salam
บุคลิกของท่านศาสดา (ซ็อลลัลลอฮูอะลัยฮิวะซั่ลลัม) ด้านต่างๆ
1. เป็นผู้ฟัง และผู้พูดที่ดี เมื่ออยู่ในวงสนทนา ท่านมักจะเป็นผู้ฟังมากกว่าจะเป็นผู้พูด ท่านจะพูดแต่เฉพาะเวลาที่จำเป็นจะต้องพูดเท่านั้น เสียงของท่านดังชัดเจน การพูดก็ชวนฟัง และมีเสน่ห์ ท่านพูดและหยุดเป็นจังหวะ เว้นวรรคระหว่างประโยค เพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจและจดจำง่าย คำพูดของท่านไม่ยืดยาวจนเกินความจำเป็น และไม่สั้นจนไม่ได้ความ หากแต่เป็นคำพูด ที่กระชับและสละสลวย ท่านจะไม่พูดสอดแทรกขึ้น ในขณะที่ผู้อื่นกำลังพูดอยู่ แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ค้านกับบัญญัติศาสนา ท่านจะห้ามมิให้พูด หรือมิฉะนั้นท่านก็จะปลีกตัวออกจากที่นั่นเสีย ท่านจะไม่กล่าวคำพูดที่ไร้ความหมาย หรือพูดสิ่งที่ไม่อยู่ในประเด็นที่กำลังสนทนากันอยู่ หากมีผู้ฟังอยู่หลายคน ท่านก็จะไม่จดจ่อแต่เฉพาะกลุ่มใด หรือบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่ท่านจะหันหน้าไปยังผู้ฟังแต่ละคนสลับกันไป และ ท่านไม่ชอบการตะโกน หรือ ทำเสียงดัง
2. พูดแต่ความจริง ท่านนาบีเคร่งครัดมากในการพูดความจริง แม้แต่คำพูดหยอกล้อของท่านก็ยังเป็นความจริง ท่านไม่เคยพูดสิ่งที่ไม่เป็นความจริงเลย แม้แต่ศัตรูและผู้มุ่งร้ายต่อท่านต่างเคยเรียกท่านว่า คนบ้า และคนผีเข้า แต่ไม่มีผู้ใดกล้าเรียกท่านเป็นคนโกหกเลย ครั้งหนึ่ง มีคนหลายคนได้พร้อมใจกันมาสารภาพกับท่านว่า “มูฮัมหมัด” พวกเราเชื่อทุกสิ่งที่ท่านพูด เพราะว่าเรายังไม่เคยได้ยินท่านพูดโกหกเลย...
ในช่วงที่ท่านนาบีได้รับบัญชาให้เผยแพร่อิสลามอย่างเปิดเผย และชาวอาหรับส่วนใหญ่ยังต่อต้าน ซึ่งที่บนภูเขา เศาะฟา ท่านลุกขึ้นพูดต่อหน้าชาวอาหรับที่มิใช่มุสลิมว่า “ถ้าฉันบอกว่ามีกองทัพมหึมาซ่อนอยู่หลังภูเขานั้นและเตรียมจะจู่โจมพวกท่าน ท่านจะเชื่อฉันหรือไม่” เสียงนับร้อยตะโกนว่า “แน่นอนยิ่ง ท่านไม่เคยพูดเท็จเลย” นี่คือความซื่อตรงที่ได้รับการยอมรับอย่างสูงสุดจากสังคม
ครั้งหนึ่งก่อนที่อัลลอฮฺจะทรงแต่งตั้งท่านเป็นผู้ประกาศศาสนา หุ้นส่วนธุรกิจคนหนึ่งบอกให้ท่านไปรอที่มุมถนนแห่งหนึ่ง โดยสัญญาว่าจะกลับมาในเวลาไม่กี่นาที แต่ชายคนนั้นกลับลืมสัญญา ท่านนาบีจึงยืนรอชายผู้นั้นเป็นเวลาถึง 3 วัน จนในวันที่ 4 ชายคนนั้นก็ผ่านมาทางนั้น เขาต้องก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นท่านนาบียังยืนอยู่ เขาจึงเสียใจมากที่ลืมสัญญาอย่างสนิท ท่านนาบี จึงกล่าวว่า “ทำใจให้สบายเถิด ฉันสัญญาแล้วว่าจะรอท่านจนกว่าท่านจะมา ฉันจึงต้องรักษาคำพูด...”
3. เป็นคนขี้อายท่านนาบีเป็นคนขี้อายยิ่งกว่าผู้หญิงเสียอีก เมื่อท่านเดินผ่านที่ชุมนุมชน ท่านก็มักจะผ่านไปอย่างเงียบๆ ท่านไม่เคยหัวเราะอย่างลืมตัวเลย แต่ถึงกระนั้นท่านก็จะยิ้มแย้มอยู่เสมอ
4. รักความสะอาดเรียบร้อยท่านนาบีมีนิสัยรักความสะอาดเรียบร้อย ครั้งหนึ่งท่านเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งนุ่งห่มเสื้อผ้าที่สกปรก ท่านจึงกล่าวว่า “ ชายคนนี้ช่างดูดายแม้แต่เสื้อผ้าของเขาเอง ”
คนมั่งมีทรัพย์ผู้หนึ่งได้มาหาท่านนาบี โดยที่เขาแต่งกายอย่างซอมซ่อ ท่านนาบีจึง ได้ให้ข้อสังเกตว่า “ พระเจ้าทรงทรงโปรดปรานให้ท่านมีทรัพย์มากมาย ดังนั้น ท่านก็ ควรจะให้มันปรากฏให้เห็นบ้างที่เครื่องแต่งกายของท่าน ”
เมื่อใดที่ท่านนาบีแลเห็นรอยเปื้อนที่ผนังมัสยิด ท่านก็จะเอาไม้ขูดมันออกทันที
ท่านแนะนำให้เผาการบูร และไม้หอม(ไม้กฤษณา) ในที่ชุมนุมชน เพื่ออันเป็นสิริ มงคล และเพื่อให้กลิ่นหอมของมันกระจายทั่วสถานที่นั้น ซึ่งท่านนาบีเองก็ใช้น้ำหอมอยู่บ่อยๆ ในโอกาสต่างๆ กัน
ครั้งหนึ่งเมื่อเห็นชายคนหนึ่งปล่อยผมเผ้า ยุ่งเหยิง ท่านจึงได้อุทานว่า “ อะไรกัน ! เขาทำไมไม่เอาใจใส่ แม้เพียงจะหวีผมให้เรียบร้อยสักหน่อย ”
ท่านนาบีไม่อาจทนดูผู้ที่ทำการอันน่ารังเกียจ หรือสร้างความเดือดร้อนบนทางสัญจรได้ ท่านได้แสดงความเกลียดชังต่อผู้ที่ชอบปัสสาวะหรืออุจจาระ บนทางสัญจร หรือใต้ร่มไม้ที่ผู้คนใช้เป็นที่พักร้อน
ท่านนาบีเคยห้ามมิให้ผู้ใดถ่ายปัสสาวะในกระโถน หรือภาชนะอื่นด้วยความมักง่าย และเกียจคร้าน
ท่านนาบีรังเกียจสิ่งที่มีกลิ่นเหม็นฉุน ท่านเคยกำชับว่า ผู้ที่รับประทานหัวหอม กระเทียม หรืออาหารที่มีกลิ่นฉุน ไม่ควรเข้าไปในมัสยิด หรือ ทำละหมาดรวมกับคนมากๆ ดังนั้นจึงควรล้างปาก หรือ แปรงฟันเสียก่อนที่จะไปร่วมในที่ชุมนุมชน
5. เป็นคนเรียบง่าย ใช้ชีวิตอย่างสมถะท่านนาบีไม่ชอบชีวิตที่วุ่นวาย และท่านก็มักจะแนะนำผู้อื่นไม่ให้ใช้ชีวิตแบบนั้น ซึ่งชีวิตภายในครอบครัวของท่านเป็นไปอย่างเรียบๆ ง่ายๆ โดยปกติแล้ว ท่านนาบีจะสวมเสื้อผ้าธรรมดา ไม่ฉูดฉาด ซึ่งแสดงถึงความเรียบง่าย และความเป็นสุภาพของท่าน ท่านนุ่งห่มด้วยเสื้อผ้าหยาบๆ ที่ทำจากขนแกะอยู่เสมอ ซึ่งเสื้อผ้าที่ท่านสวมอยู่ในขณะสิ้นใจก็เป็นเสื้อผ้าชนิดหยาบๆ เช่นกัน ที่นอนของท่านก็ทำด้วยผ้าชนิดหยาบๆ หรือไม่ก็จากหนังสัตว์ยัดด้วยเปลือกต้นอินทผลัม บางทีก็เป็นเพียงผ้าธรรมดาพับ 2 ทบ
ในสมัยที่อาณาจักรอิสลาม มีอาณาเขตกว้างขวางตั้งแต่ยะมัน (เยเมน) จรด ซีเรียนั้น ที่บ้านของท่านนาบีมูฮัมหมัด (ซ็อลฯ) ศาสดาแห่งอิสลาม มีเครื่องใช้เพียงเตียงนอนธรรมดาเตียงหนึ่ง กับถุงหนังสัตว์สำหรับใส่น้ำ ถุงหนึ่ง เท่านั้นเอง เสบียงอาหารที่เหลือติดบ้านอยู่ในวันที่ท่านสิ้นใจ มีเพียงข้าวสารสองสามกำมือ เท่านั้นเอง
6. เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ท่านนาบีเป็นคนใจดีที่สุด ความใจดีและความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เป็นนิสัยที่แท้จริงของท่าน ท่านไม่เคยปฏิเสธต่อคนยากจนที่มาขอจากท่านเลย ท่านเคยพูดว่า “ ฉันเป็นแต่เพียงผู้หยิบยื่นให้ และ เป็นผู้รักษาทรัพย์เท่านั้นเอง อัลลอฮฺเป็นผู้ทรงอนุมัติการจ่าย… ”
เมื่อมีคนยากจนมาขอจากท่าน ท่านจะให้เสมอ ถ้าท่านพอจะมีให้ได้ แต่ถ้าท่านไม่มี ท่านก็จะปลอบใจเขา หรือไม่เช่นนั้น ท่านก็จะบอกให้เขามาหาท่านใหม่ในโอกาสหน้า ท่านไม่เคยกินดื่มอาหารเพียงคนเดียว ท่านจะเรียกผู้อื่นให้มาร่วมกินกับท่านด้วยเสมอ เมื่อมีผู้ใดนำอาหารมามอบให้แก่ท่าน ท่านก็จะแจกจ่ายอาหารนั้นให้ได้กินกันทั่วถึงเสีย ก่อน แล้วท่านจึงจะกินอาหารนั้นได้อย่างเต็มใจ
7. ทำงานบ้านด้วยตัวเองท่านนาบีทำงานทุกอย่างในบ้านด้วยตัวเอง ท่านรีดนมแพะ ซักเสื้อผ้าเอง ท่านปะเสื้อด้วยตนเอง ซื้อข้าวของเอง ช่วยภรรยาทำงานบ้าน เมื่อรองเท้าของท่านเกิดชำรุด ท่านจะซ่อมแซมเอง ทำถังตักน้ำเอง ท่านเคยนวดและทาน้ำมันอูฐ และเมื่อจำเป็น ท่านก็ตีตราอูฐด้วยตนเอง และ ท่านเคยช่วยคนใช้นวดแป้ง
ครั้งหนึ่งมีคนสั่งน้ำมูกลงในมัสยิด ท่านนาบีได้เอาหิน เช็ดสิ่งที่น่ารังเกียจนั้นทิ้งไปด้วยตัวของท่านเอง นอกจากนี้ ท่านยังเคยซ่อมแซมบ้านเองด้วย
8. ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ“คอบ๊าบ” เป็นเพื่อนคนหนึ่งของท่านนาบี ที่บ้านของเขาไม่มีผู้ชายเลย มีแต่ผู้หญิงที่รีดนมวัวไม่เป็น คราวหนึ่งคอบ๊าบต้องไปทำสงครามหลายวัน ท่านนาบีจึงได้ไปช่วยรีดนมวัวแทนเขาทุกวันในระหว่างที่เขาไม่อยู่บ้าน
ท่านช่วยหญิงหม้าย และคนอนาถาทำงานโดยไม่เคยถือตัว หรือเสียดายแรงเลย พวกทาสหญิงในเมืองมาดีนะฮฺ มักจะมาหาท่านและพูดทำนองนี้ “ โอ้ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ พวกเราอยากจะขอร้องให้ท่านช่วยทำ (งาน) นี้ให้หน่อย ” ท่านนาบีก็จะกระตือรือร้นทำงานนั้นให้ ด้วยความเต็มใจเสมอ
วันหนึ่งมีทาสหญิงที่สติไม่ดีคนหนึ่งมาหาท่าน และฉวยมือท่านไว้ (เพื่อขอความเห็นใจ) ท่านจึงพูดกับนางว่า “เธอจะไปนั่งพักผ่อนที่ตรงไหนก็ได้ในเมืองมาดีนะฮฺแห่งนี้ ตาม แต่เธอประสงค์ ฉันจะทำงานแทนเธอเอง ” แล้วท่านก็ทำงานให้เธอจนแล้วเสร็จ
วันหนึ่ง ขณะที่ท่านนาบีกำลังยืนอยู่เพื่อจะทำละหมาด มีคนเบดูอิน (คนอาหรับที่กางกระโจมอยู่ตามทะเลทราย) คนหนึ่งได้มาจับชายเสื้อของท่านไว้ แล้วกล่าวว่า “ งานของฉันยังมีค้างอยู่อีกเล็กน้อย อยากจะให้ท่านช่วยทำเสียก่อน เดี๋ยวท่านจะลืมเสีย ” ท่านนาบีจึงออกจากมัสยิดไปกับเบดูอินผู้นั้น เมื่อท่านทำงานเสร็จแล้ว ท่านจึงได้กลับมาละหมาด
9. ถ่อมตนเสมอท่านนาบีชอบก้มหน้า ถ้าเดินเป็นกลุ่ม ท่านก็มักจะเดินข้างหลัง และปล่อยให้คนอื่นๆ เดินข้างหน้า เมื่อพบปะใคร ท่านจะทักเขาก่อนเสมอ ท่านจะนั่งในลักษณะที่ถ่อมตน ไม่เคยนั่งวางผึ่งอย่างคนใหญ่คนโตเลย ท่านนั่งกินอาหาร เหมือนอย่างคนจนๆ คนหนึ่ง ไม่มีลักษณะของความหยิ่งผยองเลย ท่านกินแต่พอควร ไม่กินมากจนอิ่มแปล้ ท่านไม่กินขนมปังที่ดีเป็นพิเศษ ไม่ใช้ถ้วยชามที่งดงามเป็นพิเศษ ท่านเอาใจใส่ต่ออาหารที่มีผู้เอามาให้เสมอ ไม่ว่าจะมาก น้อย หรือ จะไม่ดีอย่างไร ท่านก็ไม่เคยต่อว่า ไม่เคยพูดว่าไม่ชอบ ไม่น่ากิน หรือ มีกลิ่นที่ไม่ดีแต่อย่างใด ทั้งสิ้น ซึ่งหากว่าท่านไม่ชอบอาหารนั้น ท่านก็เพียงแต่ไม่กินมัน ท่านเคยพูดว่า “ ฉันเป็นบ่าวของอัลลอฮฺ ฉันจึงกิน และนั่งตามสภาพของบ่าว ” ท่านจะกินขนมปังจากแป้งที่ไม่ร่อนกากออก ท่านไม่เคยถือตัวว่าอยู่ในฐานะอันมีเกียรติเหนือผู้อื่น ท่านอยู่ร่วมกับคนทั้งหลายได้อย่างสนิทสนม ท่านได้เคยกำชับสาวกของท่านมิให้ยกย่องท่านเป็นพิเศษเหนือจากคนสามัญทั่วไป เมื่อเข้าไปสถานที่ที่มีผู้คนจำนวนมาก ท่านจะไม่เดินข้าม คนที่กำลังนั่งอยู่ แต่ท่านจะหาที่นั่ง ที่ใกล้ที่สุดโดยไม่ต้องเดินเข้าไป
ท่านนาบีมักจะนั่งรวมกับทาส และคนยากจน และท่านไม่เคยรังเกียจที่จะกินอาหารร่วมกันกับพวกเขา ถ้าประชาชนลุกขึ้นยืนให้เกียรติเมื่อท่านปรากฏตัว ท่านจะพูดขึ้นว่า “ อย่าทำตามอย่างชาวต่างชาติ โดยการลุกขึ้นยืนให้เกียรติแก่ฉันเลย ” ท่านไม่ชอบให้ผู้ใดเรียกขานท่านด้วยถ้อยคำอันแสดงถึงความยกย่องมากเกินไป ถึงแม้ว่าอันที่จริงแล้ว ท่านก็สมควรที่จะได้รับการยกย่องเช่นนั้น
เมื่อครั้งที่ปราบมักกะฮฺลงได้ แทนที่ท่านจะเข้าเมืองอย่างวางอำนาจ แต่ท่านได้ขี่อูฐเข้าไปในเมืองโดยก้มศีรษะลงต่ำ จนศีรษะของท่านเกือบจะติดกับหลังของอูฐ มิได้วางท่าทางของผู้ชนะเลย
ท่านไม่ชอบการพิถีพิถันในเรื่องการแต่งกายเพื่อโอ้อวดกัน และ ท่านมีนิสัยที่ไม่ชอบในเครื่องประดับ
10. ให้เกียรติแก่แขกผู้มาเยือน ท่านนาบีเอาใจใส่ต่อการต้อนรับแขกเป็นอย่างยิ่ง ท่านถึงกับมอบให้บิล้าล คอยทำหน้าที่ตอนรับแขก ดังนั้น แขกที่มาหาท่านจึงได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี คราใดที่มีตัวแทนจากศาสนาอื่นมาหาท่าน ท่านนาบีจะเอาใจใส่ดูแลพวกเขาแต่ละคนเป็นอย่างดี ยิ่งไปกว่านั้น ท่านยังอาจจะช่วยเหลือในเรื่องการเงิน และ คอยให้ความสะดวกแก่พวกเขาในการเดินทางผ่านดินแดนอีกด้วย
ท่านนาบีเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ โดยไม่เลือกว่าเป็นมุสลิม หรือ ศาสนิกอื่น ซึ่งผู้ที่ไม่ใช่มุสลิม ก็จะได้รับการต้อนรับในฐานะแขกผู้มีเกียรติจากท่าน เช่นเดียวกันกับมุสลิม
มีอยู่บ่อย ๆ ที่ท่านจัดอาหารรับรองแขกโดยที่คนในบ้านต้องอดอาหาร เพราะไม่มีอาหารเพียงพอ และท่านเตยตื่นขึ้นมาในตอนดึก เพื่อดูแลความสุขสบายของแขก
11. ไม่ชอบความฟุ่มเฟือย ท่านนาบีเคยพูดกับอาลีย์ว่า “ เป็นการไม่เหมาะสม สำหรับผู้ที่มีฐานะเป็นนาบี ที่จะเข้าไปในบ้านอันโอ่อ่า หรูหรา ” (คือ อยู่ในบ้านที่หรูหรา) และท่านเคยกล่าวไว้ว่า “ การมีเตียงนอนเตียงหนึ่งสำหรับตัวเอง อีกตัวหนึ่งสำหรับภรรยา และอีกตัวหนึ่งสำรองไว้สำหรับแขกที่มาพักก็พอเพียงแล้ว ซึ่งหากมีอีกหนึ่งเตียง เตียงนั้นก็เก็บไว้เพื่อชัยตอน ”
ท่านนาบีเคยกล่าวไว้ว่า “ อาคารทั้งหลายที่สร้างขึ้นนอกเหนือจากที่จะใช้เป็นที่อยู่อาศัยนั้น เป็นสิ่งที่นำความหายนะมาสู่มนุษย์ ”
เมื่อท่านเห็นฟาตีมะฮฺ บุตรีของท่านสวมสร้อยคอทองคำ ท่านจึงติว่า “ ลูกเอ๋ย ลูกจะรู้สึกอย่างไร หากผู้คนพากันพูดว่า ลูกสาวของท่านศาสนทูต สวมสร้อยคอที่เป็นไฟ ”
12. ไม่ชอบให้ใครขอทาน ท่านนาบีเกลียดชังคนขอทาน เว้นแต่ในกรณีหมดหนทางจริงๆ แต่ถึงกระนั้นท่านก็ไม่เห็นด้วยกับการขอทานเลย ท่านได้กล่าวว่า “ หากผู้ใดจะเข้าไปตัดฟืนในป่าแล้วแบกใส่หลังเอามาขายในตลาด เพื่อแลกกับปัจจัยยังชีพ ก็ยังเป็นการดีกับตัวเขาเองเสียยิ่งกว่าที่เขาจะไปเที่ยวขอทานจากคนอื่น ”
13. รักความเสมอภาค ท่านนาบีให้ความสำคัญแก่คนรวย คนยากจน คนชรา เด็ก นาย และ ทาส เท่ากันหมด ท่านปฏิบัติต่อเชลยเหมือนกันหมดทุกคน หากท่านได้รับหน้าที่ให้เป็นผู้แบ่งปันสิ่งของ ท่านจะเริ่มแจกจ่ายจากขวาไปซ้าย โดยไม่แบ่งแยกว่าคนไหนเป็นคนจน คนไหนเป็นคนรวย แต่จะแบ่งให้เท่ากันหมด ท่านไม่เคยสั่งสอนให้แบ่งแยกกัน ระหว่างผู้ใหญ่ กับ เด็ก หรือ คนร่ำรวย กับ คนยากจน แต่อย่างใด
14. รักคนจน ท่านนาบีมีความรัก และความผูกพันต่อคนยากจนมาก วันหนึ่งท่านนาบีได้ขอพรต่อ
อัลลอฮฺว่า “ โอ้อัลลอฮฺ โปรดให้ฉันมีชีวิตอยู่เหมือนคนยากจนคนหนึ่งเถิด และขอให้ฉันเสียชีวิตจากโลกนี้ไปอย่างคนจนคนหนึ่ง และ ขอให้ฉันฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งในหมู่คนจนด้วยเถิด ” ท่านเอาใจใส่ต่อคนยากจนเป็นอย่างดี พวกเขาไม่รู้สึกน้อยเนื้อตำใจในความขาดแคลนสิ่งอำนวยความสุขสบาย แต่พวกเขากลับถือว่า ความเอาใจใส่ที่ท่าน
นาบีมีต่อพวกเขานั้นเป็นสมบัติที่มีค่ายิ่งกว่า
ครั้งหนึ่งท่านนาบีเคยกล่าวไว้ว่า “ ความช่วยเหลือจากพระเจ้า และปัจจัยยังชีพ (ริซกี) ทั้งมวลที่พวกท่านได้รับก็เนื่องจาก (ความปรานีของพระเจ้า ที่มีต่อ) คนยากจนเหล่านี้นั่นเอง ”
ในอีกวาระหนึ่ง ท่านได้กล่าวว่า “ จงแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้อพยพที่ยากจนด้วยเถิดว่า พวกเขาจะได้เข้าสวนสวรรค์ก่อนคนร่ำรวยถึง 40 ปี ” และ ท่านนาบีนั้นมีมิตรสหายที่เป็นคนจนมากกว่าคนร่ำรวย โดยท่านนาบีได้เคยสั่งไว้ว่า “ หากมีมุสลิมที่ยากจนคนหนึ่งคนใดเสียชีวิตลง โดยมีหนี้สินติดตัวอยู่ ช่วยบอกฉันให้รู้ด้วย ฉันจะใช้หนี้ให้แก่เขา ส่วนทรัพย์สินที่เป็นมรดกของเขาก็จะถูกมอบแก่ทายาทของเขา โดยที่ฉันจะไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งนี้เลย ”
ในสมัยที่ท่านนาบีอยู่ที่นครมักกะฮฺ เมื่อท่านไปยังกะอฺบะฮฺ กับบรรดาสาวกที่ยากจนของท่าน บรรดาชาวกุร็อยช์ที่ภูมิฐานก็มักจะหัวเราะเยาะ แต่ท่านนาบีมิได้เอาใจใส่ ท่านยังคงร่วมทำการนมัสการ ระลึกถึงอัลลอฮฺร่วมกับสาวกของท่านต่อไป
15. มีอารมณ์ดี ท่านนาบีไม่เคยแสดงความประพฤติที่หยาบกระด้าง ท่านไม่เคยดูหมิ่น หรือ แสดงกิริยาหยาบคายต่อผู้ที่มาหาท่านเลย ท่านไม่เคยแสดงความขัดเคืองต่อเรื่องหยุมหยิมทางโลก แต่สำหรับเรื่องที่ขัดกับหลักศาสนาแล้ว ท่านจะแสดงความไม่พอใจอย่างรุนแรงเลยทีเดียว ท่านนาบีไม่เคยอารมณ์เสียเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัว หากท่านไม่พอใจผู้ใด ท่านก็เพียงแต่เบือนหน้าหนีจากผู้นั้น แต่ท่านไม่เคยกล่าวถ้อยคำที่แสดงถึงความไม่พอใจออกมาเลย ท่านนาบีให้อภัยเสมอแก่ทุกคนที่ทำในสิ่งที่ไม่สมควรต่อท่าน การให้อภัยเป็นนิสัยประจำตัวของท่าน ท่านนาบีไม่เคยแก้แค้นแก่ผู้ที่เคยทำให้ท่านต้องเดือดร้อน ใบหน้าของท่านร่าเริง สดชื่นเสมอ ท่านไม่เคยทำหน้าบึงตึงเลย และท่านจะหลีกเลี่ยงจากการงานที่ไม่มีประโยชน์ และไม่มีคุณค่า ท่านไม่ชอบการคอยจับผิดผู้อื่น และ ท่านไม่ชอบการโอ้อวดในความสำคัญของตัวเอง
16. อภัยให้แก่ศัตรู ท่านนาบีกล่าวว่า “ ฉันถูกส่งมามิใช่เพื่อเป็นมาร แต่เพื่อเป็นนิมิต (เครื่องหมาย) ที่ดีงาม สำหรับโลกนี้ ”
เมื่อครั้งที่เกิดสงครามอูฮุด ถึงแม้ว่าหน้าผากของท่านจะนองไปด้วยเลือดจากบาด แผล แต่ท่านก็พร่ำขอดุอาอฺ (ขอพร) ให้แก่ศัตรูของท่านว่า “ โอ้อัลลอฮฺ ขอทรงโปรดอภัยโทษให้แก่พวกเขาด้วย พวกเขากำลังตกอยู่ในความเขลา ”
ในวันที่ท่านนาบีได้รับชัยชนะเด็ดขาดต่อชาวมักกะฮฺนั้น บรรดาศัตรูที่เคยจองล้างจองผลาญท่านอย่างโหดร้ายในอดีต ได้ถูกนำมาให้ยืนอยู่ต่อหน้าท่าน ซึ่งขณะนั้นท่านมีอำนาจที่จะทำอย่างไรก็ได้กับศัตรูเหล่านี้ แต่ท่านกลับให้อภัยพวกเขาโดยกล่าวว่า “ ในวันนี้ จะไม่มีการกล่าวโทษต่อพวกท่าน ท่านเป็นอิสระแล้ว ”
เมื่อครั้งที่ “ อิกรอมะฮฺ ” ซึ่งเป็นลูกชายของอะบูญะฮัล ศัตรูตัวฉกาจของท่านมาหา ท่านได้ลุกขึ้นต้อนรับด้วยความดีใจจนเห็นได้ชัด ท่านรีบเข้าไปทักทายกับเขา ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้สวมเสื้อคลุม พร้อมกับกล่าวว่า “ โอ้ผู้ขี่ม้ามาจากแดนไกล เราขอต้อนรับท่าน ”
17. ชอบเยี่ยมคนป่วย ท่านนาบีมักจะไปเยี่ยมคนป่วย โดยไม่เลือกว่าผู้นั้นเป็นมิตร หรือ ศัตรู เป็นมุสลิม หรือ ไม่ใช่มุสลิม เมื่อญาติพี่น้องของผู้ป่วย มาตามท่านไปดูคนป่วยเป็นครั้งสุดท้าย ท่านมักจะไปด้วยทันที และ ท่านได้วิงวอนขอต่ออัลลอฮฺ ให้ยกโทษแก่บุคคลผู้กำลังสิ้นใจผู้นั้น พร้อมทั้ง ไปร่วมพิธีศพด้วยเสมอ
18. ระลึกถึงอัลลอฮฺอยู่เสมอ ท่านนาบีมีความสงบเสงี่ยมอยู่เสมอ ด้วยความยำเกรงต่ออัลลอฮฺ ท่านจะระลึกถึงอัลลอฮฺอยู่เสมอ ไม่ว่าจะกำลังยืน หรือ นั่งอยู่ก็ตาม ท่านเอาใจใส่กับการทำละหมาดเป็นพิเศษในเดือนรอมาฎอนอันประเสริฐ ท่านอ่านคัมภีร์อัลกุรฺอ่านในทุกๆวัน โดยที่ทุกครั้งที่ท่านอ่านอัลกุรฺอ่าน ท่านมักน้ำตาไหลด้วยความยำเกรงต่ออัลลอฮฺ และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแห่งอัลลอฮฺ
ท่านนาบีจะกล่าวคำระลึกถึงอัลลอฮฺเสมอ ในทุกอากัปกิริยา เช่น เมื่อลุกขึ้นยืน นั่ง เดิน เคลื่อนไหว กิน และ ดื่ม ทั้งเวลาเข้านอน หรือ ตื่นนอน เปลี่ยนเสื้อผ้า ขึ้นขี่พาหนะ ออกเดินทาง หรือ กลับบ้าน เข้าไปในบ้าน และ เข้าไปในมัสยิด เป็นต้น
19. มรดกของท่านนาบี ท่านนาบีไม่มีทรัพย์สมบัติใดๆ เมื่อท่านนาบีได้ลาจากไป ท่านมิได้ละทิ้งทรัพย์สมบัติ เช่น เหรียญเงิน หรือ เหรียญทองสักเหรียญ หรือ ทาสชายหญิง หรือ สิ่งอื่นในทำนองนี้ไว้เลย สิ่งที่ท่านเหลืออยู่ก็มีเพียงลาสีขาวตัวหนึ่ง อาวุธ และที่ดิน ซึ่งท่านก็ได้อุทิศให้เป็นการกุศลแก่มุสลิม โดยทั่วไปแล้วท่านนาบีมีความเป็นอยู่อัตคัด ขัดสนมาก เสื้อเกราะของท่านก็เอาไปจำนำไว้ เพื่อแลกกับข้าวสารเพียงไม่กี่กำมือ เสื้อผ้าของท่านมีรอยปะเต็มไปหมด เป็นสิ่งที่น่าสังเกตว่า ขณะนั้นเป็นเวลาที่ดินแดนอารเบียทั้งหมด ตกอยู่ในอำนาจของท่านนาบี ที่มาดีนะฮฺอันเป็นเมืองหลวงนั้นก็มีทรัพย์สมบัติเงินทองจนล้นคลัง แต่ฐานะของท่านนาบีผู้เป็นประมุขก็ยังยากจนเหมือนเดิม
รูปร่างของท่านนาบีมูฮัมหมัด
(ซ็อลลัลลอฮูอะลัยฮิวะซั่ลลัม) ท่านนาบีมีรูปร่างขนาดปานกลางได้สัดส่วน ไม่เตี้ย ไม่สูงมาก โครง สร้าง และกระดูกแข็งแรงได้ส่วน ผิวขาวอมแดง เกลี้ยงเกลา ผมดำหยักโศรกน้อยๆ คิ้วดก ตาสีดำ ขนตายาว จมูกโด่ง ใบหน้างาม แต่ไม่อวบอูม ท่านมีเคราดกดำ ไหล่กว้าง แข็งแรง และ ตรงกึ่งกลางระหว่างช่วงไหล่ มีเครื่องหมายอันเป็นสัญลักษณ์แห่งการเป็นนาบี