แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

หน้า: [1] 2 3 ... 7
1
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
**เดือนร่อบีอุ้ลเอาวั้ลนี้ ทุกๆคนต่างก็มีการรำลึกนึกถึงท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กันอย่างแพร่หลาย มีการอ่านชีวประวัติอันทรงคุณค่าของท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กัน ทุกๆคนต่างก็มีความยินดีดีใจในท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กันทั่วทุกสารทิศ แต่สิ่งที่สำคัญอีกประการที่เราท่านทั้งหลายไม่ควรมองข้ามกันไป ก็คือการรำลึกนึกถึงความตาย ซึ่งสิ่งนี้จะทำให้เราท่านทั้งหลายไม่หลงระเริงกับโลกดุนยาใบนี้มากจนเกินไป ซึ่งสิ่งนี้จะทำให้เราท่านทั้งหลายหวนกลับสู่ความถูกต้องจากพระผู้เป็นเจ้ามากยิ่งขึ้น เราท่านทั้งหลายต้องยอมรับอย่างนึงว่า ในปัจจุบันนี้สิ่งที่จะทำให้เราท่านทั้งหลายมีความเพลิดเพลินนั้น มีมากมายเหลือเกิน มากมายจนนับไม่ถ้วน มากมายจนนับไม่ไหว ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านั้น ทำให้เราท่านทั้งหลายยิ่งห่างไกลจากพระผู้เป็นเจ้ามากยิ่งขึ้น ซึ่งต่างกับการรำลึกนึกถึงความตายอย่างสิ้นเชิง ซึ่งการรำลึกนึกถึงความตายจะทำให้เราท่านทั้งหลาย มีจิตใจที่ใกล้ชิดกับพระผู้เป็นเจ้ามากยิ่งขึ้น ใกล้ชิดกับความดีงามมากยิ่งขึ้น ใกล้ชิดกับความพึงพอพระทัยจากพระผู้เป็นเจ้ามากยิ่งขึ้น
**ทรัพย์สินเงินทอง ลูกหลานบริวาร ความชื่นชมยินดีจากเพื่อนพ้องรอบข้าง ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรเราท่านทั้งหลายได้เลย มีแต่คุณความดีงามที่เราท่านทั้งหลายปฏิบัติกันไว้เท่านั้น ที่จะสามารถนำพาเราท่านทั้งหลายไปสู่ความสุขสบายอันนิรันด์ ที่จะสามารถนำพาเราท่านทั้งหลายไปสู่สรวงสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าได้
**ความดีงามนั้นทำยากเนื่องจากอารมณ์นัฟซูส่วนนึงที่ไม่ค่อยอยากกระทำ และอีกส่วนก็มาจากซัยตอนมารร้ายที่คอยขัดขวางเอาไว้ แต่เมื่อเราท่านทั้งหลายทำคุณความดีกันให้เป็นประจำ เมื่อนั้นแหละการทำคุณความดีต่อพระผู้เป็นเจ้าก็จะเป็นเรื่องที่ง่ายดายต่อเราท่านทั้งหลายเอง
**ได้มีระบุไว้ในซอเฮี๊ยะห์บุคอรีว่า
حَدَّثَنِي عَبْدُ اللَّهِ بْنُ مُحَمَّدٍ، حَدَّثَنَا عَبْدُ المَلِكِ بْنُ عَمْرٍو، حَدَّثَنَا زُهَيْرُ بْنُ مُحَمَّدٍ، عَنْ مُحَمَّدِ بْنِ عَمْرِو بْنِ حَلْحَلَةَ، عَنْ عَطَاءِ بْنِ يَسَارٍ، عَنْ أَبِي سَعِيدٍ الخُدْرِيِّ، وَعَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ: عَنِ النَّبِيِّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ: مَا يُصِيبُ المُسْلِمَ، مِنْ نَصَبٍ وَلاَ وَصَبٍ، وَلاَ هَمٍّ وَلاَ حُزْنٍ وَلاَ أَذًى وَلاَ غَمٍّ، حَتَّى الشَّوْكَةِ يُشَاكُهَا، إِلَّا كَفَّرَ اللَّهُ بِهَا مِنْ خَطَايَاهُ
**จากท่านอะบีฮุรอยเราะห์(ร.ด.) จากท่านนบี(ซ.ล.) ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า ไม่มีสิ่งใดที่ประสบกับมุสลิม ด้วยความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า โรคประจำตัว ความวิตกกังวล ความโศกเศร้า ภยันอันตรายและความมัวหมองต่างๆ แม้กระทั่งว่าหนามที่ตำ นอกจากพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.) ทรงให้เป็นเครื่องลบล้างความผิดของเขา รายงานโดยบุคอรี
**ทุกๆวันขอให้เราท่านทั้งหลายกล่าวว่า ลาอิลาฮะอิ้ลลั้ลลอฮ์ กันให้เป็นประจำ อย่าให้การกล่าวว่าลาอิลาฮะอิ้ลลั้ลลอฮ์ มีเฉพาะกับคนที่รู้สึกว่าตัวเองใกล้จะสิ้นชีวิตแล้วเท่านั้น เพราะคำๆนี้เป็นคำที่มีศิริมงคลมาก ขนาดที่ว่าสมมุติว่ากระทำไม่ดีมาทั้งชีวิต แต่มีคำๆนี้เป็นคำสุดท้ายของชีวิต ท้ายที่สุดในโลกหน้าอาคิเราะห์ แม้ต้องโดนลงโทษในสิ่งที่ตัวเองได้เคยกระทำไว้ อย่างไรๆก็ต้องได้เข้าสรวงสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าอย่างแน่นอน   ก็เพราะว่าเขามีศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้า
**เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป สมัยก่อน เด็กติดพ่อติดแม่ โตขึ้นมาหน่อยติดเพื่อน พอมีครอบครัวก็ติดลูก แต่พอเมื่อสมัยได้เปลี่ยนไป สมัยนี้เด็กติดพ่อติดแม่และก็ติดแท็ปเล็ต โตขึ้นมาหน่อยติดเพื่อนและก็ติดสังคมออนไล ติดโทรศัพท์ พอมีครอบครัวก็ติดลูกและก็ติดโทรศัพท์(เรียกว่าถ้าว่างเมื่อไหร่ เป็นต้องหยิบโทรศัพท์ ดังนั้นถ้าอดที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูไม่ได้จริงๆ ขอให้ดูในสิ่งที่เป็นคุณความดีที่พระผู้เป็นเจ้าพึงพอพระทัยเท่านั้น
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ   
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ   
“ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน
ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8 
**จงนึกถึงความตายให้เป็นประจำ แล้วเราท่านทั้งหลายจะสละสิ่งไร้สาระได้มากขึ้น แล้วเราท่านทั้งหลายจะทำคุณความดีต่อพระผู้เป็นเจ้าได้ง่ายขึ้นและมากยิ่งขึ้น อิงซาอัลลอฮ์
**อย่าลืมนะครับคำง่ายๆ แต่ผมเชื่อเหลือเกินว่ามีน้อยคนมากที่ได้กล่าวอย่างเป็นประจำ ลาอิลาฮะอิ้ลลั้ลลอฮ์(ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่ถูกกราบไหว้โดยเที่ยงแท้นอกจากพระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.))
**วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม   
ดังนั้นวันอังคารที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2558 ตรงกับวันที่ 29  ร่อบีอุ้ลเอาวั้ล ฮ.ศ.1436 (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันอังคารที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2557เป็นวันที่ 1 ร่อบีอุ้ลเอาวั้ล ฮ.ศ.1436 ดังนั้นวันอังคารที่ 20มกราคม พ.ศ. 2558 ตรงกับวันที่ 29  ร่อบีอุ้ลเอาวั้ล ฮ.ศ.1436 ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ร่อบีอุซซานี ฮ.ศ.1436)
**สำหรับประเทศไทย 
จันทร์ดับ ตรงกับวันอังคารที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2558 เวลา  20.13.44 วินาที ตามเวลาประเทศไทย   ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันอังคารที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2558 ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ร่อบีอุซซานี ฮ.ศ.1436 (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันอังคารที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2557เป็นวันที่ 1 ร่อบีอุ้ลเอาวั้ล ฮ.ศ.1436)
เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว เลิกถือศีลอด ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน”)  รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
**วันอังคารที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2558 ดวงจันทร์ในวันนี้อยู่ห่างจากโลกประมาณ  360950.29 กิโลเมตรคำนวณจากมหานครมักกะห์ ถ้ากรุงเทพฯเรา ก็จะอยู่ประมาณ  361320.60 กิโลเมตร
**วันอังคารที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2558
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก 18.12.37วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.03.43วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 8นาที 54วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก 18.11.49 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.02.34 วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 9นาที 15วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
3.ยะลา อ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก 18.22.01 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.10.39 วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 11นาที 22วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
 -  ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก 18.20.48 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.09.35 วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 11นาที 13วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
4.หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก  18.22.41 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.11.45 วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 10นาที 56วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก 18.15.28 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.06.46 วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 8นาที 42วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก 18.20.32 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.09.25 วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 11นาที 6วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
7.อุบลราชธานี  ดวงอาทิตย์ตก 17.53.52 วินาที  ดวงจันทร์ตก  17.44.46 วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 9นาที 6วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
8.นนทบุรี  ดวงอาทิตย์ตก  18.12.41 วินาที  ดวงจันทร์ตก   18.03.50 วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 8นาที 51วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
**ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม
วันอังคารที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2558 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว แหละทั่วทั้งประเทศไทยไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้เลย  ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
**ดังนั้นผลในการคำนวณทางดาราศาสตร์อิสลาม วันที่ 1 ร่อบีอุซซานี ฮ.ศ.1436)
ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2558 ทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้นั้น เป็นผลสรุปจากการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลามเท่านั้น
**แต่ทว่าในทางการปฏิบัติจริงๆนั้น ให้พี่น้องต้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น  เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
**ก็คนทุกคนต่างมีหน้าที่ แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลาม คอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วย(สมมุติว่าณบริเวณนั้น มีผู้ที่ดูดวงจันทร์เสี้ยวเป็นร้อยหรือเป็นพันคน ทำไมจึงเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่คนคนเดียวหรือเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่สองสามคน แล้วคนที่เห็นหรือกลุ่มคนที่เห็นดวงจันทร์เสี้ยวนั้น มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับดวงจันทร์มากน้อยเพียงใด ซึ่งบางทีสิ่งที่เขาเห็นแล้วคิดว่าเป็นดวงจันทร์เสี้ยว ความเป็นจริงอาจไม่ใช่ดวงจันทร์เสี้ยวก็เป็นได้)แหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริง ที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า จะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุล หรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาป ก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌ
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม) เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา และ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน)  และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ
ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
**เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์ว(ซ.ล)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์ 
รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
วันนี้เราท่านทั้งหลายทำความดีเพื่อพระองค์แล้วหรือยัง  และเราท่านทั้งหลายได้นำพาบุคคลรอบข้างของเราเข้าใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง  ละหมาดแล้วหรือยัง  ทำอะม้าน  อิบาดะห์ชนิดต่างๆเพื่อรับพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง
**วันนี้วันศุกร์ที่ 16 มกราคม  พ.ศ.2558 เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา ซำบะห์ยัง)
 -สำหรับสำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา  05.20.43วินาที ตะวันขึ้นเวลา  06.44.28วินาที ดุฮ์ริเวลา 12.26.22วินาที อัสริเวลา 15.42.55วินาที มักริบเวลา  18.08.23วินาที อีซาเวลา 19.23.26วินาที
-สำหรับกทม.ซุบฮิเวลา 05.22.25วินาที  ตะวันขึ้นเวลา  06.46.08วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12:28.14วินาที  อัสริเวลา 15:44.54 วินาที  มักริบเวลา 18.10.26วินาที  อีซาเวลา 19.25.28วินาที   
-สำหรับมัสยิดฮารอม  ซุบฮิเวลา 05.33.59วินาที  ตะวันขึ้นเวลา  06.58.07วินาที  ดุฮ์ริเวลา  12.30.18วินาที  อัสริเวลา  1 15.38.13วินาที  มักริบเวลา  18.02.38วินาที  อีซาเวลา 19.17.49วินาที     
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิเวลา 05.29.19วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 07.03.11วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.31.09วินาที  อัสริเวลา15.34.40 วินาที  มักริบเวลา 17.59.18วินาที  อีซาเวลา  19.14.58วินาที
**พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ   
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ   
“ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน
ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8 
**รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
     โอ้พระผู้เป็นเจ้า ถ้าหากว่ามีคุณความดี ขอมอบภาคผลบุลแด่บิดา มารดาและครูบาอาจารย์ทั้งที่มีชีวิตอยู่ และที่กลับสู่ความเมตาตาของพระองค์แล้ว และใคร่ขอให้ปวงบ่าวของพระองค์ ได้ทำตัวให้ใกล้ชิดกับพระองค์ ตามพระประสงค์ของพระองค์ และขอพระองค์ได้ทรงอภัยโทษให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด อามีน ยาอัรฮะมัร รอฮิมีน



2
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
**นี่ก็ใกล้จะเริ่มต้นขึ้นปีใหม่แล้ว ปฏิทินอิสลามก็ถือว่าเป็นของขวัญที่เลอค่ามากๆสำหรับมวลมุสลิมชายแหละมวลมุสลิมะห์ เพราะสิ่งที่มีระบุอยู่ในปฏิทินอิสลามนั้นก็คือ เวลาปฏิบัติศาสนกิจที่มวลมุสลิมแหละมวลมุสลิมะห์ต้องนำมายึดปฏิบัติ ในชีวิตประจำวันตลอดทั้งปีแหละตลอดชีวิต แหละสิ่งที่มีระบุอยู่ในปฏิทินอิสลามนั้นก็คือเดือนต่างๆของอิสลามเช่นวันที่1เดือนมุฮัรรอมตรงกับวันที่เท่าใด แหละวันที่1ของเดือนอิสลามเดือนอื่นๆตรงกับวันที่เท่าใด อะไรอย่างนี้เป็นต้น
**ในความเป็นจริงแล้ว(ตามหลักซะรีอัต)เราท่านทั้งหลายนั้นต้องฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรี แหละปฏิบัติตามการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีในการเริ่มต้นเดือนใหม่ในเดือนของอิสลามเท่านั้น เพราะนั่นคือหน้าที่แหละความรับผิดชอบ ซึ่งทางสำนักจุฬาราชมนตรีจะประกาศในทุกๆเดือน(ซึ่งจะใช้การเห็นจันทร์เสี้ยวแหละการไม่เห็นจันทร์เสี้ยวมาเป็นเกณฑ์ในการกำหนดวันเริ่มต้นเดือนใหม่)
**ส่วนในมุมมองของนักดาราศาสตร์อิสลามนั้น ในเมื่อต้องทำปฏิทินล่วงหน้า1ปี จะเริ่มวันที่1ของเดือนอิสลามในทุกๆเดือนนั้น ว่าจะเป็นวันที่เท่าไหร่ถือว่าเป็นเรื่องที่ยากมากๆ
**ใครจะรู้ว่าเมื่อพันสี่ร้อยกว่าปี ขณะที่เทคโนโลยียังล้าสมัยมาก ผู้คนยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโลกใบนี้นั้น จริงๆแล้วกลมไม่ใช่แบน แต่มีบุรุษท่านหนึ่ง(ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)) นำปฏิทินแห่งฟากฟ้ามาจากพระผู้เป็นเจ้า เป็นปฏิทินที่ยึดเอาปรากฏการณ์ทางท้องฟ้ามาเป็นสิ่งกำหนด นำมาบอกให้มวลมนุษยชาติได้รับรู้(ซึ่งที่จะไม่มีการผิดเพี้ยนเลยเพราะเป็นปฏิทินที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า โดยพระผู้เป็นเจ้าได้ให้ดวงจันทร์เป็นตัวกำหนด)
**บุรุษที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้(ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)) อยู่ในยุคที่ล้าสมัย จะรับรู้ถึงเรื่องราวที่ล้ำสมัยอย่างนี้ได้อย่างไร ถ้าพระผู้เป็นเจ้าพระผู้สร้างสรรพสิ่งต่างๆไม่ทรงบอก
**เราท่านทั้งหลายเคยสงสัยหรือไม่ว่า ตั้งแต่เกิดมาสิ่งที่เราเห็นอยู่หลักๆก็คือโลกเพราะเราท่านทั้งหลายเดินแหละวิ่งเล่นเมื่อยามเป็นเด็ก ดวงอาทิตย์เห็นกันอยู่ทุกวี่ทุกวัน ดวงจันทร์บางวันก็เห็นบ้างบางวันก็ไม่เห็น(แล้วมีฮิกมะห์อะไรที่พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงสร้างให้ดวงจันทร์มีแสงในตัวเองเลย ทำไมดวงจันทร์จึงต้องอาศัยแสงจากดวงอาทิตย์ด้วย ทำไมหนอวันธรรมดาดวงจันทร์มีแสงนวลตา แต่ทำไมหนอวันที่เกิดจันทรุปราคาดวงจันทร์ทำไมดวงจันทร์จึงมีสีแดงคล้ายอิฐเผา คำตอบทั้งหมดนั้นพระผู้เป็นเจ้าทรงบอกไว้หมดแล้วในพระมาคำภีย์อัลกุรอ่าน)
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
{وَجَعَلَ الْقَمَر فِيهِنَّ} أَيْ فِي مَجْمُوعهنَّ الصَّادِق بِالسَّمَاءِ الدُّنْيَا {نُورًا وَجَعَلَ الشَّمْس سِرَاجًا} مِصْبَاحًا مُضِيئًا وَهُوَ أَقْوَى مِنْ نُور الْقَمَر
และทรงทำให้ดวงจันทร์ในชั้นฟ้าเหล่านั้นมีแสงสว่างและทรงทำให้ดวงอาทิตย์มีแสงจ้า ซูเราะห์ นูฮ์ อายะห์ที่ 16 
**ในอายะห์นี้  พระผู้เป็นเจ้าใช้คำว่า "นูร" กับดวงจันทร์ ก็แสดงให้เห็นว่าดวงจันทร์ไม่มีแสงออกมาจากตัวเอง  แต่ที่เราเห็นดวงจันทร์มีแสงสว่างนวลตา  เพราะเป็นแสงที่รับมาจากดวงอาทิตย์  เราจึงสามารถมองดวงจันทร์ด้วยตาเปล่าได้  และพระผู้เป็นเจ้าใช้คำว่าซีรอจกับดวงอาทิตย์ ("ซีรอจ" แปลว่า "ตะเกียง")  ก็แสดงให้เห็นว่าดวงอาทิตย์มีแสงสว่างในตัวเอง  สามารถส่องแสงให้สิ่งรอบข้างได้อีกด้วย  เหมือนกับตะเกียงที่ส่องแสงให้กับสิ่ง หรือผู้คนที่อยู่รอบข้างได้ (สมัยนี้ตะเกียงอาจจะหาดูยากสักหน่อย แต่ที่เห็นกันอยู่บ่อยๆ  ก็คือหลอดไฟตามบ้านเรือนนั่นเอง)
**ดังนั้นถ้าผู้ที่ทำปฏิทินใดๆ ยึดหลักว่าต้องเอาปรากฏการณ์บนฟากฟ้ามาเป็นสิ่งกำหนดในการเริ่มต้นเดือนใหม่ของอิสลาม แล้วเริ่มต้นเดือนใหม่(อันนี้คือตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม ไม่ใช่หลักซะรีอัตเพราะหลักซะรีอัตต้องปฏิบัติตามการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรี) ก็จะตรงกับหลักความเป็นจริงบนฟากฟ้าที่พระผู้เป็นเจ้าทรงสรรสร้างมา
**ขอให้เราท่านทั้งหลายรับรู้ว่า ใครจะโกหกว่าเห็นจันทร์เสี้ยวหรือใครจะโกหกว่าไม่เห็นจันทร์เสี้ยวอย่างไรก็พูดได้ทั้งนั้น เพราะนั่นคือมนุษย์ แต่ปรากฏการณ์ทางฟากฟ้าที่พระผู้เป็นเจ้าทรงสรรสร้างมา จะไม่เป็นไปตามคำโกหกของมนุษย์เหล่านั้นหรอก ก็เพราะว่าปรากฏการณ์ทางฟากฟ้านั้น จะดำเนินไปตามคำสั่งใช้ จะดำเนินไปตามการกำหนดของพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น (ดวงจันทร์ก็จะเคลื่อนที่ตามคำสั่งใช้ของพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แหละดวงจันทร์ก็จะเคลื่อนที่ตามวงรอบของดวงจันทร์เท่านั้น กล่าวคือดวงจันทร์จะไม่เคลื่อนที่ช้าหรือเร็ว เพียงเพื่อให้ไปตรงกับคำโกหกต่างนานาๆของมนุษย์โดยเด็ดขาด)
ดั่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
اَلشَّمْسُ وَالْقَمَرُ بِحُسْبَانٍ
ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์โคจรตามวิถีที่แน่นอน ซูเราะห์อัรเราะห์มาน 55 อายะห์ที่ 5
(ตรงนี้بที่เป็นحرف الجرต้องมีที่تعلوقนักวิชาการจึงได้มีการสมมุติคำขึ้นมาว่า
 الشمسُ والقمرُ مُستقِرٌّيَجْرِياَنِ بِِحسبان)
**ถ้าไม่เข้าใจปรากฏการณ์ทางฟากฟ้าที่พระผู้เป็นเจ้าได้สรรสร้างมาอย่างถ่องแท้แล้ว การนับวันของอิสลามก็จะคลาดเคลื่อนได้ ดังนั้นตามปฏิทินแห่งฟากฟ้าที่พระผู้เป็นเจ้าได้สรรสร้างมา ท่าน(ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.))ท่านได้ประสูติ ในวันจันทร์ที่9(ย้ำนะครับ เก้า)เดือน ร่อบิอุ้ลเอาวัล ปีค.ศ. 571(ปีช้าง) ตรงกับวันจันทร์ที่ 20เมษายน ค.ศ. 571ในวันศุกร์ที่ 10 เมษายน ค.ศ. 571 (ซึ่งในปีค.ศ. 571 เดือนกุมภาพันธ์มี 28วัน) มีจันทร์ค้างฟ้าไม่ถึง 15 นาทีตามมหานครมักกะห์ ดวงจันทร์สูงแค่ 2องศากว่าๆเท่านั้นเอง อายุดวงจันทร์8ชั่วโมงกว่าๆเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นในขณะที่ดวงอาทิตย์ตกลับขอบฟ้าในมหานครมักกะห์ ดวงอาทิตย์แหละดวงจันทร์ห่างกันแค่ประมาณ 1องศาเท่านั้นเอง
**เรื่องราวเหล่านี้เป็นสิ่งยากมากมายสำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานในพระมาคำภีย์อัลกุรอ่าน เป็นสิ่งยากมากมายสำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานในอัลฮะดิษแหละเป็นสิ่งยากมากมายสำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานเลยในหลักดาราศาสตร์อิสลาม ดังนั้นผมจึงไม่ขอลงลึกถึงรายละเอียดต่างๆเหล่านี้เพิ่มอีก(เกี่ยวกับเรื่องนี้นั้นยังมีรายละเอียดอีกมากมายๆ)
**ใกล้ถึงเดือนร่อบิอุ้ลเอาวั้ลแล้วครับ การให้เกียรติท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) ถือว่าสิ่งที่ดีงาม เป็นมารยาทที่น่าสรรเสริญ และเป็นการกระทำที่พระผู้เป็นเจ้าทรงใช้ไว้
**ดังนั้นการกล่าวซอละวาตต่อท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)โดยมีการใส่ซัยยิดินา(แปลว่านายของเรา)ไปด้วยนั้น(ไม่กล่าวถึงชื่อนบีเฉยๆนั้น) ถือว่าเป็นการให้เกียรติยกย่อง เป็นการเคารพต่อท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) เป็นสิ่งที่ดีงามที่พระผู้เป็นเจ้าแหละหลักการศาสนาสนับสนุนให้พึงกระทำ
اَللّهُمََّ صَلِّ عَلٰى سَيِّدِنَا مُحَمَّدٍوَعَلٰى آلِ سَيِّدِنَامُحَمَّدٍ
**ต่อจากนี้เป็นฮะดิษที่มีระบุอยู่ในซอเฮี๊ยะห์มุสลิม
حَدَّثَنِي الْحَكَمُ بْنُ مُوسَى أَبُو صَالِحٍ حَدَّثَنَا هِقْلٌ يَعْنِي ابْنَ زِيَادٍ عَنْ الْأَوْزَاعِيِّ حَدَّثَنِي أَبُو عَمَّارٍ حَدَّثَنِي عَبْدُ اللَّهِ بْنُ فَرُّوخَ حَدَّثَنِي أَبُو هُرَيْرَةَ قَالَ
قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أَنَا سَيِّدُ وَلَدِ آدَمَ يَوْمَ الْقِيَامَةِ وَأَوَّلُ مَنْ يَنْشَقُّ عَنْهُ الْقَبْرُ وَأَوَّلُ شَافِعٍ وَأَوَّلُ مُشَفَّعٍ
ท่านอะบีฮุรอยเราะห์ ได้เล่าแก่ฉันว่า ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า ฉันเป็นนายของลูกหลานอาดัมในวันกิยามะห์ และฉันเป็นคนแรกที่ขึ้นมาจากหลุมกุโบร และฉันเป็นคนแรกที่ให้การช่วยเหลือ และฉันเป็นคนแรกที่ได้รับอนุญาตให้ให้ความช่วยเหลือ รายงานโดยมุสลิม
และต่อจากนี้มีการอธิบายของท่านอิหม่ามนะวะวี(ร.ฮ.) ที่แต่งตำราอธิบายซอเฮี๊ยะห์มุสลิมเอาไว้ครับ
قَوْله صَلَّى اللَّه عَلَيْهِ وَسَلَّمَ : ( أَنَا سَيِّد وَلَد آدَم يَوْم الْقِيَامَة ، وَأَوَّل مَنْ يَنْشَقُّ عَنْهُ الْقَبْر ، وَأَوَّل شَافِع وَأَوَّل مُشَفَّع )
قَالَ الْهَرَوِيُّ : السَّيِّد هُوَ الَّذِي يَفُوقُ قَوْمه فِي الْخَيْر ، وَقَالَ غَيْره : هُوَ الَّذِي يُفْزَعُ إِلَيْهِ فِي النَّوَائِب وَالشَّدَائِد ، فَيَقُومُ بِأَمْرِهِمْ ، وَيَتَحَمَّلُ عَنْهُمْ مَكَارِههمْ ، وَيَدْفَعُهَا عَنْهُمْ . وَأَمَّا قَوْله صَلَّى اللَّه عَلَيْهِ وَسَلَّمَ : ( يَوْم الْقِيَامَة ) مَعَ أَنَّهُ سَيِّدهمْ فِي الدُّنْيَا وَالْآخِرَة ، فَسَبَبُ التَّقْيِيد أَنَّ فِي يَوْم الْقِيَامَة يَظْهَرُ سُؤْدُده لِكُلِّ أَحَدٍ ، وَلَا يَبْقَى مُنَازِع ، وَلَا مُعَانِد ، وَنَحْوه ، بِخِلَافِ الدُّنْيَا فَقَدْ نَازَعَهُ ذَلِكَ فِيهَا مُلُوكُ الْكُفَّار وَزُعَمَاء الْمُشْرِكِينَ . وَهَذَا التَّقْيِيد قَرِيب مِنْ مَعْنَى قَوْله تَعَالَى : { لِمَنْ الْمُلْكُ الْيَوْمَ لِلَّهِ الْوَاحِدِ الْقَهَّارِ } مَعَ أَنَّ الْمُلْكَ لَهُ سُبْحَانه قَبْل ذَلِكَ ، لَكِنْ كَانَ فِي الدُّنْيَا مَنْ يَدَّعِي الْمُلْكَ ، أَوْ مَنْ يُضَافُ إِلَيْهِ مَجَازًا ، فَانْقَطَعَ كُلّ ذَلِكَ فِي الْآخِرَة
สรุปนะครับ ดังนั้นสังเกตนะครับ ตามตัวบทฮะดิษ บอกว่า ฉันเป็นนาย(ภาษาอะหรับคือซัยยิด ถ้าเราท่านทั้งหลายกล่าวถึงท่านนบีก็คือ ซัยยิดินานั่นเอง)ของลูกหลานอาดัมในวันกิยามะห์(ทั้งๆที่ความจริงแล้วท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)เป็นนายของลูกหลานอาดัมทั้งในโลกดุนยาแหละโลกอาคิเราะห์ แต่ที่ตัวบทฮะดิษระบุเฉพาะวันกิยามะห์ก็เพราะว่าในวันกิยามะห์นั้นจะเห็นได้อย่างชัดเจนเลย ในการเป็นนายของท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)เพราะทุกคนในวันนั้นต่างยอมรับทั้งหมดเลย ซึ่งต่างกับในโลกดุนยานี้ ที่มีทั้งคนยอมรับบ้าง ไม่ยอมรับบ้างนั่นเอง ตัวบทฮะดิษนี้มีความคล้ายคลึงกับพระดำรัสของพระผู้เป็นเจ้าที่ว่า
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
لِمَنْ الْمُلْكُ الْيَوْمَ لِلَّهِ الْوَاحِدِ الْقَهَّارِ
(เป็นวันที่พวกเขาออกมาจากหลุมกุโบร พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า) อำนาจบริหารจัดการในวันนี้(วันกิยามะห์)เป็นของใครกัน (แล้วพระองค์ก็ตรัสตอบว่า อำนาจบริหารจัดการในวันนี้) เป็นของพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)ผู้ทรงเอกะ ผู้ทรงเดชานุภาพ ซูเราะห์อัลมุอ์มิน 40 อายะห์ที่16
ขอให้เราท่านทั้งหลายสังเกตุอายะห์นี้ให้ดีนะครับ อายะห์นี้กล่าวเพียงแค่วันกิยามะห์ ทั้งๆที่ความเป็นจริงแล้ว อำนาจบริหารจัดการของพระผู้เป็นเจ้านั้นครอบคลุมทั้งหมดเลย ทั้งโลกดุนยานี้แหละโลกหน้าอาคิเราะห์แหละทุกๆโลกทั้งหมดเลยนะครับขอย้ำ เพียงแต่ว่าอำนาจบริหารจัดการของพระผู้เป็นเจ้า จะชัดเจนได้มากที่สุดในสายตาของชาวโลกก็ในวันกิยามะห์ ก็เพราะว่าในวันนั้น(วันกิยามะห์)ไม่ใครอ้างว่าเป็นเจ้าเคียบเคียงกับพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)อีกแล้ว ไม่มีเจ้าใหนๆอีกแล้ว กล่าวเถอะครับ
اَللّهُمََّ صَلِّ عَلٰى سَيِّدِنَا مُحَمَّدٍوَعَلٰى آلِ سَيِّدِنَامُحَمَّدٍ
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَالَّذِينَ آمَنُوا بِهِ وَعَزَّرُوهُ وَنَصَرُوهُ وَاتَّبَعُوا النُّورَ الَّذِي أُنْزِلَ مَعَهُ أُولَئِكَ هُمُ الْمُفْلِحُونَ
{فالذين آمنوا به} منهم {وعزروه} ووقروه {ونصروه واتبعوا النور الذي أنزل معه} أي القرآن {أولئك هم المفلحون}
บรรดาผู้ที่มีอีหม่านต่อท่านนบีและบรรดาผู้ที่ให้เกียรติท่านนบีและบรรดาผู้ที่ให้ความช่วยเหลือท่านนบีและบรรดาผู้ที่ปฏิบัติตามอัลกุรอ่านที่ประทานมายังท่านนบี พวกเหล่านั้นแหละคือผู้ที่ได้รับชัยชนะ ซูเราะห์อัลอะรอฟ7 อายะห์ที่157
**วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม   
ดังนั้นวันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2557ตรงกับวันที่ 29  ซอฟัร ฮ.ศ.1436 (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557เป็นวันที่ 1 ซอฟัร ฮ.ศ.1436 ดังนั้นวันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2557ตรงกับวันที่ 29  ซอฟัร ฮ.ศ.1436 ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ร่อบีอุ้ลเอาวั้ล ฮ.ศ.1436)
**สำหรับประเทศไทย 
จันทร์ดับ ตรงกับวันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2557 เวลา  8.35.53วินาที ตามเวลาประเทศไทย   ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2557 ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ร่อบีอุ้ลเอาวั้ล ฮ.ศ.1436 (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557เป็นวันที่ 1 ซอฟัร ฮ.ศ.1436
เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว เลิกถือศีลอด ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน”)  รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
**วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2557 ดวงจันทร์ในวันนี้อยู่ห่างจากโลกประมาณ  367663.25 กิโลเมตรคำนวณจากมหานครมักกะห์ ถ้ากรุงเทพฯเรา ก็จะอยู่ประมาณ  368122.45 กิโลเมตร
**วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2557
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก 17.56.3วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.20.34วินาที มีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว 24นาที 3วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก 17.55.59 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.19.37 วินาที  มีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว 23นาที 39วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
3.ยะลา อ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก 18.08.09 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.29.17 วินาที มีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว 21นาที 8วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
 -  ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก 18.06.46 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.28.06 วินาที มีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว 21นาที 20วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
4.หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก  18.08.30 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.30.08 วินาที มีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว 21นาที 38วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก 17.59.19 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.23.34 วินาที มีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว 24นาที 15วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก 18.06.24 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.27.51 วินาที  มีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว 21นาที 27วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
7.อุบลราชธานี  ดวงอาทิตย์ตก 17.37.17 วินาที  ดวงจันทร์ตก  18.01.15 วินาที  มีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว 23นาที 58วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
8.นนทบุรี  ดวงอาทิตย์ตก  17.56.33 วินาที  ดวงจันทร์ตก   18.20.39 วินาที  มีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว 24นาที 6วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
**ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม
วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2557 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว แหละทั่วทั้งประเทศไทยไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้เลย  ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
**ดังนั้นผลในการคำนวณทางดาราศาสตร์อิสลาม วันที่ 1 ร่อบีอุ้ลเอาวั้ล ฮ.ศ. 1436
ตรงกับวันพุธที่ 24 ธันวาคม พ.ศ.2557  ทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้นั้น เป็นผลสรุปจากการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลามเท่านั้น
**แต่ทว่าในทางการปฏิบัติจริงๆนั้น ให้พี่น้องต้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น  เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
**ก็คนทุกคนต่างมีหน้าที่ แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลาม คอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วย(สมมุติว่าณบริเวณนั้น มีผู้ที่ดูดวงจันทร์เสี้ยวเป็นร้อยหรือเป็นพันคน ทำไมจึงเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่คนคนเดียวหรือเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่สองสามคน แล้วคนที่เห็นหรือกลุ่มคนที่เห็นดวงจันทร์เสี้ยวนั้น มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับดวงจันทร์มากน้อยเพียงใด ซึ่งบางทีสิ่งที่เขาเห็นแล้วคิดว่าเป็นดวงจันทร์เสี้ยว ความเป็นจริงอาจไม่ใช่ดวงจันทร์เสี้ยวก็เป็นได้)แหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริง ที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า จะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุล หรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาป ก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌ
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม) เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา และ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน)  และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ
ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
**เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์ว(ซ.ล)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์ 
รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
วันนี้เราท่านทั้งหลายทำความดีเพื่อพระองค์แล้วหรือยัง  และเราท่านทั้งหลายได้นำพาบุคคลรอบข้างของเราเข้าใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง  ละหมาดแล้วหรือยัง  ทำอะม้าน  อิบาดะห์ชนิดต่างๆเพื่อรับพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง
**วันนี้วันศุกร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ.2557 เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา ซำบะห์ยัง)
 -สำหรับสำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา  05.09.20วินาที ตะวันขึ้นเวลา  06.34.28วินาที ดุฮ์ริเวลา 12.13.43วินาที อัสริเวลา 15.28.20วินาที มักริบเวลา  17.52.58วินาที อีซาเวลา 19.09.19วินาที
-สำหรับกทม.ซุบฮิเวลา 05.11.01วินาที  ตะวันขึ้นเวลา  06.36.06วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12:15:35วินาที  อัสริเวลา 15:30:21  วินาที  มักริบเวลา 17:55:03วินาที  อีซาเวลา 19:11:22วินาที   
-สำหรับมัสยิดฮารอม  ซุบฮิเวลา 05.24.13วินาที  ตะวันขึ้นเวลา  06.49.47วินาที  ดุฮ์ริเวลา  12.17.40วินาที  อัสริเวลา  1 5.21.27วินาที  มักริบเวลา  17.45.33วินาที  อีซาเวลา 19.02.03วินาที     
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิเวลา 05.29.19วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 06.55.33วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.18.32วินาที  อัสริเวลา15.17.41  วินาที  มักริบเวลา 17.41.30วินาที  อีซาเวลา  18.58.30วินาที
**พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ   
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ   
“ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน
ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8 
**รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
     โอ้พระผู้เป็นเจ้า ถ้าหากว่ามีคุณความดี ขอมอบภาคผลบุลแด่บิดา มารดาและครูบาอาจารย์ทั้งที่มีชีวิตอยู่ และที่กลับสู่ความเมตาตาของพระองค์แล้ว และใคร่ขอให้ปวงบ่าวของพระองค์ ได้ทำตัวให้ใกล้ชิดกับพระองค์ ตามพระประสงค์ของพระองค์ และขอพระองค์ได้ทรงอภัยโทษให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด อามีน ยาอัรฮะมัร รอฮิมีน


3
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
**ขอให้เราท่านทั้งหลายจงอย่ามีเจตนาที่ไม่ตามซุนนะห์ของท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กันนะครับ แต่ซุนนะห์ของท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)อันใหนละที่เป็นซุนนะห์ของแท้ อันใหนละที่เป็นซุนนะห์แท้ๆจากท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) แหละอันใหนที่มีการกล่าวอ้างว่าเป็นซุนนะห์ แต่จริงๆกลับไม่มีในหลักฐานทางศาสนาอิสลาม สิ่งนี้แหละที่เราท่านทั้งหลายต้องตระหนักกันให้มากๆนะครับ
**ที่ผมเขียนบทความนี้ขึ้นมาก็เพราะว่าเมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี เข้ามามีบทบาทในการใช้ชีวิตประจำวันของเราท่านทั้งหลายมากขึ้น
**ผมเชื่อว่าคนทุกๆคนล้วนแล้วแต่พยายามสรรหา แหละพยายามเลือกสิ่งที่ดีที่สุด ให้เข้ามาในชีวิตของตัวเองแหละให้เข้ามาในชีวิตของคนที่เราท่านทั้งหลายรักอย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องราวของศาสนานั้น เราท่านทั้งหลายก็ล้วนแล้วแต่พยายามสรรหา แหละพยายามเลือกสิ่งที่เราท่านทั้งหลายคิดว่าดีที่สุด ที่เราท่านทั้งหลายคิดว่ามาจากพระผู้เป็นเจ้าแหละมาจากท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) มากที่สุด ที่เราท่านทั้งหลายจะกระทำได้
**ดังนั้นเมื่อสมัยได้เปลี่ยนไป การศึกษาเล่าเรียนเกี่ยวกับหลักการของศาสนาก็เปลี่ยนไปด้วย สมัยก่อนศึกษาเล่าเรียนเกี่ยวกับหลักการของศาสนาโดยไปหาผู้รู้ที่บ้าน เรียกกันว่าสอนกันที่บ้านเลย ถ้ามีผู้สนใจมากสักหน่อยก็ขยับขยายไปสอนกันที่บาลาหรือสอนกันที่มัสยิด หรือไม่ก็เปิดเป็นสถาบันการศึกษาแบบปอเนาะ สมัยก่อนถ้าสงสัยเกี่ยวกับมัสอะละห์หนึ่ง(ปัญหาทางศาสนาข้อนึง)ก็ต้องดั้นด้นไปหาผู้รู้ ถ้าอยู่ใกล้ก็สะดวกหน่อย ถ้าอยู่ไกลก็ลำบากหน่อยแต่ก็ต้องไปเพราะอยากจะได้ความรู้ทางศาสนา
**ซึ่งต่างกับการเรียนการสอนทางศาสนาในสมัยนี้อย่างสิ้นเชิง ทุกวันนี้ด้วยความก้าวล้ำทางเทคโนโลยี แหละความก้าวหน้าในด้านต่างๆ การเรียนการสอนเกี่ยวกับเรื่องราวของศาสนานั้นนับว่าเป็นสิ่งที่ง่ายดายมาก เรียนกันด้วยอินเตอร์เน็ท หรือเรียนกันด้วยสื่ออื่นๆ ผมเองถือว่าสิ่งต่างๆเหล่านี้ เป็นสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างดียิ่ง แต่อีกใจนึงผมก็อดเป็นห่วงไม่ได้อีกเช่นกันก็คือ ในบางครั้งในบางทีหลักการศาสนานั้นได้ถูกบิดเบือนไปจากหลักฐานจริงทางอัลกุรอ่านแหละอัลฮะดิษ
**เราท่านทั้งหลายผมเชื่อว่าทุกคนต้องขอดุอาอ์ต่อพระผู้เป็นเจ้ากันทั้งนั้น แต่อย่างหนึ่งที่ทำไม่เหมือนกันก็คือ บางครั้ง ก็เห็นบางคนยกมือขอดุอาอ์ แต่ก็มีบางคนที่ไม่ยกมือขอดุอาอ์ แล้วตามซุนนะห์ของท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.)จริงๆทำอย่างไร อันนี้แหละครับที่เราท่านทั้งหลายต้องให้ความสำคัญ
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
{وَقَالَ رَبّكُمْ اُدْعُونِي أَسْتَجِبْ لَكُمْ} أَيْ اُعْبُدُونِي أُثِبْكُمْ بِقَرِينَةِ مَا بَعْده
ท่านทั้งหลายจงขอกับข้า(พระผู้เป็นเจ้า) แล้วข้า(พระผู้เป็นเจ้า)จะตอบรับคำขอให้กับพวกท่าน(ในตัฟซีรยะลาลีนให้การตัฟซีรว่า ท่านทั้งหลายจงทำอิบาดะห์ภักดีกับข้า(พระผู้เป็นเจ้า)  ข้า(พระผู้เป็นเจ้า) ก็จะประทานภาคผลบุญให้กับพวกท่านทั้งหลาย) (ที่นักตัฟซีรได้ให้ความหมายอย่างนี้)ก็ด้วยกับอายะห์อัลกุรอ่านที่มีต่อหลังจากตรงนี้นั่นเอง ก็ด้วยกับอายะห์อัลกุรอ่านที่มีหลังจากตรงนี้นั่นเอง) ซูเราะห์ฆอฟิร มุอ์มิน40 อายะห์ที่60 
**มีระบุไว้ในตัฟซีรอินุกะซีรว่า
هَذَا مِنْ فَضْلِهِ، تَبَارَكَ وَتَعَالَى، وَكَرَمِهِ أَنَّهُ نَدَبَ عِبَادَهُ إِلَى دُعَائِهِ، وَتَكَفَّلَ لَهُمْ بِالْإِجَابَةِ،
ท่านอิบนุกะซีรได้อธิบายว่า(อายะห์นี้) พระองค์ทรงกระตุ้นให้ปวงบ่าวของพระองค์ให้มีการวิงวอนขอดุอาอ์ต่อพระองค์อัลลอฮ์ (ซ.บ.)  และพระองค์ก็รับประกันว่าจะตอบรับคำขอของปวงบ่าวของพระองค์ สิ่งนี้ถือว่าเป็นความโปรดปรานจากพระองค์และเป็นการให้เกียรติของพระองค์อัลลอฮ์ (ซ.บ.)
**อายะห์อัลกุรอ่านตรงนี้ก็เป็นหลักฐานทางอัลกุรอ่าน ที่ระบุไว้อย่างชัดเจนเลยว่า พระผู้เป็นเจ้าต้องการให้เราท่านทั้งหลายที่อยู่ในฐานะปวงบ่าวของพระองค์ พระองค์ต้องการให้มีการขอดุอาอ์ต่อพระองค์ (จะวิงวอนขอดุอาอ์ตอนใหนก็ได้ทั้งนั้น ขออย่างเดียวก็คือต้องวิงวอนขอต่อพระองค์อัลลอฮ์ (ซ.บ.)เท่านั้น จะหลังละหมาดหรือตอนใหนเวลาใดก็ได้ทั้งนั้น แม้กระทั่งตอนเราท่านทั้งหลาย จะเข้าไปในสถานที่ ที่ศาสนาถือว่าสกปรกยังส่งเสริม ยังมีดุอาอ์ให้วิงวอนขอเลย ดังนั้นผู้ที่ยึดถือว่าการขอดุอาอ์หลังละหมาด ไม่มีในหลักฐานทางศาสนา ขอให้พิจรณาอายะห์อัลกุรอ่านตรงนี้ให้ดีๆนะครับ)
**ซึ่งอันความเป็นจริงแล้วการขอดุอากับการทำอิบาดะห์ก็มีอะไรที่เหมือนๆกันอยู่ ดังเช่นการขอดุอาจะให้ได้ผลตอบรับ จิตใจก็ต้องมุ่งอยู่กับพระผู้เป็นเจ้าอยู่ตลอด ก็เช่นเดียวกับการทำอิบาดะห์ อีกทั้งการขอดุอาจะให้ได้ผลตอบรับ จิตใจก็ต้องมีความสงบและนอบน้อมถ่อมตนต่อพระผู้เป็นเจ้า ก็เช่นเดียวกับการทำอิบาดะห์ฯลฯ แต่สิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าให้เป็นพิเศษในการขอดุอาอ์ก็คือไม่มีเวลากำหนด จะขอตอนใหนก็ได้นี่แหละครับคือความโปรดปรานอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ นี่แหละครับคือความเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ พระองค์พร้อมที่จะช่วยเหลือ พระองค์พร้อมที่จะให้ปวงบ่าวของพระองค์ได้ตลอดเวลา
**ได้มีระบุไว้ในตัฟซีรของท่านอิบนุกะซีรว่า
وقال  الإمام أحمد: حدثنا أبو معاوية، حدثنا الأعمش، عن ذر، عن يُسيع الكندي، عن النعمان بن بشير، رضي الله عنه، قال: قال رسول الله صلى الله عليه وسلم: "إن الدعاء هو العبادة" ثم قرأ: { ادْعُونِي أَسْتَجِبْ لَكُمْ إِنَّ الَّذِينَ يَسْتَكْبِرُونَ عَنْ عِبَادَتِي سَيَدْخُلُونَ جَهَنَّمَ دَاخِرِينَ } .   
وهكذا رواه أصحاب السنن: الترمذي، والنسائي ،وابن ماجه، وابن أبي حاتم، وابن جرير، كلهم من حديث الأعمش، به . وقال الترمذي: حسن صحيح
**สิ่งที่ผมจะนำมาเสนอต่อจากนี้นั้น จัดว่าเป็นหลักการของศาสนาอิสลามที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า แหละมาจากท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) อย่างแท้จริง เรียกว่าเป็นซุนนะห์ของท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)อย่างแท้จริง ซึ่งเป็นหลักฐานที่สามารถตรวจสอบได้จริง แหละเป็นหลักฐานที่บรรดาผู้รู้ ทั้งในสมัยอดีตแหละผู้รู้ในทุกยุคทุกสมัยต่างให้การยอมรับ
**ซุนนะห์(แนวการปฏิบัติ)ของท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) เกี่ยวกับเรื่องการขอดุอาอ์นั้นก็คือ ต้องมีการยกมือด้วย เน้นย้ำนะครับการขอดุอาตามแบบฉบับ(ตามซุนนะห์)ของท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) นั้นต้องยกมือด้วย (ซึ่งบางคนเข้าใจว่าท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)นั้น ยกมือขอดุอาอ์เฉพาะแค่ตอนละหมาดขอฝนเท่านั้น ถือว่าเป็นความเข้าใจที่ยังไม่สมบูรณ์แบบนะครับ)
**เน้นย้ำนะครับสิ่งที่ผมจะนำเสนอต่อไปนี้เป็นฮะดิษ เป็นหลักฐานทางศาสนาอิสลามที่มีระบุอยู่จริงในหนังสือซอเฮี๊ยะบุคอรี(กล่าวคือหนังสือซอเฮี๊ยะบุคอรีนั้น เป็นหนังสือที่นักวิชาการทางศาสนาอิสลามได้ให้การยอมรับว่า เป็นหลักฐานทางศาสนาที่สมบูรณ์รองมาจากอัลกุรอ่านเลยทีเดียว ก็เพราะว่านักวิชาการทางศาสนาอิสลาม พยายามหาข้อผิดพลาดในหนังสือซอเฮี๊ยะบุคอรี แต่ก็ไม่พบเลยแต่อย่างใด) ได้ระบุอยู่ในเรื่องของการยกสองมือในการวิงวอนขอดุอาอ์ ท่านอิหม่ามบุคอรีได้ระบุในหนังสือของท่านว่า(ในซอเฮี๊ยะห์บุคอรี)โดยท่านตั้งชื่อบทว่า บทของการยกสองมือในขณะวิงวอนขอดุอาอ์(ต่อพระผู้เป็นเจ้า) (สังเกตุให้ดีนะครับชื่อบทที่ท่านได้ตั้งก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า ตามซุนนะห์ของท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)จริงๆนั้นให้ยกสองมือขอดุอาอ์)
**ข้อความที่มีระบุไว้ในหนังสือซอเฮี๊ยะบุคอรี มีดังต่อไปนี้
باب رفع الأيدي في الدعاء
وَقَالَ أَبُو مُوسَى الْأَشْعَرِيُّ دَعَا النَّبِيُّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ثُمَّ رَفَعَ يَدَيْهِ وَرَأَيْتُ بَيَاضَ إِبْطَيْهِ
ท่านอบูมูซา อั้ลอัซอะรีได้กล่าวว่า ท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.)ได้ขอดุอาอ์ โดยยกสองมือของท่านขึ้น(ยกสูงด้วย) และฉันเห็นรักแร้ขาวทั้งสองข้างของท่าน(ตรงนี้ชัดเจนเลยว่าท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ไม่ได้ยกมือขอดุอาอ์เฉพาะตอนขอฝนอย่างเดียว)
وَقَالَ ابْنُ عُمَرَ رَفَعَ النَّبِيُّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَدَيْهِ وَقَالَ اللَّهُمَّ إِنِّي أَبْرَأُ إِلَيْكَ مِمَّا صَنَعَ خَالِدٌ
และท่านอิบนุอุมัรกล่าวว่า ท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.)ได้ยกมือทั้งสองข้างของท่าน และท่านก็กล่าววอนขอ(ต่อพระผู้เป็นเจ้าว่า) โอ้พระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.) ฉัน(ข้าพระองค์) ขอให้รอดพ้นจากการกระทำของคอลิดด้วยเถิด(ตรงนี้ชัดเจนเลยว่าท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ไม่ได้ยกมือขอดุอาอ์เฉพาะตอนขอฝนอย่างเดียว ตอนอื่นท่านก็ยกสองมือขึ้นแล้วก็วิงวอนขอต่อพระผู้เป็นเจ้า พระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.))
قَالَ أَبُو عَبْد اللَّهِ وَقَالَ الْأُوَيْسِيُّ حَدَّثَنِي مُحَمَّدُ بْنُ جَعْفَرٍ عَنْ يَحْيَى بْنِ سَعِيدٍ وَشَرِيكٍ سَمِعَا أَنَسًا عَنْ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ رَفَعَ يَدَيْهِ حَتَّى رَأَيْتُ بَيَاضَ إِبْطَيْهِ
ท่านบิดาของอับดุลลอฮ์กล่าวว่า และท่านอุวัยซีญ์ได้กล่าวว่า ท่านมุฮัมมัดบุตรของท่านยะฟัรเล่ากับฉันว่า จากท่านยะห์ยาบุตรของท่านซะอีด และจากท่านซะรีก ทั้งสองได้ยินจากท่านอะนัสว่า ท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.)ได้ยกสองมือขึ้นมา จนกระทั่งฉันเห็นรักแร้สีขาวทั้งสองข้างของท่าน
**ดังนั้นคำกล่าวที่ว่าท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.) ขอดุอาอ์โดยไม่ยกมือ จึงเป็นคำกล่าวที่ค้านกับหลักฐานทางศาสนาอิสลามโดยสิ้นเชิง ดังหลักฐานดังกล่าวมา(ดังนั้นเพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว สำหรับหลักฐานทางศาสนาที่มีอยู่ในหนังสือซอเฮี๊ยะบุคอรี)
**ดังนั้นจึงสรุปว่าการขอดุอาอ์ทุกรูปแบบ ให้วิงวอนขอต่อพระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.) ไม่ว่าจะขอดุอาอ์ตอนใหนก็แล้วแต่ ถ้าขึ้นชื่อว่าเป็นการขอดุอาอ์แล้ว(เน้นย้ำนะครับตามซุนนะห์ของท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)แล้วนั้น) ให้ยกมือทั้งสองข้างสูงๆขึ้นขอดุอาอ์ด้วย นอกจากว่ามือทำสุนัตอย่างอื่นอยู่เช่น การขอดุอาอ์ในขณะอ่านฟาติฮะห์ ซึ่งมืออยู่ในสภาพกอดอกฯลฯ
**ผมเขียนบทความนี้ขึ้นมาเพื่อให้เราท่านทั้งหลายนำไปปฏิบัติตามแนวทาง(นำไปปฏิบัติตามซุนนะห์ของท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)จริงๆ)ของท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) และนำไปบอกต่อให้ผู้ที่ไม่รู้ ได้รู้ถึงหลักการที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าแหละหลักการที่มาจากท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ที่ถูกต้องจริงๆ
**ดังนั้นถ้าใครขอดุอาอ์โดยที่ไม่ยกสองมือ ถือว่าไม่เป็นการสมควรอย่างยิ่ง แหละถือว่าแสดงถึงความไม่มีมารยาทในการขอดุอาอ์ต่อพระผู้เป็นเจ้า) ดังหลักฐานดังกล่าวมาข้างต้น แต่ถ้าผู้ใดที่มีการยกสองมือในการขอดุอาอ์ ก็ถือว่าได้รับภาคผลบุลเพิ่มเติมจากพระผู้เป็นเจ้า(เพราะเป็นการแสดงออก ทางมารยาทที่ดีงามของปวงบ่าวที่มีต่อพระผู้เป็นเจ้า) แหละเป็นการกระทำตามซุนนะห์ของท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.)อย่างถูกต้องและแท้จริงอีกด้วย ส่วนที่สำคัญมากก็คือถ้ารู้แล้ว ยังไปฮุก่มคนอื่นว่า การยกมือขอดุอาอ์ เป็นบิดอะห์ ตรวจหาหลักฐานแล้วไม่มี อย่างนี้ซิมีผลบาปอย่างแน่นอน ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า(เพราะหลักฐานในหนังสือซอเฮี๊ยะห์บุคอรี ก็มีกล่าวไว้ชัดๆอยู่แล้ว) ผมแหละเราท่านทั้งหลายขอให้ห่างไกลจากบาปกรรมอันเลวร้ายต่างๆนาๆด้วยเถิด อามีน
**วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม   
ดังนั้นวันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557ตรงกับวันที่ 29 มุฮัรรอม ฮ.ศ.1436  (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันเสาร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2557เป็นวันที่ 1 มุฮัรรอม ฮ.ศ.1436ดังนั้นวันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557ตรงกับวันที่ 29 มุฮัรรอม ฮ.ศ.1436 ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ซอฟัร ฮ.ศ.1436
**สำหรับประเทศไทย 
จันทร์ดับ ตรงกับวันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ.2557 เวลา 19.32.18วินาที(ตามเวลาประเทศไทย   ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ.2557(เพราะทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันเสาร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ.2557 เป็นวันที่ 1 มุฮัรรอม ฮ.ศ. 1436 จึงต้องมีการดูดวงจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ซอฟัร ฮ.ศ. 1436 )
เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว เลิกถือศีลอด ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน”)  รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
**วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ.2557 ดวงจันทร์ในวันนี้อยู่ห่างจากโลกประมาณ  379925.09 กิโลเมตรคำนวณจากมหานครมักกะห์ ถ้ากรุงเทพฯเรา ก็จะอยู่ประมาณ 380553.58 กิโลเมตร
**วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ.2557
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก 17.47.46 วินาที  ดวงจันทร์ตก 17.46.33 วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 1นาที 13วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก 17.46.58 วินาที ดวงจันทร์ตก 17.45.29 วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 1นาที 29วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
3.ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก 17.57.11 วินาที  ดวงจันทร์ตก 17.54.07 วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 3นาที 4วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน -  ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก 17.55.58 วินาที  ดวงจันทร์ตก 17.53.01 วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 2นาที 57วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
4.หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก 17.57.51 วินาที  ดวงจันทร์ตก 17.55.07 วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 2นาที 44วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก 17.50.37 วินาที  ดวงจันทร์ตก 17.49.34 วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 1นาที 3วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก 17.55.41 วินาที  ดวงจันทร์ตก 17.52.49 วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 2นาที 52วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
7.อุบลราชธานี  ดวงอาทิตย์ตก 17.29.01 วินาที  ดวงจันทร์ตก 17.27.36 วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 1นาที 25วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
8.นนทบุรี  ดวงอาทิตย์ตก  17.47.50 วินาที  ดวงจันทร์ตก  17.46.39 วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 1นาที 11วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
**ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม
วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ.2557 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว แหละทั่วทั้งประเทศไทยไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้เลย  ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
**ดังนั้นผลในการคำนวณทางดาราศาสตร์อิสลาม วันที่ 1 ซอฟัร ฮ.ศ. 1436
ตรงกับวันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ.2557  ทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้นั้น เป็นผลสรุปจากการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลามเท่านั้น
**แต่ทว่าในทางการปฏิบัติจริงๆนั้น ให้พี่น้องต้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น  เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
**ก็คนทุกคนต่างมีหน้าที่ แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลาม คอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วย(สมมุติว่าณบริเวณนั้น มีผู้ที่ดูดวงจันทร์เสี้ยวเป็นร้อยหรือเป็นพันคน ทำไมจึงเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่คนคนเดียวหรือเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่สองสามคน แล้วคนที่เห็นหรือกลุ่มคนที่เห็นดวงจันทร์เสี้ยวนั้น มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับดวงจันทร์มากน้อยเพียงใด ซึ่งบางทีสิ่งที่เขาเห็นแล้วคิดว่าเป็นดวงจันทร์เสี้ยว ความเป็นจริงอาจไม่ใช่ดวงจันทร์เสี้ยวก็เป็นได้)แหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริง ที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า จะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุล หรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาป ก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌ
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม) เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา และ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน)  และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ
ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
**เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์ว(ซ.ล)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์ 
รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
วันนี้เราท่านทั้งหลายทำความดีเพื่อพระองค์แล้วหรือยัง  และเราท่านทั้งหลายได้นำพาบุคคลรอบข้างของเราเข้าใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง  ละหมาดแล้วหรือยัง  ทำอะม้าน  อิบาดะห์ชนิดต่างๆเพื่อรับพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง
**วันนี้วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ.2557 เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา ซำบะห์ยัง)
 -สำหรับสำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา  04.54.07วินาที ตะวันขึ้นเวลา  06.16.35วินาที ดุฮ์ริเวลา 12.01.21วินาที อัสริเวลา 15.19.21วินาที มักริบเวลา  17.45.59วินาที อีซาเวลา 18.59.57วินาที
-สำหรับกทม.ซุบฮิเวลา 04.55.51วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 06.18.17วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.03.13วินาที  อัสริเวลา 15.23.38วินาที  มักริบเวลา 17.54.39วินาที  อีซาเวลา 19.01.57วินาที
-สำหรับมัสยิดฮารอม  ซุบฮิเวลา  05.05.44วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 06.28.39วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.05.15วินาที  อัสริเวลา  15.16.09 วินาที  มักริบเวลา 17.41.38วินาที  อีซาเวลา 18.55.45วินาที 
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิเวลา 05.09.06วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 06.36.46 วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.05.41วินาที  อัสริเวลา 15.12.44วินาที  มักริบเวลา 17.34.22วินาที  อีซาเวลา  18.53.02วินาที 
**พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ   
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ   
“ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน
ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8 
**รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
     โอ้พระผู้เป็นเจ้า ถ้าหากว่ามีคุณความดี ขอมอบภาคผลบุลแด่บิดา มารดาและครูบาอาจารย์ทั้งที่มีชีวิตอยู่ และที่กลับสู่ความเมตาตาของพระองค์แล้ว และใคร่ขอให้ปวงบ่าวของพระองค์ ได้ทำตัวให้ใกล้ชิดกับพระองค์ ตามพระประสงค์ของพระองค์ และขอพระองค์ได้ทรงอภัยโทษให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด อามีน ยาอัรฮะมัร รอฮิมีน



4
**อ่านบทความต่อเนื่องด้านบนก่อนนะครับ
**วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม   
ดังนั้นวันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ.2557  ตรงกับวันที่ 29 ซุ้ลฮิจยะห์ ฮ.ศ.1435  (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันศุกร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ.2557 เป็นวันที่ 1 ซุ้ลฮิจยะห์ ฮ.ศ.1435 ดังนั้นวันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ.2557  ตรงกับวันที่ 29 ซุ้ลฮิจยะห์ ฮ.ศ.1435  ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 มุฮัรรอม ฮ.ศ.1436(วันขึ้นฮิจเราะห์ศักราชใหม่ในอิสลาม)
**สำหรับประเทศไทย 
จันทร์ดับ ตรงกับวันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ.2557 เวลา 04.56.42วินาที(ตามเวลาประเทศไทย)   ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ.2557 (เพราะทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันศุกร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ.2557 เป็นวันที่ 1 ซุ้ลฮิจยะห์ ฮ.ศ.1435)  จึงต้องมีการดูดวงจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 มุฮัรรอม ฮ.ศ.1436(วันขึ้นฮิจเราะห์ศักราชใหม่ในอิสลาม)
(เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
**วันวันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ.2557   ดวงจันทร์ในวันนี้อยู่ห่างจากโลกประมาณ 389046.25 กิโลเมตรคำนวณจากมหานครมักกะห์ ถ้ากรุงเทพฯเรา ก็จะอยู่ประมาณ 389627.43 กิโลเมตร
**วันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ.2557
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก 17:54:39วินาที  ดวงจันทร์ตก 18:17:29วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 22นาที 50วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก 17:53:16วินาที ดวงจันทร์ตก 18:16:07 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 22นาที 51วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
3.ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก 17:58:50วินาที  ดวงจันทร์ตก 18:22:19วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 23นาที 29วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
- ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก 17:57:59วินาที  ดวงจันทร์ตก 18:21:24วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 23นาที 25วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
4.หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก 18:00:14วินาที  ดวงจันทร์ตก 18:23:41วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 23นาที 27วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก 17:57:38วินาที  ดวงจันทร์ตก 18:20:33วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 22นาที 55วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก 17:57:56วินาที  ดวงจันทร์ตก 18:21:20วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 23นาที 24วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
7.อุบลราชธานี  ดวงอาทิตย์ตก 17:37:02วินาที  ดวงจันทร์ตก 17:59:12วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 22นาที 10วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
8.นนทบุรี  ดวงอาทิตย์ตก  17:54:48วินาที  ดวงจันทร์ตก  18:17:37วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 22นาที 50วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
**ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม
วันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ.2557หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว แหละทั่วทั้งประเทศไทยไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้เลย  ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
**ดังนั้นผลในการคำนวณทางดาราศาสตร์อิสลาม วันที่ 1 มุฮัรรอม ฮ.ศ.1436(วันขึ้นฮิจเราะห์ศักราชใหม่ในอิสลาม)
ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ.2557 ทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้นั้น เป็นผลสรุปจากการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลามเท่านั้น
**แต่ทว่าในทางการปฏิบัติจริงๆนั้น ให้พี่น้องต้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น  เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
**ก็คนทุกคนต่างมีหน้าที่ แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลาม คอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วย(สมมุติว่าณบริเวณนั้น มีผู้ที่ดูดวงจันทร์เสี้ยวเป็นร้อยหรือเป็นพันคน ทำไมจึงเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่คนคนเดียวหรือเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่สองสามคน แล้วคนที่เห็นหรือกลุ่มคนที่เห็นดวงจันทร์เสี้ยวนั้น มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับดวงจันทร์มากน้อยเพียงใด ซึ่งบางทีสิ่งที่เขาเห็นแล้วคิดว่าเป็นดวงจันทร์เสี้ยว ความเป็นจริงอาจไม่ใช่ดวงจันทร์เสี้ยวก็เป็นได้)แหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริง ที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า จะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุล หรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาป ก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌ
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม) เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา และ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน)  และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ
ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
**เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์ 
รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
วันนี้เราท่านทั้งหลายทำความดีเพื่อพระองค์แล้วหรือยัง  และเราท่านทั้งหลายได้นำพาบุคคลรอบข้างของเราเข้าใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง  ละหมาดแล้วหรือยัง  ทำอะม้าน  อิบาดะห์ชนิดต่างๆเพื่อรับพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง
**วันนี้วันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ.2557  เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา  ซำบะห์ยัง)
 -สำหรับ สำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา  04.57.29วินาที ตะวันขึ้นเวลา  06.09.17วินาที ดุฮ์ริเวลา 12.01.04วินาที อัสริเวลา 15.21.45วินาที มักริบเวลา  17.52.41วินาที อีซาเวลา 19.04.30วินาที
-สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 04.59.17วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 06.11.03วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.02.56วินาที  อัสริเวลา 15.23.38วินาที  มักริบเวลา 17.54.39วินาที  อีซาเวลา 19.06.26วินาที
-สำหรับมัสยิดฮารอม  ซุบฮิเวลา  05.05.11วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 06.17.12วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.04.55วินาที  อัสริเวลา  15.22.54 วินาที  มักริบเวลา 17.52.22วินาที  อีซาเวลา 19.04.23วินาที 
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิเวลา 05.06.53วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 06.23.20 วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.05.21วินาที  อัสริเวลา 15.21.22วินาที  มักริบเวลา 17.47.05วินาที  อีซาเวลา  19.03.29วินาที 
**พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ   
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ   
“ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน
ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8 
**รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
      (โอ้พระผู้เป็นเจ้า ถ้าหากว่ามีคุณความดี ขอมอบภาคผลบุลแด่บิดา มารดาและครูบาอาจารย์ทั้งที่มีชีวิตอยู่ และที่กลับสู่ความเมตาตาของพระองค์แล้ว และใคร่ขอให้ปวงบ่าวของพระองค์ ได้ทำตัวให้ใกล้ชิดกับพระองค์ ตามพระประสงค์ของพระองค์ และขอพระองค์ได้ทรงอภัยโทษให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด อามีน ยาอัรฮะมัร รอฮิมีน)



5
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
**พระผู้เป็นเจ้าเอาการเห็นจันทร์เสี้ยว ไม่เอาการมีจันทร์เสี้ยว
**เมืองใครก็เมืองนั้นในการเริ่มต้นเดือนใหม่ในอิสลาม ดังหลักฐานฮะดิษกุรอยที่ทราบกันอยู่
**ที่ผมเองเขียนบทความนี้ขึ้นมาก็เพราะว่า เมื่อสมัยเปลี่ยนไป ความเจริญก้าวหน้าเริ่มมามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น แต่ความเจริญก้าวหน้าแหละความก้าวล้ำทางเทคโนโลยีนั้น ไม่สามารถที่จะมาลบล้างบทบัญญัติทางศาสนาอิสลามของพระผู้เป็นเจ้าได้เลย
**หลักการของศาสนาอิสลามนั้น การจะเริ่มต้นเดือนใหม่ของเดือนอิสลามได้นั้น ต้องไปผูกพันอยู่กับการเห็นจันทร์เสี้ยวจริงเท่านั้น(กล่าวคือถ้ามีจันทร์เสี้ยวค้างฟ้า แต่ในการดูจันทร์เสี้ยวจริงกลับไม่มีผู้เห็นจันทร์เสี้ยวเลย ดังนั้นจะเริ่มต้นเดือนใหม่ในอิสลามในวันรุ่งขึ้นไม่ได้โดยเด็ดขาดเพราะตามหลักการของศาสนาอิสลามนั้น การจะเริ่มต้นเดือนใหม่ในอิสลามได้นั้นต้องผูกพันอยู่กับการเห็นเรียกว่ารุยะห์เท่านั้น โดยที่การจะเริ่มต้นเดือนใหม่ในอิสลามได้นั้นจะไม่ไปผูกพันกับการมีดวงจันทร์แหละก็จะไม่ไปผูกพันกับการมีจันทร์ค้างฟ้าแหละก็จะไม่ไปผูกพันกับการมีกล้องมองผ่านเมฆโดยเด็ดขาด
**ดังนั้นถ้านักดาราศาสตร์อิสลามคำนวณว่ามีจันทร์ค้างฟ้าสามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้(ถึงแม้จะไม่มีการเห็นจันทร์เสี้ยว เราท่านทั้งหลายจะยึดถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นเดือนใหม่ของอิสลามไม่ได้โดยเด็ดขาดโดยอ้างว่าการคำนวนเป็นสิ่งที่ชัดเจนแน่นอน อย่างนี้ไม่ได้โดยเด็ดขาด แต่ต้องรอการเห็นจันทร์เสี้ยวจริงเท่านั้น จึงจะสามารถเริ่มต้นเดือนใหม่ในอิสลามได้
ดังปรากฏหลักฐานฮะดิษของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด(ซ.ล.) ดังนี้ แค่บางส่วนเท่านั้นصُوْمُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، وَأَفْطِرُوْا لِرُؤْيَتِهِ ،  فَإ
غُمَّ عَلَيْكُمْ فَأَكْمِلُوْا عِدَّةَ شَعْبَانَ ثَلاَثِيْنَ يَوْمًا
رواه البخاري  ومسلم
“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นเดือนเสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี  และมุสลิม
**ส่วนการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลามนั้น มีไว้เพื่อเป็นแนวทางให้ได้รับรู้ถึงลักษณะของดวงจันทร์แหละปรากฏการณ์ของจันทร์เสี้ยวเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น1.ถ้าการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลามระบุว่าวันนั้นดวงจันทร์ตกไปก่อนดวงอาทิตย์ อย่างนี้ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว ก็แสดงว่าจะเชื่อเขาไม่ได้โดยเด็ดขาด 2.ถ้าการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลามระบุว่ามีจันทร์ค้างฟ้าแต่ยังไม่เป็นเสี้ยวที่จะสามารถมองเห็นได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวในวันนั้น เขาต้องรับผลบาป ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า 3.ถ้าการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลามระบุว่ามีจันทร์ค้างฟ้าแหละสามารถมองเห็นได้ ตรงนี้ตามหลักการของศาสนาอิสลามบอกว่า ยังไม่ให้เริ่มต้นเดือนใหม่ในอิสลามในวันรุ่งขึ้นโดยเด็ดขาด จนกว่าจะมีการเห็นจันทร์เสี้ยวจริง จึงให้เริ่มต้นเดือนใหม่ในอิสลามในวันรุ่งขึ้นได้ ก็เพราะว่าการเริ่มต้นเดือนใหม่ในอิสลามนั้น ต้องผูกพันอยู่กับการเห็น ไม่ใช่ผูกพันอยู่กับการมี ดังเช่นในตัวบทฮะดิษดังกล่าวมา
**การดูดวงจันทร์เสี้ยวนั้นเป็นวิธีการเดียวที่ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) ให้การยอมรับในการเริ่มต้นเดือนร่อมะดอนอันทรงเกียรติ แหละเป็นวิธีการเดียวที่ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) ให้การยอมรับในการเริ่มต้นเดือนใหม่ในอิสลามทุกๆเดือน นั่นก็หมายถึงว่าเป็นคำสั่งแหละความต้องการของพระผู้เป็นเจ้าซึ่งเป็นเจ้าของทุกๆสิ่งทุกๆอย่าง ก็เพราะว่าท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) เป็นเพียงผู้ที่นำบทบัญญัติทางศาสนาจากพระผู้เป็นเจ้ามาเผยแพร่เท่านั้น มิใช่เป็นผู้ออกบทบัญญัติทางศาสนาเอง
**ความจริงที่เกิดขึ้นก็คือมีการพยายามทำให้การคำนวณทางดาราศาสตร์อิสลาม มาแทนที่การเห็นจันทร์เสี้ยวจริง คืออย่างนี้ครับยกตัวอย่างเช่น ในวันที่ดูจันทร์เสี้ยวกันนั้น ถ้าการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลามได้คำนวนออกมาว่าสามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ผู้ที่ยังไม่เข้าใจศาสนาก็ยึดถือทันทีว่าเดือนใหม่ได้เริ่มต้นหลังจากวันนั้นแล้วเพราะการคำนวนถือว่าชัดเจนแน่นอน ถึงแม้ว่าในวันนั้นจะไม่มีการเห็นจันทร์เสี้ยวจริงก็ตาม สิ่งที่นำมาเป็นการอ้างก็คือการคำนวนถือว่าเป็นการยะเกน แต่การเห็นจันทร์เสี้ยวจริงนั้นเป็นเพียงการซอนเท่านั้น ตรงนี้ไม่ตรงกับความต้องการของพระผู้เป็นเจ้า
**เรื่องจริงดูนะครับ จากตรงนี้เองจึงแสดงว่าถ้ายึดถือว่าการคำนวณถือว่าเป็นการยะเกน โดยให้ยึดการคำนวณมาก่อนการเห็นจันทร์เสี้ยวนั้นถือว่าผิด แหละไม่ตรงกับคำสั่งใช้ของพระผู้เป็นเจ้าอย่างสิ้นเชิง
**ข้อคิดที่เราท่านทั้งหลายต้องทำความเข้าใจกันก็คือ คิดดูนะครับว่าพระผู้เป็นเจ้า พระองค์ไม่ทรงรอบรู้หรือครับว่าต่อไปหลังจากสมัยของ ร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) จะมีผู้ที่สามารถคำนวนดาราศาตร์อิสลามได้อย่างแม่นยำ คำตอบที่อยู่ในใจของผู้ศรัทธาทุกคนก็คือพระผู้เป็นเจ้าทรงรอบรู้อย่างแน่นอน แต่พระผู้เป็นเจ้าก็ไม่ได้มีคำสั่งใช้ให้ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) ประกาศว่าให้ใช้การคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลามมาแทนที่ การนับวันออกไปเป็นวันที่30 ไม่มีเลยที่พระองค์จะมีคำสั่งใช้อย่างนั้นดังฮะดิษที่กล่าวมา
**ซึ่งก็ยังมีการพยายามบิดเบือนหลักการของอิสลามอีก โดยอ้างว่าสมัยนี้ถึงแม้จะมีเมฆมาบดบังจันทร์เสี้ยว จึงทำให้ไม่มีการเห็นจันทร์เสี้ยวจริง แต่สมัยนี้ก็มีกล้องที่สามารถมองทะลุผ่านเมฆได้นี่ คือพยายามจะให้เชื่อการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลามให้ได้
**แสดงว่ายังไม่เข้าหลักการของศาสนาอิสลามอย่างแท้จริงๆ ต้องจำให้ดีนะครับหลักการของศาสนาอิสลามนั้น การที่จะเริ่มต้นเดือนใหม่ในอิสลามได้นั้นต้องผูกพันอยู่กับ หรือต้องอาศัยการเห็นจันทร์เสี้ยวจริงเท่านั้น ซึ่งตามหลักการของศาสนาอิสลาม การที่จะเริ่มต้นเดือนใหม่ในอิสลามได้นั้นไม่ได้ผูกพันอยู่กับการมีจันทร์(ค้างฟ้า แหละไม่ได้ผูกพันอยู่กับการมีกล้องมองผ่านเมฆ) ประเด็นมันอยู่ที่ว่าถ้ามีการเห็นจันทร์เสี้ยวจริง(ไม่ได้โกหกแต่ถ้าใครโกหกก็รับผลบาปไปณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า)
ส่วนหลักฐานทางอั้ลฮะดิษที่ไม่ให้เอาการคำนวณทางดาราศาสตร์มาเป็นข้อกำหนดในการเริ่มเดือนใหม่ในอิสลามก็คือ ดังปรากฏหลักฐานฮะดิษของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด(ซ.ล.) ดังนี้ แค่บางส่วนเท่านั้นصُوْمُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، وَأَفْطِرُوْا لِرُؤْيَتِهِ ،  فَإ
غُمَّ عَلَيْكُمْ فَأَكْمِلُوْا عِدَّةَ شَعْبَانَ ثَلاَثِيْنَ يَوْمًا
رواه البخاري  ومسلم
“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นเดือนเสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี  และมุสลิม
**ดังนั้นนักดาราศาสตร์อิสลาม แม้จะคำนวนได้แม่นยำ ว่าวันที่29ของเดือนอิสลาม มีจันทร์เสี้ยวสามารถจะเห็นได้ แต่ไม่มีนักดาราศาสตร์อิสลามคนใดหรอก ที่จะคำนวนได้ว่า ที่จะรู้ได้ว่า วันที่29ของเดือนอิสลามวันนั้น จะมีเมฆมาบดบังหรือไม่ ฝนจะมาฟ้าจะมืดหรือไม่ ตรงนี้ชี้ให้เห็นว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงรอบรู้ทุกๆสิ่ง ทุกๆอย่าง(นักดารศาสตร์เทียบไม่ได้เลย และอย่าได้คิดไปเทียบกับพระผู้เป็นเจ้าด้วย)
**ตามตัวบทฮะดิษท่านร่อซูลุ้ลลอห์(.ซ.ล.) ตรงนี้ต้องพิจรณาให้ดีนะครับ ที่ตัวบทฮะดิษบอกว่าถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว คือมีสิ่งบดบัง) ก็แสดงว่าวันนั้นมีจันทร์เสี้ยวค้างฟ้าแต่มีสิ่งที่มาบังเอาไว้ ทำให้ไม่สามารถเห็นได้ ร่อซูลุ้ลลอห์(.ซ.ล.)ใช้ให้ทำไงครับ ระหว่าง 1.ให้นับเดือนซะบานให้ครบ30วัน หรือ2.ให้เชื่อตามการคำนวน มีหรือเปล่าที่ร่อซูลุ้ลลอห์(.ซ.ล.) ใช้ให้เอาการคำนวณมาแทนที่ การนับวันออกไปเป็นวันที่30วัน ก็ไม่มีเลยในหลักฐาน ทั้งอัลกุรอ่านแหละอั้ลฮะดิษก็บอกชัดๆอยู่แล้ว ดังนั้นจะไปเอาทัศนะอื่น(ของนักวิชาการซึ่งก็เป็นเพียงแค่มนุษย์)มาขัดแย้งกับคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้า(ซึ่งเป็นเจ้าของทุกสิ่งทุกอย่าง)แหละท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) ไม่ได้โดยเด็ดขาด นี่คือหลักวิชาการ
**ถึงตอนนี้ผู้ที่ไม่ทำตามคำสั่งของร่อซูลุ้ลอห์(ซ.ล.) ต้องถามตัวเองแล้วนะครับว่า เรายังเป็นคนดี ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้าอยู่หรือเปล่า เอาความคิดของตัวเองโดยละทิ้งบทบัญญัติในอั้ลกุรอ่านแหละอั้ลฮะดิษกระนั้นหรือ ศาสนาอิสลามนั้นผู้กำหนดศาสนาคือพระผู้เป็นเจ้า พระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.) ท่านร่อซูล้ลลอห์(ซ.ล.)เป็นเพียงผู้ที่นำศาสนาที่ถูกต้องมาเผยแพร่เท่านั้นเอง ถ้าพระผู้เป็นเจ้า แหละร่อซูล้ลลอห์(ซ.ล.)ยังไม่สามารถทำให้เชื่อได้ แล้วใครกันเล่าจะทำให้เชื่อได้ ถึงตรงนี้ต้องคิดแล้วนะครับ โอ้พระผู้เป็นเจ้าเราท่านทั้งหลาย ขอให้ห่างไกลจากบาปกรรมอันเลวร้ายทั้งหลายด้วยเถิด อามีน
**ผู้ศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้านั้นจะทำตามคำสั่งใช้ของพระผู้เป็นเจ้าแหละจะห่างไกลจากคำสั่งห้ามของพระผู้เป็นเจ้า
**ต่อจากนี้ผมจะชี้ให้เห็นถึงนักวิชาการระดับมุจญตะฮิดอย่างเช่นท่านอิหม่ามซาฟิอี(ร.ฮ.) ท่านได้ฟัตวา ก็ให้ยึดถือการเห็นจันทร์เสี้ยวเป็นหลักพิจรณาในการเริ่มต้นเดือนร่อมะดอน ไม่ให้เอาการคำนวนเป็นหลักพิจรณา โดยให้เราท่านทั้งหลายสังเกตุดูให้ดีๆ ฮะดิษที่ท่านอิหม่ามซาฟิอี(ร.ฮ.) ได้นำมาระบุไว้ในหนังสืออั้ลอุมของท่าน ซึ่งก็ถือว่าเป็นการฟัตว่ของท่าน
**ท่านอิหม่ามซาฟิอี(ร.ฮ.)กล่าวไว้ในหนังสืออั้ลอุมว่า
أَخْبَرَنَا الرَّبِيعُ قَالَ أَخْبَرَنَا الشَّافِعِيُّ قَالَ أَخْبَرَنَا مَالِكٌ عَنْ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ دِينَارٍ عَنْ ابْنِ عُمَرَ أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ - صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ - قَالَ الشَّهْرُ تِسْعٌ وَعِشْرُونَ لَا تَصُومُوا حَتَّى تَرَوْا الْهِلَالَ وَلَا تُفْطِرُوا حَتَّى تَرَوْهُ، فَإِنْ غُمَّ عَلَيْكُمْ فَأَكْمِلُوا الْعِدَّةَ ثَلَاثِينَ
**ท่านอิหม่ามนะวะวีย์ได้กล่าวในหนังสือมินฮาจว่า
يجب صوم رمضان بإكمال شعبان ثلاثين أو رؤية الهلال وثبوت رؤيته بعدل
**ในหนังสืออิอานะตุตตอลิบีนก็มีระบุไว้ว่า
يجب صوم شهر رمضان بكمال شعبان ثلاثين أو رؤية عدل واحد
 **ยังมีบางคนนำเอาอายะห์อัลกุรอ่าน มาอ้างว่าให้เชื่อการคำนวณได้(ถ้าการคำนวนระบุว่ามีจันทร์ค้างฟ้าสามารถเห็นได้ ก็ให้เชื่อการคำนวนได้เลย)
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
{فَمَنْ شَهِدَ} حَضَرَ {مِنْكُمْ الشَّهْر فَلْيَصُمْهُ وَمَنْ كَانَ مَرِيضًا أَوْ عَلَى سَفَر فَعِدَّة مِنْ أَيَّام أُخَر}
ใครอยู่ในเดือนนั้น ก็จงทำการถือศิลอดและใครป่วยหรืออยู่ในการเดินทางก็จงนับวันอื่น(คือก็จงถือบวชวันอื่นทดแทน)ซูเราะห์อัลบะก่อเราะห์2 อายะห์ที่185
**คืออย่างนี้ครับ ผู้ที่อ้างได้กล่าวว่าคำที่ว่า อยู่ในเดือนนั้น ก็เหมือนกันนั่นแหละระหว่างรุ๊ยะห์(การเห็นจันทร์เสี้ยว) กับการฮิซาบ(การคำนวน)
**ขอให้เราท่านทั้งหลายทำความเข้าใจนะครับ ในแวดวงของนักมุฟัรซิรีน(นักอธิบายอัลกุรอ่านผู้เชี่ยวชาญ)ทั้งหมด ไม่มีใครเอาอายะห์ที่บอกว่า
فَمَنْ شَهِدَ مِنْكُمُ الشَّهْرَ فَلْيَصُمْهُ
มาเป็นหลักฐานถึงเรื่อง(เกี่ยวกับเรื่อง)การเริ่มต้นเข้าบวช(เดือนร่อมะดอนเลย) ไม่มีนักมุฟัรซิรีน(นักอธิบายอัลกุรอ่านผู้เชี่ยวชาญ)บอกว่าให้เชื่อการคำนวนทางดาราศาสตร็อิสลามได้ ไม่มีเลยเข้าใจกันด้วยนะครับ แต่อายะห์อัลกุรอ่านตรงนี้ จุดประสงค์(ของอายะห์นี้)เป็นคำสั่งใช้ให้ถือศิลอดสำหรับผู้ที่อยู่ในกำปงที่ไม่ได้เดินทาง ซึ่งก็ชัดเจนอยู่แล้วในอัลกุรอ่านที่บอกต่อว่าวะมังกานะมะรีดอน (สิ่งนี้เป็นการตัฟซีรอัลกุรอ่าน ของนักมุฟัรซิรีนที่ในโลกของนักวิชาการเขายอมรับกันทั้งนั้น) ไม่ใช่อธิบายอัลกุรอ่านให้เข้าที่เข้าทางกับทัศนะของตัวเองนะครับ วัลลอฮุอะละมู่บิสสะวาบ) กรณีที่เจ็ปป่วยหรือเดินทาง จะไม่ถือศิลอดก็ได้แต่ต้องชดใช้ในวันอื่น
ดังที่พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
{فَمَنْ شَهِدَ} حَضَرَ {مِنْكُمْ الشَّهْر فَلْيَصُمْهُ وَمَنْ كَانَ مَرِيضًا أَوْ عَلَى سَفَر فَعِدَّة مِنْ أَيَّام أُخَر}
มาดูในตัฟซีรยะลาลีนนะครับ อธิบายคำว่าซะฮิดะ ว่าฮะด่อร่อ ไม่มีเลยที่อธิบายว่าให้คำนวนทางดาราศาสตร์
แล้วก็ไปดูในตัฟซีรอิบนุกะซีรนะครับ
وَقَوْلُهُ: {فَمَنْ شَهِدَ مِنْكُمُ الشَّهْرَ فَلْيَصُمْهُ} هَذَا إِيجَابُ حَتْمٍ عَلَى مَنْ شَهِدَ اسْتِهْلَالَ الشَّهْرِ -أَيْ كَانَ مُقِيمًا فِي الْبَلَدِ حِينَ دَخَلَ شَهْرُ رَمَضَانَ، وَهُوَ صَحِيحٌ فِي بَدَنِهِ -أَنْ يَصُومَ لَا مَحَالَةَ
เห็นแล้วใช่ใหมครับการตัฟซีรของนักตัฟซีรที่โลกเขายอมรับ ไม่มีเลยที่อธิบายว่าให้คำนวนทางดาราศาสตร์
ยังมีอีกหลายตัฟซีรผมจะไม่นำมาพูดตรงถึงนี้ ก็เพราะว่าสำหรับผู้ที่เจริญแล้วแหละผู้ที่ศรัทธานั้น แค่หลักฐานเพียงหนึ่งเดียวก็เพียงพอแล้ว ที่จะสามารถทำให้เขาศรัทธาได้
**มีฮะดิษอยู่ต้นหนึ่งที่มีผู้นำมาอ้างว่าให้คำนวนได้ ทั้งๆที่ความหมายของอัลฮะดิษไม่ได้ใช้ให้เอาการคำนวนมาเริ่มต้นเดือนร่อมะดอน(แหละเดือนอื่นๆในอิสลาม) ฮะดิษที่ว่าก็คือ
حَدَّثَنَا عَبْدُ اللَّهِ بْنُ مَسْلَمَةَ، حَدَّثَنَا مَالِكٌ، عَنْ نَافِعٍ، عَنْ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ عُمَرَ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُمَا: أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ذَكَرَ رَمَضَانَ فَقَالَ: «لاَ تَصُومُوا حَتَّى تَرَوُا الْهِلَالَ، وَلاَ تُفْطِرُوا حَتَّى تَرَوْهُ، فَإِنْ غُمَّ عَلَيْكُمْ فَاقْدُرُوا لَهُ
**ตรงคำว่าฟัคดุรูละห์ ต้องแปลว่าจงนับเดือนนั้น
**ซึ่งบางคนพยายามจะทำให้เอาการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม มาแทนการเห็นจันทร์เสี้ยวจริงในการเริ่มเดือนใหม่ในอิสลาม นำฮะดิษที่บอกว่าฟัคดุรูละห์ มาแปลว่าจงคำนวน ดังนั้นจงพิจรณาดูนะครับถ้าแปลว่าจงคำนวณ แสดงว่าก็จะไปค้าน(ไม่เป็นไปในทางเดียวกัน ไม่สอดคล้องกัน)กับฮะดิษที่บอกว่า สะลาซีนะเยามัน ดังที่กล่าวมาแล้ว แหละแสดงว่าก็จะไปค้าน(ไม่เป็นไปในทางเดียวกัน ไม่สอดคล้องกัน)กับฮะดิษที่บอกว่า ฟะอักมีลุ้ลอิดะตะสะลาสีนะทันที
أَخْبَرَنَا الرَّبِيعُ قَالَ أَخْبَرَنَا الشَّافِعِيُّ قَالَ أَخْبَرَنَا مَالِكٌ عَنْ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ دِينَارٍ عَنْ ابْنِ عُمَرَ أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ - صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ - قَالَ الشَّهْرُ تِسْعٌ وَعِشْرُونَ لَا تَصُومُوا حَتَّى تَرَوْا الْهِلَالَ وَلَا تُفْطِرُوا حَتَّى تَرَوْهُ، فَإِنْ غُمَّ عَلَيْكُمْ فَأَكْمِلُوا الْعِدَّةَ ثَلَاثِينَ
**(อีกประการถ้าจะให้ความหมายฟัคดุรูละห์ว่าจงคำนวน ก็จะไม่ตรงกับประวัติศาสตร์อิสลาม ก็เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)เป็นผู้ที่กล่าวฮะดิษต้นนี้ไว้ ซึ่งสมัยของท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) เป็นสมัยที่คำนวนกันไม่เป็น ซึ่งได้มีระบุไว้อย่างฮะดิษที่เคยบอกมาที่เราท่านทั้งก็รู้อยู่ จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่คำว่าฟัคดุรู จะมีความหมายว่าจงคำนวน พิจรณาดูที่อัลฮะดิษนะครับ
حَدَّثَنَا آدَمُ، حَدَّثَنَا شُعْبَةُ، حَدَّثَنَا الأَسْوَدُ بْنُ قَيْسٍ، حَدَّثَنَا سَعِيدُ بْنُ عَمْرٍو، أَنَّهُ سَمِعَ ابْنَ عُمَرَ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُمَا، عَنِ النَّبِيِّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ، أَنَّهُ قَالَ: «إِنَّا أُمَّةٌ أُمِّيَّةٌ، لاَ نَكْتُبُ وَلاَ نَحْسُبُ، الشَّهْرُ هَكَذَا وَهَكَذَا» يَعْنِي مَرَّةً تِسْعَةً وَعِشْرِينَ، وَمَرَّةً ثَلاَثِينَ
**เกี่ยวกับเรื่องนี้แนะนำให้ไปดูในหนังสือฟัตฮุ้ลบารี ผู้เรียบเรียงก็คือท่านเซคอะห์มัด อิบนุอะลี อิบนุฮะยัร อัลอัสก่อลานีอัซซาฟิอี ก็จะพบเลยว่าจะไม่แปลว่าจงคำนวนอย่างเด็ดขาดเพราะว่าจะไปขัดกับอัลฮะดิษของท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) ดังที่กล่าวมาเกี่ยวกับเรื่องนี้
**สรุปก็คือตามหลักการของศาสนาอิสลามนั้นต้องมีการเห็นจันทร์เสี้ยวจริงเท่านั้น จึงจะสามารถเริ่มต้นเดือนใหม่ในอิสลามได้ การคำนวณทางดาราศาสตร์อิสลามจะไม่สามารถนำมาเป็นข้อกำหนดในการเริ่มต้นเดือนใหม่ในอิสลามได้ ซึ่งการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลามเป็นเพียงแค่แนวทางในการรับรู้ลักษณะของดวงจันทร์ แหละปรากฏการณ์ของจันทร์เสี้ยวเท่านั้น
**พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ   
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ   
“ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน
ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8 
**รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
      (โอ้พระผู้เป็นเจ้า ถ้าหากว่ามีคุณความดี ขอมอบภาคผลบุลแด่บิดา มารดาและครูบาอาจารย์ทั้งที่มีชีวิตอยู่ และที่กลับสู่ความเมตาตาของพระองค์แล้ว และใคร่ขอให้ปวงบ่าวของพระองค์ ได้ทำตัวให้ใกล้ชิดกับพระองค์ ตามพระประสงค์ของพระองค์ และขอพระองค์ได้ทรงอภัยโทษให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด อามีน ยาอัรฮะมัร รอฮิมีน)



6
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
**อีกไม่กี่วันเราท่านทั้งหลายก็กำลังจะถึงวันรื่นเริง วันเฉลิมฉลองในรอบปีนี้อีกหนึ่งครั้ง วันนั้นก็คือวันอีดอีดิ้ลอัดฮา ซึ่งกำลังจะมาถึงเราท่านทั้งหลายอีกไม่กี่วันนี้
**หลังจากที่ผู้ศรัทธาทั่วทุกมุมโลกได้ไปร่วมกันปฏิบัติศาสนกิจ ในการประกอบพิธีฮัจย์ พระผู้เป็นเจ้าจึงได้กำหนดให้มีวันอีดอีดิ้ลอัดฮา ให้เป็นวันรื่นเริง ให้เป็นวันเฉลิมฉลองในรอบปีนี้อีกหนึ่งวัน หลังจากที่ปวงบ่าวของพระองค์ ได้มุ่งมั่นประกอบคุณความดี (วันอีดอีดิ้ลอัดฮาจึงเป็นวันรื่นเริง เป็นวันเฉลิมฉลอง ของผู้คนทั่วทุกมุมโลก)
**เราท่านทั้งหลายจะพบว่าในวันอีดทั้งสองนั้น จะมีการกล่าวตั๊กบีร เพื่อเป็นการประกาศถึงความยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้า เป็นการประกาศให้โลกได้รู้ว่า พระผู้เป็นเจ้านามว่าพระองค์อัลเลาะห์(ซ.บ.)นั้น ยิ่งใหญ่เหนือกว่าทุกๆสิ่ง แหละมวลมุสลิมนั้นมีวิธีการรื่นเริง แหละเฉลิมฉลองซึ่งเป็นรูปแบบที่ดีงาม นั่นก็คือได้มีการร่วมกันกล่าว ได้มีการส่งเสียงตั๊กบีร อย่างกึกก้องพร้อมเพรียงกัน เพื่อรำลึกแหละย้ำเน้นถึงความยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้า เพื่อเป็นการประกาศถึงความยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้า ดังนั้นในทุกๆบ้านที่มวลมุสลิมอาศัยอยู่ ในทุกๆสถานที่มวลมุสลิมได้เดินผ่านไปผ่านมา ในทุกๆมัสยิดที่มวลมุสลิมได้ไปร่วมกันปฏิบัติศาสนกิจ แหละในทุกๆสถานที่ที่มวลมุสลิมได้ไปรวมกันเพื่อประกอบคุณความดี เราท่านทั้งหลายจะพบว่าความเงียบเหงาจะไม่เกิดขึ้นเลย จะมีเสียงกล่าวตั๊กบีรอย่างกึกก้องอยู่ตลอดเวลา ทั้งในยามค่ำคืนแหละในช่วงเช้าก่อนที่จะมีการละหมาดอีดอีดิ้ลอัดฮา แหละหลังละหมาดทุกๆเวลา ถึงเวลาอัสริของวันที่สามในวันตัซรีก
**นักวิชาการทางศาสนายังได้บอกอีกว่า ให้สังเกตดูในวันอีดทั้งสองวันนั้น(วันอีดิ้ลฟิตริแหละวันอีดิ้ลอัดฮา) ในการละหมาดอีดทั้งสองตอนร๊อกอัตแรก มีการกล่าวตั๊กบีร7ครั้ง ร๊อกอัตที่สอง มีการตั๊กบีร5ครั้ง ส่วนในตอนคุตบะห์แรก มีการตั๊กบีร9ครั้ง ส่วนในตอนคุตบะห์ที่สอง มีการตั๊กบีร7ครั้ง ทั้งหลายทั้งปวงที่กล่าวมานี้นั้น ถ้าจะสังเกตดีๆ ก็จะพบว่าการกล่าวตั๊กบีรทั้งหมดนั้นเป็นจำนวนเลขคี่ทั้งหมดเลย
**นักวิชาการทางศาสนายังได้บอกอีกว่า สาเหตุที่ในตอนคุตบะห์แรก ของการละหมาดอีดทั้งสอง มีการกล่าวตั๊กบีรถึง9ครั้ง ส่วนในตอนคุตบะห์ที่สอง มีการกล่าวตั๊กบีรถึง7ครั้ง การกล่าวตั๊กบีรดังกล่าวมานั้น เป็นจำนวนคี่ทั้งหมดเลย ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะว่า มีจุดประสงค์ให้ปวงบ่าวของพระผู้เป็นเจ้า ได้มีการนึกแหละรำลึกถึงว่า พระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริงนั้นมีเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น หนึ่งเดียวเท่านั้น (ก็เพราะว่าเลข 1 เป็นจำนวนคี่) ยิ่งไปกว่านั้นพระองค์อัลเลาะห์(ซ.บ.)ยังทรงเป็นที่พึ่งพาของทุกๆสรรพสิ่งอีกด้วย
**ส่วนในการกล่าวตั๊กบีรในละหมาดอีดทั้งสองนั้น ตอนร๊อกอัตแรก ที่มีการกล่าวตั๊กบีร7ครั้ง ก็เพราะให้เราท่านทั้งหลาย มีการนึกแหละรำลึกถึงว่า ยังมีการปฏิบัติศาสนกิจที่ยิ่งใหญ่ ที่จำเป็นต้องกระทำ ในกรณีของบุคคลที่ครบในเงื่อนไข การปฏิบัติศาสนกิจที่ว่านั้นก็คือ การทำฮัจย์นั่นเอง ความหมายนัยๆของเลข7ที่ตรงกันก็คือ ต่อวาฟมี7รอบ ซะแอมี7รอบ ขว้างเสาหินแต่ละต้นมี7เม็ด ยิ่งไปกว่านั้นยังทำให้เราท่านทั้งหลาย มีการนึกแหละรำลึกถึงการสร้างที่ยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้าอีกด้วย ที่พระองค์ได้ทรงสร้างมา แหละสิ่งที่สำคัญเหนืออื่นใดก็คือพระองค์ทรงสร้างเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น คือพระองค์ได้ทรงสร้างฟ้าให้มี7ชั้น ได้ทรงสร้างพื้นแผ่นดินให้มี7ชั้น ได้ทรงสร้างทุกๆสรรพสิ่งที่อยู่ในฟากฟ้าแหละพื้นแผ่นดินภายใน7วัน(คือ6วัน ส่วนวันที่7นั้น พระองค์ได้ทรงสร้างท่านนบีอาดำคือทรงได้สร้างในวันศุกร์) แหละอีกประการหนึ่งเลขคี่ที่รองลงมาที่ใกล้เคียงเลข7มากที่สุด ก็คือเลข5 ดังนั้นการกล่าวตั๊กบีรในการละหมาดอีดทั้งสอง(อีดิ้ลฟิตริแหละอีดิ้ลอัดฮา)  ร๊อกอัตที่สองจึงมีการตั๊กบีรถึง5ครั้งด้วยกัน
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
اَللهُ الَّذِى خَلَقَ سَبْعَ سَموَاتٍ وَمِنَ اْلاَرْضِ مِثْلَهُنَّ يَتَنَزَّلُ اْلاَمْرُبَيْنَهُنَّ لِتَعْلَمُوْااَنَّ اللهَ عَلى كُلِّ شَيْءٍ قَدِيْرٌوَاَنَّ اللهَ قَدْاَحَاطَ بِِكُلِّ شَىْءٍ عِلْمًا
พระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)ทรงสร้างฟ้าทั้งเจ็ดและแผ่นดินก็อย่างนั้น(ก็ทรงสร้างเจ็ดชั้นเช่นเดียวกัน) พระบัญชาวะฮี จะลงมาท่ามกลางมันทั้งหลาย(ชั้นฟ้าและแผ่นดิน)เพื่อพวกท่านจะได้รู้ว่า แท้จริงพระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)นั้น ทรงอนุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง และแท้จริงพระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)นั้น ทรงห้อมล้อมทุกสิ่งทุกอย่างไว้ด้วยความรอบรู้(ของพระองค์ ดังนั้นจึงไม่มีสิ่งใดที่จะมาปิดบังความรอบรู้ของพระองค์ได้)     
ซูเราะห์ اَلطَّلاَق) 65 อายะห์ที่ 12)
**คำว่า مِثْلَهُنَّ ในอายะห์นี้นั้น นักวิชาการได้ให้ความคิดเห็นต่างกัน โดยส่วนมากให้อ่านว่า مِثْلَهُنَّ คืออ่านสระฟัตฮะห์ที่ตัวลาม อยู่ในหน้าที่มัฟอูลให้กับฟิอิ้ลที่ถูกลบไป
مَفْعُوْلٌ لِفِعْلٍ مَحْذُوْفٍ اي وَخلَقَ مِثلَهُنَّ فِى الْعَدَدِمِنَ اْلاَرْضِ
**ส่วนนักวิชาการอีกบางส่วนอ่านว่า คืออ่านสระดอมมะห์ที่ตัวลาม  مِثْلُهُنَّ อยู่ในหน้าที่เป็นมุบต่าดามู่อั๊กค๊อร ส่วนคำว่า  مِنَ اْلاَرْضِอยู่ในหน้าที่ เป็นค่อบัรมู่ก๊อดดัม
**เช่นเดียวกันจากอายะห์อัลกุรอ่านตรงนี้(ตรงคำว่า لِتَعْلَمُوْا  ลามตัวนี้เรียกว่า เป็นลามที่ชี้ถึงการบอกสาเหตุ เป็นعِلَّْةْให้กับคำว่า خَلَقَ  หรือ  يَتَنَزَّلُ) ดังนั้นจากอายะห์ตรงนี้จึงชี้ชัดให้เห็นได้ว่า สาเหตุที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสร้างฟากฟ้าทั้งเจ็ดมาแหละสาเหตุที่พระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.) ได้ทรงสร้างพื้นแผ่นดินทั้งเจ็ดขึ้นมา หรือที่พระองค์ทรงลงวะฮีมา(แหละทรงบริหารจัดการในทุกๆสิ่งทุกๆอย่างนั้น) พระองค์สร้างฟ้าทั้งเจ็ดแหละแผ่นดินทั้งเจ็ดมาทำไม สาเหตุก็คือเพื่อให้ได้รู้ว่าพระองค์ทรงมีความสามารถ(พระองค์ทรงทำได้ ที่ไม่ว่าใครก็ทำไม่ได้ ดังนั้นจึงพบได้ว่าไม่เคยได้ยินใครเลยที่อ้างว่าสร้างฟ้ามา แหละไม่เคยได้ยินใครเลยที่อ้างว่าสร้างพื้นแผ่นดินมา ก็เพราะว่าไม่มีใครที่จะสามารถทำได้)
**แหละการที่พระองค์ได้ทรงสร้างฟ้าให้มีถึงเจ็ดชั้น ได้ทรงสร้างพื้นแผ่นดินให้มีถึงเจ็ดชั้น ทำไมพระองค์จึงได้ทรงสร้างฟ้าให้มีถึงเจ็ดชั้น ทำไมพระองค์ได้ทรงสร้างพื้นแผ่นดินให้มีถึงเจ็ดชั้น สาเหตุก็คือเพื่อให้ได้รู้ว่าพระองค์ ไม่ใช่แค่มีความสามารถเท่านั้น(ไม่ใช่แค่ทำได้เท่านั้น) แต่อันความเป็นจริงแล้ว พระองค์ทรงมีความสามารถที่สมบูรณ์แบบ ที่ไม่มีใครเลยที่เทียบเทียมพระองค์ได้ แหละอีกทั้งพระองค์ยังทรงมีความรอบรู้ที่สมบูรณ์แบบอีกเช่นกัน ดังนั้นจงกล่าวซะฮาดะห์กันมากๆ จงทำคุณความดีตามรูปแบบ ตามวิถีทางแห่งอัลอิสลามกันมากๆ
**สิ่งที่พี่น้องสมควรจะให้ความสำคัญในวันอีดิ้ลอัดฮาที่กำลังจะมาถึงนี้ มีหลากหลายประการยกตัวอย่างเช่น ร่วมกันประกาศความยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้า สร้างบรรยากาศให้ร่าเริงแจ่มใสในครอบครัวและในกัมปงเดียวกัน อาบน้ำอาบท่า สวมใส่เสื้อผ้าที่สวยงาม(อย่าทำตัวให้ซอมซ่อ อย่าทำตัวอมทุกข์ในวันรื่นเริงนี้ ให้ยิ้มแย้มแจ่มใส) ใช้ของหอมตัวเองแหละผู้คนทั่วไปจะได้เกิดความสดชื่น ร่วมกันไปละหมาด ขอมะอัฟกัน เยี่ยมเยียนญาติพี่น้อง อย่าลืมนะครับถือว่าเป็นโอกาสที่ดียิ่ง ที่เราท่านทั้งหลายสมควรอย่างยิ่ง ที่จะบริจาคในหนทางของพระผู้เป็นเจ้าในทุกๆโอกาสที่เราท่านทั้งหลายสามารถจะกระทำกันได้ จะมากจะน้อยนั้นไม่ใช่ประเด็น แต่สิ่งสำคัญก็คือต้องความอิคลาสบริสุทธิ์ใจ แหละให้อย่างเต็มอกเต็มใจ แล้วเราท่านทั้งหลายจะได้รับริสกีที่ดีงาม แหละจะได้รับภาคผลบุญคุณความดีจากพระผู้เป็นเจ้า ที่เราท่านทั้งหลายไม่สามารถคิดคำนวนได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
{مَثَل} صِفَة نَفَقَات {الَّذِينَ يُنْفِقُونَ أَمْوَالهمْ فِي سَبِيل اللَّه} أَيْ طَاعَته {كَمَثَلِ حَبَّة أَنْبَتَتْ سَبْع سَنَابِل فِي كُلّ سُنْبُلَة مِائَة حَبَّة} فكذلك نفقاتهم تضاعف لسبعمائة ضِعْف {وَاَللَّه يُضَاعِف} أَكْثَر مِنْ ذَلِكَ {لِمَنْ يَشَاء وَاَللَّه وَاسِع} فَضْله {عَلِيم} بِمَنْ يَسْتَحِقّ المضاعفة
อุปมา(ข้อเปรียบเทียบ)ของบรรดาผู้ที่บริจาคทรัพย์สินของพวกเขาในหนทางของพระองค์อัลเลาะห์(ซ.บ.) ดังอุปมัย(เหมือนกับ)เมล็ดพืชหนึ่งเมล็ด ที่งอกขึ้นเป็นเจ็ดรวง ซึ่งในแต่ละรวงนั้นมีหนึ่งร้อยเมล็ด(กล่าวคือบริจาคหนึ่งเหมือนบริจาคถึงเจ็ดร้อย ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า) และพระองค์อัลเลาะห์(ซ.บ.)จะทรงเพิ่มพูนแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์อีก(ให้ได้มากกว่าเจ็ดร้อยเท่าอีก สำหรับคนดีๆประกอบแต่คุณความดี ห่างไกลจากบาปกรรมอันเลวร้าย หวังในพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้า)และพระองค์อัลเลาะห์(ซ.บ.)นั้นทรงเป็นผู้กว้างขวาง เป็นผู้ทรงรอบรู้(ว่าผู้ใดควรจะได้เป็นผู้เพิ่มพูนมากๆยิ่งกว่าดังที่กล่าวมา ซูเราะห์อัลบะก่อเราะห์2 อายะห์ที่261
**วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม   
ดังนั้นวันพุธที่ 24 กันยายน พ.ศ.2557  ตรงกับวันที่ 29 ซุ้ลเกาะดะห์ ฮ.ศ.1435  (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันพุธที่ 27 สิงหาคม พ.ศ.2557 เป็นวันที่ 1 ซุ้ลเกาะดะห์ ฮ.ศ.1435 ดังนั้นวันพุธที่ 24 กันยายน พ.ศ.2557 จึงเป็นวันที่ 29 ซุ้ลเกาะดะห์ ฮ.ศ.1435 ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ซุ้ลฮิจยะห์ ฮ.ศ.1435
**สำหรับประเทศไทย 
จันทร์ดับ ตรงกับวันพุธที่ 24 กันยายน พ.ศ.2557 เวลา 13.13.45 วินาที(ตามเวลาประเทศไทย)   ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันพุธที่ 24 กันยายน พ.ศ.2557 (เพราะทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันพุธที่ 27 สิงหาคม พ.ศ.2557 เป็นวันที่ 1 ซุ้ลเกาะดะห์ ฮ.ศ.1435)  จึงต้องมีการดูดวงจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ซุ้ลฮิจยะห์ ฮ.ศ.1435
(เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
**วันพุธที่ 24 กันยายน พ.ศ.2557  ดวงจันทร์ในวันนี้อยู่ห่างจากโลกประมาณ 399776.63 กิโลเมตรคำนวณจากมหานครมักกะห์ ถ้ากรุงเทพฯเรา ก็จะอยู่ประมาณ 400217.80 กิโลเมตร
**วันพุธที่ 24 กันยายน พ.ศ.2557
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก 18:13:54วินาที  ดวงจันทร์ตก 18:14:10วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 0นาที 16วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก 18:11:31 วินาที ดวงจันทร์ตก 18:11:54 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 0นาที 23วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
3.ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก 18:11:15 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18:12:52 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 1นาที 38วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
- ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก 18:10:52 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18:12:23 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 1นาที 31วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
4.หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก 18:13:33 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18:15:03 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 1นาที 30วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก 18:16:49 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18:17:09 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว นาที 20วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก 18:11:05 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18:12:33 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 1นาที 28วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
7.อุบลราชธานี  ดวงอาทิตย์ตก 17:57:27 วินาที  ดวงจันทร์ตก 17:56:58 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 0นาที 28วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
8.นนทบุรี  ดวงอาทิตย์ตก 18:13:54 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18:14:10 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 0นาที 16วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
**ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม
วันพุธที่ 24 กันยายน พ.ศ.2557 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว แหละทั่วทั้งประเทศไทยไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้เลย  ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
**ดังนั้นผลในการคำนวณทางดาราศาสตร์อิสลาม วันที่ 1 ซุ้ลฮิจยะห์ ฮ.ศ.1435 ตรงกับวันศุกร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ.2557 ทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้นั้น เป็นผลสรุปจากการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลามเท่านั้น ดังนั้นวันอีดิ้ลอัดฮา ตามการคำนวณทางดาราศาสตร์อิสลาม ฮ.ศ.1435 ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม 2557
**แต่ทว่าในทางการปฏิบัติจริงๆนั้น ให้พี่น้องต้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น  เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
**ก็คนทุกคนต่างมีหน้าที่ แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลาม คอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วย(สมมุติว่าณบริเวณนั้น มีผู้ที่ดูดวงจันทร์เสี้ยวเป็นร้อยหรือเป็นพันคน ทำไมจึงเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่คนคนเดียวหรือเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่สองสามคน แล้วคนที่เห็นหรือกลุ่มคนที่เห็นดวงจันทร์เสี้ยวนั้น มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับดวงจันทร์มากน้อยเพียงใด ซึ่งบางทีสิ่งที่เขาเห็นแล้วคิดว่าเป็นดวงจันทร์เสี้ยว ความเป็นจริงอาจไม่ใช่ดวงจันทร์เสี้ยวก็เป็นได้)แหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริง ที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า จะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุล หรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาป ก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌ
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม) เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา และ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน)  และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ
ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
**เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์ 
รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
วันนี้เราท่านทั้งหลายทำความดีเพื่อพระองค์แล้วหรือยัง  และเราท่านทั้งหลายได้นำพาบุคคลรอบข้างของเราเข้าใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง  ละหมาดแล้วหรือยัง  ทำอะม้าน  อิบาดะห์ชนิดต่างๆเพื่อรับพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง
**วันนี้วันจันทร์ที่ 22  กันยายน พ.ศ.2557  เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา  ซำบะห์ยัง)
 -สำหรับ สำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา  04.46.45วินาที ตะวันขึ้นเวลา  06.05.53วินาที ดุฮ์ริเวลา 12.09.40วินาที อัสริเวลา 15.29.01วินาที มักริบเวลา 18.13.15วินาที อีซาเวลา 19.24.03วินาที
-สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 04.48.52วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 06.08.00วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.11.46วินาที  อัสริเวลา 15.31.08วินาที  มักริบเวลา 18.15.22วินาที  อีซาเวลา 19.26.10วินาที
-สำหรับมัสยิดฮารอม  ซุบฮิเวลา  04.46.41วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 06.06.45วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.13.28วินาที  อัสริเวลา  15.38.16 วินาที  มักริบเวลา 18.19.54วินาที  อีซาเวลา 19.31.11วินาที 
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิเวลา 04.45.22วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 06.06.15วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.14.20วินาที  อัสริเวลา 15.40.28วินาที  มักริบเวลา 18.22.04วินาที  อีซาเวลา 19.33.56วินาที 
**พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ   
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ   
“ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน
ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8 
**รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
      (โอ้พระผู้เป็นเจ้า ถ้าหากว่ามีคุณความดี ขอมอบภาคผลบุลแด่บิดา มารดาและครูบาอาจารย์ทั้งที่มีชีวิตอยู่ และที่กลับสู่ความเมตาตาของพระองค์แล้ว และใคร่ขอให้ปวงบ่าวของพระองค์ ได้ทำตัวให้ใกล้ชิดกับพระองค์ ตามพระประสงค์ของพระองค์ และขอพระองค์ได้ทรงอภัยโทษให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด อามีน ยาอัรฮะมัร รอฮิมีน)




7
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
**เราในฐานะผู้เป็นลูก ที่สำคัญเราท่านทั้งหลายได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ที่มีศรัทธา ที่มีอีหม่านต่อพระผู้เป็นเจ้า เราท่านทั้งหลายต้องนึกถึงพระคุณของผู้เป็นบิดามารดาให้มากๆ 
**ความรักที่พ่อแม่มีต่อลูกนั้น เป็นความรักที่บริสุทธิ์ เป็นความรักที่ไม่หวังจะได้อะไรตอบแทนเลย   พ่อแม่ทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ลูกได้เป็นคนดี  พ่อแม่ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่ออยากจะเห็นว่า ลูกของเรานั้นเป็นคนดีของพระผู้เป็นเจ้า  หวังลึกๆว่าโลกหน้าอาคิเราะห์ลูกของเราต้องได้อยู่อย่างสุขสบายอย่างแน่นอน เมื่อลูกเป็นคนดีได้แล้ว ไม่ว่าจะทำอะไรพ่อแม่ก็จะสบายใจ ปลาบปลื้มใจ ดีอกดีใจอีกด้วย
**ความรักความห่วงใยของพ่อแม่ที่มีต่อลูกๆนั้น ไม่มีระยะเวลา ไม่มีอายุ ไม่มีกำแพงอะไรใดๆทั้งสิ้นมากีดขวางได้ เพราะพ่อแม่ของเราทุกๆคน คิดอยู่เสมอว่าลูกคือแก้วตาแหละดวงใจ ลูกคือทุกสิ่งทุกอย่าง ลูกสำคัญสุดๆ ไม่ว่าลูกจะเป็นเด็กแบเบาะ พ่อแม่ก็ห่วงคอยทะนุทนอม แม้ยุงสักตัวก็ไม่ยอมให้มีในที่นอนของลูกๆ คอยปกป้องลูกๆคอยให้โอกาส ช่วยเหลือสนับสนุนลูกๆ พร้อมเสมอที่จะให้อภัยต่อลูกอยู่ตลอดเวลา ในบางครั้งที่ลูกทำผิดทำพลาดไป คนที่เป็นพ่อเป็นแม่พร้อมที่จะให้อภัยเสมอ แม้ลูกจะแต่งงานออกเย่าออกเรือนไปแล้ว ความรักความห่วงใยที่พ่อแม่มีต่อลูกนั้น ก็ยังเหมือนเดิมไม่ลดน้อยถอยลงเลยแม้แต่ประการใด(บุคคลที่ได้เป็นพ่อเป็นแม่คนเท่านั้น ที่จะสามารถรับรู้ถึงความรู้สึกต่างๆเหล่านี้ได้)   ดังนั้นพระคุณของพ่อแม่ มีมากมายเหลือเกิน ถ้าจะพูดถึงการทดแทนพระคุณของพ่อแม่แล้ว ทดแทนอย่างไรก็ไม่มีวันหมดอย่างแน่นอน แต่เราในฐานะผู้เป็นลูกถึงอย่างไรก็ตาม ก็จะต้องทดแทนพระคุณของพ่อแม่ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
**เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์(ร.ด.)ว่า ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า บุตรไม่มีโอกาสที่จะตอบแทน(พระคุณ)บิดามารดาได้ นอกจากเขาจะพบว่าบิดามารดาเป็นทาส และเขาได้ซื้อมาปลดปล่อยให้เป็นอิสระ  รายงานโดยมุสลิม
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
{وَوَصَّيْنَا الْإِنْسَان بِوَالِدَيْهِ} أَمَرْنَاهُ أَنْ يَبَرّهُمَا {حَمَلَتْهُ أُمُّه} فَوَهَنَتْ {وَهْنًا عَلَى وَهْن} أَيْ ضَعُفَتْ لِلْحَمْلِ وَضَعُفَتْ لِلطَّلْقِ وَضَعُفَتْ لِلْوِلَادَةِ {وَفِصَالُه} أَيْ فِطَامُه {فِي عَامَيْنِ} وَقُلْنَا لَهُ {أَنْ اُشْكُرْ لِي وَلِوَالِدَيْك إلَيَّ الْمَصِيرُ} أَيْ الْمَرْجِعُ
และเรา(หมายถึงพระผู้เป็นเจ้า)ได้สั่งแก่มนุษย์เกี่ยวกับบิดา มารดาของเขา(เราได้ใช้ให้มนุษย์นั้น ให้ทำดีให้กตัญญูรู้คุณบิดา มารดาของเขา) โดยที่มารดาของเขาได้อุ้มครรภ์เขา อ่อนเพลียลงครั้งแล้วครั้งเล่า(ทั้งในช่วงตั้งครรภ์ ทั้งในช่วงใกล้จะคลอด แหละทั้งในช่วงคลอด) และการหย่านมของเขาในระยะเวลาสองปี
(และเราหมายถึงพระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวแก่มนุษย์ว่า) ท่านจงขอบคุณ(นึกถึงพระคุณของ)ข้า และบิดามารดาของท่าน ยังเรา(หมายถึงพระผู้เป็นเจ้า)นั้น คือการกลับไป ซูเราะห์ลุกมาน 31อายะห์ที่14
**คำว่า أُمُّه ตามหลักวิชาไวยกรณ์อะหรับนั้น ประกอบด้วยฟาอิ้ลแหละมู่ดอฟุนอิลัย ดังนั้นคำว่าอุมมู่เป็นฟาอิ้ล เป็นประธานของกริยานี้  ในอายะห์กุรอ่านตรงนี้คำกริยาก็คืออุ้มครรภ์ ประธานหรือเจ้าของที่เป็นผู้อุ้มครรภ์ก็คือมารดา ดังนั้นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการอุ้มครรภ์ ผู้ที่มีความลำบากยากเข็นอย่างมากมายในการอุ้มครรภ์ ผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการทนุทนอมลูกน้อยที่อยู่ในครรภ์ ผู้ที่คอยให้ความรัก คอยให้ความห่วงใยต่อลูกน้อย คอยสรรหาอาหารดีๆที่มีประโยชน์ให้ลูกน้อย ทั้งๆที่ยังไม่เคยเห็นหน้า เห็นตาลูกน้อยด้วยซ้ำไป ผู้ที่มีความรักอันบริสุทธิ์อย่างเต็มเปี่ยมนี้ ก็คือมารดาของเราท่านทั้งหลายเอง ต้องสำนึกแหละทดแทนบุญคุณของท่านให้มากๆ
**เล่าจากอับดิ้ลลาห์ บุตรอัมร์ บุตรอัลอาส(ร.ด.) จากท่านนบี(ซ.ล.)ว่า บาปใหญ่นั้นได้แก่ การตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์(ซ.บ.) การเนรคุณบิดามารดา การฆ่าคน และการสาบานโดยเจตนาเป็นเท็จ รายงานโดยบุคอรี
**ในบทกลอนอัลฟียะห์(บทกลอนไวยกรณ์อะหรับ)ได้ระบุถึงเรื่องราวของฟาอิ้ลว่า
وَبَعْدَ فِعْلٍ فاعِلٌ فَاِنْ ظَهَرْ         فَهْوَ وَاِلاَّ فَضَمِيْرٌ اسْتَتَر
และหลังจากฟิอิ้ลนั้นก็เป็นฟาอิ้ล(ฟาอิ้ลต้องตกหลังจากฟิอิ้ล) ดังนั้นหากฟาอิ้ลเผยตัว(รอเฮร) ก็เป็น(เหมือนตัวอย่างที่ได้กล่าวมาแล้ว ก็คือในคำกลอนที่อยู่ก่อนหน้านี้)
และหากว่ามิใช่เช่นนั้น(ฟาอิ้ลไม่เผยตัว ไม่รอเฮร)ก็ต้องเป็นด่อเมรที่ซ่อนเร้น
**ตรงคำว่า وَبَعْدَ فِعْلٍ فاعِلٌ ตรงนี้มีรายละเอียด เมื่อพิจรณาตรงนี้ก็จะพบว่า ถือว่าเป็นกฏเกณฑ์สำคัญของคำที่เป็นฟาอิ้ลนั้นต้องอยู่หลังจากฟิอิ้ล(นี่ถือว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในภาษอะหรับ ดำเนินตาม แนวทางบะซ่อรียูน) ดังเช่นในอายะห์กุรอ่านที่ได้กล่าวมา
  {حَمَلَتْهُ أُمُّه} หรือพูดง่ายๆว่าจะเอาประธานอยู่ก่อนกริยาไม่ได้โดยเด็ดขาด ถือว่าผิดกฎไวยกรณ์อะหรับ (เราท่านทั้งหลายจะพบว่าจะพบว่ามัฟอูลมู่ก๊อดดัมมี(อย่างเช่นในซูเราะห์ฟาติฮะห์ اِيَّاكَ نَعْبُدُ) ค่อบัรมู่ก๊อดดัมมี(อย่างเช่นในคำกลอนอัลฟียะห์ตรงนี้ในคำว่า  بَعْدَ فِعْلٍก็อยู่ในหน้าที่ค่อบัรมู่ก๊อดดัม) ค่อบะรู่ฮามู่ก๊อดดำก็มี แต่ทว่าฟาอิ้ลมู่ก๊อดดัมจะไม่มีโดยเด็ดขาด)
**อันที่จริงแล้วมีอีกแนวทางของหลักไวยกรณ์อะหรับคือแนวทางกูฟียูน ได้บอกว่าฟาอิ้ลสามารถอยู่ก่อนฟิอิ้ลได้แต่ไม่เป็นที่นิยมนัก ถ้าเราท่านทั้งหลายสังเกตให้ดีแล้วจะพบว่าผู้ประพันธ์บทกลอนอัลฟียะห์(บทกลอนไวยกรณ์อะหรับ)นี้นั้น ท่านก็มีแนวคิดเดียวกันกับแนวทางบะซ่อรียูน ก็คือฟาอิ้ลจะไม่สามารถอยู่ก่อนฟิอิ้ลได้ พูดอีกอย่างก็คือฟาอิ้ลมู่ก๊อดดัมจะไม่มีโดยเด็ดขาด เพราะดังในบทกลอนของท่านที่ว่า وَبَعْدَ فِعْلٍ فاعِلٌ
**ท่านร่อซูลุ้ลลออ์(ซ.ล.)ได้ประสูติขึ้นมา ท่านก็เคยเป็นลูก ท่านก็มีพ่อมีแม่เหมือนเราท่านทั้งหลายนี้แหละ สิ่งที่ได้ยินอยู่เป็นประจำก็คือ การขัดแย้งในวงกว้างเกี่ยวกับเรื่องการจัดเมาลิดนบี แต่ในความเป็นจริงแล้ว กลับมีน้อยมากที่จะพูดถึงความสำคัญ พระคุณของพ่อแม่ ทั้งๆที่ในความเป็นจริง การทำดีต่อพ่อแม่นั้นนับว่าเป็นภาคผลบุลที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า แม้ไม่ต้องอะไรมากหรอกครับ แค่เป็นคนดี ช่วยเหลือห่วงใย ถามไถ่เอาใจใส่ท่านทั้งสอง แค่นี้หัวอกของคนเป็นพ่อเป็นแม่ ท่านทั้งสองก็สุขใจมากมายแล้ว
**สิ่งที่น่าเป็นห่วงอีกประการหนึ่งที่เกิดขึ้นทุกยุคทุกสมัยก็คือ การนึกถึงพระคุณของพระผู้เป็นเจ้านั้น นับว่าหายากมากๆ จะมีก็จำกัดอยู่ที่ผู้คน หมู่ยินกลุ่มน้อยเท่านั้น การตั้งภาคีการนำสิ่งอื่นมาเทียบเทียม เทียบเท่ากับพระผู้เป็นเจ้านั้น กลับมีทุกยุคทุกสมัย ซึ่งมีอยู่อย่างมากมายอีกด้วย ดังนั้นเราท่านทั้งหลายต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า ซัยตอนมารร้ายเฝ้ารอโอกาสรอคอยอยู่ตลอดเวลา ที่จะคอยชักจูงชี้นำให้มนุษย์แหละยิน หลงทางตั้งภาคีต่อพระผู้เป็นเจ้า ลืมที่จะนึกถึงพระคุณแห่งพระผู้เป็นเจ้า เพลิดเพลินอยู่กับสิ่งที่ไร้สาระ กระทั่งทิ้งการเคารพภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้าในที่สุด
**ในสมัยที่ร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ยังมีชีวิตอยู่ พระผู้เป็นเจ้าเคยแจ้งถึงข่าวใหญ่ ให้ท่านได้รับทราบ ((เป็นฮะดิษกุดซีย์ จากท่านมุอาซ เนื้อความของฮะดิษมีอยู่ว่า แท้จริงข้า(พระองค์อ.ล.ซ.บ.)  ยินแหละมนุษย์ ตกเป็นข่าวใหญ่มาก คือข้า(พระองค์อ.ล.ซ.บ.)เอง สร้างทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมา แต่ผู้อื่นกลับได้รับการกราบไหว้ แหละข้า(พระองค์อ.ล.ซ.บ.)เอง โปรยปรายริสกีโชคผลต่างๆมาให้(อย่างมากมาย) แต่ผู้อื่นกลับได้รับการขอบพระคุณ รายงานโดยบัยฮะกี ฮากิม))
จากฮะดิษกุดซีย์บทนี้ ทำให้เราท่านทั้งหลายมีข้อคิดสะกิดใจได้ว่า การดำเนินชีวิตของเราท่านทั้งหลายในอดีตที่ผ่านมาแหละในตอนปัจจุบันนี้ เป็นเหมือนดั่งฮะดิษกุดซีย์ ข้างต้นหรือเปล่า ถ้าไม่เหมือนก็อัลฮัมดุลิ้ลลาฮ์ แต่ถ้าการดำเนินชีวิตของเราท่านทั้งหลาย ในอดีตที่ผ่านมาและในตอนปัจจุบันนี้ เป็นเหมือนดั่งฮะดิษกุดซีย์ ข้างต้นแล้ว เราท่านทั้งหลายต้องรีบเปลี่ยนแปลงแก้ไข ให้ไปในทางที่ถูกต้อง เพื่อความผาสุกจะได้เกิดขึ้นกับเราท่านทั้งหลายเอง ทั้งในโลกดุนยาแหละโลกหน้าอาคิเราะห์ (ในโลกหน้าอาคิเราะห์นั้นถ้าทุกข์ก็ทุกข์ตลอดไป ถ้าสุขก็ยิ่งสุขตลอดไป นั่นถือเป็นรางวัล เป็นรางวัลแด่ผู้ศรัทธา)
**ความรักที่พระผู้เป็นเจ้ามอบให้แก่บ่าวของพระองค์นั้น แม้ว่าในความเป็นจริงแล้ว พระองค์จะไม่ใช่บิดาของใคร(เพราะพระองค์ทรงอะระลียุน ก่อดีมุน) แต่ความรักความหวังดี การให้อภัยที่พระองค์ทรงมีให้แก่บ่าวนั้น นับว่าความรักของคนที่เป็นพ่อ ความรักของคนที่เป็นแม่ที่มีต่อลูก ที่เราท่านทั้งหลายรับรู้ว่ามากมายนั้น ก็ยังไม่สามารถเทียบเทียมได้เลย เป็นความรักที่มอบแก่ปวงบ่าวที่ยิ่งใหญ่มากเหลือเกิน
**นี่ก็ใกล้จะเริ่มต้นขึ้นปีใหม่แล้ว ปฏิทินอิสลามก็ถือว่าเป็นของขวัญที่เลอค่ามากๆสำหรับมวลมุสลิมชายแหละมวลมุสลิมะห์ เพราะสิ่งที่มีระบุอยู่ในปฏิทินอิสลามนั้นก็คือ เวลาปฏิบัติศาสนกิจที่มวลมุสลิมแหละมวลมุสลิมะห์ต้องนำมายึดปฏิบัติ ในชีวิตประจำวันตลอดทั้งปีแหละตลอดชีวิต แหละสิ่งที่มีระบุอยู่ในปฏิทินอิสลามนั้นก็คือเดือนต่างๆของอิสลามเช่นวันที่1เดือนมุฮัรรอมตรงกับวันที่เท่าใด แหละวันที่1ของเดือนอิสลามเดือนอื่นๆตรงกับวันที่เท่าใด อะไรอย่างนี้เป็นต้น
**ในความเป็นจริงแล้ว(ตามหลักซะรีอัต)เราท่านทั้งหลายนั้นต้องฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรี แหละปฏิบัติตามการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีในการเริ่มต้นเดือนใหม่ในเดือนของอิสลามเท่านั้น เพราะนั่นคือหน้าที่แหละความรับผิดชอบ ซึ่งทางสำนักจุฬาราชมนตรีจะประกาศในทุกๆเดือน(ซึ่งจะใช้การเห็นจันทร์เสี้ยวแหละการไม่เห็นจันทร์เสี้ยวมาเป็นเกณฑ์ในการกำหนดวันเริ่มต้นเดือนใหม่)
**ส่วนในมุมมองของนักดาราศาสตร์อิสลามนั้น ในเมื่อต้องทำปฏิทินล่วงหน้า1ปี จะเริ่มวันที่1ของเดือนอิสลามในทุกๆเดือนนั้น ว่าจะเป็นวันที่เท่าไหร่ถือว่าเป็นเรื่องที่ยากมากๆ
**ใครจะรู้ว่าเมื่อพันสี่ร้อยกว่าปี ขณะที่เทคโนโลยียังล้าสมัยมาก ผู้คนยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโลกใบนี้นั้น จริงๆแล้วกลมไม่ใช่แบน แต่มีบุรุษท่านหนึ่ง(ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)) นำปฏิทินแห่งฟากฟ้ามาจากพระผู้เป็นเจ้า เป็นปฏิทินที่ยึดเอาปรากฏการณ์ทางท้องฟ้ามาเป็นสิ่งกำหนด นำมาบอกให้มวลมนุษยชาติได้รับรู้(ซึ่งที่จะไม่มีการผิดเพี้ยนเลยเพราะเป็นปฏิทินที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า โดยพระผู้เป็นเจ้าได้ให้ดวงจันทร์เป็นตัวกำหนด)
**บุรุษที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้(ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)) อยู่ในยุคที่ล้าสมัย จะรับรู้ถึงเรื่องราวที่ล้ำสมัยอย่างนี้ได้อย่างไร ถ้าพระผู้เป็นเจ้าพระผู้สร้างสรรพสิ่งต่างๆไม่ทรงบอก
**เราท่านทั้งหลายเคยสงสัยหรือไม่ว่า ตั้งแต่เกิดมาสิ่งที่เราเห็นอยู่หลักๆก็คือโลกเพราะเราท่านทั้งหลายเดินแหละวิ่งเล่นเมื่อยามเป็นเด็ก ดวงอาทิตย์เห็นกันอยู่ทุกวี่ทุกวัน ดวงจันทร์บางวันก็เห็นบ้างบางวันก็ไม่เห็น(แล้วมีฮิกมะห์อะไรที่พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงสร้างให้ดวงจันทร์มีแสงในตัวเองเลย ทำไมดวงจันทร์จึงต้องอาศัยแสงจากดวงอาทิตย์ด้วย ทำไมหนอวันธรรมดาดวงจันทร์มีแสงนวลตา แต่ทำไมหนอวันที่เกิดจันทรุปราคาดวงจันทร์ทำไมดวงจันทร์จึงมีสีแดงคล้ายอิฐเผา คำตอบทั้งหมดนั้นพระผู้เป็นเจ้าทรงบอกไว้หมดแล้วในพระมาคำภีย์อัลกุรอ่าน)
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
{وَجَعَلَ الْقَمَر فِيهِنَّ} أَيْ فِي مَجْمُوعهنَّ الصَّادِق بِالسَّمَاءِ الدُّنْيَا {نُورًا وَجَعَلَ الشَّمْس سِرَاجًا} مِصْبَاحًا مُضِيئًا وَهُوَ أَقْوَى مِنْ نُور الْقَمَر
และทรงทำให้ดวงจันทร์ในชั้นฟ้าเหล่านั้นมีแสงสว่างและทรงทำให้ดวงอาทิตย์มีแสงจ้า ซูเราะห์ นูฮ์ อายะห์ที่ 16 
**ในอายะห์นี้  พระผู้เป็นเจ้าใช้คำว่า "นูร" กับดวงจันทร์ ก็แสดงให้เห็นว่าดวงจันทร์ไม่มีแสงออกมาจากตัวเอง  แต่ที่เราเห็นดวงจันทร์มีแสงสว่างนวลตา  เพราะเป็นแสงที่รับมาจากดวงอาทิตย์  เราจึงสามารถมองดวงจันทร์ด้วยตาเปล่าได้  และพระผู้เป็นเจ้าใช้คำว่าซีรอจกับดวงอาทิตย์ ("ซีรอจ" แปลว่า "ตะเกียง")  ก็แสดงให้เห็นว่าดวงอาทิตย์มีแสงสว่างในตัวเอง  สามารถส่องแสงให้สิ่งรอบข้างได้อีกด้วย  เหมือนกับตะเกียงที่ส่องแสงให้กับสิ่ง หรือผู้คนที่อยู่รอบข้างได้ (สมัยนี้ตะเกียงอาจจะหาดูยากสักหน่อย แต่ที่เห็นกันอยู่บ่อยๆ  ก็คือหลอดไฟตามบ้านเรือนนั่นเอง)
**ดังนั้นถ้าผู้ที่ทำปฏิทินใดๆ ยึดหลักว่าต้องเอาปรากฏการณ์บนฟากฟ้ามาเป็นสิ่งกำหนดในการเริ่มต้นเดือนใหม่ของอิสลาม แล้วเริ่มต้นเดือนใหม่(อันนี้คือตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม ไม่ใช่หลักซะรีอัตเพราะหลักซะรีอัตต้องปฏิบัติตามการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรี) ก็จะตรงกับหลักความเป็นจริงบนฟากฟ้าที่พระผู้เป็นเจ้าทรงสรรสร้างมา
**ขอให้เราท่านทั้งหลายรับรู้ว่า ใครจะโกหกว่าเห็นจันทร์เสี้ยวหรือใครจะโกหกว่าไม่เห็นจันทร์เสี้ยวอย่างไรก็พูดได้ทั้งนั้น เพราะนั่นคือมนุษย์ แต่ปรากฏการณ์ทางฟากฟ้าที่พระผู้เป็นเจ้าทรงสรรสร้างมา จะไม่เป็นไปตามคำโกหกของมนุษย์เหล่านั้นหรอก ก็เพราะว่าปรากฏการณ์ทางฟากฟ้านั้น จะดำเนินไปตามคำสั่งใช้ จะดำเนินไปตามการกำหนดของพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น (ดวงจันทร์ก็จะเคลื่อนที่ตามคำสั่งใช้ของพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แหละดวงจันทร์ก็จะเคลื่อนที่ตามวงรอบของดวงจันทร์เท่านั้น กล่าวคือดวงจันทร์จะไม่เคลื่อนที่ช้าหรือเร็ว เพียงเพื่อให้ไปตรงกับคำโกหกต่างนานาๆของมนุษย์โดยเด็ดขาด)
ดั่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
اَلشَّمْسُ وَالْقَمَرُ بِحُسْبَانٍ
ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์โคจรตามวิถีที่แน่นอน ซูเราะห์อัรเราะห์มาน 55 อายะห์ที่ 5
(ตรงนี้بที่เป็นحرف الجرต้องมีที่تعلوقนักวิชาการจึงได้มีการสมมุติคำขึ้นมาว่า
 الشمسُ والقمرُ مُستقِرٌّيَجْرِياَنِ بِِحسبان)
**ถ้าไม่เข้าใจปรากฏการณ์ทางฟากฟ้าที่พระผู้เป็นเจ้าได้สรรสร้างมาอย่างถ่องแท้แล้ว การนับวันของอิสลามก็จะคลาดเคลื่อนได้ ดังนั้นตามปฏิทินแห่งฟากฟ้าที่พระผู้เป็นเจ้าได้สรรสร้างมา ท่าน(ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.))ท่านได้ประสูติ ในวันจันทร์ที่9(ย้ำนะครับ เก้า)เดือน ร่อบิอุ้ลเอาวัล ปีค.ศ. 571(ปีช้าง) ตรงกับวันจันทร์ที่ 20เมษายน ค.ศ. 571ในวันศุกร์ที่ 10 เมษายน ค.ศ. 571 (ซึ่งในปีค.ศ. 571 เดือนกุมภาพันธ์มี 28วัน) มีจันทร์ค้างฟ้าไม่ถึง 15 นาทีตามมหานครมักกะห์ ดวงจันทร์สูงแค่ 2องศากว่าๆเท่านั้นเอง อายุดวงจันทร์8ชั่วโมงกว่าๆเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นในขณะที่ดวงอาทิตย์ตกลับขอบฟ้าในมหานครมักกะห์ ดวงอาทิตย์แหละดวงจันทร์ห่างกันแค่ประมาณ 1องศาเท่านั้นเอง
**เรื่องราวเหล่านี้เป็นสิ่งยากมากมายสำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานในพระมาคำภีย์อัลกุรอ่าน เป็นสิ่งยากมากมายสำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานในอัลฮะดิษแหละเป็นสิ่งยากมากมายสำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานเลยในหลักดาราศาสตร์อิสลาม ดังนั้นผมจึงไม่ขอลงลึกถึงรายละเอียดต่างๆเหล่านี้เพิ่มอีก(เกี่ยวกับเรื่องนี้นั้นยังมีรายละเอียดอีกมากมายๆ)
**วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม   
ดังนั้นวันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ.2557  ตรงกับวันที่ 29 เซาวาล ฮ.ศ.1435  (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ.2557 เป็นวันที่ 1 เซาวาล ฮ.ศ.1435 วันอีดิ้ลฟิตริ ดังนั้นวันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ.2557 จึงเป็นวันที่ 29 เซาวาล ฮ.ศ.1435 ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ซุ้ลเกาะดะห์ ฮ.ศ.1435
**สำหรับประเทศไทย 
จันทร์ดับ ตรงกับวันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ.2557 เวลา 21:12:48 วินาที(ตามเวลาประเทษไทย)   ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ.2557 (เพราะทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ.2557 เป็นวันที่ 1 เซาวาล ฮ.ศ.1435)  จึงต้องมีการดูดวงจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ซุ้ลเกาะดะห์ ฮ.ศ.1435
**วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ.2557  (ดวงจันทร์อยู่ต่ำกว่าดวงอาทิตย์แหละตกลงไปก่อนดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ในวันนี้อยู่ห่างจากโลกประมาณ 405847.72 กิโลเมตรคำนวณจากมหานครมักกะห์ ถ้ากรุงเทพฯเรา ก็จะอยู่ประมาณ 406003.12 กิโลเมตร
**วันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ.2557
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก18.34.55วินาที  ดวงจันทร์ตก18.17.17วินาที ดวงจันทร์ตกลงไปก่อนดวงอาทิตย์ 17นาที 38วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก18.32.03วินาที ดวงจันทร์ตก18.14.34วินาที  ดวงจันทร์ตกลงไปก่อนดวงอาทิตย์ 17นาที 29วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
3.-ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก18.25.59วินาที  ดวงจันทร์ตก18.10.06วินาที ดวงจันทร์ตกลงไปก่อนดวงอาทิตย์ 15 นาที 53วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
- ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก18.26.04วินาที  ดวงจันทร์ตก18.10.03วินาที ดวงจันทร์ตกลงไปก่อนดวงอาทิตย์ 16นาที 1วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
4.หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก 18.29.11 วินาที  ดวงจันทร์ตก18.13.08วินาที ดวงจันทร์ตกลงไปก่อนดวงอาทิตย์ 16นาที 03วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก18.38.16วินาที  ดวงจันทร์ตก18.20.40วินาที ดวงจันทร์ตกลงไปก่อนดวงอาทิตย์ 17นาที 36วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก18.26.33วินาที  ดวงจันทร์ตก18.10.28วินาที  ดวงจันทร์ตกลงไปก่อนดวงอาทิตย์ 16นาที 5วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
7.อุบลราชธานี  ดวงอาทิตย์ตก18.20.07วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.01.38วินาที  ดวงจันทร์ตกลงไปก่อนดวงอาทิตย์ 18นาที 29วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
8.นนทบุรี  ดวงอาทิตย์ตก18.35.16วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.17.37วินาที  ดวงจันทร์ตกลงไปก่อนดวงอาทิตย์ 17นาที 39วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
**ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม
วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ.2557 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว แหละทั่วทั้งประเทศไทยไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้เลย  (เพราะว่าดวงจันทร์ตกลงไปก่อนดวงอาทิตย์) ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
**ดังนั้นผลในการคำนวณทางดาราศาสตร์อิสลาม วันที่ 1 ซุ้ลเกาะดะห์ ฮ.ศ.1435 ตรงกับวันพุธที่ 27 สิงหาคม พ.ศ.2557 ทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้นั้น เป็นผลสรุปจากการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลามเท่านั้น
**แต่ทว่าในทางการปฏิบัติจริงๆนั้น ให้พี่น้องต้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น  เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
**ก็คนทุกคนต่างมีหน้าที่ แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลาม คอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วย(สมมุติว่าณบริเวณนั้น มีผู้ที่ดูดวงจันทร์เสี้ยวเป็นร้อยหรือเป็นพันคน ทำไมจึงเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่คนคนเดียวหรือเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่สองสามคน แล้วคนที่เห็นหรือกลุ่มคนที่เห็นดวงจันทร์เสี้ยวนั้น มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับดวงจันทร์มากน้อยเพียงใด ซึ่งบางทีสิ่งที่เขาเห็นแล้วคิดว่าเป็นดวงจันทร์เสี้ยว ความเป็นจริงอาจไม่ใช่ดวงจันทร์เสี้ยวก็เป็นได้)แหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริง ที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า จะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุล หรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาป ก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌ
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม) เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา และ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน)  และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ
ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
**เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์ 
รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
วันนี้เราท่านทั้งหลายทำความดีเพื่อพระองค์แล้วหรือยัง  และเราท่านทั้งหลายได้นำพาบุคคลรอบข้างของเราเข้าใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง  ละหมาดแล้วหรือยัง  ทำอะม้าน  อิบาดะห์ชนิดต่างๆเพื่อรับพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง
**วันนี้วันเสาร์ที่ 23  สิงหาคม พ.ศ.2557  เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา  ซำบะห์ยัง)
 -สำหรับ สำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา  04.52.26วินาที ตะวันขึ้นเวลา 06.05.35 วินาที ดุฮ์ริเวลา 12.19.32วินาที อัสริเวลา15.30.06วินาที มักริบเวลา 18.35.29 วินาที อีซาเวลา 19.48.32 วินาที
-สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 04.54.27 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา06.07.33วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.21.24วินาที  อัสริเวลา15.31.42วินาที  มักริบเวลา18.37.15 วินาที  อีซาเวลา 19.50.14 วินาที
-สำหรับมัสยิดฮารอม  ซุบฮิเวลา  04.45.32วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 05.59.51วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.23.22วินาที  อัสริเวลา  15.48.04วินาที  มักริบเวลา 18.48.45วินาที  อีซาเวลา 20.02.55วินาที 
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิเวลา04.41.11วินาที  ตะวันขึ้นเวลา05.56.29วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.24.13วินาที  อัสริเวลา15.53.36 วินาที  มักริบเวลา 18.53.47 วินาที  อีซาเวลา 20.08.54วินาที 
**พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ   
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ   
“ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน
ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8 
**รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
      (โอ้พระผู้เป็นเจ้า ถ้าหากว่ามีคุณความดี ขอมอบภาคผลบุลแด่บิดา มารดาและครูบาอาจารย์ทั้งที่มีชีวิตอยู่ และที่กลับสู่ความเมตาตาของพระองค์แล้ว และใคร่ขอให้ปวงบ่าวของพระองค์ ได้ทำตัวให้ใกล้ชิดกับพระองค์ ตามพระประสงค์ของพระองค์ และขอพระองค์ได้ทรงอภัยโทษให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด อามีน ยาอัรฮะมัร รอฮิมีน)



9
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
**ในปัจจุบันนี้เราท่านทั้งหลายพบปะเจอะเจอกัน ให้สลามกัน ทักทายกัน ถามสารทุกข์สุขดิบกัน ถือว่าเป็นสิ่งที่เราท่านทั้งหลาย รักแหละเป็นห่วงเป็นใยซึ่งกันและกัน ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่ดีงาม ที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า มิใช่ว่าจะเจาะจงเฉพาะ เลือกปฏิบัติแค่ใน2วันอีดเท่านั้น
**เล่าจากท่านอะบีฮุรอยเราะห์(ร.ด.)ว่า ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า พวกท่านจะยังไม่ได้เข้าสวรรค์ จนกว่าพวกท่านจะมีศรัทธา และพวกท่านจะยังไม่มีศรัทธา จนกว่าพวกท่านจะรักกัน ฉันจะไม่ชี้พวกท่านไปสู่สิ่งหนึ่ง หรือ? ถ้าหากว่าพวกท่านปฏิบัติสิ่งนี้แล้ว พวกท่านก็จะรักกัน พวกท่านจงแพร่กล่าวสลามในหมู่พวกท่านเถิด รายงานโดย มุสลิม
**เล่าจากอับดิลลาหฮ์บุตรอัมร์บุตรอาซ(ร.ด.)ว่า มีชายคนหนึ่งถามท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ว่า อิสลามประการใดดีที่สุด ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) ตอบว่า การที่ท่านเลี้ยงอาหาร กล่าวทักทายสลามทั้งคนที่ท่านรู้จัก และคนที่ท่านไม่รู้จัก รายงานโดยบุคอรี มุสลิม     
**แม้กระทั่งบรรดามะลาอิกะห์(บ่าวที่มีแต่ความดี บ่าวที่ทำแต่ความดี)  ก็ยังได้มีการให้สลามแก่ปวงบ่าวของพระผู้เป็นเจ้า ที่ประกอบคุณความดี ในค่ำคืนของเดือนร่อมะดอน เพราะในช่วงสิบคืนสุดท้ายของเดือนร่อมะดอนอันทรงเกียรตินั้น จะมีอยู่คืนหนึ่งที่บรรดาเทวฑูต บรรดามะลาอิกะห์ ของพระผู้เป็นเจ้า จะลงมาสู่โลกนี้ ลงมาโดยได้รับการอนุมัติจากพระผู้เป็นเจ้า คืนที่ว่านั้นก็คือ คืนลัยละตุ้ลก๊อดร เมื่อบรรดาเทวฑูตมะลาอิกะห์เห็นมุมินชาย เห็นมุมินะห์หญิง เอาจริงเอาจังในการทำอะมั้ลอิบาดะห์ต่อพระผู้เป็นเจ้า อดหลับอดนอนเพื่อทำคุณความดีต่อพระผู้เป็นเจ้า บรรดาเทวฑูตมะลาอิกะห์ของพระผู้เป็นเจ้าก็จะให้สลาม (ขอความสันติสุขให้กับมุมินชาย มุมินะห์หญิงนั้นให้พ้นจากความชั่วร้ายต่างๆนานา)
**ดังนั้นในคืนลัยละตุ้ลก๊อดรนั้นจะมีการให้สลาม (ขอความสันติสุข) จากบรรดาเทวฑูต บรรดามะลาอิกะห์ ของพระผู้เป็นเจ้าตลอดทั้งคืน ตลอดไปกระทั่งฟะยัรแสงอรุณขึ้น(คือว่าในครั้งที่พระผู้เป็นเจ้าจะสร้างนบีอาดัม บรรดามะลาอิกะห์ได้ห้ามไว้ อ้างในทำนองว่ามนุษย์ จะมาทำไม่ดีในหน้าพื้นแผ่นดินนี้ อย่างที่เราท่านทั้งหลายได้ทราบกันมาแล้ว ดังนั้นเมื่อบรรดามะลาอิกะห์ ได้ลงมาเห็นมุมินชาย มุมินะห์หญิงได้ทำอะมั้ลอิบาดะห์กัน เอาจริงเอาจังในการทำคุณความดีกัน ในค่ำคืนลัยละตุ้ลก๊อดรดังกล่าวมานั้น บรรดาเทวฑูตมะลาอิกะห์จึงได้ให้สลาม (ขอความสันติสุขให้กับมุมินชาย มุมินะห์หญิงนั้นให้พ้นจากความชั่วร้ายต่างๆนานา)
**ดังที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงตรัสไว้ในพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านว่า
سَلاَمٌ هِىَ حَتَّى مَطْلَعِ الْفَجْر {سَلَام هِيَ} خَبَر مُقَدَّم وَمُبْتَدَأ {حَتَّى مَطْلَع الْفَجْر} بِفَتْحِ اللَّام وَكَسْرهَا إِلَى وَقْت طُلُوعه جُعِلَتْ سَلَامًا لِكَثْرَةِ السَّلَام فِيهَا مِنْ الْمَلَائِكَة لا تَمُرّ بِمُؤْمِنٍ وَلَا بِمُؤْمِنَةٍ إِلَّا سَلَّمَتْ عَلَيْهِ
ِคืนนั้นมีความศานติจนกระทั่งรุ่งอรุณ  ซูเราะห์ที่97 อัลก๊อดร อายะห์ที่ 5
**คำว่า  سَلاَمٌ ซะลามุนเป็นค่อบัรมุก๊อดดัม คำว่า  هِىَ ฮิย่า อยู่ในหน้าที่เป็นมุบตะดามู่อั๊คค๊อร(นักวิชาการบางท่านบอกว่า ตรงคำว่าซะลามุนนี้เรียกว่าฮะรัฟมุดอฟ ตั๊กดีรว่า ฮิย่า ราตู้ซะลามะติน)
**คำว่า سَلاَمٌ هِىَ حَتَّى مَطْلَعِ الْفَجْر นักวิชาการทางหลักไวยกรณ์อาหรับนะฮูนั้น ได้นำอายะห์กุรอ่านอายะห์นี้ไปเป็นตัวอย่างในการอธิบายในเรื่องของฮุรูฟยาร อย่างเช่นในหนังสือتسهيل نيل الاماني  (หน้าที่10บรรทัดที่8 หนังสืออาจพิมพ์ต่างวาระกัน หน้าอาจจะไม่เหมือนกันแต่ให้ดูเรื่องของฮุรุฟยารในตัวของ حَتَّى   แล้วก็จะเจออย่างแน่นอน) ในหนังสือนี้ได้ระบุว่าฮุรุฟยารที่16ก็คือ  حَتَّى  ส่วนความหมายของ حَتَّىที่เป็นฮุรุฟยารนั้น ก็คือการสิ้นสุด
**แหละคำว่า سَلاَمٌ هِىَ حَتَّى مَطْلَعِ الْفَجْر นักวิชาการทางหลักไวยกรณ์อาหรับนะฮูนั้น ได้นำอายะห์กุรอ่านอายะห์นี้ไปเป็นตัวอย่างในการอธิบายในเรื่องของฮุรูฟยารอีกเช่นกัน อย่างเช่นในหนังสืออิบนุอะเก้ล ซึ่งเป็นหนังสือที่อธิบายหนังสืออัลฟียะห์(คำกลอนวิชานะฮู) บทที่ว่าด้วยเรื่องฮุรุฟยาร  ถ้อยคำในบทกลอนอัลฟียะห์ มีระบุไว้ดังต่อไปนี้
ِللاِنْتِهاحتى ولامٌ واِلى         ومِنْ وَباءٌيُفْهِمانِ بَدَلا
     حَتَّى นั้นใช้สำหรับความหมาย สิ้นสุด (ถึงจุดหมาย) และ لامٌ اِلى นั้นก็มีความหมายสิ้นสุด (ถึงจุดหมาย) และส่วนمِنْ  باءٌทั้งสองให้ความเข้าใจว่ามีความหมายว่าแทน(เปลี่ยน) 
**ให้สังเกตตรงคำว่า حَتَّىในคำกลอนตรงนี้อยู่ในหน้าที่มุบตะดามุอัคค๊อร (ไม่ใช่ฮุรุฟยาร)
ในหนังสืออิบนุอะเก้ลที่อธิบายคำกลอนตรงนี้ก็จะมีการยกตัวอย่างอายะห์กุรอ่าน ที่ว่า سَلاَمٌ هِىَ حَتَّى مَطْلَعِ الْفَجْر อีกเช่นกัน
**ดังนั้นในอายะห์กุรอ่านตรงนี้ระบุอย่างชัดเจนเลยว่า คืนนั้นมีความศานติตลอดไปจนกระทั่งรุ่งอรุณ คือความศานตินั้นมีอยู่ตลอดทั้งคืนเลยในคืนลัยละตุ้ลก๊อดร จะสิ้นสุดก็ต่อเมื่อ เมื่อเริ่มเข้าเวลารุ่งอรุณ (เพราะว่าใช้คำว่า حَتَّى ต้องอย่าลืมว่า حَتَّى ตรงนี้เป็นฮุรุฟยาร มีความหมายว่า จนกระทั่ง ชี้ถึงการสิ้นสุด)     
**ขอให้เราท่านทั้งหลายสังเกตตรงคำว่า مَطْلَعِ الْفَجْرแปลว่าเริ่มเข้าเวลารุ่งอรุณ ดังนั้นคำว่าเริ่มเข้าเวลารุ่งอรุณตรงนี้ก็คือ เริ่มเข้าเวลารุ่งอรุณของเมืองใครก็เมืองนั้นเท่านั้น ของประเทศใครก็ประเทศนั้นเท่านั้น มิใช่ว่าพักอาศัยอยู่ในเมืองไทย พอค่ำคืนลัยละตุ้ลก๊อดร ความศานติจะคงอยู่ตลอดไป จนกระทั่งถึงเวลารุ่งอรุณของมักกะห์ หรือประเทศกลุ่มอาหรับ หรือประเทศอื่นๆทั่วทุกมุมโลก ไม่ใช่อย่างนั้นนะ(อยู่ในเมืองไทยความศานตินั้นก็จะมีอยู่ตลอดไป ทั้งคืนเลยในคืนลัยละตุ้ลก๊อดร จะสิ้นสุดก็ต่อเมื่อ เมื่อเริ่มเข้าเวลารุ่งอรุณของแต่ละ สถานที่ต่างๆในเมืองไทยเท่านั้น จะไม่ไปเกี่ยวข้องกับรุ่งอรุณของประเทศอื่นใดๆทั้งสิ้น
**ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นก็คือพอเมืองไทยเริ่มเข้าเวลาซุบฮิ หรือเรียกอีกอย่างนึงว่าเริ่มเข้าเวลารุ่งอรุณ ทางประเทศนิวซีแลนด์สว่างไปตั้งนานแล้ว หรือเมืองไทยเข้าเวลาซุบฮิ หรือเรียกอีกอย่างว่าเริ่มเข้าเวลารุ่งอรุณ ทางมักกะห์ หรือประเทศอื่นในประเทศกลุ่มอาหรับ ยังอยู่ในช่วงเวลากลางคืนอยู่เลย อย่างที่เราท่านทั้งหลายเห็นๆกันอยู่)
**ถ้าเราท่านทั้งหลายสังเกตให้ดีๆเวลามัฆริบ(เวลาฯลฯ) นั้นแม้กระทั่งแต่ละจังหวัดยังแก้บวช(ละศิลอด)ยังไม่พร้อมกันเลย นี่คือความเป็นจริงที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสร้างมา
**ให้ร่อมะดอนเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความดีงาม ถ้าใครได้เริ่มต้นทำความดีงามมานานแล้ว ก็ขอให้รักษาความดีงามให้ยืนยาวตลอดไป ถึงแม้ว่าในเดือนอื่นๆภาคผลบุลจะไม่ยิ่งใหญ่เท่ากับเดือนร่อมะดอน เราท่านทั้งหลายก็ต้องยืนหยัดทำกันต่อไป เพราะว่านั่นคือคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้า แหละเป็นคำสั่งของท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) แล้วเราท่านทั้งหลายจะได้รับชัยชนะทั้งดุนยานี้แหละโลกหน้าอาคิเราะห์ นั่นถือว่าเป็นรางวัลที่น่าภาคภูมิใจแหละยิ่งใหญ่มากที่สุด ในฐานะที่เราท่านทั้งหลายได้เกิดมาเป็นปวงบ่าวของพระองค์
**เล่าจากท่านอับดุลลอห์บุตรท่านมัสอูด(ร.ด.)ว่า ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่าจะไม่มีการอิจฉา นอกจากสองประการนี้ (1.)ผู้ที่พระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)ได้ประทานทรัพย์สินให้แก่เขา เขาครอบครองมัน(ใช้จ่ายไป)ในหนทางที่ถูกต้อง (2.)ผู้ที่พระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)ได้ประทานวิชาความรู้ให้แก่เขา เขาได้ปฏิบัติตามวิชาความรู้นั้น และนำวิชาความรู้นั้นออกสอน รายงานโดยบุคอรี มุสลิม
**เล่าจากอะบิ้ลยักรอน ท่านอัมมารบุตรของท่านยาซิร(ร.ด.)ว่า ฉันได้ยินท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า แท้จริงการที่คนๆหนึ่งละหมาดนานนั้นและกล่าวคุตบะห์สั้นนั้น เป็นเครื่องหมายว่า เขามีความเข้าใจเรื่องราวของศาสนา ดังนั้นท่านทั้งหลายจงละหมาดนานๆ และจงกล่าวคุตบะห์สั้นๆ  รายงานโดยมุสลิม
**ในสังคมปัจจุบันนี้เราท่านทั้งหลายต้องยอมรับอย่างนึงว่า ญาติพี่น้องเราท่านทั้งหลายเอง มีทั้งอะซาอิเราะห์และวะบียะห์ แต่ในวันอีดิ้ลฟิตริที่จะถึงนี้ แหละวันต่อๆไป ขอให้ญาติพี่น้องกันเยี่ยมเยียนกัน(แม้จะอะซาอิเราะห์หรือวะบียะห์ก็ตามที) อันใดที่รู้ว่าคิดต่างกันก็ค่อยๆพูดกัน หรือไม่ก็(พูดกันไม่รู้เรื่อง ก็) พูดกันในเรื่องอื่นซะ อย่าให้แนวคิดที่แตกต่างกันมาทำให้เราท่านทั้งหลายต้องตัดญาติขาดมิตรกัน(ขัดแย้งในด้านความคิด แต่ญาติพี่น้องยังไงก็ยังเป็นมิตรกันเหมือนเดิม ส่วนในเรื่องการปฏิบัติศาสนกิจหรือหลักการยึดมั่นก็ว่ากันอีกเรื่องนึง ต้องเอาเป็นอย่างเอาเป็นเรื่องไป)
**เล่าจากท่านอะบีฮุรอยเราะห์(ร.ด.)ว่า ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า ผู้ที่มีความศรัทธาต่อพระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)และวันสุดท้าย เขาจะต้องให้เกียรติแขกที่มาเยือน ผู้ที่มีความศรัทธาต่อพระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)และวันสุดท้าย เขาจะต้องติดต่อสัมพันธ์กับเครือญาติ ผู้ที่มีความศรัทธาต่อพระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)และวันสุดท้าย เขาต้องพูดในสิ่งที่ดีหรือไม่ก็นิ่งเสีย   รายงานโดยบุคอรี มุสลิม
**ขอให้เราท่านทั้งหลายมีความสุขมากๆในวันอีดิ้ลฟิตริที่จะถึงนี้
**วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม   
ดังนั้นวันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ.2557  ตรงกับวันที่ 29 ร่อมะดอน ฮ.ศ.1435  (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ.2557 เป็นวันที่ 1 ร่อมะดอน ฮ.ศ.1435 ดังนั้นวันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ.2557 จึงเป็นวันที่ 29 ร่อมะดอน ฮ.ศ.1435 ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 เซาวาล ฮ.ศ.1435(วันอีดิ้ลฟิตริ)
**สำหรับประเทศไทย 
จันทร์ดับ ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ.2557 เวลา 05.41.48 วินาที   ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ.2557  จึงต้องมีการดูดวงจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 เซาวาล ฮ.ศ.1435(วันอีดิ้ลฟิตริ)
(เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
**วันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ.2557  (ดวงจันทร์ในวันนี้อยู่ห่างจากโลกประมาณ 406487.47 กิโลเมตรคำนวณจากมหานครมักกะห์ ถ้ากรุงเทพฯเรา ก็จะอยู่ประมาณ 406417.25กิโลเมตร)
**วันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ.2557
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก18.48.26วินาที  ดวงจันทร์ตก18.57.13วินาที มีดวงจันทร์ค้างฟ้า 8นาที 46วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก18.44.58วินาที ดวงจันทร์ตก18.54.06วินาที  มีดวงจันทร์ค้างฟ้า 9นาที 8วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
3.-ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก18.34.14วินาที  ดวงจันทร์ตก18.46.38วินาที มีดวงจันทร์ค้างฟ้า 12 นาที 25วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
- ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก18.34.41วินาที  ดวงจันทร์ตก18.46.50วินาที มีดวงจันทร์ค้างฟ้า 12นาที 8วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
4.หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก 18.38.10 วินาที  ดวงจันทร์ตก18.50.08วินาที มีดวงจันทร์ค้างฟ้า 11นาที 59วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก18.51.56วินาที  ดวงจันทร์ตก19.00.42วินาที มีดวงจันทร์ค้างฟ้า 8นาที 46วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก18.35.24วินาที  ดวงจันทร์ตก18.47.23วินาที  มีดวงจันทร์ค้างฟ้า 12 นาที 0วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
7.อุบลราชธานี  ดวงอาทิตย์ตก18.34.46วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.42.15วินาที  มีดวงจันทร์ค้างฟ้า 7นาที 29วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
8.นนทบุรี  ดวงอาทิตย์ตก18.48.52วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.57.35วินาที  มีดวงจันทร์ค้างฟ้า 8นาที 43วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
**ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม
วันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ.2557 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว แหละทั่วทั้งประเทศไทยไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้เลย  (เพราะอายุดวงจันทร์ยังน้อยเกินไป ถ้าเริ่มเดือนใหม่ในวันจันทร์ จะทำให้วันที่ดูจันทร์เสี้ยวในครั้งต่อไป จะดูจันทร์เสี้ยวก่อน ปรากฏการณ์จันทร์ดับ ก่อนนิวมูน ก่อนอิญติมาอ์ทันที) ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
**ดังนั้นผลในการคำนวณทางดาราศาสตร์อิสลาม วันที่ 1 เซาวาล ฮ.ศ.1435(วันอีดิ้ลฟิตริ) ตรงกับวันอังคารที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ.2557 ทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้นั้น เป็นผลสรุปจากการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลามเท่านั้น
**แต่ทว่าในทางการปฏิบัติจริงๆนั้น ให้พี่น้องต้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น  เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
**ก็คนทุกคนต่างมีหน้าที่ แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลาม คอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วย(สมมุติว่าณบริเวณนั้น มีผู้ที่ดูดวงจันทร์เสี้ยวเป็นร้อยหรือเป็นพันคน ทำไมจึงเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่คนคนเดียวหรือเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่สองสามคน แล้วคนที่เห็นหรือกลุ่มคนที่เห็นดวงจันทร์เสี้ยวนั้น มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับดวงจันทร์มากน้อยเพียงใด ซึ่งบางทีสิ่งที่เขาเห็นแล้วคิดว่าเป็นดวงจันทร์เสี้ยว ความเป็นจริงอาจไม่ใช่ดวงจันทร์เสี้ยวก็เป็นได้)แหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริง ที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า จะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุล หรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาป ก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌ
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม) เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา และ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน)  และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ
ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
**เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์ 
รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
วันนี้เราท่านทั้งหลายทำความดีเพื่อพระองค์แล้วหรือยัง  และเราท่านทั้งหลายได้นำพาบุคคลรอบข้างของเราเข้าใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง  ละหมาดแล้วหรือยัง  ทำอะม้าน  อิบาดะห์ชนิดต่างๆเพื่อรับพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง
**วันนี้วันศุกร์ที่ 25  กรกฎาคม พ.ศ.2557  เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา  ซำบะห์ยัง)
 -สำหรับ สำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา 04.32.57 วินาที ตะวันขึ้นเวลา05.59.19วินาที ดุฮ์ริเวลา12.23.21วินาที อัสริเวลา15.42.07 วินาที มักริบเวลา 18.47.16 วินาที อีซาเวลา 20.04.16
-สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 04.35.04วินาที  ตะวันขึ้นเวลา6.01.21วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.25.13วินาที  อัสริเวลา15.44.05 วินาที  มักริบเวลา18.48.57 วินาที  อีซาเวลา 20.05.53
-สำหรับมัสยิดฮารอม  ซุบฮิเวลา 04.19.00 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 05.48.16วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.27.14 วินาที  อัสริเวลา 15.43.54 วินาที  มักริบเวลา 19.05.58 วินาที  อีซาเวลา 20.25.01 วินาที 
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิเวลา04.10.37วินาที  ตะวันขึ้นเวลา05.46.36วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.27.40วินาที  อัสริเวลา15.52.11วินาที  มักริบเวลา19.08.58วินาที  อีซาเวลา20.33.44วินาที 
**พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ   
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ   
“ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน
ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8 
**รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
      (โอ้พระผู้เป็นเจ้า ถ้าหากว่ามีคุณความดี ขอมอบภาคผลบุลแด่บิดา มารดาและครูบาอาจารย์ทั้งที่มีชีวิตอยู่ และที่กลับสู่ความเมตาตาของพระองค์แล้ว และใคร่ขอให้ปวงบ่าวของพระองค์ ได้ทำตัวให้ใกล้ชิดกับพระองค์ ตามพระประสงค์ของพระองค์ และขอพระองค์ได้ทรงอภัยโทษให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด อามีน ยาอัรฮะมัร รอฮิมีน)

10
**ภาคผลบุลอันยิ่งใหญ่มาพร้อมกับเดือนร่อมะดอน
**วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม   
ดังนั้นวันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ.2557  ตรงกับวันที่ 29 ซะบาน ฮ.ศ.1435  (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ.2557 เป็นวันที่ 1 ซะบาน ฮ.ศ.1435 ดังนั้นวันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ.2557 จึงเป็นวันที่ 29 ซะบานฮ.ศ.1435 ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ร่อมะดอน ฮ.ศ.1435
**สำหรับประเทศไทย 
จันทร์ดับ ตรงกับวันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ.2557 เวลา 15:08:30 วินาที   ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ.2557  จึงต้องมีการดูดวงจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ร่อมะดอน ฮ.ศ.1435
(เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
**วันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ.2557  (ดวงจันทร์อยู่ต่ำกว่าดวงอาทิตย์แหละตกลงไปก่อนดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ในวันนี้อยู่ห่างจากโลกประมาณ 402111.62 กิโลเมตรคำนวณจากมหานครมักกะห์ ถ้ากรุงเทพฯเรา ก็จะอยู่ประมาณ 401702.62กิโลเมตร
**วันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ.2557
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก18.49.48วินาที  ดวงจันทร์ตก18.46.24วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 3นาที 23วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก18.46.00วินาที ดวงจันทร์ตก18.42.53วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 3นาที 07วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
3.-ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก18.32.48วินาที  ดวงจันทร์ตก18.32.18วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ - นาที 30วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
- ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก18.33.27วินาที  ดวงจันทร์ตก18.32.44วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ - นาที 43วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
4.หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก 18.37.06 วินาที  ดวงจันทร์ตก18.36.17วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ - นาที 50วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก18.53.22วินาที  ดวงจันทร์ตก18.50.00วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 3นาที 22วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก18.34.16วินาที  ดวงจันทร์ตก18.33.26วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ - นาที 50วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
7.อุบลราชธานี  ดวงอาทิตย์ตก18.36.43วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.32.08วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 4นาที 35วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
8.นนทบุรี  ดวงอาทิตย์ตก18.50.15วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.46.50วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 3นาที 26วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
**ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม
วันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ.2557 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว แหละทั่วทั้งประเทศไทยไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้เลย  (เพราะดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ แหละวันที่ดูจันทร์เสี้ยวในครั้งนี้ดูจันทร์เสี้ยวก่อน ปรากฏการณ์จันทร์ดับ ก่อนนิวมูน ก่อนอิญติมาอ์) ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
**ดังนั้นผลในการคำนวณทางดาราศาสตร์อิสลามนั้น วันที่ 1 ร่อมะดอน ฮ.ศ.1435 ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ.2557 ทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้นั้น เป็นผลสรุปจากการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลามเท่านั้น
**แต่ทว่าในทางการปฏิบัติจริงๆนั้น ให้พี่น้องต้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น  เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
**ก็คนทุกคนต่างมีหน้าที่ แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลาม คอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วย(สมมุติว่าณบริเวณนั้น มีผู้ที่ดูดวงจันทร์เสี้ยวเป็นร้อยหรือเป็นพันคน ทำไมจึงเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่คนคนเดียวหรือเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่สองสามคน แล้วคนที่เห็นหรือกลุ่มคนที่เห็นดวงจันทร์เสี้ยวนั้น มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับดวงจันทร์มากน้อยเพียงใด ซึ่งบางทีสิ่งที่เขาเห็นแล้วคิดว่าเป็นดวงจันทร์เสี้ยว ความเป็นจริงอาจไม่ใช่ดวงจันทร์เสี้ยวก็เป็นได้)แหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริง ที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า จะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุล หรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาป ก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌ
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม) เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา และ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน)  และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ
ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
**เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์ 
รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
วันนี้เราท่านทั้งหลายทำความดีเพื่อพระองค์แล้วหรือยัง  และเราท่านทั้งหลายได้นำพาบุคคลรอบข้างของเราเข้าใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง  ละหมาดแล้วหรือยัง  ทำอะม้าน  อิบาดะห์ชนิดต่างๆเพื่อรับพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง
**วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 26 มิถุนายน พ.ศ.2557  เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา  ซำบะห์ยัง)
 -สำหรับ สำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา 04.21.55วินาที ตะวันขึ้นเวลา05.51.13วินาที ดุฮ์ริเวลา12.19.36วินาที อัสริเวลา15.45.44 วินาที มักริบเวลา 18.48.18 วินาที อีซาเวลา 20.07.37
-สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 04.24.05วินาที  ตะวันขึ้นเวลา05.53.18วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.21.28วินาที  อัสริเวลา15.47.22วินาที  มักริบเวลา18.49.38วินาที  อีซาเวลา 20.09.12
-สำหรับมัสยิดฮารอม  ซุบฮิเวลา 04.04.32 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 05.37.33วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.23.31 วินาที  อัสริเวลา 15.43.12 วินาที  มักริบเวลา 19.09.27 วินาที  อีซาเวลา 20.32.00 วินาที 
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิเวลา03.55.08วินาที  ตะวันขึ้นเวลา05.30.39วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.24.22วินาที  อัสริเวลา15.44.51วินาที  มักริบเวลา19.18.03วินาที  อีซาเวลา20.42.22วินาที 
**พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ   
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ   
“ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน
ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8 
**รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
      (โอ้พระผู้เป็นเจ้า ถ้าหากว่ามีคุณความดี ขอมอบภาคผลบุลแด่บิดา มารดาและครูบาอาจารย์ทั้งที่มีชีวิตอยู่ และที่กลับสู่ความเมตาตาของพระองค์แล้ว และใคร่ขอให้ปวงบ่าวของพระองค์ ได้ทำตัวให้ใกล้ชิดกับพระองค์ ตามพระประสงค์ของพระองค์ และขอพระองค์ได้ทรงอภัยโทษให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด อามีน ยาอัรฮะมัร รอฮิมีน)

11
**ขอตามพระผู้เป็นเจ้าแหละร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)
**ความจริงที่ปรากฏก็คือขณะที่ประเทศหนึ่งดวงอาทิตย์ตก  อีกประเทศหนึ่งรุ่งอรุณ  เวลาทุกเวลาที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของประเทศที่อยู่แตกต่างกันไป  สิ่งต่างๆทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้นั้น บ่งบอกอย่างชัดเจนเลยว่า  ด้วยความแตกต่างทางเวลานี้ จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ประเทศมุสลิมต่างๆ จะรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั้งในเรื่องการละหมาด5เวลา(เป็นไปไม่ได้เลยที่ประเทศมุสลิมต่างๆจะละหมาดดุฮ์ริพร้อมกัน  ละหมาดอัสริพร้อมกัน  ฯลฯ)ดังนั้นการที่จะกล่าวอ้างว่า เพื่อความเป็นเอกภาพของอุมมะห์มุสลิมมุสลิมะห์ที่อยู่ทั่วทุกมุมโลก ควรจะทำอิบาดะห์ในเวลาหนึ่ง เวลาเดียวกันและวันเดียวกัน  การกล่าวอ้างแบบนี้ถือว่าไม่ถูกต้องตามหลักการของศาสนา  เรียกว่าคิดเอาเอง จินตนาการเอาเองเท่านั้น เพราะในโลกแห่งความเป็นจริงแล้วเราท่านทั้งหลายจะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่า ขณะที่มุสลิมที่อยู่ที่ประเทศซาอุดิอาระเบียละหมาดซุบฮิ  มุสลิมที่อยู่ในอเมริกาเหนืออาจยังทำละหมาดอิซาของวันก่อนไม่เสร็จเลยฯลฯ ดังนั้นถ้าพระผู้เป็นเจ้ามีความต้องการให้มุสลิมทั่วทุกมุมโลกทำอิบาดะห์ในเวลาหนึ่งเวลาเดียวกันและวันเดียวกัน เพื่อต้องการให้เกิดความเป็นเอกภาพอย่างที่ใครบางคนกล่าวอ้างแล้ว เอกภาพดังกล่าวจะไม่มีวันเกิดขึ้นจริงได้เลย เพราะความแตกต่างทางด้านเวลาที่เราท่านทั้งหลายเห็นๆกันอยู่ทุกๆวันนี้
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
 {أو لم يَتَفَكَّرُوا فِي أَنْفُسهمْ} لِيَرْجِعُوا عَنْ غَفْلَتهمْ {مَا خَلَقَ اللَّه السَّمَاوَات وَالْأَرْض وَمَا بَيْنهمَا إلَّا بِالْحَقِّ وَأَجَل مُسَمًّى} لِذَلِكَ تَفْنَى عِنْد انْتِهَائِهِ وَبَعْده الْبَعْث {وَإِنَّ كَثِيرًا مِنْ النَّاس} أَيْ كُفَّار مَكَّة {بِلِقَاءِ رَبّهمْ لَكَافِرُونَ} أَيْ لَا يؤمنون بالبعث بعد الموت
พวกเขามิได้ใคร่ครวญในตัวของพวกเขาดอกหรือว่า(คือใคร่ครวญด้วยกับสติปัญญา)  อัลลอฮฺมิได้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และสิ่งที่อยู่ระหว่างทั้งสอง เพื่อสิ่งอื่นใดเลย เว้นแต่เพื่อความจริงและเวลาที่ถูกกำหนดไว้(พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้สร้างสิ่งต่างๆเหล่านี้มาโดยไร้ประโยชน์  พระองค์สร้างโดยฮิกมะห์เพื่อดำรงไว้ซึ่งความจริง  เวลาที่สิ้นสุดของสิ่งต่างๆเหล่านี้ก็คือวันกิยามะห์) และแท้จริงส่วนมากของมนุษย์เป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อการพบพระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา(ไม่เชื่อมั่นในการฟื้นคืนชีพและการตอบแทน)  ซูเราะห์ อัรรูม อายะห์ที่8
**ผมเองยังเคยได้ยินคนๆหนึ่งกล่าวอีกว่า  การดูจันทร์เสี้ยวไม่เหมือนกับการละหมาด5เวลา  เพราะการละหมาด5เวลาใช้ดวงอาทิตย์เป็นตัวกำหนด  แต่ละประเทศจึงมีเวลาการละหมาด5เวลาไม่เหมือนกัน  ไม่ตรงกัน  ตามกันไม่ได้  แต่ดวงจันทร์นั้นมีอยู่เพียงดวงเดียว  การดูจันทร์เสี้ยวจึงไม่เกี่ยวกับดวงอาทิตย์อย่างสิ้นเชิง  เขาได้พูดต่ออีกว่าดังนั้นไม่ว่าที่ใดในโลกเห็นจันทร์เสี้ยว  ที่อื่นประเทศอื่นก็ต้องเข้าเดือนหรือต้องออกเดือนเหมือนกันด้วย  ดังนั้นจะอย่างไรก็ตามคำพูดลักษณะนี้ถือว่ายังไม่ถูกต้อง  ยังไม่ตรงกับความเป็นจริงที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสร้างมา
**การที่บอกว่าดวงจันทร์นั้นมีอยู่เพียงดวงเดียว การดูจันทร์เสี้ยวจึงไม่เกี่ยวกับดวงอาทิตย์  ผมได้ยินผมก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่า  แล้วดวงอาทิตย์มีอยู่หลายดวงหรือ  แต่ละจังหวัดแต่ละประเทศจึงมีเวลาละหมาด5เวลาแตกต่างกันไป   
**ขอให้เราท่านทั้งหลายทำความเข้าใจดังต่อไปนี้ ความเป็นจริงที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสร้างมานั้น จริงๆแล้วดวงอาทิตย์แหละดวงจันทร์(ของโลกที่เราท่านทั้งหลายเห็นกันอยู่นี้)นั้นมีอยู่แค่อย่างละดวงเท่านั้น  แต่สาเหตุที่มีเวลาการละหมาด5เวลาแตกต่างกันไป  มีการเข้าบวชออกบวชแตกต่างกัน  มีวันอีดที่แตกต่างกัน มีวันที่1ของเดือนอิสลามแตกต่างกันนั้น ก็เพราะว่าตำแหน่งพื้นที่ตั้งของแต่ละจังหวัดแต่ละประเทศอยู่แตกต่างกันนั่นเอง(ภาษาอะหรับเรียกว่ามัตละอ์)  แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าจังหวัดใหน  ประเทศใหนมีตำแหน่งพื้นที่ตั้งอยู่ที่เท่าไหร่  ทางสากลจึงกำหนดให้ตำบลกรีนิชเป็นจุดเซ็นเตอร์  เรียกว่าเส้นเมอริเดี่ยนกรีนิช  เส้นเมอริเดี่ยนมาตรฐานโลก มีค่าอยู่ที่0องศา
**ดังนั้นแสดงว่าคนที่พูดอ้างว่าการดูจันทร์เสี้ยวไม่เกี่ยวกับดวงอาทิตย์  ถือว่ายังไม่เข้าใจหลักดาราศาสตร์อิสลามแหละหลักการของอัลอิสลามเท่าที่ควร  เพราะหลักการของอัลอิสลามนั้น จะเริ่มดูจันทร์เสี้ยวได้ก็ต่อเมื่อดวงอาทิตย์เริ่มตกลับขอบฟ้าแล้วเท่านั้น(เข้าเวลามัฆริบจึงเริ่มดูจันทร์เสี้ยวได้  แล้วจะเลิกดูจันทร์เสี้ยวได้เมื่อใด  ก็เมื่อดวงจันทร์ตกลับขอบฟ้า ดังนั้นการดูจันทร์เสี้ยวจึงต้องเกี่ยวข้องกับดวงอาทิตย์อย่างแน่นอน  ขาดอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้โดยเด็ดขาด  เช่นเดียวกันถ้าเราจะละหมาด  อยู่ๆก็ละหมาดเลยคือเอาแต่ละหมาดอย่างเดียว  ไม่ได้สวมเสื้อผ้าปิดเอารัต  ไม่ได้ผินไปทางกะบะห์  ไม่ได้สนใจว่าเข้าเวลาละหมาดแล้วหรือยัง  หรือไม่ได้ใส่ใจเลยในเรื่องของนะยิส  อย่างนี้การละหมาดก็ใช้ไม่ได้อย่างแน่นอน  เรียกว่าใช้ไม่ได้ตั้งแต่ก่อนที่จะเริ่มละหมาดเสียอีก
**มีตัวบทฮะดิษระบุอย่างชัดเจนเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้  ฮะดิษที่จะกล่าวต่อไปนี้  ท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.) ท่านไม่ได้บอกว่าถ้าประเทศเราไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยวให้รอฟังข่าวจากประเทศอื่น และถ้ามีประเทศใดเห็นดวงจันทร์เสี้ยวให้ถือตามประเทศนั้น ท่านนบี(ซ.ล.)ไม่ได้บอกแบบนี้ นอกจากนั้นยังมีฮะดิษยืนยันว่า เมื่ออยู่ในเมืองที่ห่างไกลจากกัน เช่น เมืองซามกับเมืองมะดีนะห์ ให้ถือเอาการเห็นดวงจันทร์เสี้ยวในเมืองนั้นสิ่งกำหนด วันเริ่มต้นถือศีลอด (เริ่มวันที่หนึ่งของเดือนรอมฎอน) และเลิกถือศีลอด (เริ่มวันที่ 1 ของเดือนเซาวั้ล) ดังฮะดิษที่รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี ดังนี้     
عَنْ كُرَيْبٍ رَضِيَ اللهُ عَنْهُ أَنََّ أُمَّ الْفَضْلِ بِنْتَ الْحَارِثِ بَعَثَتْهُ إِلَى مُعَاوِيَةَ بِالشَّامِ قَالَ : فَقَدِمْتُ الشَّامِ فَقَضَيْتُ حَاجَتَهَا وَاسْتُهِلَّ عَلَيَّ رَمَضَانُ وَأَنَا بِالشَّامِ ، فَرَأَيْتُ الْهِلاَلَ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، ثُمَّ قَدِمْتُ الْمَدِيْنَةَ فِيْ آخِرِ الشَّهْرِ فَسَأَلَنِيْ ابْنُ عَبَّاسٍ : مَتَى رَأَيْتُمُ الْهِلاَلِ ؟ فَقُلْتُ : رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، قَالَ : أَنْتَ رَأَيْتَهُ ؟ قُلْتُ : نَعَمْ وَرَآهُ النَّاسِ وَصَامُوْا وَصَامَ مُعَاوِيَةُ فَقَالَ : لَكِنَّا رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ السَّبْتِ ، فَلاَ نَزَالُ نَصُوْمُ حَتَّى نُكْمِلَ ثَلاَثِيْنَ أَوْ نَرَاهُ فَقُلْتُ : أَوَ لاَ تَكْتَفِيْ بِرُؤْيَةِ مُعَاوِيَةَ وَصِيَامِهِ ، فَقَالَ : لاَ ، هَكَذَا أَمَرَنَا رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ . رواه الخمسة إلا البخارى.     
ความว่า จากกุร๊อยบฺ ร.ฎ. เล่าว่า เนื่องจากอุมมัลฟัดลิ บินติ ฮาริส ได้ส่งกุรอ๊ยบฺไปหามุอาวียะห์ ณ เมืองซามแล้ว เมื่อฉันมาถึงเมืองชามและได้จัดทำธุระของนางเสร็จเรียบร้อย ได้ปรากฎเดือนรอมฎอนขึ้นแก่ฉัน โดยในขณะที่ฉันอยู่ที่เมืองซามนั้น ฉันเห็นดวงจันทร์เสี้ยวในตอนค่ำวันศุกร์ หลังจากนั้นฉันก็กลับมาที่มะดีนะห์ในตอนปลายเดือน แล้วอิบนิอับบัสก็ถามฉันว่า พวกท่านเห็นดวงจันทร์เสี้ยวเมื่อใด ฉันก็ตอบว่า พวกเราเห็นในค่ำวันศุกร์ อิบนิอับบัสถามย้ำว่า ท่านเห็นมันเองหรือ ฉันตอบว่าถูกแล้ว และบรรดาประชาชนก็เห็นด้วย โดยพวกเขาได้ถือศีลอด และมุอาวียะห์ก็ได้ถือศีลอด อิบนิอับบัสจึงกล่าวว่า แต่พวกเรา (ในเมืองมะดีนะห์) เห็นดวงจันทร์เสี้ยวในค่ำวันเสาร์ ดังนั้นเราก็ยังคงต้องถือศีลอดเรื่อยไปจนกว่าจะครบสามสิบวัน หรือจนกว่าเราจะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว ฉัน (กุร๊อยบ) จึงพูดว่า ยังไม่เพียงพออีกหรือกับการเห็นของมุอาวียะห์ และการถือศีลอดของเขา อิบนิอับบัสตอบว่า ไม่ แบบนี้แหละที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้มีคำสั่งแก่พวกเรา (ให้ถือปฏิบัติ) รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี
**ตรงนี้ต้องช้าๆเพื่อให้เกิดความเข้าใจ ที่เมืองซามต้นเดือนรอมฎอนตามตัวบทฮะดิษเห็นจันทร์เสี้ยวค่ำวันศุกร์ ก็แสดงว่าเริ่มถือศิลอดวันศุกร์เป็นวันแรก(เพราะตามหลักของอิสลามแล้ว กลางคืนมาก่อนกลางวัน) แต่ทางเมืองมะดีนะห์เห็นจันทร์เสี้ยวค่ำวันเสาร์ ก็แสดงว่าเริ่มถือศิลอดวันเสาร์เป็นวันแรก (ข้อคิดก็คือ ถ้าสมัยนั้นมีดาวเทียว มีโทรศัพท์ มีอินเตอร์เน็ทที่ทันสมัยแบบสมัยนี้ เชื่อเหลือเกินว่า ข่าวการเห็นจันทร์เสี้ยวของท่านกุร๊อยบ และชาวเมืองซาม จะต้องไปถึงท่านอิบนิอับบัสและชาวเมืองมะดีนะห์ ในค่ำวันศุกร์วันนั้นอย่างแน่นอน ไม่ต้องรอให้ท่านกุร๊อยบกลับมาเมืองมะดีนะห์ ในตอนช่วงปลายเดือนรอมฎอน ประเด็นสำคัญอยู่ตรงที่ว่า สมมุติว่าสมัยโน้นข่าวการเห็นจันทร์เสี้ยว ฉับไวเหมือนสมัยนี้ เมื่อท่านอิบนิอับบัสและชาวเมืองมะดีนะห์รู้ว่าท่านกุร๊อยบ และชาวเมืองซามเห็นจันทร์เสี้ยวในค่ำวันศุกร์ และก็เริ่มถือศิลอดในวันศุกร์ คำถามก็คือท่านอิบนิอับบัสและชาวเมืองมะดีนะห์ จะเริ่มถือศิลอดในวันศุกร์เหมือนมุอาวียะห์และชาวเมืองซามหรือไม่ คำตอบที่ได้ก็คือ แน่นอนท่านอิบนิอับบัสและชาวเมืองมะดีนะห์ จะไม่เริ่มถือศิลอดในวันศุกร์อย่างแน่นอน เพราะท่านอิบนิอับบัสและชาวเมืองมะดีนะห์ไม่เห็นจันทร์เสี้ยวในค่ำวันศุกร์นั้น
**ท่านอิบนิอับบัสและชาวเมืองมะดีนะห์เอา พิจรณาการเห็นจันทร์เสี้ยวจริงที่เมืองมะดีนะห์ โดยที่ไม่เอา ไม่พิจรณาข่าวการเห็นจันทร์เสี้ยวจากเมืองซามแต่ประการใด คำถามต่อมาก็คือ ท่านอิบนิอับบัสและชาวเมืองมะดีนะห์ทำตามอารมณ์ความชอบของตัวเองหรือไม่ คำตอบที่ได้ก็คือไม่ไช่อย่างแน่นอน ที่ท่านอิบนิอับบัสและชาวเมืองมะดีนะห์ทำไปทั้งหมดนั้น ก็เพราะทำตามคำสั่งใช้ของร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ทั้งสิ้น แล้วท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) เอามาจากใหน ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ก็เอามาจากพระผู้เป็นเจ้าทั้งสิ้น เพราะว่าตามตัวบทฮะดิษก็ระบุชัดๆอยู่แล้วว่า “แต่พวกเรา (ในเมืองมะดีนะห์) เห็นดวงจันทร์เสี้ยวในค่ำวันเสาร์ ดังนั้นเราก็ยังคงต้องถือศีลอดเรื่อยไปจนกว่าจะครบสามสิบวัน หรือจนกว่าเราจะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว”ฉัน (กุร๊อยบ) จึงพูดว่า ยังไม่เพียงพออีกหรือกับการเห็นของมุอาวียะห์ และการถือศีลอดของเขา อิบนิอับบัสตอบว่า ไม่ แบบนี้แหละที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ (ซ.ล.) ได้มีคำสั่งแก่พวกเรา (ให้ถือปฏิบัติ) รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี       
 **เนื้อความฮะดิษตรงคำว่า “โดยในขณะที่ฉันอยู่ที่เมืองซามนั้น ฉันเห็นดวงจันทร์เสี้ยวในตอนค่ำวันศุกร์”ในฮะดิษบทดังกล่าว แสดงว่าชาวเมืองซามนั้น บวชวันศุกร์เป็นวันแรก ดังนั้นนับไปอีก29วันจะดูต้องจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวัน1เซาวาลหรือวันอีดิ้ลฟิตรี่ ถ้าเห็นดวงจันทร์เสี้ยว ชาวเมืองซามก็จะอีดวันเสาร์ ถ้าไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว ชาวเมืองซามก็จะอีดวันอาทิตย์
**แต่เนื้อความฮะดิษตรงคำว่า “อิบนิอับบัสจึงกล่าวว่า แต่พวกเรา (ในเมืองมะดีนะห์) เห็นดวงจันทร์เสี้ยวในค่ำวันเสาร์ ดังนั้นเราก็ยังคงต้องถือศีลอดเรื่อยไปจนกว่าจะครบสามสิบวัน หรือจนกว่าเราจะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว” แสดงว่าชาวเมืองมะดีนะห์นั้น บวชวันเสาร์เป็นวันแรก ดังนั้นนับไปอีก29วันจะดูต้องจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวัน1เซาวาลหรือวันอีดิ้ลฟิตรี่ ถ้าเห็นดวงจันทร์เสี้ยว ชาวเมืองมะดีนะห์ก็จะอีดวันอาทิตย์(ดังในฮะดิษที่ได้ระบุไว้ว่าหรือจนกว่าเราจะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ถ้าไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว ชาวเมืองมะดีนะห์ก็จะอีดวันจันทร์(ดังในฮะดิษที่ได้ระบุไว้ว่าดังนั้นเราก็ยังคงต้องถือศีลอดเรื่อยไปจนกว่าจะครบสามสิบวัน)
 **เกล็ดเล็กเกล็ดน้อยที่ไม่ควรมองข้าม ฮะดิษเมื่อสักครู่นี้รู้จักกันในนามว่า ฮะดิษ(กุร๊อยบ) ทั้งๆที่ฮะดิษนี้ได้บอกไว้ชัดๆอย่างนี้(ว่าเมืองใครก็เมืองนั้น ประเทศใดก็ประเทศนั้นเท่านั้น) ก็ยังมีคนบางคนกลับกำลังบิดเบือนไปในทิศทางแบบอื่นอีก สิ่งที่นำมาบิดเบือน อย่างที่ได้ทราบกันมาแล้วก็คือ ถ้าพี้นที่ใดในโลกนี้เห็นจันทร์เสี้ยว ทุกเมือง ทุกประเทศต้องเริ่มเดือนใหม่ทั้งหมดเลย(อ้างว่าเพื่อให้เกิดเอกภาพบ้าง อ้างว่าเพราะยุมโฮรอุละมาอ์บ้าง)
**ยิ่งไปกว่านั้นยังพยายามทำให้คนเอาวามทั่วๆไปเกิดความสับสนขึ้นไปอีก โดยที่ได้อ้างแบบขุ่นๆว่า ที่(กุร๊อยบ)เห็นจันทร์เสี้ยวที่เมืองซามนั้น เห็นตอนต้นเดือนรอมฎอน แต่ตอนที่บอกกับท่านอิบนิอับบัสนั้น เป็นตอนปลายเดือนรอมฎอนไม่เกี่ยวข้องกัน เพราะตอนนี้เรากำลังจะดูจันทร์เสี้ยวในช่วงของปลายเดือนรอมฎอนกันอยู่ ขอบอกตรงๆเลยว่า ถ้าได้ศึกษาวิชาดาราศาสตร์อิสลามมาอย่างเชี่ยวชาญแล้ว แหละรู้อย่างแท้จริงแล้ว ผมเชื่อว่าคำพูดลักษณะดังกล่าวมานี้นั้น จะไม่หลุดออกมาอย่างแน่นอน แนะนำว่าอย่าข้ามขั้นตอนเพราะจะทำให้เกิดการผิดพลาดได้ง่ายมาก เนื่องจากยังไม่เข้าใจอย่างแท้จริง
**สิ่งสำคัญก็คือ ก็เพราะว่า การบอกว่าเห็นจันทร์เสี้ยวนั้น ไม่ว่าจะบอกตอนต้นเดือนหรือบอกตอนกลางเดือนหรือบอกตอนปลายเดือน ไม่ใช่สิ่งสำคัญแต่ประการใด แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่า จะเริ่มเดือนอิสลามใหม่ได้นั้น ท่านรอซูลุลเลาะห์ (ซ.ล.) สั่งนักสั่งหนาให้เอาการเห็นจันทร์เสี้ยวเป็นเกณฑ์
**แหละท่านรอซูลุลเลาะห์ (ซ.ล.)ยังสั่งใช้ในเรื่องของการเห็นจันทร์เสี้ยวนั้น ให้เอาเมืองใครก็เมืองนั้นเท่านั้นด้วย ประเทศใดก็ประเทศนั้นเท่านั้น จะไปตามประเทศอื่นไม่ได้โดยเด็ดขาด อย่างที่เราท่านทั้งหลายได้รับทราบกันมาแล้ว ตามที่ท่านอิบนิอับบัสได้บอกไว้ในช่วงท้ายฮะดิษเมื่อสักครู่ข้างต้น
**ผมขอให้แง่คิดง่ายๆว่า ง่ายๆไม่ต้องคิดอะไรให้มากมาย ลองดูในหนังสือซอเฮี๊ยะมุสลิมดูว่า ในหนังสือดังกล่าวก่อนที่จะเริ่มฮะดิษ(กุร๊อยบ)บทนี้ ได้มีการตั้งชื่อบทนี้ไว้ว่าอย่างไร ถ้อยคำในหนังสือซอเฮี๊ยะมุสลิมเล่มดังกล่าวได้ตั้งชื่อบทไว้ว่า
بَابُ بَيَانِ أَنَّ لِكُلِّ بَلَدٍ رُؤْيَتَهُمْ وَأَنَّهُمْ إِذَا رَأَوُا الْهِلَالَ بِبَلَدٍ لَا يَثْبُتُ حُكْمُهُ لِمَا بَعُدَ عَنْهُمْ حَدَّثَنَا يَحْيَى بْنُ يَحْيَى، وَيَحْيَى بْنُ أَيُّوبَ، وَقُتَيْبَةُ، وَابْنُ حُجْرٍ، - قَالَ يَحْيَى بْنُ يَحْيَى: أَخْبَرَنَا، وَقَالَ الْآخَرُونَ: - حَدَّثَنَا إِسْمَاعِيلُ وَهُوَ ابْنُ جَعْفَرٍ، عَنْ مُحَمَّدٍ وَهُوَ ابْنُ أَبِي حَرْمَلَةَ، عَنْ كُرَيْبٍ، أَنَّ أُمَّ الْفَضْلِ بِنْتَ الْحَارِثِ، بَعَثَتْهُ إِلَى مُعَاوِيَةَ بِالشَّامِ، قَالَ: فَقَدِمْتُ الشَّامَ، فَقَضَيْتُ حَاجَتَهَا، وَاسْتُهِلَّ عَلَيَّ رَمَضَانُ وَأَنَا بِالشَّامِ، فَرَأَيْتُ الْهِلَالَ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ، ثُمَّ قَدِمْتُ الْمَدِينَةَ فِي آخِرِ الشَّهْرِ، فَسَأَلَنِي عَبْدُ اللهِ بْنُ عَبَّاسٍ رَضِيَ اللهُ عَنْهُمَا، ثُمَّ ذَكَرَ الْهِلَالَ فَقَالَ: مَتَى رَأَيْتُمُ الْهِلَالَ؟ فَقُلْتُ: رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ، فَقَالَ: أَنْتَ رَأَيْتَهُ؟ فَقُلْتُ: نَعَمْ، وَرَآهُ النَّاسُ، وَصَامُوا وَصَامَ مُعَاوِيَةُ، فَقَالَ: " لَكِنَّا رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ السَّبْتِ، فَلَا نَزَالُ نَصُومُ حَتَّى نُكْمِلَ ثَلَاثِينَ، أَوْ نَرَاهُ، فَقُلْتُ: أَوَ لَا تَكْتَفِي بِرُؤْيَةِ مُعَاوِيَةَ وَصِيَامِهِ؟ فَقَالَ: لَا، هَكَذَا أَمَرَنَا رَسُولُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ " وَشَكَّ يَحْيَى بْنُ يَحْيَى فِي نَكْتَفِي أَوْ تَكْتَفِي
**บทสรุปนั้นก็คือ ขึ้นชื่อว่ามนุษย์แล้ว ย่อมมีการผิดพลาดกันได้ทั้งนั้น ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นความเห็นของอุละมาอ์ส่วนใหญ่(ยุมโฮร)หรืออุละมาส่วนน้อย สิ่งสำคัญอยู่ตรงที่ว่า มิใช่ว่าความเห็นของอุละมาส่วนใหญ่ จะถูกไปซะทุกสิ่งทุกอย่าง หรือมิใช่ว่าความเห็นของอุละมาส่วนน้อยจะผิดไปเสียทุกอย่าง ขอให้เราท่านทั้งหลายพิจรณาเป็นอย่างเป็นเรื่องไป
**สิ่งที่ถูกต้องที่สุดก็คือสิ่งที่ท่านร่อซูลุ้ลเลาะห์ (ซ.ล.)นำมาบอกแก่เราท่านทั้งหลายไว้ สิ่งที่ท่านร่อซูลุ้ลเลาะห์ (ซ.ล.)ทำให้เราท่านทั้งหลายเห็นฯลฯ(ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวของศาสนา) เป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด เป็นสิ่งที่สมบูรณ์แบบที่สุด จะไม่ผิดเลยเพราะว่าท่านร่อซูลุ้ลเลาะห์(ซ.ล.)ไม่ได้พูด ไม่ได้บอก ไม่ได้ทำตามอารมณ์ของท่าน แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับเรื่องราวของศาสนานั้น ล้วนแล้วมาจากพระผู้เป็นเจ้าทั้งสิ้น ล้วนแล้วมาจากพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า ที่ต้องการให้ปวงบ่าวของพระองค์ ได้มีการประพฤติ ได้มีการปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์ทั้งสิ้น อย่างน้อยที่สุดก็เพื่อให้รู้กันได้ว่า ใครบ้างที่มีการภักดีต่อพระองค์
**ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลย ที่คนๆหนึ่งจะปฏิบัติศาสนกิจ ตามสิ่งที่ได้มีการขัดแย้งกันของอุละมาอ์ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะปฏิบัติทั้งสองอย่างเลยในเวลาเดียวกัน ต้องเลือกที่จะปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะฉนั้นหน้าที่ของบ่าวที่ดีก็คือ จำเป็นต้องเลือกที่จะปฏิบัติตามทัศนะที่ถูกต้องที่สุด ที่ตรงกับคำสั่งใช้ของพระผู้เป็นเจ้ามากที่สุด เพื่อความผาสุกของเราท่านทั้งหลายเอง ทั้งดุนยาแหละโลกหน้าอาคิเราะห์
** ให้พี่น้องต้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น  เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
**ก็คนทุกคนต่างมีหน้าที่ แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลาม คอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วย(สมมุติว่าณบริเวณนั้น มีผู้ที่ดูดวงจันทร์เสี้ยวเป็นร้อยหรือเป็นพันคน ทำไมจึงเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่คนคนเดียวหรือเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่สองสามคน แล้วคนที่เห็นหรือกลุ่มคนที่เห็นดวงจันทร์เสี้ยวนั้น มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับดวงจันทร์มากน้อยเพียงใด ซึ่งบางทีสิ่งที่เขาเห็นแล้วคิดว่าเป็นดวงจันทร์เสี้ยว ความเป็นจริงอาจไม่ใช่ดวงจันทร์เสี้ยวก็เป็นได้)แหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริง ที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า จะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุล หรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาป ก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌ
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม) เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา และ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน)  และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ
ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
**เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์ 
รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ   
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ   
“ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน
ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8 
**รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
      (โอ้พระผู้เป็นเจ้า ถ้าหากว่ามีคุณความดี ขอมอบภาคผลบุลแด่บิดา มารดาและครูบาอาจารย์ทั้งที่มีชีวิตอยู่ และที่กลับสู่ความเมตาตาของพระองค์แล้ว และใคร่ขอให้ปวงบ่าวของพระองค์ ได้ทำตัวให้ใกล้ชิดกับพระองค์ ตามพระประสงค์ของพระองค์ และขอพระองค์ได้ทรงอภัยโทษให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด อามีน ยาอัรฮะมัร รอฮิมีน)

12
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
**กิบลัตนั้นก็คือ(ขอย้ำครับว่า  สิ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้เป็นแนวคิด  เป็นแนวปฏิบัติของท่านอิหม่ามซาฟิอี  ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ์  และเป็นแนวปฏิบัติของทุกๆคนที่ยึดอยู่ในสังกัดอิหม่ามซาฟิอี  ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ์  ทุกๆมัสยิดที่ยึดอยู่ในสังกัดอิหม่ามซาฟิอี  ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ์ เป็นแนวปฏิบัติที่ละเอียดที่สุด ตรงกับตัวบทอัลกุรอ่านแหละอัลฮะดิษมากที่สุด)  จุดๆหนึ่งหรือสถานที่แห่งหนึ่ง  ที่ผู้คนทั่วทุกมุมโลก  จำเป็นต้องผินเข้าหา  ในขณะปฏิบัติศาสนกิจในขณะละหมาด  เพราะว่าการผินเข้าหากิบลัตนั้น  ถือว่าเป็นซารัตเป็นกฏเกณฑ์  เป็นกฏระเบียบข้อหนึ่งที่จำเป็นจะต้องปฏิบัติ  เพื่อให้การละหมาดของเราท่านทั้งหลายมีผลใช้ได้  เป็นการละหมาดที่ไม่สูญเปล่า  แหละเป็นการละหมาด  ที่ถูกตอบรับจากพระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริง  ที่เรียกว่ากิบลัตก็เพราะว่าทุกๆคนทั่วทุกมุมโลก  ที่อาศัยอยู่บนโลกใบนี้จะต้องผินเข้าหาในขณะเข้าเฝ้าพระผู้เป็นเจ้า  โดยมาในรูปแบบของการทำละหมาด  ที่เรียกว่ากะบะห์  ก็เพราะว่ารูปทรงเป็นจุดเด่น สูงขึ้นมาจากพื้นดิน เป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม แต่ไม่ใช่สี่เหลี่ยมจตุรัส สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ที่เรียกว่าบัยตุ้ลลอฮ์ ก็เพราะว่าทุกๆปีจะมีผู้คนแวะเวียนไปที่บัยตุ้ลลอฮ์อยู่ตลอดเวลา
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
{فَوَلِّ وَجْهك} اسْتَقْبِلْ فِي الصَّلَاة {شَطْر} نَحْو {الْمَسْجِد الْحَرَام} أَيْ الْكَعْبَة
 ดังนั้นท่านจงผินใบหน้าของท่าน(หน้าอกของท่าน)ไปในทางมัสยิดฮะรอม(ไปในทางกะบะห์)
**ตรงคำว่า  “ท่านจงผินใบหน้าของท่าน”คำว่า "ใบหน้า  นักอธิบายอัลกุรอ่านให้ความหมายว่า  "หน้าอก"  ตรงนี้ตามหลักบะลาเฆาะร์  เรียกว่า "มะยาร  มุรซั้ล  มิมบาบิอิตลากิ้ลยุร  วะอิรอดะติ้ลกุ้ล"  คือพระผู้เป็นเจ้า พูดแค่ใบหน้า  แต่ความหมาย หรือจุดมุ่งหมายที่จะสั่งใช้  ก็คือทั้งหมดร่างกายเลย  ดังนั้น เมื่อละหมาดจำเป็นต้องผินหน้าอกไปทางกิบลัต  แค่ผินหน้าอกร่างกายทุกส่วน  ก็จะหันไปทางกิบลัตทั้งหมดเลย  โดยอัตโนมัต
คำว่า {شَطْر}  อยู่ในหน้าที่    ظرف مكان  เรียกอีกอย่างว่า مفعول فيه คือพระผู้เป็นเจ้าใช้ให้ผินหน้าอกในละหมาดแต่ยังไม่ชัดเจนว่าจะผินไปในทางใหนดี ก็เลยมีใส่ ظرف مكانมา จึงเข้าใจได้อย่างแน่ชัดเลยว่า ที่พระผู้เป็นเจ้าใช้ให้ผินหน้าอกในละหมาดนั้น พระองค์ใช้ให้ผินไปในทางกะบะห์
**ดังนั้น ถ้าจะหันเพียงใบหน้าอย่างเดียวไปทางกิบลัต  การละหมาดถือว่าใช้ไม่ได้  แหละตรงคำว่าไปทางมัสยิดดิลฮารอม  ตรงนี้ผู้เชี่ยวชาญในการอธิบายอัลกุรอ่าน  ให้ความหมายว่า "อัยนุลกะบะห์"  คือต้องผินไปทางวิหารกะบะห์เท่านั้น  การละหมาดจึงจะใช้ได้  ซึ่งตรงกับแนวคิดของท่านอิหม่ามซาฟิอี ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ์  มิใช่ว่าผินไปตรงใหนก็ได้  ในทางทิศตะวันตก
**คำว่า مفعول فيه นั้นได้ได้มีระบุไว้ในอัลฟียะห์(บทกลอนนะฮูอันทรงคุณค่าว่า)
اَلظَّرْفُ وَقْتٌ اَوْمَكَانٌ ضُمِّنَا          فِيْ بِاطَّرَادٍكَهُنَاامْكُثْ اَزْمُنَا
1.   คำว่า وَقْتٌคือاسمٌ دالٌّّ على الوقت
2.   คำว่าمَكَانٌ คือاسمٌ دالٌّ على الزمان
3.   คำว่าكَهُنَاامْكُثْ اَزْمُنَا คือومثالُ ذلك الظرف كَهُنَاامْكُثْ اَزْمُنَا
ظرف**  ก็คือเวลาหรือสถานที่ ที่ได้รวมทั้งสองไว้ กับความหมาย فِيْ  โดยหลักเกณฑ์ทั่วๆไปเช่นاُمْكُثْ هُنَااَزْمُنًاท่านจงพักที่นี่ได้ตลอด ตรงตัวอย่างอันนี้ ในคำว่าهُنَا ถือว่าเป็น  ظرفمكانส่วนคำว่าاَزْمُنًا ถือว่าเป็นظرف زمان  ซึ่งทั้งสองนี้ได้รวมความหมาย فِيْไว้ ความหมายก็คือاُمْكُثْ فِي هذَااْلمَوْضِعِ فِيْ اَزْمُنٍ   
**เราท่านทั้งหลายสามารถหาความเข้าใจได้ในหนังสือซะเราะห์อิบนุอะเก้ลเพราะเป็นหนังสือที่อธิบายบทกลอนอัลฟียะห์(บทกลอนนะฮูอันทรงคุณค่า) โดยเฉพาะในคำว่าبِاطَّرَادٍ ยังมีรายละเอียดอีกมากมาย
**ส่วนที่บอกว่าต้องผินไปในทางกะบะห์เลยนั้น มีฮาดิสที่ยืนยันว่า  ให้ผินไปหาจุดตั้งวิหารกะบะห์เท่านั้น  ต้องผินให้ตรงวิหารกะบะห์  ตามความสามารถที่สูงสุดขณะนั้น  ไม่ใช่ว่า  ผินไปในทางที่ทิศที่กะบะห์ตั้งอยู่ มีฮะดิษที่เกี่ยวข้องดังต่อไปนี้
حَدَّثَنَا عَبْدُ اللَّهِ بْنُ رَجَاءٍ، قَالَ: حَدَّثَنَا إِسْرَائِيلُ، عَنْ أَبِي إِسْحَاقَ، عَنِ البَرَاءِ بْنِ عَازِبٍ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُمَا، قَالَ: " كَانَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ صَلَّى نَحْوَ بَيْتِ المَقْدِسِ، سِتَّةَ عَشَرَ أَوْ سَبْعَةَ عَشَرَ شَهْرًا، وَكَانَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يُحِبُّ أَنْ يُوَجَّهَ إِلَى الكَعْبَةِ، فَأَنْزَلَ اللَّهُ: {قَدْ نَرَى تَقَلُّبَ وَجْهِكَ فِي السَّمَاءِ} [البقرة: 144] ، فَتَوَجَّهَ نَحْوَ الكَعْبَةِ "، وَقَالَ السُّفَهَاءُ مِنَ النَّاسِ، وَهُمُ اليَهُودُ: {مَا وَلَّاهُمْ} [البقرة: 142] عَنْ قِبْلَتِهِمُ الَّتِي كَانُوا عَلَيْهَا، قُلْ لِلَّهِ المَشْرِقُ [ص:89] وَالمَغْرِبُ يَهْدِي مَنْ يَشَاءُ إِلَى صِرَاطٍ مُسْتَقِيمٍ فَصَلَّى مَعَ النَّبِيِّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ رَجُلٌ، ثُمَّ خَرَجَ بَعْدَ مَا صَلَّى، فَمَرَّ عَلَى قَوْمٍ مِنَ الأَنْصَارِ فِي صَلاَةِ العَصْرِ نَحْوَ بَيْتِ المَقْدِسِ، فَقَالَ: هُوَ يَشْهَدُ: أَنَّهُ صَلَّى مَعَ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ، وَأَنَّهُ تَوَجَّهَ نَحْوَ الكَعْبَةِ، فَتَحَرَّفَ القَوْمُ، حَتَّى تَوَجَّهُوا نَحْوَ الكَعْبَةِ
ฮะดิษนี้มีระบุไว้ในซอเฮี๊ยะห์บุคอรี จากท่านบัรรออ์ลูกของท่านอาริบ กล่าวว่าท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) เคยละหมาดโดยผินหน้าไปทางบัยตุ้ลมักดิสประมาณ 16 หรือ 17 เดือนแต่ท่านเองชอบที่จะผินไปทางบัยตุ้ลลอห์ พระผู้เป็นเจ้าจึงประทานอัลกุรอ่านลงมาว่า แน่นอนเรามองเห็นท่าน แหงนหน้าขึ้นไปทางฟากฟ้า(เพื่อรอรับวะฮีให้เปลี่ยนกิบลัตมาอย่างเดิม) อัลบะกอเราะห์ 2 อายะห์ที่144 แล้วท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ก็ผินหน้าไปทางกะบะห์(เวลาละหมาด) พวกคนเขลา ก็คือพวกยะฮูดีกล่าวว่า มีอะไรที่ทำให้พวกเขาผินออกไป จากทิศทางที่พวกเขาเคยผินไปหรือ อัลบะกอเราะห์ 2 อายะห์ที่142 อัลกุรอ่านลงมาอีกว่า ท่านจงตอบแก่พวกนั้นว่า ทั้งทิศตะวันออกและทิศตะวันตกนั้น เป็นสิทธิของพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)ทั้งสิ้น พระองค์ทรงชี้นำบุคคลที่พระองค์ทรงประสงค์สู่แนวทางอันเที่ยงตรง อัลบะกอเราะห์ 2 อายะห์ที่142 มีชายคนหนึ่งได้ละหมาดพร้อมกับท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ต่อมาเขาก็ออกมาข้างนอกหลังจากละหมาด เขาเดินผ่านกลุ่มชาวอันซอร กำลังละหมาดอัสริ ผินหน้าไปทางบัยติ้ลมักดิส ต่อมาเขาได้กล่าวว่าเขายืนยันว่าแท้จริงเขาได้ละหมาดร่วมกับท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) โดยผินไปทางกะบะห์ กลุ่มชนนั้นก็เห็นตามด้วย จนกระทั่งพวกเขาทั้งหมดผินหน้าไปทางกะบะห์ ฮะดิษนี้มีระบุไว้ในซอเฮี๊ยะห์บุคอรี
**นักวิชาการระดับมัซฮับ จึงมีความคิดที่แตกต่างกัน เกี่ยวกับการผินหน้าอกไปทางกิบลัตในขณะละหมาด
ดังนั้นมัซฮับซาฟิอี ซึ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่ในประเทศไทย ยึดตามมัซฮับนี้ ถือว่าจะต้องผินไปทางวิหารกะบะห์เลย (เรียกว่าอัยนุ้ลกะบะห์ ไม่ใช่ยิฮะตุ้ลกะบะห์)เท่าที่มีความสามารถที่สุด พูดง่ายๆก็คือถ้ารู้แน่ชัดว่ายังหันไม่ตรงกะบะห์ ที่ผ่านมาการละหมาดถือว่าใช้ได้เพราะทำสุดความสามารถแล้ว แต่หลังจากนี้เป็นต้นไป ถ้ายังไม่เปลี่ยนแปลงแก้ไขให้ถูกต้อง การละหมาดถือว่าใช้ไม่ได้อีกแล้ว หลักฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้ สามารถหาดูได้ที่หนังสืออั้ลอุม(ของท่านอิหม่ามซาฟิอีเล่มที่1)
(قَالَ الشَّافِعِيُّ) : وَمَنْ كَانَ فِي مَوْضِعٍ مِنْ مَكَّةَ لَا يَرَى مِنْهُ الْبَيْتَ، أَوْ خَارِجًا عَنْ مَكَّةَ فَلَا يَحِلُّ لَهُ أَنْ يَدَعَ كُلَّمَا أَرَادَ الْمَكْتُوبَةَ أَنْ يَجْتَهِدَ فِي طَلَبِ صَوَابِ الْكَعْبَةِ بِالدَّلَائِلِ مِنْ النُّجُومِ وَالشَّمْسِ وَالْقَمَرِ وَالْجِبَالِ وَمَهَبِّ الرِّيحِ وَكُلِّ مَا فِيهِ عِنْدَهُ دَلَالَةٌ عَلَى الْقِبْلَةِ
และหนังสือฟิกห์4มัซฮับเล่มที่1หน้า178 หนังสืออาจจะพิมพ์ต่างวาระกัน หน้าอาจจะไม่ตรงกับนี้ ก็ให้ดูในบทที่ว่าด้วยเรื่องกิบลัต)
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
{وَلَئِنْ} لَام الْقَسَم {أَتَيْت الَّذِينَ أُوتُوا الْكِتَاب بِكُلِّ آيَة} عَلَى صِدْقك فِي أَمْر الْقِبْلَة {مَا تَبِعُوا} أَيْ لَا يَتْبَعُونَ {قِبْلَتك} عِنَادًا {وَمَا أَنْت بِتَابِعٍ قِبْلَتهمْ} قَطْع لِطَمَعِهِ فِي إسْلَامهمْ وَطَمَعهمْ فِي عَوْده إلَيْهَا {وَمَا بَعْضهمْ بِتَابِعٍ قِبْلَة بَعْض} أَيْ الْيَهُود قِبْلَة النَّصَارَى وَبِالْعَكْسِ {وَلَئِنْ اتَّبَعْت أَهْوَاءَهُمْ} الَّتِي يَدْعُونَك إلَيْهَا {مِنْ بَعْد مَا جَاءَك مِنْ الْعِلْم} الْوَحْي {إنَّك إذًا} إنْ اتَّبَعْتهمْ فَرْضًا {لمن الظالمين}
และแน่นอน ถ้าหากท่านได้นำหลักฐานทุกอย่างมาแสดงแก่บรรดาผู้ได้รับคัมภีร์พวกเขาก็ไม่ตามกิบลัตของท่าน และท่านก็มิใช่จะเป็นผู้ตามกิบลัตของพวกเขา และบางกลุ่มในพวกเขาเอง ก็มิใช่จะเป็นผู้ตามกิบลัตของอีกบางกลุ่ม และถ้าหากท่านไปปฏิบัติตามความใคร่ของพวกเขา หลังจากที่มีความรู้มายังท่านแล้ว แน่นอนทันใดนั้น ท่านก็อยู่ในหมู่ผู้อธรรม ซูเราะห์อัลบากอเราะห์2 อายะห์ที่145
**วันพุธที่ 28 พฤษภาคม 2557 ดวงอาทิตย์จะอยู่เหนือ  บัยตุ้ลลอฮ์  กะบะห์พอดี(90องศา)  ตรงกับเวลาในประเทศไทย  16.18 น. (ตรงกับเวลากรีนิช  เวลามาตรฐานโลก  9.18 น.) ทุกๆมัสยิดที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย(ที่ยึดปฏิบัติตามมัสฮัอิหม่ามซาฟิอี ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ์)  ก็สามารถหาทิศกิบลัตให้ตรง  และถูกต้องได้โดยง่ายดาย  (ถ้าท้องฟ้าเปิด  ฝนไม่มาฟ้าไม่มืด)
**ถ้าหากว่าบางคนยังไม่ค่อยจะแน่ใจว่าดวงอาทิตย์จะอยู่เหนือ  บัยตุ้ลลอฮ์  กะบะห์ ในวันที่พุธที่ 28 พฤษภาคม 2557 จริงหรือเปล่า ก็สามารถพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้ ง่ายๆก็คือถ้าไม่ได้ไปอยู่ที่มัสยิดฮะรอมณวันนั้น ถ้าติดจานดำ ลองเปิดดูช่องที่ถ่ายมัสยิดฮะรอมดู ในเวลา 16.18 น. ของพุธที่ 28 พฤษภาคม 2557 (ตามเวลาของบ้านเรา)ก็จะได้ยินเสียงอะซานที่มัสยิดฮะรอม และลองมองไปที่กะบะห์ดู ก็จะไม่เห็นเงาของกะบะห์เลย หรือจะสังเกตเงาของคนที่อยู่ในลานตอวาฟก็ได้ เงาจะอยู่บริเวณลำตัวของเขาเลย เงาจะไม่เอนไปด้านใหนๆเลย ทั้งหลายทั้งปวงที่ได้กล่าวมานี้ ก็เพราะว่าดวงอาทิตย์อยู่ตรงกะบะห์ อยู่ตรงศรีษะของเขานั่นเอง
**วันที่สามารถดูเงาของดวงอาทิตย์เพื่อกำหนดทิศกิบลัตได้อีก(อย่าดูดวงอาทิตย์ด้วยตาเปล่าโดยเด็ดขาด)
1.   วันพุธที่ 28 พฤษภาคม 2557 ตรงกับเวลาในประเทศไทย  16.18 น.
2.   วันอังคารที่ 27 พฤษภาคม 2557 ตรงกับเวลาในประเทศไทย  16.18 น.
3.   วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤษภาคม 2557 ตรงกับเวลาในประเทศไทย  16.18 น.
4.   วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม 2557 ตรงกับเวลาในประเทศไทย  16.19 น.
5.   วันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม 2557 ตรงกับเวลาในประเทศไทย  16.19 น.
**ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ปัจจุบันสามารถหาทิศกิบลัตทางภาพถ่ายดาวเทียมได้ ถ้าไม่ตรงก็เปลี่ยนซอฟ(แถว)ให้ตรง เท่านั้นเอง แต่ในการปฏิบัติจริงๆ ที่เปลี่ยนยากที่สุดคือจิตใจคน ทั้งๆที่นำหลักฐานทุกอย่างชี้แจงชัดๆแล้ว ก็ยังเฉไฉออกจากทางที่ถูกต้องอีก เพราะอีหม่านยังไม่แข็งพอ ถ้าเราท่านทั้งหลายย้อนกลับไปมองบุคคลในสมัยร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)(ดังในฮะดิษที่ได้กล่าวมา) เปลี่ยนง่ายเพราะได้รับทางนำ (ถ้าจะดูให้ดีๆแล้วในสมัยของท่านอิหม่ามซาฟิอี ท่านมีความพยายามอย่างมากที่จะหากิบลัตให้ได้ แม้จะยากลำบากสักเพียงใด จะดูดวงดาวก็เอา ดูดวงอาทิตย์ก็เอาฯลฯ อย่างที่ผมได้กล่าวมาในหนังสืออัลอุมของท่าน เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้รับคำสั่งใช้จากพระผู้เป็นเจ้าให้ผินไปทางกะบะห์เลย ดังฮะดิษที่มีระบุไว้ในซอเฮี๊ยะห์มุสลิมว่า
حَدَّثَنَا شَيْبَانُ بْنُ فَرُّوخَ، حَدَّثَنَا عَبْدُ الْعَزِيزِ بْنُ مُسْلِمٍ، حَدَّثَنَا عَبْدُ اللهِ بْنُ دِينَارٍ، عَنِ ابْنِ عُمَرَ، ح وحَدَّثَنَا قُتَيْبَةُ بْنُ سَعِيدٍ - وَاللَّفْظُ لَهُ - عَنْ مَالِكِ بْنِ أَنَسٍ، عَنْ عَبْدِ اللهِ بْنِ دِينَارٍ، عَنِ ابْنِ عُمَرَ، قَالَ: بَيْنَمَا النَّاسُ فِي صَلَاةِ الصُّبْحِ بِقُبَاءٍ إِذْ جَاءَهُمْ آتٍ فَقَالَ: «إِنَّ رَسُولَ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَدِ اُنْزِلَ عَلَيْهِ اللَّيْلَةَ، وَقَدْ أُمِرَ أَنْ يَسْتَقْبِلَ الْكَعْبَةَ فَاسْتَقْبِلُوهَا، وَكَانَتْ وُجُوهُهُمْ إِلَى الشَّامِ، فَاسْتَدَارُوا إِلَى الْكَعْبَةِ
เล่าจากท่านอิบนุอุมัรว่า ขณะที่ประชาชนได้ละหมาดซุบฮิที่มัสยิดกุบาอ์ มีคนหนึ่งเดินทางมาถึงพวกเขาและพูดว่า แท้จริงเมื่อคืนนี้ อัลกุรอ่านได้ถูกประทานให้ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) โดยกำหนดให้ผู้ละหมาดผินหน้าไปทางกะบะห์ ดังนั้นพวกเขาจึงผินไปทางกะบะห์โดยที่หน้าของพวกเขากำลังผินไปทางเมืองซามเปลี่ยนหันไปทางกะบะห์ ระบุไว้ในซอเฮี๊ยะห์มุสลิม 
**แสงที่ออกมาจากดวงอาทิตย์เกิดจากอะตอมของไฮโดเจนกำลังรวมตัวกัน  เป็นอะตอมของฮีเลี่ยม  แสงที่ออกมาจากดวงอาทิตย์จึงมีแสงจ้ามาก   จนไม่สามารถมอง  ด้วยตาเปล่าได้  ดังนั้นในเมื่อ  วันและเวลาดังกล่าว(พุธที่ 28 พฤษภาคม 2557) ดวงอาทิตย์จะอยู่เหนือ  บัยตุ้ลลอฮ์  กะบะห์พอดี(90องศา)  ตรงกับเวลาในประเทศไทย  16.18 น. (ตรงกับเวลากรีนิช  เวลามาตรฐานโลก  9.18 น.) ทุกๆมัสยิดที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย(ที่ยึดปฏิบัติตามมัสฮับ  อิหม่ามซาฟิอี ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ์)  ก็สามารถหาทิศกิบลัตให้ตรง  และถูกต้องได้โดยง่ายดาย  (ถ้าท้องฟ้าเปิด  ฝนไม่มาฟ้าไม่มืด)
**วิธีการก็คือ  ถ้ามัสยิดใด  หรือบ้านของใครมีหน้าต่างทางทิศตะวันตก  ให้เปิดหน้าต่างออก  และหน้าต่าง  ด้านแนวตั้งของวงกบ ด้านใดก็ได้  ต้องสร้างได้ฉาก(ขอย้ำต้องได้ฉาก  ที่สำคัญกว่านั้นคือ  ห้ามมองดวงอาทิตย์ด้วยตาเปล่าอย่างเด็ดขาด  ถ้าจะมองแดดนานๆ ควรใส่แว่นกันแดดด้วย ย้ำนะครับคือถ้าจะมองดวงอาทิตย์ตรงๆต้องใช้แว่นที่มีฟิลเตอร์กันแสงเท่านั้น มีอยู่2แบบ แบบที่1มองแล้วเห็นดวงอาทิตย์มีแสงนวลขาวแบบดวงจันทร์เลย  แบบที่2มองแล้วเห็นดวงอาทิตย์มีแสงสีส้ม)  ดังนั้นเงาที่ทอดลงมาให้เห็น  นั่นแหละครับคือแนวกิบลัตที่ถูกต้อง  ให้ขีดเส้นเอาไว้  สังเกตให้ดีเส้นนี้จะชี้ไปทางทิศตะวันตก
**กรณีถ้าอยู่ในบ้านเวลาละหมาดก็ให้นำผ้าซายะดะห์  ด้านข้างมาวาง  ให้ตรงกับเส้นนี้  แต่ถ้าเป็นกรณีของมัสยิด  เมื่อขีดเส้น  ที่ชี้ไปทางทิศตะวันตก  อย่างที่ว่ามาได้แล้ว  ให้นำไม้บรรทัดแบบฉาก  หรือไม้ทีก็ได้  มาวางทาบเส้นให้พอดี  แล้วขีดเส้นด้านล่างเพิ่มเข้าไป  สังเกตตอนนี้จะมีอยู่ 2เส้น 
เส้นที่ 1 คือเส้นที่ชี้ไปหาบัยตุลลอฮ์
เส้นที่ 2 คือ เส้นแนวนอนที่ตั้งฉาก  กับเส้นที่ชี้ไปหาบัยตุลลอฮ์   
**ดังนั้น เส้นที่ 2  นี้แหละคือเส้นแนวซอฟ(แถวละหมาด)ในมัสยิด     สำหรับมัสยิด  ที่ไม่มีหน้าต่าง  ทางด้านทิศตะวันตกเลย  การวัดเงาก็ต้องหาไม้หรือเสาก็ได้  หรืออะไรก็ได้ ตั้งขึ้นให้ได้ฉาก  ตรงบริเวณด้านข้างมัสยิด  แล้วรอเวลา 16.18 น.หรือเวลา16.19 ตามวันและเวลาดังกล่าว เพื่อขีดเส้นวัดเงา  ทำตามขั้นตอน  แล้วลากเส้นแนวนอนอย่างที่บอกมา  เข้ามาในมัสยิด  ก็จะได้เส้นแนวซอฟ (แถวละหมาด) เช่นกัน
**วิธีการวัดทิศกิบลัตดังกล่าวมานั้นเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด  และทำได้อย่างสดวกสบายมาก  สำหรับผู้ที่ต้องการความถูกต้อง  ในการผินสู่ทิศกิบลัต  แต่สำหรับนักดาราศาสตร์อิสลาม  ผู้เชี่ยวชาญ มีอีกหลายวิธี  ที่สามารถ  หาทิศกิบลัตได้  และหาได้ทุกๆวันเลย
**ส่วนในเรื่องของการคำนวนนั้น  มีขั้นมีตอน  ที่สลับซับซ้อนมาก  ขั้นแรกต้องสร้างรูปสามเหลี่ยมดาราศาสตร์ก่อน  จากนั้นต้องรู้ค่าแลตติจูด  ลองจิจูดของบัยตุ้ลอฮ์  และต้องรู้ค่าแลตติจูด  ลองจิจูดของสถานที่  ที่จะหาทิศกิบลัต  จากนั้นก็จะมีค่า  SIN  COS  TAN  เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย  ดำเนินตามขั้นตอนของสูตร  ต่างๆนาๆอีกมากมาย ฯลฯ 
**สำหรับประเทศไทย  การผินไปทางวิหารกะบะห์  ตรงนี้มีอยู่  4  ระดับด้วยกัน 
ระดับสูงสุดคือ 1 รู้ได้ด้วยตัวเอง
ระดับที่ 2  ผินตามคำบอกเล่าของผู้ที่เชื่อถือได้
 ระดับที่ 3  ผินโดยการวิเคราะห์
  ระดับที่ 4  ผินตามการวิเคราะห์ของผู้อื่น 
**ดังนั้นถ้าผู้รู้ในวิชาดาราศาสตร์อิสลาม  รู้ว่ามัสยิดนี้ๆ  ยังหันไม่ตรงกิบลัต  และได้มีการบอกผู้มีอำนาจหน้าที่  ในมัสยิดแห่งนั้น  แต่ผู้มีอำนาจหน้าที่ในมัสยิดแห่งนั้น  ยังไม่จัดการเปลี่ยนแปลง  และแก้ไข  ให้ไปในทิศทางที่ถูกต้องแล้ว  ผู้ที่ต้องรับผิดชอบในผลบาปตรงนี้  ก็คือผู้ที่มีอำนาจในมัสยิดแห่งนั้น  เรียกว่ารับแบบเต็มๆ  เพราะรู้แล้วไม่ทำตามที่รู้  ที่สำคัญ  ยังพาคนอื่นทำแบบผิดๆไปด้วย  ถ้าเราเข้าใจหลัก  ในการหลอกลวงของซัยตอน  มารร้าย  เราท่านทั้งหลายจะรู้เท่าทันมันได้ทันที  ซัยตอนมารร้ายมันจะไม่บอกตรงๆหรอกว่า  พระองค์อัลลอฮฺใช้ให้เปลี่ยน  ให้ตรงกับกะบะห์  อย่าไปทำๆ  มันก็มีเล่ห์เหลี่ยมของมัน  มันจะบอกว่า  อย่าเปลี่ยนเลยจะทำให้เกิดการแตกแยกได้  ผู้ใหญ่ทำมาตั้งนานแล้วเปลี่ยนไม่ได้แล้ว  ต้องตรงถึงขนาดนั้นด้วยหรือเกินไปหรือเปล่า  ผู้รู้รุ่นก่อนไม่เห็นเขาจะติเลย  ฯลฯ
**เฉกเช่นเดียวกันพอได้เวลาละหมาด  มันก็จะบอกว่า  เดี๋ยวค่อยละหมาดก็ได้  เหลือเวลาอีกเยอะ  เดี๋ยวๆๆๆ  เดี๋ยวจนไม่ได้ละหมาดจนได้  หรือถ้ามันหลอกคนไม่ให้ละหมาดไม่สำเร็จ  มันก็จะหาวิธีหลอกลวงต่างๆนานาๆ  เพื่อให้ภาคผลบุลของคนๆนั้น  ลดน้อยลงมันไม่บอกตรงๆหรอกว่า  พระองค์อัลลอฮฺใช้ให้ละหมาด  อย่าไปทำ  ซึ่งวิธีการหลอกลวงของซัยตอนมารร้ายนี้  มันได้เคยมาบอกแก่รอซูลุ้ลลอห์ (ซ.ล.)  ตามคำสั่งใช้ของพระผู้เป็นเจ้า  เพื่อให้ประชาชาติของรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)   รู้เท่าทันกลลวงของมัน  นี่ก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง  ของพระเมตตาแห่งพระผู้เป็นเจ้า)
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
{وَكَذَلِكَ} كَمَا هَدَيْنَاكُمْ إلَيْهِ {جَعَلْنَاكُمْ} يَا أُمَّة مُحَمَّد {أُمَّةً وَسَطًا} خِيَارًا عُدُولًا {لِتَكُونُوا شُهَدَاء عَلَى النَّاس} يَوْم الْقِيَامَة أَنَّ رُسُلهمْ بَلَّغَتْهُمْ {وَيَكُون الرَّسُول عَلَيْكُمْ شَهِيدًا} أَنَّهُ بَلَّغَكُمْ {وَمَا جَعَلْنَا} صَيَّرْنَا {الْقِبْلَة} لَك الْآن الْجِهَة {الَّتِي كُنْت عَلَيْهَا} أَوَّلًا وَهِيَ الْكَعْبَة وَكَانَ صَلَّى اللَّه عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يُصَلِّي إلَيْهَا فَلَمَّا هَاجَرَ أُمِرَ بِاسْتِقْبَالِ بَيْت الْمَقْدِس تَأَلُّفًا لِلْيَهُودِ فَصَلَّى إلَيْهِ سِتَّة أَوْ سَبْعَة عَشْر شَهْرًا ثُمَّ حُوِّلَ {إلَّا لِنَعْلَم} عِلْم ظُهُور {مَنْ يَتَّبِع الرَّسُول} فَيُصَدِّقهُ {مِمَّنْ يَنْقَلِب عَلَى عَقِبَيْهِ} أَيْ يَرْجِع إلَى الْكُفْر شَكًّا فِي الدِّين وَظَنًّا أَنَّ النَّبِيّ صَلَّى اللَّه عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فِي حِيرَة مِنْ أَمْره وَقَدْ ارْتَدَّ لِذَلِك جَمَاعَة {وَإِنْ} مُخَفَّفَة مِنْ الثَّقِيلَة وَاسْمهَا مَحْذُوف أَيْ وَإِنَّهَا {كَانَتْ} أَيْ التَّوْلِيَة إلَيْهَا {لَكَبِيرَة} شَاقَّة عَلَى النَّاس {إلَّا عَلَى الَّذِينَ هَدَى اللَّه} مِنْهُمْ {وَمَا كَانَ اللَّه لِيُضِيعَ إيمَانكُمْ} أَيْ صَلَاتكُمْ إلَى بَيْت الْمَقْدِس بَلْ يُثِيبكُمْ عَلَيْهِ لِأَنَّ سَبَب نُزُولهَا السُّؤَال عَمَّنْ مَاتَ قَبْل التحويل {إن الله بالناس} المؤمنين {لرؤوف رَحِيم} فِي عَدَم إضَاعَة أَعْمَالهمْ وَالرَّأْفَة شِدَّة الرَّحْمَة وَقَدَّمَ الْأَبْلَغ لِلْفَاصِلَةِ
และในทำนองเดียวกัน เราได้ให้พวกท่านเป็นประชาชาติที่เป็นกลาง เพื่อพวกท่านจะได้เป็นสักขีพยานแก่มนุษย์ทั้งหลาย และร่อซูล ก็จะเป็นสักขีพยานแด่พวกท่าน และเรามิได้ให้มีขึ้นซึ่งกิบลัตที่ท่านเคยผินไป นอกจากเพื่อเราจะได้รู้ว่าใครบ้างที่จะปฏิบัติตามร่อซูล จากผู้ที่กำลังหันส้นเท้าทั้งสองของเขากลับ และแท้จริงการเปลี่ยนแปลงกิบลัตนั้น เป็นเรื่องใหญ่(อ้างโน่นอ้างนี่ ไม่ยอมเปลี่ยน) นอกจากแก่บรรดาผู้ที่อัลลอฮ์ได้ทรงแนะนำเท่านั้น และใช่ว่าอัลลอฮ์นั้นจะทำให้การศรัทธาของพวกเจ้าสูญไปก็หาไม่ แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงกรุณาปราณี ผู้ทรงเมตตาแก่มนุษย์เสมอ ซูเราะห์อัลบากอเราะห์2 อายะห์ที่143 (คำว่าหันส้นเท้ากลับลองดูในแผนที่โลก หรือดูที่ลูกโลกถ้าใครมี ก็จะพบเลยว่ามาดินะห์อยู่กลาง มักกะห์อยู่ใต้ บัยตุ้ลมักดิสเยรูซาเล็มอยู่เหนือ)
**เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์(ร.ด.) ได้กล่าวว่า ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) กล่าวว่า มี2ถ้อยคำที่เบาลิ้นแต่หนักตาชั่ง เป็นที่รักของพระผู้ทรงเมตตา นั่นคือคำว่า ซุบฮานั้ลลอฮ์วะบิฮัมดิฮี ซุบฮานั้ลลอฮิ้ลอะซีม รายงานโดยบุคอรี มุสลิม
**พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ   
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ   
“ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน
ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8 
**รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
**(โอ้พระผู้เป็นเจ้า ถ้าหากว่ามีคุณความดี ขอมอบภาคผลบุลแด่บิดา มารดาและครูบาอาจารย์ทั้งที่มีชีวิตอยู่ และที่กลับสู่ความเมตาตาของพระองค์แล้ว และใคร่ขอให้ปวงบ่าวของพระองค์ ได้ทำตัวให้ใกล้ชิดกับพระองค์ ตามพระประสงค์ของพระองค์ และขอพระองค์ได้ทรงอภัยโทษให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด อามีน ยาอัรฮะมัร รอฮิมีน)

13
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
**เรียกไม่ใช้เสียงพระผู้เป็นเจ้าให้ ใครก็ทำได้
**เพื่อนำพาความถูกต้องจากพระผู้เป็นเจ้าสู่เราท่านทั้งหลาย
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
{فَلَمَّا أَتاَهاَ نُوْدِيَ مِنْ شاَطِئِ} جانب {الْوَادِ الْأَيْمَنِ} لِمُوسَى {فِي الْبُقْعَة الْمُبَارَكَة} لِمُوسَى لِسَمَاعِهِ كَلَام اللَّه فِيهَا {مِنْ الشَّجَرَة} بَدَل مِنْ شاطىء بِإِعَادَةِ الْجَار لِنَبَاتِهَا فِيهِ وَهِيَ شَجَرَة عُنَّاب أَوْ عَلِيق أَوْ عَوْسَج {أَنْ} مُفَسِّرَة لَا مخففة {ياَ مُوْسَى إِنيِّ ْأَناَ اللهُ رَبُّ الْعَالمَِيْنَ}
เมื่อเขา(นบีมูซา)ได้มาที่มัน(ไฟ คือพอมาถึงก็พบแสงสว่าง) เขา(นบีมูซา)ก็ถูกเรียก(ไม่ใช่เสียงที่บางกลุ่ม
เข้าใจแต่คือกะลามมุ้ลก่อดีมเพราะพระผู้เป็นเจ้าทรงปราศจากจากสิ่งที่บกพร่อง)ถูกเรียกจากริมหุบเขา
ทางด้านขวามือ(ของเขา)ในสถานที่ซึ่งมีความศิริมงคล จากต้นไม้(ซึ่งมีอยู่ณ ที่แห่งนั้น)ว่าโอ้มูซา แท้จริง
ข้าคือพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.) องค์อภิบาลแห่งโลกทั้งหลาย ซูเราะห์อัลก่อซ๊อซ อายะห์ที่30
**ท่านเซคมุฮำหมัดอาลีอัซซอบูนี ได้ระบุในตัฟซีรของท่านว่า เมื่อท่านนบีมูซา(อะลัยฮิสสะลาม)มาถึงสถานที่นั้น กลับไม่พบไฟใดๆทั้งสิ้นเลย แต่สิ่งที่พบก็คือรัศมีอันจำรัส ก็มีการเรียกท่านนบีมูซา(อะลัยฮิสสะลาม)มาจากทิศทางของต้นไม้ที่อยู่ริมเหวทางด้านขวาของท่านนบีมูซา(อะลัยฮิสสะลาม) เนื้อความที่เรียกมีดังต่อไปนี้ โอ้มูซาเอ๋ย แท้จริงผู้ซึ่งที่กำลังโต้ตอบกับท่านและกำลังพูดกับท่านนี้นั้น ก็คือเราเองพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.) ซึ่งทรงเกียรติยิ่ง ซึ่งทรงยิ่งใหญ่ยิ่ง ปราศจาก จากลักษณะที่บกพร่อง เป็นพระผู้เป็นเจ้าของมนุษยชาติ และเป็นพระผู้เป็นเจ้าของมวลหมู่ยิน และเป็นพระผู้เป็นเจ้าของทุกๆสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งหมดเลย
**ดังนั้นอย่ายึดถือว่าพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)พูดแล้วก็มีเป็นเสียงออกมาด้วย หรือเรียกก็มีเป็นเสียงออกมาด้วย อย่ายึดถืออย่างนั้นเด็ดขาด เพราะถ้าหากสมมุติว่าพระผู้เป็นเจ้าเรียก พูดกับท่านนบีมูซา(อะลัยฮิสสะลาม)แล้วมีเป็นเสียงขึ้นมา ก็จะไม่ต่างอะไรกับเราๆท่านๆฯลฯหรอก ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้โดยเด็ดขาด ที่พระผู้เป็นเจ้าจะเหมือนกับสิ่งที่ถูกบังเกิดมาใหม่ในทุกๆสภาพการ
**ดังนั้นจงอย่านำคุณลักษณะอันบกพร่องต่างๆ (ตรงนี้คุณลักษณะอันบกพร่องก็คือที่บอกว่า พระผู้เป็นเจ้าเรียก พูดกับท่านนบีมูซา(อะลัยฮิสสะลาม) แล้วมีเป็นเสียงด้วย) ดังนั้นตามหลักการยึดมั่นที่ถูกต้องนั้นก็คือ สำหรับพระผู้เป็นเจ้าแล้วเรียก พูดกับท่านนบีมูซา(อะลัยฮิสสะลาม) จะไม่มีเสียงโดยเด็ดขาด อย่าลืมว่าทุกๆเรื่องที่ ใครบางคนมองว่ามหัศจรรย์ หรือมองคิดกันเอาเองว่า จะเป็นไปได้หรือที่เมื่อเรียก เมื่อพูดแล้วจะไม่มีเสียงดังออกมา ขอให้จงพิจรณากันมากๆนะครับว่า สำหรับพระผู้เป็นเจ้าแล้ว สำหรับพระองค์แล้วเป็นเรื่องง่ายดายมากๆสำหรับทุกๆสิ่งทุกๆอย่างเลย ไม่ว่าพระองค์ต้องการให้อะไรมีขึ้นมา แหละให้มีอย่างไรแหละต้องการให้สิ่งใดบังเกิดขึ้นมานั้น เป็นเรื่องที่ง่ายมากๆสำหรับพระองค์ ง่ายมากเลยสำหรับพระองค์
**ถึงกระนั้นก็ยังมีคนบางกลุ่มยึดถือว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดมากเลยเมื่อพูดออกมาแล้ว จะไม่มีเสียงเกิดขึ้น ผมขอให้แง่คิดง่ายๆนะครับว่า สำหรับคนบางกลุ่มที่ยึดถือแบบที่กล่าวมานั้น อย่าว่าแต่พูดแล้วไม่มีเสียงออกมาเลย เรื่องยากๆกว่านี้พระผู้เป็นเจ้าก็ยังสรรสร้างมาแล้วมากมาย ไม่ต้องอะไรมากแค่มองแล้วพิจรณาในสิ่งมีชีวิตเล็กๆ หรือไม่ต้องมองอะไรให้ไกลตัวแค่มองแล้วพิจรณาร่างกายของเราท่านทั้งหลายก็น่าจะเพียงพอแล้ว ส่วนถ้ายังคลางแคลงใจอีก จะถามว่ามีหลักฐานอะไรที่ยืนยันว่าพระผู้เป็นเจ้าเรียก พูดแล้วไม่มีเสียง ผมขอนำมากล่าวแค่บางส่วนเท่านั้นนะครับ ซึ่งแค่นี้ก็คิดว่า น่าจะพอแล้วสำหรับผู้ที่ใฝ่หาความถูกต้องจากพระผู้เป็นเจ้าจริงๆ
**สำหรับผู้ที่ยังคลางแคลงใจในอายะห์อัลกุรอ่านดังกล่าวมา ที่ผมบอกว่าพระผู้เป็นเจ้าเรียกท่านนบีมูซานั้นจะไม่มีเสียงโดยเด็ดขาด ผมขอแนะนำแค่บางส่วนเท่านั้น คือให้ไปดู แล้วนำสู่การพิจรณา ดูในตัฟซีรอัลกุรอานนุ้ลกะรีมของท่านอิหม่ามอิบนิกะซีร ท่านได้ระบุว่า
وَقَوْلُهُ تَعَالَى: {أَنْ يَا مُوسَى إِنِّي أَنَا اللَّهُ رَبُّ الْعَالَمِينَ} أَيِ: الَّذِي يُخَاطِبُكَ وَيُكَلِّمُكَ هُوَ رَبُّ الْعَالَمِينَ، الْفَعَّالُ لِمَا يَشَاءُ، لَا إِلَهَ غَيْرُهُ، وَلَا رَبَّ سِوَاهُ، تَعَالَى وَتَقَدَّسَ وَتَنَزَّهَ عَنْ مماثلة المخلوقات في ذَاتِهِ وَصِفَاتِهِ، وَأَقْوَالِهِ وَأَفْعَالِهِ سُبْحَانَهُ
***สำหรับผู้ที่เข้าใจผิดคิดเอาเองว่าพระผู้เป็นเจ้าพูดแล้วมีเสียง คือให้ไปดู แล้วนำสู่การพิจรณา ในตัฟซีรของท่านญะลาลุดดีน พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ وَهُوَ السَّمِيعُ الْبَصِيرُ
{لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْء} الْكَاف زَائِدَة لِأَنَّهُ تَعَالَى لَا مِثْل لَهُ {وَهُوَ السَّمِيع} لِمَا يُقَال {الْبَصِير} لِمَا يُفْعَل
ไม่มีสิ่งใดเหมือนพระองค์(ทุกรูปแบบ พระองค์ก็ไม่เหมือนสิ่งใดทุกรูปแบบ) และพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)ทรงได้ยินยิ่ง(สิ่งที่ถูกกล่าว) อีกทั้งทรงมองเห็นยิ่ง(สิ่งที่ถูกกระทำ) ซูเราะห์อัซซูรอ42 อายะห์ที่11
**สำหรับผู้ที่เข้าใจผิดคิดเอาเองว่าพระผู้เป็นเจ้าพูดแล้วมีเสียง คือให้ไปดู แล้วนำสู่การพิจรณา นักตัฟซีรอัลกุรอ่านได้อธิบายเอาไว้นะครับ ในตัฟซีร อิบนุอับบาสระบุว่า
{لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ} فِي الصّفة وَالْعلم وَالْقُدْرَة وَالتَّدْبِير {وَهُوَ السَّمِيع} لمقالتكم {الْبَصِير} بأعمالكم
**สำหรับผู้ที่เข้าใจผิดคิดเอาเองว่าพระผู้เป็นเจ้าพูดแล้วมีเสียง คือให้ไปดู แล้วนำสู่การพิจรณา ให้พิจรณาดูในท่านเซคมุฮำหมัดอาลีอัซซอบูนี ได้ระบุในตัฟซีรของท่านว่า
{لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ} أي ليس له تعالى مثيلٌ ولا نظير، لا في ذاته ولا في صفاته ولا في أفعاله، فهوالواحد الأحد، الفردُ الصمد والغرضُ: تنزيهُ الله تعالى عن مشابهة المخلوقين،
**การเรียกนั้นไม่จำเป็นเสมอไปที่ต้องมีเสียงออกตามมา ลองย้อนกลับดูในครั้งอดีตกาล เมื่อครั้งที่ท่านนบีสุไลมาน(อะลัยฮิสสะลาม)เรืองอำนาจอยู่นั้น ท่านเรียกใช้นกด้วยเสียงหรือด้วยอะไร ท่านเรียกใช้มวลหมู่ยินด้วยเสียงหรือด้วยอะไร ท่านเรียกใช้ฯลฯ ด้วยเสียงหรือด้วยอะไร เราท่านทั้งหลายก็สามารถเรียกหรือพูดกับใครก็ได้ โดยไม่มีเสียงออกมาเลย(ไม่บ้าก็ทำได้) ใครๆก็ทำได้ ลองเรียกใครหรือพูดกับใครในใจดูซิ แต่ที่เราท่านทั้งหลายไม่สามารถทำได้ก็คือ คนที่เราเรียกหรือพูดกับเขาในใจของเรานั้นเราท่านทั้งหลาย ไม่สามารถทำให้เขาได้ยินเสียงเรียกแหละไม่สามารถทำให้เขาได้ยินคำพูดของเราท่านทั้งหลายได้เท่านั้นเอง แต่สำหรับพระผู้เป็นเจ้าแล้ว พระองค์ทรงสามารถทำได้ทุกๆสิ่งทุกๆอย่าง ผมย้ำนะครับว่า ผมไม่ได้นำการพูดของพระผู้เป็นเจ้ามาเปรียบเทียบว่าเหมือนกับการพูดในใจนะครับ เพียงแต่ให้ลองพิจรณากันเท่านั้นเอง
**ในบางเรื่องนั้นผมได้ยินมามากต่อมากแล้วว่า สะลัฟพูดว่าอย่างไร ถึงขนาดว่าให้เอาคำพูดของสะลัฟมายืนยัน แนะนำว่าไม่ว่าคนยุคใหนก็ตามจะสะลัฟก็ดีหรือค่อลัฟก็ดี หรือผู้คนในยุคของเราท่านทั้งหลายก็ดี ถ้าพูดตามอัลกุรอ่านแหละพูดตามอัลฮะดิษซึ่งได้ดำเนินตามความหมายที่ถูกต้องจริงๆแล้ว เชื่อถือได้ทั้งหมดเลย แล้วนำมาปฏิบัติ รับรองว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงรักอย่างแน่นอน
**พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
{فَإِنْ تَنَازَعْتُمْ} اخْتَلَفْتُمْ {فِي شَيْء فَرُدُّوهُ إلَى اللَّه} أَيْ إلَى كِتَابه {وَالرَّسُول} مُدَّة حَيَاته وَبَعْده إلَى سُنَّته أَيْ اكْشِفُوا عَلَيْهِ مِنْهُمَا {إنْ كُنْتُمْ تُؤْمِنُونَ بِاَللَّهِ وَالْيَوْم الْآخِر ذَلِكَ} أَيْ الرَّدّ إلَيْهِمَا {خَيْر} لَكُمْ مِنْ التَّنَازُع وَالْقَوْل بِالرَّأْيِ {وَأَحْسَن تَأْوِيلًا} مَآلًا
ถ้าหากพวกท่านขัดแย้งกันในสิ่งใด ให้พวกท่านจงนำกลับไปสู่พระองค์อัลเลาะห์(ซ.บ.)(หมายถึงนำสิ่งที่ขัดแย้งกันมาตรวจสอบว่าในอัลกุรอ่านกล่าวไว้ว่าอย่างไร)และศาสนทูตเถิด(หมายถึงนำสิ่งที่ขัดแย้งกันมาตรวจสอบว่าในอัลฮะดิษกล่าวไว้ว่าอย่างไร)) หากพวกท่านศรัทธาต่อพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)และวันปรโลก นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่ง และเป็นการกลับไปที่สวยงามยิ่ง ซูเราะห์อันนิซาอ์ อายะห์ที่59
**ผมจะนำแค่เล็กๆน้อยๆในความสามารถของพระผู้เป็นเจ้า อย่างเช่นอีกสองสามวันข้างหน้านี้ จะตรงกับวันที่27 เมษายน 2557 ในวันดังกล่าวดวงอาทิตย์ จะตั้งฉากกับกรุงเทพฯคือ 90องศา คือในวันดังกล่าวค่าดิคลิเนชั่นของดวงอาทิตย์ตรงกับค่าแลตติจูดของกรุงเทพฯ(ภาษาชาวบ้านก็คือดวงอาทิตย์ ตรงศรีษะเป๊ะๆ ให้ดูปฏิทินอิสลามก่อนเข้าเวลาละหมาดดุฮ์ริของกรุงเทพฯ สักหนึ่งนาที ประมาณเวลา12.14น.(ย้ำนะครับไม่ใช่12.00น. อย่างที่ใครเข้าใจผิดคิดเอาเองว่าทุกวัน เวลา12.00น.ดวงอาทิตย์จะตรงศรีษะ) ผู้ที่อาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพฯ ลองไปยืนกลางแจ้งดูท่านจะพบว่าในเวลาดังกล่าว ถ้าพื้นที่ท่านยืนไม่โอนเอียง เป็นพื้นราบปกติ เงาของท่านทั้งหลายจะไม่มีเลย เงาของต้นไม้ เงาของตึกก็จะไม่มีเลยอีกเช่นกัน เงาฯลฯก็จะไม่มีเลยอีกเช่นกัน จะเป็นอย่างนี้ทุกๆปีเลย เพราะดวงอาทิตย์ตรงศรีษะเป๊ะๆ ถ้าพระผู้เป็นเจ้าไม่ทำใครจะทำได้ ยิ่งไปกว่านั้นถ้ามองตามหลักผิวเผินแล้ว เมื่อดวงอาทิตย์ตั้งฉากตรงกับกรุงเทพฯในวันที่27 เมษายน 2557 ดังนั้นวันที่27 เมษายน 2557 กรุงเทพฯก็จะร้อนที่สุดในรอบหนึ่งปี เพราะแสงลงมาตรงๆเลย นี่พูดกันตามหลักแบบเราๆท่านๆ แต่สำหรับพระผู้เป็นเจ้าแล้วยังมีอะไรๆที่เราท่านทั้งหลายคิดไม่ถึง คือในวันที่ 27 เมษายน 2557 ถ้าพระผู้เป็นจะไม่ให้กรุงเทพฯร้อนที่สุดในรอบหนึ่งปีในวันนั้น พระผู้เป็นเจ้าก็ทำได้ พระองค์ก็แค่ให้ฝนมาฟ้ามืด หรือไม่ก็ให้ท้องฟ้าครึ้มทั้งวัน แค่นี้ในวันที่ 27 เมษายน 2557 กรุงเทพฯอากาศก็ไม่ร้อนที่สุดในรอบหนึ่งปีแล้ว เป็นเรื่องง่ายๆสำหรับพระผู้เป็นเจ้า ถ้าพระผู้เป็นเจ้าไม่ทำใครจะทำได้ ดังนั้นจงอย่าเข้าใจว่าพระผู้เป็นเจ้าพูดแล้วก็ต้องมีเสียง เพราะนั่นเท่ากับว่ากำลังทำให้พระผู้เป็นเจ้าเหมือนกับสิ่งที่ถูกบังเกิดขึ้นมาใหม่ อีกทั้งเท่ากับว่ากำลังลดค่าในความสามารถของพระองค์ การที่พระผู้เป็นเจ้าพูดแล้วก็ต้องมีเสียงนั้น เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลยในสติปัญญา(ขนาดท่านนบีมูซาเองยังรู้แน่ชัดเลยเมื่อเห็นรัศมีที่ต้นไม้นั้น รู้แหละมั่นใจว่าแบบนี้ใครก็ทำไม่ได้ นอกจากพระองค์อัลเลาะห์(ซ.บ.) เท่านั้น แต่ทำไมหนอยังมีการลดค่าความสามารถของพระผู้เป็นเจ้ากันอีก โดยอ้างว่าเมื่อเรียก เมื่อพูดก็ต้องมีเสียงออกมา ไม่ต้องคิดอะไรให้มากมายขนาดฟ้าลั่น พระผู้เป็นเจ้าทรงสรรสร้างมาโดยไม่ให้มีเสียงก็ยังมีเลย) เพราะพระผู้เป็นเจ้าก็ระบุชัดๆอยู่แล้วในพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านว่า
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ وَهُوَ السَّمِيعُ الْبَصِيرُ
{لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْء} الْكَاف زَائِدَة لِأَنَّهُ تَعَالَى لَا مِثْل لَهُ {وَهُوَ السَّمِيع} لِمَا يُقَال {الْبَصِير} لِمَا يُفْعَل
ไม่มีสิ่งใดเหมือนพระองค์(ทุกรูปแบบ พระองค์ก็ไม่เหมือนสิ่งใดทุกรูปแบบ) และพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)ทรงได้ยินยิ่ง(สิ่งที่ถูกกล่าว) อีกทั้งทรงมองเห็นยิ่ง(สิ่งที่ถูกกระทำ) ซูเราะห์อัซซูรอ42 อายะห์ที่11 แหละยังมีการตัฟซีรของอายะห์นี้ หลายตัฟซีรรุ้ลกุรอ่านด้วยกันเกี่ยวกับอายะห์นี้ ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว เป็นแค่บางส่วนจากหลักฐานที่บ่งชี้ว่าพระผู้เป็นเจ้าพูดแล้ว ไม่มีเสียง
****พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
{فَمَاذَا بَعْد الْحَقّ إلَّا الضَّلَال} اسْتِفْهَام تَقْرِير أَيْ لَيْسَ بَعْده غَيْره فَمَنْ أَخْطَأَ الْحَقّ وَهُوَ عِبَادَة اللَّه وَقَعَ فِي الضَّلَال {فَأَنَّى} كَيْفَ {تُصْرَفُونَ} عَنْ الْإِيمَان مَعَ قِيَام الْبُرْهَان
ไม่มีอะไรภายหลังจากสัจธรรมอีกแล้ว นอกจากความหลงผิด ทำไมเล่าพวกท่านจึงถูกหันเหออกไป ซูเราะห์ยูนุส อายะห์ที่32
**วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม   
ดังนั้นวันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ.2557  ตรงกับวันที่ 29 ญุมาดุ้ลอุครอ ฮ.ศ.1435  (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันอังคารที่ 1 เมษายน พ.ศ.2557 เป็นวันที่ 1 ญุมาดุ้ลอุครอ ฮ.ศ.1435 ดังนั้นวันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ.2557 จึงเป็นวันที่ 29 ญุมาดุ้ลอุครอ ฮ.ศ.1435 ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ร่อยับ ฮ.ศ.1435
**สำหรับประเทศไทย 
จันทร์ดับ ตรงกับวันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ.2557 เวลา 13.14.23 วินาที   ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ.2557  จึงต้องมีการดูดวงจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ร่อยับ ฮ.ศ.1435
(เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
**วันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ.2557 ดวงจันทร์ในวันนี้อยู่ห่างจากโลกประมาณ 383632.05 กิโลเมตรคำนวณจากมหานครมักกะห์ ถ้ากรุงเทพฯเรา ก็จะอยู่ประมาณ 382914.75 กิโลเมตร
**วันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ.2557   
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก18.34.11วินาที  ดวงจันทร์ตก18.42.24วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 8 นาที 13 วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก18.31.03วินาที ดวงจันทร์ตก18.39.11วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 8 นาที 8 วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
3.ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก18.22.54วินาที  ดวงจันทร์ตก18.31.00วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 8 นาที 6 วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
- ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก18.23.10วินาที  ดวงจันทร์ตก18.31.15วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 8 นาที 5 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
4.หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก 18.26.26วินาที  ดวงจันทร์ตก18.34.37วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 8 นาที 12 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก18.37.36วินาที  ดวงจันทร์ตก18.45.56วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 8 นาที 20 วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน   
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก18.23.45วินาที  ดวงจันทร์ตก18.31.51วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 8 นาที 6 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
7.อุบลราชธานี  ดวงอาทิตย์ตก18.19.52วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.27.28วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 7 นาที 36 วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
8.นนทบุรี  ดวงอาทิตย์ตก18.34.34วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.42.47วินาที  มีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว 8 นาที 14 วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
**ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม
วันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ.2557 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว แหละทั่วทั้งประเทศไทยไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้เลย  ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
(เพราะว่าการทำมุมกันนั้น ยังมีน้อยเกินไป น้อยเกินที่จะเห็นแสงจันทร์เสี้ยวได้ และดวงจันทร์ก็อยู่ต่ำมาก แหละอีกประการหนึ่ง ที่ควรคำนึงถึงก็คือ ถ้าหากว่าเริ่มเดือนใหม่ ในวันพุธที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2557 วันที่จะดูจันทร์เสี้ยวในครั้งต่อไปนั้น ก็จะดูจันทร์เสี้ยวก่อน ปรากฏการณ์จันทร์ดับ ก่อนนิวมูน ก่อนอิญติมาอ์ทันที)
**ดังนั้นผลในการคำนวณทางดาราศาสตร์อิสลามนั้น วันที่ 1 ร่อยับ ฮ.ศ.1435 ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ.2557 ทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้นั้น เป็นผลสรุปจากการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลามเท่านั้น
**แต่ทว่าในทางการปฏิบัติจริงๆนั้น ให้พี่น้องต้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น  เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
**ก็คนทุกคนต่างมีหน้าที่ แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลาม คอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วย(สมมุติว่าณบริเวณนั้น มีผู้ที่ดูดวงจันทร์เสี้ยวเป็นร้อยหรือเป็นพันคน ทำไมจึงเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่คนคนเดียวหรือเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่สองสามคน แล้วคนที่เห็นหรือกลุ่มคนที่เห็นดวงจันทร์เสี้ยวนั้น มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับดวงจันทร์มากน้อยเพียงใด ซึ่งบางทีสิ่งที่เขาเห็นแล้วคิดว่าเป็นดวงจันทร์เสี้ยว ความเป็นจริงอาจไม่ใช่ดวงจันทร์เสี้ยวก็เป็นได้)แหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริง ที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า จะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุล หรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาป ก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌ
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม) เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา และ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน)  และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ
ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
**เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์ 
รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
วันนี้เราท่านทั้งหลายทำความดีเพื่อพระองค์แล้วหรือยัง  และเราท่านทั้งหลายได้นำพาบุคคลรอบข้างของเราเข้าใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง  ละหมาดแล้วหรือยัง  ทำอะม้าน  อิบาดะห์ชนิดต่างๆเพื่อรับพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง
**พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ   
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ   
“ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน
ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8 
**รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
      (โอ้พระผู้เป็นเจ้า ถ้าหากว่ามีคุณความดี ขอมอบภาคผลบุลแด่บิดา มารดาและครูบาอาจารย์ทั้งที่มีชีวิตอยู่ และที่กลับสู่ความเมตาตาของพระองค์แล้ว และใคร่ขอให้ปวงบ่าวของพระองค์ ได้ทำตัวให้ใกล้ชิดกับพระองค์ ตามพระประสงค์ของพระองค์ และขอพระองค์ได้ทรงอภัยโทษให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด อามีน ยาอัรฮะมัร รอฮิมีน)



14
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
وَكَلَّمَ اللَّهُ مُوسَى تَكْلِيمًا
และพระองค์อัลเลาะห์(ซ.บ.)ทรงตรัสกับท่านนบีมูซา (โดยไม่ผ่านสื่อกลางท่านยิบรีล)ชนิดการตรัสจริงๆ  ซูเราะห์อันนิซาอ์4 อายะห์ที่164
**นักวิชาการได้บอกว่า สิ่งที่ปิดกั้น(ฮิยาบ)ได้หายไป ท่านนบีมูซา(อะลัยฮิสสะลาม)จึงได้ยิน كلام القديم ของพระผู้เป็นเจ้า แหละบางส่วนของนักวิชาการได้บอกไว้อีกว่า ท่านยิบรีลก็ได้ไปพร้อมกับท่านนบีมูซา(อะลัยฮิสสะลาม)ด้วย แต่ท่านยิบรีลไม่ได้ยิน  كلام القديم ของพระผู้เป็นเจ้าที่ท่านนบีมูซา(อะลัยฮิสสะลาม)ได้ยิน
**ในปัจจุบันนี้ได้มีการพูดถึงกันอย่างกว้างขวาง เกี่ยวกับซิฟัต  كلام  (พระองค์อ.ล.(ซ.บ.)ทรงตรัส ทรงพูด) ของพระผู้เป็นเจ้า
**ดังนั้นตามอะห์ลิสซุนนะห์วั้ลยะมาอะห์ ซิฟัต  كلام  (พระองค์อ.ล.(ซ.บ.)ทรงตรัส ทรงพูด)นั้น เป็นคุณลักษณะของพระผู้เป็นเจ้า ที่มีมาแต่ดั้งเดิม ที่ดำรงอยู่ที่ซาตของพระองค์อ.ล.(ซ.บ.) การพูดของพระผู้เป็นเจ้านั้นไม่มีอักษรโดยเด็ดขาด แหละการพูดของพระผู้เป็นเจ้านั้นไม่มีเสียงโดยเด็ดขาด ก็เพราะว่า ถ้าสมมุติว่า(เป็นแค่เรื่องสมมุติเท่านั้น) พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัส ทรงพูดแล้วมีอักษร หรือถ้าหากสมมุติว่า(เป็นแค่เรื่องสมมุติเท่านั้น)พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัส ทรงพูดแล้วมีเสียง แน่นอนเหลือเกินพระผู้เป็นเจ้าก็ต้องไปเหมือนกับของใหม่อย่างแน่นอน(ก็ต้องเหมือนกับสิ่งที่ถูกบังเกิดมาใหม่อย่างแน่นอน) เรื่องสมมุติดังกล่าวมานี้ เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลยตามหลักการยึดมั่น ของผู้ที่ได้รับทางนำจากพระผู้เป็นเจ้า
**ดังนั้นยังมีผู้ที่หลงผิดยึดมั่นว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงตรัส ทรงพูดเหมือนเราๆท่านๆนี้แหละ(แต่จะไม่พูดตรงๆ โดยพูดแบบอ้อมๆว่าพระผู้เป็นเจ้าพูดมีเสียงบ้าง พระผู้เป็นเจ้าพูดแล้วมีอักษรบ้าง)
**ผมเองขอให้แง่คิดง่ายๆนะครับว่า(เหมือนเส้นผมได้บังภูเขาไปแล้ว) ในเรื่องของซิฟัต  كلام  (พระองค์อ.ล.(ซ.บ.)ทรงตรัส ทรงพูด) นั้นควรต้องเสวนาอธิบายเรื่องอักษรก่อน จะเสวนาอธิบายเรื่องเสียงก่อนไม่ดีเท่าที่ควร(เพื่อให้เกิดความเข้าใจได้ง่ายสำหรับเราๆท่านๆ) ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะว่า เมื่อเราท่านทั้งหลายยืนยันเลยว่า เมื่อพระผู้เป็นเจ้า (พระองค์อ.ล.(ซ.บ.)นั้นทรงตรัส ทรงพูดโดยไม่มีอักษร แน่นอนเหลือเกินว่าเราท่านทั้งหลายก็ยืนยันโดยอัตโนมัติเลยว่า พระผู้เป็นเจ้านั้นทรงตรัส ทรงพูดโดยไม่มีเสียง เพราะว่าเสียงนั้นจะมีมาไม่ได้เลยถ้าไม่มีการเรียบเรียงมาจากอักษร ยกตัวอย่างเช่นนักกอรีทั่วทุกมุมโลก ที่มีเสียงที่ไพเราะจับใจผู้ฟัง มีการอ่านที่ถูกต้องตามหลักตัจวีด ถ้าสมมุติว่าถ้าไม่มีตัวบทบัญญัติที่เป็นอักษร ของพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่าน เสียงการอ่านพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านที่ไพเราะจับใจผู้ฟัง จะมีมาได้อย่างไร
**ต่อนะครับในเรื่องของซิฟัต  كلام  (พระองค์อ.ล.(ซ.บ.)ทรงตรัส ทรงพูด) การตรัส การพูดของพระผู้เป็นเจ้านั้นปราศจาก(ไม่มี)การอยู่ก่อน การตรัส การพูดของพระผู้เป็นเจ้านั้นปราศจาก(ไม่มี)การอยู่หลัง การตรัส การพูดของพระผู้เป็นเจ้านั้นปราศจาก(ไม่มี)การเอี๊ยะรอบ การตรัส การพูดของพระผู้เป็นเจ้านั้นปราศจาก(ไม่มี)การบินาอ์ การตรัส การพูดของพระผู้เป็นเจ้านั้นปราศจาก(ไม่มี) การอ่อนหวานหรือแข็งกระด้าง(ก็เพราะว่าการตรัส การพูดของพระผู้เป็นเจ้านั้นไม่มีอักษร เมื่อไม่มีอักษรก็ต้องไม่มีการเอี๊ยะรอบแหละต้องไม่มีการบินาอ์ฯลฯ โดยปริยาย) ดังนั้นซิฟัต  كلام  (พระองค์อ.ล.(ซ.บ.)ทรงตรัส ทรงพูด) จึงแตกต่างกับลักษณะคำพูดของสิ่งที่ถูกบังเกิดมาใหม่ จึงแตกต่างกับลักษณะคำพูดของเราๆท่านๆอย่างสิ้นเชิง
**ประเด็นต่อเนื่องก็คือดังนั้นพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านที่เราท่านทั้งหลายเห็นกันอยู่นี้นั้น ตามหลักการยึดมั่นของอะห์ลิสซุนนะห์วั้ลยะมาอะห์ถือว่าเป็นของใหม่ حادثة ก็เพราะว่าในพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านนั้น มีทั้งอักษร มีทั้งการอยู่ก่อน มีทั้งการอยู่หลัง มีทั้งการเอี๊ยะรอบ มีทั้งซูเราะห์ แหละมีทั้งอายะห์
**เรื่องจริงๆก็คือว่าแท้จริงพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านนั้น ทั้งหมดเป็นของใหม่ แต่ทว่าไม่อนุญาติที่จะกล่าวว่าพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านนั้นเป็นของใหม่ แหละไม่อนุญาตที่จะกล่าวว่า كلام الله เป็นของใหม่ สาเหตุที่ไม่อนุญาตที่จะกล่าวดังกล่าวมานั้น ก็เพราะว่า สิ่งที่ถูกเข้าใจมาจากพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่าน(คำสั่งใช้ คำสั่งห้ามฯลฯ)ทั้งหมดนั้น เป็นสิ่งเดียวกัน(เป็นอันเดียวกัน เหมือนกัน แหละตรงกัน กับสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าจะบอกมนุษยชาติ)ที่มีอยู่ใน صفة قديم  ของพระองค์(ก็คือว่าในเมื่อเราท่านทั้งหลายเป็นมนุษย์ พระผู้เป็นเจ้าก็ต้องลงพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านมาในรูปแบบที่มนุษยชาติสามารถทำความเข้าใจได้ เพื่อมนุษยชาติจะได้ถือปฏิบัติตามพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านซึ่งเป็นทางนำที่ถูกต้องที่สุดที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าได้อย่างถูกต้อง ตรงนี้ถือว่าต้องทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ ดังนั้นจึงถือว่าเป็นสิ่งที่ผิดพลาดแล้วตามหลักการยึดมั่นของอะห์ลิสซุนนะห์วั้ลยะมาอะห์ สำหรับนักวิชาการที่ได้พูด ที่ได้กล่าวว่าพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านนั้นเป็นมั๊คโล๊ค
**เพื่อจะได้เกิดความเข้าใจมากยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่นในคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้า ที่บอกในว่าท่านจงดำรงละหมาดเริ่มตั้งแต่ตะวันคล้อย
***ดังพระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
{أَقِمْ الصَّلَاة لِدُلُوكِ الشَّمْس} أَيْ مِنْ وَقْت زَوَالهَا {إلَى غَسَق اللَّيْل} إقْبَال ظُلْمَته أَيْ الظُّهْر وَالْعَصْر وَالْمَغْرِب وَالْعِشَاء {وَقُرْآن الْفَجْر} صَلَاة الصُّبْح {إنَّ قُرْآن الْفَجْر كَانَ مَشْهُودًا} تَشْهَدهُ ملائكة الليل وملائكة النهار
ท่านจงดำรงละหมาด(5เวลา ตามรุก่นและซะรัต เริ่ม)ตั้งแต่ตะวันคล้อย(คำว่าตะวันคล้อยตรงนี้ก็คือพ้น หรือคล้อยจากตรงกลางฟ้า แล้วกลางฟ้าคือตรงใหน กลางฟ้าก็คือเส้นเมอริเดี่ยนของสถานที่นั้นๆ หรือที่เรียกกันว่าเส้นลองติจูดของสถานที่นั้นๆนั่นเอง) จนกระทั่งพลบค่ำและการอ่าน(การละหมาด)ยามรุ่งอรุณ แท้จริงการอ่าน(การละหมาด)ยามรุ่งอรุณนั้นเป็นพยานยืนยัน ซูเราะห์อัลอิสรออ์17 อายะห์ที่78 (รายละเอียดตรงนี้ผมเองได้เคยนำเสนอไปแล้ว)
**ดังนั้นอายะห์อัลกุรอ่านตรงนี้เอง เป็นคำสั่งใช้เกี่ยวกับเวลาของการละหมาดตามตัวบทของพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านภาษาอะหรับ ซึ่งมนุษยชาติสามารถรับรู้ได้ เข้าใจได้ แล้วนำไปสู่การปฏิบัติได้ มีอีกประการหนึ่งก็คือถ้าหากสมมุติว่า พระผู้เป็นเจ้าเปิดฮิยาบ(ของกั้น)ให้เราท่านทั้งหลายได้รับรู้ แน่นอนเหลือเกินเราท่านทั้งหลาย ก็สามารถได้ยิน صفة قديم หรือ كلام القديم ของพระผู้เป็นเจ้าเกี่ยวกับคำสั่งใช้ของการละหมาดตรงนี้ได้เลย(เหมือนอย่างที่พระผู้เป็นเจ้าได้เคยเปิดของกั้นให้แก่ท่านนบีมูซา(อะลัยฮิสสะลาม)มาแล้วเมื่อครั้งอดีตกาล กระทั่งท่านนบีมูซา(อะลัยฮิสสะลาม)สามารถได้ยิน كلام القديم  ของพระผู้เป็นเจ้าได้)
**เฉกเช่นเดียวกันในโลกดุนยาใบนี้นั้น มีทั้งมนุษย์แหละมวลหมู่ยินอาศัยอยู่ แต่ที่เราท่านทั้งหลายไม่สามารถมองเห็นโลกของมวลหมู่ยินได้ในโลกดุนยาใบนี้นั้น ก็เพราะว่ามีสิ่งปิดกั้น ขวางอยู่นั่นเอง ซึ่งเราท่านทั้งหลายก็ขอจากพระผู้เป็นเจ้าอย่าให้ได้เห็นโลกของยินได้ในโลกดุนยาใบนี้เลย เพราะอาจจะเกิดความหวาดกลัวได้โดยง่าย แต่ทว่าในโลกหน้าอาคิเราะห์นั้นเราท่านทั้งหลายจะได้เห็นมวลหมู่ยิน ซึ่งมวลหมู่ยินจะไม่เห็นเราท่านทั้งหลาย สิ่งนี้เป็นความต้องการของพระผู้เป็นเจ้า ผู้มีพระคุณได้บอกผมว่าสิ่งนี้เป็นคำสาปจากพระผู้เป็นเจ้า ถ้าจะพูดกันจริงๆแล้วถ้าพระผู้เป็นเจ้าจะให้เราท่านทั้งหลายเข้าใจแหละได้ยิน
كلام القديم  เพียงอย่างเดียวเลย โดยที่ไม่ต้องมีพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่าน พระผู้เป็นเจ้าก็ทำได้ แต่ทว่านั่นไม่ใช่ความต้องการของพระผู้เป็นเจ้า ถ้าพระผู้เป็นเจ้าไม่ทำใครจะทำได้
**ผมจะยกตัวอย่างอีกสักหนึ่งตัวอย่าง เราซึ่งเป็นมนุษย์เราจะสื่อสารให้คอมพิวเตอร์(ซึ่งไม่ใช่มนุษย์)ให้เข้าใจตามความต้องการของเราได้นั้น เราจะใช้ภาษามนุษย์ไม่ได้โดยเด็ดขาด คอมพิวเตอร์ก็จะไม่รู้เรื่องอะไรเลย ดังนั้นเมื่อเราจะสื่อสารกับคอมพิวเตอร์ให้เข้าใจ ต้องใช้ภาษาคอมพิวเตอร์เท่านั้น จึงจะสามารถสื่อสารกันรู้เรื่อง อันได้แก่ภาษา c ฯลฯ หรือเบสิกง่ายๆถ้าหากว่าเราจะให้เอ็กเซลทำการคำนวนเวลาละหมาด หรือคำนวณสิ่งอื่นๆก็ต้องกดเท่ากับก่อนแล้วจึงใส่ตัวเลขไป คอมพิวเตอร์ถึงจะเข้าใจทันทีว่า ณตอนนี้เรากำลังต้องการให้คอมพิวเตอร์ทำการคำนวนอยู่ วันหนึ่งผมเจอญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ท่านบอกผมว่านักศึกษา หรือผู้คนทั่วไปที่สนใจวิชาดาราศาสตร์อิสลามมีน้อยก็เพราะเข้าใจว่าวิชาดาราศาสตร์อิสลามยาก ผมเองในฐานะที่ศึกษาวิชาดาราศาสตร์อิสลามมาโดยตรง มีเคล็ดลับอยู่อย่างเดียวถ้าใครมีจริงๆแล้ว ไม่ว่าจะศึกษาวิชาใดวิชานั้นง่ายทั้งหมด เคล็ดลับที่ว่าก็คือความสนใจ
**สรุปว่า ดังนั้นสิ่งที่ถูกต้องแหละแน่นอนก็คือ ตามแนวทางของผู้ที่ได้รับทางนำจากพระผู้เป็นเจ้าแล้ว เราท่านทั้งหลายจะต้องไม่เชื่อ เราท่านทั้งหลายจะต้องไม่ยึดมั่นว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงตรัส ทรงพูดแล้วมีอักษร เราท่านทั้งหลายจะต้องไม่เชื่อ เราท่านทั้งหลายจะต้องไม่ยึดมั่นว่าพระผู้เป็นเจ้าพูดมีเสียง (เมื่อเป็นแบบนี้ซัยตอนมารร้ายก็จะเข้ามาตั้งคำถาม ให้เกิดการสับสนในจิตใจของเราท่านทั้งหลายเลยว่า เมื่อพระผู้เป็นเจ้าทรงตรัส ทรงพูดแล้วพระผู้เป็นเจ้าทรงตรัส ทรงพูดอย่างไรถึงไม่มีอักษร แล้วพระผู้เป็นเจ้าทรงตรัส ทรงพูดอย่างไรถึงไม่มีเสียง จะเป็นไปได้หรือ ในเรื่องนี้เราท่านทั้งหลายในฐานะผู้ที่ได้รับทางนำที่ถูกต้องจากพระผู้เป็นเจ้า บอกได้เลยว่าเราท่านทั้งหลายไม่สามารถรับรู้ได้ แหละไม่สามารถบอกได้เลยว่า แก่นแท้ในรูปแบบการตรัส การพูดของพระผู้เป็นเจ้าจริงๆแล้วเป็นอย่างไร ก็เพราะว่าไม่มีใครที่เคยได้ยินนั่นเอง(นอกจากท่านนบีมูซา(อะลัยฮิสสะลาม)) นั่นเป็นเรื่องของพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น 
**แต่ถ้าจะอธิบาย(เพื่อให้เกิดความเข้าใจได้ง่ายๆ)ในรูปแบบลักษณะการพูดของมนุษย์นั้น สามารถบอกได้เลยว่า เราท่านทั้งหลายเชื่อหรือไม่ว่า ในการพูดของมนุษยชาตินั้น การพูดแบบไม่ปรากฏอักษรให้เห็น แหละการพูดแบบไม่ปรากฏเสียงให้ได้ยินนั้น ใครๆก็ทำได้กันทั้งนั้น ใครๆก็พูดกันได้ทั้งนั้น(เส้นผมบังภูเขา) ลองพูดในใจดูซิ แล้วเราท่านทั้งหลายก็จะทราบได้เอง (ขอย้ำว่าตรงนี้ผมเองไม่ได้นำการพูดในใจ ไปเปรียบเทียบกับ  كلام الله كلام القديم  นะครับเพราะถึงอย่างไรก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว นั่นเป็นคุณลักษณะของพระผู้เป็นเจ้า) ก็เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงยืนยันความบริสุทธิ์ของพระองค์ให้ออกห่างจากสิ่งที่บกพร่องต่างๆ
**พระผู้เป็นเจ้าทรงยืนยันว่าพระองค์นั้นทรงไม่เหมือนกับสิ่งใดทั้งสิ้นเลย ไม่เหมือนทุกๆรูปแบบ ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าได้ทรงตรัส ทรงบอกทางนำที่ถูกต้องให้เราท่านทั้งหลายทราบมากันแล้ว ในพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านว่า
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ وَهُوَ السَّمِيعُ الْبَصِيرُ
{لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْء} الْكَاف زَائِدَة لِأَنَّهُ تَعَالَى لَا مِثْل لَهُ {وَهُوَ السَّمِيع} لِمَا يُقَال {الْبَصِير} لِمَا يُفْعَل
ไม่มีสิ่งใดเหมือนพระองค์(ทุกรูปแบบ พระองค์ก็ไม่เหมือนสิ่งใดทุกรูปแบบ) และพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)ทรงได้ยินยิ่ง อีกทั้งทรงมองเห็นยิ่ง ซูเราะห์อัซซูรอ42 อายะห์ที่11
**สำหรับบุคคลที่ได้รับทางนำจากพระผู้เป็นเจ้า ในเมื่อพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านได้บอกไว้ชัดๆอยู่แล้วว่า ไม่มีสิ่งใดเหมือนพระองค์(ทุกรูปแบบ พระองค์ก็ไม่เหมือนสิ่งใดทุกรูปแบบ)  หลักฐานทางพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านตรงนี้ยังไม่พออีกหรือ ตรงนี้ต้องทบทวนให้ดี แล้วจะต้องไคว่คว้าหาหลักฐานอื่นๆกระนั้นหรือ แต่ถ้าพยายามแสวงหาหลักฐาน(ซะลัฟบ้าง ค่อลัฟบ้าง)อื่นๆมา โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานความคิดของตัวเอง เพื่อยืนยันความคิดของตัวเองว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ทั้งๆที่ความเป็นจริงแล้วได้ไปสวนทางกับความหมาย ได้ไปสวนทางกับทางนำที่มีระบุไว้อยู่ในพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่าน อันนี้ถือว่าเป็นสิ่งหลงผิดอย่างแน่นอน ก็เพราะว่าพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านคือทางนำ ดังนั้นคำพูดหรือการยึดมั่นที่สวนทางกับพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่าน ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่หลงผิดอย่างแน่นอน
**บทสรุปก็คือว่า ไม่ว่าเราท่านทั้งหลายจะพูดหรือเราท่านทั้งหลายจะทำอะไร ถ้ารู้อยู่ว่าการพูดก็ดี หรือว่าการกระทำก็ดี กำลังสวนทางกับคำสั่งใช้ สวนทางกับคำสั่งห้าม หรือสวนทางกับทางนำที่มีระบุไว้ในพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านแล้ว อย่าทำโดยเด็ดขาด ก็เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงได้ยินว่าผู้ใดกำลังพูดอะไรอยู่ อีกทั้งพระผู้เป็นเจ้าก็ทรงเห็นว่าผู้ใดกำลังทำอะไรอยู่ นั่นก็หมายถึงการลงโทษที่จะได้รับในโลกหน้าอาคิเราะห์ ขอให้เราท่านทั้งหลายห่างไกลจากสิ่งหลงผิดดังกล่าวมาด้วยเถิด โอ้พระผู้เป็นเจ้า
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
{وَهُوَ السَّمِيع} لِمَا يُقَال {الْبَصِير} لِمَا يُفْعَل
และพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)ทรงได้ยินยิ่ง อีกทั้งทรงมองเห็นยิ่ง ซูเราะห์อัซซูรอ42 อายะห์ที่11
**อย่ายึดมั่นว่าพระผู้เป็นเจ้า(พระองค์อ.ล.(ซ.บ.)ทรงตรัส ทรงพูด) การตรัส แล้วมีอักษร อย่ายึดมั่นว่าพระผู้เป็นเจ้า(พระองค์อ.ล.(ซ.บ.)ทรงตรัส ทรงพูด) การตรัสแล้วมีเสียง เพราะถือว่าเป็นสิ่งที่หลงผิด ตามพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่าน ดังกล่าวมา
**วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม   
ดังนั้นวันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ.2557  ตรงกับวันที่ 29 ญุมาดุ้ลอูลา ฮ.ศ.1435  (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันจันทร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ.2557 เป็นวันที่ 1 ญุมาดุ้ลอูลา ฮ.ศ.1435 ดังนั้นวันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ.2557 จึงเป็นวันที่ 29 ญุมาดุ้ลอูลา ฮ.ศ.1435 ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ญุมาดุ้ลอุครอ ฮ.ศ.1435
**สำหรับประเทศไทย 
จันทร์ดับ ตรงกับวันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ.2557 เวลา 1.44.43 วินาที   ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ.2557  จึงต้องมีการดูดวงจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ญุมาดุ้ลอุครอ ฮ.ศ.1435
(เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
**วันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ.2557 ดวงจันทร์ในวันนี้อยู่ห่างจากโลกประมาณ 374714.93 กิโลเมตรคำนวณจากมหานครมักกะห์ ถ้ากรุงเทพฯเรา ก็จะอยู่ประมาณ 373962.27 กิโลเมตร
**วันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ.2557   
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก18.29.21วินาที  ดวงจันทร์ตก19.03.22วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 34นาที1วินาที  ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก18.28.02วินาที ดวงจันทร์ตก19.07.41วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 33นาที39วินาที  ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
3.ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก18.25.20วินาที  ดวงจันทร์ตก18.56.38วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 31นาที18วินาที  ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
- ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก18.25.09วินาที  ดวงจันทร์ตก18.56.38วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 31นาที29วินาที  ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
4.หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก 18.28.00วินาที  ดวงจันทร์ตก18.59.46วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 31นาที46วินาที  ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก18.33.43วินาที  ดวงจันทร์ตก19.07.56วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 34นาที13วินาที  ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก18.25.28วินาที  ดวงจันทร์ตก18.57.04วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 31นาที36วินาที  ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
7.อุบลราชธานี  ดวงอาทิตย์ตก18.14.51วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.48.47วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 33นาที56วินาที  ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
8.นนทบุรี  ดวงอาทิตย์ตก18.30.46วินาที  ดวงจันทร์ตก 19.04.50วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 34นาที04วินาที  ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
**ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม
วันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ.2557 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว แหละทั่วทั้งประเทศไทย ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
**ดังนั้นผลในการคำนวณทางดาราศาสตร์อิสลามนั้น วันที่ 1 ญุมาดุ้ลอุครอ ฮ.ศ.1435 ตรงกับวันอังคารที่ 1 เมษายน พ.ศ.2557 ทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้นั้น เป็นผลสรุปจากการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลามเท่านั้น
**แต่ทว่าในทางการปฏิบัติจริงๆนั้น ให้พี่น้องต้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น  เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
**ก็คนทุกคนต่างมีหน้าที่ แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลาม คอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วย(สมมุติว่าณบริเวณนั้น มีผู้ที่ดูดวงจันทร์เสี้ยวเป็นร้อยหรือเป็นพันคน ทำไมจึงเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่คนคนเดียวหรือเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่สองสามคน แล้วคนที่เห็นหรือกลุ่มคนที่เห็นดวงจันทร์เสี้ยวนั้น มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับดวงจันทร์มากน้อยเพียงใด ซึ่งบางทีสิ่งที่เขาเห็นแล้วคิดว่าเป็นดวงจันทร์เสี้ยว ความเป็นจริงอาจไม่ใช่ดวงจันทร์เสี้ยวก็เป็นได้)แหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริง ที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า จะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุล หรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาป ก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌ
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม) เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา และ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน)  และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ
ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
**เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์ 
รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
วันนี้เราท่านทั้งหลายทำความดีเพื่อพระองค์แล้วหรือยัง  และเราท่านทั้งหลายได้นำพาบุคคลรอบข้างของเราเข้าใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง  ละหมาดแล้วหรือยัง  ทำอะม้าน  อิบาดะห์ชนิดต่างๆเพื่อรับพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง
**วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม พ.ศ.2557 เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา  ซำบะห์ยัง)
 -สำหรับ สำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา 04.57.10 วินาที ตะวันขึ้นเวลา06.16.28วินาที ดุฮ์ริเวลา12.22.17วินาที อัสริเวลา15.40.35 วินาที มักริบเวลา 18.28.17 วินาที อีซาเวลา 19.39.21
-สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 04.59.06วินาที  ตะวันขึ้นเวลา06.18.21วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.24.08วินาที  อัสริเวลา15.42.18 วินาที  มักริบเวลา18.30.08 วินาที  อีซาเวลา 19.41.09
-สำหรับมัสยิดฮารอม  ซุบฮิเวลา 04.55.38วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 06.15.58วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.26.06 วินาที  อัสริเวลา 15.51.32 วินาที  มักริบเวลา 18.36.33 วินาที  อีซาเวลา 19.48.15 วินาที 
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิเวลา04.53.13วินาที  ตะวันขึ้นเวลา06.18.19วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.26.32วินาที  อัสริเวลา15.54.04วินาที  มักริบเวลา18.35.08วินาที  อีซาเวลา19.51.21วินาที 
**พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ   
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ   
“ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน
ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8 
**รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
**(โอ้พระผู้เป็นเจ้า ถ้าหากว่ามีคุณความดี ขอมอบภาคผลบุลแด่บิดา มารดาและครูบาอาจารย์ทั้งที่มีชีวิตอยู่ และที่กลับสู่ความเมตาตาของพระองค์แล้ว และใคร่ขอให้ปวงบ่าวของพระองค์ ได้ทำตัวให้ใกล้ชิดกับพระองค์ ตามพระประสงค์ของพระองค์ และขอพระองค์ได้ทรงอภัยโทษให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด อามีน ยาอัรฮะมัร รอฮิมีน)


15
สนทนาศาสนธรรม / Re: ราอิดะห์ ฯลฯ
« เมื่อ: ก.พ. 27, 2014, 08:26 PM »
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
**ไม่เหมือนกับสิ่งใด
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ وَهُوَ السَّمِيعُ الْبَصِيرُ
{لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْء} الْكَاف زَائِدَة لِأَنَّهُ تَعَالَى لَا مِثْل لَهُ {وَهُوَ السَّمِيع} لِمَا يُقَال {الْبَصِير} لِمَا يُفْعَل
ไม่มีสิ่งใดเหมือนพระองค์(ทุกรูปแบบ พระองค์ก็ไม่เหมือนสิ่งใดทุกรูปแบบ) และพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)ทรงได้ยินยิ่ง อีกทั้งทรงมองเห็นยิ่ง ซูเราะห์อัซซูรอ42 อายะห์ที่11
**ก๊าฟที่อยู่ในคำว่า كَمِثْلِهِ  ถือว่าเป็นก๊าฟที่เพิ่มมาเฉยๆ(ราอิดะห์)ไม่ได้มีความหมายอะไร ที่ถือว่าเป็นก๊าฟราอิดะห์ก็เพราะว่าไม่มีสิ่งใดเหมือนพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.) (พระองค์ก็ไม่เหมือนสิ่งใดอีกด้วย)ส่วนคำว่า شَيْءٌ  ถือว่าเป็นอิสมุฮามุอั๊คค๊อร
ดังนั้นจึงให้ตั๊กดีรว่าلَيْسَ شَيْءٌمِثْلَهُ  ไม่มีสิ่งใดที่เหมือนกับพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)
**ดังนั้นถ้าจะอ้างว่าก๊าฟนี้ไม่ใช่ก๊าฟราอิดะห์ แสดงว่าก็จะต้องมีสิ่งที่ไปเหมือนกับพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)อย่างแน่นอน ก็เพราะว่า(ถ้าเป็นก๊าฟที่ไม่ใช่ก๊าฟราอิดะห์ก็จะต้องตั๊กดีรว่า لَيْسَ مِثْلَ مِثْلِهِ شَيْئٌ ไม่มีสิ่งใดที่เหมือนกับของเหมือนของพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)) ดังนั้นจึงถือว่าเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลยโดยเด็ดขาด ที่จะมีสิ่งที่เหมือนกับพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)ทุกรูปแบบ ดังเช่นหลักฐานทางอัลกุรอ่านข้างต้น ก๊าฟนี้จึงถือว่าเป็นก๊าฟราอิดะห์อย่างแน่นอน
**อนึ่งคำว่า لَيْسَ  นี้นั้นปฏิบัติงานก็เหมือนกับ كَانَ คือร่อเฟาะอิเซ็ม น่าซอบค่อบัร   
**ดังมีระบุไว้ในบทกลอนอัลฟียะห์(บทกลอนวิชานะฮู)ว่า
كَكَانَ ظَلَّ بَاتَ اَضْحَى اَصْبَحَا         اَمْسَىوَصَارَ لَيْسَ زَالَ بَرِحَا
คำว่า ظَلَّ بَاتَ اَضْحَى اَصْبَحَ اَمْسَى صَارَ بَرِحَ لَيْسَ زَالَ ก็เช่นเดียวกับ كَانَ
** اي فى العمل   كاءنة ككان  كَكَانَ اي
**นักวิชาการได้มีการขัดแย้งกันในคำว่า لَيْسَ แต่ตามทัศนะส่วนมากถือว่า لَيْسَ นั้นเป็นฟิอิ้ล บางส่วนจากนักวิชาการถือว่า لَيْسَ นั้นเป็นฮุรุฟ
**หลักในการยึดถือก็คือ พระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.) พระองค์จะไม่เหมือนกับของใหม่ใดๆทั้งสิ้น พระองค์จะไม่เหมือนกับสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่(มั๊คโลคที่ถูกสร้าง)ใดๆทั้งสิ้นเลย แม้เพียงกระทั่งเพียงสิ่งเดียวก็จะไม่เหมือนเลย ดังนั้นพระผู้เป็นเจ้าจึงไม่ต้องการที่ว่าง พระผู้เป็นเจ้าจึงไม่ต้องการ พระผู้เป็นเจ้าจึงไม่มีสีสันใดๆทั้งสิ้นเลย ไม่เป็นชิ้นส่วน ไม่เล็ก ไม่ใหญ่ฯลฯ ก็เพราะว่าการต้องการที่ว่างก็ดี แหละการมีสีสันก็ดีฯลฯ ล้วนแล้วแต่เป็นคุณลักษณะทีมีปรากฏอยู่ที่ของใหม่(มั๊คโลคที่ถูกสร้าง)ทั้งสิ้น ดังนั้นเมื่อผู้ศรัทธาได้มีการยึดมั่นที่ถูกต้องดังกล่าวมาแล้ว ซัยตอนมารร้ายก็เริ่มมีแผนการ ทำหน้าที่หลอกลวง ได้เริ่มตั้งปัญหาให้เราท่านทั้งหลายไขว้เขวไปจากแนวทางที่ถูกต้องว่า เอ้าในเมื่อพระผู้เป็นเจ้าไม่ต้องการที่ว่าง ในเมื่อพระผู้เป็นเจ้าไม่มีสีสัน ในเมื่อพระผู้เป็นเจ้าเล็กก็ไม่เล็กใหญ่ก็ไม่ใหญ่ฯลฯ แล้วจริงๆพระผู้เป็นเจ้าเป็นอย่างไรละ ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่ง ถือว่าเป็นหน้าที่ของผู้ที่ศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้าจะต้องตอบด้วยลิ้น พร้อมทั้งจะต้องยึดมั่นในหัวจิตหัวใจว่า อันเรื่องจริงๆของพระผู้เป็นเจ้านั้น ไม่มีผู้ใดเลยที่จะสามารถล่วงรู้ได้ นอกจากพระองค์เพียงพระองค์เดียวเท่านั้นที่ทรงรอบรู้
**ดังนั้นตามหลักวิชาการในแล้ว ถ้าหากว่าได้มีปรากฏในตัวบทอัลกุรอ่านก็ดีหรือได้มีปรากฏในตัวบทอัลฮะดิษก็ดี ทำให้คล้ายๆกับว่าพระผู้เป็นเจ้าจะไปเหมือนกับของใหม่ ดังนั้นเหล่าบรรดาบรรพชนชาวซะลัฟจึงให้ความเห็นสอดคล้องกันว่า ให้มอบหมายความหมายไปที่พระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.) ที่เหมาะสมกับพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.) เท่านั้น ส่วนบรรดาบรรพชนชาวค่อลัฟให้ความเห็นสอดคล้องกันว่า จะต้องตะวีล(จะต้องแก้ไข)ความหมายให้เหมาะสมกับพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)
**ซัยตอนมารร้ายได้พยายามวางแผนทุกวิถีทาง ที่จะทำให้ผู้คนหลงผิดจากแนวทางที่ถูกต้อง(เรียกว่าแสวงหาแนวร่วม แสวงหาสมัครพรรคพวก) แม้กระทั่งในแวดวงของสถานที่ ที่ใช้รวมตัวกันทำคุณความดี ผมเคยได้ยินคนดีๆหลายๆคน ได้พูดอยู่เป็นประจำว่า สาเหตุที่ไม่อยากจะไปสถานที่แห่งนั้น จริงๆแล้วไม่ได้เกลียดสถานที่แห่งนั้นเลย ไม่มีสักนิดเลยในหัวจิตหัวใจ แต่ไม่ชอบวิธีการ แหละไม่สนับสนุนการทำตัวของผู้ที่บริหารจัดการของสถานที่แห่งนั้น ที่พยายามทำให้สิ่งที่ถูกต้องณะฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า ให้กลับกลายเป็นสิ่งที่ผิดในสายตาของผู้คน ที่พยายามทำให้สิ่งที่ผิดณะฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า ให้กับกลายเป็นสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของผู้คน  ใช้ความดื้อรั้นทำตามอารมณ์ของตัวเอง ใช้ความดื้อรั้นทำตามคำชักจูงของซัยตอนมารร้ายไปในทางที่ผิด ในสถานที่ที่ใช้เพื่อประกอบคุณความดี (ไม่เป็นไร ในสถานที่อื่นก็สามารถประกอบคุณความดีได้อีกเช่นกัน มีคำกล่าวคำหนึ่งที่เป็นความจริงก็คือ คนดีก็ดีอยู่วันยังค่ำ ส่วนคนไม่ดีก็ไม่ดีอยู่วันยังค่ำ(ต้องเปลี่ยนแปลงแก้ไขนะ) แม้ว่าจะอยู่ในคราบของคนดี ตรงนี้ผมเองถือว่าน่าจะได้คิดพิจรณากันเป็นอย่างยิ่ง)
**ถ้าเราท่านทั้งหลายได้ย้อนกลับไปดูในหน้าประวัติศาสตร์ของอัลอิสลามแล้ว เราท่านทั้งหลายก็จะพบว่าเมื่อถึงยุคที่สังคมเสื่อนโทรม ในยุคที่สังคมไม่ได้เอาศาสนาเป็นที่ยึดเหนี่ยว ในยุคที่มัสยิดฮะรอมเต็มไปด้วยรูปปั้นผู้คนทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ท่านก็ได้ปลีกตัวของท่านเองจากสิ่งที่เลวร้ายต่างๆนาๆ ไปหาความสงบ เพื่อประกอบคุณความดีในถ้ำหิรออฺอีกเช่นกัน
**เล่าจากอะบีสะอีดอัลคุดรีย์ว่า ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า เกือบถึงเวลาแล้วที่ทรัพท์สินที่ดีที่สุดสำหรับมุสลิมคือ ฝูงแพะที่ติดตามเขาไปถึงยอดเขาสูง และแหล่งฝน เขาพาศาสนาของเขาหลบหนีไปจากความสับสนวุ่นวายต่างๆ รายงานโดยบุคอรี
**เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์(ร.ด.) จากท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า พระองค์อัลเลาะอ์(ซ.บ.)พระองค์ไม่ได้แต่งตั้งนบีท่านใดมา นอกจากเขาต้องเป็นคนเลี้ยงแพะ ซอฮาบะห์(อัครสาวก)ของท่านได้ถามท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ว่า แม้แต่ท่านอย่างนั้นหรือ ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ตอบว่า ใช่แล้ว ฉันเคยเลี้ยงแพะแลกกับเศษเงินของชาวมักกะห์ รายงานโดยบุคอรี
**เล่าจากท่านสะอัด บุตร อะบีวักกอส(ร.ด.)ว่า ฉันได้ยินท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า แท้จริงพระองค์อัลเลาะอ์(ซ.บ.)พระองค์ทรงรักบ่าวที่มีความยำเกรง ที่มีความพอใจในสิ่งที่ตนเองมี ที่หลบซ่อนตนเองเพื่อทำอิบาดะห์ รายงานโดยมุสลิม
**ดังนั้นหน้าที่ของผู้ศรัทธาอย่างแท้จริงก็คือ ทำตามใช้ ละเว้นสิ่งที่ห้าม ไม่ว่าเราท่านทั้งหลายจะอยู่ในสถานะใด
**วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม   
ดังนั้นวันเสาร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2557  ตรงกับวันที่ 29 ร่อบีอุซซานี ฮ.ศ.1435  (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2557 เป็นวันที่ 1 ร่อบีอุซซานี ฮ.ศ.1435 ดังนั้นวันเสาร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2557 จึงเป็นวันที่ 29 ร่อบีอุซซานี ฮ.ศ.1435 ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ญุมาดุ้ลอูลา ฮ.ศ.1435
**สำหรับประเทศไทย 
จันทร์ดับ ตรงกับวันเสาร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2557 เวลา 14.59.42 วินาที มีมุมเงยประมาณ47องศา ขณะที่เกิดจันทร์ดับนี้ ทั้งสอง(ดวงอาทิตย์แหละดวงจันทร์)อยู่ที่กลุ่มดาวคนแบกหม้อน้ำ Aquarius ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันเสาร์ที่ 1 มีนาคม  พ.ศ.2557  จึงต้องมีการดูดวงจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ญุมาดุ้ลอูลา ฮ.ศ.1435
(เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
**วันเสาร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2557 (ดวงจันทร์อยู่บริเวณแขนของกลุ่มดาวคนแบกหม้อน้ำ Aquarius) ดวงจันทร์ในวันนี้อยู่ห่างจากโลกประมาณ 358551.51 กิโลเมตรคำนวณจากมหานครมักกะห์ ถ้ากรุงเทพฯเรา ก็จะอยู่ประมาณ 362755.43กิโลเมตร
**วันเสาร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2557   
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก18.27.04วินาที  ดวงจันทร์ตก18.28.53วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 1นาที49วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก18.25.23วินาที ดวงจันทร์ตก18.26.52วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 1นาที28วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
3.ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก18.28.43วินาที  ดวงจันทร์ตก18.28.09วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 0นาที34วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
- ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก18.28.03วินาที  ดวงจันทร์ตก18.27.38วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 0นาที25วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
4.หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก 18.30.27วินาที  ดวงจันทร์ตก18.30.18วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 0นาที9วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก18.30.07วินาที  ดวงจันทร์ตก18.32.08วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 2นาที0วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก18.28.05วินาที  ดวงจันทร์ตก18.27.47วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 0นาที18วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
7.อุบลราชธานี  ดวงอาทิตย์ตก18.09.59วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.11.36วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 1นาที37วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
8.นนทบุรี  ดวงอาทิตย์ตก18.27.15วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.29.06วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 1นาที51วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
**ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม
วันวันเสาร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2557 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว แหละทั่วทั้งประเทศไทย ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
**ดังนั้นผลในการคำนวณทางดาราศาสตร์อิสลามนั้น วันที่ 1 ญุมาดุ้ลอูลา ฮ.ศ.1435 ตรงกับวันจันทร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ.2557 ทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้นั้น เป็นผลสรุปจากการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลามเท่านั้น
**แต่ทว่าในทางการปฏิบัติจริงๆนั้น ให้พี่น้องต้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น  เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
**ก็คนทุกคนต่างมีหน้าที่ แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลาม คอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วย(สมมุติว่าณบริเวณนั้น มีผู้ที่ดูดวงจันทร์เสี้ยวเป็นร้อยหรือเป็นพันคน ทำไมจึงเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่คนคนเดียวหรือเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่สองสามคน แล้วคนที่เห็นหรือกลุ่มคนที่เห็นดวงจันทร์เสี้ยวนั้น มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับดวงจันทร์มากน้อยเพียงใด ซึ่งบางทีสิ่งที่เขาเห็นแล้วคิดว่าเป็นดวงจันทร์เสี้ยว ความเป็นจริงอาจไม่ใช่ดวงจันทร์เสี้ยวก็เป็นได้)แหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริง ที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า จะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุล หรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาป ก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌ
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม) เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา และ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน)  และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ
ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
**เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์ 
รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
วันนี้เราท่านทั้งหลายทำความดีเพื่อพระองค์แล้วหรือยัง  และเราท่านทั้งหลายได้นำพาบุคคลรอบข้างของเราเข้าใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง  ละหมาดแล้วหรือยัง  ทำอะม้าน  อิบาดะห์ชนิดต่างๆเพื่อรับพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง
**วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2557 เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา  ซำบะห์ยัง)
 -สำหรับ สำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา 05.15.08 วินาที ตะวันขึ้นเวลา06.34.35วินาที ดุฮ์ริเวลา12.29.34วินาที อัสริเวลา15.50.55 วินาที มักริบเวลา 18.24.45 วินาที อีซาเวลา 19.35.56
-สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 05.16.58วินาที  ตะวันขึ้นเวลา06.36.22วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.31.26วินาที  อัสริเวลา15.52.46 วินาที  มักริบเวลา18.26.41 วินาที  อีซาเวลา 19.37.50
-สำหรับมัสยิดฮารอม  ซุบฮิเวลา 05.20.25วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 06.40.25วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.33.24 วินาที  อัสริเวลา 15.54.26 วินาที  มักริบเวลา 18.26.42 วินาที  อีซาเวลา 19.38.08 วินาที 
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิเวลา05.21.28วินาที  ตะวันขึ้นเวลา06.42.08วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.34.16วินาที  อัสริเวลา15.54.20วินาที  มักริบเวลา18.26.45วินาที  อีซาเวลา19.38.40วินาที 
**พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ   
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ   
“ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน
ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8 
**รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
**(โอ้พระผู้เป็นเจ้า ถ้าหากว่ามีคุณความดี ขอมอบภาคผลบุลแด่บิดา มารดาและครูบาอาจารย์ทั้งที่มีชีวิตอยู่ และที่กลับสู่ความเมตาตาของพระองค์แล้ว และใคร่ขอให้ปวงบ่าวของพระองค์ ได้ทำตัวให้ใกล้ชิดกับพระองค์ ตามพระประสงค์ของพระองค์ และขอพระองค์ได้ทรงอภัยโทษให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด อามีน ยาอัรฮะมัร รอฮิมีน)



หน้า: [1] 2 3 ... 7