แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - suyutee

หน้า: [1]
1

           นึกแล้วว่าต้องเค้ามาดูกัน.....      ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  เปล่าไม่มีไรหรอก.......

แค่อยากบอกว่า  รอไม่ไหวแล้ว  เมื่อไหร่จะมีหนังสือ  บัง อัล-อัซฮารีย์ ขายในร้านหนังสือสักที

อ่านในเวปปวดตาหมดแล้ว  แล้วในร้านหนังสือทั่วไป  มีแต่หนังสือพวกวะฮาบีย์ทั้งนั้น

อะไรนิดอะไรหน่อยไม่ได้บิดอะฮ์หมด  เซ็ง.....  ขืนรอ  กว่า  บัง อัล-อัซฮารีย์  จะเรียนจบ

กว่าจะเขียนหนังสือขาย  กว่าจะพิมพ์  มีหวังเด็กรุ่นหลังเป็นวะฮาบีย์กันหมด   คนแก่ๆ  คนบ้านๆ

ที่ไม่เคยเล่นคอมฯ  เค้าก้อไม่เคยเข้ามาดูข้อเท็จจริงจากเวปฯ ต่างๆ ที่เสนอข้อมูลทางวิชาการ

แบบที่พวกเราเข้ามาดูกัน......มีงานมัสยิดที่ไหน   หนังสือพวกวะฮาบีย์เต็มไปหมด

คนแก่ๆ คนบ้านๆ ก้อซื้ออ่าน  แล้วเห็นด้วยตามเค้าไปหมด  ทำไงดีๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เครียดๆๆๆๆๆๆๆ

ผมว่านะ  บัง อัล-อัซฮารีย์  ต้องทำหนังสือออกสู่สายตาประชาชนภายนอกมั้งแล้วนะ  ........

อย่าเสนอแค่ในเวปฯ อย่างเดียวนะคับ............. สิ่งไหนที่พิมพ์เป็นเล่มได้ก็พิมพ์ไปก่อนได้ปะ

อย่างเช่น  เรื่อง ทำเมาลิด นะ พิพ์เปนเล่มไปเลย  เรื่องเดียวโดด ๆ  เจาะเรื่องเมาลิดโดยเฉพาะไปเลย ..**

อย่าง  มุรีด  ออกมาเล่มเดียว ฟันเรื่องเมาลิดทั้งเล่มเลย.. เราก้อ ออกมาเล่มแรก  เขียนอธิบายเรื่อง

เมาลิดเล่มเดียวไปเลย  ....  แล้วในเล่ม  ของเรา  เราก้อเอาข้อความในหนังสือ  มุรีด  มาโต้ตอบ ให้หมดทุกบรรทัดไปเลย

วิจารณ์ให้ชัดเจนด้วยหลักฐานและปัญญา  เหมือนที่อุละมาอฺเค้าทำกันนะ ....  อาจจะตั้งชื่อว่า

....  ใครบอกว่าเมาลิดทำไม่ได้ ........   หรือ  ...... ตอบโต้ หนังสือเปิดปมเมาลิด  ของ มุรีด ....

หรืออะไรก้อได้บัง......  เอา  แบบ หนังสือละเรื่องไปเลย  เรื่องกุนูต  เรื่องจำแนกบิดอะฮฺ

เรื่องอะกีดะฮ์  อะชาอิเราะ พร้อมโต้พวกวะฮาบีไปในตัว  อาจจะตั้งชื่อว่า  ขอลบล้างคำใส่ไคล้ให้อะชาอิเราะฮฺ  

หรือจะเป็น  ตอบโต้วิทยานิพนธ์ของ นุมาน  สะอ ะ ในเรื่องอะกีดะฮฺ หรืออะไรก้อได้   เรื่องไหนพิมพ์ได้พิมพ์ก่อนนะ 

ขอร้องเหอะบัง...  อ้อ  แล้วใครที่ใกล้ๆ บ้านมีโรงพิมพ์  นะ เสนอตัวกันมาบ้าง  อย่างที่ ม.อ. ปัตตานีนะ  มีโรงพิมพ์ มิตรภาพ

อยู่หน้า ม.อ. นะ ( ใช่ปะ?? ) ใคอยู่แถว  มอ. ตานี  นะ ลองไปสืบถามข้อมูลมาบ้างดิ  ..  ช่วยๆ กัน..

แล้วแถวกรุงเทพฯ นะ โรงพิมพ์ เยอะแยะ เด็กกรุงเทพฯ  ในเวปฯ นี้ก้อเยอะ  ช่วยๆ กันหน่อยนะคับ

ถามๆ ข้อมูลที่โรงพิมพ์กันมามั้ง  ... ขอร้องละพี่น้องทั้งหลาย เอ้ย .. คนจะเลิกทำเมาลิด  จะเลิกอ่านตัลกีน

จะเลิกอ่านกุรอานให้คนตายกันหมดแล้ว   ไม่แน่ต่อไป เราตายลูกเราอาจจะไม่อ่านกุรอานให้เราก้ได้.. 

คราวนี้.....  อะไรละจะช่วยเราได้อีกเมื่อตายไป........  ช่วยกันหน่อย   ผมเองตอนนี้ก้อหาดูโรงพิมพ์อยู่อะ...

พยายามอยู่  .... นะพี่น้องใครช่วยได้ช่วยที  บัง อัล-อัซฮารีย์  ก้อพยายามหาที่พิมพ์เร็วๆ นะ  ผมทนพวกวะฮาบี

มานานพอแล้ว  มันด่า  โต๊ะครู บ้านเรามามากพอแล้ว  ถึงเวลาพระเอก แล้ว  เรารอนานไม่ได้แล้วนะ บัง อัล-อัซฮารีย์

ถึงเวลาพวกเรา ชาว sunnahstudent  บ้างแล้ว... ส่วนรายได้จากการขายหนังสือ  จะได้นำไปปรับปรุงเวปฯ ของพวกเรา

และเป็นทุนให้บังได้เรียนจนจบ  ด็อกเตอร์  ไปเลย... ทางฝั่งเราจะได้มีอุละมาอฺเก่งๆ สักคน ไว้ชี้แจงพวกมัน ...  เอาละ

ผมจะไปหาโรงพิมพ์แล้ว  ไว้ค่อยเจอกัน  พี่น้องทุกคนช่วยกันด้วยนะคับ.. อินชาอัลลอฮฺ  พระองค์ก็จะช่วยเหลือพวกเราเช่นกัน.......


2

ทำไม บัง al-azhary  ลำเอียงจัง  จะไปดูหนังสือดีๆ  ทำไมชวน คุณ muftee  คนเดียว

ไม่ชวนผมมั้ง  เราจะได้ขอคำแนะนำมั้ง  สงสัยคงสนิทกันมากอะดิ  สนิทกันแบบนี้ น่าจะรวมร่าง .....

น่าจะรวมชื่อกันเป็น  muftee  al-azhary  ซะเลยนะ  ..   จะได้เป็นมุจญตะฮิด ฟัตวาปัญหาศาสนาของประเทศไทย ซะเลย

เออ......แต่ฟังดูแล้ว  ชื่อนี้ ขลังค์ดีแหะ  แต่เราไม่กล้าใช้หรอก เดี้ยวเสียชื่อเค้าละยุ่งเลย ฮ่าๆๆๆ

...............ขอไปงาน  มะอฺร็อฎด้วยคนค้าบบบ...................

3

ขอบคุณคับ หนังสือดีๆ เดี้ยวจะลองไปหาดู  จะซื้อให้เกลี้ยงทั้งอียิปต์เลย

4
กำเนิดเตาะบะรีย์และประวัติการศึกษา

1.1 ชื่อ และวงศ์ตระกูล

ท่านมีชื่อว่า มุฮัมมัด บิน ญะรีร บิน ยะซีด บิน กะซีร อัลอามุลีย์ อบูญะอ์ฟัร อัลเตาะบะรีย์ พาดพิงยังเมืองเตาะบะรีสถานไม่ใช่เตาะบะริยะห์

 เป็นที่น่าสังเกตว่า “เตาะบะรีย์” นั้นเป็นการพาดพิงยังเมือง เตาะบะรีสถาน ส่วน “เตาะบะรอนีย์” นั้นเป็นการพาดพิงยังเมืองเตาะบะรียะห์


1.2 การกำเนิดของเตาะบะรีย์

            เตาะบะรีย์ได้ถือกำเนิด ณ แคว้น อามูล แห่งนครเตาะบะรีสถาน ในปลายปี 224 ฮ.ศ. ตรงกับปี 838 ค.ศ. และเสียชีวิต

ณ กรุง แบกแดดในปี 311 ค.ศ. ตรงกับปี 925 ค.ศ. รวมอายุทั้งสิ้น 87 ปี


1.3 ประวัติการศึกษา

          เตาะบะรีย์ได้ถูกอบรมดูแลโดยครอบครัวที่มีความรู้ครอบครัวหนึ่งซึ่งมีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าที่จะส่งเสริมและเปิดทางให้บุตรชายได้

ขวานขวายตักตวงหาความรู้จากบรรดาอุลามาอ์ที่มีอยู่ในละแวกนั้น ภายหลังจากที่ได้สัมผัสถึงความกลิ่นไอแห่งเฉลียวฉลาดของเตาะบะรีย์ตั้งแต่ยังเยาว์

ดังนั้นผู้เป็นบิดาจึงได้พาเตาะบะรีย์ไปนั่งเรียนฮะลาเกาะห์กับบรรดาผู้ทรงความรู้ที่มีอยู่ในนครเตาะบะรีสถานในขณะนั้น และด้วยสติปัญญา

และความเฉลียวฉลาดที่มีอยู่ของเตาะบะรีย์ –หลังจากการเตาฟีก(การชี้ทางนำ)ของอัลลอฮ เตาะบะรีย์สามารถท่องจำอัลกุรอานทั้งเล่ม

ในขณะที่ท่านมีอายุได้เพียง 7 ขวบ และเริ่มบันทึกฮะดีษเมื่ออายุได้ประมาณ 9 ขวบเท่านั้น.

              เตาะบะรีย์ได้ใช้ชีวีตในการแสวงหาความรู้ในช่วงวัยเด็กของท่านด้วยการเดินทางไปยังแคว้นต่างๆในเขตนครเตาะบาริสถาน

เพื่อตักตวงความรู้จากอุลามาอ์ผู้รู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ในขณะนั้นอย่างกระหายและจดจ่อได้เพียงไม่กี่ปี แต่ทว่าความเหือดกระหายต่อวิชาความรู้

อย่างแรงกล้าและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆของท่านได้รวดร้าวและผลักดันให้ท่านต้องทิ้งบ้านเกิดเมืองนอนออกพเนจรไปยังหัวเมืองต่างๆตั้งแต่

ท่านอายุยังน้อยนิด ท่านได้เริ่มทิ้งบ้านเกิดเพื่อเดินทางไปศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเมื่อท่านอายุได้เพียง 12 ขวบ ซึ่งท่านเริ่มเดินทางในปี 236 ฮ.ศ.

ท่านได้เดินทางไปยังกรุงแบกแดด และได้พบกับอัลหะซัน อัลญะอ์ฟะรอนีย์ และอบีสะอีด อัลอิสต๊อครีย์ ซึ่งทั้งสองเป็นอุลามาอ์ที่โด่งดัง

สังกัดมัวฮับชาฟิอีย์ในตอนนั้น เตาะบะรีย์ได้ตักตวงวิชาฟิกฮ์มัซฮับชาฟิอีย์จากทั้งสองอยู่พักหนึ่ง ต่อมาเตาะบะรีย์ก็ได้พบกับ

อะหมัด บิน ยูซุฟ อัลตัฆละบีย์ และได้เรียนวิชากิรออาต(การอ่านอัลกุลอาน)จากท่าน

             หลังจากนั้นเตาะบะรีย์ก็มุ่งหน้าไปยังนครมักกะห์และได้เรียนฮะดีษจากมุฮัมมัด บิน มูซา อัลฮัรซีย์ อิมรอน บิน มูซา อัลก๊อซซ๊าซ มัฮัมมัด

บิน อับดุลอะลา อบูอับดุลลอฮ อัลซอนอานีย์ อบุลอัชอัต และอื่นๆ[3] ต่อมาเตาะบะรีย์ก็ได้เดินทางมุ่งหน้าไปยังนครกูฟะห์ ซึ่งที่นั่นเตาะบะรีย์

ได้เรียนเชเอร (กลอนอรับ) จากซะอ์ลับ.

             เตาะบะรีย์เป็นนักใฝ่หาความรู้ตัวอย่างคนหนึ่งที่มีความมุ่งมั่น จริงจังอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยและย่อท้อ คลั่งใคล้ที่จะพบกับบรรดาอุลามาอ์

ชั้นแนวหน้าในสมัยนั้นไม่ว่าท่านเหล่านั้นจะอยู่ที่ใหนก็ตาม เตาะบะรีย์จะพยายามติดตามและค้นหาเพียงเพื่อจะได้นั่งคุยพูดคุยและได้ขีดเขียน

ตักตวงเอาความรู้จากท่านเหล่านั้น ดังนั้นทันที่ข่าวเกี่ยวกับอุลามาอ์จาออียิปต์เข้าถึงหูของเตาะบะรีย์ เตาะบะรีย์จึงจัดเตรียมสัมภาระเพื่อจะออก

เดินทางมุ่งหน้าไปยังอียิปต์เพื่อเสาะความรู้ด้วยแรงบันดาลอันเต็มเปี่ยมด้วยความหยากและคลั่งใคล้ต่อวิชาความรู้ ระหว่างเตาะบะรีย์ได้แวะ

ยังเมืองดะมัสกัสและได้รับเอาฮะดีษจากอิบรอฮิม อัลเญาซะญานีย์ หลังจากนั้นเตาะบะรีย์แวะที่นครเบรุตและที่นี่เตาะบะรีย์ได้อ่านอัลกุรอาน

กับอับบาส บิน อัลวะลีด อัลอัซรีย์

              ณ นครอียิปต์เตาะบะรีย์อัลเราะบีอ์ บินสุลัยมาน อัลมุรอดีย์ และอบู อิบรอฮีม อัลมุซานีย์ และทำการศึกษาวิชาฟิกฮ์มัซฮับชาฟิอีย์จากทั้งสอง

ขณะเดียวกันเตาะบะรีย์ก็ทันพบกับสะอัด บิน อับดุลหะกัม และยูนุส บิน อับดุลอะอ์ลา อัลเซาะดะฟีย์ และทำการศึกษาวิชาฟิกฮ์มัซฮับมาลิกีย์จากทั้งสอง.

            หลังจากที่เตาะบะรีย์ได้ตักตวงวิชาความรู้ในสาขาต่างๆจากบรรดาอุลามาอ์ผู้โด่งดังที่พำนักอยู่ ณ นครอียิปต์ในขณะนั้นจนหนำใจ

สมความปรารถนา และหลังจากที่ได้ใช้เวลาในการเดินทางแสวงหาความรู้อย่างเร้าใจแล้ว ในปี 290 ฮ.ศ. (903 ค.ศ.) เตาะบะรีย์ก็เดินทางกลับ

ยังกรุงแบกแดด และเลยไปยังเมืองเตาะบะรีสถานเพื่อกลับไปเยี่ยมเยียนบ้านเกิดเมืองนอนของตน ทันทีที่กลับมายังบ้านเกิดแคว้นอามูลเตาะบะรีย์

ก็ได้ขังตัวเองจากโลกภายนอกกับการอ่านหนังสือ อิบาดะห์ เขียนตำราต่างๆ พร้อมกับสอนหนังสือ ปลีกตัวเองจากสิ่งที่ซ้ำซากจำเจของโลก

ภายนอกต่างๆที่จะมาสกัดกั้นการภารกิจการผลิตตำราและการประสาทความรู้สู่ชุมชนของตน โดยไม่สนใจถึงการรับราชการหรือตำแหน่งหน้าที่ต่างๆ

               สิ่งที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งคือ เตาะบะรีย์จะตักตวงความรู้ในช่วงระยะเวลาที่เดินทางรอนแรมอันยาวนานจากบรรดาอุละมาอ์ผู้รู้ที่โด่งดัง

ส่วนใหญ่ในสมัยนั้น ด้วยเหตุนี้ทำให้มีส่วนอย่างมากต่อการสร้างบุคลิกภาพด้านวิชาการของท่านจนกลายเป็นหนึ่งในบรรดาแกนนำอุละมาอ์ที่

โดดเด่นในสมัยนั้นอย่างไม่มีใครปฎิเสธหรือคัดค้านได้.


2. สถานภาพด้านวิชาการและคำสรรเสริญ

2.1 สถานภาพด้านวิชาการ

          ด้วยความมีไหวพริบดีและความเฉลียวฉลาดที่องค์อัลลอฮได้ประทานแก่เตาะบะรีย์ทำให้เตาะบะรีย์สามารถชอนชัยและหยั่งถึงแก่นแท้

ของวิชาความรู้ในสาขาต่างๆ จนกลายเป็นอิมาม(ผู้นำ)แห่งวิชาการอิสลามในสมัยนั้นอย่างไม่มีอุละมาอ์คนใดมาเทียบเคียงได้ ความโด่งดังด้าน

วิชาการและความรอบรู้ของเตาะบะรีย์ทำให้ประชาชนทั่วทุกสารทิศต่างกล่าวขานถึงกิติศัพของท่านและเดินทางมาศึกษาหาความรู้จากท่าน

ซึ่งสิ่งเหล่านี้กลับยิ่งกระตุ้นให้เตาะบะรีย์ทำการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมมากขึ้นอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย.

            อิบนุลนะดีมได้กล่าวถึงสถานภาพทางวิชาการของเตาะบะรีย์ว่า

           “ท่านเป็นผู้ที่ทรงความรู้ในเวลานั้น เป็นอิมาม(ผู้นำ)ด้านวิชาการ เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านชะริอะห์(นิติศาสตร์อิสลาม) และมีความรอบรู้ใน

ทุกแขนงวิชา… วิชาการเกี่ยวกับอัลกุรอาน ไวยากรณ์อาหรับ คำกลอน(ชะอีร) ภาษา และนิติศาสตร์ และเป็นคนที่มากด้วยการจดจำ…”


          อิบนุลเญาซีย์กล่าวว่า

“ แท้จริงท่านได้รวบรวมวิชาแขนงต่างๆไว้จนทำให้ท่านเป็นแกนนำบรรดาอุลามาอ์ในสมัยนั้น”


ความรอบรู้ของเตาะบะรีย์พอจะกล่าวสรุปโดยสังเขปได้ดังนี้คือ

2.1.1 วิชาอรรถาธิบายอัลกุรอานหรือตัฟซีร

             เป็นที่กล่าวขานกันอย่างมากเกี่ยวกับความชำนาญและเชี่ยวชาญของเตาะบะรีย์ด้านการอรรถาธิบายอัลกุรอาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งงาน

เขียนชิ้นเอกของท่านที่มีช่อืว่า “ญามิอุลบะยานฟีตะวีลิอายิลกุรอาน” บรรดาอุลามาอ์ผู้รู้ต่างกล่าวสรรเสริญและขอบคุณเตาะบะรีย์กับผลงาน

ของท่านชิ้นนี้ ซึ่งในจำนวนอุลามาอ์เหล่านั้นได้แก่ อัลเคาะตีบ อัลบัฆดาดีย์ ท่านได้กล่าวว่า :

“ไม่มีผู้ใดที่สามารถแต่งตำรา (เกี่ยวกับการอรรถาธิบายอัลกุรอาน) เสมอเหมือนท่าน”


              อิบนุคุซัยมะห์ยืนยันว่า

“ฉันไม่ทราบว่ายังมีใครบนพื้นแผ่นดินนี้ที่มีความรอบรู้(ด้านการอรรถาธิบายอัลกุรอาน) มากกว่าอิบนุญะรีร”

         
              อบูฮามิด อัลอิสฟิรอยีนีย์ กล่าวว่า

“ หากแม้นว่าชายคนหนึ่งเดินทางไปยังประเทศจีนเพื่อเสาะหาหนังสือตัฟซีรของอิบนุญะรีร ก็นับเป็นสิ่งที่คุ้มค่า (ไม่เกินไป)”

              เช่นเดียวกับสุยูตีย์ซึ่งท่านได้จัดอันดับตัฟซีรต่างๆ โดยมีตัฟซีรเตาะบะรีย์อยู่ในอันดับแรกของหนังสือตัฟซีรทั้งหลายอย่างไม่มีเงื่อนไข

และท่านกล่าวว่าเป็นหนังสือตัฟซีรที่ดีที่สุดและประเสริฐที่สุด ยังไม่มีผู้ใดสามารถแต่งได้เสมอเหมือนท่าน


2.1.2 วิชาฮะดีษ

               ความโด่งดังของเตาะบะรีย์ด้านวิชาการฮะดีษหรือวัจนศาสตรืเป็นที่รู้จักกันในบรรดาอุลามาอ์ในสมัยนั้นไม่แพ้ด้านการอรรถาธิบาย

อัลกุรอานเช่นกัน เตาะบะรีย์ได้ร่ำเรียนและศึกษาฮะะดีษจากอุลามาอ์ผู้โด่งดังในสมัยนั้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเชคของบุคอรีย์และมุสลิม และอื่นๆ

ในบรรดาตำราหรือหนังสือฮะดีษที่เตาะบะรีย์ได้แต่งขึ้นได้แก่ หนังสือ “ตะห์ซีบุลอาซาร“ ซึ่งเตาะบะรีย์ได้เริ่มต้นหนังสือของท่านด้วยการรายงาน

ฮะดีษจากอบูบักรและสิบเซาะฮาบะห์ที่ถูกรับรองว่าเป็นชาวสวรรค์ด้วยสายรายงานของตน พร้อมกับวิจารณ์ถึงความถูกต้องของสายรายงานและฮะดีษ

และสาธยายเกี่ยวกับหลักนิติศาสตร์ที่ครอบคลุมอยู่ในฮะดีษดังกล่าว ทัศนะของอุลามาอ์ต่างๆพร้อมหลักฐานของแต่ละฝ่าย และอธิบายถึง

ความหมายของประโยคและคำต่างๆ แต่เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งที่เตาะบะรีย์ไม่สามารถเขียนหนังสือดังกล่าวให้เสร็จสมบูรณ์ได้ เนื่องจาก

ความตายได้มาเยือนเตาะบะรีย์เสียก่อน ซึ่งเตาะบะรีย์สามารถเขียนได้แค่สายรายงานของ 10 เซาะฮะบะห์ที่ถูกรับรองว่าเป็นชาวสวรรค์

และสายรายงานจากครอบครัวของท่านรซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมเท่านั้นเอง

             
           เกี่ยวกับความเก่งกาจและจัดเจนของเตาะบะรีย์ด้านฮะดีษนี้   

          เคาะตีบบัฆดาดีย์กล่าวว่า

         “ท่านเป็นผู้ที่ชำนาญด้านฮะดีษและสายสืบของมันคนหนึ่ง ที่รอบรู้ว่าฮะดีษใดเป็นฮะดีษที่ถูกต้องหรือซอเฮียะห์ และฮะดีษใดเป็นฮะดีษที่

ไม่ถูกต้องหรือเฏาะอีฟ หยั่งรู้ถึงฮะดีษที่ถูกยกเลิกและฮะดีษที่มายกเลิก…”

ส่วนอิมามอัลนะวะวีย์ท่านได้จัดระดับความเก่งกล้าด้านวิชาการฮะดีษของเตาะบะรีย์อยู่ในอัดับเดียวกับอัลนะซาอีย์และอัลติรมิซีย์.


               อิบนุคอลลิกานกล่าวว่า :

“แท้จริงท่านเป็นอิมาม(ผู้นำ)ด้านฮะดีษ”


              ฮุเซ็น บิน อลี อัลตะมีมีย์เล่าว่า :

              “หลังจากที่ฉันได้เดินทางกลับจากกรุงแบกแดดสู่นครนัยซาบูรมุฮัมมัด บินคุซัยมะห์ได้ถามฉันว่า “เจ้าได้เรียนฮะดีษจากใครบ้างที่แบกแดด ?”

 ดังนั้นฉันจึงบอกแก่ท่านถึงบรรดาอุลามาอ์ต่างๆที่ฉันได้เรียนฮะดีษจากเขามา. ท่านถามฉัน(อย่างแปลกใจ)ว่า “เจ้าไม่ได้รเยนกับมุฮัมมัด บินญะรีรเลยหรือ ?”

ฉันตอบว่า “ไม่เลย”. ท่านจึงกล่าว(อย่างเสียดาย)ขึ้นมาว่า “หากเจ้าเรียนฮะดีษจากเขา แน่นอนย่อมเป็นการดีกว่าบรรดาอุลามาอ์ที่เจ้าได้เรียนมากับเขาทั้ง

หมด”


2.1.3 วิชาการอ่านอัลกุรอาน หรือกิรออาต

           เตาะบะรีย์ยังเป็นหนึ่งในบรรดาอุลามาอ์ที่มีความรอบรู้และเชี่ยวชาญด้านวิชาการอ่านอัลกุรอาน หรือกิรออาต ท่านได้ร่ำเรียนและศึกษา

กับบรรดาอุลามาอืกิรออาตที่ลือชื่อทั้งจากอิรัก ชาม และอียิปต์ ท่านได้แต่งตำราเล่มหนึ่งเกี่ยวกับกิรออาตมีชื่อว่า “อัลกิรออาตวัลตันซีลุลกุอาน”

ซึ่งท่านได้กล่าวในหนังสือดังกล่าวถึงความขัดแย้งระหว่างอุลามาอ์กิรออาตเกี่ยวกับพยัญชนะ หรือฮุรูฟของอัลกุรอาน พร้อมทั้งอ้างการอ่านดังกล่าว

ถึงบรรดาอุลามาอ์นักอ่านอัลกุรอานหรือกุรรออ์จากสำนักต่างๆ และอธิบายถึงความแตกต่างของการอ่านของแต่ละสำนัก พร้อมกับยกหลักฐาน

ในการอ่านของสำนักต่างๆเหล่านั้นขึ้นมาวิจารณ์และสนับสนุน และสุดท้ายเตาะบะรีย์ก็จะเลือกเฟ้นเอาวิธีการอ่านที่คิดว่าถูกต้องที่สุดตามหลักฐานที่

ได้ยกมาสนับสนุนสำหรับตัวเอง.


          อัลฮะซัน บิน อลี อัลอะห์วาซีย์กล่าวว่า :

            “สำหรับเตาะบะรีย์มีหนังสือเกี่ยวกับกิรออาตอันสูงค่าเล่มหนึ่ง ซึ่งท่านได้กล่าวถึงวิธีการอ่านทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการอ่านที่โด่งดังเป็นที่

ยอมรับหรือมัชฮูร หรือ การอ่านที่แปลกไม่เป็นที่ยอมรับหรือช๊าซพร้อมกับวิจารณ์แต่ละวิธีการอ่านดังกล่าว และท่านจะเลือกวิธีการอ่านที่คิดว่า

ถูกต้องที่สุดสำหรับตัวเอง ซึ่งวิธีการอ่านดังกล่าวไม่ได้แหวกแนวออกจากวิธีการที่มัชฮูรแต่อย่างใด”


2.1.4 วิชานิติศาสตร์อิสลามหรือฟิกฮ์

            เตาะบะรีย์เป็นอุลามาอ์อีกคนหนึ่งที่ได้ให้ความสำคัญอย่างมากเกี่ยวกับนิติศาสตร์อิสลามหรือฟิกฮ์ตั้งแต่ชีวิตยังเยาว์ การเดินทางไปศึกษา

หาความรู้ยังหัวเมืองต่างๆของเตาะบะรีย์ช่วยสร้างสมประสบการให้เตาะบะรีย์สามารถเข้าใจถึงทัศนะของบรรดานักฟุกอฮาอ์หรือนักนิติศาสร์

และนักอิจติฮาดทั้งหลาย ทำให้เตาะบะรีย์ทราบถึงคำตัดสินของบรรดากอฏีหรือผู้พิพากษาคดีต่างๆ ทั้งที่อยู่ในสมัยเดียวกับท่าน และสมัยก่อนหน้าท่าน

จนเตาะบะรีย์กลายเป็นอุลามาอ์ผู้หนึ่งที่เต็มเปี่ยมด้วยครามรอบรู้ด้านนิติศาสตร์อิสลามหรือหลักชะรีอะห์ รอบรู้ถึงสถานที่อิจมาอ์หรือเห็นพ้องกัน

ของอุลามาอ์ สามารถสัมผัสถึงไอแห่งความขัดแย้งต่างๆของอุลามาอือย่างละเอียดอ่อน จนเตาะบะรีย์กลายเป็นดาวประกายแสงดวงหนึ่งที่

ผู้แสวงหาความรู้ในสมัยนั้นต่างทยอยเดินทางมาหาแสงสว่างแห่งความรู้ด้านนิติศาสตร์อิสลามจากท่านอย่างไม่ขาดสาย.


                  อบูบักร บิน กามิลกล่าวว่า

              “ฉันไม่เคยเห็นอุลามาอ์คนใดหลังจากอบูญะอ์ฟัร(อัลเตาะบะรีย์) ที่เป็นศูนย์รวมแห่งความรู้ เป็นศูนย์รวมของหนังสือบรรดาอุลามาอ์ต่างๆ

รอบรู้ถึงทัศนะที่ขัดแย้งกันของอุลามาอ์ และมีเชี่ยวชาญเกี่ยวกับศาสตร์เหล่านั้น”

เตาะบะรีย์ได้ทำการศึกษาวิชาหลักชะรีอะห์หรือฟิกฮ์จากบรรดาแกนนำของมัซฮับต่างๆ…


               อิบนุลนะดีมกล่าวว่า
 
           “ท่านได้ทำการศึกษาวิชาฟิกฮ์ซอฮิรีย์จาก ดาวุด อัลซอฮิรีย์ ศึกษาฟิกฮ์ชาฟิอีย์จาก อัลฮะซัน บิน มุฮัมมัด อัลซะฮ์ฟะรอนีย์ ศึกษาฟิฮ์มาลิกีย์

จาก ยูนุส บิน อับดุลอะอ์ลา และศึกษาฟิกฮ์ฮะนะฟีย์จากมุฮัมมัด บิน มุกิติล อัลรอซีย์”

              เพียงแต่ว่าเตาะบะรีย์เป็นคนที่ให้ความสำคัญกับฟิกฮ์มัซฮับชาฟิอีย์มากกว่าฟิกฮ์ของมัซฮับอื่นๆ เตาะบะรีย์ได้ทำการศึกษาฟิกฮ์

มัซฮับชาฟิอีย์อย่างละเอียดและเจาะลึก และได้เป็นมุฟตีหรือผู้ให้คำฟัตวาตามทัศนะมัซฮับชาฟิอีย์เป็นเวลานานเกือบสิบปี.

เกี่ยวกับเรื่องนี้เตาะบะรีย์ได้กล่าวเกี่ยวกับตัวเองว่า

      “ฉันได้แสดงจุดยืนของฉันด้านฟิกฮ์ตามมัซฮับชาฟิอีย์ และฉันได้ให้คำฟัตวาตามทัศนะของมัซฮับชาฟิอีย์ในช่วงที่ฉันพำนักอยู่ที่อิรักเป็นเวลาถึงสิบปี”

                  แต่เนื่องจากความกว้างขวางของเตาะบะรีย์ด้านวิชาการฟิกฮ์ทำให้เตาะบะรีย์แยกตัวเองเป็นเอกเทศจากทัศนะของอุลามาอ์ที่สังกัด

มัซฮับต่างๆ และทำการอิจติฮาดด้วยตนเอง จนกลายเป็นมัซฮับเฉพาะของท่านที่มีผู้ติดตามและ ซึ่งเป็นที่รู้จกกันในนามของ “มัซฮับอัลญะรีรีย์”.


                 เกี่ยวกับเรื่องนี้สุยูตีย์กล่าวว่า

“เริ่มแรกท่านเป็นคนที่ตามทัศนะของมัซฮับชาฟิอีย์ ต่อมาท่านก็ได้แยกตัวเป็นเอกเทศและสร้างมัซฮับขึ้นมาเอง…”

                แต่ทว่าผู้ที่ติดตามทัศนะของเตาะบะรีย์หรือมัซฮับญะรีรีย์มีไม่มาก ดังนั้นมัซฮับญะรีรีย์จึงไม่ค่อยแพร่หลายและมีผู้ตามไม่มากนัก

จนกระทั่งในศตวรรษที่ห้าแห่งฮิจเราะห์ศักราชมัซฮับญะรีรีย์ก็ไม่มีใครกล่าวถึงอีกเลย

                 เตาะบะรีย์ได้ทิ้งตำราข้อเขียนของท่านเกี่ยวกับนิติศาสตร์อิสลามหรือฟิกฮ์ไว้หลายเล่ม ซึ่งทั้งหมดบ่งบอกได้อย่างดีถึงความจัดเจน

ของเตาะบัรีย์ด้านนิติศาสตร์ ในจำนวนตำราเหล่านั้นได้แก่หนังสือที่มีชื่อว่า “ละตออิฟุลเกาล์ ฟีอะห์กามชะรออิอ์ อัลอิสลาม” ซึ่งเป็นหนังสือที่

ประเสริฐและมีค่าที่สุดในบรรดาหนังสือของเตาะบะรีย์ที่เขียนเกี่ยวกับฟิกฮ์และเป็นหนังสือที่ประเสริฐที่สุดเล่มหนึ่งในบรรดาหนังสือแม่บท

หรือมะตันของมัซฮับต่างๆ.


                 อบูบักร บิน รอมิก กล่าวว่า

“ไม่มีการเขียนหนังสือเกี่ยวกับมัซฮับใดที่ประเสริฐและดีกว่าหนังสือ”ละตออิฟ” ของอบูญะอ์ฟัร (อัลเตาะบะรีย์)”

               เช่นเดียวกับหนังสือที่ชื่อ “อิคติลาฟ อัลฟุกอฮาอ์” ซึ่งเตาะบะรีย์ได้กล่าวถึงทัศนะต่างๆของบรรดาอุลามาอ์ฟิกฮ์

เช่น มาลิกีย์ ฮะนะฟีย์ มุฮัมมัด บินฮะซัน และอื่นๆ.


2.1.5 วิชาประวัติศาสตร์

             ในด้านประวัติศาสตร์เตาะบะรีย์ก็กลายเป็นบิดาแห่งประวัติศาสต์อิสลามอย่างเป็นเอกฉันท์ นักประวัติศาสตร์อิสลามที่มาหลังจากเตาะบะรีย์

อย่างเช่น อัลมัสอูดีย์ อิบนุลอะซีร และอินุกะซีร เป็นต้น ต่างต้องพึ่งพาเตาะบะรีย์ในการอิงประวัติศาสตร์จากหนังสือของท่าน หนังสือ

”ตารีฆ อัลรุซูล วัล มุลูก” ที่เตาะบะรีย์เขียนขึ้นมาเป็นหนังสือประวัติศาสตร์อิสลามที่สมบูรณ์และมหึมาเล่มหนึ่งในบรรดาหนังสือประวัติศาสตร์อิสลาม

เตาะบะรีย์ได้รวบรวมรายงานทางประวัติศาสตร์ต่างๆมากมายที่ปัจจุบันนี้รายงานดังกล่าวได้อันตธานหายไป จนหนังสือประวัติศาสตร์ของเตาะบะรีย์

กลายเป็นหนังสืออ้างอิงชั้นปฐมภูมิที่สำคัญยิ่งเล่มหนึ่งนับตั้งแต่สมัยที่เตาะบะรีย์ยังมีชีวิตอยู่จวบจนถึงปัจจุบัน.


          อับดุลลอฮ บิน อะหมัด อัลมุฆอลลัส กล่าวว่า

“ไม่มีผู้ใดที่สามารถเขียนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และบันทึกเหตุการณ์ต่างๆเฉกเช่นที่อบูญะอ์ฟัร (อัลเตาะบะรีย์)ได้เขียนไว้”


อิบนุคอลลิกานได้กล่าวชมเชยด้านงานเขียนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของเตาะบะรีย์ว่า

       “ท่านเป็นผู้ที่น่าเชื่อถือด้านการรายงาน และหนังสือประวัติศาสตร์ของท่านเป็นหนังสือที่ถูกต้องที่สุดและน่าเชื่อถือที่สุดด้วย”


2.1.6 วิชาภาษาศาสตร์

          เตาะบะรีย์เป็นอุลามาอ์อีกผู้หนึ่งที่จัดเจนด้านภาษาศาสตร์ รอบรู้ถึงศาสตร์แขนงต่างๆที่เกี่ยวกับภาษาอาหรับ เช่น ไวยกรณ์อาหรับ

หรือนะห์วู ซอรัฟ บะละเฆาะห์ อะดับ เชเอร และอะรูฏ ซึ่งหนังสือตัฟซีรของเตาะบะรีย์สามารถเป็นพยานได้อย่างดีถึงความจัดเจนของท่านใน

ด้านดังกล่าว และเตาะบะรีย์ยังเป็นนักชะอีรตัวยงอีกผู้หนึ่งด้วย ดังที่อัลกอฟตีย์ได้บันทึกไว้ในหนังสือของท่านที่มีชื่อว่า “อัลมุฮัมมะดูน มินัลชุอารออ์”


              อบูบักร บิน มุญาฮิด เล่าว่า

           “อบูลอับบาส ซะอ์ลับ ได้ถามฉันในวันหนึ่งว่า “มีใครที่ยังหลงเหลืออยู่ในหมู่พวกเจ้า ?” –หมายถึงอุลามาอ์นะหวูที่ยังมีชีวิตอยู่ใน

เขตตะวันออกของอิรัก – ฉันตอบว่า “ไม่เหลือเลยสักคน … เหลือเพียงแต่ฟะกีฮ(นักนิติศาสตร์)ที่ชื่อเตาะบะรีย์คนเดียวเท่านั้น“ ดังนั้นท่านจึงกล่าว

ขึ้นมาว่า “อิบนุญะรีร ?” ฉันตอบว่า “ใช่” ท่านจึงกล่าวต่อไปว่า “ ผู้นี้เป็นหนึ่งในบรรดาผู้เชี่ยวชาญของ – อุลามาอ์นะหวู – ชาวกูฟะห์เชียวหละ”

               เตาะบะรีย์ไม่ได้มีความรอบรู้เฉพะแขนงวิชาที่ได้กล่าวมาแล้วเท่านั้น แต่ยังมีความรอบรู้ด้านปรัชญา การคำนวน คณิตศาสตร์ และการแพทย์

ที่ไม่น้อยหน้าไปกว่าแขนงวิชาที่ได้กล่าวมาเช่นกัน


2.2 ความน่าเชื่อถือและคำสรรเสริญ

             บรรดาอุลามาอ์ในสาขาต่างๆเช่น ฮะดีษ ฟิกฮ์ อะดับ ประวัติศาสตร์ และอื่นๆต่างเชื่อถือ และไว้วางใจเตาะบะรีย์ในเรื่องที่ต่างๆที่เตาะบะรีย์

ได้บันทึกไว้ในตำราที่ท่านแต่งไว้ พร้อมกับสรรเสริญ ชมเชย และยกย่องถึงความเก่งกาจและแก่วิชาของเตาะบะรีย์ หรือสถานภาพอันสูงส่งของ

เตาะบะรีย์ด้านวิชาการในเกือบทุกแขนงวิชา ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว.

ต่อไปนี้เป็นส่วนหนึ่งของการชมเชยและการยอมรับของบรรดาอุลามาอ์ในแขนงต่างๆเกี่ยวกับสถานภาพของเตาะบะรีย์ด้านวิชาการและในสายตา

ของอุลามาอ์ทั้งหลาย

          1. อบู อัลอับบาส บิน สุรัยจ์ กล่าวว่า

“ มุฮัมมัด บิน ญะรีร คือนักนิติศาสตร์แห่งโลก”


             2. อิบนุคุซัยมะห์ กล่าวว่า

“ ฉันไม่เคยรู้ว่าทั่วทั้งแผ่นดินนี้ยังมีใครที่รอบรู้มากกว่ามุฮัมมัด บินญะรีร”


            3. เคาะตีบ บัฆดาดีย์กล่าวว่า

“ เตาะบะรีย์เป็นอุลามาอ์ผู้หนึ่งที่สามารถยึดเอาคำพูดของท่านมาใช้เป็นเครื่องตัดสิน ท่านเป็นศูนย์รวมแห่งศาสตร์ต่างๆที่ไม่มีผู้ใดในสมัยท่าน

เสมอเหมือน ท่านเป็นผู้ที่ท่องจำอัลกุรอาน รอบรู้เกี่ยวกับวิธีการอ่าน (กิรออาต) ปราดเปรื่องด้านความหมายของอัลกุรอาน เชี่ยวชาญในด้านฮะดีษ

และสายรายงาน…”


             4. อิบนุคอลลีกาน กล่าวว่า

“ แท้จริงอิมามอิบนุญะรีรเป็นอิมาม(ผู้นำ)ในด้านวิชาการแขนงต่างๆด้านการอรรถาธิบายอัลกุรอาน ด้านฮะดีษ ด้าน ฟิกฮ์ ด้านประวัติศาสตร์

และศาสตร์อื่นๆ”


              5. สุบกีย์กล่าวว่า

“ ท่านเป็นอิมามผู้ยิ่งใหญ่ เป็นหนึ่งในบรรดาอิมามโลก ทั้งในด้านวิชาการและมารยาท”


               6. ซะฮะบีย์กล่าวว่า

“ ท่านเป็นคนที่น่าเชื่อถือ มีสัจจะ มีความจำที่ดีเลิศ เป็นแกนนำอุลามาอ์ในด้านการตัฟซีรหรืออรรถาธบายอัลกุรอาน เป็นอิมามในด้านฟิกฮ์

หรือนิติศาสตร์อิสลาม เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์อิสลาม เป็นผู้ที่รอบรู้ด้านวิธีการอ่านอัลกุรอานหรือกิรออาต และด้านภาษาอาหรับและอื่นๆ”


3. บทสรุป
 
จากที่ได้ศึกษามาอย่างเคร่าๆถึงชีวประวัติของเตาะบะรีย์นักประวัติศาสตร์ผู้ลือชื่อท่านนี้ จึงพอจะสรุปได้ดังนี้

1. เตาะบะรีย์เติบโตขึ้นในครอบครัวที่อบอุ่นและให้ความสำคัญกับการศึกษาหาความรู้.

2. เตาะบะรีย์เริ่มทำการศึกษาหาความรู้ตั้งแต่ชีวิตยังเยาว์.

3. ชีวิตส่วนใหญ่ของเตาะบะรีย์จะหมดไปกับการศึกษาหาความรู้ ทำการสอนศานุศิษย์ และแต่งตำราวิชาการ

4. เตาะบะรีย์เป็นหนึ่งในบรรดาอุลามาอ์ที่น่าเชื่อถือ และเป็นที่สรรเสริญของอุลามาอ์ทั่วหล้าถึงความรอบรู้และแก่วิชาของท่าน.

5. หนังสือตำราข้อเขียนของเตาะบะรีย์เป็นสิ่งที่บ่งบอกอย่างไม่ต้องสงสัยถึงความเป็นผู้นำด้านวิชาการของท่านในสาขาวิชาต่างๆดั่งที่ได้กล่าวมาแล้ว


5
               จากหนังสือ อัลเมากิฟุชชัรอี มินัตตะบัฆวัตตัคคีน ของ มุหัมหมัด อาลี อัลบารฺ

            นิโคตินที่มีอยู่ในควันบุหรี่เป็นสารที่ทำให้เสพแล้วติด จากผลการวิจัยของวิทยาลัยราชอาณาจักรด้านการแพทย์ ประเทศซาอุดีฯ พบว่า

ถ้าประชากร 100 คนชอบดื่มเหล้า จะพบว่าประมาณ 10-15 เปอร์เซ็นต์ กลายเป็นผู้ที่ติดเหล้าอย่างงอมแงมจนไม่อาจเลิกได้

แต่ถ้าประชากร 100 คนชอบสูบบุหรี่ จะพบว่า 80-85 เปอร์เซ็นต์กลายเป็นผู้ที่ติดบุหรี่อย่างงอมแงม

            ดังนั้นจึงเป็นที่ประจักษ์ชัดว่า การสูบบุหรี่หรือยาสูบทำให้ติดและเลิกไม่ได้ ทั้งยังเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ดังที่บรรดาแพทย์ทั่วทุกมุมโลก

ในปัจจุบันต่างเห็นพ้องและมีมติเป็นเอกฉันท์ เช่นเดียวกับองค์การอนามัยโลกที่ออกประกาศถึงอันตรายของบุหรี่อย่างชัดเจน ทั้งยิงมีระบุที่

ซองบุหรี่ว่า "การสูบบุหรี่เป็นอันตรายต่อชีวิต"

                ถึงกระนั้นก็ยังมีมุสลิมบางคนที่เกิดความสงสัยในบัญญัติของอิสลามเกี่ยวกับบุหรี่และการสูบจนเกิดการโต้เถียงกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

จนบางท่านถึงกับกล่าววา การสูบบุหรี่เป็นสิ่งที่วาญิบสำหรับเขา ...

                และต่อไปนี้คือส่วนหนึ่งของหลักฐานและทัศนะของบรรดาอุละมาอฺผู้ทรงคุณวุฒิที่ยืนยันถึงอันตรายของบุหรี่และระบุว่าเป็นสิ่งที่

ต้องห้ามหรือหะรอมในอิสลาม


หลักฐานต่างๆ ที่ห้ามสูบบุหรี่

1. อัลลอฮฺทรงห้ามมิให้ฆ่าตัวเองทั้งทางตรงและทางอ้อมและห้ามนำพาตัวเองสู่ความหายนะ

ซึ่งมีใจความว่า "และจงอย่าฆ่าตัวของพวกเจ้าเอง แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงเมตตาต่อพวกเจ้าเสมอ" (อันนิสาอฺ 4 : 29)

และความว่า "และพวกเจ้าจงอย่ายื่นมือของพวกเจ้าสู่ความหายนะ" (อัลบะเกาะเราะฮฺ 2 : 195)


2. การสูบบุหรี่เป็นการสุรุ่ยสุร่ายที่อัลลอฮฺทรงห้าม

ตามสถิติพบว่า บริษัทผลิตบบุหรี่ในอเมริกาได้ผลิตบุหรี่เป็นจำนวนเงินถึง สามหมื่นล้านดอลลาร์

ต่อปี (Larry White : Merchants of Death, New York, 1988) ในขณะที่อัลลอฮฺทรงตรัสไว้

ความว่า "และพวกเจ้าจงอย่าสุรุ่ยสุร่าย" (อัลอิสรออฺ 17 : 26)


3. สร้างความเดือดร้อนแก่คนรอบข้างและครอบครัว

อัลลอฮฺทรงตรัสไว้ความว่า "และบรรดาผู้ที่สร้างความเดือดร้อนแก่มวลชนผู้ศรัทธาทั้งชายและหญิงด้วยสิ่งที่พวกเขาไม่ได้กระทำ

แน่นอนเขาเหล่านั้นต้องแบกความเท็จและบาปอันชัดแจ้ง" (อัลอัหซาบ 33 : 58)


4. บุหรี่เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ จะเห็นได้จากคราบนิโคตินที่ติดตามไรฟันและส่งกลิ่นเหม็นคลุ้ง ดังนั้นบุหรี่จึงเป็นสิ่งที่ต้องห้าม (หะรอม)

อัลลอฮฺ  ทรงตรัสไว้  ความว่า "และพระองค์ทรงห้ามพวกเขาจากสิ่งที่เลวทรามและน่ารังเกียจทั้งหลาย" (อัลอะอฺรอฟ 7 : 15)


5. บุหรี่ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้อิ่มและไม่ใช่ยารักษาโรค เพราะฉะนั้นการสูบบุหรี่จึงเป็นการเปล่าประโยชน์ และการเปล่าประโยชน์นั้นเป็นที่ต้องห้าม (หะรอม)


6. บุหรี่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

ในปี 1962 วิทยาลัยการแพทย์แห่งประเทศอังกฤษออกแถลงการณ์ว่า "การสูบบุหรี่มีผลต่อความบกพร่องทางสุขภาพ"

ในปี 1970 แพทย์ผู้เชี่ยวชาญแห่งประเทศอเมริกาออกแถลงการณ์เตือนว่า "บุหรี่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ"

ในปี 1978 ผู้เชี่ยวชาญแห่งองค์การอนามัยโลกได้ออกแถลงการณ์ว่า "การสูบบุหรี่เป็นสาเหตุหลักที่ไปทำลายสุขภาพและทำให้เสียชีวิตก่อนวัย"


ฟัตวาและทัศนะของอุละมาอฺที่ห้ามสูบบุหรี่

อุละมาอฺจำนวนมากต่างเห็นพ้องกันว่า ห้ามปลูก ขาย และเสพยาสูบ ในบรรดาอุละมาอฺเหล่านั้น คือ

1. สภาฟัตวาของอัลอัซฮัร กล่าวว่า "บรรดาผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญและการสัมมนาด้านการแพทย์แห่งโลกต่างมีความเห็นพ้องกันว่า บุหรี่นั้น

เป็นที่ประจักษ์ชัดอย่างไร้ข้อสงสัยว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เพราะเป็นต้นเหตุของโรคมะเร็งในปอด มะเร็งในลำคอ และเป็นอันตราย

ต่อระบบการหมุนเวียนโลหิต.." (หนังสือพิมพ์ไคโร 22 มีนาคม 1979)


2. สภาสัมมนาอิสลามระดับโลกครั้งที่หนึ่ง ณ มหานครมะดีนะฮฺ เมื่อวันที่ 2-5 มีนาคม 1982 ต่างมีมติเห็นพ้องอย่างเป็นเอกฉันท์ว่า

"ห้ามสูบบุหรี่ทุกรูปแบบ ไม่ว่าด้วยการขบเคี้ยวหรือสูบ และห้ามปลูก กิน ยาย และซื้อ และประเทศมุสลิมจำเป็นต้องประกาศห้ามอย่างเป็นทางการ"


3. สภาฟัตวาของลัจญฺนะฮฺดาอิมะฮฺ แห่งประเทศซาอุดิอารเบีย เลขที่ 187 วันที่ 4/2/1402 ฮ.ศ.  กล่าวว่า "บุหรี่เป็นสิ่งที่หะรอม

เพราะมันเป็นสิ่งที่อันตราย และเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ ทั้งยังเป็นการใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย" (วารสาร อัลญุนดิลมุสลิม ลำดับที่ 32)


4. เชค อับดุลอซีซ บิน บาซ (วารสารมหาวิทยาลับอิสลามมดีนะฮฺ เดือนมุหัรรอม 1391 ฮ.ศ.)

5. เชค มุหัมมัด บิน ศอลิหฺ อัลอุษัยมีน (ตัซกีรุนนุฟูส อันนะบี อัฎรอริชชีชะอฺ หน้า 13-14)

6. เชค มะหฺมูด ชัล โตต (ฟัตวา ชัลโตต หน้า 384-385)

7. เชค สาบิก (ฟิกฮุสสุนนะฮฺ)

8. เชค ยูซุฟ อัลก็อรฎอวียฺ (อัลหะลาลวัลหะรอม หน้า 62)

9. เชค อับดุลญะลีล ชะละบียฺ (อัลหุกุมุชชัรอีฟ• อัตตัดคีน หน้า 19-21) ฯลฯ

6
                   เชคมุฮัมมัด ซอและห์ อัลมุนัจญิด ได้ให้คำตอบไว้ว่า ศาสนาของอัลลอฮฺได้ห้ามการเดินตามรอยเท้าของมารร้าย

และได้ห้ามทุกๆสิ่งที่จะไปสู่สิ่งที่หะรอม แม้ว่าโดยพื้นฐานของสิ่งนั้นจะอนุญาตก็ตาม

            ซึ่งอุละมาอฺเรียกหลักการนี้ว่า "กออิดะตุ ซัดดิ อัลซะรออิอฺ" (หลักการสกัดกั้นหนทางที่จะนำไปสู่ความชั่ว) ในเรื่องนี้

อัลลอฮฺ ศุบหฯได้กล่าวไว้ใน อันนูร อายะห์ที่ 21 ว่า

يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا لَا تَتَّبِعُوا خُطُوَاتِ الشَّيْطَانِ

ความว่า "โอ้ บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย ! พวกเจ้าอย่าติดตามทางเดินของชัยตอน"

เกี่ยวกับประเด็นที่สอง อัลลอฮฺ ศุบหนะฮูว่าตะอาลาได้กล่าวไว้

وَلاَ تَسُبُّواْ الَّذِينَ يَدْعُونَ مِن دُونِ اللّهِ فَيَسُبُّواْ اللّهَ عَدْواً بِغَيْرِ عِلْمٍ كَذَلِكَ زَيَّنَّا لِكُلِّ أُمَّةٍ عَمَلَهُمْ ثُمَّ إِلَى رَبِّهِم مَّرْجِعُهُمْ فَيُنَبِّئُهُم بِمَا كَانُواْ يَعْمَلُونَ

              ความว่า "และพวกเจ้าจงอย่าด่าว่า บรรดาที่พวกเขาวิงวอนขอ อื่นจากอัลลอฮฺ แล้วพวกเขาก็จะด่าว่าอัลลอฮฺเป็นการละเมิดโดยปราศจากความรู้"
(อัลอันอาม 6 : 108)

                 ณ ที่นี้ อัลลอฮฺ ศุบหฯ ได้ห้ามผู้ศรัทธาจากการด่ามุชริกีน(ผู้ตั้งภาคีทั้งหลาย) เพื่อไม่ให้นำไปสู่การด่าผู้เป็นเจ้า

            มีตัวอย่างมากมายที่ว่าด้วยหลักการของชะรีอะฮฺข้อนี้ อิบนุ กอยยิม ได้อ้างถึงไว้มากมายและอธิบายไว้อย่างดีเยี่ยมในงานเขียนชิ้น

เยี่ยมของท่าน ชื่อ "อะอฺลาม อัล มุวะกฺกิอีน"( ดูหน้า 3/147-171)

              ปัญหานี้ก็อยู่ในระดับที่กล่าวมานี้เอง การสนทนาไม่ว่าจะด้วยวาจาหรือด้วยการเขียนที่เกิดขึ้นระหว่างชายและหญิงนั้นอนุญาตโดยตัวมันเอง

แต่มันอาจนำไปสู่การตกสู่กับดักของชัยตอน ซึ่งใครก็ตามที่รู้ว่าเขาอ่อนแอ และเกรงว่าจะตกสู่หลุมพรางของชัยฏอน ก็ให้เขายุติการสนทนาเพื่อที่

จะปกป้องตัวเขาเองให้ปลอดภัย ส่วนใครก็ตามที่รู้ว่าตัวเขาเองเป็นคนมั่นคง เราคิดว่าเป็นที่อนุญาตให้กับเขาได้ในกรณีนี้ แต่ต้องมีเงื่อนไขดังต่อไปนี้
 
        1. การสนทนานั้นจะต้องไม่เกินเลยออกจากหัวข้อที่ยกมาคุยกัน หรือออกจากเป้าหมายการดะอฺวะฮ ฺ(เรียกร้องเชิญชวน) ไปสู่อิสลาม

        2. จะต้องไม่ทำเสียงให้อ่อนหวาน หรือแสดงออกอย่างนุ่มนวลเกินไป

        3. จะต้องไม่มีการถามคำถามส่วนตัว ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับหัวข้อที่กำลังพูดคุยกันอยู่ เช่น ถามเรื่องอายุ ส่วนสูง หรือที่พัก เป็นต้น

       4. สำหรับพี่น้องมุสลิมีนและมุสลิมะฮฺที่ได้เข้าร่วมในการสนทนาหรืออ่านข้อความตอบโต้กันนั้น (ขอให้รู้ว่า) ชัยฏอนเองไม่ได้ทิ้งหนทาง

ที่จะเข้าสู่หัวใจของผู้ที่สนทนากันอยู่

       5. การสนทนาหรือการตอบโต้นั้นจะต้องยุติทันที หากว่าหัวใจเริ่มรู้สึกถึงอารมณ์ปรารถนา

7
                สัยยิด สาบิก ปราชญ์ชาวอิยิปต์ เกิดในปี ค.ศ. 1915 ท่านเป็นหนึ่งในอุละมาอ์ชั้นนำของอัล-อัซฮัร จบการศึกษาด้านชะรีอะฮฺ จากมหาวิทยลัย

อัล-อัซฮัร ท่านเป็นสมาชิกของญะมาอะฮฺอิควานฯ  ตั้งแต่เป็นนักศึกษา

              สัยยิด สาบิก ได้เริ่มต้นชีวิตการงานที่กระทรวงเอากอฟ ท่านได้ทำงานที่กระทรวงนี้เป็นเวลานานโดยเริ่มจากตำแหน่งเล็กๆจนกระทั่งท่าน

ได้กลายเป็นผู้บริหารด้านกิจการมัสยิดและวัฒนธรรมอิสลาม จากนั้นท่านได้เป็นผู้ตรวจราชการของกระทรวงเอากอฟ  และในขณะเดียวกันท่านก็

เป็นอาจารย์สอนที่อัล-อัซฮัรด้วย  ตลอดชีวิตการทำงานของท่านนั้นเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะผู้รู้ที่ไม่เคยละเมิดสิทธิของผู้ใดและไม่เคยประจบสอพลอผู้ใด...


            สัยยิด สาบิก ไม่เพียงแต่ทำงานด้านวิชาการเท่านั้น แต่ยังได้ใช้เวลาในช่วงวัยหนุ่มด้วยการเป็นนักรบในแผ่นดินฟิลัสฏีน(ปาเลสไตน์) และ

เคยถูกจำคุกสองปี หลังจากที่ได้รับอิสระภาพท่านได้ทุ่มเทชีวิตทั้งหมดเพื่อรับใช้แนวทางของอัลลอฮฺ(ซ.บ.)ทั้งในสนามของความรู้ด้านฟิกฮฺและ

การทำงานด้านอื่นๆ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งอัฉริยะภาพของอัส-สัยยิด สาบิกในด้านฟิกฮฺนั้นท่านได้บรรลุถึงขอบเขตที่กว้างไกลของความรู้สาขานี้ 

จนท่านก็ถูกยืมตัวไปสอนที่ประเทศซาอุดิอาระเบีย ในตำแหน่งหัวหน้าแผนกการศึกษาชั้นสูงของคณะกฏหมายอิสลาม แห่งมหาวิทยาลัย

“อุมมุล กุรอ”                 


                 ในตอนนี้เองที่สัยยิด สาบิกได้เริ่มเดินทางไปยังประเทศต่างๆเพื่อรณรงค์ให้ความรู้ความเข้าใจแก่คนหนุ่มสาวมุสลิม เมื่อย่างเข้าสู่

วัยชราท่านก็ยังคงปักหลักสอนวิชาฟิกฮฺให้แก่ลูกศิษย์ของท่านที่มัสยิดในเมืองนัศรฺ(อิยิปต์)ต่อไปจวบจนวันสุดท้ายของชีวิต   


               สัยยิด สาบิก เริ่มต้นเขียนบทความให้กับวารสารอัล-อิควาน รายสัปดาห์เกี่ยวกับฟิกฮฺ โดยอิงอยู่กับตำราฟิกฮฺที่อาศัยหะดีษนำทาง

เช่น สุบุลุส สลาม ของอิหม่ามอัศ-ศอนอานียฺ , บุลูฆุล มะรอม ของอิหม่ามอิบนุ หะญัร , นัยลุล เอาฏอร ของอิหม่ามอัช-เชากานีย เป็นต้น


             ผลงานทางวิชาการที่มีอิทธิพลอย่างปฏิเสธไม่ได้ของสัยยิด สาบิก คือหนังสือ “ฟิกฮุสสุนนะฮฺ” ซึ่งถูกจัดเป็นหนังสือฟิกฮฺที่ทรงคุณค่า

และง่ายดายในการทำความเข้าใจเล่มสำคัญเล่มหนึ่งของวงการฟิกฮฺอิสลาม เบื้องหลังการเขียนหนังสือเล่มนี้เกิดจากการคำขอของเชค หะสัน อัล-บันนา

ผู้ก่อตั้งญะมาอะฮฺอิควานฯ


             ตำราฟิกฮฺที่เขียนขึ้นจากหลักฐานที่ชัดเจนจากอัล-กุรอานและอัลซุนนะฮฺ ตีพิมพ์ในช่วงทศวรรต 40 ในคริสต์ศวรรษที่ 20  พร้อม

เขียนคำนำให้โดยอิหม่ามหะซัน อัล-บันนา โดยขณะที่เขียนตำราเล่มนี้สัยยิด สาบิก อายุเพียง 30 ปี   ตำราชุดนี้ได้รับการตีพิมพ์อีกหลาย ๆ ครั้ง

และถูกแปลเป็นภาษาต่าง ๆ จำนวนมาก ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่าเป็นหนังสือฟิกฮฺที่แพร่หลายและมีอิทธิพลอย่างกว้างขวางมากที่สุดใน

ประวัติศาสตร์อิสลาม อย่างที่หาตำราฟิกฮฺเล่มอื่นเปรียบได้ยากมาก


          มุศฏอฟา มัชฮูร ได้กล่าวว่า “สัยยิด สาบิก มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อญะมาอะฮฺ อิควานนุลมุสลิมูน และหนังสือของท่านนั้นมีอิทธิพล

และมีประโยชน์มหาศาลต่อสมาชิกของญะมาอะฮฺโดยเฉพาะอย่างยิ่งหนังสือ “ฟิกฮุส สุนนะฮ.”ที่ถูกจัดเป็นหนังสืออ้างอิงเล่มสำคัญและอิหม่าม

หะซัน อัลบันนาได้เจาะจงให้หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือหลักในการอ้างอิงด้านสุนนะฮ”


           ดร. ศอลาหฺ อับดุลมุตาอาล สมาชิกแกนนำพรรคแรงงานของอียิปต์กล่าวว่า “...บทบาทที่เหนือธรรมดาของท่านคือการทำให้ฟิกฮฺเป็น

เรื่องง่ายสำหรับทุกคนหลังจากที่ก่อนหน้านั้นฟิกฮฺก็คือป้อมปราการอันสูงตระหง่านที่ใครก็ไม่อาจเข้าโจมตีได้ยกเว้นแต่บรรดาฟุกอฮาอฺ

(นักวิชาการฟิกฮฺ)เท่านั้น ...  ตอนที่ท่านถูกจับเข้าคุก ห้องขังของท่านอยู่ตรงข้ามกับห้องขังของฉันในคุกของอียิปต์เมื่อปีค.ศ.1949 จำได้ว่า

ในเวลานั้นท่านยืนยันที่จะเอาถังวางซ้อนกันเพื่อให้ร่างกายที่ผ่ายผอมของท่านสูงกว่าหน้าต่างห้องขังด้วยการยืนอยู่บนถัง และทำการสอนวิชาฟิกฮฺ

ให้แก่ผู้ถูกคุมขังทั้งหมดที่พากันมารวมตัวกันหลังประตูห้องขังเพื่อติดตามบทเรียนของท่าน โดยมีพวกผู้คุมเข้าร่วมรับฟังด้วย และท่านยังเปิดโอกาส

ให้มีการซักถามอีกด้วย แล้วทุกอย่างในคุกก็ดำเนินไปเช่นนั้นจนกระทั่งท่านได้สอนหนังสือของท่านจนจบเล่ม ...”   


           แม้จะพบว่ามีเนื้อหาบางที่ในตำรา “ฟิกฮุสสุนนะฮฺ” ได้วิจารณ์ความคลั่งไคล้มัซฮับ และถึงแม้ว่าสัยยิด สาบิก จะไม่ยึดติดกับมัซฮับใด

มัซฮับหนึ่งในการเรียบเรียงตำรา แต่จะต้องไม่เข้าใจผิดว่า สัยยิด สาบิก กำลังเรียกร้องไปสู่การปฏิเสธมัซฮับ(อัล-ลามัซฮะบียะฮฺ) เพราะท่านไม่เคย

ตำหนิการมีอยู่ของมัซฮับ ท่านไม่เคยปฏิเสธมัน ท่านยังให้เกียรติกับทัศนะส่วนใหญ่ของนักฟิกฮฺ (แม้จะไม่เอกฉันท์)


               ตำราฟิกฮุสสุนนะฮฺเป็นความเพียรพยายามในฐานะนักนิติศาสตร์คนหนึ่งที่จะทำให้คนรุ่นใหม่เข้าถึงฟิกฮฺในแบบที่ง่ายดายและผ่าน

การเปรียบเทียบมัซฮับต่าง ๆ มิใช่การปลดปล่อยผู้คนออกจากมัซฮับ แต่เป็นการให้ผู้คนปฏิบัติตามมัซฮับอย่างถูกต้องและเข้าใจในมัซฮับอื่น ๆ 


          สัยยิด สาบิก ไม่เพียงมีความรู้ที่ลึกซึ้งในทางฟิกฮฺเท่านั้น แต่ท่านยังมีความเข้าใจที่กระจ่างชัดในอะกีดะฮฺ ดังปรากฏในงานเขียนของท่านชื่อว่า

 อัล-อะกออิด อัล-อิสลามียะฮฺ (หลักศรัทธาอิสลาม) และท่านมีความรู้ที่กว้างขวางในด้านการดะอฺวะฮฺอีกด้วย ท่านเป็นหนึ่งในปราชญ์ชั้นนำที่

เรียกร้องไปสู่แนวทางสายกลางท่ามกลางกระแสการตื่นตัวอิสลาม เชคยูซุฟ อัล-เกาะเราะฏอวียฺ ยืนยันว่าการตื่นตัวของกระแสสายกลาง

เป็นส่วนหนึ่งของการรณรงค์ปราชญ์ชั้นนำหลายท่าน ซึ่งปราชญ์คนสำคัญชั้นแนวหน้าก็คือ เมาลานา อบุล หะสัน อัน-นัดวียฺ , เชค มุฮัมมัด ฆอซาลียฺ

และเชคสัยยิด สาบิก  …


          เชค ฟุอาด  มุคัยมิร นายกสมาคมกฏหมายอิสลาม ได้กล่าวว่า  “... ท่านเป็นนักวิชาการที่มีแนวคิดสายกลาง และเป็นผู้ที่ทำให้กระแสคลื่น

อิสลามปกคลุมไปทั่วสารทิศด้วยทุกองค์ประกอบของมัน”


            สัยยิด สาบิก เสียชีวิตเมื่อวันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2000 ในกรุงไคโร สัยยิด สาบิกได้ใช้เวลาในบั้นปลายชีวิตของท่านอยู่กับหนังสือ

ฟิกฮฺและลูกศิษย์ทั้งหลายของท่านที่ได้รวมตัวกันเพื่อตักตวงความรู้จากท่าน   ณ มัสยิดในเมืองนัศรฺ กรุงไคโร และในการจัดการศพของท่าน

ลูกชายคนโตของท่านกำชับมิให้จัดพิธีเพื่อแสดงการไว้อาลัยต่อท่านเด็ดขาด ทั้งนี้เป็นไปตามคำสั่งเสียของท่านเชคเอง


           เชค มุฮัมมัด ฆอซาลียฺ กล่าวว่า  “เขาเป็นคนที่มีความเข้าใจในวิชาความรู้มากที่สุดในหมู่คนในยุคของเขา ซึ่งประวัติศาสตร์ได้บันทึกถึง

พวกเขาเหล่านั้นด้วยอักษรแห่งรัศมี”

หน้า: [1]