แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - Taqwacore

หน้า: [1] 2 3 ... 5
1
ผมไปอ่านเจอที่อาจารย์เขียนมา

salam

เว็บไซต์นี้ http://www.binbaz.org.sa/life  เป็นเว็บของของวะฮาบี  ที่ได้นำเสนอวิถีชีวิตของ ชัยค์ บิน บาซฺ  (ร่อฮิมะฮุลลอฮ์ วะ ฆ่อฟะร็อลลอฮุอันฮุ)

ผมได้อ่านลิงค์หนึ่งของเว็บดังกล่าว  ซึ่งเป็นการเสวนาสัมภาษชัยค์  บินบาซฺ   ซึ่งมีความว่า

س20 : تحفظـون عن ظهـر قلب عددا من أمهات الكتب ؟

คำถามที่ 20 : ท่านท่องจำบรรดาตำรา(ฮะดีษ)หลัก ๆ  ขึ้นใจเลยหรือไม่?

ج20 : لا ، لا أحفظها ، قرأنا الكثير ولكن لا أحفظ منها الشيء الكثير ، قرأنا البخاري ومسلم مرات ، قرأنا سنن النسائي وأكملناها ، وسنن أبي داود وما أكملناها ، قرأنا سنن الترمذي وأكملناها ، قرأنا سنن ابن ماجة لكن ما أكملناها ، قرأنا جملة كبيرة من مسند الإمام أحمد ، والدارمي ، وصحيح ابن خزيمة ، نسأل الله أن يتقبل وينفع بالأسباب

คำตอบที่ 20 :  (ชัยค์ บิน บาซฺ ตอบว่า)  "ไม่เลย,  ฉันไม่ได้ท่องจำมันเลย,  แต่เราอ่านมันให้มาก ๆ แต่ฉันไม่ได้จดจำอะไรมากมาย,  เราอ่านฮะดีษบุคอรีย์และมุสลิมหลายรอบ, เราอ่านสุนันอันนะซาอีย์ และอ่านมันจบสมบูรณ์,  อ่านสุนันอะบีดาวูด  และเราได้อ่านมันจบสมบูรณ์, เราอ่านสุนันอะบีดาวูด  และเราได้อ่านมันจบสมบูรณ์,  เราอ่านสุนันอิบนุมาญะฮ์  แต่เราอ่านมันไม่จบ,  เราอ่านมากมายจากหนังสือมุสนัดอิมามอะห์มัด(แต่อ่านไม่หมด) , อ่านสุนันอัดดาริมีย์(แต่อ่านไม่จบ), อ่านซอฮิห์อิบนุคุซัยมะฮ์(แต่อ่านไม่จบ),  เราขออัลเลาะฮ์ทรงตอบรับและประทานคุณประโยชน์ด้วยสิ่งที่เราได้กระทำไป"  อ้างอิงจาก http://www.binbaz.org.sa/mat/21342

สิ่งที่ได้รับคือ  มุฟตีของวะฮาบีย์  ศึกษาฮะดีษยังไม่หมด (กระนั้นหรือ?!)


วิจารณ์
1. ข้อเขียนของอาจารย์อัสฮารี่นั้นหากไม่หลอกตัวเองก็ชัดเจนว่าเป็นข้อเขียนที่ดูถูกเชคบินบาซว่ากระจอกมาก ซึ่งการดูถูกคงไม่ใช่มารยาทของคนตะเซาวุฟแน่นอน
2. ท่านอาจารย์อัสฮารี่เองอ่านหะดีษหมดแล้วยัง?
3. ทำไมอาจารย์อาริฟีนไม่เผื่อบ้างว่าท่านเชคบินบาซจะตอบอย่างถ่อมตนเพื่อไม่โอ้อวด เพราะมารยาทของผู้รู้คงไม่่มีใครมาตอบแบบเสนอหน้าหรอกว่า ฉันนะอ่านหะดีษทุกต้นบนโลกแล้วนะ?
4. สมมุติว่าในมุสนัดอิมามอะฮฺมัดมีหะดีษ 10 ต้น และเชคบินบาซอ่านไปได้ 8 ต้น แต่อีกสองต้นอ่านไม่หมด ซึ่งอีก 2 ต้นนั้นมีอยู่ในบุคอรีและมุสลิม คำถามคือจะเป็นเรื่องที่อาจารย์ต้องดั้นด้นแปลมาเพื่อดูถูกไหม สมควรแล้วหรือ?

2
เข้าไปอ่านพบว่าท่านอาจารย์เขียนว่า

ระบบค่อลิฟะฮ์อิสลาม  ในยุครุ่งเรืองที่ผ่านมาล่าสุด  คือระบบค่อลีฟะฮ์อิสลามียะฮ์อุษมานียะฮ์   แต่เมื่อศึกษาจากคำพูดของชัยค์มุฮัมมัด บิน อับดุลวะฮาบ  ปรากฏว่า  อาณาจักรอุษมานียะฮ์นั้น  ไม่ใช่ปกครองในระบบค่อลิฟะฮ์อิสลามียะฮ์  แต่ถูกเรียกว่า  "ระบบค่อลิฟะฮ์กาฟิเราะฮ์"  คือระบบค่อลิฟะฮ์อุษมานียะฮ์นั้น  เป็นกาเฟร  เป็นพวกกาเฟร  ตามทัศนะของวะฮาบี  แต่ตามทัศนะของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์แล้วนั้น  ถือว่าเป็น ค่อลิฟะฮ์อิสลามียะฮ์

ด้วยเหตุนี้  อังกฤษจึงถือว่ากลุ่มวะฮาบีคือกลุ่มที่สามารถร่วมมือกับตนเองในการโค่นล้ม ระบบค่อลีฟะฮ์อิสลามียะฮ์ได้  และเป็นที่ทราบกันดีว่าในปัจจุบันนั้น  ซาอุดี้กับอังกฤษ  มีความสัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้น   อังกฤษได้สถาปนาอิสราเอลไล่เลี่ยกับสถาปนาราชวงศ์ซาอุฯ

แต่ที่เลย เถิดไปกว่านั้นก็คือ  เชคมุฮัมมัด บิน อับดุลวะฮาบ  บอกว่า  ใครที่ไม่เชื่อว่าค่อลิฟะฮ์อุษมานียะฮ์เป็นกาเฟร  เขาย่อมเป็นกาเฟรด้วย! 

http://www.sunnahstudents.com/forum/archive.php?topic=5599.0


อยากถามว่า

1. ช่วยยกหลักฐานจากคำพูดของเชคอิบนิอับดุลวะฮาบหน่อย จากตำราของท่าน ระบุเล่ม เลข และโรงพิมพ์ ข้อมูลทุกอย่าง มาในสองประเด็น คือที่อ้างว่าท่านตักฟีรอุษมานียะฮฺ และที่อ้างว่าท่านตักฟีรมุสลิมที่ไม่เชื่อว่าอุษมานียะฮฺเป็นกาเฟรด้วย


ปล. ขอรบกวนคนอื่นๆอย่าป่วนกระทู้นะครับ ผมต้องการคำตอบจากท่านอาจารย์จริงๆ



3
สนทนาศาสนธรรม / Re: Logical Fallacy
« เมื่อ: ก.ค. 31, 2011, 06:25 PM »
ยังครับ

4
สนทนาศาสนธรรม / Re: Logical Fallacy
« เมื่อ: ก.ค. 29, 2011, 05:39 PM »
อย่าหลงกับคำอธิบายแบบขอไปที


 อย่าหลงกับคำอธิบายแบบขอไปที แก้ตัว หาทางออก เพราะถ้าเรายังไม่สามารถแยกออกระหว่าง 1. คำอธิบายที่มีเหตุผลถูกต้องตามกระบวนการใช้เหตุผลจริงๆ โดยมีหลักฐานที่ตรงๆกับเรื่องนั้นๆมายืนยันเพื่อเป็นการอธิบายให้เกิดความชัดเจนมากยิ่งขึ้น  กับ 2.  การอธิบายแบบขอไปทีหาทางออกให้กับตนเอง เป็นการสร้างคำอธิบายขึ้นมาเอง ทึกทักคำอธิบายขึ้นมาเอง โดยปราศจากหลักฐาน  เพราะถ้าไม่ทำเช่นนั้น ความเชื่อหรือจุดยืนของตนเองจะถูกทำลาย ถูกหักล้างในที่สุด

 เพราะฉะนั้นเราจะต้องแยกให้ออก เพราะถ้าเรายังแยกไม่ออก จะไม่มีความหมายเลยในการแสวงหาสัจธรรมความจริง แม้แต่ในบริทบของต่างศาสนิกก็เช่นกัน  เขาก็จะอ้าง หรือสร้างคำอธิบายขึ้นมาเพื่อหาทางออกให้กับจุดยืนหรือความเชื่อของตนเอง สุดท้ายเราก็จะไม่สามารถแยกแยะหรือรู้ได้เลยว่า อะไรคือสัจธรรมความจริงกันแน่ และอะไรคือความเท็จ  เพราะยังไม่สามารถแยกแยะได้ระหว่างคำอธิบายทั้งสองประเภทที่ได้กล่าวไป 

เหตุการณ์ที่ค้านกับสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้น จะต้องถูกอธิบาย ชี้แจง โดยใช้หลักฐานอธิบายไม่ใช่ใช้การทึกทักเอาเองเพื่อหาทางออก เช่น การที่ท่านอาลีได้ตั้งชื่อลูกๆตนเองด้วยชื่อของบรรดาผู้ที่ชาวชีอะฮฺเกลียดชัง เช่น อบูบักร อุมัร อุสมาน อาอิชะฮฺ  ชีอะฮฺต้องตอบด้วยหลักฐานให้ได้ว่า ถ้าท่านอาลีเกลียดชังคนเหล่านี้จริง แล้วทำไมท่านจึงได้ตั้งชื่อลูกๆของท่านด้วยชื่อของท่านเหล่านี้ด้วย แต่ถ้าไม่สามารถอธิบายได้อย่างถูกต้องโดยไม่ทึกทักเอาเอง นั่นก็หมายความว่า คำกล่าวอ้างของชีอะฮฺเป็นสิ่งที่ผิดพลาด

 แม้แต่การสาบานของชีอะฮฺก็สามารถถือเป็นการตะกียะฮฺได้  เพราะฉะนั้นเราต้องถามชีอะฮฺก่อนว่า มีหลักฐานที่เชื่อถือได้ในฝ่ายคุณไหมว่า ถ้าใครสาบานเท็จแล้วจะเห็นผลทันตา ถ้าไม่มีก็ไม่ต้องสาบาน เพราะมันไม่สามารถพิสูจน์อะไรได้ว่าคุณพูดจริงหรือเท็จ เพราะคุณสามารถทำการตะกียะฮฺได้ แต่ถ้าคุณอ้างว่า ถ้าใครสาบานเท็จ ก็จะเห็นผลทันตา ถ้าเช่นนั้น ผมขอพิสูจน์ โดยขอสาบานว่า อบูบักร อุมัร อุสมาน และท่านหญิงอาอิชะฮฺเป็นชาวสวรรค์ อย่างแน่นอน ขอถามชีอะฮฺว่าผมพูดจริงหรือเท็จ  ถ้าผมพูดเท็จเช่นนั้น คุณจะเห็นผลที่จะเกิดขึ้นกับผมทันตา แต่ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น นั่นแสดงว่า ผมพูดจริง และพิสูจน์ไปโดยปริยายว่าชีอะฮฺพูดเท็จ

1. มีความจริงอย่างหนึ่งได้เกิดขึ้นมาแล้ว (เช่นเหตุการณ์ เอ ) และ มีความจริงอีกอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นและเกี่ยวข้องกันที่จะสามารถนำมาใช้อธิบายอีกเหตุการณ์ เอ ได้  เพื่อให้เกิดความกระจ่างหรือขจัดความสงสัย หรือสิ่งที่ดูเหมือนจะขัดแย้งกัน
2. มีความจริงอย่างหนึ่งได้เกิดขึ้นมาแล้ว (เช่นเหตุการณ์ เอ )  และ มีสิ่งที่ถูกทึกทักขึ้นมาเอง  หรือ สร้างคำอธิบายขึ้นมาเอง โดยปราศจากหลักฐานใดๆที่จะเกี่ยวข้องกัน ที่สามารถที่จะถูกนำมาใช้อธิบายเหตุการณ์ เอ ได้ 
3. มีความจริงอย่างหนึ่งได้เกิดขึ้นมาแล้ว  (เช่นเหตุการณ์ เอ )  และก็มีความจริงอีกอย่างหนึ่งได้เกิดขึ้น แต่ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกันที่จะสามารถถูกนำมาใช้อธิบายเหตุการณ์ เอ ได้  แต่ถูกสร้างภาพหรือวางเงื่อนไขเอาเอง หรือโยงเอาเอง ว่าเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกัน และสามารถสนับสนุนกันได้ ทั้งๆที่ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย 

          ถ้าใครก็ตามที่ทำในสิ่งที่ข้อ 2 และ 3 กล่าว ก็จะถือว่าไร้ซึ่งความเป็นวิชาการ และเชื่อถือไม่ได้ ตามหลักการวิเคราะห์ที่ถูกต้อง  แต่เราจะเห็นได้ในหลายๆกรณีว่า พี่น้องชาวชีอะฮฺมักจะทำในสิ่งที่ได้กล่าวเอาไว้ในข้อที่ 2 และ 3 เพื่อเป็นการหาทางออกให้กับความเชื่อของตนเองที่ได้รับพิสูจน์ว่าผิดพลาดหรือขัดแย้งกันเอง ซึ่งถ้าเรามีโอกาสพูดคุยกับพวกเขาแล้ว เราจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ

เราจะต้องแยกให้ออกในสิ่งต่อไปนี้:

1. มีความจริงอย่างหนึ่งได้เกิดขึ้นมาแล้ว (เช่นเหตุการณ์ เอ ) และ มีความจริงอีกอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นและเกี่ยวข้องกันที่จะสามารถนำมาใช้อธิบายอีกเหตุการณ์ เอ ได้  เพื่อให้เกิดความกระจ่างและขจัดความสงสัย 
2. มีความจริงอย่างหนึ่งได้เกิดขึ้นมาแล้ว (เช่นเหตุการณ์ เอ )  และ มีสิ่งที่ถูกทึกทักขึ้นมาเอง  หรือ สร้างคำอธิบายขึ้นมาเอง โดยปราศจากหลักฐานใดๆที่จะเกี่ยวข้องกัน ที่สามารถที่จะถูกนำมาใช้อธิบายเหตุการณ์ เอ ได้ 
3. มีความจริงอย่างหนึ่งได้เกิดขึ้นมาแล้ว  (เช่นเหตุการณ์ เอ )  และก็มีความจริงอีกอย่างหนึ่งได้เกิดขึ้น แต่ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกันที่จะสามารถถูกนำมาใช้อธิบายเหตุการณ์ เอ ได้  แต่ถูกสร้างภาพหรือวางเงื่อนไขเอาเองว่าเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกัน ทั้งๆที่เปล่าเลย 

            ถ้าใครก็ตามที่ทำในสิ่งที่ข้อ 2 และ 3 กล่าว ก็จะถือว่าไร้ซึ่งความเป็นวิชาการ และเชื่อถือไม่ได้ ตามหลักการวิเคราะห์ที่ถูกต้อง   

และเราจะต้องแยกให้ออกระหว่าง:

1. ถ้าเรื่องหนึ่งๆไม่ได้รับการอธิบายแล้ว ก็จะไม่มีอะไรเสียหาย และไม่มีผลแต่อย่างใด เช่น ศาสนิกถามว่าทำไมพระเจ้าสร้างมนุษย์ให้มีนิ้วมือ และนิ้วเท้า อย่างละ 10 นิ้ว  หรือ ทำไม พระเจ้าต้องสร้างมนุษย์มาให้มีรูปร่างอย่างที่เป็นอยู่
 2. ถ้าเรื่องหนึ่งๆไม่ได้รับการอธิบายแล้ว ก็อาจจะไม่มีผลอะไรมาก โดยจำไม่ทำให้จุดยืนของคนๆหนึ่งต้องถูกหักล้างหรือถูกทำลายไป แต่อาจจะทำให้เกิดความไม่ชัดเจน หรือข้อสงสัยคาใจอะไรบางอย่าง เช่น ทำไมพระเจ้าอนุญาตให้ผู้ที ภรรยาได้ถึง 4 คน ทำไมพระเจ้าจึงปล่อยให้เกิดความชั่วมากมายเต็มไปหมดในโลก ทำไมพระเจ้าไม่ห้าม และคำถามอื่นๆ ในประเภทนี้ ซึ่งถ้าไม่ตอบหรือตอบไม่ได้ ก็จะไม่มีผลทำให้หลักฐานที่ยืนยันว่าพระเจ้ามีอยู่จริงเป็นโมฆะ เพราะมันไม่เกี่ยวข้องอะไรกัน
 
3. ถ้าเรื่องหนึ่งๆไม่ได้รับการอธิบายอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการแล้ว ก็จะมีผลต้องทำให้จุดยืนหรือความเชื่อของคนๆหนึ่งต้องถูกทำลาย หรือ ถูกหักล้างไป และจะทำให้จุดยืนหรือความเชื่อนั้นๆเป็นโมฆะในที่สุด ทั้งนี้เพราะเกิดความขัดแย้งกัน และสิ่งใดก็ขัดแย้งกันเองสิ่งนั้นไม่สามารถเป็นจริงได้ เช่น  ข้อความที่หลังจากได้อธิบายไปแล้วด้วยหลักฐานในเรื่องเดียวกันที่เกี่ยวข้อง ก็จะเกิดความชัดเจนและขจัดสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นความขัดแย้งกันไปได้ เช่น ข้อความที่ว่า “ พระผู้เป็นเจ้านั้นทรงเมตตาเสมอ และทรงเมตตาต่อทุกสรรพสิ่ง แต่กระนั้นก็ตาม กลับมีความชั่วร้าย เกิดขึ้นมากมายเต็มไปหมด มีคนจำนวนมากต้องทุกข์ทรมานอันเนื่องมารจากสาเหตุต่างๆ ต่างศาสนิกที่ไม่เชื่อในพระเจ้าอาจจะถามว่า แล้วพระเจ้าภาษาอะไร ถึงได้เป็นอย่างนี้ ”  ซึ่งสามารถอธิบายด้วยหลักฐานได้ดังนี้:


“ เราจะต้องให้พระผู้เป็นเจ้าเป็นเจ้าเป็นผู้ตอบคำถามเองว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น และเรามาดูกันว่าคำตอบที่ได้มาจะขจัดสิ่งที่ดูเหมือนจะขัดแย้งกันเองได้หรือไม่ คำตอบก็คือ ยกตัวอย่างเช่น อาจารย์คนหนึ่งมีลูกศิษย์ 50 คน และเมื่อถึงวันสอบ ทุกคนก็ต้องทำข้อสอบ ถามว่าอาจารย์ต้องการให้นักเรียนทุกคนสอบผ่านหรือไม่ แน่นอนต้องการ และถามว่า อาจารย์รู้หรือไม่ว่าการสอบตกทำให้เกิดความทุกข์กับนักเรียน แน่นอนรู้  ในขณะที่อาจารย์คนนั้นกำลังคุมห้องสอบอยู่ เห็นโดยตลอดว่า นักเรียนคนไหน กากบาทข้อที่ผิด คำถามก็คือ ถ้าอาจารย์ต้องการให้นักเรียนทุกคนสอบผ่านจริง แล้วทำไมไม่ช่วยนักเรียนโดยบอกว่าอย่ากาข้อนั้น เพราะมันผิด... ถ้าอาจารย์ทำเช่นนั้น การสอบ ก็จะไม่ใช่การสอบอีกต่อไป และที่เรียกว่าเป็นการทดสอบก็จะไม่มีความหมายไปโดยปริยาย เช่นกัน พระเจ้าได้สร้างมนุษย์มาก็เพื่อการทดสอบ ตายเมื่อไหร่ก็หมดเวลาสอบ และหนึ่งในข้อสอบก็คือ สิ่งต่างๆที่จะมาประสบกับมนุษย์แต่ละคนโดยสิ่งนั้นทำให้มนุษย์ได้รับความทุกข์ใจ  หรือ ทุกข์ทรมาน แต่กระนั้นมันก็ไม่ได้ทำให้คำว่าพระเจ้ามีความเมตตาต่อทุกสิ่งต้องเป็นโมฆะไป เพราะพระเจ้าก็เมตตามนุษย์ในเรื่องต่างๆมากมาย”  เมื่อได้รับการอธิบายเช่นนี้แล้ว ก็ทำให้สิ่งที่ดูเหมือนจะขัดแย้งกันได้ถูกขจัดไป

หรือ เรื่องๆหนึ่งที่เกิดขึ้น หรือ ข้อความหนึ่ง ที่ไม่ว่าจะอธิบายอย่างไรก็ไม่สามารถขจัดข้อขัดแย้งออกไปได้ ถึงแม้ว่าจะอธิบายด้วยหลักฐานก็ตาม ทั้งนี้เพราะหลักฐานที่ได้นำมาอธิบายนั้น มันไม่เกี่ยวข้องอะไรกันโดยตรง อันจะเป็นผลทำให้ความขัดแย้งกันนั้นได้ถูกขจัดออกไป  เช่น  ข้อความที่ว่า “พระเจ้าเป็นอยู่ชั่วนิรันดร พระเจ้าทรงรอบรู้ทุกสรรพสิ่ง พระเจ้าไม่ทรงเหนื่อย หรือหลับนอน” และ ข้อความหรือเหตุการณ์ที่กลับชี้ชัดว่า   “ พระเจ้ามีการเกิด ไม่รอบรู้ทุกสิ่ง เหนื่อย และ มีการหลับนอน”   ตรงนี้ขัดแย้งกันอย่างแน่นอน  หรือถ้าเป็นในบริบทของชีอะฮฺ ก็คือ เหตุการณ์ที่ท่านอาลีนั้นให้การยอมรับการเป็นคอลีฟะฮฺของท่านอบูบักร แถมยังชื่นชมท่าน       อบูบักรหลายครั้งด้วยกัน  ซึ่งชีอะฮฺไม่สามารถนำหลักฐานที่เกี่ยวข้องกันในเรื่องนี้มาอธิบายได้ เพื่อที่จะขจัดความขัดแย้งให้หมดไปได้ ขัดแย้งในที่นี้ก็คือ สิ่งที่ท่านอาลีได้กระทำออกมาหรือพูดออกมานั้น ขัดกับความเชื่อสำคัญของชีอะฮฺ ที่ว่าท่าน  อบูบักรนั้น มาแย่งชิงตำแหน่งการเป็นคอลีฟะฮฺของท่านอาลี และถือว่าเป็นการเฟร  ซี่งเป็นเป็นเช่นนี้แล้ว จึงทำให้ความจริงปรากฎออกมาว่า ความเชื่อของชีอะฮฺนั้นผิดพลาด และถ้าชีอะฮฺจะกล่าวออกมาในทำนองว่า “ ที่เราเชื่อว่าอบูบักรนั้น มาแย่งชิงตำแหน่งการเป็นคอลีฟะฮฺของท่านอาลี และถือว่าเป็นการเฟร นั้น เราก็เชื่อด้วยหลักฐาน” นั้นก็ชัดเจนว่า หลักฐานของชีอะฮฺขัดแย้งกันเอง และสิ่งใดก็ตามที่เป็นสัจธรรมความจริง สิ่งนั้นจะต้องไม่มีความขัดแย้งกันเอง และชีอะฮฺไม่มีสิทธิที่จะนำเอาความเชื่อตัวเองมาอธิบายเหตุการณ์ที่ขัดแย้งกันเองนี้ได้ โดยการสร้างคำอธิบายแบบขอไปทีขึ้นมาเพื่อหาทางออกให้กับตนเอง  เพราะการกระทำเช่นนี้เป็นการกระทำที่ผิดพลาดในกระบวนการวิเคราะห์  แต่ชีอะฮฺจะต้องนำหลักฐานที่ตรงๆเรื่องมาให้ได้ว่าเพื่อที่จะอธิบายว่าทำไมท่านอาลีถึงได้ยอมรับ และชื่นชมท่านอบูบักร  โดยจะต้องไม่นำเอาหลักฐานเชื่อมโยงเอาเองมา ที่ไม่ตรงเรื่อง

5
สนทนาศาสนธรรม / Re: Logical Fallacy
« เมื่อ: ก.ค. 29, 2011, 04:34 PM »
taqwacore  ใช่คนที่คุยกับชีอะในคลิปป่าวครับ

ไม่ใช่ ครับ

6
สนทนาศาสนธรรม / Re: Logical Fallacy
« เมื่อ: ก.ค. 28, 2011, 02:33 PM »
คุณ Al-Zeek ตอบมาได้เรื่อยๆน่ะครับ ผมไม่ว่าอะไร  จะตอบอะไรมาก็ได้ไม่เป็นไร ผมอยากให้คนอื่นๆที่กำลังตามอ่านอยู่ได้เห็นอะไรชัดๆ เห็นอะไรที่มัน contrast  ... ไม่โกรธกันน่ะครับ  ไม่ได้ยั่วยุน่ะ

7
สนทนาศาสนธรรม / Re: Logical Fallacy
« เมื่อ: ก.ค. 28, 2011, 02:20 PM »
ผมจะมานำลงเรื่อยก็แล้วกันน่ะครับ

 แต่ผมอยากเห็นคุณ    Al-Zaleek ถกกันกับ ชีอะฮฺน่ะครับ คงจะได้เห็นอะไรมากมาย   โดยเฉพาะกระบวนท่า วิทยายุทธิต่างๆ ของคุณ Al-Zaleek ในการใช้เหตุผล   ไม่รู้ว่าจะออกมาลูกผีหรือลูกคน  .... ล่อเล่นน่ะครับ อย่าโกรธกันน่ะ  แต่อยากเห็นจริงๆน่ะ

8
สนทนาศาสนธรรม / Re: Logical Fallacy
« เมื่อ: ก.ค. 28, 2011, 02:15 PM »
ขอให้ความรู้ต่อน่ะครับ เพราะมีคนอื่นๆตามอ่านอยู่ ด้วยความกระตือรือร้นที่อยากได้รับความรู้ในแขนงนี้

Fallacy of Division (what’s true of the whole is true of the parts)


ทึกทักว่าสิ่งใดที่ในภาพรวมเป็นจริงอย่างไร แม้แต่ในส่วนแต่ละส่วนของสิ่งนั้นก็จะต้องเป็นอย่างนั้นด้วย  เช่นพูดว่า  “ มนุษย์เป็นสิ่งที่มีชีวิต  มนุษย์เรามีส่วนประกอบคือ เซลล์ เพราะฉะนั้นเซลล์จึงเป็นสิ่งที่มีชีวิตเช่นเดียวกัน ”  หรือพูดว่า “ นาย ก. เป็นผู้ทีความรู้เป็นอย่างมากในวิชาฮะดีษใน  เพราะฉะนั้น  นาย ก. คนนี้จึงมีความรอบคอบในทุกๆละเอียดของฮะดีษทุกต้นที่เขาตรวจสอบ” ซึ่งไม่จำเป็นเลยว่าจะต้องเป็นเช่นนั้น เพราะถ้าเป็นเช่นนี้ เชคอัลบานีย์ คงไม่มีข้อผิดพลาดเลย หรือที่ท่านนบีพูดว่า “ ยุคที่ดีที่สุดคือยุคของฉัน หลังจากนั้นคือยุคถัดไป หลังจากนั้นคือยุคถัดไป” ซึ่งยุคทั้งสามนี้เราเรียกว่า ยุค สะลัฟ   และการรับรองของท่านนบีนี้เป็นที่รู้กันว่าท่านนบีพูดในภาพรวม เพราะว่าบุคคลที่อยู่ในยุคสะลัฟแต่เป็นพวกที่ทำบิดอะฮฺ หรือ มีความเชื่อที่ผิดเพี้ยน เช่น พวกคอวาริจ  พวกมุอฺตะซีละฮฺ และ กลุ่มผิดเพี้ยนอื่นๆ ย่อมไม่มีไปกว่า บุคคลที่อยู่ในยุคหลังยุคสะลัฟที่ยึดมั่นในแนวทางที่ถูกต้อง ยกตัวอย่างเช่น มีจำนวนบุคคลอยู่ในยุคสะลัฟ 100 คน ในจำนวนนั้นมี นาย ก.  ข. และ ค. ที่มีหลักความเชื่อที่ผิดเพี้ยน และ ทำบิดอะฮฺ อุตรกรรมในศาสนา  แน่นอนที่สุด คนที่อยู่ในยุคหลังสะลัฟที่ยึดหลักความเชื่อที่ถูกต้อง ไม่ทำบิดอะฮฺ โดยยึดในแนวทางของส่วนใหญ่ของชาวสะลัฟ ย่อมดีและประเสริฐกว่า นาย ก. ข. และ ค. ที่อยู่ในยุคสะลัฟอย่างแน่นอน  เพราะฉะนั้นเราจะเห็นได้ว่า คำกล่าวอ้างของบางคนในหมู่มุสลิมเราที่จะไม่เข้าใจอัล-กุรอานและฮะดีษตามความเข้าใจของยุคสะลัฟ โดยอ้างออกมาในทำนองว่า ‘ คุณอย่าลืมน่ะว่า  พวก คอวาริจ หรือ มุอฺตะซีละฮฺ พวกเขาก็อยู่ในยุคสะลัฟเหมือนกัน ตกลงคุณจะให้ผมต้องเข้าใจอัล-กุรอาน และฮะดีษตามความเข้าใจของพวกเขาอย่างนั้นหรือ เพราะฉะนั้น เราไม่จำเป็นต้องเข้าใจอัล-กุรอานและฮะดีษตามความเข้าใจของคนในยุคสะลัฟก็ได้ เพราะไม่ได้ถูกต้องเสมอไป เหมือนพวก คอวาริจ และ พวกมุอฺตะซีละฮฺที่ได้บอกไป’


เราจะเห็นได้ว่า การที่กลุ่มคนที่อ้างเช้นนี้ ไม่ได้เรียนรู้ตรรก หรือ กระบวนการใช้เหตุผลที่ถูกต้องนั้นมีผลถึงเช่นไร คนที่อ้างเช่นนี้ทำผิดหลักในการใช้เหตุผลในข้อนี้อย่างเห็นได้ชัด และเท่ากับพวกเขากำลังจะบอกอ้อมๆว่า ‘ท่านนบีรับรองไม่จริง เพราะถ้าจริงแล้ว ยุคสะลัฟจะต้องไม่มีกลุ่มคนที่ผิดเพี้ยน หรือทำบิดอะฮฺ’ ซึ่งอันตรายถ้าเป็นเช่นนี้ ความจริงแล้วท่านนบีพูดจริง แต่พวกเขาต่างหากที่ไม่รู้หลักการใช้เหตุผลที่ถูกต้องแอง เพราะท่านนนี้ไม่ได้รับรองในรายละเอียด แต่ท่านนบีพูดในภาพรวม ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริง เพราะภาพรวมของคนในยุคสะลัฟคือ ยึดมั่นอยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง ไม่ทำบิดอะฮฺ เมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้ามุสลิมบางคนยังจะอ้างอยู่อย่างที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้ว ถามว่าฮะดีษของท่านนบีจะมีความหมายอะไร ที่ท่านนบีรับรองว่า ยุคสะลัฟคือยุคที่ดีที่สุด และดีที่สุดในที่นี้คือ ในความรู้ ความเข้าใจในศาสนา  เพราะฉะนั้นคนพวกนี้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากที่จะต้องกลับมาเข้าใจอัล-กุรอานและฮะดีษตามความเข้าใจของยุคสะลัฟ และปรับความเข้าใจของตนเองเสียใหม่เกี่ยวกับฮะดีษที่ท่านนบีให้การรับรองยุคสะลัฟเอาไว้


      นอกจากนี้แล้วความผิดพลาดในการใช้เหตุผลข้อนี้ยังสามารถใช้ได้กับในกรณีของชีอะฮฺได้ด้วย พี่น้องชีอะฮฺกล่าวอ้างทำนองว่า ‘ ท่านนบีได้กล่าวเอาไว้ชัดเจนว่า  “ผู้นำหรือคอลีฟะฮฺนั้นจะต้องมาจากเผ่ากุเรช” ทั้งนี้เพราะเผ่ากุเรชนั้นประเสริฐกว่าอาหรับเผ่าอื่นๆ แต่ตระกูลที่ดีที่สุดจากเผ่ากุเรชก็คือ ตระกูลบะนีฮาชิม และท่านอาลีอยู่ในตระกูลนี้ เพราะฉะนั้น ท่านอาลีจึงมีสิทธิที่จะเป็นคอลีฟะฮฺมากกว่าท่านอบูบักร ถึงแม้ว่าท่านอบูบักรจะอยู่ในเผ่ากุเรชก็ตาม ’ นี่คือข้ออ้างของพี่น้องชีอะฮฺ ซึ่งดูแบบผิวเผินแล้วฟังดูดีมีเหตุผล แต่เปล่าเลยถ้าเราได้เรียนรู้หลักการใช้เหตุผลที่ถูกต้องเราจะไม่เห็นเป็นเช่นนั้น ทั้งนี้ก็เพราะ ท่านนบีไม่ได้กล่าวว่า ‘ ผู้นำหรือคอลีฟะฮฺจะต้องมาจากตระกูลบะนีฮาชิม’ แต่นี่คือการสรุปเอาเองของชีอะฮฺ  ท่านนบีเพียงแต่พูดเกี่ยวกับ เผ่ากุเรชเท่านั้น เพราะฉะนั้นท่านนบีจึงรับรองเผ่ากุเรชโดยภาพรวมถึงความประเสริฐ แต่ไม่ได้หมายความว่า ทุกๆคนของเผ่ากุเรชจะประเสริฐกว่าและดีกว่าคนเผ่าอื่นๆ เปล่าเลย ตามที่ได้ชี้แจงไปแล้วในตัวอย่างของยุคสะลัฟ  เช่นกัน ถึงแม้ว่า ตระกูลบะนีฮาชิม จะประเสริฐและดีที่สุดในเผ่ากุเรช แต่นั้นก็เป็นการรับรองในภาพรวม ไม่ได้หมายความว่า ทุกๆคนในตระกูลบะนีฮาชิมจะดีกว่าและประเสริฐกว่า คนในตระกูลอื่นของเผ่ากุเรช เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้ามีหลักฐานพิสูจน์ว่า มีบางคนในตระกูลอื่นของเผ่ากุเรชที่ไม่ได้มาจากตระกูลของบะนีฮาชิม แต่มีความประเสริฐกว่าและดีกว่าคนในตระกูลบะนีฮาชิม แน่นอนที่สุดคนๆนั้นย่อมมีสิทธิในการเป็นคอลีฟะฮฺอย่างแน่นอน และคนๆนั้นก็คือ ท่านอบูบักร ทั้งนี้ก็เพราะตัวท่านอาลีเองเป็นผู้ยืนยันว่าท่านอบูบักรประเสริฐรองจากท่านนบี

9
สนทนาศาสนธรรม / Re: Logical Fallacy
« เมื่อ: ก.ค. 28, 2011, 02:11 PM »
สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มเรียนหลักการใช้เหตุผลใหม่ๆนั้น  ในช่วงเริ่มแรกอาจจะเป็นการยากที่จะสามารถตรวจจับ ความผิดพลาดในการใช้เหตุผลได้ โดยเฉพาะสามารถบอกได้ว่าตกอยู่ในความผิดพลาดประเภทไหน ถ้าไม่ฝึกกันจริงๆ ก็คงยาก    แต่ถ้าไม่คิดที่จะเรียนรู้ตั้งแต่ต้นแล้ว ก็ปิดประตูไปได้เลย คงช่วยอะไรไม่ได้แล้ว คงคุยอะไรไม่รู้เรื่องแล้ว เหมือนพูดคนละภาษา ก็คงจะต้องปล่อยให้อยู่ในสภาพนั้นต่อไป   

แต่น่าเห็นใจน่ะครับ เพราะหนังสือ หรือ ตำราในเรื่องนี้อยู่ในภาษาอังกฤษ ส่วนภาษาไทยเท่าที่ตรวจดูก็น้อยมาก  ไม่รู้ภาษาอาหรับมีหรือเปล่า ยังไงคุณ Al-Zaleek ลองหาอ่านดูน่ะครับ ยังไม่สายที่จะเริ่มเรียนรู้ ยังไม่สายที่จะเริ่มรักษาความไม่รู้ ....  ในเรื่องนี้น่ะครับ....  เรื่องอื่นคุณอาจจะฉลาด

10
สนทนาศาสนธรรม / Re: Logical Fallacy
« เมื่อ: ก.ค. 28, 2011, 02:04 PM »
ป่วยการครับ ที่จะพูดกับคนที่เมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นโรคแล้ว คิดปลอดใจตัวเองว่าไม่ได้เป็นโรค สุดท้ายก็ไม่ได้รักษาโรคที่ตนเองเป็นทั้งๆที่มีผู้หยิบยื่นสิ่งที่จะมารักษาโรคของตนเอง แต่ก็ยังปฎิเสธ ไม่สนใจต่อยารักษาโรคนั้น  และก็เป็นโรคนั้นอยู่ต่อไป 

ที่ผมพูดเช่นนี้ก็เพราะถ้าคุณเรียนรู้ตามที่ผมได้บอกไปแล้ว คุณจะไม่แสดงพฤติกรรมเช่นนี้ออกมาอย่างแน่นอน 

มีคำพูดหนึ่งที่บอกว่า บางทีวิธีการที่เราจะจัดการกับคนโง่ ก็คือ ปล่อยให้เขาโง่อยู่ต่อไปเช่นนั้น ... ผมน่าจะเห็นด้วยกับคำพูดนี้ไหมครับ

11
สนทนาศาสนธรรม / Re: Logical Fallacy
« เมื่อ: ก.ค. 28, 2011, 01:49 PM »
ข้อให้ความรู้ต่อครับ

ไม่ใช่สักแต่ว่าได้โต้ตอบแล้ว
[/b]

ในถกเถียงกันทางวิชาการที่แต่ละฝ่ายมีความเห็นไม่ตรงกันนั้น เราจะพบว่าแต่ละฝ่ายก็จะนำเสนอหลักฐาน เหตุผลเพื่อพิสูจน์จุดยืนของฝ่ายตนเองว่าถูกต้อง และ หักล้าง โต้ตอบอีกฝ่ายว่าผิดพลาด  บทความนี้จะพูดถึงในกรณีของการโต้ตอบกลับมาของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด เพื่อหักล้างอีกฝ่าย โดยสิ่งที่เราจะต้องระวังและวิเคราะห์ให้ดี เพื่อให้การรับฟัง หรือการที่ได้อ่าน ในเรื่องที่มีการโต้แย้งกันเกิดประโยชน์ต่อเรามากที่สุด ก็คือ:

การโต้ตอบอีกฝ่ายหนึ่งกลับนั้นไม่ใช่สักแต่ว่าได้โต้ตอบกลับมา เพื่อสร้างภาพว่าตนเองสามารถโต้ตอบอีกฝ่ายได้แล้ว  แต่สิ่งที่สำคัญก็คือ เราจะต้องวิเคราะห์ดูว่าเนื้อหาของการโต้ตอบนั้น โต้ตอบได้ตรงประเด็นหรือไม่ ถ้าเราพูดอย่างหนึ่งแต่อีกฝ่ายนำสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องมาเพื่อโต้ตอบ เพื่อสร้างภาพว่าตนเองสามารถโต้ตอบได้แล้ว เราจะต้องชี้ให้อีกฝ่ายรู้ว่าข้อมูลที่เขาได้นำมาโต้ตอบนั้น ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องที่กำลังถกกันอยู่ เพราะฉะนั้นจึงไม่สามารถหักล้างในสิ่งที่เราได้นำเสนอไปได้    และ เราจะต้องแยกให้ออกระหว่าง การโต้ตอบด้วยหลักฐานข้อพิสูจน์ และ การโต้ตอบโดยการใช้คำพูดที่มาจากการใช้อารมณ์ความรู้สึกของตนเองโต้ตอบ  ซึ่งไม่มีผลแต่อย่างใด  และอีกอย่างที่เราจะต้องระวังก็คือ เราจะต้องสื่อสารให้อีกฝ่ายได้รับรู้ว่า ประเด็นหลักของเราที่กำลังถกกันอยู่นั้นคืออะไร เพื่อป้องกันมิให้เกิดการออกนอกประเด็น  และถ้าอีกฝ่ายกำลังออกนอกประเด็น เราจะต้องเตือนให้กลับมาที่ประเด็น และถกกันไปทีละประเด็น แต่จะต้องเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกันโดยตรงกับเรื่องที่กำลังถกกันกันอยู่ เพราะมิเช่นนั้นแล้วจะเสียเวลาไม่เกิดประโยชนืแต่อย่างใดต่อประเด็นที่กำลังถกกันอยู่ 

อีกอย่างก็คือ เราจะต้องระวังให้ดีว่า อีกฝ่ายนั้นอาจจะตั้งโจทย์เอาเอง  และตอบโจทย์นั้นเสียเอง โดยสร้างภาพว่านั้นคือโจทย์ที่เราตั้งขึ้นมา  และเขาสามารถโต้ตอบโจทย์ของเราได้ ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้ว เราไม่ได้ตั้งโจทย์อะไรเช่นนั้นเลย  สาเหตุที่อีกฝ่ายใช้วิธีที่ไม่ซื่อสัตย์เช่นนี้ก็เพราะ รู้ว่าตนเองไม่สามารถหักล้างหรือตอบโจทย์ที่เราตั้งเอาไว้ได้  จึงต้องใช้วิธีที่ไม่ซื่อสัตย์เช่นนี้  ปัญหานี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งกับผู้ที่เขียนหนังสือ หรือบทความเพื่อหักล้าง หรือโต้ตอบความเท็จของอีกฝ่าย   โดยที่อีกฝ่าย ก็เขียนบทความหรือหนังสือเพื่อโต้ตอบเราบ้าง แต่เปล่าเลย สิ่งที่อีกฝ่ายโต้ตอบนั้น มันไม่ได้โต้ตอบในสิ่งที่เราได้นำเสนอด้วยหลักฐานและข้อพิสูจน์เลย หากแต่ว่า ตนเองได้ตั้งโจทย์ขึ้นมาเอง และสร้างภาพว่าเราเชื่อเช่นนั้น เรามีจุดยืนเช่นนั้น ทั้งๆที่เปล่าเลย จากนั้นก็โต้ตอบในสิ่งที่ตนเองตั้งเป็นโจทย์ขึ้นมาเอง  จากนั้นก็สร้างภาพว่าสามารถโต้ตอบหักล้างเราได้แล้ว   ซึ่งโชคร้ายก็ว่าได้สำหรับผู้ที่จับประเด็นไม่เป็น แยกแยะไม่เป็น หรือไม่ได้เรียนรู้กระบวนการใช้เหตุผลที่ถูกต้องมา รวมถึงความผิดพลาดในการใช้เหตุผล   แต่การได้รับฟัง หรือได้อ่าน ในเรื่องที่แต่ละฝ่ายมีความเห็นไม่ตรงกัน และมีการนำเสนอข้อมูลต่างๆนาๆอย่างมากมายเพื่อสนับสนุนฝ่ายของตนเอง และ หักล้างโต้ตอบฝ่ายตรงข้าม แทบจะไม่เกิดประโยชน์อย่างแท้จริงเลยก็ว่าได้ ถ้าเราไม่ได้ผ่านกระบวนการเรียนรู้สิ่งต่อไปนี้เสียก่อน:

1. เรียนรู้กระบวนการวิเคราะห์ กระบวนการใช้เหตุผลที่ถูกต้อง 
2. เรียนรู้ประเภทหรือชนิดต่างๆของความผิดพลาดในการใช้เหตุผล   (Logical Fallacy)   

การเรียนทั้งสองอย่างที่กล่าวมาให้เข้านั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยาก  รายละเอียดของทั้งสองนั้นมีมาก และตำราภาษาไทยก็มีจำกัดเป็นอย่างมาก แต่จะอยู่ในภาษาอังกฤษจำนวนมาก  และเป็นภาษาที่ค่อนข้างเข้าใจยาก แม้แต่แปลมาเป็นภาษาไทยแล้ว หลายๆคนก็ยังบอกไม่เข้าใจ และจะต้องอาศัยการได้ฝึกฝนอยู่เป็นประจำแต่ก่อนจะฝึกจะต้องเรียนรู้ในภาคทฤษฎีให้ดีเสียก่อน  แต่การเรียนรู้ทั้งสองที่กล่าวมา จะทำให้เราได้รับประโยชน์อย่างมากอย่างที่เราอาจจะไม่คาดคิดมาก่อนเลย   

12
สนทนาศาสนธรรม / Re: Logical Fallacy
« เมื่อ: ก.ค. 28, 2011, 01:48 PM »
คำถามที่ถามมา ก็ตกอยู่ในข้อหนึ่งของการใช้เหตุผลที่ผิดพลาดเหมือนกัน ในข้อที่ว่า " Hidden Assumption"

13
สนทนาศาสนธรรม / Re: Logical Fallacy
« เมื่อ: ก.ค. 28, 2011, 01:36 PM »

หลักการวิเคราะห์และการใช้เหตุผลที่ถูกต้องนั้น มีความเป็นกลางโดยตัวของมันเอง มันไม่เข้าใครออกใคร ไม่มีฝั่ง ไม่มีข้าง  ความผิดพลาดในการใช้เหตุผลประเภทต่างๆก็เช่นกัน ที่มีความเป็นกลางโดยตัวของมันเอง มันไม่เข้าใครออกใคร ไม่มีฝั่ง ไม่มีข้าง  แต่สำหรับผู้ที่เรียนรู้กระบวนการดังกล่าวมาแล้วเท่านั้น ที่จะสามารถแยกแยะหรือตรวจจับได้ว่าอะไรคือ การวิเคราะห์ หรือการใช้เหตุผลที่ถูกต้อง และ อะไรคือการใช้เหตุผลที่ผิดพลาด หรือที่ภาษาทางเรียกว่า “เหตุผลวิบัติ ”  ในภาษาอังกฤษเรียกว่า “ Logical Fallacy”

แม้แต่ข้อความของคุณ Zaleek ข้างต้นก็ตกอยู่ในประเภทการใช้เหตุผลที่ผิดพลาดหลายข้อเช่นกัน (ลองย้อนขึ้นกลับไปอ่านทบทวนดู)  ถ้าคนเรียนมาแล้วจะตรวจจับได้โดยทันที  เว็ปต่อไปนี้บอกถึงประเภทต่างๆของการใช้เหตุผลที่ผิดพลาดเอาไว้ ใครรู้ภาษาอังกฤษก็สามารถเข้าไปศึกษาได้

http://changingminds.org/disciplines/argument/fallacies/fallacies_alpha.htm

 http://www.nizkor.org/features/fallacies/index.html#index


14
สนทนาศาสนธรรม / Re: Logical Fallacy
« เมื่อ: ก.ค. 28, 2011, 10:50 AM »
การสร้างภาพอีกประเภทหนี่ง
ถามคำถามที่ไม่ที่เกี่ยวกับเรื่องที่กำลังถกเถียงกันอย่างแท้จริง ถึงแม้ว่าจะเป็นคำถามในเรื่องเดียวกันก็ตาม ในหลายๆกรณีด้วยกันเราจะพบว่า เมื่อ นาย ก. สามารถโต้ตอบหักล้างหลักฐานหรือเหตุผลของนาย ข. นำเสนอมาได้อย่างถูกต้อง ตรงประเด็น ตามกระบวนการใช้เหตุผลที่ถูกต้อง  เมื่อ นาย ข. รู้ว่าตนเองไม่สามารถโต้ตอบหรือหักล้าง นาย ก. กลับได้อย่างถูกต้องและตรงประเด็น  นาย ข. จึงใช้วิธีการถามคำถามที่เพื่อหวังจะสร้างภาพว่าตนเองสามารถหักล้าง โต้แย้งนาย ก. ได้แล้ว  ถ้านาย ก. ตอบคำถามไม่ได้  ทั้งๆที่ถ้าวิเคราะห์ดูแล้ว คำถามที่ถามนั้นไม่ได้เกี่ยวอะไรกันโดยตรง ข้อย้ำว่าโดยตรง กับเรื่องที่กำลังถกกันอยู่เลย และถ้าตอบไม่ได้ก็จะไม่มีผลอะไรเลยต่อหลักฐานและเหตุผลที่นาย ก. นำมาโต้แย้งนาย ข. เพราะมันไม่เกี่ยวข้องกันอย่างแท้จริง เพราะฉะนั้นถ้าผู้ใดเจอสถานการณ์เช่น นาย ก. แล้วแนะนำให้ถามคำถามกลับไปว่า:

1. คำถามที่คุณถามมานั้น คำตอบของมันเกี่ยวข้องกันโดยตรงอย่างแท้จริงหรือไม่กับเรื่องที่เรากำลังถกกันอยู่
2. ถ้าตอบว่าเกี่ยวข้อง เช่นนั้นช่วยพิสูจน์มาก่อนว่ามันจะเกี่ยวกันอย่างแท้จริงอย่างไร
3. และ มัน (คำตอบที่จะได้มา) จะสามารถหักล้างหลักฐานหรือเหตุผลที่ผมได้นำเสนอไปหรือไม่อย่างไร เพราะถ้าคำตอบที่จะได้มาจากคำถามนั้น ไม่มีผลอะไรที่จะมาหักล้างหลักฐานหรือเหตุผลของ นาย ก. ก็เสียเวลาเปล่า และ ถือว่านอกเรื่อง และพยายามเบี่ยงเบนประเด็น และสร้างภาพ   

และเช่นกัน จะมีการสร้างภาพให้ตนเองดูดี โดย นาย ข. พูดกับนาย ก. ประมาณว่า “ คุณจะต้องกลับไปอ่านหนังสือเล่มนั้น เล่มนี้มาก่อน เพื่อคุณจะได้มีความเข้าใจที่ดีกว่านี้ ถูกต้องกว่านี้”  หรือ “ คุณได้อ่านหนังสือเล่มนั้น เล่มนี้หรือยัง ถ้ายังไม่ได้อ่านผมแนะนำให้ไปอ่านมาก่อนที่จะถกกันในเรื่องนี้จะดีกว่า” หรือนาย ข. อาจจะพูดอะไรประมาณนี้มาเพื่อสร้างภาพ ซึ่งเมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ ก็ให้ถามคำถามทั้ง 3 ข้อข้างต้นกลับไปโดยปรับเนื้อหาในการถาม คือ:

1. เนื้อหาที่อยู่ในหนังสือเล่มที่คุณจะให้ผมอ่านนั้น มันเกี่ยวข้องกันโดยตรงอย่างแท้จริงหรือไม่กับเรื่องที่เรากำลังถกกันอยู่
2. ถ้าตอบว่าเกี่ยวข้อง เช่นนั้นช่วยพิสูจน์มาก่อนว่ามันจะเกี่ยวกันอย่างแท้จริงอย่างไร
3. และ เนื้อหาของหนังสือเล่มที่คุณต้องการให้ผมอ่านนั้นมันจะสามารถหักล้างหลักฐานหรือเหตุผลที่ผมได้นำเสนอไปหรือไม่อย่างไร เพราะถ้าไม่มีผลอะไรที่จะมาหักล้างหลักฐานหรือเหตุผลของ นาย ก. ก็เสียเวลาเปล่า และ ถือว่านอกเรื่อง และพยายามเบี่ยงเบนประเด็น และสร้างภาพ

หรืออาจจะมีการถามคำถามในลักษณะที่ส่อให้รู้ว่าเป็นการตั้งเงื่อนไขเพื่อสร้างภาพ โดยสื่อว่าถ้าเราตอบคำถามนั้นๆไม่ได้ก็จะถือว่าเราพ่ายแพ้ในการถกเถียงในประเด็นนั้นๆ  วิธีจัดการก็คือ ให้เราถามคำถามทั้ง 3 ข้างต้นโดยอาจจะมีการปรับคำถามให้เข้ากับคำถามที่อีกฝ่ายถามมาเพื่อสร้างภาพ

15
สนทนาศาสนธรรม / Re: Logical Fallacy
« เมื่อ: ก.ค. 28, 2011, 10:14 AM »
Straw Man   สร้างจุดยืนใหม่ที่ไม่แท้จริง ให้กับอีกฝ่าย ซึ่งเป็นจุดยืนที่สามารถถูกหักล้าง หรือโจมตีได้ง่าย  ทั้งที่ในความเป็นจริง อีกฝ่ายก็ไม่ได้มีจุดยืนเช่นนั้นเลย  ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อที่ตัวเองจะได้โจมตีจุดยืน (ที่ไม่เป็นจริง) ที่ตนเองสร้างขึ้นมาให้กับอีกฝ่าย  เพื่อสร้างภาพว่าตนเองสามารถหักล้างจุดยืนที่แท้จริงของอีกฝ่ายได้แล้ว ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เช่นนั้นเลย

เช่น นาย ก. พูดกับนาย ข. เมื่อไปเยี่ยมนาย ข.ที่ห้องว่า “ ห้องนายนี้ รก และสกปรก จริงๆ ตกลงจะให้ห้องรก และสกปรกอยู่อย่างนี้ตลอดทั้งปีใช่ไหม ? ” เราจะเห็นได้ว่า การที่ห้อง รก และสกปรก นั้นไม่ได้เป็นสิ่งเดียว หรือมีความหมายเดียวกับ การปล่อยห้องให้ รก และ สกปรกทั้งปี  มันไม่ได้เกี่ยวกันเลย  คำถามคือ จำเป็นด้วยหรือที่ถ้า นาย ก. ปล่อยให้ห้อง รก และสกปรก แล้วจะหมายความว่า เขาจะต้องปล่อยให้มัน รก และสกปรกทั้งปี...เปล่าเลย มันไม่ได้เกี่ยวกันเลย           

หรือ สมมุติว่า คุณ อิบรอฮีม พูดกับ คุณ ธงไชยว่า  “ ผมไม่เห็นด้วย กับการ ที่คุณจะให้ธนาคารมาติดตั้งตู้ ATM และเก็บค่าเช่าที่ เดือนละ 4 พันบาทต่อเดือน เพราะ เท่ากับคุณมีส่วนช่วยในเรื่องระบบดอกเบี้ย ” คุณธงไชยก็พูดกับ คุณ อิบรอฮีมว่า “ นี่ ตกลงคุณจะให้ผมนั่งงอมือ งอเท้า ไม่ต้องทำมาหากินเลยหรืออย่างไร คนเราต้องการช่องทางในการทำมาหากิน” จะเห็นได้ว่า คุณ ธงไชย ได้นำเสนอ หรือ ทึกทักจุดยืนของคุณ อิบรอฮีมผิดไป เพราะถ้าเราจะถามกลับว่า การไม่เห็นด้วยให้มีการติดตั้งตู้ ATM เพื่อเก็บค่าเช่า นั้น มีความหมายเดียวกับ การนั่งงอมือ งอเท้า โดยไม่ยอมทำมาหากิน อย่างนั้นหรือ? คำตอบคือเปล่าเลย มันไม่ได้เกี่ยวกันเลย

หรือ เช่น นาย อารีฟ พ่ายแพ้นาย ก.ในการถกกันในเรื่องหนึ่ง จึงได้พูดขึ้นว่า    “ นาย ก. เรียนตรรก หรือ ขบวนการใช้เหตุผลอย่างถูกต้องไป ก็เพื่อ เอาไว้รังแกคนอื่น กดคนอื่นให้ต่ำลง ” โดยมองว่าแต่ละครั้งที่มีการถกกันในเรื่องใดๆ นาย ก. ชนะทุกครั้งในการนำเสนอเหตุผลเพื่อสนับสนุนจุดยืนของตนเอง  แต่จุดยืน หรือ เจตนาที่แท้ของนาย ก. ที่เรียนตรรก มาไม่ได้เป็นเช่นที่นาย อามีนกล่าวเลย แต่เรียนเพื่อ ที่จะแยกถูกออกจากผิด แยกความจริงออกจากความเท็จ ทำให้สัจธรรมความจริง ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนกับอีกฝ่าย โดยมิได้มีเจตนา ไปรังแกคนอื่น หรือ กดคนอื่นให้ต่ำลงแต่อย่างใด เพียงแต่ นาย ก. มีความจำเป็นที่จะต้องชี้แจงความจริง และ โต้แย้งในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง หรือ ความผิดพลาดในการใช้เหตุผล  ซึ่งอาจจะทำให้ต้องเกิดการเสียความรู้สึกกับอีกฝ่าย ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องทำใจ เมื่อมีการถกในประเด็นหนึ่งประเด็นใดที่ขัดแย้งกัน

เพราะฉะนั้นเราจะต้องระวังและสังเกตุ อีกทั้งจับประเด็นดูให้ดีว่ามีการกระทำผิดในการใช้เหตุผลข้อนี้หรือไม่  นั้นคือ นาย ก. มองข้ามจุดยืน หรือ เหตุผลที่แท้จริงของนาย ข.  และแทนที่จุดยืนหรือเหตุผลที่แท้จริงของนาย ข.  ด้วยกับ สิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลย หรือ สิ่งที่บิดเบือนไปจากความเป็นจริง ซึ่งง่ายต่อการถูกหักล้าง หรือโต้แย้ง โดยทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดไปว่า จุดยืน หรือ เหตุผลที่แท้จริงของนาย ข. เป็นเช่นนั้นจริง  แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เลย  ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อที่จะได้สร้างภาพว่าตนเองสามารถหักล้าง หรือโต้แย้งนาย ข. ได้แล้ว แต่ในความเป็นจริงแล้ว นาย ก. รู้ตัวว่าไม่สามารถหักล้างหรือโต้แย้งหลักฐาน หรือเหตุผลที่แท้จริงของนาย ข. ได้ ก็เลยต้องใช้วิธีไม่ซื่อสัตย์นี้ในการสร้างภาพ ซึ่งคนที่วิเคราะห์ไม่เป็น จับประเด็นไม่เป็น หรือไม่ได้เรียนรู้กระบวนการใช้เหตุผลที่ถูกต้องมาดีพอ หรือไม่ได้เรียนรู้การตรวจจับความผิดพลาดในการใช้เหตุผลประเภทต่างๆมา ก็อาจจะหลงเข้าใจไปว่า นาย ก. สามารถโต้ตอบ หักล้าง นาย ข. ได้แล้ว แต่จริงๆแล้วเปล่าเลย     

หน้า: [1] 2 3 ... 5