แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - - ครูจริงใจ-

หน้า: [1] 2 3 ... 55
1

اِنَّ رَحْمَتِيْ سَبَقَتْ غَضَبِيْ
'แท้จริงความเมตตาของฉัน นำหน้าความกริ้วโกรธของฉัน'
- หะดิษกุดซีย์ | อัลบุคอรี ๗๔๒๒, มุสลิม ๗๑๔๖ -

รายงานจากท่านอบูฮุร็อยเราะฮ ร่อดิยัลลอฮฺอันฮูว่า ท่านร่อซูล ศ็อลล็อลลอฮูอะลัฃยฮิว่ะซัลลัม กล่าวว่า ;
“บุคคลใดที่ปัดเป่าความกลัดกลุ้มความทุกข์ใจใดๆออกจากมุสลิมในโลกดุนยา อัลลอฮฺจะทรงปัดเป่าความกลัดกลุ้ม ความทุกข์ใจต่างๆ ออกจากเขาผู้นั้นในวันกิยามะฮฺ
และผู้ใดให้ความสบายผ่อนปรนต่อลูกหนี้ อัลลอฮฺก็จะทรงให้ความสบายแก่เขาเช่นกันทั้งในดุนยาและอาคีเราะฮฺ
และผู้ใดที่ปกปิดความลับของพี่น้องมุสลิมคนหนึ่ง อัลลอฮฺก็จะทรงปกปิดความผิดให้แก่เขาทั้งในดุนยาและอาคีเราะฮฺ
(พึงทราบเถิดว่า) อัลลอฮฺนั้น ทรงอยู่ในการช่วยเหลือบ่าวของพระองค์เสมอ ตราบใดที่บ่าวผู้นั้นให้การช่วยเหลือพี่น้องมุสลิมด้วยกัน”
(มุสลิม 2669)


<a href="http://www.youtube.com/watch?v=cuybLQF5Wvg" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=cuybLQF5Wvg</a>

ขออัลลอฮฺทรงตอบแทนความดีงามมากมายแด่ผู้แปลและจัดทำวิดีโอ..

2
ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ




เราเคยฉงนกัน เพราะเหตุอันใดสัตว์ที่น่ารำคาญชนิดนี้จึงถูกบังเกิดขึ้นมา
และแล้วคำตอบจากผู้สร้างสัตว์ชนิดนี้ก็คลายความสงสัยไปสิ้น;


'يَا أَيُّهَا النَّاسُ ضُرِبَ مَثَلٌ فَاسْتَمِعُوا لَهُ إِنَّ الَّذِينَ تَدْعُونَ مِن دُونِ اللَّهِ لَن يَخْلُقُوا ذُبَابًا وَلَوِ اجْتَمَعُوا لَهُ وَإِن يَسْلُبْهُمُ الذُّبَابُ شَيْئًا لَّا يَسْتَنقِذُوهُ مِنْهُ ضَعُفَ الطَّالِبُ وَالْمَطْلُوبُ'
“โอ้มนุษย์เอ๋ย! อุทาหรณ์หนึ่งถูกยกมากล่าวไว้แล้ว ดังนั้นพวกเจ้าจงฟังมันให้ดี แท้จริงบรรดาสิ่งที่พวกเจ้าวิงวอนขอความช่วยเหลืออื่นจากอัลลอฮฺนั้น พวกมันไม่สามารถจะให้บังเกิดแม้แต่แมลงวันสักตัวหนึ่ง หากว่าพวกมันจะร่วมมือกันเพื่อการนั้นก็ตาม และถ้าแมลงวันพาสิ่งใดหนีไปจากพวกมัน พวกมันก็ไม่สามารถจะเอามันกลับคืนมาได้จากแมลงวัน ทั้งผู้ขอและผู้ถูกขออ่อนแอแท้ๆ”

[อัล-หัจญ์ : 73]


3
บทความ / -บั น ทึ ก ๑ บ ร ร ทั ด-
« เมื่อ: มี.ค. 29, 2013, 10:13 AM »

-1-

ผมเป็นลูกชายคนเล็กครับ มีพี่สาว ๑ คน อายุมากกว่าผม ๒ ปี พ่อจากเราไปตั้งแต่ผมอายุไม่ถึง ๑ ขวบเต็ม เราสองคนโตมาโดยมีแม่ที่เป็นทั้งพ่อและแม่ในเวลาเดียวกัน เลี้ยงดู อบรม สั่งสอน และปลูกฝังเรื่องศาสนามาตั้งแต่เราจำความได้ ชาวบ้านต่างชื่นชมว่าแม่เป็นหญิงเก่ง เลี้ยงลูกเพียงลำพังจนได้ดิบได้ดี แต่ลึกๆแล้วแม่ผมคงไม่ต้องการเป็นหญิงเก่งและมีชีวิตที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนโดยไร้คนเคียงคู่อย่างทุกวันนี้หรอก

แม่ผมรักพ่อมาก และรักลูกมากจริงๆ รักมากจนผมคิดว่า แม่รักตัวเองน้อยกว่ารักคนอื่นเสมอ ภาพของแม่ที่ผมเห็นตั้งแต่เล็กจนโต คือแม่เหนื่อย แม่ลำบาก และดิ้นรนเพื่อครอบครัวมาตลอด จะว่าไปแล้วธรรมชาติของผู้หญิงคือเพศที่อ่อนแอ ต้องการการดูแลและปกป้อง แต่ด้วยบริบทและสิ่งที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของผม แม่ผมจึงทำเป็นอ่อนแอไม่ได้ แม้จะอ่อนแอแค่ไหน ผมรู้เสมอว่าแม่ผมเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ผู้หญิงที่คาดหวังต่อการปกป้อง ดูแล เลี้ยงดู และเอาใจใส่จากสามี เมื่อพ่อผมไม่อยู่แล้ว ผมซึ่งเป็นผู้ชายคนเดียวในบ้านจึงต้องทาหน้าที่แทนพ่อผมต่อผู้หญิงที่ผมรักทั้งสองคน

แม่ผมเป็นคนพูดน้อย การจากไปของพ่อคงสร้างความเจ็บปวดและสะเทือนใจกับแม่มาก ผมจึงไม่เคยได้ยินเรื่องราวของพ่อจากปากแม่เท่าไหร่ มีอยู่ครั้งหนึ่งเมื่อผมยังเด็ก ผมเคยถามแม่ไปว่า “ทำไมแม่ถึงไม่แต่งงานใหม่?” คำตอบที่ผมได้รับคือ แม่อยากมีพ่อเป็นสามีในสวรรค์  ผมไม่รู้หรอกครับว่าพ่อผมเป็นคนยังไง หรือดีแค่ไหน แต่พอเข้าใจได้ว่าเป็นคนดีทีเดียวละ เพราะคนดีอย่างแม่ผมอยากจะดูแลต่อและแม่ก็อยากมีพ่อดูแลแม่ในสวนสวรรค์เช่นกัน


-2-
เมื่อผมอายุ ๒๐ ปี อุสตาซที่ผมรักท่านหนึ่ง แนะนำให้ผมเขียนบันทึกถึงลูกของผม เข้าใจไม่ผิดหรอกครับ ท่านให้ผมเขียนถึงลูกของผมจริงๆ ทั้งที่ตอนนั้นผมยังไม่มีลูก และยังไม่รู้ว่าคู่ครองของผมอยู่ตรงส่วนไหนของโลกใบนี้ ผมจึงถามอุสตาซไปว่า ทำไมจึงให้ผมเขียนบันทึกถึงลูกผม ทั้งที่แม้แต่เรื่องคู่ครองเอง ก็ยังไม่มีอยู่ในความคิดของผมเลย
 
ณ ตอนนั้น อุสตาซตอบผมว่า มนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อโดดเดี่ยวหรืออยู่เพียงลำพัง แต่อุสตาซเองก็ไม่อยากพูดเรื่องคู่ครองในเวลาที่ไม่เหมาะสมกับเด็กหนุ่มที่มิได้มีความสุกงอมทางความคิด เพราะการพูดเรื่องคู่ครองและการแต่งงานไม่ถูกกาลเทศะ มันจะทำให้หัวใจของเราว้าวุ่นได้ ผมก็เป็นเด็กหนุ่มนี่ครับ อุสตาซพูดเรื่องลูก นั่นก็หมายถึงการพูดเรื่องคู่ครองกลายๆ ซึ่งมันอาจจะทำให้ผมว้าวุ่น เปล่าเลย อุสตาซไม่ได้พูดเรื่องคู่ครอง อุสตาซพูดเรื่องครอบครัว จริงอยู่ว่าการสร้างครอบครัวนั้น ต้องเกิดจากการมีคู่ครอง แต่ชายหนุ่มและหญิงสาว มักเพ้อฝันเรื่องคู่ครอง เรื่องความรักเฉกเช่นคู่รักมากจนลืมเป้าหมายที่หนักแน่นกว่า นั่นคือการสร้างอุมมะฮฺ การสร้างครอบครัวเพื่อรับใช้อัลลอฮฺ เราจึงมักเจอคำถามที่ตื้นเขินจากชายหนุ่มว่า ผู้หญิงคนนั้นสวยแค่ไหน เธอหวานหรือเปล่าเจอคำถามจากหญิงสาวว่าผู้ชายคนนั้นคมเข้มไหม โรแมนติคมากหรือเปล่า อุสตาซไม่ได๎ปฏิเสธเรื่องความรู้สึกนะ มันเป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ แต่มันจะไม่ใช่สาระที่สาคัญที่สุดที่ผู้ศรัทธามั่นจะไปมุ่งกับมัน จนกลายเป็นคนเพ้อเจ้อ เพ้อฝัน ที่จินตนาการแต่เรื่องหวานชื่นเหมือนคู่รักจนหัวใจมีปัญหาและฟุ้งซ่าน

-3-
“ภายใต้ความมุ่งหวังต่อการสร้างอุมมะฮฺเพื่ออัลลอฮฺ มันจะเป็นกรอบให้เธอเลือกคู่ครองด้วยศรัทธาและศาสนอย่างแท้จริง ที่อุสตาซให้เธอเขียนบันทึกถึงลูก ก็เพื่อให๎เธอมีความมุ่งมั่นต่อการเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่ออัลลอฮฺมากขึ้น เพื่อให้เธอตระหนักต่อการใช๎ชีวิตในหนทางที่ถูกต้องมากขึ้น เพื่อให้เธอมีแรงจูงใจต่อการเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูกของเธอเอง เพราะแน่นอนเราไม่อาจเก็บดอกผลที่สมบูรณ์จากต้นที่เป็นโรค เมื่อเธอเป็นคนดี อัลลอฮฺก็จะส่งคู่ครองที่ดีให้ อินชาอัลลอฮฺ แม้การเขียนบันทึกถึงลูก มันอาจจะดูเหมือนเรื่องตลก และข้ามขั้นเรื่องคู่ครองไป แต่อุสตาซคิดว่ามันอาจจะทำให้เธอมีเป้าหมายและหนักแน่นต่อการรับใช้อัลลอฮฺมากขึ้น เพราะเมื่อเธอเขียนถึงลูกและความคาดหวังต่อลูก มันก็คือการตอกย้ำต่อตัวเธอเองว่าเธอต้องเป็นอย่างนั้นเช่นกัน” “ญะซากัลลอฮุค็อยร็อนอุสตาซครับ” หลังสิ้นคาแนะนำ ของอุสตาซจนบัดนี้ ผมยังไม่เคยเขียนบันทึกถึงลูกผมหรอกครับ ผมเขียนเพียงถ้อยคำสั้นๆ ไว้ในกระดาษ มันไม่ได้เป็นบันทึก แต่เป็นข้อเตือนใจให้ผม ซึ่งเขียนติดไว้ในตาแหน่งที่มองเห็นได้ทุกวันก่อนออกจากบ้านและกลับมา ข้อความที่ว่า “แน่นอนเราไม่อาจเก็บดอกผลที่สมบูรณ์จากต้นที่เป็นโรค” ยังคงดังในโสตประสาทและหนักแน่นอยู่ในใจผมเรื่อยมา

-จบ-
ตอนนี้ผมเป็นชายวัยกลางคนที่มีครอบครัวแล้ว เราได้รับความเมตตาจากอัลลอฮฺมากมาย ผมพยายามทำหน้าที่อันมีเกียรติของผู้เป็นพ่อและสามีอย่างดีที่สุด นี่คืออะมานะฮฺที่ยิ่งใหญ่ ถ้าผมต้องจากไปก่อน ก็ยังอยากได๎รับเกียรตินี้อีกครั้งในสวรรค์ อินชาอัลลอฮฺ ผมอยากให้ภรรยาของผมตอบเหมือนแม่ของผม เมื่อครั้งที่ผมถามแม่วำ ทำไมแม่ไม่แต่งงานใหม่!

‘رَبَّنَا هَبْ لَنَا مِنْ أَزْوَاجِنَا وَذُرِّيَّاتِنَا قُرَّةَ أَعْيُنٍ وَاجْعَلْنَا لِلْمُتَّقِينَ إِمَامًا’
 “โอ้พระผู้อภิบาลของเรา ขอทรงโปรดประทานแก่เราซึ่งคู่ครองและลูกหลาน ให้เป็นที่รื่นรมย์แก่สายตาของเรา
และขอทรงโปรดให้เราเป็นแบบอย่างแก่บรรดาผู้ยาเกรง”
(อัลฟุรกอน : ๗๔)

[หนังสืองานว่ะลีมมะฮตุ้นนิกาห์ ซอฟวัน-รอฮานี | นุรุดดีน | 23 มีนาคม 2556]

4
บทความ / Re: - ฮิญาบของเรา -
« เมื่อ: ก.พ. 12, 2013, 04:38 PM »
-3-

สำหรับพี่น้องมุสลิมะฮฺที่กำลังทำร้ายฮิญาบของตัวเอง ไม่ว่าด้วยการปฏิเสธมันหรือเอามันไปดัดแปลงเข้ากับเครื่องแต่งกายอื่นๆ จนกลายสภาพเป็นเพียงผ้าผืน๑ ที่ไม่ใช่ฮิญาบตามความหมายเต็มของมันอีกต่อไป อยากให้ท่านลองพิจารณาอีกทีให้ถี่ถ้วน เพราะมันมีวิธีคิดเยอะแยะตาแป๊ะที่จะช่วยให้เราตระหนักในความไม่เมคเซ้นส์ของสิ่งที่เรากำลังกระทำอยู่ เหตุผลสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการรังแกฮิญาบคงหนีไม่พ้นเรื่องความสวยความงาม แฟชั่นและอะไรเทือกๆนั่น คือ เรามองว่า ฮิญาบที่ถูกต้องตามหลักการจริงๆนั้นมันไม่สวย ไม่ทันสมัย จำเป็นต้องเอาไปสมานฉันท์กับแฟชั่นที่เราเห็นว่ามันสวยและอินเทรนด์สักหน่อยเพื่อการไม่เป็นตัวประหลาดเกินไป แต่มันเป็นวิธีการคิดที่ใช่แล้วหรือจ๊ะ ?

ส่วนตัวแล้วมีความเชื่ออย่าง๑ ว่าความสวยนั้นเป็นเรื่องของแต่ละสายตา บางคนสวยสำหรับบางคน แต่ไม่เลยสำหรับอีกบางคน ร้ายตรงที่หลายครั้งสายตาของเราก็ถูกค่านิยมและอะไรต่อมิอะไรอีกหลายอย่างยัดเยียดมาตรฐานความสวยให้ทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว ครั้ง๑ คนไทยเคยชอบผิวสีออกเหลืองนวล แต่เดี๋ยวนี้ต้องขาวอมชมพูเป็นชมพู่เคลือบสตอร์เบอรรี่เท่านั้นนะ ถึงจะน่าฝันถึง หรือเมื่อก่อนแฟชั่นเสื้อผ้าตัวโคร่งๆมาแรง หลายคนก็มองว่าเสื้อตัวยาวย้วยนั้นช่างแสนจะเก๋ไก๋ ครั้นเมื่อแฟชั่นพลิกกลับสู่ยุคหินและสังคมชนเผ่าที่เสื้อผ้าเพียงแค่น้อยชิ้น หลายคนที่ว่านั้นก็กลับมองว่ายิ่งเล็กยิ่งสั้นยิ่งสวย


-4-

ข้าพเจ้าเคยได้สนทนากับคนต่างศาสนิกบางคนที่สงสัยว่าผู้หญิงมุสลิมไม่อยากใส่อะไรสวยๆบ้างหรือ  โอเค มันมีวิธีการตอบที่น่าฟังว่าเราสามารถสวยได้เต็มที่ในบ้านของเรา แต่ไม่รู้สิ สำหรับตัวเองนะ รู้สึกแบบที่มุสลิมะฮฺใส่กันอยู่นี่แหละอย่างสวยเลย คือ มันสวยแบบเรียบร้อย มีค่า ชวนให้เกียรติ ในขณะเดียวกันก็ไม่เคยมองเห็นเลยว่ากางเกงแล็คกิ้งที่แทบจะตรัสรู้ขนาดขาคนใส่ว่าใหญ่กี่เซนกี่มิลนั้นสวยตรงไหน จริงๆนะ พยายามมองหาความสวยของมันมาตลอดเวลาที่พบคนสวมใส่ แต่ไม่เคยหาพบไม่ว่าจะเอียงมองในองศาไหน หรือการแต่งหน้าเติมตาสีนู้นสีนี้มันดูดีตรงไหน เคยบอกกับเพื่อนด้วยซ้ำว่าถ้าแบบนี้เรียกว่าสวย พวกชนเผ่าอะบอริจินหรือพวกอินเดียแดงที่เอาสีมาแต้มหน้าก็สวยเหมือนกัน สีนวลหน้าแบบที่อัลลอฮฺให้มานี่แหละสวยเย็นตาสบายใจที่สุดแล้ว อันนี้พูดจริงๆนะ คือ อยากจะสื่อให้เห็นว่าจริงๆแล้วความสวยมันเป็นเรื่องของแต่ละสายตามอง ฉะนั้นสำหรับมุสลิมะฮ์ที่ใช้อิสลามเป็นเครื่องกำหนดทัศนคติในทุกๆเรื่องแล้ว เขาจะไม่รู้สึกว่าตัวเองต้องเสียสละอะไรมากมายเลยกับการคลุมฮิญาบ เพราะมันคือเครื่องแต่งกายแบบที่ตัวเขารู้สึกว่าสวยน่าใส่และทำให้หัวใจเราผูกพันกับผู้สร้าง เราอยากสวยในนิยามของพระองค์ เมื่อคิดได้ดังนั้นทุกกระแสสังคมที่พัดเอาเด็กสาวจำนวนมากเตลิดไปนั้นก็จะไม่สามารถทำอะไรเราได้เลย และมันรู้สึกชะมัดกับชัยชนะครั้งนี้ บินัศริลลาฮ์



5
บทความ / Re: - ฮิญาบของเรา -
« เมื่อ: ก.พ. 11, 2013, 09:13 PM »
-2-

เมื่อลองพิจารณาหลายประเทศ /องค์กรที่ (ยัง) ต่อต้านการแต่งกายที่ว่าด้วยฮิญาบ จริงๆ แล้วมันไม่มีวิธีคิดบนพื้นฐานของเหตุผลที่ประเทืองปัญญาใดๆมาอธิบายการต่อต้านฮิญาบได้อยู่แล้ว ข้ออ้างประเภทที่นักเรียนใส่ฮิญาบแล้วขัดกับศีลธรรมอันดี พยาบาลใส่ฮิญาบแล้วไม่ทะมัดทะแมง ครูใส่ฮิญาบแล้วบังกระดานและอะไรอีกสารพัดจะสรรหามานั้นมันไร้สาระแค่ไหน ไม่ต้องนับข้ออ้างสำคัญของตะวันตกว่าฮิญาบละเมิดสิทธิมนุษยชนอันนำมาซึ่งกฏหมายห้ามคลุมฮิญาบซึ่งยิ่งกว่าละเมิดสิทธิมนุษยชนคือ ที่สุดแล้ว มันไม่มีเหตุผลอะไรเบื้องหลังกาต่อต้านฮิญาบนอกจากฮิญาบคือ สัญลักษณ์ของสัจธรรม และพวกเขารังเกียจสัจธรรม..แค่นั้นเอง

จึงเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้งแดงแจ๋ว่าทำไมแม่ชีคลุมศีรษะได้ แต่มุสลิมะฮฺคลุมฮิญาบไม่ได้ไม่ใช่เพราะตัวผ้าบนหัวหรอกที่ถูกต่อต้าน แต่เพราะอุดมการณ์เบื้องหลังผ้าต่างหาก ทว่าอย่าได้กลัวไป ถึงอย่างไรสัจธรรมก็ต้องถูกพิทักษ์รักษาไว้ ไม่มีใครทำลายได้ ใครก็ตามในหมู่พวกเราที่กำลังอยู่บนเส้นทางแห่งการพิทักษ์สัจธรรมนี้ ก็ขอให้รู้ว่าที่เรากำลังรักษาคือ ตัวเราเอง รักษาตัวเองให้เป็นผู้รอดพ้นด้วยการยืนหยัดในสิ่งที่เชื่อมั่นแม้ต้องรับมือกับการต่อต้านหนักหนาแค่ไหนหรือรูปแบบใด ถ้าเราถอย สัจธรรมจะยังคงอยู่ อัลลอฮฺจะพิทักษ์มันไว้ แต่เราเองต่างหากที่จะแย่ เพราะไม่มีใครพิทักษ์เรา ตราบที่เราไม่พิทักษ์สัจธรรม

6
บทความ / - ฮิญาบของเรา -
« เมื่อ: ก.พ. 11, 2013, 01:09 PM »


-1-
ในบรรดาข้อแตกต่างระหว่างชายหญิงอันมีสารพัดสารพันข้อ นอกเหนือจากการได้สัมผัสความรู้สึกของการเป็นแม่คนแล้ว ก็มีฮิญาบนี่แหละที่ตัวเองคิดว่า มุสลิมะฮฺควรภาคภูมิใจให้สุดซึ้ง และเข้าใจได้อย่างกระหยิ่มหน่อยๆ ถ้าเกิดจะมีมุสลิมีนสักคนบอกว่า อิจฉา เพราะนอกจากมุสลิมะฮ์แล้ว ไม่มีใครรู้หรอกว่าความรู้สึกขณะที่ได้คลุมฮิญาบเดินไปบนท้องถนนอันเกลื่อนไปด้วยเครื่องแต่งกายที่หดสั้นทั้งขนาดและจำนวนนั้น มันเจ๋แค่ไหน การได้ไว้เคราของมุสลิมีนก็คงคล้ายๆ กัน แต่แน่ล่ะว่าไม่ใช่คนไว้เคราทั้งหมดจะเป็นมุสลิม ในขณะที่คนคลุมฮิญาบร้อยละร้อยเป็นมุสลิมะฮฺแบบฟันฉับได้ แถมฮิญาบยังเป็นสัญลักษณ์ที่โดดเด่นเห็นชัดกว่าการไว้เคราอีกหลายเท่าแน่ะ

เราแตกต่าง เราถูกจ้องมอง เรารับรู้เครื่องหมายเควชั่นมาร์คบนใบหน้าและหัวคิ้วยับย่นของบางคนที่พบเห็น แต่มันรู้สึกดีอธิบายไม่ถูกเมื่อได้คิดว่า เหนือสายตาของผู้คนและความผิดแผกแตกต่างระหว่างเรากับพวกเขาขึ้นไป มีสายตาของผู้๑ จับจ้องอยู่ ผู้ที่ออกแบบเครื่องแต่งกายนี้มาให้เรา เราสนทนากับพระองค์ว่า นี่ไงคะ ข้าพระองค์ได้แสดงการภักดีต่อพระองค์ผ่านการแต่งกายตามที่พระองค์สั่งใช้แล้ว และด้วยสำนึกแบบนี้ เราก็จะพยายามมุ่งไปสู่การบรรลุถึงความหมายอันครบถ้วนของฮิญาบ นั่นคือ ไม่ใช่แค่เครื่องแต่งกาย แต่คือ ทั้งหมดของเครื่องแต่งใจ แต่งกิริยา แต่งการแสดงออก เราล้วนพยายามคลุมฮิญาบให้มิดชิดในทั้งหมดของความหมายนั้น

ในนัยนี้ฮิญาบจึงไม่ใช่แค่ผ้าผืน๑ หรือเพียงเครื่องแต่งกายของมุสลิมะฮฺเท่าๆกับที่การต่อต้านหิญาบที่ระบาดอยู่ในหลายสังคมก็ไม่ใช่การต่อต้านเครื่องแต่งกายของมุสลิม แต่คือ การต่อต้านความเชื่อ ความศรัทธา และวิถีชีวิตแห่งการภักดีของผู้ศรัทธา นั่นคือ เหตุผลว่าทำไมมุสลิมถึงยอมไม่ได้และไม่มีวันได้เมื่อมีการประกาศสงครามกับฮิญาบไม่ว่าจะอยู่ภายใต้ข้ออ้างใด

7

เคยเข้าใจว่าการทำให้คนอื่นยิ้ม
และหัวเราะร่านั้นเป็นการหยิบยื่นสิ่งดีดีให้
แต่หารู้ไม่ว่าหากมันเกิดในปริมาณที่มากจนเกินไป
... ผู้ที่เป็น 'สาเหตุ' ทำให้ผู้อื่นหัวเราะจำต้องพิจารณาตัวเอง

ฉันโยนคำถามให้ตนเองลองตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า
..กี่มากแล้ว ที่ความขำขัน(อันมีเราเป็นสาเหตุ)
ได้ฆาตกรรม 'เวลาในการซิกรุลลอฮฺ' ของพี่น้องอย่างเลือดเย็น อัสตัฆฟิรุลลอฮฺ !!

เรามัวแต่พยายามสร้างรอยยิ้ม ที่ไม่มีสาระใดใดเจืออยู่เลย
..เพียงเพื่อแลกกับรอยยิ้มที่ปรากฏตัวเพียงไม่กี่วินาที
..และเพียงเพื่อเสียงหัวเราะที่ไม่ทำให้หัวใจอ่อนนุ่มลงแม้แต่น้อย

การกระทำที่ไร้น้ำหนักบนตราชั่งเช่นนี้หรือ
ที่เรายังพยายามจะทำ ?

ความสงบ อาจเป็นคนละเรื่องกันกับ ความสุข

ไม่ใช่เรื่องแปลกและยากจะเข้าใจ
ที่คนหัวเราะทั้งวันจะมี 'ความสุข'
แต่ไม่ใช่เรื่องง่าย สำหรับหัวใจที่รักสนุก..จะเต็มไปด้วย 'ความสงบ'..

ดังนั้น มันคงจะดี หากเรามาช่วยกันสร้างความสงบใจ ให้แก่กันและกัน ดีกว่ามุ่งเน้นความสุขแกนๆ ที่แสนจะไม่จีรังอย่างเสียงหัวเราะ

และเพราะเสียงหัวเราะจากลำคอ ... มิอาจเทียบได้กับการเคลื่อนไหวอันแผ่วเบาของริมฝีปากที่ซิกรุลลอฮฺ

أَلاَ بِذِكْرِ اللّهِ تَطْمَئِنُّ الْقُلُوبُ
"ด้วยการรำลึกถึงอัลลอฮฺเท่านั้น จะทำให้จิตใจสงบสุข"
(13:28)
[/size]

จำไว้นะ...
ความสุข สร้าง รอยยิ้ม ที่ 'แก้ม'
แต่ ความสงบ สร้าง รอยยิ้ม ที่ 'หัวใจ'

-ขออัลลอฮฺทรงตอบแทนความดีงามแด่เธอ..น้องสาวที่น่ารักคน๑-

8
บทความ / Re: -ว่าด้วยการอ่าน-
« เมื่อ: ธ.ค. 20, 2012, 04:02 PM »

เด็กๆ เป็นสิ่งมีชีวิตที่บริสุทธิ์ พวกเขาเหมือนไม๎ต๎นจิ๋วที่ใครให๎ปุ๋ยอะไรก็รับ และด๎วยความที่ยังเป็นต๎นอํอน ทุกปุ๋ยที่รับไปจึงคือสํวนที่จะกลายมาเป็นรากอันต๎องใช๎ยืนต๎นไปยันโตใหญํ อยากให๎เด็กๆ ของเราเติบโตมาบนรากชนิดไหนก็เลือกใสํปุ๋ยกันตามอัธยาศัยเถิด หากถ๎าเราเป็นคนหนึ่งที่รู๎ความไมํลับวำที่จริงแล๎วการใสํปุ๋ยต๎นไม๎จิ๋วเหลำนี้คืออมานะฮฺที่ต๎องถูกสอบสวนด๎วย และมันทำให๎เราสำเหนียกวำต๎องให๎ปุ๋ยที่ดีที่สุดตามกำลังความสามารถที่มีแล๎วลํะก็ โปรดจำไว๎อยำงหนึ่งวำปุ๋ยที่ดีที่สุดสำหรับไม๎อํอนที่มีชื่อวำเด็กๆ ก็คือการกระทำของผู๎ใหญํรอบตัวเขา ดังนั้นถ๎าอยากให๎ลูกหลานรักการอำน เราเองก็ต๎องเป็นผู๎ที่รักการอำนเสียกํอน เด็กๆ จะรักอัลกุรอานได๎อยำงไร ถ๎าไมํแม๎แตํจะเคยเห็นพํอแมํของพวกเขาอำนมัน

[หนังสือเล่ม๑]

9
บทความ / -ว่าด้วยการอ่าน-
« เมื่อ: ธ.ค. 19, 2012, 03:34 PM »



‘สอนลูกให้รักการอ่าน เป็นสะพานสู่สวนสวรรค์’
[อุมมุชะฮีด-อบูชะฮีด]


'จงอ่านด้วยพระนามแห่งพระเจ้าของเจ้า ผู้ทรงบังเกิด ทรงบังเกิดมนุษย์จากก้อนเลือด จงอ่านเถิด และพระเจ้าของเจ้านั้นทรงใจบุญยิ่ง ผู้ทรงสอนการใช้ปากกา ผู้ทรงสอนมนุษย์ในสิ่งที่เขาไม่รู้'

[อัลอะลัก: 1-5]


             นี่คือกลุ่มอายะฮฺที่เปลี่ยนแปลงโลกทั้งใบและมันมีคำว่า ‘จงอ่าน’ ปรากฏอยู่ถึง ๒ ครั้ง ครั้งแรกตามด้วยคำอธิบายถึงคุณลักษณะของผู้สั่งว่า ‘พระองค์คือผู้ทรงบังเกิดมนุษย์จากก้อนเลือด’ ส่วนครั้งที่ ๒ อธิบายว่า ‘พระองค์คือผู้ทรงใจดียิ่ง ผู้ทรงสอนมนุษย์ด้วยปากกา’

             การอ่านได้ถูกเชื่อมโยงเข้ากับการสร้างและการสอนให้ใช้ปากกาก็ถูกนำมาอธิบายให้เห็นความใจดีของอัลลอฮฺทั้งหมด นี่คือสารแรกที่มนุษย์ถูกใช้ให้สดับ ซุบฮานัลลอฮฺ จะมีศาสนาไหนให้ความสำคัญกับการอ่านมากเท่านี้อีก เพียงไตร่ตรองความลึกซึ้งของโองการเหล่านี้ก็เพียงพอแล้วที่มุสลิมทุกคนจะรักการอ่าน

            นักสร้างบ้านแห่งอิสลามควรจะต้องเป็นบุคคลแห่งการอ่านที่อ่านเป็นและก็รักที่จะอ่านด้วย

            ‘ความรักที่จะอ่าน’ นี่มันลึกซึ้งกว่า ‘การอ่าน’ เพียวๆ หรือการอ่านที่ไม่ได้มีใจรัก ต่างกันทั้งความรู้สึกและประสิทธิผลเลยล่ะ น่าสังเกตว่าคุณลักษณะที่อัลลอฮฺใช้กล่าวถึงพระองค์เองในกลุ่มอายะฮฺแห่ง ‘จงอ่าน’ เป็นคุณลักษณะแห่งความเมตตา-ใจดี ที่ล้วนทำให้เกิดความรัก ฉะนั้น สำหรับผู้ศรัทธาแล้ว ‘รักการอ่าน’ จึงเป็นเรื่องที่ผูกโยงกับ ‘รักอัลลอฮฺ’ เพราะเมื่อเรารักผู้ทรงสั่งว่า ‘จงอ่าน’ แล้ว มันก็ไม่ยากเลยที่เราจะรักการอ่านไปด้วย

           หนังสือที่น่ารัก..อันหมายถึงมีค่าน่าที่จะรัก เป็นอีกวัตถุดิบสำคัญที่จะช่วยให้เรารักการอ่าน  บ้านอแห่งอิกเราะอฺย่อมไม่ละเลยที่จะจัดหารหนังสือที่น่ารักมาไว้ที่บ้าน (การคัดเลือกหนังสือเป็นอีกเรื่องที่เราควรใส่ใจท่ามกลางสังคมที่มีหนังสือสอดไส้อันตรายอยู่ไม่น้อย) เด็กๆจำนวนมากเชียวล่ะ ที่รักการอ่านขึ้นมาอันเนื่องจากมองไปทางไหนในบ้านก็เห็นแต่หนังสือ หมดทางที่จะคิดทำอะไรอื่นนอกจากนั่งลงแล้วอ่านมัน นักอ่านตัวจิ๋วเหล่านี้มักจะเป็นเด็กที่อยู่ง่าย ไปวางแหมะไว้ตรงไหนก็ได้ ขอเพียงแค่มีหนังสือให้อ่าน

            การสร้างกิจกรรมส่งเสริมการอ่านภายในครอบครัว เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยสร้างบ้านแห่งอิกเราะอฺขึ้น กิจกรรมที่ว่านี้มีตั้งแต่การนำเนื้อหาของหนังสือที่คัดเลือกมาคุยกัน ตั้งโจทย์ให้สมาชิกไปหาคำตอบจากหนังสือ การให้รางวัลกันด้วยหนังสือ ไปจนถึงการบริจาคหนังสือให้คนอื่นๆ ทั้งหมดนี้ไม่เพียงสร้างบรรยายกาศแห่งการอ่านขึ้นในบ้าน แต่ยังทำให้การอ่านนั้นเป็นไปอย่างมีชีวิตชีวา
 
            บ้านของผู้ศรัทธายังควรไปต่อให้ถึงจุดหมายอันลึกซึ้งของ ‘จงอ่าน’ นั่นคือ อ่านแล้วก็ปฏิบัติและเผยแพร่ บุญคุณของอัลลอฮฺที่ถูกยกมาพูดถึงหลังคำสั่ง ‘จงอ่าน’ ก็คือ ‘ทรงสอนด้วยปากกา’ ซึ่งเป็นวัตถุที่ใช้สำหรับการสื่อสารออกไป ฉะนั้นได้อ่านอะไรมาได้ ได้รู้อะไรไป ก็อย่าลืมเผยแพร่ต่อ ไม่ว่าจะด้วยปากหรือปากกา

           อิกเราะอฺ-จงอ่าน: คำสั่งแรกที่ถูกสั่งใช้แก่ประชาชาชาตินี้
           พ่อแม่ที่มีนิสัยรักการอ่านจะสามารถปลูกฝังนิสัยรักการอ่านนี้ให้แก่ลูกๆ
           ประชาชาตินี้ไม่สามารถเป็นประชาชาติแห่งนักอ่านได้ หากพ่อแม่ไม่ได้เป็นประชาชาตินักอ่านมาก่อน!


|บางส่วนบางตอนจากหนังสือที่ระลึกงานวะลิมะตุนนิกาห์ สุมัยยะฮฺ-นาอีม 2555 | การอ่าน |พี่หนูดี|

10
บทความ / -ฉันไม่มีเงิน-
« เมื่อ: ต.ค. 19, 2012, 04:01 PM »


ในโลกที่นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า ดาวเคราะห์ดวงสีน้ำเงิน
โลกที่บรรจุและเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘มนุษย์' อาศัยรวมอยู่ด้วย
โลกที่มนุษย์ส่วนใหญ่ แข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อการได้มาซึ่งการเป็นคนที่ถูกยอมรับในสังคม
การมีหน้าที่ทำงานที่ดี มีเงินเดือนงามๆ มีบ้านหลังใหญ่โตราวกับว่าพวกเขาจะอาศัยอยู่ในดาวเคราะห์ดวงนี้ตลอดไป
ใช่! โลกนี้แหละ-โลกที่ผู้คนต่างพากันสร้างสรรค์ตกแต่งบ้านเรือนที่นับวันพวกเขาเองกำลังจากมันไป แต่กลับละทิ้งการสร้างสรรค์ตกแต่งบ้านเรือนที่ในไม่ช้าพวกเขาเองจะต้องเดินทางไปอาศัยในมัน

ฉัน คือมนุษย์คน๑ ที่พระเจ้าทรงเมตตาให้อุบัติขึ้นมาบนดาวเคราะห์ดวงนี้
และอีก๑ อภิมหึมามหาความเมตตามากกว่าอินฟินิตี้ นั่นคือ ‘ความเป็นมุสลิม’
...ที่พระเจ้าทรงเลือกให้เป็นของขวัญวันเกิดให้แก่ฉัน อ่อ รวมถึงการได้เป็น๑ ในสมาชิกของครอบครัวที่มีไออุ่นของอิสลามเป็นรั้วรักนั่นด้วย

ด้วยประการฉะนี้ ฉันจึงขอโมเมอย่างมั่นใจเอาเองว่า ฉันคือคนโชคดีที่สุดคน๑
และถ้าเปรียบเทียบกับคนอื่นโดยทั่วไปในโลกนี้
ฉันจัดเป็นครอบครัว๑ ไม่ได้ร่ำรวยและไม่ใช่ผู้ดีแน่ๆ แต่ฉันมั่นใจว่าฉันคือคนโชคดีคน๑ นะ-อินชาอัลลอฮฺ

ฉันเกิดมาในบ้านที่ฉันกล้าเรียกได้เต็มปากเต็มฟันว่า ‘บ้าน’-อินชาอัลลอฮฺ
(แอบทึกทักและนิยามมั่วเอาเองว่า บ้านน่ะไม่ใช่แค่สิ่งประดิษฐ์ชนิด๑ ที่มีเสา ผนังและหลังคาเป็นองค์ประกอบหลัก
จริงๆแล้วบ้านคือ สถานที่มีสมาชิกอันประกอบไปด้วยพ่อแม่ลูกและที่ขาดไม่ได้คือความรัก! ใช่ โฮมสวีทโฮมเลยแหละ)

บ้านฉันไม่มีรั้วกั้นสวยๆรอบบ้านอย่างในละคร ไม่มีเสาโรมันหน้าบ้าน ไม่มีเฟอร์นิเจอร์งามๆ ประดับประดา
และไม่ห่างไกลเท่าไหร่กับคำว่ากระท่อม เพียงแต่บ้านฉันแอบดูดีกว่าพี่กระท่อมนิด๑ แค่นั้นจริงๆ
..หลายครั้งเราจึงแทบไม่ต้องกังวลว่าอะไรจะหายไป เมื่อยามที่เราต้องออกจากบ้านไปไหน
พ่อสอนพวกเราเสมอว่า ผู้ที่อัลลอฮฺรักที่สุด อย่างอัลหะบีบ (ซ.ล.) มีชีวิตที่สมถะที่สุด เรียบง่ายที่สุด
ถ้าเราเคยชินกับความสุขสบาย เราจะเอาหัวใจที่ไหนไปใคร่ครวญและแสวงหาการได้เจอความสุขที่แท้จริงอย่างที่ทุกประสาทสัมผัสเราไม่เคยสัมผัสล่ะลูก..

บ้านฉันไม่มีรถยนต์คันงามจอดเหมือนหน้าบ้านของคนอื่นเขา
สำหรับฉันหากต้องไปไหนไกลๆ รถประจำทางนี่อย่างโก้หรูดูดีสุดแล้ว
พ่อสอนพวกเราว่า เราจะหาความสุขสบายเหล่านั้นไปทำไมกัน ?
ในเมื่อผู้ที่อัลลอฮฺรักที่สุด ยังรักและสนิทสนมกับความยากลำบากเลย
รถประจำทางที่เราอัลลอฮฺเมตตาให้เราได้นั่งก็สบายโขแล้ว คนบางคนไม่มีโอกาสนั่งอย่างเราเลยนะลูก..
นี่คือตัวอย่างเล็กน้อยจากหลายร้อยเรื่องราวในบ้านที่ฉันภูมิใจและสุขใจเรียกมันว่า ‘บ้าน’
แม้ครอบครัวของฉันถูกจัดอยู่ในประเภทของคนรากหญ้า ไม่มีบ้านหลังโต ไม่มีรถยนต์คันโก้หรู ฉันไม่ได้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจใดๆ เลยสักนิด ขอสาบานด้วยผู้ที่ส่งอิสลามมาเป็นของขวัญแก่ฉันและครอบครัวฉันว่า ไม่มีความดีใจและการขวนขวายใดๆ อีกแล้วในหัวใจดวงนี้เว้นแต่ การได้เป็นบ่าวที่น่ารักของพระองค์และความหวังที่จะได้เจอเจ้าของชีวิตและเจ้าของของขวัญล้ำค่า..
นั่นคือ สิ่งที่ฉันหวังที่สุดและคือสุขสุดที่สุดในชีวิต

เวลาพวกเรางอแงพ่อมักหยิบฮะดิษและดุอาอ์บท๑ มาพูดให้ฟังเสมอว่า
ให้พวกเราลองพิจารณาดุอาอ์ของผู้ที่อัลลอฮฺรักที่สุดขอดูสิ ทั้งๆที่แม้นท่านจะขออะไร
อัลลอฮฺก็พร้อมตอบรับเสมออย่างทันทีทันใจ เพียงแต่ให้ท่านขอ..
อัลหะบีบทรงขอต่ออัลลอฮฺเป็นประจำว่า ;

«اللَّهُمَّ أَحْيِنِي مِسْكِينًا، وَأَمِتْنِي مِسْكِينًا، وَاحْشُرْنِي فِي زُمْرَةِ الْمَسَاكِينِ»
 “โอ้ อัลลอฮฺ ขอทรงโปรดให้ข้าได้อยู่อย่างคนจน ตายอย่างคนจน และรวบรวมข้า(ในวันกิยามะฮฺ)ในหมู่คนจน”
[หะดีษ หะสัน บันทึกโดยอิบนุ มาญะฮฺ : 4126 ดู เศาะฮีหฺ สุนัน อิบนิ มาญะฮฺ : 3328 ดู อัล-อิรวาอ์ : 861 และดู อัส-สิลสิละฮฺ อัศ-เศาะฮีหะฮฺ : 308]

พร้อมกับทิ้งท้ายอย่างสวยงามจนพวกเราใบ้รับประทานกันเลยทีเดียวว่า;
ลูกๆ เราเป็นนักเดินทางใช่ไหม ?
นักเดินทางชนิดไหนกัน จะขะมักขะเม่นและจริงจังต่อการปักหลักปักฐานที่นี่
เวลาคนเขาเดินทางกัน เขามีแค่เสื้อผ้าน้อยชิ้น กินอยู่อย่างง่ายๆ ที่อยู่ที่นอนแค่พอหลับซักงีบ เพราะเขาสำเหนียกอยู่เสมอว่า
พรุ่งนี้ก็ต้องเดินทางต่อแล้ว เป้าหมายอันงดงามรออยู่อยู่ข้างหน้านู้น 
ธรรมดาของชีวิตมนุษย์ที่ต้องเจอนานาบทดสอบ แต่ผู้ศรัทธาจะเก็บเกี่ยวอะไรได้มากกว่ามนุษย์ธรรมดาเสมอ
นั่นเพราะผู้ศรัทธาเชื่อมั่นอยู่เสมอว่า ขวากหนามทุกชิ้นตลอดเส้นทางคือความดีงาม อุปสรรคทุกอย่างคือ ผลตอบแทนและปลายทางที่อัลลอฮฺและนบีบอกเราไว้ก็หอมหวานชนิดที่ไม่เดิน ไม่ได้แล้ว! ..จริงไหมลูก ?


ใช่ ใครๆก็ว่า บ้านเราไม่มีเงิน ฉันขำในใจทุกครั้งที่ได้ยิน และอดสุขใจไม่ได้เมื่อนึกถึงคำของอัลอะมีน-ผู้ชายที่ไม่เคยพูดโกหกใคร
มันเป็นการยืนยันสถานะของครอบครัวที่ว่า ‘คนจนจะได้เข้าสวรรค์ก่อนคนรวย’
และคำสอนของพ่อที่ดังก้องในใจอันสงบของฉันอยู่เสมอว่า
‘การได้เกิดเป็นมุสลิมอย่างเรานี่แหละลูก ร่ำรวยที่สุดแล้ว เพราะ ‘แค่เรามีอัลลอฮฺ ต่อให้เราไม่มีอะไรอื่นสักอย่าง เราก็พอ แต่ถ้าหัวใจของเราไม่มีอัลลอฮฺต่อให้เรามีอะไรอื่นทุกอย่าง เราก็ไม่พอ! ไม่มีวันพอเลยหล่ะลูก’
และแล้วทุกๆ วันฉันก็เป็นคนไม่มีเงินที่มีความสุขที่สุดในโลก !

[หนังสืองานว่ะลีมมะฮตุ้นนิกาห์ รอฮานี-อัลอามีน | พี่ฅนโต | สำนักพิมพ์อาลีพานิชย์ กันยายน 2555]



12
:salam:

คำวิจารณ์จากผู้อ่าน

"เนื้อหาดี สำนวนการนำเสนอ ล้ำสมัย และให้ความรู้ ปลุกเร้าให้หึกเหิมในการทำความดี"

A+

والسلام عليكم ورحمة الله وبركاته

ว่ะอะลัยกุ้มมุสลาม ว่ะเราะฮมาตุลลอฮฺ ว่ะบะร่อกาตุฮฺ
อัลฮัมดูลิลลาฮฺ  ไม่มีพลังอำนาจ การนึกคิด การเคลื่อนไหวใดๆ นอกจากที่มาจากอัลลอฮฺ
ฉะนั้น พระองค์คือผู้ที่คู่ควรต่อทุกการสรรเสริญ อัลฮัมดูลิลลาฮฺ..

ญะซากัลลอฮฺ ค็อยร่้อนสำหรับคอมเมนเตชั่นค่ะแช
โดยส่วนตัวคิดว่า A+ เยอะไปนะคะ ด้วยระยะเวลา ไม่ทันได้ตรวจทานให่้ดี กลับมาอ่านอีกทีพบว่า แต่ละวรรคไม่ค่อยจะต่อเนื่องกันสักเท่าไหร่เลย

"ทุกๆ การงานของลูกหลานอาดัมจะเพิ่มพูนถึงสิบ
เท่าจนถึงเจ็ดร้อยเท่า อัลลอฮฺได้ตรัสว่า นอกจากการถือศีล
อด แท้จริงมันเป็นสิทธิของข้าและข้าจะตอบแทนมันเอง(โดย
ไม่กําหนดตายตัวว่าเพิ่มขึ้นเท่าใด) เขาได้ละทิ้งตัณหาและ
อาหารเพื่อข้า สําหรบผู้ที่ถือศิลอดนั้นมีสองความสุข(เบิกบาน
ใจ) ความสุขแรกตอนที่เขาละศีลอด และความสุขที่สองตอน
ที่ได้พบกับพระผู้เป็นเจ้าของเขา และแท้จริงกลิ่นปากของผู้ที่
ถือศีลอด ณ อัลลอฮฺนั้นหอมยิ่งกว่ากลิ่นของชะมดเชียงเสีย
อีก" 

(บันทึกโดยอัล-บุคอรี : 1894 และมุสลิม :1151)

ทำไมจึงยกเว้นเฉพาะการถือศีลอดคะ ?
(พี่น้องท่านใดสามารถอธิบายเพิ่มเติมได้อีก ขอเรียนเชิญนะคะ )

13



ว่ากันว่า ช่วงเวลาที่ดี สุดสุข และน่าหวงที่สุดของชีวิตมักผ่านไปเร็วอย่างน่าใจหาย
รู้ตัวอีกที ก็ตอนใกล้ถึงเวลาต้องละจากความรู้สึกแสนดีเหล่านั้นออกมานั่นแหละ
จนอาจได้ยินหลายเสียงบ่นเสียดายเป็นหมีกินผึ้ง นึกอยากเขกกะโหลกตัวเองบ้างอะไรบ้าง หรือไม่ก็แอบมองค้อนปฏิทินและนาฬิกาข้างฝาโทษฐานที่เดินเร็วและไม่ยอมส่งเสียงเตือน ทั้งๆ ที่ปฏิทินและเจ้านาฬิกามันก็ทำหน้าที่ปกติของมันอย่างไม่เคยจะบกพร่องเลยแม้แต่น้อย

เป็นเหมือนกันไหมที่การได้สูดอากาศในเดือนเราะมะฎอนเข้าไปเป็นอะไรที่โล่งจมูกและรู้สึกสบายปอดสุดๆ ราวกับว่า ชีวิตคนในเมืองหลวงที่มีโอกาสได้สูดดมอากาศในชนบทที่มีนาข้าวและภูเขาล้อมรอบ เช้าๆก็มีหมอกสดใสให้ตื่นตารื่นใจยังไงยังงั้น ทั้งที่ก็เป็นอากาศเหมือนๆกับหลายๆเดือนที่ผ่านมาที่มีสัดส่วนของก๊าชชนิดต่างๆในปริมาณที่คล้ายๆกัน ใครบางคนที่ไม่เคยรู้จักและมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเราะมะฎอนมาก่อนคงนั่งคิ้วขมวดพร้อมเครื่องหมายเควชั่นมาร์กและบ่นเสียให้ได้ว่าโพรงจมูกและปอดคู่นั้นคงไบแอสเหลือเกิน

การได้มีชีวิตอยู่เจอ รินรสและตักตวงทุกความดีงามในเดือนเราะมะฎอนนับเป็นอภิมหึมามหาการุณอย่างเว่อร์วี่ว่ากับชีวิต๑ ๆ ที่อัรเราะฮมานจะเมตตาให้ เดือนที่แต้มคะแนนของแต่ละอาม้าล (ยกเว้นการถือศีลอดซึ่งเป็นสิทธิของอัลลอฮฺและอัลลอฮฺจะตอบแทนเอง: ดูเพิ่มเติมใน 40 ฮะดิษเราะมะฎอน) ที่ทำนั้นมีแต่ระดับที่ทบเท่าทวีคูณเป็น ๑o-๗oo เท่า จะมีอะไรดีและน่ารักกว่านี้อีกไหม..ชีวิตที่ได้เจอเราะมะฎอนเป็นชีวิตที่น่ารักที่สุดแล้ว-อินชาอัลลอฮฺ
 
ไม่เกินไปเลยจริงๆ ที่จะยืนยันว่า นั่นคือ ความเมตตายิ่งกว่าอินฟินิตี้ ถ้าเราเคยศึกษาประวัติและปฏิกิริยาของผู้คนสมัยก่อนหน้าเราต่อการได้เจอกับเราะมะฎอน ผู้คนที่หัวใจของพวกเขาเป็นหัวใจชนิดพิเศษกว่าเราเป็นไหนๆ มองโลกนี้ทะลไปไกลถึงอาคีเราะฮฺตั้งหลายพันปีแสง  ผู้คนที่ดุนยาถือว่าร้ายกาจเหลือหลาย แต่กลับทำอะไรพวกเค้าไม่ได้ นอกจากยอมปล่อยให้พวกเขาเดินทางฝ่าข้ามไปอย่างไร้ปากเสียงและเงียบเชียบที่สุดราวต้องมนต์สะกด
ใช่แล้ว! พวกเขาคือ บรรดาซอฮาบะฮฺและสลัฟ ผู้คนที่หน้าประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า พวกเขาเคยรอคอยคืนวันของเราะมะฎอนแบบปีต่อปี รอด้วยหัวใจ อย่างคนที่เฝ้ารอคอยจะเจอคนรัก รอด้วยหวังและใจถวิลหา ดังที่มีรายงานว่าเมื่อเดือนเราะญับมาถึง พวกเขาจะขอดุอาอฺต่ออัลลอฮฺว่า
“โอ้อัลลอฮฺ โปรดประทานความจำเริญให้แก่เราในเดือนเราะญับและชะอฺบาน และโปรดให้เราบรรลุสู่เราะมะฎอน’’
นี่คือ สิ่งที่ผู้คนที่ละแล้วซึ่งทุกอย่างในโลกนี้ราวกับทุกอย่างเป็นแค่กองขยะกลับหวังและรอคอยเพื่อจะได้พบ

แต่แล้วเรา-ผู้คนที่ยังเห็นการละเล่นสนุกสนานแค่ชั่วครู่-ชั่วคราวของโลกนี้เป็นสุขสุดอยู่เสมอ ได้มีโอกาสใช้ชีวิตและสูดอากาศของเดือนนี้เข้าไปเต็มๆ ทั้งๆที่ไม่เคยเลยแม้แต่จะขอดุอาอฺหรือเตรียมตัวอย่างดีเพื่อจะเจอ (บางทีออกอาการอิดออดต่อการเข้ามาของเราะมะฎอนด้วยซ้ำไป -ขออัลลอฮฺปกป้องเราจากความรู้สึกเยี่ยงนี้)
เหล่านี้ยังไม่คู่ควร/ เพียงพออีกหรือโอ้ดิน-สิ่งถูกสร้างที่ต้อยต่ำเอ๋ยต่อการที่เจ้าจะศิโรราบอย่างนอบน้อมและขอบคุณ
...ยังไม่เพียงพออีกหรือโอ้ดินเอ๋ย ?
(‘การได้เป็นบ่าวที่ขอบคุณ’ อย่างไรนั้น  โปรดค้นและศึกษาจากแบบอย่างของบุคคลต้นแบบโดยพลัน แบบอย่างที่การตื่นขึ้นมาอิบาดะฮฺในยามค่ำคืนกระทั่งเท้าบวม ทั้งๆที่เป็นความผิดทั้งก่อนหน้า ปัจจุบันและอนาคตไม่มี เพราะท้ายที่สุดแล้วการเป็นบ่าวที่ขอบคุณด้วยหัวใจและการกระทำเป็นอะไรที่ดีต่อตัวเราเองนี่แหละ ทั้งๆที่หากไม่มีใครจะขอบคุณพระองค์ไม่เดือดร้อนเลยสักนิด!)

เมื่อมีโอกาสได้อยู่ในห้วงบรรยากาศของเราะมะฎอนแล้ว อะไรคือ แก่นแท้ของการได้ใช้ชีวิตในเดือนนี้กันนะ ?
คำตอบที่ชัดเจนที่สุดจากผู้ที่ส่งเราะมะฎอนมาให้เรามีเรียบร้อยแล้วนี่ไง

‘يَٰٓأَيُّهَا ٱلَّذِينَ ءَامَنُواْ كُتِبَ عَلَيۡكُمُ ٱلصِّيَامُ كَمَا كُتِبَ عَلَى ٱلَّذِينَ مِن قَبۡلِكُمۡ لَعَلَّكُمۡ تَتَّقُونَ’
‘โอ้ผู้ศรัทธาทั้งหลาย! พวกเจ้าถูกกำหนดให้ถือศีลอดในเดือนเราะมะฎอน) เช่นเดียวกับที่การถือศีลอดได้ถูกกำหนดแก่ประชาชาติก่อนหน้าพวกเจ้า เพื่อว่าพวกเจ้าจะยำเกรง’
[อัลบ่ะกอเราะฮฺ : 183]

..มิใช่เพื่ออะไรอื่นเลยจริงๆ แต่ ‘เพื่อให้เราได้ยำเกรง’ การถือศีลอดจึงถูกบัญญัติให้แก่พวกเราและบุคคลก่อนหน้าเรา
ถ้ากลับไปพิจารณา ส่วนต้นเลยของซูเราะฮฺเดียวกันนี้อีกทีเราก็จะพบว่า อัลลอฮฺบอกเราว่า อัลกุรอานนี่น่ะ เป็น "ฮุดา-ทางนำ" สำหรับผู้มี "ตักวา : ความยำเกรง" [ดูอัลบะกอเราะฮ อายะฮฺที่ 2]
คือใครไม่มีตักวา ก็จะไม่ได้สัมผัสความเป็นฮุดาของอัลกุรอาน อย่างที่เราะมะฎอนเค้าได้ฉายาว่า ‘ชะฮรุ้ลกุรอ่าน’
...นั่นหมายความว่า ท้ายที่สุดแล้ว เราถือศีลอด เรามุ่งสู่ความยำเกรง ก็เพื่อจะได้เข้าสู่การเป็นชาวอัลกุรอานที่สมบูรณ์นั่นเอง ซุบฮานัลลอฮฺ! การเข้าถึงทางนำแห่งอัลกุรอานคือสุดยอดของการถือศีลอดนั่นเอง

จริงๆ ด้วยระยะเวลาที่เราะมะฎอนได้แวะมาทักทายจนถึงโค้งสุดท้ายนี่ ช่วงเวลานี้ควรจัดเป็นช่วงเวลาที่ชีวิตได้ตีซิ้กับเราะมะฎอนถึงขึ้นสนิทแล้วไหมหนอ ?  คือ ชีวิตเรา’ควร’ (ขีดเส้นใต้หนาๆ อังศนา 48) เป็นชีวิตที่ผูกพันกับอัลกุรอ่านพอควรแล้วกระมัง ผูกอย่างเดียวไม่พอ ต้อง ‘พัน’ ไว้อย่างหนาที่สุด เชือกชนิดดีที่สุดด้วย เพื่อความแนบแน่นที่ดีและเพื่อให้ตลอดชีวิตของเราได้รักอัลกุรอ่าน เหมือนที่เราะมะฎอนรักอัลกุรอ่านและอัลกุรอ่านก็รักเราะมะฎอน เพราะเมื่อเรารักอัลกุรอ่าน อัลกุรอ่านก็จะรักเรา และเราะมะฎอนก็จะรักเราด้วย จะดีแค่ไหนหนอชีวิตที่ถูกรักด้วยอัลกุรอ่าน-ธรรมนูญที่สวยสด งดงาม อุ่นใจ มีคำตอบและเส้นทางที่ชัดเจนแจ่มแจ๋วที่สุดอย่างที่ควรเป็นธรรมนุญของทุกชีวิต-ที่ไม่มีธรรมนูญหรือวิถีชีวิตที่ผิดแปลกใดๆมาแทรกแซงและสั่นคลอนได้แม้จะเดือนใดหรือช่วงไหนๆ ของชีวิต

ไปดูตัวอย่างของคนก่อนหน้ากับการใช้เวลาในเราะมะฎอนกันไหม ? (เผื่อหัวใจบางดวงถึงหลายๆดวงจะรู้สึกอิจฉาและบอกกับตัวเองว่า ถ้าอยู่อย่างที่เป็นอยู่คงไม่ได้แล้ว)
จากงานเขียนของชัยค์อัซซาม กล่าวว่าในยุคของบรรดาคนสลัฟนั้น พวกเขาจะคำนวณนับเวลาในเราะมะฎอนกันเป็นนาที มีรายงานถึงบางคนในหมู่ตาบิอีน และยุคหลังจากพวกเขาเกี่ยวกับการอ่านอัล-กุรอ่านและการละหมาด โดยบางคนในหมู่พวกเขาสามารถคอตัมอัล-กุรอ่านถึง 60 ครั้ง ภายในเดือนเราะมะฎอน อิมามชาฟีอีย์ คือคนหนึ่งที่ถูกรายงานอย่างเจาจะจงในเรื่องนี้ ท่านคอตัมกุรอ่าน 1 รอบในช่วงกลางวัน และอีก  1 รอบในช่วงกลางคืน บางคนในหมู่สลัฟก็ใช้เวลา 3 วัน ในการคอตัม 1 รอบ จนกระทั่งถึงช่วง 10 คืนสุดท้าย ซึ่งพวกเขาจะเอี๊ยะติก๊าฟในมัสญิด ก็ลดลงเหลือเพียง 1 วัน สำหรับการคอตัม 1 รอบ

นอกจากนี้เชคอัซซามได้กล่าวว่า ฉันเคยได้ยินอบุลฮะซัน อันนัดวียฺกล่าวว่า “ฉันเห็นบรรดาครูของฉัน พวกท่านแต่ละคนแทบจะไม่พูดจากันเลยในเดือนเราะมะฎอน ทว่าพวกท่านทุ่มเทเวลาไปกับการทำอิบาดะฮฺ ทั้งการอ่านอัล-กุรอ่านและการละหมาด ถ้าใครสักคนมาพูดกับพวกท่าน พวกท่านก็จะนับคำพูดที่พวกท่านพูด และคำนวณเวลาที่พวกท่านใช้ไปในการนั้นเป็นนาทีและวินาที

เมื่อเราะมะฎอนมาถึง อิมามมาลิกจะไม่ยอมปล่อยให้ตัวท่านง่วนอยู่กับสิ่งอื่นใดมากไปกว่าอัลกุรอ่าน ท่านเคยยกเลิกการสอนและบรรยายวิชาต่างๆ ในช่วงเราะมะฎอน ด้วยเหตุว่านี่คือเดือนแห่งอัลกุรอ่าน

ซุบฮานัลลอฮฺ! ..
นี่แค่เป็นตัวอย่างเล็กๆน้อยที่แอบหยิบยกมาให้สมกับการเป็น ‘ชะฮรุลกุรอ่าน’ น่ะนะ (ยังมีหลากหลายเรื่องราวของอัลมุสฏอฟาและบุคคลรอบๆตัวท่าน บุคคลยุคหลังจากท่านจากการถือศีลอดแบบอย่างที่การอดข้าวอดน้ำทำร้ายท้องและลำคอของพวกเขาไม่ได้เลย นอกจากเป็นฐานและพลังให้พวกเขาใช้ไปสู่ดื่มด่ำและใกล้ชิดเจ้าของชีวิตอย่างแท้จริงและความสุขจากการได้ตื่นขึ้นมาอิบาดะฮฺในยามค่ำคืนที่พาหัวใจสั่นไหวอีกเยอะมากมายรอให้เราได้ลองไปศึกษาและแหวกว่ายในบรรยากาศและอิบาดะฮ์อันหอมหวานนั้นอยู่)
ไม่ต้องฉงนใจแล้วใช่ไหม? หากเกิดคำถามในใจอีกคราว่า แล้วนี่หัวใจเราและเขาต่างชนิดกันหรือไร ?
หัวใจของเขาคงเป็นหัวใจที่เปี่ยมล้นไปด้วย ‘ความยำเกรง’ ที่ถูกปลูก เติบโตและหยั่งรากแก้วลึกลงไปในหัวใจแน่ๆ
เราะมะฎอนที่แวะผ่านเข้ามาปีแล้วปีเล่า ก็อาจเป็นได้แค่ปุ๋ยชนิดดีที่สุดที่ส่งผลให้ ‘ความยำเกรง’ งอกเงยอย่างงดงามยิ่งขึ้นแก่หัวใจของผู้คนเหล่านี้เองกระมัง

ความหดหู่คืบคลานสู่ทุกอณูหัวใจอีกครั้งเมื่อหันกลับมามองตัวเองและถามตัวเองดังๆ ในใจเป็นครั้งที่ร้อยกว่าว่า แล้วหัวใจของเราล่ะ หัวใจของเราเป็นหัวใจชนิดไหนกันนะ แบบเดียวกับพวกเขาหรือมีอะไรคล้ายๆกับพวกเขาบ้างหรือป่าว ?

เราะมะฎอนล่วงมาถึงโค้งสุดท้ายแล้ว บางทีเมล็ดพันธุ์แห่งความยำเกรงยังโตได้ไม่ดีพออย่างที่ควรเป็น
หรือยังเป็นแค่ต้นกล้าเล็กๆ ที่พอจะสดชื่นขึ้นบ้างในวันที่ได้น้ำดีๆ อากาศแจ่มๆ กระนั้นแต่ก็ยังไม่แย่เท่าการที่เราทำเมล็ดพันธุ์นั้นหายไป อย่างนึกยังไงก็นึกไม่ออกว่าหล่นหายไปไหน ที่น่ากลัวสุดๆ คงไม่ถึงขึ้นดินไม่ดีปลูกยังไงก้คงไม่ขึ้นแน่ๆ..

ผ่านไปแล้วเรื่องราวของคนก่อนหน้ากับการแสวงหาและการอาศัยพลังจากเราะมะฎอนเพื่อทะยานไปสู่การใกล้ชิดกับผู้ที่เราควรรักและรักเราที่สุดในโลก  ผ่านมาแล้วแบบอย่างและเรื่องราวของพวกเขา แต่เรื่องราวของเรา-มนุษย์ที่ยังคงต้องแสวงหาความโปรดปรานเพื่อเป็นกุญแจไปสู่ประตูความสุขที่ไม่เคยมีในโลกนี้-ความสุขที่ตาไม่เคยเห็น หูไม่เคยได้ยินและหัวใจไม่เคยหยั่งถึง จำเป็นต้องดำเนินต่อไปกระทั่งกำหนดที่ชัดเจนมาถึง

โอ้นักแสวงหาความโปรดปรานและรางวัลอันยิ่งใหญ่ทั้งหลาย ขุมทรัพย์ใหญ่กำลังรออยู่ข้างหน้า ณ โค้งสุดท้ายของเราะมะฎอน รีบจัดการภารกิจดุนยาแล้วไปเสาะแสวงหากันเถอะ..

«لَيْلَةُ الْقَدْرِ خَيْرٌ مِنْ أَلْفِ شَهْرٍ»
"(การประกอบอิบาดะฮฺในค่ำคืน)ลัยละตุล ก็อดรฺดีกว่า(การประกอบ อิบาดะฮฺ)หนึ่งพันเดือน(ในค่ำคืนอื่นจากลัยละตุล ก็อดรฺ)"
(ซูเราะฮ์อัล-ก็อดรฺ:3)

ด้วยรัก ตักวา และเราะมะฎอน | ณ โค้งสุดท้ายของเราะมะฎอน 1433

14
อินนาลิลลาฮฺ ว่ะอินนาอิลัยฮิร่อญิอูน
แท้จริงเรานั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ  และยังพระองค์ที่เราต้องกลับคืนสู่

สัญญาณ๑ ของวันกียามะฮฺ อัลลอฮฺค่อยๆเก็บความรู้กลับไปเนอะ โดยให้คนที่อาเหล่มค่อยๆ กลับไปหาพระองค์ทีละคนๆ

ขอให้อัลลอฮฺทรงรักและเมตตาท่าน ขอให้กุบุรของท่านกว้างขวาง สว่างไสว
ด้วยการงานที่ยังคุณค่าและความรู้ที่มีประโยชน์แก่พี่น้องทั้งหลายของท่าน
ขออัลลอฮฺทรงตอบแทนท่านด้วยสิ่งงดงามที่ตาไม่เคยเห็น หูไม่เคยได้ยินและหัวใจไม่เคยหยั่งถึง
อามีน ยาร็อบบัลอะลามีน..

15
มุมมุสลิมะฮ์ / + ห ญิ ง ค น ดี +
« เมื่อ: ก.ค. 09, 2012, 04:05 PM »



“โลกนี้ คือสิ่งอำนวยสุข และสิ่งอำนวยสุขที่ดีเยี่ยมที่สุดในโลกนี้ คือ ผู้หญิงคนดี
(บันทึกโดยมุสลิม l หะดีษหมายเลข 1467)


ที่อัลอะมีน (ศ็อลล็อลลอฮูอะลัยฮิว่ะซัลลัม) ยืนยันว่าคือสุดสุข..
มิใช่หน้าตาที่วัน๑ ก็จะย่นยับร่วงโรย
มิใช่สินทรัพย์ที่ง่ายดายเสมอต่อการหมดไป
มิใช่อำนาจเกียรติยศที่พร้อมเปลี่ยนมือ
มิใช่บ้านหลังโต รถคันโก้หรือสารพันวัตถุใดๆ
..แต่คือหญิงคนดี
มิใช่ความสุขสามัญที่อัลอะมีน (ศ็อลล็อลลอฮูอะลัยฮิว่ะซัลลัม) ยืนยันสถานะของเธอ-หญิงคนดี
..แต่เป็นสุขสุดแห่งดุนยา
คือ เธอที่มีอัลลอฮฺเป็นที่รักยิ่ง รักเหลือเกิน รักกว่าใครหรือสิ่งใดๆ
คือ เธอที่มีคำสั่งของอัลลอฮฺเป็นที่ยึดมั่นและอยู่เหนือทุกอารมณ์ปรวนแปรของตัวเอง
คือ เธอที่มีข้อตัดสินของอัลลอฮฺเป็นจุดจบของทุกข้อขัดแย้ง
คือ เธอที่มีขอบเขตของอัลลอฮเป็นสถานศักดิ์สิทธิ์ห้ามเด็ดต่อการล่วงละเมิด
คือ เธอที่มีงานที่อัลลอฮฺรักเป็นเพื่อนสนิทของชีวิต
คือ เธอที่มีรางวัล ณ ที่อัลลอฮฺเป็นที่มุ่งหวังของหัวใจซึ่งทำให้ผลประโยชน์ลวงแห่งโลกนี้กลายเป็นขยะ

หากท่านเป็นชาย..เสาะหาเธอเถิด เพื่อดึนยาแสนสั้นนี้จะได้ไม่ทารุณเกินไป
หากท่านเป็นหญิง..จงเป็นเธอเถิด เพื่อจะได้บรรลุสู่ตำแหน่งความเป็น ’สุดสุข’ ที่อัลอะมีน (ศ็อลล็อลลอฮูอะลัยฮิว่ะซัลลัม)  การันตีไว้ง

เธอคือ สุดสุข..
เพราะเธอคือผู้ใกล้ชิดของผู้ทรงประทานทุกความสุข

เธอคือ สุดสุข..
ที่ไม่มีใครได้ครอบครองเว้นแต่ผู้ได้รับความเมตตาสุดแสน

ใครที่ได้สัมผัสแล้วโปรดขอบคุณให้จงหนักและดูแลให้ยิ่งดี
ใครที่ยังไม่ได้สัมผัสโปรดวิงวอนขอสุดแรงและเชื่อมั่นสุดหัวใจ
....อัลอะมีนย่อมไม่โกหก และไม่เคย!

[ถ้อยคำดีจาก มูซักกิร l หนังสือที่ระลึกงานวะลีมะตุนนิกาหฺ 'บัยตูนนูร']

หน้า: [1] 2 3 ... 55