แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - Mustafa

หน้า: [1] 2 3 4
1
อัสลามุอะลัยกุมครับ

ผมขอยกเนื้อหาจากหนังสือเล่มนี้มากล่าวนะครับ

การอ่านอัลกุรอานและดุอาลงบนน้ำนั้น ก็ถือเป็นอีกแนวทางหนึ่งจากการรักษาโดยผ่านพลังแห่งวิญญาณ และถือเป็นแนวทางที่สำคัญในการรักษาผู้ป่วยที่ถูกญินหรือไสยศาสตร์  โดยมี “น้ำ” เป็นสื่อกลางในการรักษา เพื่อเป็นความง่ายดายที่จะทำให้การเยียวยาด้วยอัลกุรอานไหลผ่านลงสู่ร่างกายโดยทั่วได้อย่างรวดเร็ว
ได้มีรายงานมาว่า “แท้จริงท่านศาสดามูฮัมหมัด (ศ็อลฯ) ได้เข้าไปหาท่านซาบิต บุตร กีซ ในขณะที่เขาป่วย แล้วท่านศาสดาก็ได้กล่าวขึ้นว่า
اِكْشِفْ الْبَأْسَ رَبَّ النَّاسِ عَنْ ثَابِثٍ بْنِ قِيْسٍ بْنِ شَمَّاسٍ
(โอ้พระผู้เป็นเจ้าแห่งมวลมนุษย์ ขอพระองค์ทรงให้ภัยพิบัติพ้นไปจาก ซาบิต บุตร กีซ บุตร ซัมมาส ด้วยเถิด)
หลังจากนั้น ท่านศาสดาก็ได้ไปเอาดินจากแหล่งน้ำบัฏฮาน แล้วได้นำมาใส่ไว้ในแก้ว หลังจากนั้นก็ได้พ่นน้ำลงไปบนนั้น และได้นำมาเทลงบนตัวเขา” (บันทึกโดย อบูดาวูด)

การทำน้ำดุอานั้น เป็นการแสดงถึงความศรัทธาต่ออัลลอฮ์อย่างยิ่ง โดยไม่ต่างอะไรกับการผลิตเวชภัณฑ์ ยา หรือเครื่องอุปโภคบริโภคอื่นๆ ที่ต้องใช้ความเชื่อมั่นในตัววัตถุดิบว่าจะสามารถนำมารักษาโรคและเสริมพละกำลังได้ และแน่นอนการยึดมั่นและเชื่อว่า สมุนไพร ตัวยา หรือวัตถุดิบหนึ่งจะทำให้หายจากโรคภัยต่างๆ ได้นั้น ถือเป็นภัยร้ายอย่างหนึ่งต่อหลักความเชื่อมั่นศรัทธาต่ออัลลอฮ์เป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากบุคคลที่คิดเช่นนั้น ได้ตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์ภายในจิตใจ (ชิริกคอฟีย์) ของเขาไปเสียแล้ว ตรงกันข้าม การทำน้ำดุอานั้น ถือเป็นการตั้งมั่นและศรัทธาอย่างแน่วแน่ต่ออัลลอฮ์ว่า พระองค์จะทรงให้เขาได้หายจากโรคภัยและพ้นจากภัยบาลาต่างๆ ด้วยการอ่านพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ซิเกร ซอลาวาตน่าบี พร้อมกับขอดุอา โดยผ่านสื่อหนึ่ง นั่นก็คือ “น้ำ”

ฉะนั้นการใช้สื่อต่างๆ ในการรักษา ก็ไม่แตกต่างอะไรกับการใช้น้ำ หากผู้รักษามีความเชื่อมั่นในการรักษาว่า “ไม่มีการรักษาได้ที่จะให้หายไปได้ นอกจากการรักษาจากอัลลอฮ์ผู้ทรงเป็นเจ้าชีวิตของทุกชีวิต” และแน่นอนผู้ใดที่ไม่เชื่อมั่นว่าอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงรักษาได้ ผู้นั้นได้ตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์แล้ว

(เนื้อหาจากหนังสือ ไสยศาสตร์กับการรักษาด้วยอัลกุรอาน หน้า 106)



2
อัสลามุอะลัยกุมว่าเราะห์มะตุ้ลลอฮิว่าบ่าร่อกาตุฮฺ

جزاكم الله خيرا

ขออัลลอฮ์ทรงตอบแทนด้วยความดี ที่พี่น้องทั้งหลายติดตามผลงานของผมนะครับ โดยเฉพาะผู้เป็นธุระให้การโฆษณาให้ด้วย

อินชาอัลลอฮ์ ผมจะพยายามเขียนหนังสือออกมาเรื่อยๆ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องมุสลิม และปกป้องพี่น้องให้อยู่ในอากิดะห์อิสลามที่ถูกต้องครับ

หากผู้ใดสนใจก็สามารถติดต่อได้ทางเฟตบุกของกระผมได้เลยครับ

https://www.facebook.com/mustafa.tolong

3
อัสลามุอะลัยกุมว่าเราะห์มะตุ้ลลอฮิว่าบ่าร่อกาตุฮฺ

جزاكم الله خيرا

ขออัลลอฮ์ทรงตอบแทนด้วยความดี ที่พี่น้องทั้งหลายติดตามผลงานของผมนะครับ โดยเฉพาะผู้เป็นธุระให้การโฆษณาให้ด้วย

หากผู้ใดสนใจก็สามารถติดต่อได้ทางเฟตบุกของกระผมได้เลยครับ

https://www.facebook.com/mustafa.tolong

4
 :salam: วันนี้เป็นวันที่โรงพิมพ์นำเอาหนังสือแปล "มะตัน ฆอยะห์ วัตตุ้ตกักรีบ" (มูลฐานนิติศาสตร์อิสลามเบื้องต้น) มาส่งที่ร้าน ม.ศิริพานิชครับ อีกไม่นานคงจะกระจายไปทั่วภูมิภาคครับ อินชาอัลลอฮ์ครับ

สำหรับหนังสือ "ปรัชญาแห่งบทบัญญัติอิสลาม" และ "สัมผัสวิญญาณชีวิตหลังความตาย" คาดว่าจะออกจากโรงพิมพ์วันที่ 18 กรกฎาคมนี้ครับ อินชาอัลลอฮ์

6
 :salam:

สำหรับหนังสือแปล "มะตัน อัลฆอยะห์ วัตตักรีบ" นั้น ร้านหนังสือ (ซึ่งเจ้าของร้านรู้จักกันดี) เขาขอให้บังแปลให้เขานะครับ โดยจะมีคำอธิบายแทรกเข้าไปด้วย เพราะถ้าแปลเอาแต่ต้นฉบับ จะสั่นจนอาจไม่เข้าใจ หรือตีความผิดกันไปได้ครับ (โดยจะแยกเอาไว้อย่างชัดเจนระหว่างคำแปลต้นฉบับกับคำอธิบายครับ)

อัลฮัมดุลลิ้ลลาครับ สำหรับหนังสือ "ปรัชญาแห่งบทบัญญัติอิสลาม" เล่มนี้ จะเป็นเนื้อหาที่มุ่งเน้นเรื่องวิทยปัญญา (ฮิกมะห์) ของอิบาดะห์ต่างๆ ครับ ซึ่งบังเคยตีพิมพ์มาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ไม่ได้ออกจำหน่ายครับ จนมีคนที่นำไปอ่านเรียกร้องให้พิมพ์ออกมาใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มพี่น้องมุอัลลัฟ เขาต้องการที่จะนำไปอ่านและเผยแผ่ แต่ไม่สามารถหาซื้ออ่านได้ จึงนำเอาไปถ่ายเอกสารแจกกัน ด้วยเหตุนี้ ผมจึงต้องนำมาพิมพ์ใหม่อีกครั้ง โดยหนังสือเล่มนี้ มีความหนา 252 หน้า

วัสลามครับ

7
อัสลามุอะลัยกุมว่าเราะห์มาตุ้ลลอฮ์ ครับ

อัลฮัมดุลลิ้ลลา  ที่หนังสือ "อิสลาม...ทำไม?" เป็นประโยชน์ต่อมวลมุสลิมครับ และเป็นส่วนหนึ่งของการเชิดชูอิสลามให้ผู้คนได้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของอิสลาม

อินชาอัลลอฮ์ คาดว่า หนังสือ "สัมผัสวิญญาณ ชีวิตหลังความตาย" หนังสือ "ปรัชญาแห่งบทบัญญัติอิสลาม" และหนังสือ "มูลฐานนิติศาสตร์อิสลามเบื้องต้น" โดยทั้ง 3 เล่มนี้ จะออกว่างจำหน่ายปลายเดือนหน้า เพราะตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการพิมพ์ของโรงพิมพ์ครับ









โดยหนังสือ 2 เล่มแรกเป็นหนังสือที่ร่วมรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ มา ส่วนเล่มที่ 3 เป็นหนังสือแปลครับ โดยแปลมาจาก متن الغاية والتقريب ซึ่งเป็นตัวมะตันของหนังสือฟิกฮ์มัซฮับชาฟีอี ครับ

8
อัสลามุอะลัยกุมครับ...

หนังสือ "อิสลามทำไม?" หาซื้อได้ที่ร้าน ม.ศิริพาณิชย์ ปรีดีพนมยงค์ 4 เขตวัฒนา (ซอยโรงเรียนบำรุงศาสน์ บางมะเขือ)

ร้าน มานพ วงศ์เสงี่ยม ร้านศูนย์หนังสืออิสลาม (ศูนย์กลางอิสลาม)

หรือติดต่อได้ที่ mustafa_tolong@hotmail.com

ส่วนเนื้อหานั้น ตามนี้เลยครับ

บทที่ 1 ศาสนาอิสลาม
- อัล-อิสลามคืออะไร?
- อิสลามถือเป็นศาสนาที่สอดคล้องกับธรรมชาติของมนุษย์จริงหรือ?
- ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาแรกของโลกและบรรดาศาสนทูตในยุคก่อนคือมุสลิมกระนั้นหรือ?
- ยิว คริสต์ และอิสลามศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวกันใช่หรือไม่?
- จำนวนของมุสลิมมีมากที่สุดในโลก เหตุใดมุสลิมถึงได้ถูกรุมกินโต๊ะและถูกรังแก?
- ทุกศาสนาสอนให้เป็นคนดี แต่ทำไมต้องอิสลาม?
- อิสลามเผยแผ่ด้วยคมดาบจริงหรือ?
- อิสลามสอนให้เป็นพวกหัวรุนแรงจริงหรือ?
- มุสลิมเป็นกลุ่มชนที่ล้าหลังจริงหรือ?
- เหตุใดมุสลิมจึงเลือกใช้ปฏิทินจันทรคติ?
- เหตุใดอิสลามจึงเลือกวันศุกร์เป็นวันรวมตัวเพื่อทำศาสนกิจร่วมกัน?

บทที่ 2 ความเชื่อและการศรัทธา
- เหตุใดจึงต้องมีพระเจ้าเพียงองค์เดียวคืออัลลอฮ์?
- “อัลกุรอาน” คัมภีร์แห่งพระเจ้า?
- กอฎออ์ กอดัร กฎสภาวการณ์แห่งอัลลอฮ์คืออะไร?
- มนุษย์มาจากลิงจริงหรือ?
- อาดัมถูกสร้างมาจากดินจริงหรือ?
- มะลาอิกะห์ ญิน และชัยฏอน คืออะไร?
- วันสิ้นโลกและการฟื้นคืนชีพมีจริงหรือ?
- ทำไมการปฏิบัติศาสนกิจถึงเกี่ยวพันกับกะบะห์?
- ทำไมอิสลามถึงให้ความสำคัญกับหินดำ?

บทที่ 3 ศาสดามูฮัมหมัด
- ศาสดามูฮัมหมัด นายแห่งสิ่งถูกสร้างทั้งมวลจริงหรือ?
- พระคัมภีร์ต่างๆ ได้บอกการมาของศาสดามูฮัมหมัดไว้จริงหรือ?
- เหตุใดมูฮัมหมัดจึงสมรสกับสตรีมากกว่า 4 คน?
- เหตุใดศาสดามูฮัมหมัดสมรสกับพระนางอาอีชะห์ในขณะที่นางอายุ 9 ขวบ?

บทที่ 4 ศาสนบัญญัติอิสลาม
- สุนัขกับการทำความสะอาดด้วยการใช้ดิน
- อาหารฮาล้าลคืออะไร?
- ทำไมอิสลามถึงห้ามบริโภคสุกร?
- ทำไมอิสลามห้ามบริโภคสัตว์ที่ตายโดยไม่ได้เชือด?
- ทำไมอิสลามถึงห้ามบริโภคเลือดและสัตว์ดุร้าย?
- ทำไมอิสลามถึงห้ามสุราและสิ่งมึนเมาต่าง ๆ?
- อิสลามมีความคิดเห็นอย่างไรกับบุหรี่?
- ทำไมอิสลามถึงห้ามเรื่องดอกเบี้ย?
- อิสลามห้ามในเรื่องไสยศาสตร์จริงหรือ?
- ทำไมอิสลามถึงห้ามผู้ชายใส่ทองคำและผ้าไหม?
- ทำไมอิสลามถึงบัญญัติให้ขริบอวัยวะเพศ?
- อิสลามห้ามการผิดประเวณีไว้อย่างไร?
- ทำไมอิสลามห้ามผู้หญิงใส่น้ำหอม?
- ทำไมอิสลามถึงห้ามแต่งงานกับคนต่างศาสนิก?
- ทำไมอิสลามถึงกำหนดให้นมแม่แก่ทารกถึง 2 ปีเต็ม?
-ทำไมอิสลามถึงห้ามเด็กที่ร่วมน้ำนมจากแม่นมเดียวกันแต่งงานกัน?
- ทำไมอิสลามห้ามทำตัวเบี่ยงเบนทางเพศ?
- บทลงโทษของอิสลามป่าเถื่อนจริงหรือ?

บทที่ 5 สิทธิสตรี
- ความแตกต่างและความเสมอภาคระหว่างชายกับหญิง
- อิสลามให้ตำแหน่งการเป็นผู้นำแก่ผู้ชาย
- เป็นความยุติธรรมแล้วหรือ ที่อิสลามอนุญาตให้มีภรรยาได้ถึง 4 คน?
- สิทธิ์ในการหย่าร้างระหว่างสามี ภรรยา และตุลาการ
- มรดกระหว่างหญิงและชาย
- สิทธิกับการแต่งกายของสตรีมุสลิม
- การเป็นพยานของสตรีในอิสลาม
- เลือดประจำเดือนกับข้อห้ามตามศาสนบัญญัติดูเพิ่มเติม

9
 salam

بسم الله الرحمن الرحيم

การวิจัยได้ยืนยันว่า การดื่มสุราเพียงเล็กน้อย ก็สามารถเป็นอันตรายต่อมนุษย์ได้


นี่คือสิ่งที่ท่านศาสดามูฮัมหมัดผู้ยิ่งใหญ่ได้ยืนยันมาแล้วจากพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานและวจนะของท่านมา ๑๔ ศตวรรษมาแล้ว จนกระทั้งนักวิทยาศาสตร์ในยุคที่ ๒๑ นี่ได้กล่าวทบทวนคำพูดนี้อีกครั้ง เพื่อที่เราจะได้รับรู้ถึงการวิจัยครั้งนี้

يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آَمَنُوا إِنَّمَا الْخَمْرُ وَالْمَيْسِرُ وَالْأَنْصَابُ وَالْأَزْلَامُ رِجْسٌ مِنْ عَمَلِ الشَّيْطَانِ فَاجْتَنِبُوهُ لَعَلَّكُمْ تُفْلِحُونَ * إِنَّمَا يُرِيدُ الشَّيْطَانُ أَنْ يُوقِعَ بَيْنَكُمُ الْعَدَاوَةَ وَالْبَغْضَاءَ فِي الْخَمْرِ وَالْمَيْسِرِ وَيَصُدَّكُمْ عَنْ ذِكْرِ اللَّهِ وَعَنِ الصَّلَاةِ فَهَلْ أَنْتُمْ مُنْتَهُونَ


“โอ้บรรดาผู้ศรัทธาแล้วทั้งหลาย แท้จริงสุรา การพนัน แท่นหินสำหรับเชือดสัตว์บูชายัญ และการเสี่ยงตั้วนั้น เป็นสิ่งโสมมอันเกิดจากการงานของชัยตอน ดังนั้นพวกเจ้าจงห่างไกลจากมันเสีย เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความสำเร็จ , แท้จริงชัยตอนนั้นเพียงต้องการที่จะให้เกิดการเป็นศัตรูกันและเกลียดชังกันระหว่างพวกเจ้าในสุราและการพนัน และมันจะหันพวกเจ้าออกจากการรำลึกถึงอัลลอฮ์และการละหมาด แล้ะวพวกเจ้าจะยุติไหม” (อัลมาอิดะห์  ๙๐-๙๑)

แน่แท้ศาสดามูฮัมหมัดผู้ทรงรักยิ่ง ณ อัลลอฮ์ (ศ็อลฯ) ได้วางกฎทองเกี่ยวกับสุราไว้ โดยท่านได้ห้ามจากการดื่มโดยสิ้นเชิง ท่านศาสดามูฮัมหมัด (ศ็อลฯ) ได้กล่าวว่า

ما أسكر كثيره فقليله حرام

 “สิ่งที่มากที่ทำให้มืนเมา แน่แท้ความน้อยของมันก็คือสิ่งต้องห้ามด้วย”

และแท้จริงอัลลอฮ์ได้ทรงสาปแช่งผู้ดื่มสุรา ถึงแม้ว่าจะในปริมาณที่น้อยก็ตาม นี่เป็นสิ่งที่โองการต่างๆและวจนะของท่านศาสดาได้ยืนยันมาก่อน ๑๔๐๐ กว่าปีมาแล้ว โดยผ่านลิ้นของท่านศาสดามูฮัมหมัด (ศ็อลฯ)

ทว่าแพทย์บางคนยังคงอ้างว่า สุราจำนวนเพียงเล็กน้อยสามารถเยียวยารักษาโรคได้ และบางคนได้อ้างว่า สุราเพียงเล็กน้อยสามรถทำให้หัวใจมีชีวิตชีวาขึ้น แล้วท่านจะกล่าวอย่างไร กับการวิจัยเรื่องสุราต่อไปนี้ ?

ในการวิจัยที่ดำเนินไปโดย Dr. Sarah Lewis จากแพนกแพทย์สังคม มหาวิทยาลัย Bristle โดยเธอได้คนพบความสัมพันธ์อย่างเหนียวแน่นระหว่างการบริโภคสุรากับความดันโลหิตสูง เธอกล่าวว่า แท้จริงการดื่มสุราส่งผลต่อความดันโลหิตอย่างมากเกินที่เราคาดไว้มาก แน่นอนการศึกษาของเธอได้ดำเนินไปบนการฝานเนื้อบางส่วนของคนที่ประสบจากการที่ร่างกายของพวกเขาหมดความสามารถที่จะขจัดร่องรอยของสุราหลังจากที่ได้บริโภคมันเข้าไป ทว่าเรื่องนี้ไม่ได้หมายถึงอันตรายจะเพิกเฉยต่อพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้นในทุกๆวัน นักวิทยาศาสตร์ยังคงวิจัยกันใหม่เกี่ยวกับอันตรายของสุรา

และแท้จริงนักวิจัยจำนวนมากได้ย้ำว่า ผู้ที่ดื่มสุรา ถึงแม้ว่าจะในปริมาณที่น้อยก็ตาม จะส่งผลด้านลบต่อสุขภาพของเขา และจะนำไปสู่ความดันโลหิตสูง และเป็นเหตุของการตายโดยฉับพลันต่อผู้ดื่ม หากไม่ละเลิกดื่มโดยเด็ดขาด

ดร.ซาราห์ ได้กล่าวว่า แท้จริงการศึกษานี้ได้เผยว่า การบริโภคสุรา บางทีจะเป็นการเพิ่มความดันโลหิตมากกว่าที่เราคาดคิดมาก่อน ถึงแม้ว่าจะดื่มในปริมาณที่น้อยนิดก็ตาม
 
และนักวิจัยยังได้ย้ำอีกว่า เมื่อผู้ที่บริโภคสุราเข้าไป แม้จะในปริมาณเล็กน้อยก็ตาม มันจะยังคงอยู่ในร่างกายโดยที่จะไม่สลายไป เว้นแต่หลังจากผ่านไปหลายสิบวันเสียก่อน นักวิจัยมิได้กำหนดว่า มีปริมาณเท่าไรกันที่สุราจะคงอยู่ในเซลล์ของมนุษย์หลังจากบริโภคไปแล้ว และการศึกษานี้ก็ไม่ได้ละเอียดนักเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ท่านศาสดามูฮัมหมัด (ศ็อลฯ) ได้บอกแก่เราว่า แน่แท้ผู้ที่ดื่มสุรา  อัลลอฮ์จะไม่ทรงรับการละหมาดของเขา ๔๐ วัน ซุบฮานั้นลอฮ์ ! เสมือนกับว่าท่านศาสดามูฮัมหมัดผู้มีเกียรติยิ่งต้องการให้ทุกเซลล์ของเซลล์ร่างกายเราสะอาดบริสุทธิ์ เพื่อที่เราจะได้ยืนต่อหน้าอัลลอฮ์ในละหมาด เพื่อพระองค์จะได้รับคำขอพรจากเรา

แท้จริงภัยร้ายที่ซ้อนอยู่ในสุราจะเผยขึ้นขณะนอนด้วย เพราะผลวิจัยทางการแพทย์ที่ดำเนินการวิจัยเกี่ยวกับการนอนได้เผยชัดว่า สมองจะส่งคลื่นที่ช้าขณะมนุษย์นอนหลับ และคลื่นเหล่านี้มีส่วนที่ส่งผลต่อการผลิตฮอร์โมนการเจริญเติบโตที่จำเป็นต่อมนุษย์ นักวิจัยยังได้พบสิ่งที่แปลกประหลาดอีกว่า ผู้ที่บริโภคสุราในปริมาณหนึ่ง ถึงแม้ว่ามันจะน้อยก็ตาม แท้จริงส่วนต่างๆของสุรานั้นถ่ายทอดโดยผ่านทางเลือดไปยังสมอง และจะคงอยู่เป็นระยะที่ยาวนาน และจะสร้างความปั่นป่วนต่อการทำงานของสมอง จนไม่สามารถส่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าขณะนอนหลับได้ อีกทั้งการผลิตฮอร์โมนการเจริญเติบโตยังหมดการทำงานอีกด้วย และไม่สามารถที่จะทำให้เกิดการนอนอย่างเป็นธรรมชาติได้

และเราขอกล่าวว่า ซุบฮานั้นลอฮ์ ! ท่านศาสดามูฮัมหมัดได้ห้ามการบริโภคสุราถึงแม้ว่าจะในปริมาณที่น้อยนิดก็ตาม จนกระทั้งวันนี้ นักวิจัยได้กลับมาทบทวนคำพูดนี้อีกครั้ง โดยกล่าวพร้อมกับทุกผลวิจัยว่า แม้จะในปริมาณที่น้อยนิดก็สามารถเป็นอันตรายต่อมนุษย์ ย่อมเป็นการดียิ่งที่จะละทิ้งมันอย่างเด็ดขาด

นี่แหละคือวิทยาศาสตร์ที่นักวิชาการทั่วโลกต่างให้การยอมรับ ที่เป็นสิ่งยืนยันความสัจจริงที่ศาสนาอิสลามอันบริสุทธิ์ได้นำมาสู่มนุษยชาติ  และแท้จริงท่านศาสดามูฮัมหมัด (ศ็อลฯ) ได้เป็นผู้ทรงดำรงอยู่บนความสัจจริง ดังที่อัลลอฮ์ได้ทรงตรัสว่า

(وَمَا يَنْطِقُ عَنِ الْهَوَى * إِنْ هُوَ إِلَّا وَحْيٌ يُوحَى)

“และเขา (ศาสดามูฮัมหมัด) มิได้พูดตามอารมณ์ , สิ่งที่เขาพูดนั้น มิใช่อื่นใดนอกจากเป็นวิวอนที่ถูกประทานลงมา” (อันนัจมิ์ ๓-๔)



นามปากกา...อับดุ๊ดดาอิม อัลกุฮัยล์

อ้างอิง
1- Link between alcohol and blood pressure greater than previously thought, EurekAlert, 4/3/2008.

10
อัสลามุอะลัยกุมว่าเราะห์มาตุ้ลลออิว่าบารอกาตุฮ์

بسم الله الرحمن الرحيم


การมองคู่หมั้น

หลักพื้นฐานในข้อตัดสินของบทบัญญัติคือ การห้ามมองเพศตรงข้ามที่สามารถแต่งงานกันได้ ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องลดสายตาจากสิ่งต้องห้ามต่างๆ ทั้งชายและหญิงเท่าๆกัน เพราะได้มีคำตรัสของอัลลอฮ์ (ตะอาลา) ว่า

 قُل لِّلْمُؤْمِنِيْنَ يَغُضُّوْا مِنْ أَبْصَارِهِمْ وَيَحْفَظُوْا فُرُوْجَهُمْ ذَلِكَ أَزْكَى لَهُمْ إِنَّ اللهَ خَبِيْرٌ بِمَا يَصْنَعُوْنَ  وَقُل لِّلْمُؤْمِنَاتِ يَغْضُضْنَ مِنْ أَبْصَارِهِنَّ وَيَحْفَظْنَ فُرُوْجَهُنَّ

“จงกล่าวเถิด (มูฮัมหมัด) แก่บรรดาบุรุษผู้ศรัทธาให้พวกเขาลดสายตาของพวกเขา  (จากาการมองสิ่งต้องห้าม) และให้พวกเขารักษาอวัยวะเพศของพวกเขาไว้ นั่นเป็นการบริสุทธิ์ยิ่งแก่พวกเขา แท้จริงอัลลอฮ์ทรงรอบรู้สิ่งที่พวกเขากระทำ, และจงกล่าวเถิด (มูฮัมหมัด) แก่บรรดาสตรีผู้ศรัทธา ให้พวกเขาลดสายตาของพวกนาง (จากการมองสิ่งต้องห้าม) และให้พวกนางรักษาอวัยวะเพศของพวกนางไว้...” (อันนูร : ๓๐-๓๑)

ส่วนการมองของผู้ที่ต้องการหมั้นทั้งชายและหญิง เป็นสิ่งอนุมัติ ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นสิ่งที่ส่งเสริมให้มองด้วย แต่มีข้อแม้ว่า การมองดังกล่าวนั้นมีเจตนาเพื่อต้องการหมั้น และมีบรรดาฮาดิษที่กล่าวไว้ในเรื่องนี้มากมาย เช่นฮาดิษที่อยู่ในซอแฮะห์มุสลิม ซึ่งรายงานจากท่านอบีฮูรอยเราะห์ว่า “ท่านศาสดามูฮัมหมัด (ศ็อลฯ) ได้กล่าวกับชายผู้หนึ่งที่ต้องการจะแต่งงานกับหญิงคนหนึ่งว่า “ท่านได้มองนางแล้วหรือ?” ชายผู้นั้นกล่าวว่า ยังไม่ได้มองครับ แล้วท่านศาสดาก็กล่าวว่า “ท่านจงไป แล้วจงมองนางเถอะ”

และท่านอิหม่ามอะห์หมัด ท่านอบูดาวูด และท่านฮาเก็ม ได้บันทึกคำรายงานของท่านญาบีร บุตร อัลดุลลอฮ์ ซึ่งเขาได้กล่าวว่า ท่านศาสดามูฮัมหมัด (ศ็อลฯ) ได้กล่าวว่า “เมื่อผู้ใดในหมู่พวกเจ้าต้องการที่จะหมั้นหญิง หากเขาสามารถที่จะมองสิ่งที่เขาเรียกร้องสิ่งนั้นเพื่อการแต่งงานจากตัวของนาง เขาก็จงกระทำ (มอง) เถิด”

ตามทรรศนะของนักปราชญ์ส่วนใหญ่ ผู้ชายสามารถมองหญิงที่เขาหมั้นได้เฉพาะใบหน้ากับสองฝ่ามือเท่านั้น เพราะใบหน้าเพียงพอที่จะบ่งชี้ถึงความงาม และมือทั้งสองก็เพียงพอที่จะบ่งชี้ถึงความสมบูรณ์ของร่างกาย ส่วนสิ่งที่นอกเหนือจากดังกล่าว ผู้ชายสามารถส่งมารดาหรือพี่สาวน้องสาวของเขาไปดูเพื่อสำรวจได้ เช่น กลิ่นปาก กลิ่นรักแร่และร่างกาย และความงามของเส้นผม เป็นต้น

ที่ดียิ่ง ผู้ชายควรมองหญิงที่เขาหมั้นก่อนการหมั้น ดังนั้นหากเขาไม่ปรารถนาในตัวนาง เขาก็สามารถปฏิเสธได้โดยไม่เกิดการขุ่นข้องหมองใจกันทั้งสองฝ่าย

การยินยอมของผู้หญิงหรือการที่ต้องให้ผู้หญิงรู้ว่าถูกมองเพื่อหมั้นนั้น ไม่ถูกนับว่าเป็นกฎเกณฑ์ใดๆ ทว่าอนุญาตให้ผู้ชายมองผู้หญิงที่ต้องการหมั้นได้โดยที่นางไม่รู้ตัวหรือกำลังเผลอได้ ซึ่งการมองแบบนี้เป็นการมองที่ดีที่สุด เพราะได้มีรายงานจากท่านอบี ฮูมัยด์ อัซซาอีดียะห์ว่า ท่านศาสดามูฮัมหมัด (ศ็อลฯ) ได้กล่าวไว้ว่า “เมื่อผู้ใดในหมู่พวกเจ้าต้องการหมั้นหญิง ดังนั้นไม่ถือเป็นบาปแต่อย่างใดในการที่เขาจะมองนาง หากปรากฏว่าเขามองนางเพื่อขอหมั้น ถึงแม้ว่านางจะไม่รู้ตัวก็ตาม” (บันทึกโดย อิหม่ามอะห์หมัด และท่านอัฏฏ็อบรอนีย์)

แท้จริงธรรมเนียมของมนุษย์นั้นจะดำเนินไปบนการที่ครอบครัวของคู่หมั้นทั้งสองจะมารวมตัวกัน โดยจะประกาศการหมั้นให้รับรู้ทั่ว หลังจากนั้นพวกเขาจะอ่านอัลฟาติฮะห์เพื่อเป็นสิริมงคล นี่แหละเป็นสิ่งที่ดี ทว่าการอ่านฟาติฮะห์มิได้ถูกพิจารณาว่าเป็นอาก็อตนิกะห์แต่อย่างใด

ส่วนสิ่งที่มนุษย์ส่วนใหญ่ไปกระทำกันจนกลายเป็นธรรมเนียมในการหมั้น จากการปล่อยให้คู่หมั้นอยู่กันเพียงตามลำพัง เดินทางไกลด้วยกัน คุยกันลำพังยามค่ำคืน และไปไหนมาไหนด้วยกัน นั้นมันคือส่วนหนึ่งจากพิษร้ายของธรรมเนียมตะวันตกที่ชั่วร้าย ซึ่งมันได้โจมตีเมืองมุสลิม และพวกเขายังได้อ้างว่า คู่หมั้นนั้นจะต้องศึกษาและเรียนรู้นิสัยใจคอของกันและกันด้วยกับแนวทางดังกล่าว เพื่อให้การใช้ชีวิตคู่หลังแต่งงานเป็นไปอย่างมีความสุข...สิ่งนี้เป็นความเข้าใจผิดที่ไม่มีพื้นฐานบนความถูกต้องและความเป็นจริง เพราะแต่ละคนจากสองฝ่ายนั้นจะแสร้งแสดงนิสัยที่ดีงามออกมาให้อีกฝ่ายหนึ่งได้เห็น และจะเผยสิ่งที่ขัดต่อความเป็นจริง ดังนั้นความเป็นจริงจะไม่ถูกเผยขึ้น จนกว่าหลังจากแต่งงานแล้ว โดยที่การเสแสร้งนั้นจะหายไป และจะเผยชัดถึงความเป็นตัวตนที่แท้จริงของทั้งสองฝ่ายขึ้นมาโดยอัตโนมัต ดังนั้นแต่ละฝ่ายจะได้รับความผิดหวังอย่างหนัก


โดย...เชค มูฮัมหมัด อะห์หมัด กันอาน

11
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته

بيسم الله الرحمن الرحيم

ข้อเท็จจริงของปิรามิดกับเรื่องราวในอัลกุรอาน


ได้เผยชัดแก่นักวิทยาศาสตร์แล้วว่า หินที่ถูกนำมาสร้างปิรามิดคือ “ดิน” โดยพวกเขาได้ถือว่า การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ครั้งนี้เป็นเรื่องเฉพาะพวกเขา แต่อัลกุรอานได้พูดถึงเรื่องนี้มาก่อนแล้วด้วยการอธิบายไว้อย่างชัดเจน
 
บรรดานักวิจัยชาวฝรั่งเศสและอเมริกันได้ยืนยันว่า หินอันใหญ่โตที่ฟาโรห์นำมาใช้ในการสร้างปิรามิดนั้นเป็นเพียงแค่ดินที่ถูกเผาด้วยความร้อนสูง นี่เป็นสิ่งที่อัลกุรอานได้กล่าวถึงอย่างละเอียดในคำตรัสของอัลลอฮ์ (ตะอาลา) โดยผ่านลิ้นของฟาโรห์ในขณะที่เขากล่าวว่า

وَقَالَ فِرْعَوْنُ يَا أَيُّهَا الْمَلأُ مَا عَلِمْتُ لَكُمْ مِنْ إِلَهٍ غَيْرِي فَأَوْقِدْ لِي يَا هَامَانُ عَلَى الطِّينِ فَاجْعَلْ لِي صَرْحًا لَعَلِّي أَطَّلِعُ إِلَى إِلَهِ مُوسَى وَإِنِّي لَأَظُنُّهُ مِنَ الْكَاذِبِينَ

“และฟาโรห์กล่าวว่า โอ้ปวงบริวารเอ๋ย ฉันไม่เคยรู้จักพระเจ้าอื่นใดของพวกท่านนอกจากตัวฉัน โอ้ฮามาน (ชื่อตำแหน่งจากตัวแทนฟาโรห์) เอ๋ย จงเผาดินให้ฉันด้วย แล้วสร้างโครงสร้างที่สูงระฟ้า เพื่อที่ฉันจะได้ขึ้นไปดูพระเจ้าของมูซา (โมเสส)  และแท้จริงฉันคิดว่า เขานั้นอยู่ในหมู่ผู้กล่าวเท็จ” (อัลกิศ็อศ : ๓๘)

นี่เป็นข้อเท็จจริงที่นักวิทยาศาสตร์อาวุโสในอเมริกาและฝรั่งเศสยืนยัน  และการยืนยันนี้ได้เกิดขึ้นโดยการใช้กล้องจุลทรรศน์เพื่อให้เห็นภาพส่วนประกอบของหินปิรามิด และการยืนยันทางวิทยาศาสตร์ก็ได้ผลลัพธ์ออกมาว่า การสร้างประภาคารที่สูงระฟ้านั้นทำมาจากดิน ซึ่งมันเป็นสิ่งที่สอดคล้องกับสิ่งที่อยู่ในคัมภีร์ของอัลลอฮ์ (ตะอาลา) และนี่คือความลับที่ฟาโรห์ได้ปกปิดมานาน ทว่าอัลลอฮ์ทรงรู้ถึงสิ่งที่ซ้อนเร้นนั้น พระองค์จึงได้ทรงบอกเล่าแก่พวกเรา เนื่องด้วยโองการของพระองค์เป็นที่ประจักษ์ถึงความสัจจริง.


นามปากกา...ดร. อับดุดดาอิม อัลกาฮีล


แหล่งอ้างอิง
Tom McNeese, The Pyramids of Giza, San Diego: Lucent Books, 1997
David Macauly, Pyramid, Boston: Houghton Mifflin Company, 1975
Joseph Davidovits and Margie Moris, The Pyramids An Enigma Solved, New York, Hippocrene Books, 1988.
Wm. R. Fix, Pyramid Odyssey, New York: Mayflower Books, 1978
Michael O'Neal, Pyramids, San Diego: Greenhaven Press, 1995
http://www.livescience.com/history/070518_bts_barsoum_pyramids.html


12
 salam
بسم الله الرحمن الرحيم
الحمد لله رب العالمين والصلاة والسلام على رسول الله صلى الله عليه وسلم وعلى آله وصحبه أجمعين

การนั่งหรืออยู่ในสถานที่ที่มีการกระทำผิด โดยที่ไม่มีการยับยั้งให้เลิกปฏิบัตินั้น เสมือนกับว่า เป็นการสนับสนุน หรือช่วยเหลือให้กระทำความผิด และแน่นอนการสนับสนุนให้กระทำความชั่วนั้น  เป็นสิ่งต้องห้ามตามบัญญัติอิสลาม เพราะอัลลอฮ์ได้ทรงตรัสไว้ว่า

((وَتَعَاوَنُوا عَلَى الْبِرِّ وَالتَّقْوَى وَلا تَعَاوَنُوا عَلَى الإثْمِ وَالْعُدْوَانِ وَاتَّقُوا اللَّهَ إِنَّ اللَّهَ شَدِيدُ الْعِقَابِ))

“และท่านทั้งหลายจงช่วยเหลือสนับสนุนในเรื่องของความดีและความยำเกรงต่ออัลลอฮ์ และอย่าได้ช่วยเหลือกันในเรื่องของความชั่วและการเป็นศัตรูของอัลลอฮ์ และท่านทั้งหลายจงยำเกรงต่ออัลลอฮ์เถิด แท้จริงอัลลอฮ์ทรงเป็นผู้รุนแรงต่อการลงโทษยิ่ง” (อัลมาอิดะห์ : ๒)

และท่านศาสดามูฮัมหมัด ศ็อลลัลลอฮู่อะลัยฮิว่าซัลลัม ได้ทรงกล่าวไว้ว่า

" من رأى منكم منكرا فليغيره بيده فإن لم يستطع فبلسانه فإن لم يستطع فبقلبه وذلك أضعف الإيمان" رواه مسلم

“บุคคลใดฉันจากกลุ่มพวกท่าน การกระทำผิด ดังนั้นเขาจงเปลี่ยนแปลงเขาด้วยกับมือ (กำลัง) ของเขา และหากไม่มีความสามารถ (ก็ให้เปลี่ยนแปลงเขา)ด้วยกับลิ้น (คำพูด) ของเขา และหากไม่มีความสามารถอีก (ก็จงให้เปลี่ยนปลงเขา) ด้วยกับหัวใจของเขา (คือออกห่างจากเขาไป พร้อมกับขอต่ออัลลอฮ์ให้เปิดหัวใจให้แก่เขา) โดยที่ดังกล่าวนี้เป็นแรงศรัทธาที่อ่อนสุด”
ท่านกุรตุบีย์ ได้กล่าวในตัฟซีรของเขาว่า
“อัลลอฮ์ทรงตรัสว่า

((فلا تقعدوا معهم حتى يخوضوا في حديث غيره إنكم إذا مثلهم))
“
ดังนั้นพวกเจ้าจงอย่าได้นั่งร่วมกับพวกเขา (เหล่าผู้ปฏิเสธศรัทธา) จนกว่าพวกเขาจะสนทนากันในเรื่องอื่นจากนั้น มิฉะนั้นพวกเจ้าก็จะเหมือนกับพวกนั้นด้วย”
   
จากโองการนี้ได้ชี้ชัดว่า จำเป็นต้องออกห่างจากบรรดาผู้ประพฤติชั่วในขณะที่พวกเขากระทำความชั่วกันอยู่ เพราะที่จริงผู้ที่ไม่ออกห่างจากพวกเขานั้น หมายถึงยินดียินยอมกับการกระทำบาปของพวกเขา และการยินดียินยอมในการกระทำความชั่วนั้น เสมือนกับเขาได้กระทำความชั่วนั้นด้วย
   
ดังนั้นผู้ที่นั่งอยู่ในหมู่กลุ่มของผู้กระทำความชั่ว โดยไม่ห้ามปรามการกระทำดังกล่าว อาจจะด้วยกำลัง หรือด้วยคำพูด เท่ากับเขาได้กระทำความชั่วดังกล่าวด้วย
   
และหากไม่สามารถที่จะยับยั้งได้ ก็ให้เดินออกห่างจากคนชั่วกลุ่มนั้นไป เพื่อมิให้ตัวเองต้องตกอยู่ในสภาพเดียวกับคนชั่วดังกล่าว

عن عمر بن عبد العزيز رضي الله عنه أنه أخذ قوماً يشربون الخمر، فقيل له عن أحد الحاضرين: إنه صائم فحمل عليه الأدب ( أي شدد عليه العقوبة والتعزير ) وقرأ هذه الآية " إنكم إذا مثلهم"
   
และได้มีรายงานจากท่านอุมัรบุตรอับดุลอาซีซว่า เขาได้จับคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังดื่มสุรากันอยู่ แล้วก็ได้ถูกกล่าวแก่เขาจากผู้ที่อยู่ในกลุ่มนั้นว่า “แท้จริงเขาถือศีลอด” แล้วท่านอุมัรก้ได้ลงโทษเขา และอ่านโองการแห่งอัลลอฮ์ว่า “แท้จริงพวกท่านก็เหมือนกับพวกเขา”
   
แท้จริงการยินดีด้วยกับการกระทำความผิด ก็คือการกระทำผิด เพราะเหตุนี้ ผู้กระทำและผู้ยินดีในความผิด จะต้องได้รับการลงโทษเช่นเดียวกัน

والله سبحانه وتعالى أعلم

13
 salam

جزاك الله خيرا ครับ  mycool:

14
 salam

อ้างจาก: Deeneeyah

อ้างถึง
บังเคยเห็นบางคน ก็เอามือไว้ตรงตำแหน่งของหัวใจ นัยว่าคอยกดหัวใจไว้ให้รำลึกถึงอัลลอฮฺ

นักวิชาการฟิกฮฺ มีกล่าวถึงเรื่องนี้หรือเปล่าครับ

ผมก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน แต่ไม่ทราบเหมือนกันว่า การกระทำลักษณะดังกล่าวเป็นทรรศนะของกลุ่มใด

15
อ้างจาก QorTuBah    ก.ค. 15, 08, 08:07 [
/b]
อ้างถึง
อับบาเนีย ท่านนี้คือใครหรือครับ ท่าน Mustafa? ไม่ค่อยคุ้นเลย

อัลบาเนียคือ หนึ่งจากนักวิชาการของกลุ่มวาฮาบีย์ครับ

หน้า: [1] 2 3 4