แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - TruthSeeker

หน้า: [1] 2 3 4
1
ในเรื่องของคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ เช่นในกรณีนี้ (หรือในกรณีของของมึนเมา คล้ายๆกัน คือ คำถามว่า เจ้าจะจังไม่หยุดมันหรือ) เช่นในกรณีสุรา ผมก็ตอบว่า ใช่ควรจะหยุดการมึนเมา แล้วก็ได้บทเรียนในเชิงตักเตือนว่าควรจะหยุดของมึนเมา (ถ้าเคยใช้ และไม่ควรไปใช้)

คุณจะเห็นประโยชน์ของคำถามเช่นนี้ได้เมื่อคุณตอบก่อน (ซึ่งคุณได้ตอบให้ผมเห็นแล้วเช่นกัน ว่า "พวกเขาไม่เชื่ออัลกุรอานที่มีอรรถรสและบ่งชี้ถึงความสัจจริงของร่อซูลุลลอฮ์ (ซ.ล.) ดังนั้นสิ่งใดอีกเล่าที่พวกเขาจะเชื่อ")

ในกรณีนี้ก็เช่นเดียวกัน การที่อัลลอฮใช้สรรพนามบุรุสที่สามอ้างถึงพวกผู้ปฏิเสธ ก็แสดงชัดเจนอยู่แล้วว่าคำถามนี้เ็ป็นการเตือนการคนอ่าน ไม่ใช่ตำหนิผู้ปฏิเสธโดยตรง เพราะเป็นคำถามในลักษณะแบบนี้ และก็ได้บทเรียนดังในโพสก่อนของผมซึ่งชัดแจนอยู่แล้ว

นอกจากนี้ คำตอบของคุณนี้ที่ว่า  "พวกเขาไม่เชื่ออัลกุรอาน แน่นอนว่า  ถ้อยคำพูดอื่น ๆ  พวกเขาไม่เชื่ออยู่แล้ว" นั้นไม่เป็นจริง ชัดเจน เพราะเขาไม่ได้เชื่อในกุรอานแต่เขาเชื่อในคำบอกเล่าอื่นๆ เช่นคำภีร์หรือตำราของเขา (จำนวนมาก) นั่นคือ เขาเชื่อในถ้อยคำอื่นๆ นอกจากกุรอานนี้ 

[77.50]  ดังนั้น (คำบอกเล่า/หะดิษ) อันใดเล่าหลังจากอัลกุรอานที่พวกเขาจะศรัทธากัน (คำบอกเล่า คือ หะดิษในภาษาอาหรับต้นฉบับ)

 หมายความชัดเจนในเชิงตักเตือนว่า หลังจากกุรอานนี้แล้วไม่ควรศรัทธาในคำบอกเล่าใดๆทั้งสิ้น

ดังนั้นผมไม่เห็นด้วยใจการตอบของคุณนี้ (แต่แน่นอนเป็นสิทธิของคุณ)

คุณเข้าใจอัลกุรอานผิดครับ  อัลเลาะฮ์ทรงตรัสโดยไม่ต้องการคำตอบ  แต่คุณเองกลับต้องการคำตอบซึ่งดังกล่าวความคิดของคุณที่ผิดตามเจตนารมณ์ของอัลกุรอาน   ดังนั้นความเข้าใจของคนจังไร้ความหมายและไม่ถูกต้องตามหลักภาษาอาหรับที่อัลกุรอานได้ประทานลงมา

คุณเข้าใจอัลกุรอานผิดและเข้าใจ "คำถาม" ในอายะฮ์อัลกุรอานผิดแล้วครับ  กล่าวคือ คุณคิดว่าการถามดังกล่าวนั้น   หมายถึงพระองค์ทรงถามผู้ปฏิเสธหรือถามเราก็หาไม่ครับ   เพราะคำถามนี้ไม่ต้องการคำตอบ  เนื่องจากเป็นการถามสิ่งหนึ่งอันเป็นที่รู้กันและถามเพียงเพื่อทำการตำหนิพวกปฏิเสธเท่านั้น 

ดังนั้น  ตามหลักวิชาภาษาอาหรับ  แขนงของวิชาอรรถศิลป์ (อัลมาอานีย์)  ระบุว่า  การถามเช่นนี้  ไม่ใช่มีเป้าหมายเพื่อต้องการคำตอบ  แต่ถามเพื่อตำหนิพวกปฏิเสธเท่านั้น   ฉะนั้น หากคำถามในเชิงตำหนิอยู่ในรูปประโยคที่ปฏิเสธ  จุดมุ่งหมายของประโยคจะมีความหมายในเชิงยืนยันบอกเล่า   แต่ถ้าหากประโยคคำถามในเชิงตำหนิอยู่ในรูปประโยคของการบอกเล่า(ไม่ปฏิเสธ)  จุดมุ่งหมายของประโยคจะมีความหมายในเชิงปฏิเสธ

ตัวอย่างเช่นอายะฮ์  77.50 ที่มีความว่า "ดังนั้น (คำบอกเล่า/หะดิษ) อันใดเล่าหลังจากอัลกุรอานที่พวกเขาจะศรัทธากัน"  ซึ่งเป็นประโยคคำถามเชิงยืนยันไม่ได้ปฏิเสธ  ดังนั้นคำถามในเชิงตำหนิที่อยู่ในประโยคยืนยันนั้น  จะมีความหมายสะท้อนถึงการปฏิเสธตามหลักภาษาอาหรับเชิงวิชาอรรถศิลป์  เพราะฉะนั้นอายะฮ์ดังกล่าวนี้จึงมีความหมายว่า "พวกเขาไม่เชื่ออัลกุรอานที่มีอรรถรสและบ่งชี้ถึงความสัจจริงของร่อซูลุลลอฮ์ (ซ.ล.) ดังนั้นสิ่งใดอีกเล่าที่พวกเขาจะเชื่อ"   ซึ่งหมายถึงว่า  พวกเขาไม่เชื่ออัลกุรอาน แน่นอนว่า  ถ้อยคำพูดอื่น ๆ  พวกเขาไม่เชื่ออยู่แล้ว

ดังนั้น  คุณจะเอาอายะฮ์นี้มาตำหนิพวกเราตามความเข้าใจของคุณที่มีต่ออายะฮ์นี้ไม่ได้อย่างแน่นอนและเด็ดขาด   วัลลอฮุอะลัม

ที่คุณกล่าวว่า ["พวกเขาไม่เชื่ออัลกุรอานที่มีอรรถรสและบ่งชี้ถึงความสัจจริงของร่อซูลุลลอฮ์ (ซ.ล.) ดังนั้นสิ่งใดอีกเล่าที่พวกเขาจะเชื่อ"   ซึ่งหมายถึงว่า  พวกเขาไม่เชื่ออัลกุรอาน แน่นอนว่า  ถ้อยคำพูดอื่น ๆ  พวกเขาไม่เชื่ออยู่แล้ว]

ผมเห็นว่าไม่จริงครับ เพราะพวกเขาเชื่อคำพูดอื่นๆ นอกจากกุรอาน  ครับ (แน่นอนพวกปฏิเสธเขาไม่เชื่อกุรอานอยู่แล้วครับ ตามนิยามอยู่แล้ว แต่เขาเชื่อหะดิษ/เรื่องเล่าอื่นนอกจากกุรอาน) ละผมได้บอกแล้วว่า ถ้าคุณไม่ตอบคำถามพวกนี้ก่อน คุณก็ไม่เข้าใจ ซึ่งคุณก็กำลังตอบ เพื่อให้เข้าใจ ทั้งๆที่คุณบอกว่าไม่ต้องการคำตอบ

ดังนั้น มันเกี่ยวข้องแน่นอนว่าคำถามในเชิงตักเตือนนี้นี้กำลังถามใคร (นั่นคือผู้อ่าน สำหรับผม) และกล่าวถึงใีครในสรรพนามบุรุสที่สาม และให้บทเรียนแ่ก่เราผู้อ่านอย่างชัดเจนว่า ถ้าคุณเป็นผู้ศรัทธา คุณก็ไม่ควรเชื่อหะดิษอื่นนอกจากกุรอาน แบบพวกผู้ปฏิเสธเขาครับ เพราะคุณต้องการจะสักการะพระเจ้า ไม่ใช่คนอื่น ด้งนั้นคุณต้องมั่นใจว่าแต่ละคำสั่งมาจากพระเจ้าจริงหรือไม่ ซึ่งการรักษากุรอานของพระเจ้าจนถึงทุกวันนี้เป็นสัญญาณที่ชัดแจ้งอย่างหนึ่ง หะดิษอื่นนอกจากกุรอานไม่ได้ถูกรักษาอย่างเทียบเท่ากุรอานเลยแม้แต่น้อย

ผมเริ่มเห็นว่าการเสวนานี้วนไปเวียนมากับเรื่องเดิมๆแล้วครับ และผมไม่ต้องการโพสซ้ำๆ อีกครับ ขออภัยด้วย

ผมคิดว่าผมได้มาแสดงความเข้าใจคร่าวๆ ของคนที่คิดว่ากุรอานครบถ้วนพอเพียงแล้ว เกี่ยวกับเรื่องในหัวข้อการเชื่อในหะัดิษอื่นนอกจากกุรอาน ดังนั้นผมขอจบการเสวนาของผมครับ ผมไม่อยากอ้างถึงเรื่องกุรอานพอเพียงครบถ้วนให้นอกประเด็นอีกครับ


ผมขอทิ้งท้ายไว้เล็กน้อยว่า .....................................................


ผมต้องขออภัยถ้าได้ล่วงเกินด้วยวาจาแก่ท่าน ขอท่านอภัยให้ผมด้วยครับ ผมเพียงต้องการเข้าใจและสักการะพระเจ้าอย่างจริงใจครับ

ขอขอบคุณ คุณ al-azhary รวมทั้งท่านอื่นๆ อย่างสุง ที่ได้ให้เวลาในการเสวนาและโอกาสในการแสดงความคิดกับผมบนฟอรัมของท่าน โดยเฉพาะ คุณ al-azhary ที่ได้เสวนาอย่างสุภาพและควบคุมให้ตรงประเด็นครับ

ขอพระเจ้าทรงนำทางครับ

2
คุณเข้าใจเองใจไงครับ
คุณเทียบ ภาษาอาหรับ เอง เลยเข้าใจเอง
คนอื่น เขาก็เทียบ ภาษาอาหรับ ไม่ใช่ เขานั่งเทียนเขียนขึ้นมาเฉยๆ
แต่ก็ ไม่มีใคร เขาพิม แปล ออกมาแบบที่คุณ นำเสนอ เช่นนี้

วัจนะของอัลลอฮฺ ไม่ใช่ของมนุษย์
คุณแน่ใจแล้วหรือว่า คุณแปล และเข้าใจถูกต้อง

คุณเข้าใจไหมว่า ผู้ที่จะแปลอัลกรุอาน ต้องเรียนรู้เรื่องใดในศาสนาบ้าง
คนอาหรับ รู้ภาษาอาหรับ มันยังอ่านอัลกรุอาน กันไม่เข้าใจเลย
แล้วคุณเป็นอะไร ถึงกล้ามั่นใจหนักหนา

หากคุณกล่าวว่า อัลกรุอาน ก็พอแล้ว อัลลอฮฺจะทรงส่งร่อซู้ล ส่งนบี ลงมากันทำไม ?
ถ้าอัลกรุอาน มนุษย์ธรรมดา อ่านเข้าใจได้ง่าย
ก็ไม่ต้องมีครูสอนศาสนา แค่เรียนรู้ภาษาอาหรับ แล้วก็แปลกันเอาเองอย่างนั้นหรือ ?

คุณคงคิดว่าภาษาอาหรับนั้นง่ายมาก แต่ผมคิดว่าคุณไม่รู้จริง เลยเข้าใจแบบมั่วๆ
เพราะแท้จริง มันจะมีปัญหาตามมาอีกมากมาย ซึ่งคุณจะต้องพยายามตอบ แล้วก็จะกลายเป็นตอบแบบไม่มีที่มา โดยใช้สมองมนุษย์ที่เกิดจากอสุจิ มาคิดเป็น ฮุก่มของพระเจ้าเอง..

เช่น
1. ยกฮะดัสอย่างไร
2. ละหมาดอย่างไร
3. การจัดการเกี่ยวกับศพอย่างไร
4. ทำฮัจย์อย่างไร
5. จ่ายซะกาตอย่างไร

หรือแม้กระทั่ง เรื่อง ทานอาหารอย่างไร ออกกำลังกายอย่างไร ใส่เสื้อผ้าอย่างไร เข้ามัสยิดอย่างไร เข้าห้องน้ำอย่างไร เข้าบ้านอย่างไร ขึ้นยานพาหนะอย่างไร กลับบ้านทำอย่างไร เดินทางทำอย่างไร ล้างจานอย่างไร ซักผ้าอย่างไร จัดการมรดกอย่างไร ทำบุญอย่างไร ขอดุอาอย่างไร ฯลฯ

ตลอดจนส่วนสำคัญ ซึ่งก็รวมไปถึง
รุก่นทั้งสองคือ
รุก่นอีหม่าน (หลักการศรัทธา) และรุก่นอิสลาม (หลักการปฎิบัติ) อย่างไร ?



นะอูซุบิลลา...

ดังนั้น ผมขอถามคุณ ว่า...
1. คุณ มีรุก่นอีหม่าน อะไรบ้าง ? แล้วนำหลักฐานมาจากตรงไหน ?
2. คุณ มีรุก่นอิสลาม อะไรบ้าง ? แล้วนำหลักฐานมาจากตรงไหน  ?



มันจะเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า คุณ อยู่ในฐานะ อะไร ?

 salam

ผมบอกคุณแล้วว่าผมใช้คำแปลที่พวกคุณก็ยอมรับ และผมได้อธิบายความต่างของนบีและรซูลแล้วตามกุรอานที่ใช้คำแปลที่พวกคุณยอมรับ คุณไม่ต้องอ่านวงเล็บของผมก็ได้ครับถ้าคุณมีปัญหาเรื่องคำแปล ผมเห็นชัดเจนตามอายะห์เหล่านั้นว่าเราไม่ควรเชื่อในเรื่องเล่าอื่นนอกจากกุรอานครับ

ประเด็นอื่นทั้งหมดที่คุณถาม เป็นเหตุจากการที่ไม่เชื่อว่ากุรอานครบถ้วนพอเพียงครับ ซึ่งผมรวมทั้งบรรดาคนที่คิดอย่างผม เชื่อว่าพอเพียงครบถ้วน หมายถึงครบถ้วนจริงๆ ตามอายะห์ที่กล่าวใน http://www.sunnahstudents.com/forum/index.php?topic=1201.msg12037#msg12037 (ขอให้พิจารณาเรื่องการเลือกหาวัวของชาวยิวในซูเราะห์บอกอเราะห์ ที่ต้องการรายละเอียดอื่น ไม่พอใจในคำสั่งของพระเจ้า คิดว่าไม่พอ จนศาสนากลายเป็นเรื่องยากจนแทบจะทำไม่สำเร็จ ตั้งแต่ 2:67 ต่อไปเรื่อยๆ)

 เรื่องซากาต ละหมาด(ซาลาต) ผมได้อธิบายนอกประเด็นไว้บ้างแล้วใน หัวข้อ http://www.sunnahstudents.com/forum/index.php?topic=1506.0

แต่ผมคงไม่ใหวที่จะมาอธิบายนอกประเด็นอีก นอกจากนี้เรื่องพวกนี้ได้มีการอธิบายไว้แล้ว ตามเว็บไซต์ ของคนที่ยอมรับว่ากุรอานพอเพียงครบถ้วนครับ ว่าเราเข้าใจตามกุรอานว่าอย่างไร

ขอเชิญท่านที่สนใจอยากรู้ว่าคนที่เชื่อว่ากุรอานครบถ้วนพอเพียง เขาคิด เขาเข้าใจอย่างไรบ้าง ไม่ว่าคุณจะมองว่าถูกหรือผิด

เช่น

http://www.free-minds.org/ ลองดูส่วน articles และ forum ครับ (รวมทั้งเรื่องหิญาบใน women ครับ) นี่เป็นเว็บไซต์หลักของคนที่เชื่อเช่นนี้ครับ มีคนในฟอรัมจำนวนมาก รวมทั้งคนที่ไม่เห็นด้วยที่เข้าไปเสวนาครับ

http://www.submission.org/had-corruption.html เรื่องหะดิษที่คุณกำลังบอกว่าผมเข้าใจอะยะห์กุรอานผิดครับ

http://mypercept.co.uk/articles/slw.htm เรื่อง ซาลาต ครับ

http://www.tolueislam.com/ คล้ายๆกัน ครับ

ในคำถามห้าข้อที่คุณถาม ถ้าคุณเชื่อว่ากุรอานพอเพียง ครบถ้วน ตามที่กุรอานกล่าวเอง และศึกษาเช่นนั้น ก็มีรายละเอียดครบถ้วนจริงครับ แต่ต้องใช้ความเป็นกลางและเวลาศึกษามากเหมือนกันครับ (ครบจริงๆครับ จนผมเห็นต้นไม้ "ซูยูด" ด้วยครับ ตาม 55:6 ผม่ไม่ได้เห็นต้นไม้กราบหรอกนะครับ)

ผมต้องขออภัยถ้าได้ล่วงเกินด้วยวาจาแก่ท่าน ขอท่านยกโทษให้ผมด้วยครับ ผมเพียงต้องการเข้าใจและสักการะพระเจ้าอย่างจริงใจครับ


ขอพระเจ้าทรงนำทางครับ

3
ผมก็ไม่เข้าใจเขาเหมือนกัน
เรื่อง ตัวแปล ภาษาไทย แล้วมีวงเล็บ ข้างในมั่วๆ
แล้วมาอ้างว่า เอามาจาก ผู้แปล คนไทยท่านอื่น
เช่น ( ถ้อยคำไร้สาระ / ฮะดีส )
ผมไม่เคยเห็น คนไทยคนไหน แปล ถ้อยคำไร้สาระ เป็น ฮะดีส เลยซักครั้งเดียว
แล้ว คุณ ทรูซีค จะมาอ้างว่า เอามาจากที่ไหนอีก
คุณเข้าใจเองคนเดียวแท้ๆ
ถ้ามีหลักฐาน ที่เขาแปล ฮะดีส คือ ถ้อยคำไร้สาระ ก็ช่วย copy หน้ากระดาษ คำแปล มาให้ดูหน่อยเถอะ



ปล. กระทู้อีกกระทู้ ผมก็ถามคุณแบบนี้แหละ เพราะมาอ้างว่าเอามาจากคนอื่นน่ะ มันคนไหน ?
ด้วยความเคารพ...

ใช่ครับ  "กระทู้อีกกระทู้ ผมก็ถามคุณแบบนี้แหละ เพราะมาอ้างว่าเอามาจากคนอื่นน่ะ มันคนไหน ?"

ผมเคยตอบคุณแล้ว และตอนนี้ผมก็จะพยายามตอบให้ชัดเจนกว่าเดิมนะครับ

คุณไม่เห็นเพราะคุณไม่เทียบคำแปลกับภาษาอาหรับไงครับ ผมไม่ได้เปลี่ยนคำแปลเลย คุณไปดูได้เลยที่ http://www.muslimthaihealth.com/th/quran.php หรือคำแปลกุรอานประจำบ้าน ไม่ว่าจะเป็นของนิสิตเก่าอาหรับ หรือของ อิบรอฮีม กุรัยชี  ให้ลองไปดูในอายะห์ 31:6 แล้วอ่านดูว่าในภาษาอาหรับใช้คำว่าอะไร

ผมตอบแล้วว่า อะไรที่อยูในวงเล็บผมได้อธิบายแล้วว่ามันคือ การแสดงว่าคำแปลนั้นอ้างเทียบถึงคำว่าอะไรในภาษาอาหรับ นั่นคือการเทียบกับตัวบทภาษาอาหรับครับ ผมทำไว้เืพื่อให้ท่านลองอ่านภาษาอาหรับเทียบดูด้วยตัวเองครับ ไม่ใช่อย่างที่ท่านเข้าใจครับ

ถ้าคุณดูตรงๆ จะเห็นว่า ฮะดีส แปลว่า ถ้อยคำ หรือ เรื่องเล่า คราวนี้ในอายะห์นี้ 31:6 นี้กล่าวถึง لهو الحديث  (ละฮ์วัลหะดีษ) เมื่อคุณดูคู่กับ 77:50 และ 7:185 ก็ชัดเจนว่า ละฮ์วัลหะดีษ ก็คือหะดิษอื่นนอกจากกุรอาน

4
แต่ผมไม่เห็น คนไทย คนไหนแปล

คำว่า ว่า  ถ้อยคำไรสาระ = ฮะดีส อย่างที่คุณ วงเล็บไว้นะครับ

ด้วยความเคารพ...

คุณไม่เห็นเพราะคุณไม่เทียบคำแปลกับภาษาอาหรับไงครับ ผมไม่ได้เปลี่ยนคำแปลเลย คุณไปดูได้เลยที่ http://www.muslimthaihealth.com/th/quran.php หรือคำแปลกุรอานประจำบ้าน ไม่ว่าจะเป็นของนิสิตเก่าอาหรับ หรือของ อิบรอฮีม กุรัยชี  ให้ลองไปดูในอายะห์ 31:6 แล้วอ่านดูว่าในภาษาอาหรับใช้คำว่าอะไร ที่ผมวงเล็บไว้เพื่อให้ท่านอ่านเทียบดูกับภาษาอาหรับง่ายขึ้น

ผมตอบแล้วว่า อะไรที่อยูในวงเล็บผมได้อธิบายแล้วว่ามันคือ การแสดงว่าคำแปลนั้นอ้างเทียบถึงคำว่าอะไรในภาษาอาหรับ นั่นคือการเทียบกับตัวบทภาษาอาหรับครับ ผมทำไว้เืพื่อให้ท่านลองอ่านภาษาอาหรับเทียบดูด้วยตัวเองครับ ไม่ใช่อย่างที่ท่านเข้าใจครับ

ถ้าคุณดูตรงๆ จะเห็นว่า ฮะดีส แปลว่า ถ้อยคำ หรือ เรื่องเล่า คราวนี้ในอายะห์นี้ 31:6 นี้กล่าวถึง لهو الحديث  (ละฮ์วัลหะดีษ) เมื่อคุณดูคู่กับ 77:50 และ 7:185 ก็ชัดเจนว่า ละฮ์วัลหะดีษ ก็คือหะดิษอื่นนอกจากกุรอาน

5
เช่นนี้ถึงสอดคล้องกับที่ว่าทำไมคำว่าหะดิษถูกแปลว่าเรื่องไร้สาระในอายะห์ [31.6]

คุณ TruthSeeker  ไม่เข้าใจอัลกุรอานนะครับ  กล่าวคือ  คุณเข้าใจคำว่า หะดิษ หมายถึง เรื่องไร้สาระ  นั้น  ถือว่าผิดและมีความเข้าใจอย่างอคติ  เพราะในภาษาอาหรับนั้น  คำว่า หะดิษ  ไม่ได้มีความหมายว่า ไร้สาระ เลยแม้แต่น้อย    เพราะอายะฮ์ 31.6 ที่คุณยกอ้างมานั้น  อัลกุรอานใช้คำว่า   لهو الحديث  (ละฮ์วัลหะดีษ)   ฉะนั้น  ความหมายที่ว่าไร้สาระนั้น  คือคำว่า   لهو (ละฮ์วฺ)  ไม่ใช่คำว่า  لحديث  แค่เพียงคำเดียว    ดังนั้นการที่คุณบอกว่า คำว่า หะดิษแปลว่าเรื่องไร้สาระนั้น ถือว่าคุณไม่เข้าใจอัลกุรอานนะครับ   fouet:
 

ด้วยการใช้ لهو الحديث  (ละฮ์วัลหะดีษ) ในที่นี้คุณคิดว่าอ้างถึงอะไรครับ ผมเห็นว่าคำนี้หมายถึง หะดิษอื่นนอกจากกุรอาน ซึ่งสอดคล้องกับ 77:50 และ 7:185 ครับ

ที่คุณบอกว่า "ดังนั้นการที่คุณบอกว่า คำว่า หะดิษแปลว่าเรื่องไร้สาระนั้น ถือว่าคุณไม่เข้าใจอัลกุรอานนะครับ" คุณกำลังไม่เข้าใจว่าผมกำลังเห็นคำว่า ละฮ์วัลหะดีษ หมายถึง หะัดิษอื่นนอกจากกุรอาน

เพราะผมเคยบอกแล้วว่า ผมจะเน้นว่า หะดิษอื่นนอกจากกุรอาน

เพราะ หะดิษ มีความหมายว่าคำบอกเล่า/คำกล่าว/เรื่องเล่า และกุรอาน เป็น หะดิษ/คำกล่าว ที่ดีที่สุด ดังใน

[39.23]  อัลลอฮ์ได้ทรงประทานคำกล่าวที่ดียิ่งลงมาเป็นคัมภีร์คล้องจองกันกล่าวซ้ำกัน ผิวหนังของบรรดาผู้ที่เกรงกลัวพระเจ้าของพวกเขาจะลุกชันขึ้น แล้วผิวหนังของพวกเขาและหัวใจของพวกเขาจะสงบลงเพื่อรำลึกถึงอัลลอฮ์ นั่นคือการชี้นำทางของอัลลอฮ์ พระองค์จะทรงชี้นำทางแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์และผู้ใดที่อัลลอฮ์ทรงให้เขาหลงทาง ดังนั้นสำหรับเขาจะไม่มีผู้ชี้นำทาง

หัวข้อนี้ที่ว่า อัลกุรอาน กล่าว เกี่ยวกับ อัลหะดิษ ว่าอย่างไรบ้าง คำว่า อัลหะดิษที่ผมใช้ในหัวข้อ หมายถึง หะดิษอื่นนอกจากกุรอาน

และนั่นชัดเจนมากสำหรับผมว่า หะดิษอื่นนอกจากกุรอาน ก็คือ  لهو الحديث  (ละฮ์วัลหะดีษ) เพราะมนุษย์แต่งขึ้นและพระเจ้าไม่ได้รักษามัน ด้งที่เคยอธิบายมาแล้วหลายครั้ง

6
ดังนั้น อายะห์ [77.50] นี้ อัลลอฮ กำลังถามใคร?

ตอนนี้ชัดเจนแล้วสำหรับผม ว่าอายะห์นี้ รวมทั้งอายะห์ก่อนๆ อัลลอฮกำลังกล่าวให้ผู้ศรัทธาฟังว่า ผู้ปฏิเสธจะประสบสภาพอย่างไร พอมาถึงอายะห์นี้ อัลลอฮ์ถามเรา ซึ่งเป็นผู้อ่าน ว่าหะดิษใหนอีกนอกจากกุรอานที่ พวกผู้ปฏิเสธ(พวกเขา เป็นสรรพนามบุรุสที่สาม) ควรจะศรัทธา

ถ้าคำถามในอายะห์นี้ไม่ได้ถามเรา นั่นคือ ถ้าคำถามในอายะห์นี้ถามผู้ปฏิเสธแล้วจะต้องไม่ใช้สรรพนามบุรุสที่สาม (ต้องใช้บุรุรสที่สอง)


พอเจอคำถามเช่นนี้ แน่นอน ผมจะตอบว่า ไม่มีหะดิษใหน นอกจากกุรอานนี้ ที่พวกเขาควรจะศรัทธา

นอกจากนี้ การที่อัลลอฮใช้คำ้ว่า พวกเขา ในคำถามที่ถามเราเกี่ยวกับผู้ปฏิเสธ ซึ่งอ้างถึงผู้ปฏิเสธนั้น ทำให้เราได้เรียนรู้ว่า ผู้ศรัทธาที่แท้จริงจะเชื่อหะดิษอื่นนอกจากกุรอานนี้ได้อย่างไร ในเมื่ออัลลอฮได้ถามคำถามนี้แล้ว และถามเราเกี่ยวกับผู้ปฏิเสธในการถามนี้ด้วย ด้วยคำถามในอายะห์นี้ผมจึงได้บทเรียนว่า ไม่มีหะดิษใหนนอกจากกุรอานนี้ที่ผมจะศรัทธา

เช่นนี้ถึงสอดคล้องกับที่ว่าทำไมคำว่าหะดิษถูกแปลว่าเรื่องไร้สาระในอายะห์ [31.6]

คุณเข้าใจอัลกุรอานผิดและเข้าใจ "คำถาม" ในอายะฮ์อัลกุรอานผิดแล้วครับ  กล่าวคือ คุณคิดว่าการถามดังกล่าวนั้น   หมายถึงพระองค์ทรงถามผู้ปฏิเสธหรือถามเราก็หาไม่ครับ   เพราะคำถามนี้ไม่ต้องการคำตอบ  เนื่องจากเป็นการถามสิ่งหนึ่งอันเป็นที่รู้กันและถามเพียงเพื่อทำการตำหนิพวกปฏิเสธเท่านั้น 

ดังนั้น  ตามหลักวิชาภาษาอาหรับ  แขนงของวิชาอรรถศิลป์ (อัลมาอานีย์)  ระบุว่า  การถามเช่นนี้  ไม่ใช่มีเป้าหมายเพื่อต้องการคำตอบ  แต่ถามเพื่อตำหนิพวกปฏิเสธเท่านั้น   ฉะนั้น หากคำถามในเชิงตำหนิอยู่ในรูปประโยคที่ปฏิเสธ  จุดมุ่งหมายของประโยคจะมีความหมายในเชิงยืนยันบอกเล่า   แต่ถ้าหากประโยคคำถามในเชิงตำหนิอยู่ในรูปประโยคของการบอกเล่า(ไม่ปฏิเสธ)  จุดมุ่งหมายของประโยคจะมีความหมายในเชิงปฏิเสธ

ตัวอย่างเช่นอายะฮ์  77.50 ที่มีความว่า "ดังนั้น (คำบอกเล่า/หะดิษ) อันใดเล่าหลังจากอัลกุรอานที่พวกเขาจะศรัทธากัน"  ซึ่งเป็นประโยคคำถามเชิงยืนยันไม่ได้ปฏิเสธ  ดังนั้นคำถามในเชิงตำหนิที่อยู่ในประโยคยืนยันนั้น  จะมีความหมายสะท้อนถึงการปฏิเสธตามหลักภาษาอาหรับเชิงวิชาอรรถศิลป์  เพราะฉะนั้นอายะฮ์ดังกล่าวนี้จึงมีความหมายว่า "พวกเขาไม่เชื่ออัลกุรอานที่มีอรรถรสและบ่งชี้ถึงความสัจจริงของร่อซูลุลลอฮ์ (ซ.ล.) ดังนั้นสิ่งใดอีกเล่าที่พวกเขาจะเชื่อ"   ซึ่งหมายถึงว่า  พวกเขาไม่เชื่ออัลกุรอาน แน่นอนว่า  ถ้อยคำพูดอื่น ๆ  พวกเขาไม่เชื่ออยู่แล้ว

ดังนั้น  คุณจะเอาอายะฮ์นี้มาตำหนิพวกเราตามความเข้าใจของคุณที่มีต่ออายะฮ์นี้ไม่ได้อย่างแน่นอนและเด็ดขาด   วัลลอฮุอะลัม

ในเรื่องของคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ เช่นในกรณีนี้ (หรือในกรณีของของมึนเมา คล้ายๆกัน คือ คำถามว่า เจ้าจะจังไม่หยุดมันหรือ) เช่นในกรณีสุรา ผมก็ตอบว่า ใช่ควรจะหยุดการมึนเมา แล้วก็ได้บทเรียนในเชิงตักเตือนว่าควรจะหยุดของมึนเมา (ถ้าเคยใช้ และไม่ควรไปใช้)

คุณจะเห็นประโยชน์ของคำถามเช่นนี้ได้เมื่อคุณตอบก่อน (ซึ่งคุณได้ตอบให้ผมเห็นแล้วเช่นกัน ว่า "พวกเขาไม่เชื่ออัลกุรอานที่มีอรรถรสและบ่งชี้ถึงความสัจจริงของร่อซูลุลลอฮ์ (ซ.ล.) ดังนั้นสิ่งใดอีกเล่าที่พวกเขาจะเชื่อ")

ในกรณีนี้ก็เช่นเดียวกัน การที่อัลลอฮใช้สรรพนามบุรุสที่สามอ้างถึงพวกผู้ปฏิเสธ ก็แสดงชัดเจนอยู่แล้วว่าคำถามนี้เ็ป็นการเตือนการคนอ่าน ไม่ใช่ตำหนิผู้ปฏิเสธโดยตรง เพราะเป็นคำถามในลักษณะแบบนี้ และก็ได้บทเรียนดังในโพสก่อนของผมซึ่งชัดแจนอยู่แล้ว

นอกจากนี้ คำตอบของคุณนี้ที่ว่า  "พวกเขาไม่เชื่ออัลกุรอาน แน่นอนว่า  ถ้อยคำพูดอื่น ๆ  พวกเขาไม่เชื่ออยู่แล้ว" นั้นไม่เป็นจริง ชัดเจน เพราะเขาไม่ได้เชื่อในกุรอานแต่เขาเชื่อในคำบอกเล่าอื่นๆ เช่นคำภีร์หรือตำราของเขา (จำนวนมาก) นั่นคือ เขาเชื่อในถ้อยคำอื่นๆ นอกจากกุรอานนี้ 

[77.50]  ดังนั้น (คำบอกเล่า/หะดิษ) อันใดเล่าหลังจากอัลกุรอานที่พวกเขาจะศรัทธากัน (คำบอกเล่า คือ หะดิษในภาษาอาหรับต้นฉบับ)

 หมายความชัดเจนในเชิงตักเตือนว่า หลังจากกุรอานนี้แล้วไม่ควรศรัทธาในคำบอกเล่าใดๆทั้งสิ้น

ดังนั้นผมไม่เห็นด้วยใจการตอบของคุณนี้ (แต่แน่นอนเป็นสิทธิของคุณ)

7
คุณ TruthSeeker  ครับ  ยังมีอะไรที่จะอธิบายเรื่องอัลกุรอานเกี่ยวกับอัลฮะดิษที่คุณอ้างอิงมาอีกหรือเปล่าครับ  เนื่องจากคุณสรุปไปเองแล้วว่า "แต่ผมกำลังจะบอกว่า ให้พยายามอย่ามีลักษณะเหมือนกับผู้ปฏิเสธ"  ซึ่งเราก็ตอบไปแล้วว่า  เราไม่เหมือนกับผู้ปฏิเสธตามนัยยะของอัลกุรอานที่คุณอ้างอิงมาสำหรับกระทู้นี้

ดังนั้น  หากคุณต้องการจะเสวนาอายะฮ์อัลกุรอานที่เกี่ยวกับความครบถ้วนของอัลกุรอานนั้น  จงไปตั้งกระทู้ใหม่ครับ   แล้วผมจะร่วมเสวนากับความหมายของการครบถ้วนของอัลกุรอาน 

ฉะนั้น หากคุณนำมาเสวนาในกระทู้นี้  ถือว่านอกประเด็น  และผมไม่อนุญาตครับ    แต่หากจะเสวนาเรื่อง " อัลกุรอานเกี่ยวกับอัลหะดิษว่าอย่างไรบ้าง "เป็นการเฉพาะในกระทู้นี้อีก  ก็เชิญเสวนาต่อเลย  ผมจะร่วมเสวนาไปเรื่อยแบบอยู่ในประเด็นเท่านั้น  หวังว่าคุณคงเข้าใจ   hehe

ผมเข้าใจ และผมขออภัยที่อ้างถึงสิ่งที่อยู่นอกประเด็น และผมต้องขออภัยในคำพูดที่ว่า "แต่ผมกำลังจะบอกว่า ให้พยายามอย่ามีลักษณะเหมือนกับผู้ปฏิเสธ" และยอมรับว่าอยู่นอกประเด็น
(อย่างไรก็ตาม ที่คุณสรุปว่า "เราไม่เหมือนกับผู้ปฏิเสธตามนัยยะของอัลกุรอานที่คุณอ้างอิงมาสำหรับกระทู้นี้" ไม่สามารถปัดสิ่งที่อัลลอฮกล่าวเกี่ยวกับหะดิษในกุรอานออกไปจากคุณได้ เพราะคุณยังไม่ได้ตอบในกรณีของ [31.6] และคุณเองก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าอัลลอฮอนุมัติให้ผู้ศรัทธาเชื่อหะดิษอื่นนอกจากกุรอานนี้่ แค่จากการปัดว่าคำว่าพวกเขาอ้างถึงผู้ปฏิเสธ)

ผมต้องขอขอบคุณคุณ al-azhary มากที่ได้ยกประเด็นเรื่องคำว่า ผุ้ปฏิเสธ ในอายะห์นี้ เพราะทำให้ผมได้สังเกตุจุดนี้ซึ่งไม่เคยสังเกตุมาก่อน และให้ผมได้ตรวจสอบตัวเองมากขึ้น ผมจึงได้ครุ่นคิดสังเกตุอายะห์นี้มากขึ้น ผมจึงขอเสวนาในประเด็น [77.50] ต่อ ดังนี้


การมีการอ้างถึง พวกเขา นั่นคือ ผู้ปฏิเสธ ใน อายะห์ [77.50]  ดังนั้น (คำบอกเล่า/หะดิษ) อันใดเล่าหลังจากอัลกุรอานที่พวกเขาจะศรัทธากัน
แสดงให้เห็นว่า ประโยคนี้มีการกล่าวระหว่าง 2 ฝ่าย (คืออัลลอฮกำลังกล่าวให้เราฟังตั้งแต่อายะห์ก่อนๆ ถึง ผู้ปฏิเสธ) และมีการอ้างถึงฝ่ายที่สามโดยใช ้สรรพนามบุรุสที่สามนั่นคือคำว่า พวกเขา

ดังนั้น อายะห์ [77.50] นี้ อัลลอฮ กำลังถามใคร?

ตอนนี้ชัดเจนแล้วสำหรับผม ว่าอายะห์นี้ รวมทั้งอายะห์ก่อนๆ อัลลอฮกำลังกล่าวให้ผู้ศรัทธาฟังว่า ผู้ปฏิเสธจะประสบสภาพอย่างไร พอมาถึงอายะห์นี้ อัลลอฮ์ถามเรา ซึ่งเป็นผู้อ่าน ว่าหะดิษใหนอีกนอกจากกุรอานที่ พวกผู้ปฏิเสธ(พวกเขา เป็นสรรพนามบุรุสที่สาม) ควรจะศรัทธา

ถ้าคำถามในอายะห์นี้ไม่ได้ถามเรา นั่นคือ ถ้าคำถามในอายะห์นี้ถามผู้ปฏิเสธแล้วจะต้องไม่ใช้สรรพนามบุรุสที่สาม (ต้องใช้บุรุรสที่สอง)


พอเจอคำถามเช่นนี้ แน่นอน ผมจะตอบว่า ไม่มีหะดิษใหน นอกจากกุรอานนี้ ที่พวกเขาควรจะศรัทธา

นอกจากนี้ การที่อัลลอฮใช้คำ้ว่า พวกเขา ในคำถามที่ถามเราเกี่ยวกับผู้ปฏิเสธ ซึ่งอ้างถึงผู้ปฏิเสธนั้น ทำให้เราได้เรียนรู้ว่า ผู้ศรัทธาที่แท้จริงจะเชื่อหะดิษอื่นนอกจากกุรอานนี้ได้อย่างไร ในเมื่ออัลลอฮได้ถามคำถามนี้แล้ว และถามเราเกี่ยวกับผู้ปฏิเสธในการถามนี้ด้วย ด้วยคำถามในอายะห์นี้ผมจึงได้บทเรียนว่า ไม่มีหะดิษใหนนอกจากกุรอานนี้ที่ผมจะศรัทธา

เช่นนี้ถึงสอดคล้องกับที่ว่าทำไมคำว่าหะดิษถูกแปลว่าเรื่องไร้สาระในอายะห์ [31.6]

8

ถ้าคุณอยากทราบว่า "พวกเขา" กำลังหมายถึงพวกใหน คุณก็พิจารณาว่าพวกใหนที่ศรัทธาในหะดิษอื่นนอกจากกุรอานนี้

ผมเข้าใจว่าคุณจะสื่อว่าคำว่า พวกเขา ในอายะห์ก่อนๆนั้น คือพวกผู้ปฏิเสธ เข่นใน [77.49]

ซึ่ง ผมเห็นเช่นนี้ผมก็เลยมาเตือนให้พี่น้องที่ผมรักและห่วงใย ให้พยายามอย่ามีลักษณะ้เหมือน "พวกเขา" ทีุ่ถูกกล่าวนี้


และพวกที่ปฏิเสธที่คุณเอ่ยถึงนั้น  พวกเขาได้ปฏิเสธเรื่องอะไร  และเราเองได้ปฏิเสธเหมือนกับพวกเขาตามอายะฮ์ดังกล่าวหรือเปล่า?

เหมือนที่ได้กล่าวมาแล้วว่า

ผมเข้าใจว่าคุณจะสื่อว่าคำว่า พวกเขา ในอายะห์ก่อนๆนั้น คือพวกผู้ปฏิเสธ เข่นใน [77.49]

ใช่ครับ คำว่า ผู้ปฏิเสธคือ ปฏิเสธสัญลักษณ์(อยาต)ของพระเจ้า

เราเองไม่ได้ปฏิเสธเหมือนกับพวกเขาตามอายะฮ์ดังกล่าว

แต่ผมกำลังบอกว่า ให้พยายามอย่ามีลักษณะ้เหมือน "ผู้ปฏิเสธ" ทีุ่ถูกกล่าวนี้ หวังว่าจะเข้าใจครับ

คุณคงไม่สรุปว่าอายะห์นี้ไม่ได้พูดถึงเรา เราก็เลยศรัทธาในหะดิษอื่นนอกจากกุรอานได้ เพราะมีอีกหลายอายะห์ที่กล่าวที่ความครบถ้วนของกุรอาน และอีกหลายอายะหืที่พูดถึงหะดิษอื่นนอกจากกุรอานด้วยครับ

9
และคุณยืนยันกับเราได้ไหมว่า  คำว่า  หะดิษ  ทั้งหมดที่ถูกกล่าวไว้ในอัลกุรอานนั้น  หมายถึงสิ่งที่นอกเหนือจากอัลกุรอาน?

ผมไม่เคยบอกว่าคำว่า หะดิษ ที่ถูกใช้ในกุรอาน ทุกคำหมายถึงสิ่งอื่นนอกจากกุรอาน ถ้าคุณสังเกตุโพสของผม ผมจะเน้นว่า หะดิษอื่นนอกจากกุรอาน

เพราะ หะดิษ มีความหมายว่าคำบอกเล่า/คำกล่าว/เรื่องเล่า และกุรอาน เป็น หะดิษ/คำกล่าว ที่ดีที่สุด ดังใน

[39.23]  อัลลอฮ์ได้ทรงประทานคำกล่าวที่ดียิ่งลงมาเป็นคัมภีร์คล้องจองกันกล่าวซ้ำกัน ผิวหนังของบรรดาผู้ที่เกรงกลัวพระเจ้าของพวกเขาจะลุกชันขึ้น แล้วผิวหนังของพวกเขาและหัวใจของพวกเขาจะสงบลงเพื่อรำลึกถึงอัลลอฮ์ นั่นคือการชี้นำทางของอัลลอฮ์ พระองค์จะทรงชี้นำทางแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์และผู้ใดที่อัลลอฮ์ทรงให้เขาหลงทาง ดังนั้นสำหรับเขาจะไม่มีผู้ชี้นำทาง

จะเห็นได้ว่า กุรอาน คือ เรื่องเล่าที่อัลลอฮแต่ง รายงานโดยมูฮัมมัดในฐานะรอซูลของพระเจ้า  รักษาโดยพระเจ้า ครบถ้วนสมบูรณ์ พระเจ้าจึงถามว่า ดังนั้น (คำบอกเล่า/หะดิษ) อันใดเล่าหลังจากอัลกุรอานที่พวกเขาจะศรัทธากัน หัวข้อของเราก็เลยกำลังพูดถึงหะดิษที่เป็นหะดิษอื่นๆ นอกจากกุรอานนี้ ครับ

ถ้าคุณอยากทราบว่า "พวกเขา" กำลังหมายถึงพวกใหน คุณก็พิจารณาว่าพวกใหนบ้างที่ศรัทธาในหะดิษอื่นนอกจากกุรอานนี้

ผมเข้าใจว่าคุณจะสื่อว่าคำว่า พวกเขา ในอายะห์ก่อนๆนั้น คือพวกผู้ปฏิเสธ เข่นใน [77.49]

ซึ่ง ผมเห็นเช่นนี้ผมก็เลยมาเตือนให้พี่น้องที่ผมรักและห่วงใย ให้พยายามอย่ามีลักษณะ้เหมือน "พวกเขา" ทีุ่ถูกกล่าวนี้

10
ตกลงครับ แต่ผมเห็นว่าคุณเองเป็นผู้ออกนอกประเด็นนะครับ มันเริ่มตั้งแต่คุณมาเริ่มถามเรื่อง ซากาต ทั้งๆที่ ประเด็นคือ "อัลกุรอาน กล่าว เกี่ยวกับ อัลหะดิษ ว่าอย่างไรบ้าง" ผมเกรงใจคุณซึ่งเป็น admin ผมก็เลยตอบตามที่คุณถาม แล้วคำถามก็ลามต่อไปเรื่องอื่น เช่นตอนนี้ มีคนมาถามเรื่อง ซาลาต ซึ่งอยู่นอก ประเด็น

หลังจากนี้ ผมจะไม่ตอบคำถามที่อยู่นอกประเด็นอีกครับ และผมจะบอกคนที่ถามนอกหัวข้อเช่นนี้ด้วยครับ

ถ้าคุณคิดว่าผมเป็นคนที่เคยไปโพสที่เวบไซต์อื่น ผมขอสาบานต่อพระเจ้าว่าผมไม่เคยโพสเรื่องนี้ในเวบไซต์ภาษาไทยใหนมาก่อน ดังนั้นหยุดสงสัยอย่างผิดๆว่าผมเป็นใคร เพราะมันไม่ได้ทำให้การเสวนาไปข้างหน้าเลย

ดังนั้น กลับเข้าหัวข้อครับ ลองไปอ่านโพสแรกของผมในหัวข้อนี้ใหม่ แล้วเสวนากันให้ตรงประเด็น ว่าคุณจะยอมรับสิ่งที่กุรอานกล่าวเกี่ยวกับหะดิษหรือไม่


นั่นแหละครับ  ผมถึงต้องให้กระทู้เริ่มเสวนากันใหม่ยังไงล่ะ

เห็นด้วยครับ ขอบคุณมากครับ

11
ช่วยบอกผมด้วยว่าผมผิดระเบียบข้อใหนครับ ผมขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ

คืออย่างนี้นะครับ  ผมอยากให้เสวนากันเป็นประเด็น ๆ ไปตามกระทู้ที่ตั้งขึ้นมาเท่านั้น  เพื่อการเสวนาจะได้ดำเนินไปตามครรลองของมันและหาข้อสรุปได้  การเบี่ยงประเด็นก็จะไม่เกิดขึ้น  ไม่เช่นนั้นกระทู้ก็แตกยอดเรื่อยไป   จนผู้อื่นไม่สามารถจับประเด็นได้

ผมทราบดีว่าสิ่งที่คุณนำเสนอมานั้น  ก็เป็นสิ่งเดิม ๆ ที่คุณเคยเสวนาที่เวปไซท์อื่น ๆ  บางกระทู้เสวนากันหลายหน้า  เพราะว่าเมื่อตอบคำถามไม่ได้  ก็จะไม่การเบี่ยงประเด็นไปเป็นอื่นนะครับ

ดังนั้น  คุณตกลงจะเสวนาตามกฏระเบียบของเวปไซท์เราหรือไม่ครับ?  ตอบ แค่ "ตกลงครับ"  ก็พอแล้ว  ผมจะรอคำตอบครับ

ตกลงครับ แต่ผมเห็นว่าคุณเองเป็นผู้ออกนอกประเด็นนะครับ มันเริ่มตั้งแต่คุณมาเริ่มถามเรื่อง ซากาต ทั้งๆที่ ประเด็นคือ "อัลกุรอาน กล่าว เกี่ยวกับ อัลหะดิษ ว่าอย่างไรบ้าง" ผมเกรงใจคุณซึ่งผมเข้าใจว่าเป็น admin ผมก็เลยตอบตามที่คุณถาม แล้วคำถามก็ลามต่อไปเรื่องอื่น เช่นตอนนี้ มีคนมาถามเรื่อง ซาลาต (ที่คนมักเข้าใจว่าแปลว่าละหมาด) ซึ่งอยู่นอกประเด็นหัวข้อ แตกยอดอย่างที่คุณกล่าวจริงครับ ผมเห็นด้วย

หลังจากนี้ ผมจะไม่ตอบคำถามที่อยู่นอกประเด็นอีกครับ และผมจะบอกคนที่ถามนอกหัวข้อเช่นนี้ด้วยครับ

ถ้าคุณคิดว่าผมเป็นคนที่เคยไปโพสที่เวบไซต์อื่น ผมขอสาบานต่อพระเจ้าว่าผมไม่เคยโพสเรื่องนี้ในเวบไซต์ภาษาไทยใหนมาก่อน ดังนั้นหยุดสงสัยอย่างผิดๆว่าผมเป็นใคร เพราะมันไม่ได้ทำให้การเสวนาไปข้างหน้าเลย

ดังนั้น กลับเข้าหัวข้อครับ ลองไปอ่านโพสแรกของผมในหัวข้อนี้ใหม่ แล้วเสวนากันให้ตรงประเด็น ว่าคุณจะยอมรับสิ่งที่กุรอานกล่าวเกี่ยวกับหะดิษหรือไม่

12
สวัสดีครับคุณ TruthSeeker
อัลลอฮฺได้กล่าวว่า
وما ينطق عن الهوى ؛ إن هو إلا وحيٌ يوحى

ลองแปลหน่อยสิครับ
ฉะนั้นสิ่งที่ท่านนบีมุหัมหมัดพูดมานั้นเป็นสัจธรรมครับเพราะเป็นวะห์ยูที่มาจากอัลลอฮฺ

อัลลอฮฺได้กล่าวว่า
قل إن كنتم تحبون الله فاتبعوني يحببكم الله ويغفر لكم ذنوبكم والله غفور رحيم الخيمه

ลองแปลหน่อยสิครับ

อัลลอฮฺสั่งให้ตามนบีมุหัมหมัดครับ

แล้วคุณ TruthSeeker ละหมาดยังไงครับ ตอบด้วย
เพราะไม่ตามหะดีษ

ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาอาหรับอย่างท่านหรอกนะครับ ผมเพียงดูจากคำแปลหลายๆเล่ม ดูจากรายชื่อรากศัพท์ ถ้าช่วยบอกเลขซูเราะห์เลขอายะห์จะทำให้เร็วขึ้นนะครับ

وما ينطق عن الهوى ؛ إن هو إلا وحيٌ يوحى

[53.3]  และเขามิได้พูดตามอารมณ์ [53.4]  อัลกุรอานมใช่อื่นใดนอกจากเป็นวะฮีย์ที่ถูกประทานลงมา

ชัดเจนว่าอัลลอฮกำลังหมายถึงมูฮัมมัดในฐานะรอซูล เพราะรอซูลเป็นผู้ส่งสารนั่นคือวะหีย์จากพระเจ้า ถ้าคุณคิดว่านี่หมายถึงทุกอย่างที่มูฮัมมัดกล่าวแล้วมันจะขัดแย้งกับ 66:1 อย่างชัดเจน แต่มันไม่เป็นเช่นนั้นดังที่เคยอธิบายในโพสก่อนๆมาแล้ว ว่านี่เป็นวความต่างระหว่างนบี และ รอซูล  ไม่ใช่ว่าผมไม่รักนบีนะครับ ผมรักแน่นอน ผมก็เลยไม่กล้าเชื่อในสิ่งที่อ้างว่าเป็นคำพูดของนบี เพราะอัลลอฮได้บอกแล้วว่าจะมีศัตรูของแต่ละนบีมาใส่ร้ายนบี ดังที่ได้เสนอในโพสก่อนหน้านี้มาแล้ว และอัลลอฮไม่ได้รักษหะดิษพวกนั้น และอัลลอฮถามว่าหะดิษใหนหลังจากกุรอานนี้ที่เจ้านะศรัทธา และอัลลอฮรักษากุรอานนี้ครับ


قل إن كنتم تحبون الله فاتبعوني يحببكم الله ويغفر لكم ذنوبكم والله غفور رحيم الخيمه
[3.31]  จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า พวกเขาหากพวกท่านรักอัลลอฮ์ ก็จงปฏิบัติตามฉัน อัลลอฮ์ก็จะทรงรักพวกท่าน และจะทรงอภัยให้แก่พวกท่านซึ่งโทษทั้งหลายของพวกท่าน และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาเสมอ

ชัดเจนว่าอัลลอฮกำลังหมายถึงมูฮัมมัดในฐานะรอซูล โดยเฉพาะที่อัลลอฮบอกว่า จงกล่้าว ซึ่งหมายถึงว่าให้กล่าวสารของอัลลอฮ ไม่ใช่คิดเอง และนั่นหมายถึงการส่งสารของรพระเจ้า นั่นคือฐานะ รอซูล และนี่สอดคล้องกับที่อัลลอฮให้ปฏิบัติตามอัลลอฮและรอซูลเป็นสิ่งเดียวกันเช่นเดียวกับใน 4:80 ตามที่ผมได้อธิบายใน link ที่ได้โพสไปแล้ว


ปัญหาคือ คุณคิดหรือว่าคำสิ่งของอัลลอฮกุรอานจะขัดแย้งกันเอง ในเมื่อผมได้นำเสนอแล้วว่าอัลลอฮกล่าวเกียวกับหะดิษอื่นนอกจากกุรอานว่าอย่างไร และกุรอานสมบูรณ์ครบถ้วน และอัลลอฮรักษากุรอาน ที่ผมได้โพสไว้อย่างละเอียดมาแล้ว


แน่นอนครับ จะต้องมีคำถามยอดฮิตเรื่องซาลาต ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมากและมีรายละเอียดต้องศึกษามาก ผมขอเริ่มจาก

-ดังที่ผมเคยเสนอแล้วว่าอัลลอฮกล่าวในกุรอานว่าพอเพียงครบถ้วน และกล่าวกับหะดิษอื่นเช่นไรบ้าง แล้ว ทำไมในกุรอานไม่มีท่าละหมาดอย่างละเอียดที่เราทำกัน และทำไมไม่มีบอกว่าต้องทำละหมาดวันละห้าเวลา ทั้งๆที่พระจ้านั้นไม่ได้ทิ้งอะไรไว้นอกกุรอาน

-ท่านช่วยบอกหะดิษให้ผมสักอันที่อ้างว่านบีบอกท่าละหมาดอย่างครบถ้วนอย่างที่เราทำกัน (เท่าที่พบมามีแต่ที่กระจัดกระจายและขัดแย้งกันเอง)

- ไม่มีคำว่า ละหมาด ในกุรอาน

นอกจากนี้ ค่อนข้างน่าสนใจว่า คำว่าละหมาด หรือ นมาซ เป็นภาษาเปอร์เชีย ซึ่งน่าสนใจว่าในเปอร์เซียมีศาสนา โซแรสเตอร์ ซึ่งทำการ ละหมาดของเขา วันละ 5 เวลา
http://tenets.zoroastrianism.com/geh33.html
http://free-minds.org/forum/index.php?topic=10099.0



- มีคำว่า ซาลาต ในกุรอาน ที่คนมักเข้าใจว่าแปลว่าละหมาด

- คำว่า ซาลาต แปลว่าอะไร

- ถ้าซาลาต แปลว่า ละหมาด แล้ว ใน 9:1-12 ความหมายดูเป็นเหตุผลหรือไม่ที่จะให้ผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมทำการละหมาดและจ่ายซากาต

- ถ้าซาลาต แปลว่า ละหมาด แล้ว ใน 11:87 ละหมาดเป็นแหล่งของกฏว่าด้วยแต่ละเรื่องได้เหรอ

- ถ้าซาลาต แปลว่า ละหมาด แล้ว ทำไมมีหลายคนที่ทำละหมาด แต่กลับไปทำการบาปเช่นโกหก พูดก้าวร้าวต่อพ่อแม่ ทำซีนา หรืออื่นที่ขัดแย้งกับคำสั่งของพระเจ้าในกุรอาน ทั้งๆที่ การซาลาตนั้นยับยั้งจากความชั่ว (29:45)

- ถ้าซาลาต แปลว่า ละหมาด และซูยูดแปลว่ากราบ แล้วคุณ เคย ซูยูดจรดคางหรือไม่ 17:107

- ถ้าซาลาต แปลว่า ละหมาด แล้วทำไมเจอคกว่า อากีมุสซาลาต หลายที่ในกุรอานในบริเวณที่ไม่ได้เกียวกับการสักการะ เช่น [2.238]

- ถ้าซาลาต แปลว่า ละหมาด และรุกะอาน แปลว่าโค้งคำนับ แล้วทำไม [2.43]  (และจงดำรงนมาซ และจ่ายซะกาต และจงโค้งคำนับต่อฉัน ร่วมกับบรรดาผู้ที่โค้งคำนับ) ถึงกล่าวแต่เฉพาะการโค้ง

- ถ้าซาลาต แปลว่า ละหมาด แล้วคุณเคยละหมาดใน สี่ิงที่เขาเรียกว่า มะกอมอิบรอฮีม หรือไม่ เพราะอัลลอฮสั่งให้ยึดเอา "มะกอมอิบรอฮีม" เป็นที่ "ซาลาต" [2.125]


นอกจากนี้ ท่านสามารถ อ่าน

http://www.mypercept.co.uk/articles/disproved_traditional_salat.htm
http://mypercept.co.uk/articles/slw.htm

เพื่อจะรู้ว่าผม และหลายๆคน ที่ยึ่ดมั่นตามที่พระเจ้าได้บอกว่ากุรอานนี้ครบถ้วนและพอเพียงตามที่เคยเสนอมาแล้ว เข้าใจเกี่ยวกับซาลาตว่าอย่างไร

ถ้าผมล่วงเกินความคิดของท่านผมต้องขออภัยในที่นี้ด้วยครับ




ขอพระเจ้านำทางครับ

13

คุณ TruthSeeker  เมื่อคุณเข้ามาเสวนาในเวปไซท์แห่งนี้นั้น  คุณคงทราบดีว่าที่นี่เขามีการเสวนาที่มีระบบและระเบียบ  มีกฏมีเกนฑ์

ระเบียบการเสวนา

ดังนั้น  คุณจงอ่านกฏระเบียบต่าง ๆ  ของการเสวนาในเวปไซท์แห่งนี้  แล้วให้คุณตอบผมว่า  คุณจะตกลงที่จะเสวนาตามกฏระเบียบเสวนาดังกล่าวนี้หรือไม่ครับ?   


ช่วยบอกผมด้วยว่าผมผิดระเบียบข้อใหนครับ ผมขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ

14
ทำยังกะว่า กุรอ่านไม่ได้วาฮีย์ผ่านนาบีซะยังงั้น
จนได้
วัสลาม

ใช่ครับ กุรอานไม่ได้วาฮีย์ผ่านนาบี แต่กุรอานนั้นวาฮีย์ผ่านรอซูล

คุณต้องศึกษาความหมายของคำว่า นบี กับคำว่ารอซูลก่อน แล้วดูว่าในกุรอานใช้คำทั้งสองต่างกันอย่างไร

มูฮัมมัดในขณะที่กำลังกล่าว วะฮีย์ ออกมาอย่างสมบูรณ์แบบนั้นเป็นในฐานะรอซูล เพราะกำลังส่งสารของพระเจ้า แต่ในเวลาอื่นเป็นในฐานะนบี นั่นคือเป็นศาสดา ซึ่งอัลลอฮไม่ได้รักษาคำพูดของนบี แต่อัลลอฮรักษาคำกล่าวของรอซูล นั่นคือกุรอานเท่านั้น ถ้ารอซูลกล่าวอย่างอื่นนอกจากกุรอาน อัลลอฮจะตัดเส้นชีพเขา ผมอธิบายด้วยหลักฐานจำนวนมากจากกุรอานแล้วใน http://www.sunnahstudents.com/forum/index.php?topic=1508.msg12101#msg12101

แน่นอนอัลลอฮมีเหตุผลในการเลือกใช้คำที่ต่างกันในที่ๆต่างกันในกุรอาน


ผมขอย้ำ


ผมได้อธิบายตามกุรอานซึ่งอัลลฮกล่าวว่าพอเพีัยงแล้วดังใน http://www.sunnahstudents.com/forum/index.php?topic=1201.msg12037#msg12037 และผมไม่ได้ใช้หะดิษ เนื่องด้วยเหตุผลดังในโพสแรกของหัวข้อนี้

นอกจากนี้ ผมได้เขียนอธิบายให้คุณเห็นความต่างของนบีและรอซูล จากกุรอาน รอซูลกล่าวได้เฉพาะกุรอานเท่านั้น แต่นบีกล่าวอย่างอื่นได้ แต่อัลลฮรักษาเฉพาะกุรอาน ไม่ได้รักษาหะดิษอื่น ดังใน http://www.sunnahstudents.com/forum/index.php?topic=1508.msg12101#msg12101

ดังคุณจะเห็นว่ามีหะดิษหลายประเภทและไม่ได้มีการรักษามาโดยอัลลอฮ และไม่ได้มีการรับรองยืนยันโดยนบีเองด้วยซ้ำ (ทำไมไม่มีการประทับตรารับรองโดยนบีเอง ถ้าคุณดูตามประวัติศาสตร์คุณจะเห็นอีกว่าคนเขียนหนังสือหะดิษที่เราใช้กัน เช่นบุคคอรี มารวบรวม คัดเลือก หะดิษ นั่นคือเรื่องเล่้าเกี่ยวกับนบี หลังจากการตายของนบีเป็นร้อยปีด้วยซ้ำ แต่ในส่วนกุรอานผ่านมา 1400 กว่าปีแล้วยังมีการรักษาอย่างดียิ่งโดยอัลลอฮ) ถ้าคุณดูสิ่งที่อัลลอฮกล่าวว่ากุรอานพอเพียง และอัลลอฮถามว่าหะดิษใหนอีกนอกจากกุรอานเท่าคุณจะศรัทธา แล้วยังบอกรับรองอีกว่ากุรอานเป็นคำกล่าวออกจากปากของรอซูล (69.40) (นั่นคือกล่าวส่งสารจากอัลลอฮมา ไม่ได้คิดเอง อัลลอฮรับรอง รักษา) นั่นก็เป็นเหตุผลที่จัดแจ้งอย่างมาก


ตามที่ได้อธิบายมาแล้วว่าหะดิษไม่ได้ถูกรักษาโดยอัลลอฮ แล้วใครบิดเบือนมัน ใครกล่าวร้ายใส่นบีของเรา ร่วมทั้งนบีก่อนๆ?

คำตอบมีให้เห็นชัดเจนในอายะห์นี้
[6.112]  และในทำนองนั้นแหละเราได้ให้มีศัตรูขึ้นแก่นบีทุกคน คือ บรรดาชัยฏอนมนุษย์ และญินโดยที่บางส่วนของพวกเขาจะกระซิบกระซาบแก่อีกบางส่วน ซึ่งคำพูดที่ตกแต่งเป็นการหลอกลวง และหากว่าพระเจ้าของเจ้าทรงประสงค์ แล้วพวกเขาก็มิกระทำมันขึ้นได้ เจ้าจงปล่อยพวกเขาและสิ่งที่พวกเขาอุปโลกน์ ขึ้นเถิด


ผมรักและให้เกียรติมูฮัมมัดอย่างมาก และผมไม่มีทางเชื่อสิ่งที่ศัตรูของนบีได้กล่าวร้ายออกมาเป็นคำพูดหลอกลวง เป็นการดูถูกกล่าวหานบีสารพัดในหนังสือหะดิษต่างๆ

เช่น

หะดิษ บุคอรี ชุด 5, เล่ม 58, เลขที่ 236 ที่กล่าวว่าท่านนบีมูฮัมมัดแต่งงานกับท่านหญิงอาอิชะฮ์ตอนเธออายุเพียง 6 ขวบ

หะดิษ บุคอรี ชุด 4, เล่ม 55, เลขที่ 635 ที่กล่าวว่าท่านนบีมูฮัมมัดเล่าเรื่องการหลับนอนของท่านนบีซูลัยมาน กับผู้หญิง 70 คนในคืนเดียว

และหะดิษอื่นๆ อีกจำนวนมาก


ผมรักและห่วงใยพี่น้อง และผมต้องการจะสื่อให้พี่น้องพิจารณากุรอาน ดังนั้นอย่าปฏิเสธอายะห์ของอัลลอฮ

[32.22]  และผู้ใดเล่าจะอธรรมยิ่งไปกว่าผู้ถูกเตือนให้รำลึกถึงอายาตทั้งหลายของพระเจ้าของเขา แล้วเขาก็ผินหลังให้กับอายาตเหล่านั้น แท้จริงเราเป็นผู้จองเวรบรรดาผู้กระทำผิด



ในการเสวนาผมขอแนะนำให้ใช้การอ้างถึงอายะห์กุรอานด้วยครับ ไม่ใช่เพียงเสนอความคิดเห็นของเท่านโดยไม่มีหลักฐานจากกุรอานอ้างอิง

ผมเข้าใจดีว่าการตอบของแต่ละท่านที่ตอบกันมา เป็นเรื่องธรรมดา คนส่วนใหญ่ที่ผมเคยเสวนาด้วยก็จะพูดลักษณะเดียวกับพวกคุณ คือ จะพยายามพิสูจน์ว่ากุรอานไม่พอเพียง ผมเห็นการทำเช่นนี้เป็นการกล่าวมุสาแก่อายะห์ของอัลลอฮทั้งหลายที่ได้เสนอมาแล้ว


ขอพระเจ้าทรงนำทางครับ

15
มีพันล้าน บริจาค บาทเดียวก็ได้สินะ

ลองดูโพสก่อนๆ นี้ ของผมที่ได้กล่าวไว้แล้วเรื่องนี้แล้วครับ

นี่เป็นทางเลือกของคุณ ถ้าคนหนึ่งมีเยอะขนาดนั้นบริจาคแค่นั้น ก็เป็นทางเลือกของเขา อัลลอฮตัดสินเขาเอง แต่มีคนที่จิตใจดีมากๆ บริจาคเยอะมากเิกิน สองจุดห้าเปอร์เซนต์ ก็ไม่ผิด เพระอัลลอฮเปิดอายะห์ที่เสนอไว้แล้วอย่างกว้าง เขาจะให้ห้าร้อยล้านก็ได้ นี่เป็นเรื่องระหว่างเขากับอัลลอฮ ว่าเขาอยากทำดีแค่ใหน

หน้า: [1] 2 3 4