิบาย  สุนัน อันนะซาอีย์  ของท่าน อัสสะยูฏีย์  เล่ม 1 หน้า 576

15
อ้างถึง
ยิวนั้นมีความเชื่อว่าพระองค์อัลลอห์ทรงประทับหรือนั่งอยู่บนเก้าอี้บัลลังก์

และในคัมภีร์ سِفْرَ الملوكِ الإصحاحِ  ส่วนที่ 20 โองการที่ 19-20  ของพวกยิวได้ระบุว่า

وقالَ فاسمع إذًا كلامَ الربِّ قد رأيت الربَّ جالسًا على كرسيهِ وكلُّ جندِ السماءِ وقوفٌ لديهِ عن يمينِهِ وعن يسارِهِ

“ โมเสสกล่าวว่า  ฉันได้ยินคำพูดของพระผู้อภิบาลอย่างแท้จริง  ฉันเห็นพระผู้อภิบาลนั่งอยู่บนบัลลังก์ของพระองค์  และไพร่พลแห่งฟากฟ้าทั้งหมดนั้นยืนอยู่เบื้องหน้าพระองค์ทั้งทางขวาและซ้าย”

ในคัมภีร์   سِفرُ مزامير الإصحاحُส่วนที่ 47 โองการที่ 8  ของพวกยิวได้ระบุว่า

اللهُ جلسَ على كرسيِّ قدسِهِ

“พระเจ้าทรงนั่งอยู่บัลลังค์อันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์”

แต่ อะกีดะห์อัลอิสลามจากอะห์ลิสซุนนะห์วัลญะมาอะห์  ไม่ยืนยันว่าอัลลอห์ทรงมีคุณลักษณะการนั่งและสถิตและอะกีดะห์อิสลามจะไม่  เหมือนกับความเชื่อองพวกยิว[
/b

น่าแปลกใจที่อะกีดะยิวคล้ายๆกับอากีดะของวาฮาบีมากนี้คือสาเหตุหนึ่งทีวาฮาบีมักจะดูโดดเด่นในทางฟิกฮ์แบบคละเคล้าที่พยามฉิบฉวยทัศนะที่ตนพอใจมาไว้เชยชมและทับถมแนวทางทัศนะอื่น
ทั้งที่เจ้าของทัศนะที่ตนเองแอบอ้างนั้นอาจไม่เห็นดีเห็นงามด้วยแต่นั้นคือนิสัยของวาฮาบีแต่ในทางกลับกันพวกเขามีปมด้อยในเรื่องอากีดะที่ดันไปเหมือนกับยิวและคริสต์และพวกกอรมียะและพวกมุญญัสสิมะ

ทั้งๆที่อัลเลาะฮ์ทรงตรัสเตือนและกำชีบชี้ทางไว้ในคัมภีร์ของพระองค์แล้วก็ตามเช่นอายะที่ว่า

لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ(ลัยซากามิสลีฮีชัยอุน)
"ไม่มีสิ่งใด  มาคล้าย  เหมือนกับพระองค์ "  อัช-ชูรอ 11


จากอายะฮ์นี้  ชี้ให้เห็นว่า  อัลเลาะฮ์(ซ.บ) ไม่ทรงคล้าย และเหมือนกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย จากบรรดามัคโลคทั้งหลาย  ไม่ว่าจะเป็นในแง่ใดแง่หนึ่งก็ตาม  ซึ่งในอายะฮ์นี้นั้น  ได้ปฏิเสธการเหมือนและการคล้ายคลึงไปพร้อมๆ กัน  ดังนั้นพระองค์จึงไม่ต้องการไปยังสถานอยู่  และทิศ ที่พระองค์จะเอาไปเป็นที่อยู่ในมัน  แต่พระองค์นั้น  ทรงมีอยู่  เสมือนกับท่าน ซัยยิดินา อลี (ร.ฏ.) กล่าวว่า " อัลเลาะฮ์ทรงมีมาแล้ว  โดยที่ไม่มีสถานที่  และพระองค์ในขณะนี้นั้น  ก็ทรงอยู่ตามคุณลักษณะที่พระองค์เคยมีอยู่" รายงานโดย อบู มันซูร อัลบุฆดาดีย์  และในหลักฐานนี้  เป็นสิ่งที่ยืนยันสำหรับอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ ว่า  พระองค์ทรงแตกต่างกับบรรดามัคโลค ที่ถูกสร้างขึ้มา
และอายะฮ์นี้  ทำให้เราเข้าใจว่า  พระองค์ทรงบริสุทธิ์การเหมือนและคล้ายกับบรรดาสิ่งที่ถูกสร้างมาทั้งหมดโดยทุกรูปแบบเลยทีเดียว   เนื่องจากพระองค์ใช้คำว่า شيىء (สิ่ง) ที่อยู่ในตำแหน่งของการปฏิเสธด้วย ليس  ดังนั้น คำ نكرة คือคำว่า شيىء  นั้น อยู่ในประโยคสำนวนการปฏิเสธ   ย่อมให้ความหมายที่ "ครอบคลุม" ในทุกสิ่งและทุกรูปแบบ   ดังนั้น อัลเลาะฮ์(ซ.บ) ก็ทรงถูกปฏิเสธ การคล้ายคลึงกับบรรดามัคโลคอย่างสมบูรณ์แบบ  ไม่ว่าจะเป็นการคล้ายคลึง  ในเชิงที่เป็นตัวตน  วัตถุ  มีร่างกาย  มีอวัยวะ  พระองค์ทรงเป็นโดยไม่มีวิญญาณ  ไม่ทรงนิ่ง และเคลื่อนไหว   พระองค์ไม่ทรงเหมือนกับบรรดาวัตถุ  ที่อยู่ข้างบนและอยู่ข้างล่าง  พระองค์จะไม่ถูกจำกัดสถานที่  ไม่ทรงมีระยะทาง  ใกล้และไกล   ดังนั้น  พระองค์จึงไม่มีคุณลักษณะเหล่านี้   แต่พระองค์ทรงมี  ทรงเป็น    ทรงพูด  ทรงเห็น  ทรงได้ยิน  ทรงดำรงด้วยพระองค์เอง  ทรงมีความสามารถ  ทรงรอบรู้  และมีคุณลักษณะอื่นอีกมากมายที่ไม่มีผู้รู้ได้นอกจากอัลเลาะฮ์  และพระองค์ก็ทรงมีคุณลักษณะอื่นๆ  ที่ไม่มีผู้ใดรู้จุดมุ่งหมายของมันได้  นอกจากอัลเลาะฮ์(ซ.บ.) องค์เดียวกันเท่านั้น

และอัลเลาะฮ์(ซ.บ.) ทรงตรัสว่า
وللهِ الْمَثَلُ الأَعْلَى(ว่าลิ้ลลาฮิลมาซาลุ้ลอาลัยุ)
" และสำหรับอัลเลาะฮ์  ย่อมมีคุณลักษณะอันสูงส่งที่สุด " (อันนะหฺลิ 60)
คือ อัลเลาะฮ์(ซ.บ.) ทรงมีคุณลักษณะที่ไม่เหมือนกับสิ่งอื่นๆ  จากพระองค์   และพระองค์ทรงไม่มีคุณลักษณะ  เหมือนกับบรรดาคุณลักษะของมัคโลค  เช่น  มีการเปลี่ยนแปลง  วิวัฒนาการ  การมีสถานที่อยู่  หรืออาศัยอยู่บนบันลังก์  ซึ่งอัลเลาะฮ์ทรงบริสุทธิ์จากสิ่งดังกล่าวอย่างยิ่งใหญ่


แต่วาฮาบีก็ยังยืนยันว่าอัลลอฮ์นั้นั่งสถิตยฺบนบรรลังค์  แต่สถิตย์หรือนั่งหรือประทับอย่างไรไม่เป็นที่รู้และยังอ้างอีกว่าหาก ใครถามเรื่องนี้จะเป็นบิดอะตกนรก

ทั้งๆที่วาฮานั้นชอบพูดให้ผู้อื่นสับสนเสมอและคิดในสิ่งที่ตนเองพูดเช่นวาฮาบีกล่าวว่า มีคนๆหนึ่งรูปร่างคล้ายกับควาย  แต่ปฏเสธว่าเป็นควายอย่างไรนั้นไม่ใครรู้ได้นี่คือการหลีกเลียงคำพูดที่ขาดการรับผิดชอบชองวาฮาบีในเรื่องอากีดะที่พวกเขามีปมด้อยและไม่สามารถจะโต้กลับแนวทางมัสหับทั้งสี่ได้เพราะมัสหับทั้งสี่นั้นล้วนอากีดะเดียวกัน

แม้ว่าในเรื่องฟิกฮ์จะแตกต่างกันบ้างในการปฎิบัติซึ่งเป็นธรรมดาเพราะการอิตญิฮาด ย่อมแตกต่างกันและปัจจัยหรือแวดล้อมแต่ละช่วงนั้นย่อมมีผล

ดังนั้นด้วยเหตุความแตกต่างด้านฟิกฮ์ของแต่ละทัศนะนี้แหละ     วาฮาบีซึ่งไม่มีทัศนะเป็นของตนเองพวกเขาจึงเลือกใช้ทศนะที่ตนพอใจโดยไม่แยแสต่อเจ้าของทัศนะ มิหนำซ้ำเจ้าของทัศนะบางท่านยังโดนวาฮาบีฮุกมเลยว่า

เขาเหล่านั้นตามไม่ได้เพราะไม้ได้เป็นผู้มะซุมแต่เมือวาฮาบีจนท่าก็มักจะแอบอ้างเอาทัศนะที่ตนเคยฮุกมเคยตำหนินั้นแหละมาใช้โดยลืมคำพูดที่เคยกล่าวหาพวกเขาว่าอีม่าม

ทั้ง4นั้นก็เป็นแค่คนธรรมดาจะไปตามเขาทำไม แต่เวลาอุลามะซาอุฯฟัตวาแล้ววาฮาบียะทั้งหลายกลับยอมรับมันโดนซีโรราบและ

เราจะพบว่าอากีดะวาฮาบีไม่เหมือนกับ ชนในยุคสลัฟอัซซอและเพราะพวกเขาไปเข้าใจว่าอัลลอฮ์ทรงประทับบนบรรลังค์และมีตัวตนมีทิศทางมีการเคลื่อนไหวไปมาได้ฯลฯ

สงสัยเหลือเกินว่าเมื่ออากีดะวาฮาบีเสียหายขนาดนี้แล้วการปฎิบัติตามหลักศาสนบัญญัติของวาอาบีอัลลออ์จะคิดอย่างไรก็ในเมื่ออากีดะวาฮาบีผิดพลาดตั้งแต่ก้าวแรกซะแล้ว

วัลอิ้ยาซุลบิ้ลลา  มินซาลิค



หน้า: [1] 2 3 ... 7