แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - moorid

หน้า: [1]
1
เดิมผมเคยละหมาดแค่แปดเพราะเข้าใจว่าหลักฐานที่ กลุ่มที่ผมเคยอยู่บอกว่า นี้คือหลักฐานที่ถูกต้องว่าละหมาดตารอวิห์มีเพียง8 รอกาอัต +3 วิตีร  คือเอาเฉพาะจำนวน แค่ 8 รอกาอัตแต่ละทิ้งการอย่างอ่านซุเราะแบบยาวๆ

ผมเข้าใจตามที่ อจ.ฮารีฟีน  อธิบายครับ  หลักฐานการละหมาดตารอวิห์20 รอการอัต หลักฐานแน่นกว่า 11รอกาอัต ส่วนการบรรยายอจ.อาลี อธิบาย นั้นก็ชัดเจนครับ

สายรายงานละหมาดตะรอวีหฺ 11 ร็อกอะฮ์นั้นมี:
   1. มุฮัมมัด บิน ยูซุฟ     -> ถึงท่านอัซซาอิบ บิน ยะซีด
 
สายรายงานละหมาดตะรอวีหฺ 20 ร็อกอะฮ์นั้นมี:
   1. มุฮัมมัด บิน ยูซุฟ     -> ถึงท่านอัซซาอิบ บิน ยะซีด
  2. ยะซีด บิน คุศ็อยฟะฮ์ -> ถึงท่านอัซซาอิบ บิน ยะซีด
 
และทั้งมุฮัมมัด บิน ยูซุฟและยะซีด บิน คุศ็อยฟะฮ์นี้ต่างก็ทันอยู่ในสมัยของท่านอุมัร ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ  หากแม้ท่านจะกล่าวว่า ยะซีด บิน คุศ็อยฟะฮ์จะมีระดับความน่าเชื่อน้อยกว่ามุฮัมมัด บิน ยูซุฟก็ตาม  แต่สายรายงานของยะซีด บิน คุศ็อยฟะฮ์ที่รายงานละหมาด 20 ร็อกอะฮ์นั้นก็สามารถมาสนับสนุนสายรายงานละหมาด 21 ร็อกอะฮ์29ของมุฮัมมัด บิน ยูซุฟ  ดังกล่าวจึงทำให้สายรายงานละหมาดตะรอวีหฺ 20 ร็อกอะฮ์มีน้ำหนักยิ่งกว่านั่นเอง
 
4. สายรายงานของละหมาดตะรอวีหฺ 20 ร็อกอะฮ์สอดคล้องและร่วมกันระหว่างมุฮัมมัด บิน ยูซุฟกับยะซีด บิน คุศ็อยฟะฮ์ยังมีบรรดาหะดีษมุรซัลอีก 3 กระแสมาสนับสนุน และพร้อมกันนั้นก็ยังมีสายรายงานของท่านอะฏออฺที่รายงานสอดคล้องกับสายรายงานของมุฮัมมัด บิน ยูซุฟและยะซีด บิน คุศ็อยฟะฮ์ ในแง่มุมที่ว่าการละหมาดตะรอวีหฺ 20 ร็อกอะฮ์ได้กระทำกันในยุคสมัยอัลคุละฟาอฺอัรรอชิดีน
 
5. ส่วนการอ้างว่า “สายรายงานหนึ่งของมุฮัมมัด บิน ยูซุฟนั้น ‘ท่านอุมัรได้สั่งใช้ให้ละหมาด 11 ร็อกอะฮ์’ ส่วนสายรายงานของยะซีด บิน คุศ็อยฟะฮ์นั้นระบุเพียงว่า ‘พวกเขาได้ทำการละหมาด 23 ร็อกอะฮ์ในสมัยท่านอุมัร’ ซึ่งเป็นเพียงแค่การยอมรับของท่านอุมัรเท่านั้น   แต่การสั่งใช้ให้กระทำย่อมมีน้ำหนักมากกว่าการยอมรับ” นั้น ขอชี้แจงว่า สายรายงานของมุฮัมมัด บิน ยูซุฟนั้นมิได้บอกถึงว่าบรรดาศ่อฮาบะฮ์ได้กระทำตามคำสั่งของท่านอุมัร  แต่รายงานของยะซีด บิน คุศ็อยฟะฮ์ บอกถึงการกระทำของเหล่าศ่อฮาบะฮ์และการยอมรับของท่านอุมัรที่มีต่อพวกเขา  ดังนั้นสายรายงานของยะซีด บิน คุศ็อยฟะฮ์  ได้บอกถึงการอิจญฺมาอฺ (اَلْاِجْمَاعُ) ของเหล่าศ่อฮาบะฮ์มากมายที่อยู่นครมะดีนะฮ์ในการละหมาดตะรอวีหฺ 20 ร็อกอะฮ์  ฉะนั้นการอิจญฺมาอฺของศ่อฮาบะฮ์พร้อมกับการยอมรับของท่านอุมัรนั้นย่อมมีน้ำหนักยิ่งกว่าการที่ท่านอุมัรออกคำสั่งใช้เพียงอย่างเดียว
 
และเมื่อเราพิจารณาสายรายงานของมุฮัมมัด บิน ยูซุฟ อีกกระแสหนึ่งที่ระบุว่า “ท่านอุมัรได้รวบรวมประชาชนในเดือนร่อมะฎอนให้ละหมาดตามอุบัยย์และตะมีม อัดดารีย์  21 ร็อกอะฮ์”  เราจะพบว่า ท่านอุมัรได้สั่งใช้ให้ละหมาด 20 ร็อกอะฮ์โดยนัยแล้ว  เนื่องจากเป็นไปได้อย่างไรที่ท่านอุมัรได้ทำการรวบรวมประชาชนทั้งหลายให้ละหมาด 20 ร็อกอะฮ์โดยที่ท่านไม่ได้สั่งใช้พวกเขา  ดังนั้นสายรายงานที่ระบุว่าให้ละหมาด 20 ร็อกอะฮ์นั้นย่อมมีน้ำหนักยิ่งกว่า

2

الحمدلله والصلاة والسلام على رسول الله وبعد


การเอียะอฺติดาล (اَلإعْتِدَالُ)  จากการก้มรุ่กัวอฺถือเป็นฟัรฎูและรุ่ก่นหนึ่งจากบรรดารุ่ก่นของการละหมาด ซึ่งจะใช้ไม่ได้นอกจากด้วยการเอียะอฺติดาลนั้น โดยไม่มีข้อขัดแย้งในมัซฮับอัชชาฟิอีย์และการเอียะอฺติดาลที่เป็นวาญิบนั้นคือการที่ผู้ละหมาดหวนกลับหลังจากการรุ่กัวอฺของเขาไปยังสภาพซึ่งเขาเป็นอยู่บนสภาพนั้นก่อนการรุ่กัวอฺ ไม่ว่าเขาผู้นั้นยืนละหมาดหรือนั่งละหมาดก็ตาม (อัลมัจฺญมูอฺ ชัรฮุลมุฮัซซับ ; อิหม่ามอันนะวาวีย์ เล่มที่ 3 หน้า 390) และเมื่อเขาเอียะอฺติดาลในสภาพยืนตรงแล้วให้เขาลดมือทั้งสองของเขาลง (อ้างแล้ว 3/391)


หากพิจารณาคำว่า กลับไปสู่สภาพเดิม ซึ่งเขาอยู่บนสภาพนั้นก่อนการรุ่กัวอฺ ก็เข้าใจได้ว่า ให้กลับไปยืนตรงนั่นเอง เพราะการยืนตรงเป็นสภาพก่อนหน้าการรุ่กัวอฺของผู้ละหมาด ส่วนเมื่อยืนตรงแล้วนั้นต้องกอดอกหรือไม่? ถ้าพิจารณาประโยคที่อ้างจากตำราว่า เมื่อยืนตรงแล้วให้เขาลดมือทั้งสองลง หมายถึง ขณะเริ่มเงยศีรษะจากการรุ่กัวอฺให้ยกมือทั้งสองเหมือนกับตอนที่ยกขณะทำการตักบีร่อตุ้ลอิฮฺรอม แล้วก็ปล่อยมือลง เรียกว่า การปล่อย (อิรซ้าลฺ)


ส่วนกรณีที่มีผู้ละหมาดบางคนยกมือเหมือนขอดุอาอฺนั้น ก็ต้องกลับไปดูว่า ลักษณะการยกมือขณะตักบีร่อตุ้ลอิฮฺรอมทำอย่างไร? อิหม่ามอัชชาฟิอีย์ (ร.ฮ.) ได้กล่าวไว้ในหนังสืออัลอุมฺม์และมุคตะซ๊อร อัลมุซะนีย์ และบรรดาอัศฮาบว่า : ให้ผู้ละหมาดยกตรงกับหัวไหล่ทั้งสองของเขา หมายถึง ให้ฝ่ามือทั้งสองของเขาตรงกับหัวไหล่ทั้งสองของเขา อัรรอฟิอีย์ (ร.ฮ.) และมัซฮับกล่าวว่า : ให้ยกมือทั้งสองโดยให้ปลายนิ้วมือตรงกับส่วนบนสุดของหูทั้งสองข้าง และนิ้วหัวแม่มือทั้งสองตรงกับติ่งหูทั้งสอง ฝ่ามือทั้งสองของเขาก็จะตรงกับหัวไหล่ทั้งสองนั่นเอง  ตามนี้อัลมุตะวัลลีย์ , อัลบะฆอวีย์ , และอัลฆ่อซาลี กล่าวเอาไว้เช่นกัน (อัลมัจฺญมูอฺ อ้างแล้ว 3/262 , 263) และอัลมุตะวัลลีย์ กล่าวว่า : ส่งเสริมให้ฝ่ามือของผู้ละหมาดอยู่ทางทิศกิบละฮฺ ขณะทำการยก (อ้างแล้ว 3/266) และให้แยกระหว่างนิ้วมือโดยไม่รวมและไม่ถ่างออกแต่ให้อยู่ในสภาพปกติ (อ้างแล้ว 3/264)


ฉะนั้นตามคำอธิบายของนักวิชาการข้างต้นจึงทราบได้ว่า ไม่มีซุนนะฮฺให้ทำท่าขณะยกมือเหมือนการขอดุอาอฺแต่อย่างใด? เพราะถ้ายกมือแบบขอดุอาอฺก็แสดงว่าผู้ละหมาดเอาฝ่ามือหันเข้าหาตัวและเอาหลังมือหันไปทางทิศกิบละฮฺ ซึ่งค้านกับการอธิบายของนักวิชาการข้างต้น แต่ถ้าผู้ละหมาดทำท่าทางในการยกมือดังกล่าวก็ไม่ได้เสียละหมาดแต่อย่างใด! เพราะการยกมือเป็นเพียงซุนนะฮฺมิใช่รุ่ก่นหรือฟัรฎู ไม่ยกเลยก็ยังสามารถกระทำได้ แต่ก็ไม่ดีเพราะไม่รักษาซุนนะฮฺนั่นเอง



กรณีการเอียะอฺติดาลแล้วกลับมากอดอกใหม่นี้ นักวิชาการบางท่าน เช่น ชัยค์ อัตตุวัยญิรีย์ ได้อ้างถึงคำกล่าวของอิหม่ามอะฮฺมัด (ร.ฎ.) ที่ว่า : หากเขาประสงค์ก็ปล่อยมือทั้งสองของเขาหลังจากเงยจากการรุ่กัวอฺ และถ้าหากเขาประสงค์ก็วางมือทั้งสองของเขาไว้ (คือกอดอก) –ดู อัตตัมบีฮาตฺ อะลา ริซาละฮฺ อัลอัลบานีย์ ฟิซฺซ่อลาติ้ ; ชัยค์ ฮะมูด อิบนุ อับดิลลาฮฺ อัตตุวัยญิรีย์ ริยาฎ (1387) หน้า 18-19)


ท่านชัยคฺ อับดุลอะซีซฺ บิน บ๊าซฺ (ร.ฮ.) ก็ตอบเอาไว้ในฟัตวาของท่านเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างละเอียด ส่วนหนึ่งมีข้อความว่า : เป็นที่ทราบกันว่า มีซุนนะฮฺให้ผู้ละหมาดวางฝ่ามือทั้งสองบนหัวเข่าทั้งสองในขณะรู่กัวอฺ และให้วางมือทั้งสองบนพื้นตรงกับหัวไหล่หรือหูทั้งสองขณะสุหญูด และให้วางมือทั้งสองบนขาอ่อนและหัวเข่าในขณะนั่งระหว่างสองสุหญูดและในการตะชะฮฺฮุด ตามรายละเอียดที่ซุนนะฮฺได้ให้ความกระจ่างเอาไว้ ดังนั้นจึงไม่เหลืออีกนอกเสียจากขณะยืนก็รู้ได้ว่า นั่นคือจุดมุ่งหมายจากหะดีษของสะฮฺล์ และด้วยสิ่งดังกล่าว จึงเป็นที่กระจ่างชัดว่า แท้จริงมีบัญญัติให้ผู้ละหมาดวางมือขวาของเขาบนข้อมือซ้ายในขณะที่เขายืนในการละหมาดไม่ว่าสิ่งดังกล่าวจะเป็นการยืนก่อนการรุ่กัวอฺหรือหลังรุ่กัวอฺก็ตาม (ดู ฟัตวา ชัยค์ บินบ๊าซฺ ในมัจญมูอฺ ฟะตาวา ว่า มะกอลาตุ มุตะเนาวิอะฮฺ เล่มที่ 11 หน้า 131-140/144-145/146-147/148-149)


ซึ่งการฟัตวาให้กอดอกขณะเอียะอฺติดาลของชัยคฺ บิน บ๊าซฺ นี้ชัยคฺ มุฮำหมัด นาซิรุดดีน อัลอัลบานีย์ได้ตอบโต้และวิจารณ์ คำฟัตวาดังกล่าวเอาไว้ว่า การกอดอกขณะเอียะอฺติดาลเป็นอุตริกรรม (บิดอะฮฺ) และเป็นความหลงผิด (ฎ่อลาละฮฺ) – ดู ซิฟะตุ้ ซ่อลาตินฺนะบีย์ ; อัลอัลบานีย์ , มักตับ อิสลามีย์ (1987) หน้า 105-106 ในหมายเหตุ) ท่านชัยค์ บิน บ๊าซฺ (ร.ฮ.) ก็ตอบคำวิจารณ์ของอัลอัลบานีย์ (ร.ฮ.) เอาไว้ในฟัตวาของท่านดังที่อ้างมาข้างต้น และระบุหมายเหตุสำคัญเอาไว้ในฟัตวาเล่มที่ 11/141 ว่า : ฉะนั้นถ้าหากผู้หนึ่งละหมาดโดยปล่อยมือและไม่กอดอกก่อนการรุ่กัวอฺหรือหลังรุ่กัวอฺ การละหมาดของเขาก็ใช้ได้ อันที่จริงเขาเพียงแต่ละทิ้งสิ่งที่ดีกว่า (อัฟฎ้อล) ในการละหมาด 

ดังนั้นไม่สมควรที่ชาวมุสลิมคนใดจะยึดจากความเห็นขัดแย้งในประเด็นปัญหานี้และที่คล้าย ๆ กันเอามาเป็นสิ่งที่นำไปสู่การขัดแย้ง การเหินห่าง หมางเมิน และการแตกแยกเป็นฝักเป็นฝ่าย เพราะแท้จริงสิ่งดังกล่าวไม่อนุญาตสำหรับชาวมุสลิมทั้งหลาย”


จึงสรุปได้ว่า เรื่องนี้เป็นปัญหามองต่างมุมที่จริง ๆ แล้ว ไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่เป็นข้อปัญหาปลีกย่อย ผู้ละหมาดจะปล่อยมือโดยไม่กอดอกก็ได้ทั้งก่อนและหลังการรุ่กัวอฺ หรือจะกอดอกในทั้ง 2 กรณีก็ว่ากันไป การที่คุณ rusdee เห็นบางคนปล่อยมือและบางคนกอดอกซึ่งต่างกันก็เป็นผลมาจากการมองต่างมุมของนักวิชาการนั่นเอง โปรดอย่านำเรื่องนี้มาทะเลาะกันเพราะมือของใคร ใครคนนั้นก็รับผิดชอบ!  จะกอดอกหรือจะปล่อยก็ละหมาดร่วมกันได้บ่มีปัญหาแต่อย่างใด  สำคัญอย่ากอดคอตีเข่ากันเองก็แล้วกัน เดี๋ยวจะฟาล์วทั้งคู่! 

والله أعلم بالصواب

คัดลอกมาบอกกัน จากเวป ครูอาลี  เสื่อสมิง 






3
إنا لله وإنا إليه راجعون
“แท้จริงพวกเราเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ  และแท้จริงพวกเราต้องกลับคืนสู่พระองค์

4
อ้างถึง
ขอให้คิดแบบนี้นะครับ เอาเป็นว่าที่อาจารย์พูดกันอยู่ เรามองว่าเป็นตำราฝ่ายวะฮาบีย์ก็ได้
แต่เนื้อเรื่องที่พูดถึง ท่านดูก็ได้ในบ้านเราก็มี มองเห็น เช่นโต๊ะตะเกี่ย
          คนที่ต่อต้านและเรียกร้อง ก็คือคนกลุ่มวะฮาบีย์ที่เราพูดกันอยู่
จริงๆ ผมอยากให้กลุ่มอะชาอิเราะห์ออกมาพูดเรื่องนี้ เพื่อขจัดความเป็นชิริกให้หมดไป

ผมว่าบังมีอคติกับกลุ่มนี้หรือปล่าว เพราะหลายๆคนที่บังว่าฮุกมว่าทำชีรีิกนั้นอาจจะไม่ใช่ที่บังเข้าใจก็ได้อย่าได้เหมา

คนที่บังกล่าวหา ว่า เขาทำชีริกนั้นมีอยู่เกลื่อนกลาดทุกกลุ่ม มีทั้งคนดีและคนไม่ดี  การที่บังอ้างว่า กลุ่มอาชาอีเราะอย่างเดียวนั้น

ผมไม่เห็นด้วย เพราะมันเผยให้เห็นถึงธาตุแท้ที่ไม่สามารถแก้ได้ว่า กลุ่มวะฮาบีที่ผมตักลีดตามและเคยหลงไหลมาก่อนนั้น ชอบที่จะฮุกมผู้อื่น

แบบไร้มารยาทต่อคนที่มีกะลีมะเดียวกันอยู่เสมอไปจริงๆ..ขอมะอัฟครับถ้าแรงไป

วัสลาม

5
อ้างถึง
ขอเวลาสักพักนะครับ ช่วงนี้งานค่อนข้างยุ่ง ไว้จะกลับมาตอบครับ

  ;Dแนะยังไม่สำนึกอีก  ไปเถิดครับ ไปสู่ที่ชอบๆเถอะครับ คนในเวปนี้ไม่ต้องการ พวกกรุอานียีน(กอดยานี)อย่างท่านหรอกคับ แล้วไม่ต้องกลับมาให้เห็นหน้าอีกนะ..จำใส่กระโหลกไว้ด้วย...

จนกว่าท่านจะได้ทำการเตาบัตตัวและเข้ารับกลาเมาะ 2 ชาฮาดะใหม่แล้วให้พี่น้องเวปนี้รับทราบก่อนแล้ว  ค่อยว่ากันอีกที...เข้าใจ๊.... ;D

http://www.sunnahstudents.com/forum/index.php/topic,5716.msg75715.html#msg75715

มาชาอัลลอฮ์  เป็นคนๆเดียวกันจริงด้วย

วัสลาม

6
อ้างถึง
ขอเวลาสักพักนะครับ ช่วงนี้งานค่อนข้างยุ่ง ไว้จะกลับมาตอบครับ

  ;Dแนะยังไม่สำนึกอีก  ไปเถิดครับ ไปสู่ที่ชอบๆเถอะครับ คนในเวปนี้ไม่ต้องการ พวกกรุอานียีน(กอดยานี)อย่างท่านหรอกคับ แล้วไม่ต้องกลับมาให้เห็นหน้าอีกนะ..จำใส่กระโหลกไว้ด้วย...

จนกว่าท่านจะได้ทำการเตาบัตตัวและเข้ารับกลาเมาะ 2 ชาฮาดะใหม่แล้วให้พี่น้องเวปนี้รับทราบก่อนแล้ว  ค่อยว่ากันอีกที...เข้าใจ๊.... ;D

http://www.sunnahstudents.com/forum/index.php/topic,5716.msg75715.html#msg75715

มาชาอัลลอฮ์  เป็นคนๆเดียวกันจริงด้วย

วัสลาม

7
ครับบังผมจะเห็นด้วยคับ
ตอนแรกๆผมเองก็เอียงไปด้านวะฮาบีมากคับเพราะไม่มีพื้นฐานสายเก่า แต่มันแปลกๆที่สายวะฮะบีชอบฮุกมแนวทางอื่นว่าไม่ถูกต้อง

เลยคิดว่ามันไม่ยุติธรรมกับพี่น้องของเราบางแนวทาง


วัสลาม

8
 :salam:

ขออนุญาติฝากเนื้อฝากตัวกับพี่น้องในเวปแห่งนี้ด้วยคับ

คิดว่า ผมคงเป็นคนล่าสุดที่เข้ามาฝากตัวในเวปนี้

9
ผมเองเพิ่งเรียนจบมาจากที่นั้นครับ


ยอมรับว่า เด็กเกรียนอย่างว่า มีมากคับ...ที่ไปเรียนตอนแรก  ...ไม่ได้คิดว่า  ตำราต่างๆเป็นแนวการสอนของวะฮาบีคับ

10
ได้ฟังและได้ดูแล้วคับ 

....บรรดา อจ.เหล่านี้อ้างจากข้อมูลมาจากตำราของวะฮาบีมาบอกกล่าวพี่น้องที่ไม่รู้ทีมาที่ไปและความจริงวะฮาบีและมองเพียงด้านเดียว

ผมไม่เห็นด้วยที่อจ.เหล่านั้นกล่าวหาผู้ไที่ไม่ชอบแนวทางนี้ว่า เป็นผู้อิจฉาใส่ร้ายท่านชัคย์และว่าเป็นคน โง่เขลา

.สรุปครับ

....อย่าเป็นเลยครับวาฮาบี  เพราะเท่าที่ศึกษาไม่มีคำสั่งจากกีตาบุลลอฮ์และซุนนะและสลัฟท่านใดรับรองแนวทางนี้เลยคับ

....แต่ความรู้ของชนยุ  ค300ปี ที่มีอีม่ามทั้ง4 ท่านนบี(ซล)มีบอกในอัซซุนนะคับ

11
ครับบังMufftee ผมจะคำนี้ไว้ ที่ผ่านมาอัสเตาฟีรึ้ลลอฮ์ฯ เพราะตอนนั้นผมยังริยะและหลงไปนานพอสมควร

จงจำเอาไว้นะครับว่า .. เราจะไม่มีทางเข้าใจอัล- กุรอานและอัล-หะดีษของท่านรสูล(ซ.ล.) ได้อย่างชัดแจ้ง ถ้าไม่มีการอธิบายเพิ่มเติมจากปวงปราชญ์  และเราจะไม่มีทางเอาหุก่มออกมาจากอัล-กุรอานและจากอัล-หะดีษได้เลย หากปวงปราชญ์ไม่ทำการวินิจฉัยออกมาให้ หากแต่ละคนคิดวิเคราะห์หุก่มกันเอาเองหมดทุกคน ป่านนี้ศาสนาของอัลลอฮฺก็คงยุ่งเหยิงวุ่นวายไปหมด .. ดังนั้น การที่ปวงปราชญ์พยามยามวินิจฉัยหุก่มต่างๆ ออกมาให้เรานั้น นั่นแหละ เค้าเรียกว่า "มัซฮับ(แนวทางการวินิจฉัย)" ดังนั้น ผู้ใดก็ตามที่ยึดตามมัซฮับของปวงปราชญ์ที่โลกอิสลามให้การรองรับ อาทิเช่น ยึดตามมัซฮับทั้งสี่ เป็นต้น

 yippy:บังmuffteeเรียนอยุ่แถวไนอะคับ  ...ผมจะได้ขอความรู้บ้าง...

12
อ้างถึง
พอมายุคสลัฟตาบีอีนและตาบีอิตฯก็พบว่า หนังสือตำราที่เขียนกันมาที่เราใช้อ้างอิงบางเล่าเขาเหล่านั้นก็มีมัสหับ

เช่น อีม่ามบุคอรี อีม่ามมุสลิม อีม่ามนาวาวีฯลฯ  ก็เลยแปลกใจว่าเราจะตามใครดี กลุมที่เราตามกีตาบุลล๊อฮ์และหะดิสบอกว่า มัสหับสมัยท่านบีไม่เคยปรากฎ  ถ้ามีมัสหับก็แสดงว่าเรากำลังทำบิดอะ เพราะบิดอะคือทุกๆสิ่งที่เกิดใหม่และไม่มีในสมัยท่านนบี..
แต่ในเวป...สติวเด้นนี้กลับบอกว่า แม้กระทั่ง ศอฮาบะยังมีเลย 

ที่บอกว่านบีรับรอง4มัสหับนั้นฟังแล้วก็ตลก  แต่พอมาดูคนรู้บางคนที่อ้างจากตำราอุลามะบอกว่า หมายถึง ยุคผู้คนที่มีความรู้ทึีประเสริฐ ที่นบียอมรับความรู้คนเหล่านั้นคือ ยุคแรกคือ ยุคศอฮาบะ(1 ถึง100ปี)ยุคที่สองหรือยุคต่อมาคือ ยุคคนตาบีอีน(101ถึง 200 ปี)และยุคถัดมาหรือยุคที่สามคือคนในยุคตาบีอิตฯ(201ถึง300ปี)

และก็มีอีม่ามทั้ง4 นี้ที่เป็นเจ้าของมัสหับ แต่ละคนก็เป็นอาจารย์และศิษย์ตามกันมา...ก็เลยแปลกใจมากว่า

   สิ่งเหล่านี้เราไม่เคยรับรู้เลยว่า ในเวปที่เราตั้งฉายาว่า  เวปบอดอะนั้น มีอะไรแปลกๆมากมายที่ไม่เคยรู้


 แต่ตอนนี้บอกตรงว่า เรางงมากๆแต่จะแอบอ่านสิ่งที่ข้องใจเงียบๆอย่างตรวจสอบเพราะเราเป็นคนที่ไม่เชื่ออะไรง่ายๆอยู่แล้ว hiๆๆๆ  ขอจากอัลล๊อฮ์ว่าช่วยชี้ทางนำอย่าให้เราหลงทางเลีย อามีนยารอบ

อ้างถึง
คุณไม่ละอายใจบ้างหรือหนังสือฮะดิสที่คุณคิดว่ามันเพียงพอแล้วสำหรับคุณนั้น  ไม่ว่า ซอเหียะ บุคอรี มุสลิม  สุนันอบูดาวุด อัตตัซมีซีย์ อิบนุมาญะ อบูดาวูด       เขาเหล่าต่างมีหรือยึดตามมัซหับทั้งนั้น

 :salam:
ครับจากข้อความของผมบวกกับคำพูดคมๆของบัง ทำให้ผมต้องกลับไปทบทวนหลายคืนทีเดียว

ผมคิดไปคิดมาพลางขอดุอาเพราะใจเริ่มสับสนกระวนกระวาย และคิดไปว่าก็เราเป็นแค่คนตักลีดและตามเขามาอีกทีตอนแรกๆอยู่คณะใหม่ก็ตักลีดของกลุ่มที่ตามกีตาบุลล๊อฮ์และซุนนะ(คณะใหม่)    ตัวเองก็ไม่ได้รู้อะไรมากเพราะเข้าศึกษาแต่เวปชาวซุนนะและตามการชักชวนของเพื่อนๆของพวกเราด้านเดียวและก็ดูแต่ทีวีของชาวซุนนะด้านเดียว

แต่วันดีคืนดีเข้าเวปนี้ เลยสงสัยเหมือนกันว่า เวปนี้ก็ตามกีตาบุลล๊อฮ์และซุนนะแต่ตามความเข้าใจของชาวสลัฟยุคก่อน300ปี คือท่านอีม่ามทั้ง4 นั้นเองเลยแปลกใจสนใจและเข้ามาแอบอ่าน เลยได้ความรู้ที่ไม่เคยรู้มากครับ

 mycry mycryวันนี้ เลยคิดว่าจะสรุปตัวเองซะทีว่าจะอยู่ทางไหนกันแน่   และข้อความที่ผมนำมาอ้างข้างบนนั้นมันทำให้ผมสะกิดใจมาก  เพราะคนที่เราฉายาว่าชาวซุนนะ(หรือสลาฟี)ตามและยอมรับในความรู้ของเขาส่วนมากไม่ว่าตำราหรือคำพูดที่ในการโต้แย้งนั้น เขาก็มีมัสหับเป็นกาส่วนตัวกันทุกคน    แล้วเราเป็นใคร....


   ....ผมคิดว่า การมีมัสหับหรือยึดตามมัสหับน่าจะปลอดภัยกว่า  เพราะ อย่างน้อยชนรุ่นก่อนเขาก็มีมัสหับกันทั้งนั้น....วัสลาม


13

อ้างถึง
ท่านรอซูลกล่าวว่า ผู้ที่เลียนแบบชนกลุ่มหนึ่ง เขาผู้นั้นคือสมาชิกของชนกลุ่มนั้น  (อะหมัดและอบูดาวุด)

การเลียนแบบในหะดิษข้างตน หมายถึงการเลียนแบบในทุกๆเรื่องใช่หรือไม่อย่างไร

ขอเชิญพี่น้องร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันครับ

 ๑ บางคนกล่าวว่า อย่าได้จัดงานเมาลิดเลย เพราะเลียนแบบการจักงานวันเกิดให้พระเยซูของคริสต์ เปนการ

เลียนแบบต่างศาสนิก ดังกล่าวนี้ถือเป็นการเลียนแบบเช่นกันครับ

๒) อย่าทำบุญ ๗ วัน ๔๐  วันเลย เลียนแบบจปนกิจศพของพุทธบริษัท

 oh:หะดิสนี้ศอหิย์ไหมละ

แต่บางครั้งเรารู้ว่ามันเป็นหะดิสที่ดีก็จริงแต่มันก็เข้าใจยากมากสำหรับเราคนไม่ถึงระดับนักวินิจฉัย

เพราะคำว่าการเลียนแบบนั้นหมายถึงว่า ทำให้เหมือนกับสิ่งนั้นทุกขั้นทุกตอน  หรือนิยามของมันแค่บางช่วงหรือคล้ายประมาณนี้  งงนะเจออย่างนี้

เท่าที่รู้นั้นเมาลิด คือการำลึกแสดงความยินดี(วันเกิด)ท่านนบี(ซล)แต่วันคริ้สมาสนั้นคือ การรำลึกถึง วันที่เยซัสตายช่ายป้าว...อันนี้ไม่รู้

เท่าที่รู้เวปนี้มีแต่สนับสนุนให้ทำบุญ 7วัน แต่ 40และ100วัน ยังไม่ทราบเลย  มีหรือปล่าวเดียวลองค้นดูให้นะ


14
 :salam:
ชอบกระทู้นี้มาก เพราะ ที่ผ่านมา เราก็เที่ยวถามหาสิ่งถูกต้องประมาณของ คุณroy4kinds นีแหละเพราะเป็นคนอยากรู้  และไม่ค่อยได้ศึกษาความรู้ด้านศาสนาสักเท่าไหรก็วนเวียนถกถามปัญหาอยู่กับเพื่อนๆที่ที่อยู่ในกลุ่มสะลาฟีย์  ชอบมากชื่อนี้ เหมือนกับเราเดินตามหลักการเขาเลยประมาณนั้นและมั่นใจในตัวเองสูงว่าเราคือมุสลิมที่ตามกีตาบุลล๊อฮ์ตัวจริงของแท้ไม่ใช่ของปลอมเหมือนพวกบางกลุ่มที่ชอบแอบอ้างตนอย่างนู้นอย่างนี้
แอบศึกษาเข้าอ่านเวปนี้เงียบ ในกลุ่มของเราฉายา เวปนี้ว่า เวปบิดอะ(บดอ)นักศึกษาไคโร

เข้าไปอ่านครั้งแรก ยอมรับเลยว่า ไม่รู้เรื่องในสิ่งที่โตะครูคนนี้นำเสนอเลย  เพราะ

1.ใจเรามีอคติต่อเวปนี้มากและไม่คิดที่จะเปิดใจเลยและไม่อยากให้ไปไม่ถึงสิ่งเหล่านั้นด้วย

2.ยิ่งอ่านยิ่งงง เพราะที่เรารู้มาในครูของเราและเพื่อนๆเรายึดมั่นว่าในศาสนานี้ที่มากำหนดว่า ให้กระทำและห้ามได้นั้ต้องมาจาก2สิ่งนี้เท่านั้นคือ  อัลกรุอ่าน และอัลหะดิสและจะไมา่ยึดอุลามะคนใดที่ขัดกับสิ่งที่เราตามใน2สิ่งนี้

3.ที่งงมากเพราะได้ค้นพบในสิ่งที่ไม่รู้มาก่อนมากมาย เช่น  การอ่านกรุอ่านฮีีดียะผลบุญให่มัยยัติ  การเฝ้ากุบอร์ การตัลกีน  การซอลาวัตหลังนมาช   การดีใจในวันประสูตท่านนบี(เมาลิด)ฯลฯ

 mycryยิ่งเรื่องมัสหับเราไม่ยอมรับเพราะท่านไม่เคยใช้ ให้ยึดมัสหับ แต่ในเวปมนี้เขายึดมัสหับ และในบางกระทู้ ก็มีหลักฐานว่า ในยุคของบรรดาศอฮาบะเขาก็มีมัสหับยึดตามกันเพราะกันความผิดพลาดในการวินิจฉัยเองและความรู้ในแต่ละคนไม่เหมือนกัน เลยต้องยึดแนวทางแต่ละคน
 

พอมายุคสลัฟตาบีอีนและตาบีอิตฯก็พบว่า หนังสือตำราที่เขียนกันมาที่เราใช้อ้างอิงบางเล่าเขาเหล่านั้นก็มีมัสหับ

เช่น อีม่ามบุคอรี อีม่ามมุสลิม อีม่ามนาวาวีฯลฯ  ก็เลยแปลกใจว่าเราจะตามใครดี กลุมที่เราตามกีตาบุลล๊อฮ์และหะดิสบอกว่า มัสหับสมัยท่านบีไม่เคยปรากฎ  ถ้ามีมัสหับก็แสดงว่าเรากำลังทำบิดอะ เพราะบิดอะคือทุกๆสิ่งที่เกิดใหม่และไม่มีในสมัยท่านนบี..
แต่ในเวป...สติวเด้นนี้กลับบอกว่า แม้กระทั่ง ศอฮาบะยังมีเลย 

ที่บอกว่านบีรับรอง4มัสหับนั้นฟังแล้วก็ตลก  แต่พอมาดูคนรู้บางคนที่อ้างจากตำราอุลามะบอกว่า หมายถึง ยุคผู้คนที่มีความรู้ทึีประเสริฐ ที่นบียอมรับความรู้คนเหล่านั้นคือ ยุคแรกคือ ยุคศอฮาบะ(1 ถึง100ปี)ยุคที่สองหรือยุคต่อมาคือ ยุคคนตาบีอีน(101ถึง 200 ปี)และยุคถัดมาหรือยุคที่สามคือคนในยุคตาบีอิตฯ(201ถึง300ปี)

และก็มีอีม่ามทั้ง4 นี้ที่เป็นเจ้าของมัสหับ แต่ละคนก็เป็นอาจารย์และศิษย์ตามกันมา...ก็เลยแปลกใจมากว่า

   สิ่งเหล่านี้เราไม่เคยรับรู้เลยว่า ในเวปที่เราตั้งฉายาว่า  เวปบอดอะนั้น มีอะไรแปลกๆมากมายที่ไม่เคยรู้


 yippy:แต่ตอนนี้บอกตรงว่า เรางงมากๆแต่จะแอบอ่านสิ่งที่ข้องใจเงียบๆอย่างตรวจสอบเพราะเราเป็นคนที่ไม่เชื่ออะไรง่ายๆอยู่แล้ว hiๆๆๆ  ขอจากอัลล๊อฮ์ว่าช่วยชี้ทางนำอย่าให้เราหลงทางเลีย อามีนยารอบ



หน้า: [1]