แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - amad 254

หน้า: [1] 2 3 ... 12
1
อัสลามุอลัยกุมครับ   คิดถึงเหมือนกัน loveit: loveit: loveit:

2
  อัสลามุอลัยกุมครับ

  ความคิดและความรู้สึกของผมนั้นแตกต่างจากคนอื่นๆพอสมควร  ผมคิดว่า อิสลามตกต่ำนั้น เพราะตัวเองหรือเพราะผู้ที่เป็นมุสลิมทั้งหลายไม่ดำเนินตามแนวทางที่ถูกต้อง ตามกฎเกณร์ของศาสนากำหนดไว้ หรือว่าตรงๆคือ ลืมตัวเองว่าเป็นใคร ควรเป็นอย่างไร ยาฮูดี และนัซรอนี นั้นเพียงแต่สร้างรูปแบบขึ้นมาแล้วชี้นำให้เดินตาม ไม่สามารถบังคับใครให้ตามได้ เราต่างหากที่อยากตามใจแทบขาด ขาดเขาเราแย่แน่ประมาณนั้น หากท่านลองคิดว่าสิ่งต่างๆที่ นัซรอนี และยาฮูดีสร้าง เราไม่ใช้ เราไม่ทำ เราจะอยู่ได้ไหม ผมยกตัวอย่างแค่โทรทัศ ท่านว่าบ้านใดไม่มีบ้าง

       การเรียนรู้วิธีการหรือแนวทางของ ยาฮูดี และ นัซรอนี เพื่อป้องกันจากการชี้นำต่างๆที่หลงแนวทางหรือขัดกับหลักการของศาสนาของลูกหลานหรือคนรอบข้างเท่านั้น ไม่ได้เพื่อการโจมตีหรือมุ่งหวังชัยชนะเพื่อการนำหรือปกครอง หากลองมองดูให้ดี อิสลามตกต่ำเพราะ เราไม่ดำเนินแนวทางของศาสนาอย่างแท้จริง ขาดความสามัคคี ขาดความอดทน ชอบความยิ่งใหญ่ หลงใหลในวัตถุ หลงใหลในยศต่ำแหน่ง หลงใหลเงินทอง เพื่อให้ผู้คนนับหน้าถือตา

    การทำให้ศาสนาสูงส่งขึ้นนั้น ไม่อยากแต่ต้องใช้ความอดทนอย่างสูง คือการปฎิบัติให้ดีให้ถูกต้องสมบูรณ์ตามหลักการของศาสนาและตามแบบฉบับท่านร่อซูล(ซล)ในการปฎิบัติตัว มองความผิดพลาดตัวเองเป็นหลัก คิดในแง่ดีต่อผู้อื่นเสมอ เรียนรู้ในสิ่งที่มีประโยชน์ ลดกิจกรรมเลอะเทอะต่างๆ เมื่อตัวเราดี คนรอบข้างชื่นชมเขาก็จะทำตาม เมื่อคนรอบข้างตาม คนในหมู่บ้านก็ชื่นชมและทำตาม และก็ลามไปเรื่อยๆ จนเป็นสังคมที่ดี รู้จักแยกแยะผิดถูกชั่วดี ต่างๆ แต่นะ  เป็นเพียงแค่ความคิดผมเท่านั้น ใครละจะปฎิบัติอย่างที่ว่าได้ง่ายๆ ในปัจจุบัน 

     ส่วนสิ่งที่ท่านกล่าวมานั้นเป็นเพียงแค่รูปแบบภายนอกเท่านั้น การมองดูว่า ยาฮูดี และนัซรอนี ทำร้ายทำลายอิสลามอย่างไร หากลองคิดให้ลึกว่า หากมุสลิมรวมเป็นหนึ่งหรือสามัคคีเป็นหนึ่งเดียว ดุจเรือนร่างเดียวกัน ส่วนใดส่วนเจ็บส่วนต่างๆ ก็รู้สึกด้วย ท่านว่า ยาฮูดี และนัซรอนี สามารถทำลายอิสลามได้หรือเปล่า? 

     ผมว่าแค่ในหมู่บ้านเดียวกัน อิสลามด้วยกัน ยังแทบฆ่ากันให้ตายเพื่อให้ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองบอกกล่าว และในสังคมสากลท่านคิดว่าเป็นอย่างไร ในประเทศซีเรีย มุสลิมทำลายมุสลิมด้วยกัน แล้วอะไรคือต้นเหตุหรือจุดหมายในการกระทำนี้  สุดท้ายก็ต้องกลับมามองตัวเอง มองคนรอบข้าง มองดูการปฎิบัติของเราดีหรือยัง ยังไงเราก็ไม่สามารถบังคับหรือควบคุมสิ่งต่างๆในโลกให้อยู่ความคิดตัวเองได้ เป็นการดีหากมอบหมายให้พระผู้เป็นเจ้า พร้อมด้วยการดุอา ให้พี่น้องมุสลิมนั้น พ้นจากภัยร้ายต่างๆที่คุกคาม พร้อมกับทำหน้าที่ที่ควรทำหรือได้รับอามานะห์ให้ดีให้สมบูรณ์ ผู้นำก็ควรนำ ผู้ตามก็ควรตาม นักเรียนก็ควรเรียน ครูอาจารย์ก็ควรสอนให้ดีให้ถูกต้อง หน้าที่ใครก็หน้าที่คนนั้น  ผู้ไม่รู้แต่อยากเป็นผู้รู้แต่ไม่เรียนนั่งว่านั่งสอนในสิ่งที่ตัวเองรู้ไม่จริงเป็นส่วนหนึ่งทำให้อิสลามตกต่ำสมัยนี้มีเยอะ  hehe ท่านว่าจริงไหม

                                                        วัสลามครับ

   

3
อัสลามุอะลัยกุมครับ
  ข้อความด้านบน เป็นมุมมองเพียงตอบสนองความต้องการทางดุนยาเท่านั้น การพัฒนาที่เป็นการพัฒนาจริงๆ
 คือการพัฒนาจิตใจให้บริสุทธิ์ปราศจากอารมณ์ใฝ่ต่ำ หรือความต้องการที่ฝืนบทบัญญัติที่ทุกๆคนถูกบังคับใช่(ต่อมุสลิม) การพัฒนาต่างๆนั้นจุดมุ่งหมายหรือเป้าหมายที่แท้จริงคือการสะดวกหรือทำให้สะดวกต่อการอิบาดัตและการใช้ชีวิตประจำวันที่ไม่ฝืนกฎ ซาเราะห์ของศาสนาที่วางไว้ เช่น การสร้างไฟฟ้าเพื่อการเรียนรู้ในช่วงค่ำคืน การสร้างรถยนต์เพื่อการไปมาหาสู่หรือไปมัสยิด  การสร้างถนนเพื่อความสะดวกสัญจรในการไปมัสยิดหรือซื้อสินค้าประจำวัน อื่นๆอีกมากมายเพื่อความสะดวกในการใช้ชีวิตเพื่อการทำอิบาดัตที่สมบูรณ์
          จุดมุ่งหมายที่มุสลิมหรือศาสนาอิสลามบ่งบอกนั้น การใช้ชีวิตอย่างสงบสุขถาวรในโลกหน้า โดยการใช้ความอดทน อดกลั่นต่อสภาพต่างๆบนดุนยาในการใช้ชีวิต เพื่อรางวัลอันยิ่งใหญ่ในโลกหน้าจากพระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่รางวัลโนเบลที่ถูกกำหนดโดยสิ่งถูกสร้าง 
         แต่ฉะนั้น อิสลามก็ส่งเสริมต่อการพัฒนาการต่างๆ และมีนักวิทยาศาสตร์มากมายที่ถูกปกปิดไว้ การเรียนรู้ในโลกสากลนั้นย่อมเป็นไปตามแนวทางที่คนควบคุมนั้นบังคับไปในทางที่เขาต้องการ ก็คงรู้ๆกันว่า ใครเป็นคนควบคุมระบบต่างๆของสากลไว้ แน่นอนต้องเป็น ยิว การที่มุสลิมไม่อ่อนโอนตามโลกสากล ย่อมดีอยู่แล้วต่อศาสนา

        หากมีคำถาม ว่า ทำไมมุสลิมต้องเป็นผู้นำทางสากล เพื่อให้ผู้คนต่างๆยอมรับในศาสนาอิสลามและเข้ามาอยู่ในศาสนาอันเที่ยงธรรมและแท้จริงหรือ ?  ถ้าเป็นอย่างนั้นแน่นอนย่อมเป็นการดีอย่างมาก แต่ถ้ามุสลิมนั้นเป็นผู้นำทางสากลเพื่อให้ผู้คนยกย่อง สรรเสริญนั้นเหมือนพวกยิว ท่านคิดว่า ศาสนาส่งเสริมหรือ? บทสรุปคือ การเป็นตัวของตัวเองปฎิบัติตามแนวทางที่ถูกบัญชาใช้นั้น ย่อมเป็นการดีกว่าอย่างแน่นอน ใครจะอยู่ถาวรบนดุนยา? แม้แต่ดุนยายังสลายไปตามกาลเวลา  และการศึกษานั้นมุสลิมไม่ได้เน้นถึงการศึกษาสามัญ แต่เน้นที่การศึกษาศาสนาเพื่อเรียนรู้ถึงความเป็นจริงในอดีต ปัจจุบัน และที่จะเกิดขึ้นในอนาคต(หลังความตาย)และการปฎิบัติตัวให้เหมาะสมอยู่ในกฎระเบียบ เพื่อความผาสุขในโลกหน้า

         ศาสนาอื่นๆมีหรือที่บอกอย่างชัดเจนถึงเรื่องราวหลังความตาย?  การเรียงลำดับของการศึกษา ที่ศาสนาวางไว้ การเรียนรู้ฟัรดูอีนหรือการเรียนรู้ที่จะปฎิบัติตัวหรือทำอิบาดัต(เคารพภักดี) ให้ถูกต้องเป็นวายิบ เป็นขั้นที่1 ของการศึกษาที่ทุกๆต้องเรียนหากไม่เรียนก็มีบทลงโทษของศาสนา ส่วนการเรียนรู้สามัญนั้นเป็นเพียงฟัรดูกีฟายะห์ ที่ถูกกำหนดไว้เพียง1ในคนหมู่มากในชุมชนเดียว ก็พ้นการบทลงโทษของศาสนาแล้วซึงมีรายละเอียดอีกมาก ก็ต้องเรียนรู้เพิ่มเติมกันไป การเรียนรู้หรือตามในสิ่งหนึ่งสิ่งใดสิ่งสำคัญต้องคำนึงถึงผลได้ผลเสียที่ศาสนากำหนดไว้ ถ้าดีต่อศาสนาหรือการปฎิบัติตามศาสนาก็สมควรอย่างยิ่งยวด หากไม่ใช่อย่างนั้นแล้วคงต้องตัดทิ้งไปย่อมดีกว่า

                                                                               วัสลามครับ 

4
โดย บาบอ ฮายี อิสมาแอล สปันยัง


<a href="http://www.youtube.com/watch?v=4g-s1sRkz90" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=4g-s1sRkz90</a>

อัสลามุอลัยกุมครับ

   ผมฟัง แล้ว บุหรี่ หรือยาเส้น นั้น ฐานเดิมของมันไม่น่ายิส และไม่ฮารอม ที่ฮารอมอยู่ที่ผู้ที่นำไปกระทำใดๆให้เกิดการเมาหรือ เป็นการทำร้ายทำลายตัวเอง ซึ่งต้องดูที่เหตุในการนำไป เช่นใบกระท่อมไม่ฮารอม ที่ฮารอมอยู่การปฎิบัติเพื่อให้เกิดการเมา แต่ถ้านำไปปรุงอาหารหรือกินเป็นยาก็ไม่ฮารอม

  จริงๆ บาบอบอกว่า บุหรี่ ณ ปัจจุบัน อาจจะฮารอมเนื่องการการปรุงแต่งๆต่าง ที่ใส่เข้าไปในบุหรื่ปัจจุบัน  ฉนั้นการจะบอกว่า บาบอฮูก่มบุหรี่ ฮารอมนั้นไม่ได้ เป็นอูมูม หรือทั้งหมดไม่ได้ เพราะบาบอบอกเองว่า บุหรี่หรือ กัญชาไม่ฮารอม ที่ตัวซาติ หรือตัวตนของมัน ที่ฮารอมอยู่ที่ผู้นำไปปฎิบัติเพื่อเกิดการเมา หรือที่บาบอบอกว่า อาริดี หรือเงื่อนใขของมันที่ปรากฎ 

     การที่ท่านบอกว่า บุหรี่นั้นฮารอม คงถูกแต่ไม่ทั้งหมด ท่านต้องเดิมคำในช่องว่างช่วงท้ายด้วย

                                                                                                       วัสลามครับ 

5
มุมมุสลิมะฮ์ / Re: ครัวมุสลิมะฮ์
« เมื่อ: ธ.ค. 21, 2011, 06:21 PM »
อัสลามุอลัยกุมครับ

   ทานอย่าลืมเผื่อ คนโซมาเลีย ด้วยนะครับ กะ (ล้อเล่น อิอิ)

                                                         วัสลามครับ   

6
:salam:

พอดีผมได้อ่านหนังสืออัตเตาบะห์  1 ตรงสำนวนอิสติรฟาสมันมีหลายอันเลย แล้วผมก็อ่านภาษาอาหรับไม่ได้เลย สะกดแล้วอ่านไม่เป็นลืมหมด mycry  แต่ชอบตรงสำนวนที่ 3 มาก  ความว่า

อยากถามถ้ากล่าวเป็นภาษาไทยจะนับว่าเป็นการกล่าวอิสติรฟาสตามท่านนบีมุฮัมหมัดหรือเปล่าครับ
อีกคำถาม การกล่าวอิสติรฟาสให้พ่อแม่ นี่มีสำนวนอย่างไรหรือแค่เนียตให้พ่อแม่เราก็ถือว่าอิสติรฟาสแทนพ่อแม่แล้ว?

ยาซากัลลอฮฮุค็อยร็อนครับ

อัสลามุอลัยกุมครับ  น้องคนรู้น้อย การกล่าวอิฟติฆฟาร จุดมุ่งหมายคือ การขออภัยโทษในความผิดของเราซึ่งทุกๆคนที่มีอีหม่ามเขาจะทำกัน ส่วนการอิฟติฆฟาร เป็นภาษาอะไรก็แล้ว ก็ถือว่าใช้ใด้ เพราะเป้าหมายคือการสำนึกในความผิดของตัวเราและ พระองค์อัลเลาะห์(ซบ) นั้นเข้าใจทุกภาษาอยู่แล้ว ยกเว้นในกรณีละหมาดที่ต้องกล่าวตามอัลกุรอ่านคือ ภาษาอาหรับ เพราะเป็นเงี่อนใขในการละหมาดที่ใช้ได้ แต่ถ้าจะกล่าวเป็นภาษาอาหรับก็ย่อมดีกว่าที่ว่าภาษาอาหรับนั้นมีเกียรติ เป็นภาษาของชาวสวรรค์ และเป็นภาษาที่อัลกุรอ่านถูกประทานลงมา และสมควรเข้าใจในความหมายด้วยยิ่งดี

  คำกล่าวภาษาไทย อิสติฆฟาร ในหนังสือ อัตเตาบะห์ ส่วนที่ 3 คือ

يا عبادي انكم تخطئون بلليل والنهاروانا اغفرالذنوب جميعا فيتغفروني اغفرلكم
ยา อิบาดี อินนะกุม ตุคติอู นะ บิ้ลลัยลิ วัน นาฮาร ว่า อะนา อัฆฟิรุซ ซูนูบะ ย่ามีอัน ฟัซตัฆฟิ รู นี อัฆฟิร ละกุม

ความว่า โอ้ปวงบ่าวของข้าเอ๋ย พวกเจ้ากำลังกระทำความผิดทั้งกลางวัน และ กลางคืน ในขณะที่ข้า(พระผู้เป็นเจ้า) อภัยบรรดาบาปทั้งหมด

ส่วนดุอาที่ขอให้พ่อแม่ มีในอัลกุรอ่าน

  اللهم اغفرلي ذنوبي ولوالدىّ وارحمهما كما ربياني صغيرا
อัลลอฮุม มัฆ ฟิร ลี ซูนูบี วะลิ ว่า ลิดัยยะ วัรฮัมฮุมา กะมา ร็อบบายานี ชอฆีรอ

โอ้พระองค์อัลเลาะห์(ซบ) ได้โปรดอภัยให้แก่ฉัน ในบาป(อันมากมาย)ของฉัน และได้โปรดอภัยให้แก่ พ่อ แม่ของฉัน ประดุจเดียวกับ ท่านทั้งสองได้ชุบเลี้ยงข้าพเจ้ามากแต่ยามเยาว์วัย

ซึ่งบางส่วนมีอยู่ในอัลกุรอ่าน
 
ความว่า  และเจ้าจงลดปีกแห่งความนอบน้อมแด่ทั้งสองด้วยความเมตตาและจงกล่าวขอพรแก่ทั้งสองว่า"โอ้องค์อภิบาลโปรดเมตตาท่านทั้งสอง ประดุจเดียวกับ ท่านทั้งสองได้ชุบเลี้ยงข้าพเจ้ามากแต่ยามเยาว์วัย

น้องคนรู้น้อย เป็นคนมีความตั้งใจดี แน่วแน่ในเรื่องศาสนา ก็พยายามค้นคว้าและเรียนให้มาก น้องเป็นตัวอย่างที่ดีแก่คนทั่วไป ที่พยายามเรียนศาสนาและพยายามเข้าใจศาสนาเพื่อมุ่งมั่นที่ปฎิบัติศาสนาที่ถูกต้อง และ เน้นที่ตัวเองเป็นหลัก เน้นความผิดพลาดหรือ การสำนึกผิดที่มีต่อพระผู้เป็นเจ้าเสมอ เดินตามแนวทางนี้ต่อไปเถอะ อินซาอัลเลาะห์ตอาลา สักวันน้องจะเป็นคนๆหนึ่งที่มีความรู้ เป็นคนดี มีคุณธรรม เป็นคนที่พระองค์อัลเลาะห์(ซบ)รัก ในเมื่ออายุยังน้อยยังมีโอกาสเรียนเยอะ ก็ให้อดทนพยายามที่จะเรียนรู้ศาสนาให้มาก เรียนกับคนดี ที่มีความรู้มีความตักวา ซึ่งบังอารีฟีน มีคุณสมบัตินี้อยู่ มีเวลาก็ไปหา ไปเรียนกับ บังเขา ในช่วงวันหยุดหรือวันว่าง ก็ได้  อินซาอัลเลาะห์ตอาลา

                                                           วัสลามครับ

7
อัสลามุอลัยกุมครับ  ผมคงไม่ตอบในเรื่องการนั่งล้อมวงอ่านยาซีน ว่าทำได้หรือไม่ เพราะผมไม่มีความรู้พอ และ ขึ้นอยู่การเรียนรู้ของแต่ละบุคคล แต่สำหรับผมแน่นอน ทำได้ครับ 

 แต่อยากให้พี่น้อง ลองคิดพิจารณา ในคำนิยามที่ว่า ท่านนบี(ซล)ไม่เคยทำ แล้วเราทำทำไม 
เป็นคำนิยามที่ฮิต และไร้แก่นสารเหมือนกัน  การให้คำนิยามดังกล่าวโดยปราศจากการอธิบายต่อเป็นเรื่องที่ทำให้ผุ้คนตกอยู่ใน ซุบฮาต หรือ คลุมเคลือ ท่านไม่คิดบ้างหรือ ว่า สิ่งที่เราปฎิบัติอยู่ทุกวันนี้ ท่านนบี(ซล)เคย ทำหรือเปล่า หรือ มีในสมัยท่านนบี(ซล) จนกระทั้งการอ่านกุรอ่านใน มือถือ ในคอมพิวเตอร์ หรือการเรียนในห้องเรียน การละหมาดในมัสยิดทีพื้นไม่ใช่ทราย สิ่งเหล่านี้ ท่านร่อซูล(ซล)เคยทำหรือ???

  ถ้ามีใครสงสัยในเรื่องดังกล่าวแล้วยังไง แน่นอน ต้องไปถามต่อ บ้างก็ได้คำตอบ บ้างก็ไม่ได้คำตอบ ท่านมีความสุขหรือกับการปฎิบัติอามาลแบบนี้?  เคยถามตัวเองหรือเปล่า

  ทำไมเขาไม่ให้คำจำกัดความที่ชัดเจนไปเลย ทำไมเมื่อเขารู้อย่างชัดเจนอยู่แล้วว่า สิ่งนี้ หรือ สิ่งนั้น ทำไม่ได้ ทำไมต้องให้คำจัดความแค่นี้ เพื่อการใดหรือ?    ตามความคิดผม แน่นอนเขาไม่ได้รุ้อะไรเลยนอกจาก ตักลีด ผู้นำของเขา โดยปราศจากความเข้าใจในเรื่องต่างๆ คือไม่สามารถอธิบายได้นั้นเอง  หากว่า ผู้นำของเขาบอกว่า ในโลกนี้ คนที่จะเข้าสรรค์ได้ต้องได้รับอนุมัติจากเขา หลายๆคน คงอาจจะหลงไปกับเขาได้เหมือนกัน เนื่องจากไม่ได้คิดพิจารณาในเรื่องต่างๆที่เขากล่าวให้ดีให้ถี่ถ้วนเสียก่อน   

  หากพี่น้องทั้งหลาย ที่จะยึดมั่นในคำนิยามนี้  รบกวนท่านช่วยหาคำตอบให้ผมได้กระจ่างสักนิดนะครับ คือ
1.  การเรียนการสอนศาสนาในห้องเรียน นั่งบนเก้าอี้ นั้น ทำได้หรือไม่ เพราะถ้าการเรียนศาสนาเป็นอิบาดัต ก็ต้องกลายเป็นสิ่งที่ผิด เพราะสมัยท่านนบี(ซล)ไม่เคยทำ

2.  หากการเรียนในวิทยาลัย หรือ โรงเรียนที่ เจาะจงวิชา เช่น วิชาอัลกุรอ่านในคาบที่ 2 ของทุกวันจันทร์ เป็นการเจาะจงวิชาในการเรียนศาสนา ถ้าเป็นอิบาดัตจะผิดไหม แน่นอนสมัยท่านนบี(ซล)ไม่เคยทำเหมือนกัน 

3.  แล้ว การ แปลอัลกุรอ่าน เป็นภาษาไทยหรือภาษาต่างๆที่ไม่ใช่ภาษาอาหรับ ไม่ว่าจะลงในเว็ป หรือ ลงในเล่ม จะผิดใหม ในเมื่อสิ่งนี้ก็ไม่มีเหมือนกันในสมัยท่านนบี(ซล)

แล้วถ้าผิด เขาจะกล้าฮูก่มตนเองว่าผิดใหม ในเมื่อทั้ง 3 ข้อนี้ มีในกลุ่มพวกเขา และถ้าผิดจะฮูก่มตนเองตกนรกเหมือนกับฮูก่มผู้คนต่างๆหรือเปล่า  ?????????

 ศาสนาไม่ได้มีแค่ ท่านนบี(ซล)ทำหรือไม่ทำ ยังมีคำสั่งจากพระผู้เป็นเจ้า การปฎิบัติตัวของซอฮาบะห์ การวินิจฉัยปัญหาศาสนาของอุลามาอฺ

  ผมจะยกตัวอย่างหนึ่ง ที่ ท่านนบี(ซล) ไม่เคยทำ แต่เป็นคำสั่งจากพระผู้เป็นเจ้า คือการทำดีต่อพ่อแม่  แล้วตัวอย่างนี้ ครอบคลุมคำนิยามที่ว่า ท่านนบี(ซล)ไม่มีโอกาสได้ทำ(เพราะบิดา และมารดาท่านเสียชีวิตตั้งแต่ท่ารร่อซูล(ซล)ยังเล็ก) (แล้วเราทำทำไม)???? ด้วยหรือเปล่า ??
 

ความว่า  องค์อภิบาลของเจ้าได้บัญชาไว้ว่าพวกเจ้าทั้งหลายอย่านมัสการสิ่งใดนอกจากพระองค์ เท่านั้นและจงทำความดีต่อผู้ให้กำเนิดทั้งสอง แม้นว่ามีคนหนึ่งจากทั้งสองหรือทั้งสองคนก็ตามได้บรรลุวัยชราอยู่กับเจ้า เจ้าก็จงอย่ากล่าวแก่ทั้งสองว่า "อุฟ"(คำอุทานแสดงความเบื่อ ความรำครญ และรังเกียจ) เจ้าจงอย่าขู่ ตะคอก แก่ทั้งสอง และเจ้าจงพูดกับทั้งสองด้วยคำพูดที่ยกย่อง


 
ความว่า  และเจ้าจงลดปีกแห่งความนอบน้อมแด่ทั้งสองด้วยความเมตตาและจงกล่าวขอพรแก่ทั้งสองว่า"โอ้องค์อภิบาลโปรดเมตตาท่านทั้งสอง ประดุจเดียวกับ ท่านทั้งสองได้ชุบเลี้ยงข้าพเจ้ามากแต่ยามเยาว์วัย

8
อัสสลามุอลัยกุมครับ

  ขอตอบแบบคาดเดานะครับ

  1.  อะไรคือสิ่งที่อยู่ใกล้เรามากที่สุด
  ตอบ  ความตายครับ   ทำไมความตายถึงอยู่ใกล้เรามากที่สุดหรือ  เพราะความตายเป็นสิ่งที่แน่นอนที่สุดไม่ว่าใครก็ตามที่มีปัญญาอยู่แม้แต่นิดเดียวก็คงรู้ได้ว่า สักวันก็ต้องตายแค่ไม่รู้เวลาเท่านั้น บางส่วนที่ไม่มีปัญญาเช่น สัตว์หรือพืช ผมไม่สามารถรู้ได้ว่า สิ่งเหล่านั้นรู้ถึงความตายที่จะต้องสัมผัสหรือเปล่า  วัลลอฮุอะห์ลัม
     

2. อะไรคือสิ่งที่อยู่ไกลตัวเรามากที่สุดในดุนยาหรือ
ตอบ  เวลาที่ผ่านมา  (เวลาที่ผ่านไปแล้ว)  เวลาที่ผ่านไปแล้วไม่สามารถที่เรียกกลับ หรือ ดึงกลับมาได้อีกอย่างแน่นอน  ดังนั้น เมื่อเวลาผ่านไปแล้วก็เหมือนกับสิ่งที่อยู่ไกลตัว ไม่ว่ายังไงก็ไม่สามารถจะสัมผัสมันได้อีกอย่างแน่นอน ฉะนั้นอย่าได้ปล่อยเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์พยายามคิดหรือบริหารเวลา ให้ดีๆ อย่างน้อยเราก็ควรรู้ไว้ว่าไม่มีทางย้อนเวลากลับไปได้อีก

3. อะไรคือสิ่งที่ใหญ่ที่สุดในดุนยาหรือ
ตอบ ถ้าจะตอบว่าภูเขา เอเวอเรต ก็คงมีคนอื่นๆตอบว่า แผ่นดินที่รองรับภูเขา เอเวอเรตน่าจะใหญ่กว่า  แต่ถ้า มนุษย์คนใดมีอำนาจและความต้องการที่จะทำลาย มันทั้งสอง ภูเขาและแผ่นดิน  ทั้งสองคงราบเรียบหายไปในอากาศอย่างแน่นอน สิ่งที่ใหญ่กว่า ทั้งหมดในดุนยานั้นหรือ   คือ นัฟซูของมนุษย์

4. อะไรคือสิ่งที่หนักที่สุดในดุนยาหรือ
ตอบ สิ่งที่หนัก คงหมายถึงสิ่งที่สร้างความลำบากใจอย่างมากให้กับผู้แบกมันไว้ ซิ่งตัวผมเองก็แบกมันไม่ไหวเหมือนกันและก็ปล่อยไปสักพัก(โดยยอมรับผลที่จะได้รับ)แต่ก็จะพยายามแบกมันใหม่เมื่อพร้อม  คำตอบคือ อามานะห์ (สัญญา หรือสิ่งที่ได้รับปากในการที่จะกระทำใดๆก็ตามกับผู้หนึ่งผู้ใด)

5. สิ่งที่เบาที่สุดในดุนยาหรือ

ตอบ สิ่งที่เบาที่สุดในดุนยา ในที่นี้คงหมายถึงสิ่งตัวเราหลายๆคนให้ความสำคัญน้อยที่สุดหรือไม่ค่อยสนใจที่กระทำมัน จนกระทั้งสิ่งนั้นเป็นสิ่งเบาบางเหลือเกิน นั้นคือ การละทิ้งละหมาด แม้แต่การค้าขายที่รอคนซื้อสินค้าที่ได้กำไรไม่กี่บาท หรือการทำงานที่ได้เงินค่าจ้างเพียงเล็กน้อย ก็ยังสำคัญกว่าการละหมาด(ในบางคน) โดยทิ้งการละหมาดในเวลา และคิดว่ามีเวลาค่อยกลับไป กอดอใช้ทีหลัง โดยลืมไปนิดหนึ่งว่า ความตายนั้นใกล้นิดเดียวเท่านั้นเอง ใกล้ซะจนไม่ทันที่จะตักเบร ในการละหมาด กอดอใช้ ก็ได้ ขอดุอาต่อผู้อภิบาลพระองค์อัลเลาะห์(ซบ)ให้ผมและพี่น้องร่วมศรัทธาทั้งหลายให้ห่างไกลจากความคิดเช่นนี้ด้วยเถิด  อามีน

6. อะไรคือสิ่งแหลมคมที่สุดในดุนยาหรือ

ตอบ  ไม่น่าจะอะไรที่แหลมคมไปกว่า ลิ้นของมนุษย์ทั้งหลาย(ที่ชั่ว)ที่สามารถ ทิ่มแทงหัวใจให้เจ็บซ้ัา คํ่าแค้นได้ลึกซึ่งยิ่งนัก  ท่านว่าจริงไหมครับ   
 
                                                                   วัสลามครับ

9
        อัสลามุอลัยกุม   ถ้ามีใครสักคนถามผมเรื่องนี้ ว่าใครเป็นมัคลูกที่เลวร้ายที่สุด โดยไม่คำนึงถึงหลักฐานในการตอบ  ผมคงตอบว่า ตัวเองนั้นแหละเลวร้ายที่สุด  หลายๆครั้งเคยขอพร ขอดุอาให้ได้อย่างนั้น อย่างนี้ ตามที่ใจปราถนา บ่อยๆครั้งที่ประสบความสำเร็จในสิ่งที่ปราถณา แต่หลังจากนั้นไม่ค่อยได้ รำลึกถึงความเมตตาอันใหญ่หลวงของพระองค์อัลเลาะห์(ซบ) แต่คล้อยตามในสิ่งที่ได้สิ่งที่หวัง จนบางครั้งอยากจะให้มี บาลอ เจอกันตัวเองบ่อยๆครั้ง เพื่อกระตุ้นจิตสำนึกให้รู้ให้จำเสียบ้างว่า ความเมตตาอันยิ่งใหญ่นั้นมาจากไหน เมื่อครั้งยังไม่รู้เรื่่องศาสนา ก็อยากรู้เพื่อปฎิบัติให้สมบูรณ์ แต่เมื่อรู้แล้วกลับไม่ทำ แถมยังไปสอนไปบอกคนอื่นๆ ให้ทำอย่างนี้อย่างนั้น ทั้งๆตัวเองก็รู้ไม่ชัดเจนซะทีเดียวและยังไม่ปฎิบัติอย่างสม่ำเสมออีกต่างหาก จริงๆแล้วแค่ได้เกิดมาเป็นมุสลิมได้รู้จักพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริง ได้รู้ถึงความเมตตาอันใหญ่หลวงที่พระองค์อัลเลาะห์(ซบ) ก็เป็นความเมตตาที่ยิ่งใหญ่ยิ่งนักจนภักดีแค่ไหนก็ตามไม่สามารถทดแทนกับความเมตตานี้ได้ หนำซ้ำความเมตตาที่ล้นเหลือที่ให้ทางนำแก่ มัคลูก ให้ประสบสุขถาวรในโลกหน้า ผ่านทางนำที่เป็น ข่าวสารต่างๆที่พระองค์อัลเลาะห์(ซบ) ทรงให้มนุษย์ที่ดีที่สุดในโลกนี้และโลกหน้า คือท่านนบีมูฮำหมัด(ซล) นำมาบอกกล่าวแก่มัคลูก ที่พระองค์อัลเลาะห์(ซบ)ทรงเมตตาที่จะให้มีความสุขถาวรในโลกหน้า โดยแค่แลกเปลี่ยนกับความทุกข์เล็กๆน้อยๆ และบททดสอบบางครั้งบางคราว เพื่อที่จะยืนยันถึง ความศรัทธาที่มีต่อพระองค์อัลเลาะห์(ซบ) แต่ตัวเองกลับไม่ค่อยคิด ไม่ค่อ่ยทำ ไม่ค่อยสำนึก  แล้วใครละจะเป็น มัคลูก ที่ ชั่วและเลวร้ายที่สุด ตัวผมเองคงไม่กล้าตอบถึงคนอื่นๆ นอกจากตัวเอง     วัสลามครับ

10
อัสสลามุอลัยกุมครับ

  ผมคงรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่นัก หากได้ยินผู้ที่กล่าวว่า ท่านร่อซูล(ซล) มีผิดพลาด หลงลืม หรืออื่นๆที่เป็นข้อตำหนิ ที่ผุ้ที่ฟังแล้วรู้สึกในทางไม่ดี
ท่านร่อซูล(ซล) คือ ผู้ทีนำข่าวดีและข่าวร้ายมาแจ้งแก่ มวลมนุษย์และยิน ทั้งมวล ตั้งแต่ท่านได้รับ วะฮี ยัน วันกิยามะห์  หากท่านร่อซูล(ซล) มีข้อบกพร่อง แล้วฉไน เลย พระองค์อัลเลาะห์(ซบ) จึงได้แต่งตั้งท่านเป็นร่อซูล(ซล)  นะอูซูบิก้ามินั้ลซาลิก (จากความคิดดังกล่าวที่กล่าวหาท่านร่อซูล(ซล)มีความบกพร่องต่างๆในทุกๆประการ) จากความคิดนี้ ย่อมประจักษ์แก่ มุอ์มิน และ มุสลิม ทั้งชายและหญิงทั้งมวล ที่ศรัทธาต่อ พระองค์อัลเลาะห์(ซบ) และร่อซูล(ซล)  ว่า เป็นความคิดที่เป็นส่วนร่วมกับ ซัยตอน อย่างไม่ต้องสงสัย

ไม่มีใครผู้ใด จะได้รับอัลอิสลาม(ศาสนา) จนกว่าเขาได้กล่าว กาลีเมาะห์ซาฮาดะห์  ที่กาลีเมาะห์ซาฮาดะห์ ประกอบด้วย นามที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกร พระองค์อัลเลาะห์(ซบ) และ นาม(มนุษย์ที่ถูกพระองค์อัลเลาะห์(ซบ)เลือกว่า สมบูรณ์ที่สุดในมวลมนุษย์และสรรพสิ่งที่พระงอค์ทรงได้สร้างขึ้นมาเป็น ร่อซูล องค์สุดท้าย)  ท่านนบีมูฮำหมัด (ซล)

ท่านนบีมูฮำหมัด(ซล) เป็นมนุษย์ ก็จริง แต่เป็นแค่เพียงร่างกายเท่านั้น ที่ต่างกัน คือ โระห์ หรือวิญญาณ  หากจะเปรียบเทียบร่างกาย คงตอบได้ว่า ท่านร่อซูล(ซล)นั้นเหมือนกับผู้คนหรือมนุษย์ทั่วๆไปที่ ต้องกิน ต้องดื่ม ต้องนอน เพื่อให้ร่างกายได้ทำงานต่อไปได้ มีเจ็บป่วย แต่ทุกๆการกระทำของท่านร่อซูล(ซล) กระทำด้วยคำสั่งของพระองค์อัลเลาะห์(ซบ) ที่ได้มอบหมายไว้ทั้งภายนอก และภายใน หรือ ทุกๆอิริยาบถ  ตรงนี้ ที่เป็นข้อแตกต่างระหว่าง มนุษย์ทั่วๆไป กับ ท่านร่อซูล(ซล)    ท่านร่อซูล(ซล) กระทำการใดๆ ด้วยกับ อีหม่ามที่สมบูรณ์ และสติปัญญาทีสมบูรณ์  แม้กระทั้งการนอนของท่านร่อซูล(ซล) นอนแต่ร่างกายแต่หัวใจท่านเปิด   

عن جبار يقول: جاءت ملائكة الى النبى صى الله عليه وسلم وهونائم : فقال بعضهم :انه نائم  : وقال بعضهم : ان العين نائمة والقلب يقظان فقالو: ان لصا حبكم هذامثلا فاضربو اله مثلا، فقال بعضهم : انه نائم وقال بعضهم :ان العين نائمة و القلب يقظان ، فقالوا مثله كمثل رجل بنى دارا وجعل فيها مأدبة وبعث داعيا فمن اجاب الداعي دخل الدروأكل من المأدبة ومن لم يجب الداعى لم يدخل الدارولم يأكل من المأدبة ،فقالوا :أولوها له يفقهها فقال بعضهم انه نائم وقال بعضهم : ان العين نائمة والقلب يقظان ،فقالوا: فالدارالجنة والداعى محمد صى الله عليه وسلم فمن أطاع محمدا فقد أطاع الله ، ومن عصى محمدا فقد عصى الله ، ومحمد صى الله عليه وسلم  فرق بين الناس  رواه البخارى والترمذى

เล่าจากยาบิร กล่าวว่า  มีมลาอิกะห์จำนวนหนึ่งมาหาท่านนบี(ซล) ในขณะที่ท่านหลับ มลาอิกะห์ ส่วนหนึ่งกล่าวว่า  ความจริงเขานอนหลับ แต่มลาอิกะห์อีกส่วนหนึ่งกล่าวว่า แท้จริงดวงตาเขาหลับสนิท แต่จิตใจยังคงตื่นอยู่ ดังนั้นบรรดามลาอิกะห์ จึงกล่าวว่า แท้จริงมีอุทาหรณ์หนึ่งสำหรับเพื่อนของพวกท่านคนนี้  ดังนั้นท่านทั้งหลายจงยกอุทาหรณ์ให้เขาฟังด้วยเถิด  มะลาอิกะห์ อีกส่วนหนึ่งกล่าวว่าเขานอนหลับ(หมายถึงท่านร่อซูล(ซล)นอนหลับ) แต่อีกบางส่วนก็กล่าวว่า ความจริงตาหลับแต่่ใจไม่หลับ ดังนั้นบรรดามลาอิกะห์จึงกล่าวว่า (ถ้าจะ)เปรียบเขา(คือพระองค์อัลเลาะห์(ซบ) กับบ่าวของพระองค์ )  ก็เหมือนกับชายคนหนึ่งได้สร้างบ้านขึ้นมาหลังหนึ่ง  และได้จัดสำรับอาหารไว้ในบ้านหลังนั้น แล้วส่งคนออกไปเชื้อเชิญ ดังนั้นผู้ใดได้ตอบรับคำเชิญเขาก็ได้เข้าบ้าน และได้รับประทานอาหารจากสำรับนั้น และผู้ใดไม่ตอบรับคำเชิญ เขาก็จะไม่ได้เข้าไปในบ้าน และไม่ได้รับประทานอาหารในสำรับนั้น  บรรดามลาอิกะห์ ได้กล่าวว่า พวกท่าน(มลาอิกะห์อีกกลุ่มที่ยกอุทาหรณ์) จงแก้อุทาหรณ์ให้เขาเข้าใจ มลาอิกะห์บางส่วนได้กล่าวว่า ความจริงเขาหลับ(ท่านร่อซูล ซลได้หลับ)  แต่อีกบางส่วนกล่าวว่าความจริงตาหลับ แต่ใจไม่หลับหรอก พวกมลาอิกะห์จึงกล่าวว่า  บ้านนั้นคือสวรรค์ ผู้เชิ้อเชิญ คือ ท่านมูฮำหมัด(ซล) ผู้ใดเชื่อฟังมูฮำหมัด(ซล)ก็เท่ากับเขาเชื่อฟังพระองค์อัลเลาะห์(ซบ) และผู้ใดไม่เชื่อฟังมูฮำหมัด(ซล)ก็เท่ากับไม่เชื่อฟัง พระองค์อัลเลาะห์(ซล)  และ ท่าน นบีมูฮำหมัด(ซล) คือผู้แยกมนุษย์ (คือผู้ที่เชื้อฟังนบีมูฮำหมัดคือบ่าวของพระองค์อัลเลาะห์(ซบ) ผู้ไม่เชื้อฟังนบีมูฮำหมัดคือ ทาสไซตอน)
รายงานโดย  บุคอรี และ ติรมีซี






นี้แค่เป็นบางส่วนจากความประเสริฐ ที่ประเมินไม่ได้ของท่านผู้นำนบีและร่อซูล ท่านนบีมูฮำหมัด(ซล)  ที่อาจารย์ อารีฟีน ได้กล่าวไว้ ว่า ท่านเสมือน อัญมณี ที่ประเมินค่าไม่ได้ อยู่ใน ก้อนกรวดไร้ราคาบ้างมีราคาบ้าง(ตามอีหม่านแต่ละคน)แต่ไม่มีก้อนกรวดหรือเพรช หรืออัญมณีใด(ท่านนบีอื่นๆ) ที่มีค่าเท่า  อัญมณีนี้(ท่านนบีมูฮำหมัด ซล)

ส่วนคำถามทีว่า หากท่านนบีมูฮำหมัด(ซล) ไม่มีข้อผิดพลาดนั้น ก็เป็น ชีริก  เป็นการตั้งภาคีกับ พระองค์อัลเลาะห์(ซบ)   นะอูซุบิก้ามินั้ลซาลิก   ขอความคุ่้มครองจากความ เขลาเบาปัญญา ของผู้ที่คิด   ที่ไม่สามารถแยกออกได้ ระหว่างผู้สร้างกับสิ่งถูกสร้าง  พระองค์อัลเลาะห์(ซบ) นั้นคือผู้สร้างแต่เพียงผู้เดียว  หากพระองค์จะสร้าง มนุษย์คนหนึ่งที่มีความสมบูรณ์พร้อมในทุกๆประการ เพื่อจะมายืนยันในสิ่งที่เป็นจริง ยืนยันในข่าวดีและ แก่ผู้ที่ตาม  และข่าวร้ายแก่ผู้ที่ปฎิเสธ พระองค์อัลเลาะห์(ซบ)ผู้ทรงยิ่งด้วยอนุภาพไม่มีความสามารถที่จะสร้างหรือ??   แล้วทำไมพระองค์อัลเลาะห์(ซบ) จะสร้างผู้ที่นำข่าวและความสัจจริงมาเผยแพร่แก่มวลมนุษย์และยินทั้งมวล  ต้องบกพร่องด้วยละ ??       ท่านไม่มีสติปัญญาคิดหรอกหรือ ??   

สุดท้ายผมก็ขอฝาก 1 หะดิษ เอาไปคิดกัน
عن انس بن مالك رضي الله عنه عن نبي صلى الله عليه وسلم قال ـ لا يؤمن احد كم حتى اكون احب اليه من والده وولد والناس اجمعين  رواه الشيخان والنسائى

เล่าจากอะนัส  บุตรมาลิก (รด) จากท่านนบี (ซล) ได้กล่าวว่า ใครก็ตามจากพวกท่านจะยังไม่มีอีหม่าม(ที่สมบูรณ์) จนกว่าข้าพเจ้าจะเป็นที่รักของเขายิ่งกว่าผู้บังเกิดเกล้าของเขา ยิ่งกว่าลูกๆของเขา และยิ่งกว่ามนุษย์ทั้งมวล   
รายงานโดย บุคอรี มุสลิม และ น่าซาอี       
 วัลลอฮุอะห์ลัม
วัสลาม 

11
อัสลามุอลัยกุมครับ

وقل عند نومك: (باسمك ربي وضعت جنبي ، وباسمك أرفعه ، فاغفر لي ذنبي ، اللهم قني عذابك يوم تبعث عبادك ، اللهم باسم أحيا وأموت ، أعوذ بك اللهم من شر كل ذي بشر ، ومن شر كل دابة أنت آخذ بناصيتها ، إن ربي على صراط مستقيم ، اللهم أنت الأول فليس قبلك شيء ، وأنت الآخر فليس بعدك شيء ، وأنت الظاهر فليس فوقك شيء ، وأنت الباطن فليس دونك شيء ، اقض عني الدين ، وأغنني من الفقر ، اللهم أنت خلقت نفسي ، وأنت تتوفاها ، لك مماتها ومحياها ، إن أمتها فاغفر لها ، وإن أحييتها فاحفظها بما تحفظ به عبادك الصالحين ، اللهم إني أسألك العفو والعافية في الدين والدنيا والآخرة ، اللهم أيقظني في أحب الساعات إليك ، واستعملني بأحب الاعمال إليك ، لتقربني إليك زلفى ، وتبعدني عن سخطك بعدا ، أسألك فتعطيني ، وأستغفرك فتغفر لي وأدعوك ، فتستجيب لي).

ثم اقرأ آية الكرسي ، وآمن الرسول إلى آخر السورة ، والاخلاص ، والمعوذتين ، وتبارك الملك ، وليأخذك النوم وأنت على ذكر الله وعلى الطهارة ، فمن فعل ذلك عرج بروحه إلى العرش وكتب مصليا إلى أن يستيقظ.

فإذا استيقظت فارجع إلى ما عرفتك أولا ، وداوم على هذا الترتيب بقية عمرك ، فإن شقت عليك المداومة فاصبر صبر المريض على مرارة الدواء انتظارا للشفاء ، وتفكر في قصر عمرك ، وإن عشت مثلا مائة سنة فهي قليلة بالإضافة إلى مقامك في الدار الآخرة وهي أبد الآباد ، وتأمل أنك كيف تتحمل المشقة والذل في طلب الدنيا شهرا أو سنة رجاء أن تستريح بها عشرين سنة مثلا ، فكيف لا تتحمل ذلك أياما قلائل رجاء الاستراحة أبد الآباد؟!

ولا تطوّل أملك فيثقل عليك عملك ، وقدّر قرب الموت ، وقل في نفسك: إني أتحمل المشقة اليوم فلعلي أموت الليلة ، وأصبر الليلة فلعلى أموت غدا ، فإن الموت لا يهجم في وقت مخصوص , وحال مخصوص ,وسن مخصوص ، فلا بد من هجومه ، فالاستعداد له أولى من الاستعداد للدنيا ، وأنت تعلم أنك لا تبقى فيها إلا مدة يسيرة ، ولعله لم يبق من أجلك إلا يوم واحد أو نفس واحد ، فقدر هذا في قلبك كل يوم ، وكلف نفسك الصبر على طاعة الله يوما فيوما ، فإنك لو قدرت البقاء خمسين سنة وألزمتها الصبر على طاعة الله تعالى نفرت واستصعبت عليك. فإن فعلت ذلك فرحت عند الموت فرحا لا آخر له ، وإن سوّفت وتساهلت جاءك الموت في وقت لا تحتسبه ، وتحسرت تحسرا لا آخر له ، وعند الصباح يحمد القوم السّرى ، وعند الموت يأتيك الخبر اليقين ، ولتعلمن نبأه بعد حين.
وإذا أرشدناك إلى ترتيب الأوراد ، فلنذكر لك كيفية الصلاة والصوم وآدابهما ، وآداب الإمامة والقدوة والجمعة.

และท่านจงอ่านดุอาก่อนนอนดังนี้

باسمك ربي وضعت جنبي ، وباسمك أرفعه ، فاغفر لي ذنبي ، اللهم قني عذابك يوم تبعث عبادك ، اللهم باسم أحيا وأموت ، أعوذ بك اللهم من شر كل ذي بشر ، ومن شر كل دابة أنت آخذ بناصيتها ، إن ربي على صراط مستقيم ، اللهم أنت الأول فليس قبلك شيء ، وأنت الآخر فليس بعدك شيء ، وأنت الظاهر فليس فوقك شيء ، وأنت الباطن فليس دونك شيء ، اقض عني الدين ، وأغنني من الفقر ، اللهم أنت خلقت نفسي ، وأنت تتوفاها ، لك مماتها ومحياها ، إن أمتها فاغفر لها ، وإن أحييتها فاحفظها بما تحفظ به عبادك الصالحين ، اللهم إني أسألك العفو والعافية في الدين والدنيا والآخرة ، اللهم أيقظني في أحب الساعات إليك ، واستعملني بأحب الاعمال إليك ، لتقربني إليك زلفى ، وتبعدني عن سخطك بعدا ، أسألك فتعطيني ، وأستغفرك فتغفر لي وأدعوك ، فتستجيب لي).

บิสมิก้า ร็อบบี ว่าเดาะห์ตุ ญัมบี ว่าบิสมิก้า อัรฟะอุฮู ฟัฆฟิรลี ซัมบี  อัลลอฮุ่มม่า กีนี อะซาบ้าก้า เยาม่า ตับอะซุ อิบาด้าก้า  อัลลอฮุ่มม่า บิสมิก้า อะห์ยา ว่าอุมูตุ  ว่าอะอูซูบิก้า อัลลอฮุมม่า มินช็ารริกุ้ลลิซี บิช็ารริน  ว่ามินช็ารริกุ้ลลิ ด๊าบบะติน  อันต้า อาร์คิซุน บินาซิย่าติฮา อินน่าร็อบบี อาลา ซีรอติมมุสตากีม  อัลลอฮุมม่า อันตั้ลเอาว่าลุ ฟะลัยซ่า ก็อบละก้าชัยอุน  ว่าอันตั้ลอาคิรุ ฟะลัยซ่า บะห์ดะก้า ชัยอุน ว่าอันตัซ ซอฮิรุ ฟะลัยซะ เฟาก้อก้าชัยอุน  ว่าอันตั้ล บาตินุ ฟะลัยซ่า ดูน่าก้า ชัยอุน  อักดิ อันยัดดัยน่า ว่าอัฆนินี มินั้ลฟักริ อัลลอฮุมม่า อันต้า คอลักต้า นัฟซี ว่าอันต้า ต้าต้าวัฟฟะฮา ละก้า ม่ามาตุฮา ว่ามะห์ยาฮา อิน อะมัตตะฮา ฟัฆฟิรละฮา ว่าอิน อะห์ ยัยต้าฮา ฟะห์ฟัซฮา บิมา  ตะห์ฟะซุ บิฮี อิบาต้ากัซซอลีฮีน

อัลลอฮุมม่า อินนี อัซอะลุกั้ล อัฟว่า วั้ล อาฟียะห์    อัลลอฮุมม่า อัยกีซนี ฟี อะฮับบิซซาอาติอิลัยก้า  วัซตะห์มิลนี บิอะฮับบิ้ลอะห์มาลิ อิลัยก้า  ฮัตตา ตุก็อรร่อบะนี อิลัยก้า ซุลฟา   ว่าตุบะห์อิด้านี อัน ซาค่อติก้า บุห์ดา  อะซาลุก้า ฟะตุห์ ตียะนี วะอัซตัฆฟิรุก้า ฟะตัฆฟิร่อลี  วัดอูก้า ฟะตัซตะญีบะลี


ความว่า  โอ้พระองค์อัลเลาะห์(ซบ) ด้วยพระนามของพระองค์ ข้าพเจ้าขอวาง สีข้าง (ในการนอน)ของข้าพเจ้า  และด้วยพระนามของพระองค์ข้าพเจ้าขอ ยกมัน(สีข้าง)ขึ้น (ลุกจากการนอน)  และข้าพเจ้า(ขอความเมตตา)โปรดอภัยให้แก่ข้าพเจ้าในบาป(ที่มากมาย)ของข้าพเจ้า  โอ้พระองค์อัลเลาะห์(ซบ) ได้โปรดให้ข้าพเจ้าห่างไกลจากการลงโทษของพระองค์ในวันที่พระองค์ทรงกำหนดให้บ่าวของพระองค์ทุกชีวิตฟื้นคืนชีพ(วันกิยามัต)   โอ้ พระองค์อัลเลาะห์(ซบ) ด้วยพระนามของพระองค์ ที่ข้าพเจ้าใด้มีชีวิตและเสียชีวิต  และข้าพเจ้าขอความคุ้มครองจากพระองค์จากความชั่วร้าย ในทุกๆกิจการของความชั่วร้าย และจากความชั่วร้ายของสิ่งถูกสร้าง(ทั้งหมดบนหน้าแผ่นดิน) ที่พระองค์ทรงปกครอง แท้จริงพระองค์อัลเลาะห์(ซบ)ของข้าพเจ้า(ทรงชี้ทางนำ)ไปสู่ทางที่เที่ยงตรง

โอ้พระองค์อัลเลาะห์(ซบ) พระองค์เท่านั้น ทรงแรกเริ่ม(โดยไม่มีจุดเริ่มต้น) ไม่มีสิ่งใดๆมาก่อนพระองค์ และพระองค์เท่านั้นทรงสุดท้ายไม่มีสิ่งใดๆหรือผู้ใดหลังจากพระองค์(ทุกๆสิ่งต้องสลายไปยกเว้นพระองค์)  และพระองค์ผู้ทรงปรากฏ(ผู้ทรงบังเกิดทุกๆสิ่งให้ปรากฏ) ไม่สิ่งใดๆอยู่เหนือพระองค์(ไม่ว่าจะเป็นอำนาจหรือทิศทาง)  และพระองค์ผู้ทรงเร้นลับไม่มีสิ่งใดๆอยู่ใต้พระองค์(ทิศทาง)

โอ้พระองค์อัลเลาะห์(ซบ) พระองค์คือผู้ทรงสร้างข้าพเจ้า และพระองค์ผู้ทรงเก็บชีวิตข้าพเจ้า ขอมอบหมายต่อพระองค์ในความตายและการมีชีวิตของข้าพเจ้า   หากความตายประสบกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขออภัยโทษ(ในบาปต่างๆของข้าพเจ้า)ต่อพระองค์ และหากข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ ขอได้โปรดพระองค์ทรงเมตตาด้วยการรักษาการมีชีวิตของข้าพเจ้า ดัวยกับการ(เตาฟิก วัล ฮิดายะห์)รักษาการปฎิบัติอามาลตัวของข้าพเจ้าให้การปฎิบัติอามาลของข้าพเจ้าเหมือนดังเช่น บรรดาผู้ที่ดีทั้งหลายด้วยเถิด (บรรดาคนซอและห์)  โอ้พระองค์อัลเลาะห์(ซบ)  โปรดอย่าอภัยโทษแก่ข้าพเจ้า(บาปในอดีตและปัจจุบันและอนาคตที่ข้าพเจ้าพลาดพลั่งไปทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ) และได้โปรดให้สุขภาพข้าพเจ้าแข็งแรง(เพื่อปฎิบัติอามาลที่สมบูรณ์ ต่อพระองค์)ด้วยเถิด

 
โอ้พระองค์อัลเลาะห์(ซบ)  โปรดเมตตาให้หัวใจข้าพเจ้ามีความระวัง ดูแล ในทุกๆเวลา ที่(จะปฎิบัติอามาลที่ดี) ต่อพระองค์  และได้โปรดให้ข้าพเจ้าได้ปฎิบัติอามาล ด้วยกับ อามาลที่พระองค์ทรงรัก(ทรงพอใจ) ที่ปฎิบัติต่อพระองค์(ในฐานะบ่าวที่ดี)  จนกระทั้งข้าพเจ้าได้เป็นบ่าวคนหนึ่งที่เข้าใกล้ความใกล้ชิดของพระองค์  และได้โปรดให้ข้าพเจ้าห่างไกลจากความโกรธกริ้วของพระองค์ด้วยเถิด 
 
โอ้พระองค์อัลเลาะห์(ซบ) โปรดเมตตาตอบรับ(ให้)กับการขอของข้าพเจ้าด้วยเถิด และข้าพเจ้าขออภัยโทษต่อพระองค์ผู้ทรงอภัยโทษ(ผู้ทรงสิทธิในการอภัยโทษแก่สิ่งถูกสร้างทั้งมวล ) แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด และโปรดตอบรับ ดุอาที่ข้าพเจ้าขอต่อพระองค์ด้วยเถิด


ثم اقرأ آية الكرسي ، وآمن الرسول إلى آخر السورة ، والاخلاص ، والمعوذتين ، وتبارك الملك ، وليأخذك النوم وأنت على ذكر الله وعلى الطهارة ، فمن فعل ذلك عرج بروحه إلى العرش وكتب مصليا إلى أن يستيقظ.

หลังจากนั้น ท่านจงอ่าน อายัต กุรซี  และ อายัต สุดท้ายของซูเราะห์ บากอเราะห์  และซุเราะห์อิคลาศ  ซุเราะห์ ฟาลัก ซูเราะห์ อันนาส และซูเราะห์ อัลมุล  และท่านจงพยายามนอนด้วยกับการ ซิเกร และในสภาพที่สะอาด (จากน่ายิสและฮาดัษเล็ก ใหญ่) และใครก็ตามที่ปฎิบัติดังกล่าว แล้ว วิญญาณจะขึ้นสู่ อารัช และได้ถูกบันทึก ในสภาพของการละหมาดจนกระทั้ง เขาได้ตื่น จากการนอน


فإذا استيقظت فارجع إلى ما عرفتك أولا ، وداوم على هذا الترتيب بقية عمرك ، فإن شقت عليك المداومة فاصبر صبر المريض على مرارة الدواء انتظارا للشفاء ، وتفكر في قصر عمرك ، وإن عشت مثلا مائة سنة فهي قليلة بالإضافة إلى مقامك في الدار الآخرة وهي أبد الآباد ، وتأمل أنك كيف تتحمل المشقة والذل في طلب الدنيا شهرا أو سنة رجاء أن تستريح بها عشرين سنة مثلا ، فكيف لا تتحمل ذلك أياما قلائل رجاء الاستراحة أبد الآباد؟!

เมื่อท่านได้ตื่นนอน ก็จงปฎิบัติตามที่ได้กล่าวไว้แล้ว(ในบทตะวันขึ้น)  และท่านจงคงอยู่กับการปฎิบัติตามขั้นตอน ที่ได้กล่าวไว้แล้ว จนสิ้นสุดอายุขัยของท่าน  และเมื่อใดก็ตามท่านรู้สึกยากที่จะทำตามขั้นตอนดังกล่าว ก็จงอดทนดังเช่นผู้ที่ป่วยที่ได้รับยาขม  และท่านจงพิจารณาใคร่ครวญถึงอายุของท่านว่า ช่างแสนสั้นนัก หากท่านมีอายุ ถึง 100 ปี ก็เป็นเพียงเล็กน้อยถ้าจะเทียบกับการมีชีวิตใน อาคิเราะห์ ที่ถาวร ไม่มีเวลากำกับ(ตลอดกาล)
ท่านจงพิจารณา ทำไมท่านจึงได้อดทนในดุนยา จากความยากลำบาก เป็นเดือนๆ หรือเป็น ปีๆ เพราะต้องการผักผ่อนเพียง 20 ปี เป็นต้น
แล้วทำไมท่านไม่อดทนเพียงเล็กน้อยเพียงในวันๆ(ในการพยายามปฎิบัติอามาลอิบาดัตให้สมบูรณ์)เพื่อความผาสุกที่ไม่มีจุดสิ้นสุดละ

ولا تطوّل أملك فيثقل عليك عملك ، وقدّر قرب الموت ، وقل في نفسك: إني أتحمل المشقة اليوم فلعلي أموت الليلة ، وأصبر الليلة فلعلى أموت غدا ، فإن الموت لا يهجم في وقت مخصوص , وحال مخصوص ,وسن مخصوص ، فلا بد من هجومه ، فالاستعداد له أولى من الاستعداد للدنيا ، وأنت تعلم أنك لا تبقى فيها إلا مدة يسيرة ، ولعله لم يبق من أجلك إلا يوم واحد أو نفس واحد ،

ท่านอย่าได้ใช้อายุขัยที่ยืนยาวของท่านในการขวยขวายในทรัพย์สมบัติ(ที่ไม่ได้ให้ผลดีต่ออาคิเราะห์) แต่อายุขัยของ(ในการทำความดีทีมีผลต่ออาคิเราะห์)ท่านนั้นสั้น  ( หลังจากท่านใด้ตายไปจะเสียใจในการใช้เวลาชีวิตเพื่อการหาทรัพย์สมบัติ เสมือนมีอายุในการทำความดีแสนสั้นนัก)

ท่านจงกระทำเสมือนว่า ความตายนั้นแสนใกล้นัก และท่านจงกล่าวกับตัวเอง จะรับความยากลำบากในวันนี้(ในการทำอามาลอิบาดะห์) เพื่อหวังว่าความตายท่านจะมาในคืนนี้ และท่านจงอดทนในคืนนี้(ในการปฎิบัติอามาลอิบาดะห์)เพื่อหวังว่าความตายอาจมาถึงท่านในวันพรุ่งนี้  และแท้จริงนั้นความตายอาจมาเยือนโดยไม่มีใครรู้เวลาที่แน่นอนได้  และสภาพที่แน่นอนได้ อาจจะมาในสภาพที่หลับสนิทก็ได้  ดังนั้นไม่มีใครรู้ว่า ความตายอาจมาจู่โจมท่านเมื่อใด  ดังนั้นท่านจงเตรียมตัวในดุนยาเพื่อที่จะรับมือกับความตายแต่เนิ่นๆในดุนยานี้(โดยการปฎิบัติอามาลทีสมบูรณ์)  และท่านควรรู้ไว้ แท้จริงท่านนั้น ไม่สามารถที่อยู่จะถาวรในดุนยาได้  ยกเว้นช่วงเวลาที่แสนสั้นเท่านั้น

และท่านจงคิดว่า ไม่สามารถที่จะคงอยู่ในอายุขัยท่านได้ตลอดยกเว้น เพียงหนึ่งวันหรือ หนึ่งลมหายใจเท่านั้น(เสมือนช่วงเวลาสั้นๆในดุนยา เพียงแค่หนึ่งวันหรือหนึ่งลมหายใจเท่านั้นถ้าจะเปรียบเทียบกับวันในอาคิเราะห์)


فقدر هذا في قلبك كل يوم ، وكلف نفسك الصبر على طاعة الله يوما فيوما ، فإنك لو قدرت البقاء خمسين سنة وألزمتها الصبر على طاعة الله تعالى نفرت واستصعبت عليك. فإن فعلت ذلك فرحت عند الموت فرحا لا آخر له ، وإن سوّفت وتساهلت جاءك الموت في وقت لا تحتسبه ، وتحسرت تحسرا لا آخر له ، وعند الصباح يحمد القوم السّرى ، وعند الموت يأتيك الخبر اليقين ، ولتعلمن نبأه بعد حين.
وإذا أرشدناك إلى ترتيب الأوراد ، فلنذكر لك كيفية الصلاة والصوم وآدابهما ، وآداب الإمامة والقدوة والجمعة.
และท่านจงประมาณการ(เตรียมตัว เตรียมสเบียงด้วยอามาลที่ดี ที่เป็นประโยชน์เมื่อความตายมาถึง) เช่นนี้ ในหัวใจท่านทุกๆวัน
และตัวท่านจงรับภาระนี้ด้วยความอดทน(ในการต่อสู้กับนัซซูของตัวเองและการยุแย่ของซัยตอน) เพื่อการ ภักดีต่อ พระองค์อัลเลาะห์(ซบ) ในวันนี้และวันต่อๆไป(ทุกๆวัน)
และแท้จริงนั้นถ้าท่านกำหนดอายุประมาณ 50 ปี  และท่านตั้งมั่นอยู่ด้วยการอดทนเพื่อ ภักดี ต่อ พระองค์อัลเลาะห์(ซบ) และถ้าหากท่านปฎิบัติเช่นนี้ท่านจะได้รับความปิติยินดี ที่ไม่มีวันจบสิ้น  หากว่าท่านยอมที่จะไม่ทำการดังกล่าว(การภักดีอย่างจริงจังต่อพระองค์อัลเลาะห์(ซบ) ) หรือปล่อยปะละเลยแบบง่ายๆ   (ท่านจะต้องรู้สึกเสียดายในการดังกล่าว) เมื่อความตายมาถึงท่านในเวลาที่ไม่สามารถจะเจาะจงได้ในเวลาที่ความตายจะมาถึง ท่านจะต้องเสียใจในความเสียใจที่ไม่มีวันสิ้นสุด(เพราะเวลาไม่สามารถย้อนคืนกลับมาได้) 
(และท่านจงจำสำนวนอาหรับที่ว่า)

وعند الصباح يحمد القوم السّرى
มีการสรรเสริญแก่กลุ่ม(ที่ความยึดมั่น)ที่เดินทาง(ในช่วงกลางคืน) ในเวลาเช้า

ขยายความว่า จุดมุ่งหมายของสำนวนนี้คือ มีกลุ่มหนึ่งมีความยึดมั่นในปลายทางที่จะไป โดยเขาได้เดินทางตลอดทั้งกลางคืน โดยไม่ให้เวลาได้เสียเปล่าไป จนเขาได้ถึงจุดหมายแต่เนิ่นๆในเวลาเช้า กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่น่าสรรเสริญ โดยจะเปรียบเทียบกับอีกกลุ่มที่มีความเชื่อในปลายทางเหมือนกันแต่เขาหยุดพักผ่อนในเวลากลางคืนทำให้ถึงจุดหมายช้ากว่ากลุ่มแรกมาก เขาได้ใช้เวลาในการนอนหรือผักผ่อนไป เสมือนใช้เวลาโดยเปล่าประโยชน์นั้นเอง กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ขาดทุน และเสียใจ 
และเมื่อใดที่ท่านได้เสียชีวิตไป เมื่อนั้นท่านจะได้รู้ถึง ในสิ่งที่ข้าพเจ้า(อีหม่าม ฆอซาลี  รฮ )  ได้กล่าวไว้ดังเช่นอัลกุรอ่านได้กล่าวไว้ว่า



ความว่า  และแน่นอนเจ้าจะได้รู้ข่าวคราว(ในสิ่งที่ชัดแจ้ง)ของอัลกุรอ่านในระยะเวลาอันใกล้นี้ (เมื่อความตายมาเยือน)

และข้าพเจ้า(อีหม่าม ฆอซาลี รฮ) ได้กล่าวไว้แล้วถึง ขั้นตอนการวิริดต่างๆ  และต่อไปข้าพเจ้าอีหม่าม ฆอซาลี (รฮ) จะกล่าวต่อไป(ในบทต่อไป)คือ วิธีในการละหมาด  และการถือศีลอด และมารยาทของทั้งสอง  และมารยาทของผู้เป็นอีหม่าม และผู้ตาม (มะมูม) และ มารยาทการละหมาดญุมอะห์ (วันศุกร์)

12
:salam: พื้นฐานอิสลามคืออะไร อะไรถูกต้องที่สุด อัลกุรอาน และฮาดิษใช่มั้ย
มัชฮับคืออะไร คือข้อตัดสินจากนักวิชาการใช่มั้ย แล้วนักวิชการมีโอกาสผิดพลาดได้มั้ย
ถ้านักวิชากมีโอกาสพลาดได้ งั้นเรายึดเอาของไม่มีทางผิดจะดีกว่ามั้ย นั่นคือกิตาบุลเลาะห์ และอัซซุนนะ


เป็นการล่อเป้า ที่ดีแท้  hehe hehe  เลยนะครับ ท่าน ฮันท์ เลยโดนอ้างซะหลายคนทีเดียว คนในนี้เขามีเหตุผลมากพอที่จะตามนะครับ
ยังงัย รอบหลังก็ขยายความหน่อยก็ดีนะครับ หรือ เอาหลักการที่แคบกว่าด้านบนอีกนิดเพื่อความเข้าใจที่ดีขึ้น เช่น  อัลกุรอ่านจากสำนักไหน ตัฟชีร ของใคร ฮาดิษ ใครคือ ตัดสินตัวบท อะไรประมาณนี้นะครับ

และคิดว่าคนในนี้ ยินดีต้อนรับเสมอกับทุกๆท่าน ที่เข้ามาพูดคุยเรื่องศาสนา  ยังงัยท่าน ฮันท์ ก็เข้ามาขยายความต่อได้เลยนะครับผม                       loveit: 

13
:salam: พื้นฐานอิสลามคืออะไร อะไรถูกต้องที่สุด อัลกุรอาน และฮาดิษใช่มั้ย
มัชฮับคืออะไร คือข้อตัดสินจากนักวิชาการใช่มั้ย แล้วนักวิชการมีโอกาสผิดพลาดได้มั้ย
ถ้านักวิชากมีโอกาสพลาดได้ งั้นเรายึดเอาของไม่มีทางผิดจะดีกว่ามั้ย นั่นคือกิตาบุลเลาะห์ และอัซซุนนะ

อัสลามุอลัยกุมครับ 

   จริงๆก็เป็นเรื่องปกติของ การมีทัศนะที่แตกต่างกัน  ผู้คนเหล่านั้นย่อมไม่ตามในแนวทางทัศนะอื่นยกเว้นทัศนะที่ตัวเองยึดมั่น แต่   (ต้องมี แต่ เพื่อให้ต้องคิด)

   การที่ ท่านข้างบนที่ผมอ้างถึง กล่าวว่า เราต้องตามในสิ่งที่ถูกที่สุด คือ กีตาบุลเลาะห์ และ ซุนนะห์หรือ แนวทางท่านนบีมูฮำหมัด(ซล)  คงไม่มีใครกล้าเถึยงในประเด็นนี้หรอกครับ หากใครปฎิเสธทั้งสองหรือ ส่วนใดส่วนหนึ่ง ก็เท่ากับตกมุรตัดไปโดยปริยาย 

    แต่ที่ผมอยากรู้ ว่าผู้ที่ไม่มีความผิดเลยคือ ท่านนบีมูฮำหมัด (ซล) ซึ่งมะห์ซูมโดยถูกปกป้องความผิดจากพระองค์อัลเลาะห์(ซบ) เอาผมให้ คอลีฟะห์อีก 4 ท่าน ว่าตามได้ทั้งหมดไม่มีผิด
 
    ที่สงสัยคือ แล้วท่านอื่นๆนอกจากที่กล่าว คือ 5   หนึ่ง นบี  กับสี่ คอลีฟะห์ นอกเหนือจากนี้ มีโอกาสผิดได้หมดทุกคน ตั้งแต่ซอฮาบะห์ ยันมนุษย์คนสุดท้ายในดุนยา ทุกๆคน ยกเว้น ทั้ง5ท่านที่กล่าวด้านบน มีโอกาสผิดได้หมด แล้ว อีหม่าม บุคอรี อีหม่ามอะหมัด อีหม่าม ติรมีซี อีหม่ามอบูดาวูด (รฮ) ผู้รวบรวมฮาดิษทั้งหมดก็โอกาสผิด ท่านว่าไหม?
เพราะเขาเหล่านั้นไม่ มะห์ซูม ไม่ถูกปกป้องความผิดจากพระเจ้า  แล้วเราจะตามใคร?????  ในเมื่อทุกท่านมีโอกาสผิดหมด แล้วจังหวะที่เราไม่สามารถสื่อสารกับท่านนบี(ซล)ได้ด้วยตัวเองอีก เราก็ไม่รู้ว่าผู้ที่นำทั้งฮาดิษ และอัลกุรอ่าน มาให้เราได้เรียนรู้ปัจจุบัน ผิดหรือเปล่า???????

  และที่สำคัญที่สุด คือ ผู้ที่ท่านกำลังเรียนกับเขา เขาก็ไม่มะห์ซูมไม่ใช่หรือ หรือมะห์ซูม????????????
เขาก็มีโอกาสผิดเหมือนกัน เท่าๆกัน หรืออาจจะน้อยกว่า มากกว่า ????????แล้วใครตัดสินว่าตรงไหนที่เรียกว่าผิดหรือถูก เพราะฮาดิษ ไม่ว่า จะเป็น ทั้งซอเฮียะห์ หรือ ฮะซัน ทั้งหมดผู้ตัดสินว่า ซอเฮียะห์ หรือ หะสัน หรือดออีฟ ก็เป็นผู้ที่โอกาสผิดหมด ????????????

   พิมเอง งง เอง ??????   สรุป ถ้าการตามมัซฮับ หรือ ผู้นำมัซฮับ มีโอกาส ผิด ทั้งๆผู้นำมัซฮับนั้นอยู่ใกล้หลักฐานทั้งเวลาและสถานที่ แล้วผู้ที่อยู่ทั้งห่างไกลจากหลักฐาน และเวลา จะถูกต้องมากกว่าหรือ จะมีอยู่ทางเดียวที่มีโอกาสถูกต้องมากกว่า ผู้นำมัซฮับ ทั้ง 4 คือ ท่านต้องนั่ง ไทร์แมชชีน (เครือ่งย้อนเวลา) natural: แล้วไปเรียนกับ นบี(ซล) ด้วยของท่านเอง เท่านั้นนะครับ  ต่อให้ใช้สติปัญญาส่วนใหนคิด ก็คิดไม่ออกว่า ผู้คนรุ่นหลังจะประเสริฐกว่าคนรุ่นก่อนที่ยังได้กลิ่นอายของท่านร่อซูล และซอฮาบัต ท่านว่าจริงไหมครับ ??????????????????????????



    ไม่ว่าจะรับรู้อัลกุรอ่านและอัลฮาดิษ มาจากไหนก็ตาม ทั้งหมดนั้นผู้นำมาก็คือ อุลามาอฺ ทั้งหมด และเป็นผู้นำหลักการมาสู่รุ่นต่อรุ่น ยันกิยามัต เพราะเราไม่สามารถรับ วะฮี จากพระผู้เป็นเจ้าโดยตรงได้ และก็ไม่สามารถย้อนเวลากลับหาท่านร่อซูล(ซล) ได้    ฉะนั้นเราจงเลือกตาม อุลามาอฺ ที่มีคุณธรรมและมีความรุ้ที่ดีเถิด อย่างน้อยเราก็สามารถเรียนรู้คุณธรรมและความรู้ที่ดีที่มีประโยชน์จากเขาได้   ท่านว่าจริงไหม  loveit: 

14
   อัสลามุอลัยกุมครับ


آداب النوم                                                           
فإذا أردت النوم فابسط فراشك مستقبل القبلة ، ونم على يمينك كما يضطجع الميت في لحده ، واعلم أن النوم مثل الموت ، واليقظة مثل البعث ، فكن مستعدا للقائه بأن تنام على طهارة ، وتكون وصيتك مكتوبة تحت رأسك ، وتنام تائبا من الذنوب مستغفرا عازما على ألا تعود إلى معصية ، واعزم على الخير لجميع المسلمين إن بعثك الله تعالى ، وتذكر أنك ستضجع في اللحد وحيدا فريدا ، ليس معك إلا عملك ، ولا تجزى إلا بسعيك.

ولا تستجلب النوم تكلفا بتمهيد الفرش الوطيئة ، فإن النوم تعطيل للحياة إلا إذا كانت وبالا عليك فنومك سلامة لدينك.

واعلم أن الليل والنهار أربع وعشرون ساعة ، فلا يكن نومك بالليل والنهار أكثر من ثماني ساعات ، فيكفيك إن عشت مثلا ستين سنة أن تضيع منها عشرين سنة وهو ثلث عمرك.

وأعدّ عند النوم سواكك وطهورك ، واعزم على قيام الليل أو على القيام قبل الصبح ، فركعتان في جوف الليل كنز من كنوز البر ، فاستكثر من كنوزك ليوم فقرك ، فلن تغني عنك كنوز الدنيا إذا متّ.


                           
๑                                                     آداب النوم                                                         
                                               บทว่าด้วยมารยาทในการนอน


فإذا أردت النوم فابسط فراشك مستقبل القبلة ، ونم على يمينك كما يضطجع الميت في لحده ، واعلم أن النوم مثل الموت ، واليقظة مثل البعث ، فكن مستعدا للقائه بأن تنام على طهارة ، وتكون وصيتك مكتوبة تحت رأسك ، وتنام تائبا من الذنوب مستغفرا عازما على ألا تعود إلى معصية ، واعزم على الخير لجميع المسلمين إن بعثك الله تعالى ، وتذكر أنك ستضجع في اللحد وحيدا فريدا ، ليس معك إلا عملك ، ولا تجزى إلا بسعيك.

     เมื่อท่านต้องการที่จะนอน ท่านจงเตรียมตัว (และหันหัวไปทางกิบลัต) และนอนด้วยกับการตะแคงขวา  เสมือนผู้ที่ตายในหลุมฝังศพ(ในขณะที่ถูกฝัง)

และท่านจงรู้เถอะว่า การนอนนั้น เสมือนการตาย และการตื่น ก็เสมือนกับการตื่น ในวันกิยามัตที่จะมาถึง (ไม่มีใครรู้ว่าวิญญานนั้นจะถูกพระองค์อัลเลาะห์(ซบ) ถอดออกจากร่างกายในคืนใด  ที่ท่านนอน ) และเช่นนี้ ท่านจงเตรียมตัวในการนอน ถ้าได้พบกับ พระองค์อัลเลาะห์(ซบ)(ความตายมาในคืนที่นอน) ก็จงพบด้วยกับความบริสุทธิ์(จากฮาดัษและบริสุทธิ์ใจในการนอนด้วยการรำลึกถึงพระองค์) และ ท่านจงทำ พินัยกรรม หรือคำสั่งเสีย ไว้ใต้หัวของท่าน(ใต้หมอน)   
และท่านจงนอน พร้อมกับการเตาบัตและขออภัยโทษ ท่านจงยึดมั่นอย่างตั้งใจว่าจะไม่กลับไปทำมัวะซิยัต (การฝ่าฝืน) อีก และท่านจงตั้งใจที่จะทำดีต่อมนุษย์ทั้งมวล หากพระองค์อัลเลาะห์(ซบ)นั้นให้ท่านได้ตื่นขึ้นอีก(ในอีกวัน หรือ ตื่นในดุนยาต่อไป)
 
   และท่านจงรำลึกว่า แท้จริงร่างกายท่านนั้นจะต้อง นอนในหลุมฝังศพ และต้องแตกสลายไป(อย่างแน่นอน)  ไม่มีสิ่งใดอยู่กับท่าน(ในช่วงเวลานั้น) นอกจาก อามาลของท่าน และไม่มีผลประโยชน์ใดๆ(ที่จะได้ตอบแทนในขณะนั้น)ยกเว้น ความพยายามของท่าน(ที่จะต้องถูกสอบสวน)


ولا تستجلب النوم تكلفا بتمهيد الفرش الوطيئة ، فإن النوم تعطيل للحياة إلا إذا كانت وبالا عليك فنومك سلامة لدينك.

และท่านอย่ารีบเร่ง ตระเตรียมที่นอน(แต่เนินๆ ก่อนเวลา) อย่างง่ายๆ  แท้จริงการนอนนั้น เป็นการ (ใช้เวลาโดย) ความว่างเปล่าของชีวิต  ยกเว้น ก็ต่อเมื่อที่ท่าน(คิดว่า) การตื่นของท่านเป็นการไม่ปลอดภัย(ต่อศาสนาของท่าน) ท่านจงนอนเถอะ เพราะการนอน(ในกรณีนี้ ) เป็นาการปลอดภัยต่อศาสนาของท่าน

واعلم أن الليل والنهار أربع وعشرون ساعة ، فلا يكن نومك بالليل والنهار أكثر من ثماني ساعات ، فيكفيك إن عشت مثلا ستين سنة أن تضيع منها عشرين سنة وهو ثلث عمرك.

    และจงรู้เถอะว่า แท้จริงเวลา กลางคืนและกลางวัน รวมกันนั้นได้ 24 ชั่วโมง และท่านอย่าได้นอนกลางวันหรือกลางคืน มากกว่า 8 ชั่วโมง หากปรากฏว่าท่านนั้น อายุ 60 ปี ก็เท่ากับ ท่านนั้นได้สูญเวลาเปล่าไป 20 ปี จากอายุของท่าน เป็น 1 ส่วน 3 (ของชีวิตของท่าน)


وأعدّ عند النوم سواكك وطهورك ، واعزم على قيام الليل أو على القيام قبل الصبح ، فركعتان في جوف الليل كنز من كنوز البر ، فاستكثر من كنوزك ليوم فقرك ، فلن تغني عنك كنوز الدنيا إذا متّ.

   เมื่อท่านเตรียมที่จะนอน ท่านจง แปรงฟัน และทำความสะอาด (จากน่ายิสต่างๆในร่างกาย รวมฮาดัษ เล็กและใหญ่) และท่านจงตั้งใจที่จะตื่นในช่วงดึก(เพื่อ ปฎิบัติละหมาดและอามาลต่างๆ ) หรือ ช่วงก่อนซุบฮิ  เพราะ 2 ร่อกาอัตในช่วงดึกนั้น เป็นการสะสม(สมบัติที่จะใช้ในวันอาคิเราะห์) ที่ดี(ที่ใช้ได้จริงในวันนั้น)  ดังนั้น ท่านจงสะสมให้มากๆ จาก การสะสมนี้ เพื่อเป็น สมบัติที่จะใช้ในวันที่ท่าน ยากจน(วันกิยามะห์ ) และท่านจะไม่มีสมบัติ(ทรัพย์สินในดุนยา) ในการสะสมในดุนยานี้(ถึงแม้จะมากเพียงใดแต่ใช้ไม่ได้ในกุโบร์) เมื่อท่านได้ตายไป(ยกเว้น อามาลที่ดีท่านได้สะสมไว้ในหน้าดุนยาเท่านั้น)   


                                                                                   วัสลามครับ

15
อัสลามุอลัยกุมครับ

    แค่อยากบอกจากความรู้สึกในใจจริง ว่า เสียใจครับ 

    ผมไม่รู้เหตุผลของแต่ละคนเป็นอย่างไร แต่ผมต้องระวังในการจะออกความคิดเห็นเป็นพิเศษ เพราะการจะบอกว่าฝ่ายใดฝ่ายผิดหรือถูกย่อยเป็นการทำร้าย ทำลายน้ำใจของอีกฝ่ายเป็นแน่แท้ ซึ่งทั้งหมดก็เป็น พี่น้องมุสลิมที่ผมรัก  ที่อิสลามถือว่าเป็นพี่น้องกันทั้งนั้น แถมยังลึกซึ่งที่ว่าเดินตามแนวทางเดียวกันในด้านต่างๆด้วยอีกทบหนึ่ง   

   ทุกท่านก็มีเหตุผลเป็นของตัวเอง ซึ่งในเหตุผลนั้นไม่สามารถบังคับให้ใครตามหรือเชื่อในเหตุของตัวเองได้ยกเว้น ตัวเราเอง ซึ่งทางออกก็คือยอมรับในเหตุผลของทุกๆคน ที่แตกต่างออกไป ถึงแม้เราจะไม่ตามก็ตามที 

   ถ้าจะให้มองในด้าน ตะเชาวุฟ การชอบใจหรือพึงพอใจในสิ่งที่ผู้คน ชื่นชม(โดยไม่ซูโกรต่อพระองค์อัลเลาะห์ ซบ) ก็เป็น ส่วนหนึ่งของนิสัยหรือ ซีฟัต ที่น่ารังเกียจในด้านตะเชาวุฟ คือ ซีฟัต ซุมอะห์ (ชอบที่จะให้ผู้คนชื่นชม)  แต่ถ้าผู้ที่อดทนต่อสิ่งที่ ถูกตำนิ และ ดูถูก หรืออื่นๆ โดยที่เขามองไปที่ ความผิดพลาดของตัวเองที่เกิดขึ้น หรือ อาจจะเกิดขึ้น หรือสิ่งที่เกิดขึ้นที่ผ่านมาแล้ว (ถึงแม้ตัวเองคิดว่าถูกต้องก็ตาม) โดยที่คิดว่า เป็นการทดสอบที่ พระองค์อัลเลาะห์(ซบ) ได้ทดสอบ ถึงความหนักแน่นในการศรัทธาในจิตใจ ว่ามีอีหม่ามที่จะอดทนต่อสิ่งเหล่านี้ได้แค่ไหน และเขาพร้อมจะอดทนในทุกกรณี ย่อมเป็นบุคคลที่น่าสรรเสริญในทุกๆด้าน และเป็นที่พอใจกว่า ณ พระองค์อัลเลาะห์(ซบ) มากกว่าผู้ที่ ไม่อดทน ต่อสิ่งต่างๆที่พระองค์ทดสอบ

   
  ถ้าจะให้ มองในด้าน อุซูลุดดีน  เราย่อมรู้ดีอยู่แล้ว การกระทำที่เกิดขึ้นทั้งหมดจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้ ยกเว้น ด้วยกับ การอนุญาติของพระองค์ (  باذ نالله )   ที่จะอนุญาติให้เกิดขึ้น หากรู้ว่า การกระทำใดของผู้ใดก็แล้วแต่เป็นการสร้างความไม่พอใจแก่เรา ก็ย่อมประจักษ์ชัดว่า ส่วนหนึ่งด้วยกับการ ที่พระองค์อัลเลาะห์(ซบ)ได้อนุญาติให้เกิดขึ้น เพื่อเป็นการทดสอบบนตัวเรา หากเราไม่พอใจหรือ โกรธ ก็ต้องคิดว่า การโกรธนั้น เป็นส่วนหนึ่งในการโกรธพระองค์อัลเลาะห์(ซบ)ที่พระองค์ทรงทดสอบเรา (การคิดอย่างนี้เพื่อ ระงับการโกรธและยอมรับในบททดสอบนี้) เพราะคงไม่มีใครที่มีอีหม่านกล้าโกรธพระองค์อัลเลาะห์(ซบ)

   แต่สุดท้ายหากเราไม่สามารถระงับ นัฟซู ในการโกรธและไม่พอใจได้  ก็ควรคิดอย่างหนักว่า เราควรให้เกียรติกัน ด้วยการไม่นำออกสู่ธารณะได้หรือไม่ เพราะอย่างน้อยก็เป็นการปกปิด ฟิตนะห์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตในทุกๆทาง หากวันใดเราพร้อมยินดีที่จะประสานความสัมพันธิ์ดังเดิม ก็จะเป็นการง่ายดายกว่า หากความคิดเห็นแตกต่างที่จะถถเถียง(ร้าวฉาน) เป็นเพียงแค่ความลับ


   ที่กล่าวมา ผมเพียงแค่แนะนำในสิ่งที่พอรู้ที่ท่านทั้ง สองย่อมรู้ดีอยู่แล้ว  ไม่ใช่การสอนหรืออะไร เพราะทั้ง 2 ท่านเป็นผู้รู้ย่อมรู้ดี กว่าผมหลายเท่านัก และด้วยความบริสุทธิ์ที่ ยินดีมาก หากทั้งสองเป็น เสมือนรักแรกเริ่ม  และคงเสียใจ หากทั้ง สอง เป็น เสมือน รักสิ้นสุด ด้วยการหย่าร้าง   
 
   และสุดท้ายผมก็ขอดุอา ให้ทั้งสองหรือ ทั้งหมด ให้เข้าใจซึ่งกันและกัน สมัครสมานเหมือนดัง อัลอิสลามที่กล่าวว่า อิลอิสลามเสมือนเรือนร่างเดียวกัน และขอให้ทั้งสองหรือทั้งหมด มีแนวทางที่ดีที่ถูกต้องตามที่พระองค์อัลเลาะห์(ซบ)ทรงพอใจ และมีความรู้เพิ่มพูนดังเช่นอุลามาที่เป็นมรดกท่านร่อซูล  ที่ได้อยู่ใกล้ชิดท่านร่อซูล(ซล)เมื่อถึงวันอาคิเราะห์  และผมขอมาอัฟอย่างมาก ทัง้สอง หรือ มากกว่านั้น หากความคิดเห็นผมทำให้ท่านรู้สึกไม่ดี  และผมพร้อมรับในคำติของท่านด้วยความยินดียิ่งครับ 
                                         
                                                                                                         วัสลาม

หน้า: [1] 2 3 ... 12