แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - wisdom

หน้า: [1] 2 3 ... 11
1
ขอเวลาสักพักนะครับ ช่วงนี้งานค่อนข้างยุ่ง ไว้จะกลับมาตอบครับ

2
ขอเวลาสักพักนะครับ ช่วงนี้งานค่อนข้างยุ่ง ไว้จะกลับมาตอบครับ

3
มันไม่ช่วยอะไรหรอกครับ เพราะละหมาดนั้น ในโองการได้บอกโดยตัวอยู่แล้วว่า แยกจากการ รำลึกในโองการนั้น ผมถึงบอกไงล่ะครับ คุณไม่มีคุณสมบัติในการทำความเข้าใจกุรอ่านเอง เพราะคุณไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับกุรอ่านจริงๆ โองการที่คุณอ้าง ไม่ได้ช่วยให้ การละหมาด ทำได้ตลอดเวลาอย่างที่คุณอ้างนะครับ แม้แต่โองการที่คุณยกมานั่น ก็แสดงให้เห็น

[29:45]เจ้าจงอ่านสิ่งที่ถูกวะฮีย์แก่เจ้าจากคัมภีร์ และจงดำรงการละหมาด (เพราะ) แท้จริงการละหมาดนั้นจะยับยั้งการทำลามก และความชั่ว และการรำลึกถึงอัลลอฮ์นั้นยิ่งใหญ่มาก และอัลลอฮ์ทรงรอบรู้สิ่งที่พวกเจ้ากระทำ

การละหมาดจะยับยั้งการทำลามก และความชั่ว

การยังยั้งการทำลามก และความชั่วนั้น เป็นคนละอย่างกับการทำละหมาดนะครับ แต่การยังยั้งจากความชั่ว เป็นผลจากการละหมาด

ที่คุณอ้างมาว่า

อ้างถึง
ผมได้บอกคุณไปแล้วอย่างไรครับ ว่า ซอลาต นั้น มันเป็นได้หลายความหมาย
มันเหมือนกับการรักษาศีลน่ะครับ ไม่โกหก ไม่ด่าทอ ไม่ฉ้อโกง เอื้อเฟื้อ ตักเตือนกันในสิ่งที่ดี กล่าวสรรเสริญ

จึงไม่เป็นจริง คุณเดาเอาเองนะครับ ปราศจากการอ้างอิงใด เพราะการละหมาดนั้น กุรอ่านบอกชัดเจนว่า ทำเป็นเวลา และมีเวลาต่างๆ ไม่ใช่ตลอดเวลาแบบที่คุณอ้าง เป็นคุณนั่นล่ะครับ ที่ทำนอกกุรอ่าน บิดเบือน กุรอ่าน และอาจจะถึงกับต่อเติมกุรอ่านด้วยซ้ำ

อ่านใหม่อีกครั้ง คุณจะบอกได้ไหมว่า อัลลอฮฺ บอกว่า ละหมาดนั้นเป็นเวลา และมีเวลาต่างๆ ทำไมคุณถึงแย้งกับอัลลอฮฺ ถ้าคุณศึกษากุรอ่านจริง?

ใช่ครับ ละหมาด จะส่งผลให้ [29:45] สามารถยังยั้งจากความชั่ว และนี่คือความหมายที่ชัดเจนของการละหมาด(แท้จริง)
แต่ถ้าละหมาดด้วยท่าทาง หรือเป็นเวลา จะสามารถช่วยยับยั้งจากความเชื่อได้ตลอดหรือ?

และเรื่องที่ผมบอกว่าการละหมาด เปรียบเสมือนการรักษาศีล ซึ่งเราจะต้องละหมาดอยู่ตลอดเวลา เพราะเราจะต้องมีความสามารถที่จะยับยั้งความชั่วได้ตลอดเวลา
ไม่ใช่เพียงแค่วันละ 5 เวลา ต่อครั้งละประมาณ 5 นาที

และที่ผมแปลว่ารักษาศีลนั้น ศีลมีทั้งสำหรับเรา และสำหรับรสูล
ศีลของเราก็คือ ไม่พูดโกหก พูดจาดี ทำดีต่อพี่น้อง ทำดีต่อญาติมิตร และอีกมากมาย เช่นใน [107] ซึ่งค่อนข้างชัดเจน
และศีลของรสูลก็มีเช่นกัน ก็คือ การส่งสาร

ซึ่งเราก็ต้องรักษาศีลของเรา และรสูลก็ต้องรักษาศีลของรสูล

ลองดูครับ ไม่ขัดแย้งกับกุรอ่านเลย

ละหมาดนั้นเป็นสิ่งที่ดีครับ สามารถสอนเราได้หลายอย่าง ไม่ไช่เป็นการทำซึ่งด้วยท่าทางเพื่อการสักการะ
[11:85] และโอ้กลุ่มชนของฉันเอ๋ย ! พวกท่านจงให้ครบสมบูรณ์ไว้ ซึ่งการตวง และการชั่งโดยเที่ยงธรรม และอย่าให้บกพร่องแก่มนุษย์ ซึ่งสิ่งต่าง ๆ ของพวกเขา และอย่าก่อกวนในแผ่นดินโดยเป็นผู้บ่อนทำลาย


[11:87] พวกเขากล่าวว่า โอ้ชุอัยบ์เอ๋ย ! การละหมาดของท่านสั่งสอนท่านว่า ให้พวกเราละทิ้งสิ่งที่บรรพบุรุษของเราเคารพบูชา หรือว่าให้เรากระทำต่อทรัพย์สินของเราตามที่เราต้องการกระนั้น หรือ?แท้จริงท่านนั้นเป็นผู้อดทนขันติ เป็นผู้มีสติปัญญา

ใน [11:85] ได้พูดถึงเรื่อง การชั่งตวง...ความเที่ยงธรรม... ฯลฯ และใน [11:87]  ก็ได้ถามว่า การละหมาด[11:85] นั้นสอนอะไร
แต่การละหมาดด้วยท่าทางนั้น สอนเราเรื่องละทิ้งสิ่งที่บรรพบุรุษเคารพบูชา ไม่ได้

รวมทั้งการละหมาดยังสามารถช่วยให้เรายับยั้งจากความชั่วได้อีก อย่างที่กล่าวไปแล้วใน [29:45]
ซึ่งแน่นอนการละหมาดด้วยท่าทางไม่สามารถช่วยได้ บางคนละหมาดด้วยท่าทาง จิตใจก็ยังไปอยู่กับอย่างอีกอื่นด้วย

ไว้ค่อยมาต่อนะครับ ช่วงนี้ไม่ค่อยมีเวลาเท่าใหร่ครับ

4
อัลฮัมดุลิลลาฮฺ คุณได้เปิดเผยตนเองออกมาอีกครั้งหนึ่งแล้ว ไม่ช้าเลย เปิดเผยติดๆ กันทีเดียว

อ้างถึง
ผมละหมาดได้ตลอดเวลาครับ ความหมายของละหมาดนั้นกว้างครับ คือการยำเกรง รำลึก ติดต่อ สรรเสริญ ...
ซึ่งถ้าหากมีอัลลอฮฺอยู่ในจิตใจ เราจะต้องยำเกรงตลอดเวลา เมื่อเรายำเกรงตลอดเวลา มีนจะไม่มีช่วงใหนของเรา ที่จะสามารถเข้าใกล้ความชั่วได้เลย ซึ่งการละหมาดด้วยท่าทาง ครั้งละ 5 นาที รวมกัน 5 เวลา ประมาณ 30 นาที/วัน ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย ซึ่งหลายคน เอาเวลาบางส่วนที่เหลือ กว่า 23 ชั่วโมง ไปทำชั่ว ฉ้อโกง โกหก

เพราะ แท้จริงนี่คือความหมายของการละหมาดครับ

[29:45]เจ้าจงอ่านสิ่งที่ถูกวะฮีย์แก่เจ้าจากคัมภีร์ และจงดำรงการละหมาด (เพราะ) แท้จริงการละหมาดนั้นจะยับยั้งการทำลามก และความชั่ว และการรำลึกถึงอัลลอฮ์นั้นยิ่งใหญ่มาก และอัลลอฮ์ทรงรอบรู้สิ่งที่พวกเจ้ากระทำ

โองการนี้บอกอะไรแก่เราบ้าง

4:103. ครั้นเมื่อพวกเจ้าเสร็จจากการละหมาดแล้ว(*1*) ก็จงกล่าวรำลึกถึงอัลลอฮฺ ทั้งในสภาพยืนและนั่งและในสภาพนอนเอกเขนกของพวกเจ้า ครั้นเมื่อพวกเจ้าปลอดภัยแล้ว ก็จงดำรงไว้ซึ่งการละหมาด(*2*) แท้จริงการละหมาดนั้นเป็นบัญญัติที่ถูกกำหนดเวลา(*3*)ไว้แก่ผู้ศรัทธาทั้งหลาย

รู้สึกว่า โองการนี้ จะกล่าวไปคนละทิศกับคุณเลยนะครับ คุณ wisdom ครับ

อย่างแรก ละหมาดนั้น มีเวลานะครับไม่ใช่ทำตลอดเวลา และบอกด้วยว่า หลังจากเสร็จละหมาดแล้ว ก็กล่าวรำลึกถึงอัลลอฮฺ ไม่ทราบว่า ความหมายกว้างไปจนถึง รำลึก แล้วเนี่ย ทำไมโองการนี้ถึงบอกว่า กล่าวรำลึก หลังจากเสร็จละหมาดล่ะครับ?

คุณ wisdom ใช้กุรอ่านเท่านั้นเป็นทางนำจริงหรือครับ เหตุใดคุณจึงกล่าวออกมาประหนึ่งว่าคุณแทบไม่มีความรู้เกี่ยวกับกุรอ่านเลยล่ะครับ

ผมได้บอกคุณไปแล้วอย่างไรครับ ว่า ซอลาต นั้น มันเป็นได้หลายความหมาย
มันเหมือนกับการรักษาศีลน่ะครับ ไม่โกหก ไม่ด่าทอ ไม่ฉ้อโกง เอื้อเฟื้อ ตักเตือนกันในสิ่งที่ดี กล่าวสรรเสริญ

ลองดูซูเราห์นี้ครับ และทั้งหมดนี้ สอดคล้องกับ [29:45]  ซึ่งเป็นหลักของการละหมาด จริงไหมครับ?
การละหมาดด้วยท่าทาง ขะสามารถยับยั้งความชั่วได้หรือครับ?

107:1
เจ้าเห็น แล้วมิใช่ หรือ ผู้ที่ปฏิเสธการตอบแทน
107:2
นั่นก็คือผู้ที่ขับไล่เด็กกำพร้า
107:3
 และไม่สนับสนุนในการให้อาหารแก่ผู้ขัดสน
107:4
ดังนั้น ความหายนะจงมีแด่บรรดาผู้ทำละหมาด
107:5
ผู้ที่พวกเขาละเลยต่อการละหมาดของพวกเขา
107:6
ผู้ที่พวกเขาโอ้อวดกัน
107:7
 และพวกเขาหวงแหนเครื่องใช้เล็กๆ น้อย

5
ยอมรับว่าไม่รู้เถอะครับ จะได้จบๆ ผมเข้ามาอ่านคุณตั้งนานแล้ว ไม่แตกต่างจากซิมซิมิเลย

วัลลอฮูอะลัมฯ
ตกลงคุณรู้ไหมเนี่ย?

6
เยี่ยมครับ เพราะยิ่งสนทนา คุณยิ่งแสดงถึงความไม่กุรอ่านออกมา นี่ขนาดเอาคำแปลภาษาอังกฤษ ผมยังไม่พบใครแปลว่า balanced เลยครับ อัลฮัมดุลิลลาฮฺ เผยธาตุแท้คนที่ไม่รู้นี่ มันเผยกันได้ไม่ยากเลยในกรณีคุณ

อ้างถึง
ผมก็ยังยีนยันเรื่องการละหมาดตลอดเวลาอยู่ดีครับ และที่ผมยก [2:238] ก็เป็นหนึ่งอายะห์ที่จะบอกคุณว่า ขนาดเดิน หรือขี่ม้า ยังละหมาดได้เลย
ส่วนที่คุณยก
[2:238] เรื่องละหมาดกึ่งกลาง ผมเข้าใจ กึ่งกลาง ว่า Balance ก็คือ การรักษาให้สมดุล ซอลาตอยู่สมำ่เสมอให้ดีสม่ำเสมอ อย่าให้เสียสมดุล(Balance)(อายะห์ต่อไป ติดกันเลย)
[2:239]ถึงแม้สูเจ้าจะอยู่ในอันตราย สูเจ้าก็จะต้องนมาซ ไม่ว่าขณะเดิน หรือหรือขี่ม้า ... อายะห์นี้ขึ้นต้นด้วย ถึงแม้ คือ ถึงเกิดอยู่ในอันตราย (จิตใจอาจไม่ค่อยดี จิตใจอาจรักษาซอลาตที่ balance ไว้ไม่ได้) อัลลอฮฺก็ยังบอกให้ซอลาต แม้กระทั้งกำลังขี่ม้า
ซึ่งแสดงว่า การซอลาตไม่สามารถจะลงเอย สักการะด้วยท่าทางไปได้

ตรงนี้ไม่ทราบใครแปลแบบนั้นเหรอครับ คุณไปอ่านมาจากไหน จริงๆ ถ้าจะบอกว่าตัวเองศึกษากุรอ่าน ก็ควรทำให้เนียนหน่อยนะครับ เพราะไม่ว่าใครแปล ไม่เคยกล่าวถึง balance เลย แต่กล่าวดังนี้

Ahmed Raza Khan: Mohammed Aqib Qadri:
Guard all your prayers, and the middle prayer; and stand with reverence before Allah. Yusuf Ali:
Guard strictly your (habit of) prayers, especially the Middle Prayer; and stand before Allah in a devout (frame of mind). Pickthal:
Be guardians of your prayers, and of the midmost prayer, and stand up with devotion to Allah.

โองการนี้ บอกตรงข้ามกับคุณแทบทุกอย่าง เพราะเน้นให้รักษาการละหมาด โดยเฉพาะละหมาดตอนกึ่งกลาง นั่นคือ "เวลา" ละหมาดเวลาหนึ่งครับ ไม่ใช่ละหมาดตลอดเวลา เพราะเป็นการชี้เฉพาะเวลาโดยเจาะจง ไม่ใช่ละหมาด ตลอดเวลา

ถ้ายังพยายามจะแถ หรือตะแบง ผมแถมให้ก็แล้วกัน

ตั้งใจอ่านให้ดีนะครับ อ่านให้ดีดี อ่านนะครับ อ่านหน่อย เมื่ออ้างว่ายึดกุรอ่าน แล้วปฏิเสธฮะดีษ ก็อ่านบ้าง จะได้ไม่หลงไปแล้วแสดงความไม่รู้ออกมาให้จับได้ว่า คุณไม่ได้ศึกษากุรอ่านจริงจัง คุณแค่อ้างเท่านั้น

อ่านเถอะนะ นะครับ

4:103. ครั้นเมื่อพวกเจ้าเสร็จจากการละหมาดแล้ว(*1*) ก็จงกล่าวรำลึกถึงอัลลอฮฺ ทั้งในสภาพยืนและนั่งและในสภาพนอนเอกเขนกของพวกเจ้า ครั้นเมื่อพวกเจ้าปลอดภัยแล้ว ก็จงดำรงไว้ซึ่งการละหมาด(*2*) แท้จริงการละหมาดนั้นเป็นบัญญัติที่ถูกกำหนดเวลา(*3*)ไว้แก่ผู้ศรัทธาทั้งหลาย

เราละหมาดกันเป็นเวลานะครับ ไม่ใช่ละหมาดตลอดเวลา

ถ้ายังไม่พอ อ่ะแถมให้อีกก็ได้

17:79. และจากบางส่วนของกลางคืนเจ้าจงตื่นขึ้นมาละหมาดในเวลาของมัน เป็นการสมัครใจสำหรับเจ้า หวังว่าพระเจ้าของเจ้าจะทรงให้เจ้าได้รับตำแหน่งที่ถูกสรรเสริญ(*1*)

ยัง ยังไม่หมด

24:58. โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย ! จงให้บรรดาผู้ที่มือขวาของพวกเจ้าครอบครอง (*1*) และบรรดาผู้ที่ยังไม่บรรลุศาสนภาวะในหมู่พวกเจ้า ขออนุญาตพวกเจ้าสามเวลาคือ ก่อนเวลาละหมาดฟัจญริ และเวลาพวกเจ้าเปลื้องเสื้อผ้าในเวลากลางวัน (*2*) และหลังจากเวลาละหมาดอิชาอฺ (*3*) ทั้งสามนี้เป็นเวลาส่วนตัวสำหรับพวกเจ้า (*4*) หลังจากนี้แล้วไม่เป็นที่น่าตำหนิแก่พวกเจ้าและแก่พวกเขา เพราะพวกเขาวนเวียนรับใช้บางคนในหมู่พวกเจ้า เช่นนั้นแหละอัลลอฮฺทรงชี้แจงโองการทั้งหลายให้เป็นที่ชัดแจ้งแก่พวกเจ้า และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงปรีชาญาณ

เวลาละหมาดน่ะ มีบอก และกล่างถึงในกุรอ่านนะครับ แต่ถ้าเราไม่เอาฮะดีษ เราจะยังไม่ทราบว่า เวลาใด เป็นเวลาใดแน่นอน และมีกี่เวลาชัดเจน แต่ที่แน่ๆ การละหมาดนั้น เป็นเวลา และไม่ได้กระทำตลอดเวลาครับ




ที่นี้ เราก็จับได้แล้วล่ะครับว่า คุณน่ะ ไม่รู้แม้กระทั่งกุรอ่าน ที่คุณอ้างว่าใช้ยึดเป็นหลัก นี่ไงครับแสดงถึงความไม่รู้ของคุณ ที่เมื่อศึกษาเอง คุณก็หลงทางแล้วคิดว่าการละหมาดนั้น ทำได้ตลอดเวลา แม้แต่ออกกำลังกาย


เพราะกุรอ่านก็บอกชัดเจนว่า ให้ยืนละหมาด ยกเว้นเวลาอยู่ในช่วงอันตราย หรือคับขัน จึงให้ละหมาดตอนเดิน หรือ ขี่ม้า นั่นไม่ใช่การปฏิบัติโดยทั่วไปจนอ้างว่า ละหมาดตลอดเวลา หรือละหมาด ไปออกกำลังกายไปได้ เพราะกุรอ่านเปิดช่องให้ในยามคับขันนะครับ



ดังนั้น ละหมาดกึ่งกลางคืออะไร เพราะไม่ใช่คำว่า balanceที่แปลว่า รักษาสมดุลการละหมาดตลอดเวลาแบบที่คุณเดามังครับ
ขอให้ครบ 5 เวลาครับ อย่างที่คุณเคยบอกว่าอัลลอฮฺได้บอกไว้

7
เรามาต่อ กับการจับเท็จ ของผู้ที่พยายามบ่อนทำลายอิสลาม เพราะเมื่อใดที่กล่าวเท็จ ปั้นแต่งเรื่องใส่อิสลาม การจับเท็จมันทำได้ค่อนข้าง สะดวกดายนิดนึงด้วยความเมตตาจากอัลลอฮฺ

เรื่องการสอนของท่านนบี ถ้าบอกว่า นบีไม่ได้มีหน้าที่สอน โดยยกโองการที่ 2:272 มาอ้างนั้น คุณได้แสดงจุดบกพร่องของการเรียนกุรอ่านด้วยตนเองทั้งที่ ไม่รู้ภาษาอาหรับ แล้วล่ะครับ เพราะคุณ จะทำให้ สองโองการนั้น ขัดกันทันที

Ahmed Raza Khan: Mohammed Aqib Qadri:
It is not your duty (O dear Prophet Mohammed - peace and blessings be upon him) to make them accept guidance - but Allah guides whomever He wills; and whatever good thing you spend is beneficial for yourselves; and it is not right for you to spend except to seek Allah's pleasure; and whatever you spend will be repaid to you in full, and you will not be wronged. -
Yusuf Ali:
It is not required of thee (O Messenger), to set them on the right path, but Allah sets on the right path whom He pleaseth. Whatever of good ye give benefits your own souls, and ye shall only do so seeking the "Face" of Allah. Whatever good ye give, shall be rendered back to you, and ye shall not Be dealt with unjustly.
Pickthal:
The guiding of them is not thy duty (O Muhammad), but Allah guideth whom He will. And whatsoever good thing ye spend, it is for yourselves, when ye spend not save in search of Allah's Countenance; and whatsoever good thing ye spend, it will be repaid to you in full, and ye will not be wronged.
เห็นคำแปลไหมครับ คำแปลนี้ บ่งบอกชัดเจนว่า ท่านนบี ไม่ได้มีหน้าที่ ให้ทางนำ นั่นคือ ไม่ได้มีหน้าที่ มอบศรัทธา มอบอีหม่าน ให้กับใคร หรือก็คือ ท่านนบี ไม่ต้องรับผิดชอบ ถ้าใครปฏิเสธอิสลาม

ถ้าคุณแปลว่าสอน โดยบอกว่าไม่ได้มีหน้าที่สอน ก็จะขัดกับโองการนี้ทันที

3:164. แน่นอนยิ่ง อัลลอฮ์นั้นทรงมีพระคุณแก่ผู้ศรัทธาทั้งหลาย โดยที่พระองค์ได้ทรงส่งร่อซูลคนหนึ่งจากพวกเขาเองมาในหมู่พวกเขาโดดยที่เขาจะได้อ่านบรรดาโองการของพระองค์ให้พวกเขาฟัง และจะทำให้พวกเขาสะอาดและจะสอนคัมภีร์ และความรู้เกี่ยวกับข้อปฏิบัติในบัญญัติศาสนาแก่พวกเขาด้วย และแท้จริงเมื่อก่อนนั้นพวกเขาเคยอยู่ในความหลงผิดอันชัดแจ้ง
ดังนั้น คำว่าสอน ในโองการที่ 2:272 คุณวงเล็บเองโดยการเดานะครับ เพราะกุรอ่านบอกเองว่า ท่านนบีได้สอนด้วย นอกจากอ่านโองการให้ฟัง จะสอนความรู้เกี่ยวกับข้อปฏิบัติด้วยครับ

3:164 laqad man-nal-laahu 'Alal mu'miniyna idh ba'Atha fiyhim rasuulam min anfusihim yatluu 'Alayhim aayaatihii wa yuzak-kiyhim wa yu'Al-limuhumul kitaaba wal Hikmah* wa in kaanuu min qablu lafiy Dalaalim mubiyn

Ahmed Raza Khan: Mohammed Aqib Qadri:
Allah has indeed bestowed a great favour upon the Muslims, in that He sent to them a Noble Messenger (Prophet Mohammed - peace and blessings be upon him) from among them, who recites to them His verses, and purifies them, and teaches them the Book and wisdom; and before it, they were definitely in open error. (The Holy Prophet Mohammed - peace and blessings be upon him - is one of Allah's greatest favours to mankind.)

Yusuf Ali:
Allah did confer a great favour on the believers when He sent among them a messenger from among themselves, rehearsing unto them the Signs of Allah, sanctifying them, and instructing them in Scripture and Wisdom, while, before that, they had been in manifest error.
Pickthal:
Allah verily hath shown grace to the believers by sending unto them a messenger of their own who reciteth unto them His revelations, and causeth them to grow, and teacheth them the Scripture and wisdom; although before (he came to them) they were in flagrant error.

ไม่ว่าโองการไหนก็บอกชัดเจนว่า ท่านนบี จะสอนกุรอ่าน และข้อปฏิบัติ ครับ ไม่ใช่กุรอ่านอย่างเดียว มีการแยกให้เห็นตลอดเวลาครับ

ส่วนโองการที่คุณยกมา นั้น ไม่ปรากฎว่ามีตรงไหน พูดถึงการกล่าวเฉพาะกุรอ่าน เพราะการประกาศ เผยแผ่ นั้น ก็ได้ทั้ง กุรอ่าน และสิ่งต่างๆ ที่เป็นคำสั่งของอัลลอฮฺ เช่น การละหมาดเวลาต่างๆ วิธีการละหมาดด้วย ซึ่งคุณถูกจับได้ว่า กล่าวเท็จใส่กุรอ่าน ว่า ละหมาดไปออกกำลังกายไป หรือละหมาด ตลอดเวลา นั่นเองครับ
รสูลอ่านเฉพาะกุรอ่าน ก็ชัดเจน ไม่เห็นขัดแย้ง ทั้งสองโองการ ก็สอนด้วยกุรอ่านทั้งหมดทำไมคิดว่ากุรอ่านจะขัดแย้งล่ะครับ ไม่คิดว่าความเข้าใจของคุณจะขัดแย้งบ้าง

ผมว่าคุณเลิกตอบ forum ด้วยถ้อยคำที่ดูถูกด่าทอเถอะครับ ไม่ได้ทำให้คุณดูสูงขึ้น
บางครั้งผมก็อยากตอบกลับไปด้วยความรุนแรงเช่นกัน แต่ผมก็สามารถเอาชนะชัยฏอนที่คอยกระซิบได้เกีอบทุกครังครับ
และผมคิดว่าเราคุยด้วยหลักฐานก็พอครับ
และถ้าหากคุณเชื่อกุรอ่าน ดู Signature ผมครับ เรื่องการพูดคุยที่ดี

8
คนที่เรียนศาสนาเค้าเข้าใจกันหมดครับ ไม่เชื่อลองถามใครสักคนดู
ถ้าอย่างนั้นผมขอถาม คุณSufriyan แล้วกันครับ
เพราะว่าผมอาจจะเข้าใจในแบบของผม ซึ่งอาจจะไม่ตรงกับแบบของคุณครับ

ขอบคุณครับ

9
ผมว่า admin พิจารณา ผู้ใช้นามว่า wisdom ได้แล้วล่ะครับ เพราะตอนนี้ได้เปิดเผยความ ไม่รู้ และการบ่อนทำลายอิสลามมาโดยตรงแล้ว

ละหมาดไปออกกำลังกายไปก็ได้

ละหมาดตลอดเวลา

ละหมาดไม่ได้มี 5 เวลา

แถมยังบอกอะไรที่ขัดกับกุรอ่านอีก

เรียกได้ว่า ผิดพลาด และโกหก ใส่อิสลามเต็มๆ แล้วครับ จะทำอย่างไร? เพราะเท่าที่ไล่ต้อนมา ก็ไม่มีเหตุผลอะไรมาโต้แย้ง ได้แต่เลี่ยงไป หลบมาเท่านั้นเอง



ไม่เอาฮะดีษ แล้วตัวเองละหมาดยังไงก็ไม่บอก อันนี้ปิดบังอำพราง มีวาระซ่อนเร้นแหงๆ
รบกวน admin ช่วยดูด้วยครับเรื่องการ ถูถูก ด่าทอ และใส่ร้ายผู้อื่นด้วยความคิดเห็นส่วนตัว สมควรหรือไม่

10
ผมย้ำแล้วนะครับว่า

ส่วนการอ้างว่าศึกษากุรอ่านเอง ทำความเข้าใจเอง ไม่ยากนั้น มันเป็นคำโกหก ที่ช่วช้ามาก โดยตัวอย่างของ wisdom เองยังบอกผมไม่ได้เลยว่าละหมาดอย่าไร กุรอ่านสั่งให้ละหมาดครับ และสั่งให้ตามนบี ด้วยครับ


จากการสนทนา กับผู้รู้ทำให้เราเห้นว่า wisdom ไม่รู้ภาษาอาหรับ แบบนี้ถ้าอ้างว่าจะศึกษากุรอ่านเอง นั่นแปลว่า ทำลายศาสนาครับ ไม่ต้องมาถามว่า ทำลายอย่างไร เพราะคนแบบคุณ

ถ้าเขาแปลกุรอ่านมามั่วๆ คุณก็ไม่รู้ว่าคนแปลน่ะมั่ว และในกุรอ่านนั้น ทำความเข้าใจ และแปลรูปประโยคอย่างไร คุณก็ไม่รู้ สำนวนนั้นหมายถึงอย่างไรคุณก็ไม่รู้ นั่นแปลว่า ถ้าใครโกหกใส่กุรอ่าน คนแบบ wisdom จะไม่รู้อะไรเลย

การบอกว่า ทำความเข้าใจกุรอ่านเองนั้น มันโกหกเต็มๆ ครับ ในความจริงคือมักง่าย และหลอกลวงให้คนอื่นหลงทาง

ถ้าแบบนี้ ไม่เรียนบ่อนทำลายอิสลามแล้วจะให้เรียกว่าอะไรไม่ทราบ







สรุปคือ คนแบบคุณ ไม่รู้ภาษาอาหรับ ถ้าใครแปลแบบโกหก มาคุณก็ไม่รู้ เพราะคุณไม่มีปัญญาจะอ่านภาษาอาหรับเอง สำนวนคุณก็ไม่รู้ ดังนั้น คุณไม่มีคุณสมบัติจะศึกษากุรอ่านเองอยู่แล้วล่ะครับ

อัลลอฮฺบอกว่ากุรอ่านนั้นง่าย แต่คุณบอกว่ายาก แถมยังบอกว่าผมโกหก และชั่วช้า?
[54:17] และโดยแน่นอน เราได้ทำให้อัลกุรอานนี้เป็นที่เข้าใจง่ายแก่การรำลึก แล้วมีผู้ใดบ้างที่รับข้อตักเตือนนั้น


อัลลอฮฺบอกว่ากุรอ่านนั้น (ไว้ตั้งแต่ต้น) สำหรับผู้ที่ยำเกรง ไม่ไช่สำหรับผู้ที่มัความรู้ ปราชญ์ หรือ จำพวกใดจำพวกหนึ่ง?
[2:2] นี่คือคัมภีร์ (ของอัลลอฮ์) ที่ไม่มีข้อเคลือบแคลงสงสัยอยู่ในนั้น มันเป็นทางนำ สำหรับผู้ที่ยำเกรงต่อพระเจ้า


หวังว่าอายะห์ที่ยกมาข้างต้นคงแปลถูกนะครับ เพราะ อังกฤษ(4 คนแปล) และ ไทย ให้ความหมายเหมือนกัน

11
มุสลิมก็มีจำนวนน้อยกว่า คริสต์ และผู้ปฏิเสธศรัทธาอยู่แล้วละครับ ไม่ได้มีมากกว่า มันจึงไม่แปลก แต่ที่แปลกคือ อัลลอฮฺสั่งใช้ให้ตามนบี และปฏิบัติตามนบีนะครับ นี่อคือคำสั่งของอัลลอฮฺ เพราะถ้ามีปัญหา แล้วไม่หานบี ก็จะเป็นแบบคุณ ที่จนบัดนี้ ยังตอบผมไม่ได้เลยว่าคุณละหมาดอย่างไร วันละกี่เวลา หาหลักฐานจากไหนมาปฏิบัติ

คุณก็ยังตอบไม่ได้ และที่สำคัญ การละหมาด 5 เวลานั้น เป็นการปฏิบัติ ที่ ทำตามรายละเอียดที่นบีบอกเราครับดังนี้

"ดังที่เราได้ส่งร่อ ซูลผู้หนึ่ง  จากพวกเจ้าเองมาในหมู่พวกเจ้า ซึ่งเขาจะอ่านบรรดาโองการของเราให้พวกเจ้าฟัง และจะทำให้พวกเจ้าสะอาดบริสุทธิ์ และจะสอนคัมภีร์ และความรู้เกี่ยวกับข้อปฏิบัติให้แก่พวกเจ้า และจะสอนพวกเจ้าในสิ่งที่พวกเจ้าไม่เคยรู้มาก่อน" (กุรอาน 2:151)

"โดยที่พระองค์ได้ทรง ส่งร่อซูลคนหนึ่งจากพวกเขาเองมาในหมู่พวกเขาโดยที่เขาจะได้อ่านบรรดาโองการ ของพระองค์ให้พวกเขาฟัง และจะทำให้พวกเขาสะอาดและจะสอนคัมภีร์ และความรู้เกี่ยวกับข้อปฏิบัติในบัญญัติศาสนาแก่พวกเขาด้วย และแท้จริงเมื่อก่อนนั้นพวกเขาเคยอยู่ในความหลงผิดอันชัดแจ้ง" (กุรอาน 3:164)


คำว่า คัมภีร์ ในภาษาใช้คำว่า กิตาบ  แน่นอน มันก็คือ กุรอาน
ส่วนคำว่า ข้อปฏิบัติในบัญญัติศาสนา ในภาษาอาหรับของโองการนี้ ใช้คำว่า "ฮิกมะตา" หรือ ฮิกมะห์  ซึ่งหมายถึง วิทยปัญญา หรือ กฎ ระเบียบ

โองการนี้ จึงชัดเจนว่า  รอซู้ลนั้น ไม่ได้เป็นแค่ "คนส่งสาร" เท่านั้น  แต่เป็นแบบอย่าง และ แหล่งที่มาของความรู้ทางศาสนาด้วย   หรือ อีกโองการ

"โดยแน่นอน ในร่อซูลของอัลลอฮฺมีแบบฉบับอันดีงามสำหรับพวกเจ้าแล้ว.."(กุรอาน 33:21)

จึงเห็นได้ว่า   รอซู้ลนั้นไม่ใช่แค่คนบอกข่าว  แต่เป็น  ผู้นำสาส์น , เป็นผู้ตักเตือน , เป็นแหล่งความรู้  และ เป็น แบบฉบับ  ในการปฏิบัติตนของบรรดามุสลิมทั้งหลาย

ดังนั้น ท่านนบี ไม่ได้สอนเรา เฉพาะ กุรอ่านแน่นอนครับ กุรอ่านบอกเราเอง ดังนั้น วิธีการละหมาด จึงหาได้จาก คำสอนของท่านนบี


การที่คุณพยายาม ปรามาศว่า อัลลอฮฺทรงลืมหรือ (อัสตัฆฟิรุลลอฮฺ สามานย์จริงๆ กับคำพูดแบบนี่้) อัลลอฮฺไม่ทรงลืมครับ อัลลอฮฺทรงตรัสแล้ว ว่านบีจะสอนวิทยปัญญา วิธีการต่างๆ แก่เรา ดังนั้น เราจะหาได้จากนบี ครับ
ผมได้ตอบคุณไว้ชัดเจนแล้ว ในอีกหัวข้อหนึ่งครับ

12
ผมบอกแต่แรกแล้วนะครับว่า ถ้าในกุรอ่าน เราจะไม่รู้ ว่า การละหมาดนั้น ในแต่ละวันมีกี่เวลา ผมถึงถามคุณไงล่ะครับ ว่า เมื่อคุณ ไม่ละหมาด 5 เวลา แล้วคุณละหมาดวันล่ะกี่เวลา?

ก็ไม่ปรากฎว่า ได้คำตอบ สรุปคือ คุณเลี่ยงบอกไม่ได้ว่าคุณละหมาดวันละกี่เวลากันแน่ นั่นเพราะคุณไม่สามารถสรุปได้นั่นเอง

ก็ตรงกับที่ผมบอกไปนั่นล่ะครับ ถ้าไม่ฮะดีษ คุณจะไม่สามารถปฏิบัติศาสนกิจได้เลย และการปฏิบัติศาสนกิจของคุณจะมั่ว และไม่ตรงกับหลักศาสนาแน่นอน


จนบัดนี้ คุณก็ยังบอกไม่ได้ว่าคุณละหมาดอย่างไร หรือไม่ได้ละหมาด แล้วละหมาดไป วิดพื้นไปได้หรือเปล่าครับ เพราะกุรอ่านไม่ได้ห้ามใช่ไหม?
ผมละหมาดได้ตลอดเวลาครับ ความหมายของละหมาดนั้นกว้างครับ คือการยำเกรง รำลึก ติดต่อ สรรเสริญ ...
ซึ่งถ้าหากมีอัลลอฮฺอยู่ในจิตใจ เราจะต้องยำเกรงตลอดเวลา เมื่อเรายำเกรงตลอดเวลา มีนจะไม่มีช่วงใหนของเรา ที่จะสามารถเข้าใกล้ความชั่วได้เลย ซึ่งการละหมาดด้วยท่าทาง ครั้งละ 5 นาที รวมกัน 5 เวลา ประมาณ 30 นาที/วัน ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย ซึ่งหลายคน เอาเวลาบางส่วนที่เหลือ กว่า 23 ชั่วโมง ไปทำชั่ว ฉ้อโกง โกหก

เพราะ แท้จริงนี่คือความหมายของการละหมาดครับ

[29:45]เจ้าจงอ่านสิ่งที่ถูกวะฮีย์แก่เจ้าจากคัมภีร์ และจงดำรงการละหมาด (เพราะ) แท้จริงการละหมาดนั้นจะยับยั้งการทำลามก และความชั่ว และการรำลึกถึงอัลลอฮ์นั้นยิ่งใหญ่มาก และอัลลอฮ์ทรงรอบรู้สิ่งที่พวกเจ้ากระทำ

13
อ้างถึง
ดูอายะห์นี้ประกอบครับว่ารสูลมีหน้าที่ ชี้นำ/สอน ใครไหม?
[2:272]หาใช่เป็นหน้าที่ของเจ้าไม่ ในการชี้นำพวกเขา และหากทว่าอัลลอฮ์ (ต่างหาก) ที่ชี้นำแก่บุคคลที่พระองค์ทรงประสงค์ และความดีงาม...

นี่เค้าไม่รู้อะไรสักอย่างเลยหรือ เราๆท่านๆกำลังคุยกับคอมพิวเตอร์แปลภาษาอยู่หรือเนี่ยะ

วัสลาม

คุณ Sufriyan ให้ความหมายอายะห์นี้ว่าอย่างไรถึงตีความว่าผมไม่รู้อะไรเลยครับ?

14
ผมว่า admin พิจารณา ผู้ใช้นามว่า wisdom ได้แล้วล่ะครับ เพราะตอนนี้ได้เปิดเผยความ ไม่รู้ และการบ่อนทำลายอิสลามมาโดยตรงแล้ว

ละหมาดไปออกกำลังกายไปก็ได้

ละหมาดตลอดเวลา

ละหมาดไม่ได้มี 5 เวลา

แถมยังบอกอะไรที่ขัดกับกุรอ่านอีก

เรียกได้ว่า ผิดพลาด และโกหก ใส่อิสลามเต็มๆ แล้วครับ จะทำอย่างไร? เพราะเท่าที่ไล่ต้อนมา ก็ไม่มีเหตุผลอะไรมาโต้แย้ง ได้แต่เลี่ยงไป หลบมาเท่านั้นเอง



ไม่เอาฮะดีษ แล้วตัวเองละหมาดยังไงก็ไม่บอก อันนี้ปิดบังอำพราง มีวาระซ่อนเร้นแหงๆ

ขออายะห์ที่บอกเรื่องละหมาด 5 เวลาด้วยครับ

ละหมาดก้มๆเงยๆ 5 เวลา ไม่สามารถทำให้ออกจากความชั่วหรอกครับ
เพราะบางคนเวลาละหมาดเสร็จก็ออกไปทำธุรกิจโกหก ฉ้อโกง หลอกลวง บางคนละหมาดเสร็จก็ไปซินาก็มี หรือบางคนละหมาดครบ แต่ชอบด่าว่าดูถูกคนอื่นก็มี

ละหมาดนั้นใหญ่กว่าเรื่องก้มๆ เงยๆ เยอะครับ
ลองดูคำจำกัดความของคำว่าละหมาด
[29:45] เจ้าจงอ่านสิ่งที่ถูกวะฮีย์แก่เจ้าจากคัมภีร์ และจงดำรงการละหมาด (เพราะ) แท้จริงการละหมาดนั้นจะยับยั้งการทำลามก และความชั่ว และการรำลึกถึงอัลลอฮ์นั้นยิ่งใหญ่มาก และอัลลอฮ์ทรงรอบรู้สิ่งที่พวกเจ้ากระทำ

ผมไม่เคยบอกให้ทำอะไรขัดกุรอ่านนะครับ หากแต่พยายามอย่างยิ่งยวด ที่จะหาอายะห์กุรอ่านมาเป็นหลักฐาน และประกอบความเข้าใจ

ผมไม่เอาหะดิษเพราะผมเชื่ออัลลอฮฺ และอัลลอฮฺบอกไม่ให้เอาครับ

15
อยากเห็นเหรอได้เลย อายะห์ที่อัลลอฮฺบอกว่า นบีสอนสิ่งอื่น

"ดังที่เราได้ส่งร่อ ซูลผู้หนึ่ง  จากพวกเจ้าเองมาในหมู่พวกเจ้า ซึ่งเขาจะอ่านบรรดาโองการของเราให้พวกเจ้าฟัง และจะทำให้พวกเจ้าสะอาดบริสุทธิ์ และจะสอนคัมภีร์ และความรู้เกี่ยวกับข้อปฏิบัติให้แก่พวกเจ้า และจะสอนพวกเจ้าในสิ่งที่พวกเจ้าไม่เคยรู้มาก่อน" (กุรอาน 2:151)

"โดยที่พระองค์ได้ทรง ส่งร่อซูลคนหนึ่งจากพวกเขาเองมาในหมู่พวกเขาโดยที่เขาจะได้อ่านบรรดาโองการ ของพระองค์ให้พวกเขาฟัง และจะทำให้พวกเขาสะอาดและจะสอนคัมภีร์ และความรู้เกี่ยวกับข้อปฏิบัติในบัญญัติศาสนาแก่พวกเขาด้วย และแท้จริงเมื่อก่อนนั้นพวกเขาเคยอยู่ในความหลงผิดอันชัดแจ้ง" (กุรอาน 3:164)

คำว่า คัมภีร์ ในภาษาใช้คำว่า กิตาบ  แน่นอน มันก็คือ กุรอาน
ส่วนคำว่า ข้อปฏิบัติในบัญญัติศาสนา ในภาษาอาหรับของโองการนี้ ใช้คำว่า "ฮิกมะตา" หรือ ฮิกมะห์  ซึ่งหมายถึง วิทยปัญญา หรือ กฎ ระเบียบ

โองการนี้ จึงชัดเจนว่า  รอซู้ลนั้น ไม่ได้เป็นแค่ "คนส่งสาร" เท่านั้น  แต่เป็นแบบอย่าง และ แหล่งที่มาของความรู้ทางศาสนาด้วย   หรือ อีกโองการ

"โดยแน่นอน ในร่อซูลของอัลลอฮฺมีแบบฉบับอันดีงามสำหรับพวกเจ้าแล้ว.."(กุรอาน 33:21)
จึงเห็นได้ว่า   รอซู้ลนั้นไม่ใช่แค่คนบอกข่าว  แต่เป็น  ผู้นำสาส์น , เป็นผู้ตักเตือน , เป็นแหล่งความรู้  และ เป็น แบบฉบับ  ในการปฏิบัติตนของบรรดามุสลิมทั้งหลาย

อายะห์ที่คุณยกมา ก็ตอบได้ด้วยอายะห์ที่คุณยกมาครับ [2:151] ดูตอนต้นๆอาายะห์เลยครับว่า รอซูลสอนด้วยอะไร "ซึ่งเขาจะอ่านบรรดาโองการของเราให้พวกเจ้าฟัง" ทั้งหมดของอายะห์นี้ก็คือสอนกุรอ่านครับ ความรู้เกี่ยวกับข้อปฏิบัติ[/color ]ก็จากกุรอ่านครับ สิ่งที่พวกเจ้าไม่เคยรู้มาก่อน ก็จากกุรอ่านครับ ไม่สามารถเข้าใจว่าสอนหะดิษนบีไปได้เลยครับ  อ่านดีๆ ครับ
ส่วนอีกอายะห์ที่คุณยกมา [3:164] ซึ่งเขาจะอ่านบรรดาโองการของเราให้พวกเจ้าฟัง
ก็คือรสูลอ่านองค์การของอัลลอฮฺครับ เข้าไจไม่ได้เลยว่าเป็นหะดิษนบีครับ

ดูอายะห์นี้ประกอบครับว่ารสูลมีหน้าที่ ชี้นำ/สอน ใครไหม?
[2:272]หาใช่เป็นหน้าที่ของเจ้าไม่ ในการชี้นำพวกเขา และหากทว่าอัลลอฮ์ (ต่างหาก) ที่ชี้นำแก่บุคคลที่พระองค์ทรงประสงค์ และความดีงาม...


ส่วนความคิดเห็นส่วนตัว ที่คุณบอกว่า รอซู้ลนั้น ไม่ได้เป็นแค่ "คนส่งสาร" เท่านั้น ลองดูครับ ว่าอัลลอฮฺบอกเรา(รสูลด้วย) ว่าอย่างไร
[3:20]แล้วหากพวกเขาโต้แย้งว่า ก็จงกล่าวเถิดว่าฉันได้มอบใบหน้า ของฉันแด่อัลลอฮ์ แล้ว และผู้ที่ปฏิบัติตามฉัน ด้วย และจงกล่าวเก่บรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์ และบรรดาผู้ที่เขียนอ่านไม่เป็น ว่า พวกท่านมอบ แล้ว หรือ? ถ้าหากพวกเขาได้มอบ แล้วแน่นอนพวกเขาก็ได้รับ แล้ว ซึ่งแนวทางอันถูกต้อง และถ้าหากพวกเขาผินหลังให้ แท้จริงหน้าที่ของเจ้านั้นเพียงการประกาศให้ทราบเท่านั้น และอัลลอฮ์ นั้นเป็นผู้ทรงเห็นป่วงบ่าวทั้งหลาย
[5:92]และพวกเจ้าจงเชื่อฟังอัลลอฮ์ และจงเชื่อฟังร่อซู้ลเถิด และพึงระมัดระวังไว้ด้วย แต่ถ้าพวกเจ้าผินหลังได้ ก็พึงรู้เถิดว่าที่จริงหน้าที่ของร่อซู้ลของเรานั้น คือ การประกาศอันชัดเจนเท่านั้น
[5:99] หน้าที่ของร่อซู้ลนั้นมิใช่อะไรอื่น นอกจากการประกาศให้ทราบเท่านั้น และอัลลอฮ์ทรงรู้สิ่งที่พวกเจ้าเปิดเผย และสิ่งที่พวกเจ้าปกปิด
[16:35] และบรรดาผู้ตั้งภาคีดังกล่าวหากอัลลอฮ์ทรงประสงค์ พวกเราจะไม่เคารพบูชาผู้ใดอื่นจากพระองค์ ทั้งพวกเรา และบรรพบุรุษบองพวกเรา และพวกเราจะไม่ห้ามสิ่งใดอื่นจากที่พระองค์ ทรงห้ามไว้ในทำนองนั้นแหละบรรดาผู้มาก่อนหน้าพวกเขาได้กระทำ ดังนั้น บรรดาร่อซู้ลมิได้มีหน้าที่อื่นใด นอกจากการประกาศอันชัดแจ้งเท่านั้น
[16:82] ดังนั้นหากพวกเขาผินหลังกลับแท้จริงหน้าที่ของเจ้าคือการแจ้งข่าวอย่างชัดแจ้งเท่านั้น
[36:16-17]พวกเขา กล่าวว่า พระเจ้าของเราทรงรู้ดียิ่งว่า แท้จริงเราถูกส่งมายังพวกท่านอย่างแน่นอน และไม่มีหน้าที่อื่นใดแก่พวกเรานอกจากการประกาศเชิญชวนอันชัดแจ้งเท่านั้น


มันชัดมากพอแล้วครับ

หน้า: [1] 2 3 ... 11