แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - งดงาม

หน้า: [1]
1
สล่ามครับ..
   ขอแสดงความยินดีด้วยครับ
ทุกดุอาที่นบีเคยขอ ทุกดุอาที่ศาสดาขอปกป้องโปรดมีแด่...ครูของเรา..........มูฮำหมัดอารีฟีน loveit:และภรรยา อามีน
                         น้องๆ ลูกศิษย์บ้าน زهراء  คิดถึงเหลือๆๆๆๆๆๆๆเกินๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

2
คุณสับสน  หากคุณศึกษาศาสนาตามแนวทางวะฮาบีย์  แล้วรู้สึกว่าจิตใจของคุณนั้นมีอันหนึ่งอันใดจากทั้ง 3 ข้อนี้คือ

1. มีความรู้สึกคิดว่าตนเองดีแล้ว...

2. ยึดตัวการปฏิบัติอะมัลมาเป็นปัจจัยได้เข้าสวรรค์และพ้นจากนรก...

3. รู้สึกว่าผู้อื่นที่ปฏิบัติหรือมีทัศนะต่างจากตนมีความต่ำต้อย...

คุณต้องรีบออกมาจากแนวทางวะฮาบีด่วน  เพราะนั่นหมายถึงอัลลอฮ์ไม่ทรงตอบรับในเรื่องศาสนาของคุณ...

3
ไม่ยึดติดบุคคล 

พิจารณาสิ่งที่เขาพูด  ไม่พิจารณาใครพูด

ครั้งหนึ่งชัญฏอนแปลงร่างเป็นคน แล้วบอกกับศอฮาบะฮฺว่า  ให้อ่านอายะกุรซีย์ก่อนนอน อัลลอฮ(ซบ.)จะคุ้มครองจนถึงเช้า

เมื่อศอฮาบะฮฺถามท่านนบี  ท่านนบีก็บอกว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นจริง  และเขาคนนั้นคือชัยฏอน

นี่คือฮาดิษของบูคอรีที่ผมอ่าน แล้วจำมา  ดังนั้นผมจะไม่ยึดติดบุคคล ซึ่งบ่อยครั้งที่ผมไม่เห็นด้วยกับ อ.มูรีด

แต่ก็มีพวกบ้าพลังบางคนที่เอาสิ่งนั้น(สิ่งที่ผมไม่เห็นด้วย) มาโจมตีผมและคนอื่นๆ


ขนาดชัยฏอนเป็นศัตรูกับมนุษย์ แต่บังเอิญพูดตรงกับความจิงท่านนบียังยอมรับเลย

แล้วมีเหตุผลอะไร ที่ผมจะไม่ยอมรับคำพูดของ อ.บางคนที่คุนเกลียด ซึ่งเป้นมุสลิม (โดยคำพูดนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง)

นี่แหละครับ  เป็นหลักการที่เปิดโอกาสให้มี  อุลามาอฺชั่ว   คือฉันจะชั่วแค่ใหน  ก็โปรดฟังคำพูดของฉันพอ   ถ้าฉันพูดถูกก็เจริญรอยตามแม้ฉันจะฟาซิกก็ตาม 

ปัจจุบันนี้  อุลามาฟาซิก ได้เกิดขึ้นแล้วซึ่งพี่น้องได้ทราบกันดี  เพราะชอบอ้างว่า  พิจารณาที่คำพูดก็พอ   

อาคิรซะมานแล้วจริงๆ

4
 salam

ตารางค่อตั่มอัลกุรอานภายใน 10 วัน

ตารางสุดท้ายจะระบุคาดเคลื่อนนิดส์นึง  ตัวเลขนิดหน่อยคือ 1/2  ช่วงหลังยุซ 31  จริง ๆ แล้วคือ ยุซ 30  น่ะครับ

5
ท่านอิบนุก็อยยิม  กล่าวว่า

وَمِنْ تَجْرِيْبَاتِ السَّالِكِيْنَ الَّتِيْ جَرَّبُوْهَا فَأَلِفُوْهَا صَحِيْحَةٌ : أَنَّ مَنْ أَدْمَنَ يَا حَيُّ يَاقَيُّوْمُ لاَ إِلهَ إِلَّا أَنْتَ أَوْرَثَهُ ذَلِكَ حَيَاةَ الْقَلْبِ وَالْعَقْلِ وَكَان شَيْخُ الإِسْلاَمِ ابْنُ تَيْمِيَّةَ قَدَّسَ اللهُ رُوْحَهُ شَدِيْدَ اللَهْجِ بِهَا جِدًّا وَقَالَ لِيْ يَوْمًا : لِهَذَيْنِ الاِسْمَيْنِ وَهُمَا الَحَيُّ الْقَيُّوْمُ تَأْثِيْرٌ عَظِيْمٌ فِيْ حَيَاةِ الْقَلْبِ وَكَانَ يُشِيْرُ إِلَى أَنَّهُمَا الاِسْمُ الأَعْظَمُ وَسَمِعْتُهُ يَقُوْلُ : مَنْ وَاظَبَ عَلَى أَرْبَعِيْنَ مَرَّةً كُلَّ يَوْمٍ بَيْنَ سُنَّةِ الْفَجْرِ وَصَلاَةِ الْفَجْرِ يَاحَيُّ يَاقَيُّوْمُ لاَإِلَهَ إِلاَّ أَنْتَ بِرَحْمَتِكَ أَسْتَغِيْثُ حَصَلَتْ لَهُ حَيَاةُ الْقَلْبِ وَلَمْ يَمُتْ قَلْبُهُ
 
"ส่วนหนึ่งจากบรรดาการทดสอบของนักตะเซาวุฟ  ซึ่งพวกเขาได้ทดสอบมัน  แล้วพบว่ามันเป็นความถูกต้องจริง  ก็คือผู้ใดที่บากบั่นกล่าวว่า  "ยาฮัยยุ  ยาก็อยยูม  ลาอิลาฮะอิลลา  อันต้า"  แน่นอนว่าดังกล่าวนั้นจะทำให้เขามีหัวใจและสติปัญญาที่มีชีวิตชีวา  และท่านชัยคุลอิสลาม อิบนุ ตัยมียะฮ์  ขออัลเลาะฮ์ทรงปลดเปลื้องวิญญาของท่านให้บริสุทธิ์  ได้กล่าวมันอย่างสม่ำเสมอเป็นอย่างมาก  และวันหนึ่งท่านได้กล่าวแก่ฉันว่า  ให้กับสองพระนามนี้  คือ  อัลฮัยยุ  อัลก็อยยูม  ยังผลอันยิ่งใหญ่ต่อการทำให้หัวใจมีชีวิตชีวา  และท่านได้แนะนำว่า  ทั้งสองพระนามนั้นเป็นพระนามที่ยิ่งใหญ่สุด  และฉันได้ยินท่านอิบนุตัยมียะฮ์กล่าวว่า  ผู้ใดได้กล่าวเป็นประจำถึง 40 ครั้งในทุกวันระหว่างละหมาดสุนัต(ก่อน)ซุบฮ์กับละหมาดซุบฮ์ว่า  ยาฮัยยุ  ยาก็อยยูม  ลาอิลาฮะอิลลาอันต้า บิเราะห์มะติก้า อัสตะฆีษุ  การมีชีวิตชีวาของจิตใจก็จะเกิดขึ้นแก่เขาและหัวใจของเขาจะไม่ตาย" หนังสือ มะดาริจญ์ อัสสาลิกีน 1/448

เป็นที่ทราบกันดีว่า  ไม่มีซุนนะฮ์นบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ระบุสั่งเจาะจงไว้เลยว่า  ให้ทำการกล่าวพระนามของอัลเลาะฮ์ทั้งสองถึง 40 ครั้งทุกวันระหว่างละหมาดสุนัตซุบฮ์กับละหมาดซุบฮ์  แต่อนุญาตได้กระทำได้เพราะยึดหลักฐานแบบกว้าง ๆ (มัฏลัก) ที่ส่งเสริมให้ทำการซิกิร

จากตัวอย่างที่ผมได้หยิบยกมานั้น แม้ท่านอิมามมอะห์มัดและท่านอิบนุตัยมียะะฮ์เอง  ก็ทำอิบาดะฮ์ประเภทที่ไม่มีซุนนะฮ์ของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม มาระบุรูปแบบเจาะจงให้กระทำ แต่เมื่อมีหลักฐานแบบกว้าง ๆ มารับรองแล้ว  ก็อนุญาตให้กระทำได้นั่นเอง

สะดุดและน่าชุกคิดตรงนี้ครับ  ซิกิร เป็นประจำถึง 40 ครั้งในทุกวันระหว่างละหมาดสุนัต(ก่อน)ซุบฮ์กับละหมาดซุบฮ์  ท่านอิบนุตัยมียะฮ์และอิบนุกอยยิมส่งเสริมให้กระทำ ทั้งที่นบีไม่ได้บอกไว้  หากตามหลักการฮุกุ่มของพี่น้องวะฮาบีนั้น   แน่นอนว่าเป็นบิดอะฮ์ 

พี่น้องมีความคิดเห็นอย่างไรครับ.....

6
 salam

เห็นว่ามันตรงกับกระทู้นี้เป็นอย่างมากและอธิบายหลักการดังกล่าวได้เป็นอย่างดี

http://www.sunnahstudents.com/forum/index.php?topic=3968.0

อ. ปราโมทย์  ได้อ้างอิงคำกล่าวของอิมามอะห์มัดและนักวิชาการฟิกหฺท่านอื่น ๆ  ว่า   :  แท้จริง พื้นฐานของเรื่อง “อิบาดะฮ์” ทั้งมวลก็คือ ให้ระงับ (จากการปฏิบัติ)...เพื่อจะบอกเป็นนัยว่า  การอ่านอัลกุรอานที่กุบูรต้องมีหลักฐานเจาะจงว่าท่านนบีเคยกระทำไว้เท่านั้น!     

ท่านอิบนุตัยมียะฮ์กล่าวว่า

كَانَ أَحْمَدُ وَغَيْرُهُ مِنْ فُقَهَاءِ أَهْلِ الْحَدِيْثِ يَقُوْلُوْنَ :  إِنَّ اْلأَصْلَ فِى الْعِبَادَاتِ التَّوْقِيْفُ، فَلاَ يُشْرَعُ مِنْهَا إِلاَّ مَا شَرَعَهُ اللهُ

"ท่านอิหม่ามอะห์มัดและท่านอื่นๆจากนักวิชาการฟิกฮ์ผู้เชี่ยวชาญหะดีษต่างกล่าวว่า :  แท้จริง พื้นฐานของเรื่อง “อิบาดะฮ์” ทั้งมวลก็คือ ให้ระงับ (จากการปฏิบัติ) ..ดังนั้นจะไม่มีอิบาดะฮ์ใดถูกกำหนดขึ้นมา (เพื่อปฏิบัติ) เว้นแต่ต้องเป็นสิ่งที่พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ทรงบัญญัติ (คือสั่ง) มันเท่านั้น"มัจญฺมั๊วะอัลฟะตาวา 29/17

ท่านอิมามอัชชาฎิบีย์กล่าวเช่นกันว่า

اَلأَصْلُ فِي العِبَادَاتِ عَدَمُ الإِقْدَامِ عَلَيْهَا إِلاَّ بِدَلِيْلٍ

"พื้นฐานเดิมในเรื่องอิบาดะฮ์นั้น  ไม่ให้ย่างก้าวเข้าไปกระทำมัน นอกจากด้วยหลักฐาน" หนังสืออัลมุวาฟะก็อต

เมื่อบางคนได้ยินหลักการนี้  ก็จะคิดไปว่า  อิบาดะฮ์นั้นต้องมีหลักฐานมายืนยันเจาะจง(ค็อซ)หรือจำกัด(มุก็อยยัด)ให้กระทำเท่านั้น  แต่เมื่อเราได้ยินคำว่า "เว้นแต่ต้องมีหลักฐาน" دَلِيْلٌ นั้น  เราก็สมควรต้องเข้าใจตามหลักพื้นฐานนิติศาสตร์อิสลามเกี่ยวกับประเภทของหลักฐานว่ามีอะไรบ้าง?  ซึ่งตัวอย่างของหลักฐานแบบสรุป ๆ มีดังนี้  อาทิเช่น 

1.  หลักฐานแบบมัฏลัก الدَّلِيْلُ المُطْلَقُ  คือหลักฐานที่บ่งชี้แบบกว้าง ๆ 

2.  หลักฐานแบบมุฏ็อยยัด الدَّلِيْلُ المُقَيَّدُ คือหลักฐานที่มาจำกัดหลักฐานที่มีข้อบ่งชี้แบบกว้าง ๆ

3.  หลักฐานแบบครอบคลุ  الدَّلِيْلُ العَامُّ  คือหลักฐานที่มีข้อบ่งชี้แบบครอบคลุมทุกส่วน

4.  หลักฐานแบบเจาะจง الدَّلِيْلُ الخَاصُّ คือหลักฐานที่มาเจาะจงหรือทอนความหมายหลักฐานที่มีข้อบ่งชี้แบบครอบคลุม

ดังนั้นเมื่อมีหลักฐานประเภทใดประเภทหนึ่งจากสิ่งดังกล่าวนี้มารับรอง  ก็อนุญาตให้กระทำอิบาดะฮ์ได้ตามหลักการที่กระผมได้นำเสนอมาแล้วข้างต้นนั่นเอง     

ตัวอย่างที่หนึ่ง

ท่าน อบู นุอัยม์ ได้รายงานไว้ว่า

وَكَانَ لِأَبِىْ هُرَيْرَةَ رَضِىَ اللهُ عَنْهُ خَيْطٌ فِيْهِ أَلْفُ عُقْدَةٍ لاَ يَنَامُ حَتَّى يُسَبِّحُ بِهِ

"ท่านอบูหุรอยเราะฮ์(ร.ฏ.) มีเชื่อกที่มีหนึ่งพันปุ่ม เขาจะไม่นอน จนกว่าจะทำการตัสบีห์ด้วยกับมัน(พันครั้ง)" หนังสือฮิลยะตุลเอาลิยาอฺ 1/383

การตัสบีห์นั้นมีหลักฐานของศาสนาแบบกว้าง ๆ ได้รับรองไว้  แต่จะทำการตัสบีห์ 1000 ครั้งก็กระทำได้ซึ่งเป็นรูปแบบกว้าง ๆ ที่ไม่ขัดกับหลักศาสนา  แม้ว่าท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ไม่เคยกำหนดเจาะไว้ก็ตาม

ตัวอย่างที่สอง

ท่านอัซซะฮะบีย์ กล่าวไว้ใน หนังสือ ซิยัร อะลาม อันนุบะลาอ์ว่า

قَالَ عَبْدُ اللهِ بْنُ الِإمَامِ أَحْمَدَ بْنِ حَنْبَلَ : كَانَ أَبِىْ يُصَلِّىْ كُلَّ يَوْمٍ ثَلَاثَمِائَةِ رَكَعَةٍ ، فَلَمَّا مَرِضَ مِنْ تِلْكَ الأَسْوَاطِ أَضْعَفَتْهُ فَكَانَ يُصَلِّىْ كُلَّ يَوْمٍ وَلَيْلَةٍ مِئَةً وَخَمْسِيْنَ رَكَعَةً

"ท่านอับดุลเลาะฮ์ บุตร ท่านอิมามอะหฺมัดบินหัมบัล กล่าวว่า บิดาของฉันเคยละหมาด 300 ร่อกะอัต ในทุกวัน แต่เมื่อขณะที่ท่านป่วยจากการถูกโบยดังกล่าวนั้น  ทำให้ท่านสุขภาพอ่อนแอลง  ดังนั้นท่านจึงทำการละหมาดเพียง 150 ร่อกะอัต ในหนึ่งวันและหนึ่งคืน" ดู ซิยัร อะลาม อันนุบะลาอ์ เล่ม 11 หน้า 212

การละหมาดสุนัตมีหลักฐานจากศาสนามารับรองแบบกว้าง ๆ   แต่รูปแบบการละหมาดโดยกำหนดหรือจำกัด 300 ร่อกะอัต  หรือจำกัด 150 ร่อกะอัตนั้น  เป็นรูปแบบที่ไม่ขัดกับหลักศาสนา  แม้ว่าท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ไม่ได้เคยระบุเจาะจงไว้ก็ตาม

ตัวอย่างที่สาม

ท่านอิบนุตัยมียะฮ์ฟัตวาไว้ว่า

إِذَا هَلَّلَ الإِنْسَانُ هَكَذَا : سَبْعُوْنَ اَلْفاً، أَوْ أَقَلَّ أَوْ أَكْثَرَ وَأُهْدِيَتْ إِلِيْهِ نَفَعَهُ اللهُ بِذَلِكَ، وَلَيْسَ هَذَا حَدِيْثاً صَحِيْحاً وَلَا ضَعِيْفاً

"เมื่อคนหนึ่งได้ทำการกล่าว ตะฮ์ลีล(ลาอิลาฮะอิลลัลเลาะฮ์) เช่นนี้70000 ครั้ง หรือน้อยกว่านั้น หรือมากกว่านั้น แล้ว(การตะลีล)ดังกล่าวก็ถูกฮะดียะฮ์ให้แก่มัยยิด แน่นอนอัลเลาะฮ์จะทรงให้(ผลบุญการตะฮ์ลีล)ดังกล่าวมีผลประโยชน์แก่มัยยิด และหะดิษดังกล่าว(ที่มาระบุเจาะจงให้ตะฮ์ลีลเจ็ดหมื่นครั้ง)นั้น ไม่ใช่หะดิษที่ซอฮิหฺ และฏออีฟ" ดู ฟาตาวา อิบนุตัยมียะฮ์ เล่ม24 หน้า 301

การที่บุคคลหนึ่งกล่าวลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ์นั้น  มีหลักฐานมารับรองแบบกว้าง ๆ   ส่วนจะกล่าวกี่ครั้งนั้นเป็นรูปแบบกว้าง ๆ ที่จะกล่าวเจ็ดหมื่นครั้ง  มากกว่านั้นหรือน้อยกว่านั้นก็ได้  ถือว่าไม่ขัดกับหลักศาสนา  แม้ไม่มีตัวบทมารับรองเจาะจงก็ตาม  ดังนั้นสิ่งที่ไม่ขัดกับหลักศาสนาหรือตัวบท  ย่อมไม่เป็นสิ่งต้องห้ามแต่ประการใด 

ตัวอย่างที่สี่

ท่านอิบนุก็อยยิม  ศิษย์เอกของท่านอิบนุตัยมียะฮ์  ได้กล่าวว่า

 وَاخْتَلَفُوْا فِي العِبَادَةِ البَدَنِيَّةِ كَالصَّوْمِ وَالصَّلاَةِ وَقِرَاءَةِ القُرْآنِ وَالذِّكْرِ فَمَذْهَبُ الإِمَامِ أَحْمَدَ وَجُمْهُوْرِ السَّلَفِ وُصُوْلُهَا وَهُوَ قَوْلُ بَعْضِ أَصْحَابِ أَبِى حَنِيْفَةِ نَصَّ عَلىَ هَذَا الِإمَامُ أَحْمَدُ فِيْ رِوَايَةِ مُحَمَّدِ بْنِ يَحْيىَ الْكَحَّالِ قَالَ قِيْلَ لِأَبِىْ عَبْدِ اللهِ الرَّجُلُ يَعْمَلُ الشَّيْءَ مِنَ الخَيْرِ مِنْ صَلاَةٍ أَوْ صَدَقَةٍ أَوْ غَيْرِ ذَلِكَ فَيَجْعَلُ نِصْفَهُ لِأَبِيْهِ أَوْ لِأُمِّهِ قَالَ أَرْجُوْ أَوْ قَالَ الْمَيِّتُ يَصِلُ إِلِيْهِ كُلُّ شَيْءٍ مِنْ صَدَقَةٍ أَوْ غَيْرِهَا وَقَالَ أَيْضاً اِقْرَأْ آَيَةَ الْكُرْسِيِّ ثَلاَثَ مَرَّاتٍ وَقُلْ هُوَ اللهُ أَحَدٌ وَقُلِ اللَّهُمَّ إِنْ فَضْلَهُ لِأَهْلِ المَقَابِرِ

ท่าน อิบนุก๊อยยิม  ได้กล่าวไว้เช่นกันว่า  "บรรดานักปราชญ์ได้ขัดแย้งเกี่ยวกับอิบาดะฮ์ที่กระทำด้วยร่างกาย  เช่น  การถือศีลอด  การละหมาด   การอ่านอัลกุรอาน  และการซิกรุลลอฮ์   ท่านอิมามอะห์มัด  และปราชญ์สะลัฟส่วนมาก  มีทัศนะว่า  ผลบุญการถือศีลอด  การละหมาด  การอ่านอัลกุรอาน  การซิกรุลลอฮ์  นั้นถึงผู้ตาย  และมันยังเป็นทัศนะบางส่วนของสานุศิษย์อิมามอบูหะนีฟะฮ์  และท่านอิมามอะห์มัดได้กล่าวระบุไว้ในสายรายงานของมุฮัมมัด บิน อะห์มัด  อัลกะห์ฮาล  เขากล่าวว่า  "ได้กล่าวถามแก่ท่านอบีอับดิลลาฮ์ (คือท่านอิมามอะห์มัด) ว่า  ชายคนหนึ่งได้กระทำความดี  จากการละหมาด  การซอดาเกาะฮ์  และอื่น ๆ   แล้วมอบผลบุญครึ่งหนึ่งให้แก่บิดาหรือมารดาของเขา  ท่านอิมามอะห์มัดตอบว่า  "ฉันหวัง(ว่าผลบุญนั้นถึงมัยยิด)"  หรือท่านอิมามอะห์มัดกล่าวว่า "ทุก ๆ สิ่งจากการซอดาเกาะฮ์และอื่น ๆ นั้น  ผลบุญจะถึงแก่มัยยิด"  และท่านอิมามอะห์มัดกล่าวเช่นเดียวกันว่า "ท่านจงอ่านอายะฮ์กุรซีย์ 3 ครั้ง  ท่านกุลฮุวัลลอฮุอะฮัด  และท่านจงกล่าวว่า  "โอ้ผู้อภิบาลแห่งข้า  ความดีงามของมันนั้น  มอบแด่บรรดาชาวกุบูร"    หนังสือ  อัรรั๊วะห์  ของท่านอิบนุก๊อยยิม  1/117

ท่านอิมามอะห์มัดใช้ให้ชายคนหนึ่งอ่านอัลกุรอาน  เช่น อายะฮ์อัลกุรซีย์และอ่านกุลฮุวัลลอฮุอะฮัด เพราะมีหลักฐานเดิมที่ใช้ให้อ่านอัลกุรอาน  ส่วนรูปแบบให้อ่าน 3 ครั้ง  และขอดุอาต่ออัลเลาะฮ์ฮะดียะฮ์ผลบุญแก่ผู้ล่วงลับในกุบูรนั้น  ไม่ขัดกับหลักศาสนา  ยิ่งกว่านั้นยังถูกรับรองจากหลักฐานของศาสนาตามนัยยะแบบกว้าง ๆ ว่าผลบุญจะถึงบรรดาผู้ล่วงลับไปแล้ว 

ตัวอย่างที่ห้า

ท่านอิบนุก็อยยิมได้กล่าวไว้เช่นกันว่า

فَإِنْ قِيْلَ هَذَا لَمْ يَكُنْ مَعْرُوْفاً عَنِ السَّلَفِ وَلاَ أَرْشَدَهُمْ إِلَيْهِ النَّبِيُّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ، فَالْجَوَابُ: إِنْ كَانَ مُوْرِدُ هَذَا السُّؤَالِ مَتَعَرِّفاً بِوُصُوْلِ ثَوَابِ الحَجِّ وَالصِّيَامِ وَالدُّعَاءِ، قِيْلَ لَهُ: مَا الفَرْقُ بَيْنَ ذَلِكَ وَبَيْنَ وُصُوْلِ ثَوَابِ القِرَاءَةِ؟ وَلَيْسَ كَوْنُ السَّلَفِ لَمْ يَفْعَلُوْهُ حُجَّةً فِيْ عَدَمِ الْوُصُوْلِ!! وَمِنْ أَيْنَ لَنَا هَذَا النَّفْيُ الْعَامُّ؟!

ً"หากถามว่า  การอ่านอัลกุรอานฮะดียะฮ์ผลบุญให้ผู้ตายนั้น  ไม่เป็นที่รู้กันจากสะลัฟและท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมก็ไม่ได้แนะนำพวกเขาไว้  คำตอบก็คือ  หากผู้ที่นำคำถามนี้มา  ได้ยอมรับว่าผลบุญการทำฮัจญ์ , การถือศีลอด , และการขอดุอาอ์ , นั้นถึงไปยังผู้ตาย  ก็ขอกล่าวตอบแก่เขาว่า  อะไรคือข้อแบ่งแยก(หรือความแตกต่าง)ระหว่างสิ่งดังกล่าวกับผลบุญการอ่านอัลกุรอานถึงผู้ตาย? และการที่สะลัฟไม่เคยกระทำมันนั้นมิใช่เป็นหลักฐานว่าผลบุญไม่ถึงผู้ตาย  และแล้วจากใหนล่ะ(หลักฐาน)ที่มาปฎิเสธ(ห้าม)แบบโดยรวมต่อพวกเรา?! " หนังสืออัรรั๊วะห์ 1/143

ท่านอิบนุก็อยยิมได้กล่าวว่า  การอ่านอัลกุรอ่านฮะดียะฮ์ผลบุญแก่ผู้ตายนั้น  แม้ท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ไม่เคยกระทำ  และไม่เป็นที่รู้กัน  แต่มีหลักฐานให้ทำการอ่านอัลกุรอานและยืนยันว่าผลบุญของอิบาดะฮ์นั้นถึงแก่ผู้ตาย  ก็ถือว่าไม่เป็นบิดอะฮ์แต่ประการใด  เพราะไม่มีหลักฐานมาปฏิเสธหรือห้ามแบบโดยรวม

ตัวอย่างที่หก

ท่านอิบนุก็อยยิม  กล่าวว่า

وَمِنْ تَجْرِيْبَاتِ السَّالِكِيْنَ الَّتِيْ جَرَّبُوْهَا فَأَلِفُوْهَا صَحِيْحَةٌ : أَنَّ مَنْ أَدْمَنَ يَا حَيُّ يَاقَيُّوْمُ لاَ إِلهَ إِلَّا أَنْتَ أَوْرَثَهُ ذَلِكَ حَيَاةَ الْقَلْبِ وَالْعَقْلِ وَكَان شَيْخُ الإِسْلاَمِ ابْنُ تَيْمِيَّةَ قَدَّسَ اللهُ رُوْحَهُ شَدِيْدَ اللَهْجِ بِهَا جِدًّا وَقَالَ لِيْ يَوْمًا : لِهَذَيْنِ الاِسْمَيْنِ وَهُمَا الَحَيُّ الْقَيُّوْمُ تَأْثِيْرٌ عَظِيْمٌ فِيْ حَيَاةِ الْقَلْبِ وَكَانَ يُشِيْرُ إِلَى أَنَّهُمَا الاِسْمُ الأَعْظَمُ وَسَمِعْتُهُ يَقُوْلُ : مَنْ وَاظَبَ عَلَى أَرْبَعِيْنَ مَرَّةً كُلَّ يَوْمٍ بَيْنَ سُنَّةِ الْفَجْرِ وَصَلاَةِ الْفَجْرِ يَاحَيُّ يَاقَيُّوْمُ لاَإِلَهَ إِلاَّ أَنْتَ بِرَحْمَتِكَ أَسْتَغِيْثُ حَصَلَتْ لَهُ حَيَاةُ الْقَلْبِ وَلَمْ يَمُتْ قَلْبُهُ
 
"ส่วนหนึ่งจากบรรดาการทดสอบของนักตะเซาวุฟ  ซึ่งพวกเขาได้ทดสอบมัน  แล้วพบว่ามันเป็นความถูกต้องจริง  ก็คือผู้ใดที่บากบั่นกล่าวว่า  "ยาฮัยยุ  ยาก็อยยูม  ลาอิลาฮะอิลลา  อันต้า"  แน่นอนว่าดังกล่าวนั้นจะทำให้เขามีหัวใจและสติปัญญาที่มีชีวิตชีวา  และท่านชัยคุลอิสลาม อิบนุ ตัยมียะฮ์  ขออัลเลาะฮ์ทรงปลดเปลื้องวิญญาของท่านให้บริสุทธิ์  ได้กล่าวมันอย่างสม่ำเสมอเป็นอย่างมาก  และวันหนึ่งท่านได้กล่าวแก่ฉันว่า  ให้กับสองพระนามนี้  คือ  อัลฮัยยุ  อัลก็อยยูม  ยังผลอันยิ่งใหญ่ต่อการทำให้หัวใจมีชีวิตชีวา  และท่านได้แนะนำว่า  ทั้งสองพระนามนั้นเป็นพระนามที่ยิ่งใหญ่สุด  และฉันได้ยินท่านอิบนุตัยมียะฮ์กล่าวว่า  ผู้ใดได้กล่าวเป็นประจำถึง 40 ครั้งในทุกวันระหว่างละหมาดสุนัต(ก่อน)ซุบฮ์กับละหมาดซุบฮ์ว่า  ยาฮัยยุ  ยาก็อยยูม  ลาอิลาฮะอิลลาอันต้า บิเราะห์มะติก้า อัสตะฆีษุ  การมีชีวิตชีวาของจิตใจก็จะเกิดขึ้นแก่เขาและหัวใจของเขาจะไม่ตาย" หนังสือ มะดาริจญ์ อัสสาลิกีน 1/448

เป็นที่ทราบกันดีว่า  ไม่มีซุนนะฮ์นบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ระบุสั่งเจาะจงไว้เลยว่า  ให้ทำการกล่าวพระนามของอัลเลาะฮ์ทั้งสองถึง 40 ครั้งทุกวันระหว่างละหมาดสุนัตซุบฮ์กับละหมาดซุบฮ์  แต่อนุญาตได้กระทำได้เพราะยึดหลักฐานแบบกว้าง ๆ (มัฏลัก) ที่ส่งเสริมให้ทำการซิกิร

จากตัวอย่างที่ผมได้หยิบยกมานั้น แม้ท่านอิมามมอะห์มัดและท่านอิบนุตัยมียะะฮ์เอง  ก็ทำอิบาดะฮ์ประเภทที่ไม่มีซุนนะฮ์ของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม มาระบุรูปแบบเจาะจงให้กระทำ แต่เมื่อมีหลักฐานแบบกว้าง ๆ มารับรองแล้ว  ก็อนุญาตให้กระทำได้นั่นเอง

7
 salam

อัลเลาะฮ์ทรงตอบแทนความดีงามแก่คุณมุสตอฟาครับ

8
 salam

ลูบหน้านั้นไม่ได้  แต่เวลายืนละหมาดผมเห็นยืนเขย่งขึ้นๆ ลงๆ เกาโน้นเกานี่   อันนี้เขาบอกว่าไม่เป็นไร  แต่หากเอามือยกขึ้นแล้วลูบหน้าพร้อมอ่านดุอาหลังเสร็จละหมาดแล้ว อันนี้บิดอะฮ์  ผมเห็นว่า อ.อะลี น่าจะบอกว่าทัศนะที่มีน้ำหนักไม่ซุนนะฮ์ลูบหน้า  เพราะหนังสือที่ อ.อะลี อ้างอิงมานั้นเหมือนว่ามาจาก หนังสืออัลฟุตูฮาตร็อบบนียะฮ์ ซึ่งอิมามนะวาวียืนยันว่าเป็นสุนัต  เพราะเมื่อรวมสายรายงานแล้ว ก็อยู่ในระดับฎออีฟที่นำมาปฏิบัติได้ตามทัศนะของอิมามอันนะวาวี  แค่ความเห็นน่ะ

9
 ไม่ชอบก็อย่าลบลู่ ไม่อยากตายอย่างคนโง่ ก็อย่าปลีกตัวไม่ไหน??
عن إبن عباس رضي الله عنهماأن رسول الله صلى الله عليه وسلم قال:" من كره من أميره شيأ فليصبر فإنه من خرج من السلطان شبرا مات ميتة جاهلية"  متفق عليه
ความว่า "จากอิบนิอับบาส กล่าวว่า ท่านร่อซู้ล ศ้อลฯ กล่าวว่า "ใครไม่ชอบผู้นำในสิ่งใดๆเขาจงอดทน เพราะแท้จริงใครก็ตามที่ปลีกตัวแม้เพียงคืบเดียว สภาพความตายของเขาก็คือ สภาพการตายของชาว อานารยชน (สมัยมืดมนต์ธกาล)"   รายงานสอดคล้องกันระหว่าง บุคอรีและมุสลิม
(ฮะดิษก่อนหน้านี้มาอธิบายฮะดิษนี้ครับ)

     รูใหม?? การไม่เชื่อฟังผู้นำก็คือ การไม่เชื่อฟังพระเจ้า
عن أبي هريرة رضي الله عنه :قال:قال رسول الله صلى الله عليه "من أطاعني فقدأطاع الله ومن عصى ني فقد عصى الله ومن يطع الأمير فقد أطاعني ومن يعص الأمير فقد عصاني" متفق عليه
ความว่า"จากอบูฮุรอยเราะห์ กล่าวว่า ท่านร่อซู้ล ศ้อลฯ กล่าวว่า"ใครตออัตต่อฉัน ผู้นั้นตออัตต่ออัลลอฮ์ ใครทรยศต่อฉัน ผู้นั้นทรยศต่ออัลลอฮ์ และใครตออัตต่อผู้นำ ผู้นั้นตออัตต่อฉัน ดังนั้น ใครทรยศผู้นำ  ผู้นั้นทรยศต่อฉัน" รายงานสอดคล้องระหว่าง บุคอรีและมุสลิม

     เหยียบก็ต้องถูกเหยียบ หยามก็ต้องถูกหยาม
وعن أبي بكرة[نفيع بن الحارث بن كلدة الثقفي]رضي الله عنه قال: سمعت رسول الله صلى الله عليه وسلم يقول :"من أهان السلطان أهانه الله" رواه ترمدي
จากอะบีบักเราะห์ กล่าวว่า "ฉันได้ยินท่านร่อซู้ล ศ้อลฯ กล่าวว่า...ใครเหยียดหยามผู้นำ อัลลอฮ์ก็ทรงเหยียดหยามเขา" รายงานโดย ติรมิซี
(ถอดความจากหนังสือ สิบสองฮะดิษเกี่ยวกับผู้นำ  ของอ.อับดุลการีม วันแอ เลาะ )
ฉะนั้นเราต้องระวังไว้ให้มากครับ หากจะพูดเกี่ยวกบตัวผู้นำ
........ผิดตรงไหนโปรดแก้ให้ด้วยครับ............

10


ต้องเชื่อผู้นำ
عن عبد الله بن عمر رصي الله عنهما عن النبي صلى الله عليه وسلم  قال:على المرء المسلم السمع والطاعة فيما أحب وكره إلاأن يؤمر بمعصية  فإدا أمر بمعصية فلاسمع ولاطاعة"  متفق عليه
ความว่า"จากอับดุลลอฮ์บุตร อุมัร(รด) จากท่านร่อซู้ล ศ้อลฯกล่าวว่า...จำเป็นบนผู้ที่เป็นมุสลิมทุกคนต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตาม ทั้งในสิ่งที่ชอบ และที่ชัง นอกจาก จะถูกใช้ให้ทำมั้วะซียัต ดังนั้นหากถูกใช้ให้ทำมั้วะซียัต ก็ไม่ต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตาม"  รายงานสอดคล้องระว่าง บุคอรีและมุสลิม

   

11
ข้อความโดย: Al Fatoni 
ใส่การอ้างถึงคำพูด
อ้างถึง
....................(ผู้นำจะดีนั้นส่วนหนึ่งก็คือมีที่ปรึงษาที่ดีครับ)
            แต่บางครั้งมีที่ปรึกษาที่ดี แต่ผู้นำไม่เห็นด้วย ก็ศูนย์เปล่าครับ - วัสสลาม
 
  งั้นลองมาดูนี่กันครับ
ผู้นำดีเลวดูตรงไหน???????
عن عائشة رضي الله عنها قالت قال رسو ل الله صلعم
إدااراد الله بالأميرخيرا جعل له وزيرصدق  إن نسي دكره وإن دكرأعانه وإداأرادبه غيرَدلك جعل له وزيرسوءٍ إن نسي لم يدكره وإندكرلم يعنه
رواه أبوداوودبإسنادجيدعلى شرط مسلم
จากพระนางอาอีชะห์(โอ้อัลลอฮ์ โปรดพึงพอพระทัยนางด้วยเถิด) ได้พูดว่า ท่านศาสดา(ซ."ล)เคยกล่าวว่า....เมื่ออั้ลลอฮ์ต้องการให้ผู้นำคนใดดี  พระองค์ก็จะทรงให็มีผู้ร่วมงานที่ดี กล่าวคือ เมื่อเขาลืมก็จะเตือนให้ และเมื่อนึกได้ก็จะให้ความช่วยเหลือ ละหากอัลลอฮื์ ต้องการให็เป็นอื่นจากที่กล่าวมาแล้ว พระองค์ก็จะทรงให้มีผู้ร่วมงานที่เลว กล่าวคือ เมื่อเขาลืมก็จะไม่เตือนให้  และเมื้อนึกได้ ก็จะไม่ให้ความช่วยเหลือ"       รายงานโดย อบูดาวูด ด้วยสายรายงานที่ดี ตามเงื่อนไขการรายงานของมุสลิม 

(ปล. เผอิญ ตัว  ซ้าล กดไม่ได้ เลยใช้ตัว ด้าลแทน  มี่คำว่า...อิซา..ซั๊กก้าร่อฮู..ซ่าก้าร่อ..ซาลิก้า..ยู่ซั๊กกิรฮู้...ซ่าก้าร่อ)

12

       
  ข้อความโดย: Al Fatoni 
อ้างถึง
อัลฟาตอนี อย่าโศกเศร้าไปเลย  เพราะจริงๆ แล้วอัลอะชาอิเราะฮ์เราก็มีบุคลากรเพิ่มขึ้น  มาเรียนที่อียิปต์ซิ  จะรู้ถึงโลกกว้างเกี่ยวกับอัลอะชาอิเราะฮ์ว่ายิ่งใหญ่ขนาดใหน  ส่วนองค์กรและการเคลื่อนไหวของวะฮาบีนั้นมันก็แค่ฉากในแง่มุมหนึ่งเท่านั้นเอง
           ผมไม่อยากมองไกลบ้านอะครับ ที่ผมเศร้าใจ เพราะบ้านเราตอนนี้ผู้นำอ่อนแอมากๆ ..............



สล่ามครับ.....
              หายไปนานเลยเรา   ก่อนอื่นต้องขอมาอั้ฟอย่างแแรงเลยที่เดียว  แต่ที่ผมพิมไปนั้น นั่นคือหลักการทั้งสิ้นครับ  เราลองมาพินิจพิเคราะห์ถึงฮะดิษนี้ดูกันครับ

عن انس رضي الله عنه قال قال رسول ا لله "صلعم" اسمعوا واطيعوا وان استعمل عليكم عبد حبشي "رواه البخاري
จากท่านอะนัสได้(ร.ด)ได้กล่าวว่า ท่านร่อซู้ลได้เคยพูดไว้ว่า"  ท่านทั้งหลายจงเชื้อฟัง ท่านทั้งหลายจงตออัต แม้ว่าทาษชาว ฮะบะชะห์ (ชาวผิวดำ)  ได้รับมอบหมาายให้เป็นผู้ใช้ให้ท่านทำตามก็ตาม"   รายงานโดย บุคอรี
                                 ผมเองเคยถามท่าน อ.อับดุลการีม ว่า ...เราจะพูดได้มั้ย? ว่าผู้นำอ่อนแอ ทั้งๆที่อาจจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ        อ.จึงให้คำตอบด้วยกับฮะดิษบทนี้ครับ   แล้วบอกอีกว่า...ตามนัยของฮะดิษนี้แหละท่บอกว่า ไม่สมควรที่จะบอกว่า ผุ้นำอ่อนแอ ครับ

13
โอ้ว ยอดเลยครับ ผมว่าทำเป็นเว็บประชาสัมพันธ์ก็เยี่ยมเลยนะครับ เกียวกับ รร ในเเวดวงของศาสนา เพราะว่าบาง รร ก็ยังไม่มี

อื้ม บัง แอดมิน กับ บังrodhie  ใจดีให้พื่นที่ด้วย ฮูฮูฮู แต่ผมก็ยังไม่ค่อยชำนาญเรื่องทำเว็บเท่าไหร่ อีกอย่างไม่ค่อยมีเวลาเท่าไหร่ด้วย

เอาไว้ผมมีเวลาว่างพอก่อน ฮูฮูฮู ตอนนี้ขอทุ่มเทเพื่อการเรียน  พอมีข้อมูลพร้อมแล้วค่อยเริ่มทำงานศาสนาอย่างเต็มตัว ฮูฮูฮู

ตอนนี้ต้องเป็นผู้ศึกษาไปก่อน ฮูฮูฮู

14
สล่มครับ  เวลาละหมาด อัสรี่ นั้น มี ๒ ทัศนะ ๑. เข้าเวลาเมื่อเงาของทุกสิ่งเท่าตัวของมัน  นี่คือทัศนะของ อีหม่ามชาฟีอี,อีหม่ามมาลิก,อีหม่ามอะห์หมัด,ท่านมูฮัมหมัด,เเละอะบียูซุฟ(ศานุศิษย์ของอีหม่ามอบูฮะนีฟะห์) ร่อฮิมะฮุมุ้ลลอห์...
ทัศนะที่ ๒. สองเท่า นี่คือทํนนะของที่อีหม่าม อบูฮะนีฟะห์ ร่อฮิมะฮุ้ลลอห์....ในการรายงานของอะบียูซุฟ

อยากถามว่า......ในประเทศอียิปน์นั้น  ใช้ทัศนะไหนครับ? 

15
สล่ามครับ..ในกระทู้นี้มีการกล่าวถึงผู้.นำ......จริงๆแล้วไม่ค่อยสมควรเท่าไหร่นัก ที่เราจะบอกว่า"ผู้นำอ่อนแอ"หรืออื่นๆ ที่เกี่ยวกับผู้นำในแง่ไม่ดี  เพราะมันอาจจะเป็นการจาบจ้วงได้ครับ  แต่หากผู้นำเป็นอย่างนั้นจริง ก็ไม่สมควรอยู่ดีครับที่จะไปพูด  เพราะตามหลักการทางศาสนาแล้วนั้น เมื่อได้ผู้นำที่ไม่ดีก็จงอดทนครับ  แต่ผู้นำบ้านเรานั้น ดี ดี ดี แน่นอนครับ....................(ผู้นำจะดีนั้นส่วนหนึ่งก็คือมีที่ปรึงษาที่ดีครับ)

หน้า: [1]