แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - sehar

หน้า: [1]
1
 salam ผมมีบทความมาให้อ่านน่าสนใจดี น่าจะเป็นแนวทาง ของคน ซูฟี
                 คำว่า "ตอรีกัต" เป็นคำพูดศัพท์เฉพาะของกลุ่มชนมุสลิมในประเทศไทยเราที่มักนิยมใช้พูดกัน ในด้านความเป็นจริงแล้ว ถ้าจะออกเสียงในตามหลักภาษาอาหรับในคำนี้ ต้องออกเสียงว่า "ตอรีกอฮฺ" ซึ่งแปลว่า "แนวทาง"
  
   แต่อิสลามในประเทศไทยเรานั้น มิค่อยพิถีพิถันในเรื่องของการใช้ศัพท์ หรือหลักไวยากรณ์เท่าใดนัก เรียกกันไปตามค่านิยมเสียมากกว่าลักษณะดังกล่าวคำว่า "ตอรีกอฮฺ" จึงมีการเรียกเพี้ยนกันออกไปในหลายรูปแบบ หรือหลายสำเนียง เช่น เรียกเป็น ตอรีกัตบ้าง ตอเรกบ้าง เป็นต้น
   แต่ไม่ว่ากลุ่มใด จะใช้สำเนียงเรียกอย่างใดก็ตาม ในความหมายของแต่ละผู้เรียกนั้นมิได้เปลี่ยนแปลงไปด้วย ซึ่งมีความหมายที่ตรงกันหมด นั่นหมายถึงแนวทาง หรือหนทาง ถ้าเราจะเรียกแนวทางเฉยๆ ก็จะดูกว้างเกินไปทำให้เกิดการสับสนได้ หนังสือเล่มนี้จึงใช้ชื่อเต็มๆว่า "ตอรีกอตุ้ลลอฮฺ" แนวทางไปสู่อัลเลาะห์ หรือแนวทางแห่งอั้ลอิสลาม
   สำหรับคำว่า "ตอรีกัต" บางท่านเข้าใจไขว้เขว หรือมีความสับสนอยู่บ้างในคำ คำนี้อาจมีบางท่านที่ยังไม่เคยผ่านหูเลยก็มี จึงขอเรียนชี้แจงว่า คำว่า "ตอรีกัต" นั้น เป็นพื้นฐานแนวทางการปฏิบัติของมุสลิมทุกคน เช่นการเป็นอิสลามของเราต้องมีพื้นฐานออกเป็น 4 ลักษณะ เช่น
# อิหม่าน
# อิสลาม
# เตาฮีด
# มะอฺรีฟัต
  
   นี่เป็นพื้นฐานแห่งการเป็นอิสลาม มุสลิมทุกคนเมื่อเขาได้ชื่อว่าเป็นอิสลามแล้ว เขาจะต้องเข้าใจพื้นฐานทั้ง 4 อย่างนี้ด้วยกันทุกคน เพียงแต่บางท่านอาจจะยังไม่เข้าใจถึงการเรียบเรียงพื้นฐานทั้ง 4 ประการนี้เท่านั้น
   คำว่า "ตอรีกัต" ก็เช่นเดียวกัน เมื่อเราเข้าใจในพื้นฐานของการเป็นอิสลามแล้ว ต่อไปจะต้องมีความเข้าใจถึงความรู้ในหลักการปฏิบัติ ซึ่งได้ถูกแบ่งออกเป็น 4 ลักษณะเช่นเดียวกัน พอสรุปย่อให้เข้าใจเบื้องต้นก่อนคือ

# ชารีอัต
# ตอรีกัต
# ฮะกีกัต
# มะอฺรีฟัต
   คำว่า "ชารีอัต"  หมายถึง หลักการปฏิบัติตามฮุ่ก่มซาเราะอฺ โดยการทำตามห้ามตามใช้ของท่านศาสดา(ซ.ล.) ใช้อย่างอย่างไร ห้ามอย่างไร นั่นแหละเรียกว่า หลักชารีอัต
   คำว่า "ตอรีกัต"  หมายถึง แนวทางที่เราจะกลับไปสู่พระองค์ ก็เอาหลักการปฏิบัติตามห้ามตามใช้นั่นแหละ เป็นแนวทางเรียกว่า หลักตอรีกัต แต่เนื่องด้วยนักวิชาการเห็นว่า มันเป็นลักษณะเดียวกับหลักชารีอัต จึงมิค่อยได้เอ่ยถึงคำว่า ตอรีกัต จึงมักจะถูกละเลยโดยมิได้พูดถึง
   คำว่า "ฮะกีกัต"  หมายถึงคำว่า "ฮัก" แปลว่า ของแท้ หรือของจริงที่ ออกมาจากภายในที่เราเรียกว่า วิชาภายใน แล้วแสดงออกมา ให้เห็นเป็นวิชาภายนอก ที่เรียกว่าหลักชารีอัต
   คำว่า "มะอฺรีฟัต"  หมายถึง ตัวรู้จักที่แท้จริง
   เมื่อผู้ปฏิบัติ มีความเข้าใจในคำว่า "ชารีอัต" "ตอรีกัต" "ฮะกีกัต" แล้ว ก็จะออกมาเป็นตัวมะอฺรีฟัต หมายถึงการรู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริง สิ่งที่กำลังจะเน้นในขณะนี้คือคำว่า "ตอรีกัต" เพราะคำว่า "ตอรีกัต" ในข้อเขียนที่เป็นภาษาอาหรับนั้น มีความหมายเกินกว่าคำที่ได้กล่าวผ่านมาแล้ว ความหมายเต็มๆ มีดังนี้

  "ตอรีกัต"
  ในคำว่า "ตอรีกัต" นั้น มีความหมายใดบ้าง จะได้ถอดออกมาดังนี้
อักษร "ตอ" มีความหมายว่า "เราต้องตออัตภักดีต่ออัลเลาะห์ ตออัตภักดีต่อร่อซู้ล"
อักษร "รอ" มีความหมายว่า "รีฎอ" ( แปลว่า ยินยอม) หมายถึงเรายอมให้แก่อัลเลาะห์ทุกอย่าง ไม่ว่าเราจะประสพการทุกข์ยากประการใดในชีวิต
อักษร "ยา" มาจากคำว่า "ยะเก่น" ( แปลว่า เชื่อมั่นในอัลเลาะห์องค์เดียว )
อักษร "ก๊อฟ" มาจากคำว่า "กอน่าอะฮ์" (แปลว่า พอใจในสิ่งที่มีอยู่ )
อักษร "ตา" มาจากคำว่า "ตั๊กวา" ( แปลว่า เกรงกลัว ) หมายถึงเกรงกลัวอัลเลาะห์

   จากความหมาย 5 อักษรนี้จะเป็นตัวชี้บ่งถึงความเป็น อัลอิสลามในตัวมนุษย์ว่า การที่เราได้ชื่อว่าเป็นผู้เดินทางกลับไปสู่อัลเลาะห์นั้น เรามีความพร้อมมากน้อยเพียงใด ภายใต้จิตสำนึกของเรานั้นมีคุณลักษณะครบ 5 ประการนี้หรือยัง เช่น ตออัต ยินยอม เชื่อมั่น เพียงพอ เกรงกลัว
   ใน 5 ความหมายนี้ชี้ให้เห็นว่า มุสลิมคนใดที่สามารถปฏิบัติตัวได้ตามหลัก 5 ประการนี้ นั่นแสดงให้เห็นว่า เขาผู้นั้นแหละเป็นผู้อยู่ในแนวทางตอรีกัตอย่างแท้จริง เขาจะประสพความสำเร็จทั้งโลกนี้และโลกหน้า และใน 5 อักษรนี้ มิใช่จะมีเฉพาะ 5 ความหมายนี้เท่านั้น แม้หากไปรวมกับคำอื่นก็จะมีความหมายต่างกันออกไป แต่ในที่นี้ได้ให้ความหมายเฉพาะคำว่า "ตอรีกัต" เท่านั้น เพราะผู้เดินทางสู่อัลเลาะห์ต้องยึดมั่นใน 5 ความหมายนี้ ถ้าหากยังไม่ยึดมั่นใน 5 ความหมายนี้ ก็ยังไม่ถือว่า เขาเป็นชาวตอรีกัต



ตอรีกัตมี 2 ความหมาย

      ในคำว่า "ตอรีกัต" นั้นได้ถูกแบ่งออกเป็น 2 ความหมาย คำว่า "ตอรีกัต" ในความหมายแรกนั้นหมายความว่าเป็นตอรีกัตของบุคคลทั่วไป เป็นแนวทางที่เป็นไปตามหลักชารีอัต จึงถูกเรียกว่า ตอรีกัตในทางชารีอัต และเขาก็ได้ยึกหลักการปฏิบัตินั่นแหละเป็นแนวทาง เหตุที่คำว่า "ตอรีกัต" ถูกแบ่งออกเป็น 2 ความหมาย ก็เพราะว่าจากตัวบทแห่งอายะฮฺกุรอาน ในซูเราะห์ ที่ 5 อายะฮฺที่ 38 ได้กล่าวว่า

"โอ้ผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงเกรงกลัวอัลเลาะห์ และจงแสวงหาสื่อไปสู่อัลเลาะห์"    

     การถูกแบ่งออกเป็น 2 ความหมายก็ตรงคำว่า "สื่อ" นั่นแหละ ความหมายที่ 1 คือกลุ่มชนชารีอัตทั่วไปยึดเอาการปฏิบัติอามั้ล อิบาดัตเป็นสื่อเข้าหาอัลเลาะห์
     ความหมายที่ 2 ชนอีกกลุ่มหนึ่งยึดอามั้ลอิบาดัตเป็นหลักเหมือนกัน แต่ต้องมีครูเป็นสื่อกลางเพื่อชี้แนะ แต่การยึดครูเป็น สื่อเพื่อชี้แนะนำทางไปสู่อัลเลาะห์อย่างเหนียวแน่นนั้น ชนกลุ่มนี้เลยถูกเรียกว่า "คนตอเรก" หรือ คนตอรีกัต" แล้วแต่จะเรียกกัน แต่การยึดครูเป็นสื่อเข้าหาอัลเลาะห์ในลักษณะนี้ กลับกลายเป็นเป้าโจมตีของฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย โดยอ้างว่ายึดครูไม่ได้บ้าง เป็นชีริกบ้าง บางกลุ่มก็ว่า ทำไมจะต้องมีครูเป็นสื่อด้วย
     ถ้าจะขยายความเรื่อง สื่อ นั้นคงจะต้องใช้คำอธิบายกันอีกมาก แต่ขณะนี้กำลังจะเน้นว่า ทำไมจะต้องยึดเอาครูเป็นสื่อด้วยสาเหตุที่ "คนตอรีกัต" ยึดเอาครูเป็นสื่อนั้น เพราะมีตัวบทจากอัลฮาดิษที่ชี้ให้เห็นว่าครูนั้นแหละสามารถจะช่วยลูกศิษย์ได้ในวันกิยามะห์ ฮาดิษนั้นมีข้อความว่า

"ในวันปรภพ 3 คนต่อไปนี้จะช่วยสงเคราะห์ผู้อื่นได้ 1)บรรดานบี 2)บรรดานักปราชญ์ 3)ผู้ตายซะฮีด"
(รายงานโดยอิบนุมายะห์ จากอุสมาน บินอัฟฟาน)

    นี่เป็นเหตุผลส่วนหนึ่งจากหลายส่วน ที่กลุ่มชนชาวตอรีกัตเลือกยึดแนวทางของครูเป็นสื่อนำ จะว่าไปแล้วเรื่องของการยึดครูนี้ต่างก็ยึดด้วยกันทั้งนั้น แต่จะรู้ตัวเองหรือเปล่าเท่านั้นเอง เพราะมีบางคนยึดครูเป็นหลักโดยไม่รู้ตัวเอง ก็มีให้เห็นอยู่มากมาย ตัวอย่างเช่น พอมีปัญหาเรื่องศาสนาเกิดขึ้น หรือปัญหาของคนตอรีกัตว่า ทำไมคนตอรีกัตเขาจึงนับถือ ยกย่องครูของเขาเหลือเกิน ก็นำปัญหานี้ไปถามกับโต๊ะครูต่างๆ ว่าเป็นเช่นไร บังเอิญปัญหานี้ไปเจอกับฝ่ายที่เขาไม่เห็นด้วย ก็เลยบอกว่าไม่ได้นะ ผิดนะ คนพวกนี้ใช้ไม่ได้ กำลังจะทำชีริก เมื่อคำตอบออกมาเป็นเช่นนี้ บุคคลที่ไม่ถามก็ยึดเอาคำตอบของโต๊ะครูผู้นั้นเป็นข้อชี้ขาดว่าผิดใช้ไม่ได้
    ตรงนี้แหละที่บอกว่าไม่ยึกครู แต่เวลานี้เขาได้ยึดเอาคำพูดของครูมาเป็นข้อตัดสินชี้ขาด ทั้งๆที่ตัวเองเข้าใจว่ายึดครูนั้นไม่ได้ แต่ก็เอาคำพูดของครูนั้นมาตัดสิน นั่นแสดงให้เห็นว่าเขาได้ยึดแนวทางของครูเข้าให้แล้วโดยที่เขาก็ไม่รู้ตัวเอง แล้วก็บอกว่ายึดครูนั้นไม่ได้
    สำหรับกลุ่มชนตอรีกัตก็กล่าวว่า มนุษย์ทุกคนต้องมีครูด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีมนุษย์คนใดหรอกที่สามารถมีความรู้โดยไม่มีครูชี้แนะ เมื่อมีครูเป็นผู้ชี้แนะเรา ก็ยึดเอาแนวทางของครูนั่นแหละมาดำเนินชีวิต
    แม้ท่านศาสดามุฮัมมัด(ซ.ล.) อัลเลาะห์ยังใช้ให้ท่านญิบรอเอลมาคอยเป็นครูผู้ชี้แนะ และเพื่อให้เป็นแบบอย่างกับมนุษย์โลก แล้วก็เป็นแบบอย่างกันเรื่อยมา จนอุลามาอฺท่านมีคำกล่าวว่า

"ผู้ใดไม่มีครู ผู้นั้นเอาชัยตอนทำครู"  
    แต่การยึดแนวทางของครูในกลุ่มชนตอรีกัตนั้น มิได้หมายความว่ายึดแนวทางของครูแบบทั่วไป เช่น ครูหรืออาจารย์ที่จบมาจากไคโรบ้างมะดีนะห์บ้าง หรือครูที่จบมาจากต่างประเทศที่ใดที่หนึ่งในเรื่องของศาสนา แต่คนตอรีกัตก็มิได้ปฏิเสธว่า บุคคลดังกล่าวนั้นใช้ไม่ได้ ท่านเหล่านั้นต่างก็เป็นคนดีมีความรู้ด้วยกันทั้งสิ้น และให้ความเคารพยกย่องท่านเหล่านั้นเสมอ
    แต่เท่าที่คนตอรีกัตพิจรณานั้นได้พิจรณาไปถึงเรื่องวิชาการสอน การศึกษาของนักวิชาการต่างๆ ที่บรรดาคณาจารย์หลายท่านได้ใช้เวลา การศึกษาจนจบต่างประเทศ จนได้รับปริญญามาในระดับต่างๆกัน
    ถ้าเราจะพิจรณากันไปแล้ว ส่วนใหญ่ท่านมักจะมีความเชี่ยวชาญไปในด้านวิชาฟิกกอฮฺเสียมากกว่า เพราะวิชาฟิกกอฮฺนั้นหมายถึง นิติศาสตร์อิสลาม ว่ากันด้วยเรื่องกฏหมายอิสลาม ข้อชี้ขาด ข้อตัดสินว่าสิ่งใดผิดสิ่งใดถูก เมื่อได้สำเร็จกันออกมาแล้ว ก็จะนำพาไปสู่การมีชื่อเสียง เกียรติยศ คนในสังคมจะต้องยอมรับเขาว่า เป็นบุคคลที่มีความรู้
   แต่จุดมุ่งหมายของกลุ่มชนตอรีกัต มิใช่จะผูกมัดอยู่กับหลักวิชาฟิกกอฮฺเพียงอย่างเดียว เพราะหลักวิชาฟิกกอฮฺนั้นเป็นหลักการปฏิบัติ ซึ่งมีกฎระเบียบอยู่ เมื่อทำได้ตามกฎระเบียบของหลักวิชาก็ถือว่า เพียงพอแล้ว อีกประเด็นหนึ่งคนตอรีกัตถือว่า จุดนี้เป็นหลักวิชาภายนอก สิ่งที่เขาต้องการอีกอย่างหนึ่งนั่นคือวิชาภายใน วิชาภายในที่เราเรียกว่า "ฮะกีกัต" และหลักวิชานี้จะศึกษาได้ก็อยู่ในหมวดหมู่ของหลักวิชา "ตะเซาวุฟ" หรือ "เอี๊ยะซาน" บางท่านเรียกวิชานี้ว่า "อั๊คล๊าก"
   เอาเป็นว่าท่านถนัดเรียกชื่อใดไม่สำคัญ เพียงแต่ให้เข้าใจว่าชื่อที่ได้กล่าวมานี้ เขาเรียกว่าวิชาภายใน ก็แล้วกัน และเป็นที่รู้กันอยู่ว่า การที่เราจะศึกษาวิชาฮะกีกัต หรือวิชาภายใน นั้น หาผู้เชี่ยวชาญนั้นยากมากเพราะถ้าจะอาศัยนักวิชาการส่วนใหญ่ เขาก็มักจะเชี่ยวชาญไปในด้านวิชาฟิกกอฮฺ เสียมากกว่า จึงทำให้กลุ่มชนตอรีกัตหันมาศึกษาต่อด้วย วิชาภายใน เพื่อให้ครบสมบูรณ์นั่นเอง ประเด็นสำคัญอีกประเด็นหนึ่งของกลุ่มชนตอรีกัต นั่นก็คือคำว่า "มุบายิอะห์" หรือ การรับสายตอรีกัตนั่นเอง

มุบายิอะห์ หรือการรับสายตอรีกัต

    คำว่า "มุบายิอะห์" คืออะไร คำว่า "มุบายิอะห์" มีความหมายลึกซึ้งมาก และมีรายละเอียดพอควร และขณะนี้ยังไม่เป็นการเหมาะสมที่จะกล่าวถึง แต่ก็จำเป็นต้องให้ความหมายไปตามหลักภาษาก่อน คำว่า "มุบายิอะห์" คือการมีการให้สัตยาบันระหว่างศิษย์กับครู โดยเอาหลักฐาน มาจากอัลกุรอาน ในซูเราะห์ที่ 48 อายะห์ที่ 10 พระองค์ทรงกล่าวว่า

"แท้จริงบรรดาผู้ร่วมทำสัญญา(ร่วมรบ)กับเจ้านั้น อันที่จริงเขาได้ทำสัญญากับอัลเลาะห์โดยตรง อำนาจแห่งอัลเลาะห์ย่อมอยู่เหนือมือของพวกเขาดังนั้นผู้ใดที่ละเลยสัญญา ที่จริงเท่ากับเขาละเลยแก่ตัวเขาเอง และผู้ใดทำตามสัญญาอย่างครบสมบูรณ์ ตามที่อัลเลาะห์ได้ทรงให้สัญญาไว้ แน่นอนที่สุด พระองค์ทรงประทานรางวัลอันยิ่งใหญ่แก่เขา"

   จากตัวบทแห่งอายะห์กุรอานที่ได้กล่าวไว้ ตอรีกัตทุกสายได้นำมาเป็นหลักฐานในการออกมุบายิอะห์ให้กับลูกศิษย์ เพื่อเป็นการทำสัญญากันในการเป็นศิษย์กับครู ฝ่ายลูกศิษย์ก็ให้สัญญาว่า จะยึดเอาครูเป็นผู้ชี้แนะในการรู้จักอัลเลาะห์ และทำตัวให้ได้ไกล้ชิดต่ออัลเลาะห์ เมื่อได้สัญญากันแล้ว ลูกศิษย์ก็จะยึดเอาครูนั้นเป็นสื่อกลางในการชี้แนะในการเข้าหาอัลเลาะห์ ดังอายะห์กุรอานที่กล่าวผ่านมาแล้ว ที่มีความหมายว่า

"โอ้ผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงเกรงกลัวอัลเลาะห์ และจงแสวงหาสื่อไปสู่อัลเลาะห์"
    การทำสัญญากับครู การให้สัตยาบันกับครู บางท่านอาจเข้าใจ ว่าแค่การเป็นครูกับลูกศิษย์นั้น จำเป็นจะต้องถึงกลับให้สัตยาบัน กันด้วย หรือ  มันมีความสำคัญมากน้อยแค่ไหน ในกลุ่มชนตอรีกัต เขาถือว่าต้องมีความสำคัญ ถ้าไม่สำคัญอัลเลาะห์จะไม่นำมากล่าวไว้ในอัลกุรอาน
    สิ่งที่สำคัญพอที่จะนำมาเปิดเผยกันได้ในที่นี่ นั่นก็คือ สัญญากันว่า จะเป็นศิษย์กับครูกันตลอดไป ทั้งดุนยาและอาคีเราะห์ มิใช่จะเป็นศิษย์กับครูกันเฉพาะดุนยา ความสำคัญมีอยู่ตรงนี้ อีกอย่างหนึ่งตัวบทจากอัลฮาดิษก็ได้กล่าวผ่านมาแล้วว่า ในวันอาคีเราะห์นั้น อุลลามาอฺเท่านั้นสามารถช่วยลูกศิษย์ได้ ดังนั้นจึงต้องสัญญากันให้เป็นครูผู้นำในวันอาคีเราะหืด้วย มิใช่เอาเฉพาะดุนยา
    ดังนั้น เมื่อได้สัญญาเป็นศิษย์กับครูกันแล้ว ลูกศิษย์ก็จะต้องเชื่อฟังในการชี้แนะของครู โดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ครูก็จะเป็นผู้ชี้แนะในหลักการอิบาดัตต่างๆ ว่า ทำอย่างไรจึงจะได้ไกล้ชิดอัลเลาะห์อย่างรวดเร็ว หรือทำให้เข้าถึงอัลเลาะห์ได้ ซึ่งเป็นเรื่อง่ายๆ ให้กับบรรดาลูกศิษย์ ลูกศิษย์จะต้องเชื่อฟังครู เพราะสัญญากันแล้ว แม้หากลูกศิษย์ผู้หนึ่งผู้ใดโต้แย้งหรือคัดค้าน อาจจะต้องขาดในการเป็นศิษย์กับครูได้
    เว้นแต่ลูกศิษย์จะขอคำปรึกษาจากครูในข้อสงสัยต่างๆ เช่น ลูกศิษย์จะมีคำปรึกษาว่า "ครูครับ เรื่องอย่างนี้ หรืองานอย่างนี้อย่างนั้นมันขัดกับหลักการไหม"
    ตรงนี้แหละครูก็จะเป็นผู้อธิบายให้ฟังว่า ที่ผิดนั้นอย่างไร ที่ถูกนั้นอย่างไรเพื่อให้ลูกศิษย์เกดิความยะเก่น มั่นใจโดยไม่มีการคลุมเครือ
                                                                                                                            waalaikumussalam

2
ผมชอบ มุมมองของazriนะคับ
            ขอถามนิดนึงนะคับเง่ายๆเลยคับ
                        @ คุณละหมาด 5 เวลาทุกวันคุณจะตัดดุลยาออกไปขณะละหมาดคุณทำได้ไหมคับ ถ้าไม่มีคนแนะแนวทาง ผมก็ไม่เถียงนะคับถ้ามีคนทำได้ จิงหรือ  เช่น ขณะคุณละหมาดคุณอาจจะคิดโน้นคิดนี้ ผ้าตากไว้ที่ราวยังไม่ได้เก็บฝนตกเดี๋ยวเปียก อุ้ยต้มน้ำปิดเตาแกสหรือยังเนีย หรืออีกมากหมายแล้วแต่คนจะคิด
                           แล้วคุณจะทำไงให้ใจนิ่งและให้จิตบริสุทธิ์จริงๆๆ
                        @ การเรียนให้รู้จักตัวเอง คือ ฟัรดูอีน แก่ทุกคน แล้วคุณล่ะรู้จักตัวเองหรือยัง ?ทุกคนคงทราบกันนะคับว่าอัลลอฮ'เป็นผู้สร้างร่างกายของเรา แล้วคุณล่ะทำร่างกาย  ให้สมกับเป็นของพระองฮ์ หรือป่าวล่ะคับ
                        @ ผมเคยอ่านบทความ เขาเขียนว่าวิชา ซูฟี คือวิชาทีเรียนรู้จักตัวเอง ถึงจะรู้จักอัลเลาะฮ์   แต่ถ้าหากไม่รู้จักตัวเองก็จะไม่รู้จักอัลเลาะฮ์ นั้นเอง
                           wink:ทำร่างกายให้บริสุทธิ์นั้นง่ายมาก แต่จะทำให้จิตสงบและบริสุทธิ์นั้นยากยิ่งหนัก
                         

หน้า: [1]