แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - al-ciddix

หน้า: [1] 2 3 ... 7
1
 :laugh:การแสดงฟามคิดเห็นผมได้เข้าไปอ่านเฟสบุ๊คมาแล้ว อิๆๆ

3
อ้างถึง
แปลกใจมากที่ คุณ somsakkafa ถูกแบนโดยอ้างว่าไม่มีคุณสมบัติเพียงพอและไม่มีมารายาท แต่ในความคิดเห็นส่วนตัว ผมคิดว่า เพราะ
 คุณ somsakkafa พูดความจริงต่างหาก เลยไม่พอใจและไม่มีอะไรมาแก้ตัว ไม่รู้ว่าจะเอาจากทัศนะจากมัสฮับไหนมาอ้าง การอ่านกุรอานให้ผู้ตายอาจจะมีตามอีหม่ามชาฟีอี แต่นั้นเป็นเพียงทัศนะของท่าน แต่เรื่องทำบุญ โดยการกำหนด สามวัน เจ็ดวัน และสี่สิบวัน และมานั่งล้อมวงอ่านกุลฮูวัลลอฮ์และซีเกรแล้วก็ฮาดียะส่งผลบุญไปยังผู้ตายมีใหม ในกุรอานและฮาดิส และเป็นคำสอนจากมัสฮับใด
ถ้ามีกรุณายกมาอ้างอิงบ้าง เผื่อผมจะได้นำไปปฏิบัติบ้าง
ญาซากัลลอฮ์
ป,ล อย่าเพิ่งแบนผม ก่อนที่จะตอบเรื่องทำบุญให้คนตาย

 mycryหลักฐานทางเรามีเสมอปัญหามันอยู่ที่คุณต่างหากว่า  คุณกับเพื่อนของคุณจะเปิดใจอ่านมันหรือไหมเท่านั้นเอง

คุณตอบมาซิว่าถ้าผมนำหลักฐานมาให้แล้วคุณจะเปิดใจกว้างอ่านมันทุกตัวอักษรอย่างเป็นธรรมโดยตัดอคติออกไป...โอเคไหมคับ

4
มีอยู่ครั้งหนึ่ง อ่าเจะ(ป้ะ)เล่าให้ฟัง  ลูกของเพื่อนพ่อผมคนนึงเรียนจบจากที่นั้น (ว.อ ยล)....กลับมาใหม่ๆ..มีคนเชิญขึ้นคุตอบะฮ์แต่ในเนื้อหาส่วนมากจะเหน็บแนมแนวการปฏิบัติของคณะเกา  ทั้งที่อาเยาะของเขาปฎิบัติและก็เป็นอีม่ามอยู่ด้วย เช่น การทำตัลกีน อัลกรุอ่าน(ยาซีน)ทีกุโบร์  ทำบุญ7วัน  มันคือบิดอะตกนรกทั้งหมด

พอละหมาดยุมอัติเสร็จ  อาเยาะเขาขึ้นชี้แจงในสิ่งที่ลูกชายของเขาพูดในคุตอบะฮ์ และยกหลักฐานพร้อมอธิบายและทำความเข้าใจให้กับผู้มาละหมายุมอัติฟังอีกครั้ง  และก็ตักเตือนเรื่องของมารยาท และการให้เกียรติการปฏิบัติที่แตกต่างกัน และบอกกล่าวให้ระวังยุคสุดท่้ายว่า จะมีสิ่งแปลกปลอมที่มันจะทำให้สังคมแตกแยกขึ้นมากก็เพราะการที่ผู้ปกครองส่งบุตรหลานไปบังสถาบันที่ไม่ใช่แนวทางของพวกเรา และให้ตรวจสอบข้อมูลให้ดีก่อนที่จะส่งบุตรหลานไปที่ใดฏแล้วแต่...

 cool2:โชคดีผมไม่ไปเรียนที่นั้น ไม่งั้น ต้องได้เรื่องชกกับวะฮาบีแน่อิๆๆ

5
 :salam:
ผมชอบ อ.กอเซ็ม มูฮัมมัดอาลีมากครับ โดยเฉพาะเวลาท่านพูดตอบโต้การเข้าใจหลักฐานผิดๆของครูวะฮาบี

โดยท่านจะแยกเป็นประเด็นๆ และหัวข้อให้เข้าใจง่าย ท่านจะพูดช้าๆน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำ มาก

ท่านเป็นคนใจเย็น พูดนุ่มนวล โดยเฉพาะมารยาท ดูเรียบร้อย  เคยดูการบรรยายเวลาโต้กับ อ.วะฮาบีเช่นอ.ฟาริด อ.ริดอ

ท่านจะไม่ลุกลนครับทำตัวสบายๆ

และจะตอบโต้วะฮาบี แบบสุขุม ไม่รีบร้อน  ค่อยๆนวด ให้เคลิ้มแล้วท่านก็จะเชือดนิ่มๆ ผมประทับใจท่านมากครับ yippy:

และท่านต่อมาคือ บังอัลฯ(อ.ฮารีฟีน )ครับเป็นคนทีมีความรู้ดีมากในยุคนี้ โดยเฉพาะในยุคที่วะฮาบีฟีเวอร์

 แต่อ.ท่านนี้ได้ทำให้ผมประทับใจมากในวิชาความรู้ ที่ได้รับ และอยู่ในขั้นเทพใจของผมตลอดกาล

เพราะท่านสามารถพลิกเรตติ้งของวะฮาบที่พุ่งแรง  ถึงกับต้องร่วง กระจัดกระจาย ไม่เป็นท่า...

โดยเฉพาะท่านมีความรู้ในเรื่องหลักการศรัทธา(อะกีดะ)ของอะลิสซุนนะวัญญามาอะที่ถูกต้อง ซึ่งเป็นของจริงของแท้ตั้งแต่สลัฟ มาบอกเราในเวปนี้

จริงๆก็มีหลายท่านอยู่นะแต่ที่ชอบสุดๆก็มีแค่นี้คับ  อิๆๆ

วัสลาม

6
 :salam:
ผมดูในคลิปvdoตอนที่อจ.อาลีคานดีเบสกับบังอัลฯ และได้กล่าวสบประมาท เชคหะสัน ซักกอฟ ว่าเป็นพ่อมด คล้ายๆกับว่า อจ.อาลีคานเกลียดชังอะไรท่านมา ก่อนหน้านี้ทั้งๆที่ไม่เคยเจอตัวเป็นๆและคิดว่า ทำไม อจ.อาลีคานและวาฮาบียะจึงไม่ชอบท่านผู้นี้ ถึงขนาดตั้งฉายา ว่า ANT FARTHER เลยอยากรู้โชคดีไปเจอคลิปvdoตอนหนึ่งที่พี่น้องของเราลิงค์มาให้ ซึ่งในช่วงที่ ท่านเชคหะสัน ซักกอฟกำลังเสวนากับอุลามะวาฮาบี และได้จับผิดการบิดเบือนและถูกตำหนิ จนออกสีหน้าคล้ำ ในเรื่องของตำราที่ถูกบิดเบือนโดยพวกเขาที่ตัดตอนคำพูดของอีหม่ามอัตตัรมีซีย์อย่างน่าเกลียดเกี่ยวกับเรื่องซีฟัตของอัลเลาะห์

    ยังไงๆพี่น้องลองดูกันและตัดสินเอาเองครับ

        http://www.sunnahstudents.com/forum/index.php/topic,3768.msg38757.html#msg38757

7
อ้างถึง
อ้างถึง
ข้อความโดย: ริดวาน
« เมื่อ: เมื่อวานนี้ เวลา 11:19 AM » ใส่การอ้างถึงคำพูด
เคยได้ยิน อ.รอฟิก พูดในหัวข้อ "เปิดโปงซุนนะห์จอมปลอม" ช่วงเกี่ยวกับเมาลิด ที่ อ.รอฟิก พูดว่า

"แท้จริง...รัวฮ์ของฉัน(รอซู้ล ซ.ล.) จะเสด็จไปยังที่ที่มีการอ่าน ชีวปรัวิติ ของฉัน"
อันนี้เป็นฮาดิษซอเฮี๊ยะ หรือป่าวครับ ขอหลักฐาน

บทความนี้ มาจากเวปนี้แหละครับแต่ไม่ทราบว่าที่บังเกี่ยวกันหรือไม่

กรณีการยืนขณะทำเมาลิดนั้น  ท่าน อัลมุหัดดิษ อัซซัยยิด มุฮัมมัด อะละวีย์ อัลหะสะนีย์ (ร่อฮิมะฮุลลอฮ์) เกี่ยวกับเรื่องการยืนดังกล่าวว่า

"สำหรับการยืนในขณะอ่านเมาลิดนบี(บัรซันญี) ช่วงที่กล่าวถึงการประสูตและการออกมาลืมตาดูโลกของท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม นั้น ผู้คนบางส่วนคิดในแง่ที่ผิด โดยไม่มีรากฐานตามทัศนะของนักปราชญ์เลย ที่เกี่ยวกับสิ่งที่ฉันรู้มา ยิ่งกว่านั้น เขายังเป็นมนุษย์ที่โง่เขลาอย่างยิ่ง จากผู้ที่ปรากฏตัวอยู่ในขณะอ่านเมาลิด (บัรซันญี) แล้วทำการยืนพร้อมกับบรรดาผู้ที่ยืนทั้งหลาย มีการคิดในแง่ร้ายก็คือ บรรดาผู้คนที่ทำการยืนต่างเชื่อว่าท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้เข้ามาปรากฏด้วยร่างกายของท่านในช่วงเวลานั้น และที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือ บางส่วนมีความเห็นว่า ควันหอมหรือน้ำหอมนั้นสำหรับท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และน้ำที่วางอยู่ตรงกลางสถานที่ดังกล่าวนั้น เพื่อให้ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ดื่มมัน

และให้กับทุก ๆ ความคิดเหล่านี้ ต้องไม่ปราฏกอยู่ในสมองที่มีสติปัญญาของบรรดามุสลิมีนอยู่แล้ว โดยเราขอประกาศไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งดังกล่าวทั้งหมด เพราะมันเป็นความอุกอาจต่อตำแหน่งของท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม

ฉันขอกล่าวว่า การคิดในแง่ร้ายดังกล่าวนี้ ถือเป็นการกล่าวอ้างมุสาโดยแท้ มันเป็นความอุกอาจไร้ยางอาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่กล่าวออกมานอกจากผู้ที่ริษยาแค้นเคืองหรือเป็นคนโง่เขลาที่ดื้อดึง

แต่กระนั้น , เราเชื่อว่าท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม มีชีวิตอยู่ในอาลัมบัรซักโดยสมบูรณ์ที่เหมาะสมกับเกียรติตำแหน่งของท่าน และด้วยนัยดังกล่าวคือ การมีชีวิตที่สมบูรณ์อีกทั้งสูงส่ง โดยวิญญาณของท่านสามารถตระเวนอยู่ในอาณาจักรของอัลเลาะฮ์ ซุบหานะฮูวะตะอาลา สามารถที่จะปรากฏอยู่สถานที่ต่าง ๆ ที่ประกอบคุณความดีงามและวิชาความรู้ และบรรดาวิญญานของผู้ศรัทธาอย่างแท้จริง ๆ จากผู้ที่เจริญรอยตามท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ก็เฉกเช่นเดียวกัน

ท่านอิมามมาลิก กล่าวว่า ได้ทราบถึงฉันว่า "แท้จริงวิญญานนั้นจะถูกปล่อยให้เป็นอิสระจะไปใหนก็ได้ตามที่ต้องการ" ท่านซัลมาน อัลฟาริซีย์ กล่าวว่า "บรรดาวิญญานของผู้ศรัทธาในอาลัมบัรซักจากผืนแผ่นดินนี้ พวกเขาสามารถไปใหนก็ได้ตามที่ต้องการ" (ได้กล่าวเช่นเดียวกันนี้ในหนังสือ อัรรั๊วะห์ ของ อิบนุ ก๊อยยิม หน้า 144)
เมื่อท่านทราบดังนี้แล้ว ท่านโปรดรู้เถิดว่า การยืนในเมาลิดนบีนั้น ไม่ใช่เป็นสิ่งที่วายิบ(จำเป็น) ไม่ใช่เป็นสิ่งที่สุนัต และไม่อนุญาตให้มีความเชื่อดังกล่าว แต่ทว่า มันเป็นการเคลื่อนไหวที่มนุษย์เผยแสดงให้เห็นถึงความดีใจและความปิติยินดีของพวกเขา ดังนั้น เมื่อถูกกล่าวขึ้นว่า ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ประสูตลืมตาดูโลกแล้วนั้น ผู้ที่ได้ยินก็พยายามจิตนาภาพในช่วงเวลานั้นว่า ทั้งหมดแห่งสากลโลกได้แสดงความดีใจด้วยกับเนี๊ยะมัตดังกล่าวนี้ ฉะนั้น เขาได้ยืนเพราะแสดงความดีใจและปลื้มปิติยินดีดังกล่าว ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติ(อาดัต)ทั่วไปเท่านั้น หาใช่เป็นเรื่องศาสนา มันไม่ใช่อิบาดะฮ์ ไม่ใช่หลักชะรีอะฮ์ ไม่ใช่เป็นซุนนะฮ์ มันไม่ใช่เป็นอะไรเลยนอกจาก เป็นเรื่องปกติ(อาดัต)ทั่วไปที่ผู้คนเขาทำกัน (หมายถึงเป็นสิ่งที่มุบาห์)" (ดู หนังสือ เฮาลัลเอี๊ญะห์ติฟาล บิซิกรอ อัลเมาลิดินนะบี อัชชะรีฟ หน้า 40 - 42)

والله سبحانه وتعالي أعلي وأعلم

8
 :salam:

อ้างถึง
หลังดีเบท  วะฮ์ฮาบีย์ต่างออกมาชี้แจงเรื่องซีฟัตตามทัศนะของตนทางสื่อต่างๆ และทำการวิจารณ์อัลอะชาอิเราะฮ์แบบอธรรม  ซึ่งเป็นฟัรฎูกิฟายะฮ์สำหรับผู้รู้ของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์อัลอะชาอิเราะฮ์ต้องทำการชี้แจงข้อเท็จจริงน่ะครับ  สำหรับผมคิดว่าการชี้แจงเท่าที่จะทำได้  ก็คือ  ต้องชี้แจงผ่านทางสื่อของการทำเป็นหนังสือ

 party:เท่าที่ผมได้ติดตามจากสื่อต่างๆ ของวะฮ์ฮาบีย์ที่ทำการวิจารณ์เกี่ยวกับอัลอะชาอิเราะฮ์  ผมคิดว่าเป็นฟัรฎูกิฟายะฮ์ที่ผมจะต้องทำเป็นหนังสือในการตีแผ่เกี่ยวกับอะกีดะฮ์ของวะฮ์ฮาบีและชี้แจงข้อเท็จจริงของอะกีดะฮ์อัลอะชาอิเราะฮ์ครับ  อินชาอัลเลาะฮ์
สงสารบังอัลฯมากเลยครับ ที่ต้องเหนื่อยและต้องทนต่อสู้เพื่อ ชาวอะลิสซุนนะอาชาอิเราะมาตลอด ตั้งแต่ตอนที่อยู่มหาวิทยาลัยอัลอัชซัร แล้ว ผมติดตามข่าวคราวบังมาตลอดตั้งแต่บทความที่แก้ต่างการโจมตีใส่ร้ายพี่น้องในมัสหับชาฟีอี ไม่ว่าในด้านของการทำเมาลิด การทำบุญ7วันฯลฯในเรื่องของวิชาฟิกฮ์และด้านอะกีดะ
และพอกลับมาอยู่เมืองไทยที่ต้องมาสุู้กับวาฮาบีหอกข้างแค่ ที่ชอบฮุกมพี่น้องมุสลิมที่มีแนวทางต่างจากตนไม่ว่า ในเรื่องหลักอะกีดะ หลักชารีอัตหลักตะซะวฟและข้อปลีกย่อยๆอื่นๆอีก  ถ้าไม่มีบังอัลฯคนนี้ ก็ไม่ทราบว่าพวกเราจะอยู่อย่างไร ณ.วันนี้

ปล.ผมดูรายการแก้ต่างให้อ.อาลีคาน ที่มี อ.ชารีฟกับอ.อามีน แล้วเขาออกมาแก้ต่างอย่างทันควันเพราะเขารู้ว่า วันนั้นฝ่ายเขาเสียเปรียบ (นี่ฟังมาจากฝ่านเขาวิเคราะกันเอง)
 
 cool2:และจากคลิปวิดิโอ ที่อ.อาลีคานสบประมาทที่มีอยู่ตอนหนึ่งว่า อาชาอีเราะไม่ใช่อะลิสซุนนะฯผมเจ็บใจมากที่เขากล้าทำฮุกมพวกเราถึงขนาดนี้ได้

บอกตรงๆว่าเจ็บใจมากคับ

ขอเป็นกำลังใจและดุอาให้บังสำเร็จในทุกๆด้านคับ

วัสลาม

9
อ้างถึง
ผมไล่อ่านตั้งแต่หน้าแรก ยันหน้าท้าย ผมคิดว่าข้อความของคุณ Anthoprosclay เข้าใจ
ถ้าคิดว่าความรู้ผมยังน้อย ขอความกรุณาแนบลิงค์ที่เกี่ยวข้องในเวปนี้ ในเรื่องนี้ให้ด้วยครับ
ส่วนคำว่าขึ้นสูงเหนือบังลังค์ อาจจะมีคนพยายามถาม
แต่มันคือการให้ความหมายที่สุดทาง ที่จะทำให้รู้ว่า แท้จริงเราไม่มีความรู้ในเรื่องความหมายแท้จริง
 
“มันคือสิ่งที่จำเป็นต่อการยืนยันถึงศิฟัตอิสติวะอฺ (การขึ้นสูงเหนือบัลลังค์) โดยปราศจากการตีความ(เป็นความหมายอย่างอื่น) และแท้จริงแล้วพระองค์อัลลอฮฺทรงขึ้นอิสติวะอฺเหนือบัลลังค์ของพระองค์โดยอิสติวะอฺด้วยกับ “ซาต” (อาตมัน) ของพระองค์เหนือบัลลังค์ ซึ่งอิสติวะอฺไม่ได้แปลว่า กออู๊ด (นั่ง) หรือไม่ได้แปลว่าการสัมผัส ดังที่พวกมุญัสสิมะฮฺและกะรอมียะฮฺได้กล่าวไว้ และมันก็ไม่ได้หมายความว่า อุลูวว์ (ความสูงส่ง) ดังที่พวกอัชอะรียะฮฺ(อะชะอิเราะฮฺ)ได้กล่าวไว้ และมันก็ไม่ได้แปลว่า อิสติลาอ์ (การพิชิต) หรือ ฆอลาบะฮฺ (การสถาปนาอำนาจ) ดังที่พวกมุอฺตะสิละฮฺได้กล่าวแต่อย่างใด ตัวบททางศาสนาไม่ได้บอกกล่าวถึงความหมายใดๆเหล่านี้ไว้ แล้วก็ไม่ปรากฏการรายงานจากบรรดาซอฮาบะฮฺหรือจากบรรดาตะบีอีนจากยุคสลัฟหรือจากบรรดานักวิชาการหะดีษถึงการตีความในแบบเหล่านี้เลย”

ขออัลลอฮได้ทรงชี้นำข้าพระองค์ และรวมข้าพระองค์ไว้เป็นส่วนหนึ่งจากบรรดาชาวสวรรค์ชั้นฟิรเดาส์


 :salam:

อย่างนี้คับบัง อะกีดะฮฺของกลุ่มอะชาอิเราะฮฺกับอะกีดะฮฺอัฏ-เฏาะหาวียะฮฺนั้น จะไม่แตกต่างกัน

1. อิมามตาญุดดีน อัสสุบฺกียฺ กล่าวว่า :

وَبِالْجُمْلَةِ عقيدة الأشعري هى ما تَضَمَّنَتْهُ عقيدة أبى جعفرالطَّحاَوِيّ التى
تَلَقَّاهاعلماءالمذاهب بالقبول ورضوهاعقيدة

“กล่าวโดยสรุปคือ อะกีดะฮฺของอัล-อัชอะรียฺนั้นคือสิ่งซึ่งอะกีดะฮฺของอบีญะอฺฟัร อัฏ-เฏาะหาวียฺได้ประมวลสิ่งนั้นเอาไว้ ซึ่งบรรดานักปราชญ์ของมัซฮับต่างๆ ได้ รับเอาอะกีดะฮฺนั้นด้วยการยอมรับและพวกเขายินดีว่าอะกีดะฮฺนั้นเป็นหลักศรัทธาและความเชื่อ” (มุอีด อัน-นิอัม ว่า มุบีด อัน-นิกอม หน้า 62)


ทั้งนี้อิมาม อัฏเฏาะหาวียฺ (ร.ฮ.) ได้รวบรวมหลักความเชื่อของอะฮฺลิสสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺตามแนวทางของบรรดา “ฟุเกาะฮาอฺ อัล-มิลละฮฺ” คือ อิมาม อบูหะนีฟะฮฺ อัน-นุอฺมาน อิบนุ ษาบิต อัล-กูฟียฺ , อิมาม อบูยูสุฟ ยะอฺกู๊บ อิบนุ อิบรอฮีม อัล-อันศอรียฺ และอิมาม อบู อับดิลลาฮฺ มุฮัมมัด อิบนุ อัล-หะสัน อัช-ชัยบานียฺ (ริฎวานุลลอฮฺอะลัยฮิม) เอาไว้ในตำราของท่านที่ชื่อว่า “อัล-อะกีดะฮฺ อัฏ-เฏาะหาวียะฮฺ”
(อิซฮารุลอะกีดะฮฺ อัส-สุนนียะฮฺ บิชัรหิ อัล-อะกีดะฮฺ อัฏ-เฏาะหาวียะฮฺ ; ชัยคฺ อับดุลลอฮฺ อัล-ฮะเราะรียฺ หน้า 23)


บรรดาอิมามทั้ง 3 ท่านนี้เป็นอิมามของอะฮฺลิสสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺที่เป็นชาวสะลัฟศอลิหฺ (คืออยู่ใน 300 ปีแรก) เพราะอิมามอบูหะนีฟะฮฺ (ร.ฎ.) ท่านเสียชีวิตในปีฮ.ศ. 150 , อิมาม อบูยูสุฟ เสียชีวิตในปี ฮ.ศ. 182 และอิมามมุฮัมมัด อิบนุ อัล- หะสัน เสียชีวิตในปี ฮ.ศ. 189 (ตารีคบัฆดาด)


ซึ่งอิมามอบูญะอฺฟัร อัฏ-เฏาะหาวียฺ (ร.ฮ.) นั้นท่านสังกัดมัซฮับอัล-หะนะฟียฺ และเสียชีวิตในปี ฮ.ศ. 321 ถึงแม้ว่าท่านจะไม่เคยพบอิมามทั้ง 3 แต่ท่านก็รับความรู้และหลักความเชื่อจากอิมามทั้ง 3 ด้วยสายรายงานที่ถูกต้อง


ส่วนอิมาม อบุล-หะสัน อัล-อัชอะรียฺ (ร.ฮ.) นั้นท่านเสียชีวิตในปี ฮ.ศ. 324 อิมาม ตาญุดดีน อัส-สุบกียฺ กล่าวว่า : จงรู้เถิดว่า แท้จริง อบุลหะสัน อัล-อัชอะรียฺ มิได้อุตริทัศนะขึ้นใหม่ และมิได้ตั้งมัซฮับขึ้นแต่อย่างใด อันที่จริงเขา (อบุลหะสัน อัล-อัชอะรียฺ) คือผู้ที่รับรองบรรดามัซฮับของชาวสะลัฟ ต่อสู้ปกป้องสิ่งที่บรรดาเศาะหาบะฮฺของท่านรสูลลุลลอฮฺ (ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม) ได้เคยดำเนินบนสิ่งนั้น


ฉนั้น การอ้างถึงเขา (อบุลหะสัน อัล-อัชอะรียฺ) นั้นอันที่จริงคือด้วยการพิจารณาว่า เขา (อบุลหะสัน อัล-อัชอะรียฺ) ได้ผูกผ้ารัดเอว (หมายถึงเตรียมพร้อมและสะสางเรื่องนั้นให้ชัดเจน) บนแนวทางของชาวสะลัฟและยึดมั่นต่อแนวทางนั้น ตลอดจนดำรงบรรดาหลักฐานและบรรดาสิ่งที่ยืนยันถึงแนวทางนั้น จึงกลายเป็นว่าผู้ที่ถือตามเขา (อบุลหะสัน อัล-อัชอะรียฺ) ในสิ่งดังกล่าว อีกทั้งดำเนินตามวิถีของเขาในเรื่องของบรรดาหลักฐานที่บ่งชี้ทั้งหลายถูกเรียกขานว่า อัช-อะรียฺ” จบคำของอิมาม อัส-สุบกียฺ (จากเฏาะบะกอตฺ อัช-ชาฟิอียะฮฺ อัล-กุบรอ) วัลลอฮุอะลัม

10
:salam:

 loveit:ปิดเทอมนี้เพิ่งได้เข้ามาเวปนี้เพราะติดรอหลายตัวอิๆๆ เห็นกระทู้นี้ตั้งขึ้นมา  พูดถึงความแตกต่างระหว่างวะฮาบีและชีอะและอาชาอีเราะเลยสนใจ....

มาหาประวัติและความรู้เพิมเติมทำรายงานส่งอาจารย์ เวปนี้มีประโยชน์มากครับชอบๆต้องการอยู่พอดีเรย

    หลักฐานของอัลอะชาอิเราะฮ์ในการรับรองเรื่องอะกีดะฮ์เขียนโดย อจ.อัลอัชฮารีย์

ท่านพึงทราบเถิดว่า  บรรดาพื้นฐานของหลักเตาฮีดและหลักอะกีดะฮ์ต่าง ๆ นั้น  ดำรงอยู่บนหลักฐานของ อัลกุรอาน , ซุนนะฮ์ที่ชัดเจน , การลงมติของปวงปราชญ์  และหลักฐานของสติปัญญาที่เที่ยงตรงและเป็นสิ่งที่มาสนับสนุนหลักการของบทบัญญัติศาสนา  และดังกล่าวนี้  ถือว่าเป็นคุณลักษณะพิเศษของศาสนาอิสลามเหนือบรรดาศาสนาอื่น ๆ  เพราะอิสลามจะไม่มีหลักการใดนอกจากสติปัญญามาสนับสนุนให้กับมันได้  ด้วยเหตุนี้  หนังสือประพันธ์ต่าง ๆ ของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ในการจัดระดับขึ้นตอนของหลักฐานเพื่อโต้ตอบพวกบิดอะฮ์  พวกนอกลู่  และพวกเบี่ยงเบนนั้น  วางอยู่บนพื้นฐานที่เราได้กล่าวมาแล้ว

รายละเอียดสิ่งดังกล่าว

1.  อัลกุรอาน :  คือรากฐานของบรรดาหลักฐานทั้งหลาย  สารจากอัลเลาะฮ์ได้ถูกรับรองด้วยกับอัลกุรอาน  สามารถนำมาเป็นหลักฐานเพื่อหักล้างหลักการที่ลุ่มหลง  เป็นคำภีร์ที่อยู่เหนือคำภีร์อื่น ๆ ที่ถูกประทานจากฟากฟ้า  และเป็นคำภีร์ที่แยกแยะสัจธรรมออกจากความอธรรม  อัลเลาะฮ์ตาอาลาทรงบัญชาใช้ให้ผู้ที่โต้แย้งกันกลับไปยังพระองค์และร่อซูลของพระองค์ (ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม)

พระองค์ทรงตรัสความว่า

فَإِن تَنَازَعْتُمْ فِي شَيْءٍ فَرُدُّوهُ إِلَى اللّهِ وَالرَّسُولِ

"ดังนั้นหากพวกเจ้าได้โต้แย้งในสิ่งหนึ่ง  พวกเจ้าก็จงหวนกลับไปยังอัลเลาะฮ์และร่อซูล" อันนิซาอฺ 59

การกลับไปหาอัลเลาะฮ์ตาอาลา คือการกลับไปหาอัลกุรอานและการกลับไปหาร่อซูลุลเลาะฮ์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  คือการกลับไปยังบรรดาหะดิษที่ซอฮิห์อีกทั้งได้รับการยืนยันแน่นอนจากท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม

2. อัซซุนนะฮ์ :  การอ้างหลักฐานด้วยกับหะดิษเกี่ยวกับเรื่องของหลักอะกีดะฮ์นั้น  ต้องมีเงื่อนไขว่า  ผู้รายงานมีความไว้เนื้อเชื่อใจได้โดยมติเอกฉันท์  หมายถึง  หะดิษต้องไม่ถูกรายงานมาด้วยสายรายงานที่มีการขัดแย้งกันเกี่ยวกับความไว้เนื้อเชื่อใจในตัวของเขา  ซึ่งเป็นทัศนะของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ จากนักปราชญ์หะดิษและนักปราชญ์ฟิกห์  ดังนั้นจึงถือว่าไม่เพียงพอในการอ้างหลักฐานด้วยกับหะดิษที่มีสายรายงานฏออีฟ หากแม้นว่าจะได้รับการสนับสนุนก็ตาม 

ท่านอัลหาฟิซฺ อิบนุ หะญัร อัลอัสเกาะลานีย์ กล่าวว่า "คำว่า الصوت (เสียง) จากสิ่งที่ถูกงดเว้นในการนำมาพาดพึงไปยังอัลเลาะฮ์และต้องการไปยังการตีความ(ตะวีล) เพราะว่าไม่เป็นการเพียงพอเกี่ยวกับเรื่องคำว่าเสียงนี้โดยมีหะดิษที่รายงานจากหนทางที่มีผู้รายงานถูกวิจารณ์ขัดแย้งกัน หากแม้นว่าหะดิษจะได้รับการสนับสนุนก็ตาม"  ฟัตหุลบารีย์ 1/174  หมายถึงหะดิษเกี่ยวกับสิ่งดังกล่าวไม่สามารถนำมายืนยันในเรื่องของอะกีดะฮ์

ท่านอัลฮาฟิซฺ อัลบุฆดาดีย์ กล่าวไว้ในหนังสืออัลฟะกีฮ์วัลมุตะฟักกิฮ์  ความว่า "ประการที่สอง : ซีฟัตของอัลเลาะฮ์นั้น  จะไม่ถูกรับรอง  ด้วยคำกล่าวของซอฮาบะฮ์หรือตาบิอีน  นอกจาก  ด้วยกับหะดิษที่ซอฮิห์ยังไปท่านนบีโดยมีสายรายงานที่ถูกลงมติของนักหะดิษว่าเชื่อถือได้  ดังนั้น  จึงไม่สามารถนำมาเป็นหลักฐานด้วยกับหะดิษฏออีฟหรือหะดิษที่มีผู้รายงานที่ขัดแย้งกันในการรับรองความเชื่อถือของเขา  ซึ่งหากแม้นว่ามีสายรายงานหนึ่งรายงานมา  แล้วมีหะดิษอื่นมาสนับสนุน  ก็ไม่สามารถนำมาเป็นหลักฐานได้" 

ท่านอัลบัยฮะกีย์ได้ถ่ายทอดคำพูดของท่าน อบีสุไลมาน อัลค๊อฏฏอบีย์ ว่า "แท้จริงซีฟัตของอัลเลาะฮ์จะไม่ได้ถูกรับรองนอกจากด้วยกิตาบุลลอฮ์หรือหะดิษที่มีความซอฮิห์อย่างเด็ดขาด" อัลอัสมาอ์วัสซิฟาต 335

3. อัล-อิจญ์มาอฺ : (มติของปวงปราชญ์อะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์) ที่เกี่ยวกับประเด็นของศาสนา  ดังนั้นรากฐานที่ยืนยันว่าบรรดาซีฟัตของอัลเลาะฮ์กอดีม(มีมาแต่เดิมโดยมิมีจุดเริ่มต้น)นั้น  คือการอิจญฺมาอ์ที่เด็ดขาด(จากมติของปวงปราชญ์)  ท่านชัยคุอิสลาม อัซซุบกีย์  ร่อฮิมะฮุลลอฮ์  ได้กล่าวไว้ในหนังสือ ชัรหฺอะกีดะฮ์อิบนุหาญิบ  ความว่า "ท่านจงรู้เถิด  หลักการของมวลสารและคุณลักษณะที่อุบัติทั้งหมดนั้น เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาใหม่(มีการเปลี่ยนแปลง) ดังนั้น  โลกทั้งหมด(คือสิ่งที่อื่นจากอัลเลาะฮ์นั้น) คือสิ่งที่ใหม่(คือบังเกิดใหม่และมีการเปลี่ยนแปลง)  และบนหลักการนี้  ก็คือมติ(อิจญ์มาอฺ)แห่งปวงปราชญ์มุสลิมีน  และทุก ๆ ศาสนา  และผู้ใดที่ขัดแย้งกับสิ่งดังกล่าวนี้  ถือว่าเขาเป็นกาเฟร  เนื่องจากเขาขัดแย้งกับมติที่มีความเด็ดขาด"  ดู หนังสือ อิตฮาฟ อัซซาดะฮ์ อัลมุตตะกีน 2/132)

4.  สติปัญญา ศ กล่าวคือ  อัลเลาะฮ์ตาอาลา  ทรงส่งเสริมให้ปวงบ่าวใช้สติปัญญาในการใคร่ครวญถึงอาณาจักรและสรรพสิ่งต่าง ๆ ที่ถูกสร้างเพื่อนำไปสู่การรู้จักผู้สร้าง คือ อัลเลาะฮ์ตาอาลา

พระองค์ทรงตรัสความว่า

أَوَلَمْ يَنظُرُواْ فِي مَلَكُوتِ السَّمَاوَاتِ وَالأَرْضِ

 "และพวกเขาไม่พิจารณาดอกหรือ ในอาณาจักรฟากฟ้าและแผ่นดิน" อัลอะอฺร๊อฟ 185

การกล่าวว่า "อัลอะชาอิเราะฮ์ใช้สติปัญญามาเป็นหลักฐานในการยืนยัน مُثْبِتٌ (มุษบิต) เรื่องศาสนา  ถือว่าเป็นความเข้าใจที่ผิดพลาดและไม่เข้าใจแนวทางของอัลอะชาอิเราะฮ์อย่างแท้จริง  เพราะความจริงแล้ว  อัลอะชาอิเราะฮ์นำหลักฐานอัลกุรอานและซุนนะฮ์มาเป็นตัว ยืนยัน مُثْبِتٌ (มุษบิต) เรื่องของศาสนา  โดยใช้สติปัญญามาเป็นตัวสนับสนุน شَاهِدٌ (ชาฮิด) หลักฐานอัลกุรอานและซุนนะฮ์

เช่นหลักฐานที่ยืนยันว่าอัลเลาะฮ์ทรงมี  อัลเลาะฮ์ทรงเอกกะ  เช่น

พระองค์ทรงตรัสว่า

إِنَّنِي أَنَا اللَّهُ لَا إِلَهَ إِلَّا أَنَا

"แท้จริงข้าคืออัลเลาะฮ์  ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากข้า" ฏอฮา 14

แต่อัลเลาะฮ์ทรงบัญชาให้ปวงบ่าวทำการใช้สติปัญญาเพื่อมาพิจารณาและนำมาสนับสนุนหลักอะกีดะฮ์ที่ได้รับการยืนยันจากตัวบทว่าอัลเลาะฮ์ทรงมี  ดังนี้

أَوَلَمْ يَنظُرُواْ فِي مَلَكُوتِ السَّمَاوَاتِ وَالأَرْضِ

 "และพวกเขาไม่พิจารณาดอกหรือ ในอาณาจักรฟากฟ้าและแผ่นดิน" อัลอะอฺร๊อฟ 185

และสติปัญญาที่อัลอะชาอิเราะฮ์นำมาเป็นหลักการพิจารณาสนับสนุนตัวบทนั้น  คือสติปัญญาที่ใคร่ครวญว่า   อัลเลาะฮ์มิทรงคล้ายเหมือนกับสิ่งใด  ซึ่งหลักการใคร่ครวญของสติปัญญาเช่นนี้  อยู่บนพื้นฐานของอัลกุรอานที่ชัดเจนและเด็ดขาดที่ว่า

لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ وَهُوَ السَّمِيعُ البَصِيرُ

"ไม่มีสิ่งใดมาคล้ายเหมือนกับพระองค์  และพระองค์ทรงได้ยินยิ่งและทรงเห็นยิ่ง" อัชชูรอ 11

ดังนั้น  อัลอะชาอิเราะฮ์จะไม่ทำการพูดพิจารณาเกี่ยวกับสิทธิ์ต่าง ๆ ของอัลเลาะฮ์  มะลาอิกะฮ์ และอื่น ๆ จากสิ่งดังกล่าว  โดยยึดเพียงแค่การพิจารณาด้วยสติปัญญา  แต่ทว่าพวกเขาพูดในสิ่งดังกล่าวโดยนำสติปัญญา(ที่อยู่บนพื้นฐานข้างต้น)มาสนับสนุนความถูกต้องของสิ่งที่ได้นำมาจากท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ดังนั้น  สติปัญญาตามทัศนะของอัละชาอิเราะฮ์คือสิ่งที่มาสนับสนุนหลักการของศาสนามิใช่เป็นพื้นฐานยืนยันในเรื่องของศาสนา  เพราะการใคร่ครวญในแง่ของสติปัญญาที่บริสุทธิ์ปลอดภ้ยนั้น  จะไม่ออกไปจากสิ่งที่ศาสนาได้นำมาและจะไม่ค้านกัน

วัลลอฮุอะลัม


11
 :salam:

 loveit:ปิดเทอมนี้เพิ่งได้เข้ามาเวปนี้เพราะติดรอหลายตัวอิๆๆ

มาหาประวัติและความรู้เพิมเติมทำรายงานส่งอาจารย์ เวปนี้มีประโยชน์มากครับ


12
 :salam:
งานเข้าแล้วครับพี่น้อง  ใครรับผิดชอบกระทู้นี้ แล้วช่วยดาวะพี่น้องของเราคนนี้ด้วยบางทีอัลเลาะฮ์อาจจะมีพระประสงค์เปิดใจคุณRoy4kinds

เพราะรู้สึกว่าพี่น้องของเราจะเข้าใจอะไรในอดีตผิดพลาดมากนะครับ

13
เพราะผมตั้งปฎิญาณไว้แล้วว่า ไม่ว่าจะยึดหลักอะไร ต้องรู้ที่มาที่ไปและหลักฐานที่แน่ชัด เพื่อให้มั่นใจในสิ่งที่ปฎิติว่าเป็นของแท้และถูกต้องญาซากัลลอฮ์

 happy2:คุณRoyครับ แล้วลิงค์ที่พี่น้องของเราค้นหามาให้ หล่ะอ่านแล้วไม่ได้อะไรเลยหรือครับ

 http://www.sunnahstudents.com/forum/index.php/topic,6.msg23.html#msg23       

...รู้สึกว่าจะมีคำตอบอยู่ในนั้นแล้ว...

14
อ้างถึง
Insha Allah ผมจะตอบกลับมาเร็ว ๆนี้ เพราะกำลังอ่านศึกษาใน link ที่ส่งไป


 smile:ตอนแรกคิดว่า...ไม่ใช่วาฮาบีแต่พอไปดูที่กระทู้อื่น  ....วาฮาบีนี่หว่า....อ่านไปก็เสียเวลาครับ...ถ้าไม่เปิดใจรับความจริง....

ถ้าไม่เชื่อพี่น้องก็คอยดูแล้วกันว่า ..นายหรอย4 มัสหับ จะตอบเรื่องมัสหับว่า อย่างไร.....

15
ถ้าเช่นนั้นคุณ อัลฟาตอนี จำเป็นต้องแก้โจทน์จากคำพูดของอิบนุอุมัรต่อไปนี้ให้เคลียร์ด้วย

كلُّ بدعة ضلالة وإن رآها النّاسُ حسنة
ทุกๆบิดอะฮฺล้วนเป็นสิ่งหลงทาง ถึงแม้มนุษย์จะเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดีงาม

แต่ผมเข้าใจว่า
 ::)หากบังเก็ต ยึดคำพูดของซอฮาบะท่านนี้ ก็ย่อมชี้แสดงให้เห็นว่าบังเก็ตเองก็ตามซุนนะเกาลียะของท่านอิบนุอุมัร(รด)ซึ่งไม่ใช่ซุนนะเกาลียะของท่านนบี(ซ.ล)โดยตรง
ดังนั้นบังเก็ตก็ควรยึดคำพูดอื่นๆของซอฮาบะท่านนี้ด้วยเช่นกันที่ว่า
            จากท่านอิบนุมัสอูด(ร.ฏ.) ท่านกล่าวว่า

      ما رأه المسلمون حسن فهو عند الله حسن
  "สิ่งที่บรรดามุสลิมมีนเห็นว่ามันดีนั้น มันก็ย่อมเป็น ตามทัศนะของอัลเลาะฮ์ด้วย"

............................. และต้องรวมถึงคำพูดของซอฮาบะท่านอื่นๆด้วยที่พวกเขาเหล่านั้นเข้าใจว่าบิดอะนั้นมีทั้งฮาซนะ(ที่ไม่ขัดกับกีตาบุลลอและอัซซุนนะ)

เช่นท่านอุมัร(รด)ท่านอิบนุอุมัร(รด)เป็นต้น
และในขณะเดียวกันท่านอิบนุอุมัร(รด)ที่บังเก็ตนำซุนนะเกาลียะของท่านมาอ้างนั้นกลับกระทำบิดอะเสียเองซึ่งทั้งซุนนะเฟียละลียะและซุนนะเกาลียะนั้นก็คือหลักฐานต่อไปนี้

รายงานโดย อิบนุอบีชัยบะฮ์ ด้วยสายรายงานที่ซอฮิหฺ จาก อัลหะกัม บิน อะอฺร๊อจฐฺ จากท่านอัลอะอฺร๊อจญฺ เขากล่าวว่า

سألت ابن عمرعن صلاة الضحى ؟ فقال : بدعة ونعمت البدعة

" ฉันได้ถาม ท่านอิบนุอุมัร จากเรื่องละหมาด ดุฮา ท่านอิบนุอุมัรกล่าวว่า มันเป็นบิดอะฮ์ และเป็นบิดอะฮ์ที่ดี " ดู อัลมุซันนัฟ ของอิบนุอบีชัยบะฮ์ เล่ม 2 หน้า 406 อัลมั๊วะญัม อัลกะบีร ของท่าน อัฏฏ๊อบรอนีย์ หะดิษที่ 13524 และฟัตหุลบารีย์ เล่ม 3 หน้า 45

บังเก็ตครับ นี่้คือหลักฐานจากท่านอิบนุอุมัร (ร.ฏ.) ที่ชี้ถึงการแบ่งบิดอะฮ์  เป็นบิดอะฮ์หะสะนะฮ์ด้วย จึงเป็นการแน่นอนว่าอิบนุอุมัร(รด)ซึ่งเป็นอุลามะที่ของซอฮาบะย่อมที่จะเข้าใจในเรื่องของบิดอะได้ดีกว่าพวกเรา

และจากท่าน อับดุร ร๊อซฺซฺาก ได้รายงาน โดยสายรายงานที่ซอฮิหฺ จาก ซาลิมบินอับดิลลาฮฺ จากบิดาของเขา คือท่านอับดุลลอฮ์บุตรอุมัร ได้กล่าวว่า

لقد قتل عثمان وما أحد يسبحها وما أحدث الناس شيئا أحب إلي منها

"ขอสาบาน ว่าแท้จริง ท่านอุษมานถูกสังหารไปแล้ว โดยที่ไม่มีคนใดเลย ที่ได้ทำาการละหมาดดุฮา และไม่มีสิ่งใด ที่ผู้คนได้กระทำมันขึ้นมาใหม่ อันเป็นที่รักสำหรับข้าพเจ้ายิ่ง ไปกว่าละหมาดดุฮา"  ดู อัลมุซอลนัฟ ของท่านอับดุรร๊อซฺซฺาก เล่ม 3 หน้า 78 หะดิษที่ 4868

และสายรายงานเหล่านี้ ท่านอิบนุหะญัร ได้ยืนยันความซอฮิหฺไว้ (ดู ฟัตหุลบารีย์ เล่ม 3 หน้า 52)

  ผมขอย้ำว่า   การละหมาดดุฮานั้นเป็นซุนนะฮ์  แต่ท่านอิบนุอุมัร  ได้กล่าวว่าเป็นบิดอะฮ์ในเชิงรูปแบบการละหมาดดุฮาเป็นญะมาอะฮ์ในมัสยิด ซึ่งท่านถือว่าเป็นบิดอะฮ์ที่ดี่   

       ดังนั้น การที่บังเก็ตอ้างคำพูดท่านอิบนุอุมัร(รด) มาคัดค้านในเรื่องการแบ่งประเภทของบิดอะ คือจุดบอดอีกข้อหนึ่งของผู้ที่เข้าใจในคำนิยามเรื่องบิดอะฮเดียวโดยไม่แบ่งแยก  ซึ่งย่อมฟังไม่ขึ้นเช่นกัน เพราะมันได้ถูกตอบโต้อย่างเป็นรูปธรรมจากอุลามะของซอฮาบะ(รด)อย่างอิบนุอุมัร(รด)ไปแล้ว
         
 หมายความว่า เอามาเป็นหลักฐานมาสนับสนุนในการปฏิเสธเรื่องของการแบ่งบิดอะฮไม่ได้



หน้า: [1] 2 3 ... 7