ผู้เขียน หัวข้อ: หะดีษ อัลอัรบะอีน อันนะวะวียะห์ หะดีษที่ 4: ช่วงตอนของการสร้างมนุษย์และบั้นปลาย  (อ่าน 3933 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ItQan

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 177
  • Reflection
  • Respect: +50
    • ดูรายละเอียด


عَنْ أَبِي عَبْدِ الرَّحْمَنِ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ مَسْعُودٍ (رضي الله عنه) قَالَ: حَدَّثَنَا رَسُولُ اللَّهِ (صلى الله عليه وسلم) -وَهُوَ الصَّادِقُ الْمَصْدُوقُ-: "إنَّ أَحَدَكُمْ يُجْمَعُ خَلْقُهُ فِي بَطْنِ أُمِّهِ أَرْبَعِينَ يَوْمًا نُطْفَةً، ثُمَّ يَكُونُ عَلَقَةً مِثْلَ ذَلِكَ، ثُمَّ يَكُونُ مُضْغَةً مِثْلَ ذَلِكَ، ثُمَّ يُرْسَلُ إلَيْهِ الْمَلَكُ فَيَنْفُخُ فِيهِ الرُّوحَ، وَيُؤْمَرُ بِأَرْبَعِ كَلِمَاتٍ: بِكَتْبِ رِزْقِهِ، وَأَجَلِهِ، وَعَمَلِهِ، وَشَقِيٍّ أَمْ سَعِيدٍ؛ فَوَاَللَّهِ الَّذِي لَا إلَهَ غَيْرُهُ إنَّ أَحَدَكُمْ لَيَعْمَلُ بِعَمَلِ أَهْلِ الْجَنَّةِ حَتَّى مَا يَكُونُ بَيْنَهُ وَبَيْنَهَا إلَّا ذِرَاعٌ فَيَسْبِقُ عَلَيْهِ الْكِتَابُ فَيَعْمَلُ بِعَمَلِ أَهْلِ النَّارِ فَيَدْخُلُهَا. وَإِنَّ أَحَدَكُمْ لَيَعْمَلُ بِعَمَلِ أَهْلِ النَّارِ حَتَّى مَا يَكُونُ بَيْنَهُ وَبَيْنَهَا إلَّا ذِرَاعٌ فَيَسْبِقُ عَلَيْهِ الْكِتَابُ فَيَعْمَلُ بِعَمَلِ أَهْلِ الْجَنَّةِ فَيَدْخُلُهَا".

“แท้จริง  คนหนึ่งจากพวกท่านนั้น  การกำเนิด(ก่อตัวขึ้นมา) ของเขาจะอยู่ในครรภ์มารดาของเขาโดยใช้เวลา 40 วัน  หลังจากนั้นในสิ่งดังกล่าว(คืออยู่ในครรภ์มารดา 40 วัน)  เขาก็กลายเป็นก้อนเลือดเฉกเช่นดังกล่าว(คือในช่วง 40 วัน)   หลังจากนั้นในสิ่งดังกล่าว(คือในการเป็นก้อนเลือด 40 วัน)   เขาก็จะกลายเป็นก้อนเนื้อ(ที่เป็นรูปร่าง) เฉกเช่นดังกล่าว(คือในช่วง 40 วันเช่นกัน)   หลังจากนั้น  มาลาอิกะฮ์จึงถูกส่งมา  แล้วทำการเป่าวิญญาณในมัน  และถูกบัญชาให้บันทึก 4 ประการ  คือบันทึกปัจจัยยังชีพ(ริสกี) ของเขา  วาระที่เขาจะตาย  การปฏิบัติของเขา  และบันทึกว่าเขาเป็นคนดีหรือคนเลว  ดังนั้น  ขอยืนยันด้วยกับผู้ทรงไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ว่า  แท้จริงคนใดจากพวกท่านนั้น  จะทำการปฏิบัติด้วยอะมัลของชาวสวรรค์  จนกระทั่งไม่มีระหว่างเขากับสวรรค์ นอกจากเพียงแค่ช่วงศอกเดียวเท่านั้น แต่ได้ถูกบันทึกบนเขาแล้ว (ว่าเขาเป็นชาวนรก)  ดังนั้นเขาก็ปฏิบัติอะมัลของชาวนรก เขาจึงเข้านรก และแท้จริง คนใดจากพวกท่านได้ปฏิบัติอะมัลของชาวนรก  จนกระทั่งไม่มีระหว่างเขากับไฟนรกนอกจากเพียงแค่ช่วงศอกเดียวเท่านั้น แต่ได้ถูกบันทึกบนเขาแล้ว (ว่าเขาเป็นชาวสวรรค์)  ดังนั้นเขาก็ปฏิบัติอะมัลของชาวสวรรค์ เขาจึงได้เข้าสวรรค์”

รายงานโดยอัลบุคอรีย์ (3208) มุสลิม (2643)
أللهم اخرجنا من ظلمات الوهم وأكرمنا بنور الفهم ... آمين يارب العالمين
โอ้อัลเลาะฮ์ ขอพระองค์ทรงให้เราออกห่างจากความมืดมนแห่งความคิดคลุมเครือ  และให้เกียรติเราได้วยรัศมีแห่งความเข้าใจ... อามีน ยาร็อบ

ออฟไลน์ ItQan

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 177
  • Reflection
  • Respect: +50
    • ดูรายละเอียด
ความสำคัญของหะดีษ

หะดีษบทนี้เป็นหะดีษสำคัญที่รวมไว้ซึ่งสภาพต่างๆ ของการสร้างมนุษย์ตั้งแต่เริ่มแรก การมาสู่โลกดุนยา  ไปจนถึงสภาพสุดท้ายของการคงอยู่อย่างนิรันดร์ในบ้านอันผาสุกหรือทุกข์ระทมตามแต่สิ่งที่เขาขวนขวายและประกอบกิจการงานเอาไว้ในโลกดุนยา ซึ่งสอดคล้องกับความรู้ของอัลเลาะฮ์ที่มีมาแต่เดิม

أللهم اخرجنا من ظلمات الوهم وأكرمنا بنور الفهم ... آمين يارب العالمين
โอ้อัลเลาะฮ์ ขอพระองค์ทรงให้เราออกห่างจากความมืดมนแห่งความคิดคลุมเครือ  และให้เกียรติเราได้วยรัศมีแห่งความเข้าใจ... อามีน ยาร็อบ

ออฟไลน์ ItQan

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 177
  • Reflection
  • Respect: +50
    • ดูรายละเอียด
ความเข้าใจจากหะดีษ


1.  วิวัฒนาการของทารกในครรภ์

        หะดีษบทนี้บ่งบอกว่าทารกในครรภ์นั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงในระยะเวลา 120 วันโดยแบ่งเป็น 3 ช่วง ช่วงละ 40 วัน 40 วันแรก เป็นอสุจิ 40 วันต่อมาเป็นก้อนเลือด และ 40 ที่สามเป็นก้อนเนื้อ หลักจาก 120 วันมะลาอิกะฮ์ก็จะเป่าวิญญาณเข้าไป และทำการบันทึกให้กับทารกนั้น 4 ประการด้วยกัน  อัลเลาะฮ์ตะอาลาได้ทรงตรัสไว้ในคัมภีร์ของพระองค์ถึงการเปลี่ยนแปลงของทารก ในช่วงต่างๆ เหล่านี้ พระองค์ได้ทรงตรัสว่า “โอ้บรรดามนุษย์เอ๋ย หากพวกเจ้าสงสัยคลางแคลงใจในเรื่องของการฟื้นคืนชีพแล้ว แท้จริงเราได้สร้างพวกเจ้าจากดิน แล้วจากอสุจิ แล้วจากก้อนเลือด แล้วจากก้อนเนื้อ” [อัลฮัจญญ์: 5]

   และอัลเลาะฮ์ตะอาลาได้ทรงตรัส ว่า “และขอสาบานว่า แน่นอนเราได้สร้างมนุษย์มาจากธาตุแท้ของดิน  แล้วเราทำให้เขาเป็นเชื้ออสุจิอยู่ในที่พักอันมั่นคง (มดลูก)  แล้วเราได้ทำให้เชื้ออสุจิกลายเป็นก้อนเลือด แล้วเราได้ทำให้ก้อนเลือดกลายเป็นก้อนเนื้อ แล้วเราได้ทำให้ก้อนเนื้อกลายเป็นกระดูก แล้วเราหุ้มกระดูกนั้นด้วยเนื้อ แล้วเราได้เป่าวิญญาณให้เขากลายเป็นอีกรูปร่างหนึ่ง ดังนั้นอัลเลาะฮ์ทรงจำเริญยิ่ง ผู้ทรงเป็นเลิศแห่งปวงผู้สร้าง

2. การเป่าวิญญาณ

        ปวงปราชญ์ได้เห็นพ้องต้องกันว่า การเป่าวิญญาณในทารกนั้นจะเกิดขึ้นหลังจากผ่าน 120 วันของการปฏิสนธิระหว่างสามีภรรยา  และดังกล่าวนั้นก็คือสี่เดือนบริบูรณ์และเข้าสู่เดือนที่ 5 ซึ่งการมีอยู่ของทารกในช่วงนี้สามารถมองเห็นได้ด้วยตา และมีหลักการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การที่สามีจะต้องให้ภรรยาเข้ามาอยู่ในบ้าน (อิสติลหาก) และให้นะฟะเกาะฮ์  สิ่งดังกล่าวนี้ก็เนื่องจากการมั่นใจว่าทารกนั้นกำลังเคลื่อนไหวอยู่ใน ครรภ์  และจากจุดนี้เองฮิกมะฮ์ของการที่สตรีที่สามีได้เสียชีวิตนั้นจะต้องนับอิด ดะฮ์ 4 เดือน 10 วัน เนื่องจากสามารถพิสูจน์ได้ว่ามดลูกของนางบริสุทธิ์โดยการไม่ปรากฏร่องรอยของ ทารกเมื่อครบกำหนดช่วงดังกล่าว

   และวิญญาณนั้น ก็คือสิ่งที่ทำให้มนุษย์มีชีวิต และมันเป็นพระบัญชาของอัลเลาะฮ์ ดังที่พระองค์ได้ทรงตรัสไว้ในอัลกุรอานว่า “และพวกเขาจะถามเจ้าเกี่ยวกับวิญญาณ จงกล่าวเถิดว่า วิญญาณนั้นเป็นไปตามพระบัญชาของพระเจ้าของฉัน และพวกท่านจะไม่ได้รับความรู้ใดๆ เว้นแต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

3. ห้ามการทำแท้ง

        ปวงปราชญ์มีความเห็นสอดคล้องกันเกี่ยวกับการทำแท้งหลังจากที่วิญญาณได้ถูก เป่าเข้าไปในทารกแล้ว และพวกเขาถือว่าดังกล่าวนั้นเป็นอาชญากรรม ไม่ฮะลาลที่มุสลิมจะกระทำ เพราะมันเป็นการละเมิดต่อชีวิตที่มีการสร้างสมบูรณ์และมีชีวิตที่ชัดเจน และจำเป็นต้องจ่ายดียะห์เมื่อมีการทำให้มันตกออกมาในลักษณะที่มีชีวิตแล้ว ตาย และลงโทษด้วยการจ่ายเงินที่น้อยกว่าดียะห์หากทารกตกออกมาในลักษณะที่ตายแล้ว

        ส่วนการทำแท้งก่อนการเป่าวิญญาณเข้าไปในทารกนั้น ก็ถือเป็นสิ่งต้องห้าม (ฮะรอม) เช่นกัน ดังกล่าวนี้เป็นทัศนะของปราชญ์นิติศาสตร์ส่วนใหญ่ และหลักฐานก็คือหะดีษต่างๆ ที่ศอฮิห์ที่บ่งบอกว่า กระบวนการสร้างนั้นเริ่มตั้งแต่อสุจิหลังจากที่มันฝังตัวอยู่ในมดลูก ท่านอิหม่ามมุสลิมได้รายงานจากหุซัยฟะห์ บิน อุซัยด์ แท้จริงท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ได้กล่าวว่า “เมื่อได้ผ่านอสุจิไป 42 คืน (บางสายรายงาน ใช้คำว่า บิฎอฺ คือ 42-43) อัลเลาะฮ์จะส่งมะลาอิกะฮ์ มาทำให้เป็นรูปร่าง และสร้างหู ตา ผิวหนัง เนื้อ และกระดูกให้แก่มัน”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.พ. 09, 2011, 11:11 AM โดย ItQan »
أللهم اخرجنا من ظلمات الوهم وأكرمنا بنور الفهم ... آمين يارب العالمين
โอ้อัลเลาะฮ์ ขอพระองค์ทรงให้เราออกห่างจากความมืดมนแห่งความคิดคลุมเครือ  และให้เกียรติเราได้วยรัศมีแห่งความเข้าใจ... อามีน ยาร็อบ

ออฟไลน์ ItQan

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 177
  • Reflection
  • Respect: +50
    • ดูรายละเอียด


4. การรู้ของอัลเลาะฮ์

            แท้จริงอัลเลาะฮ์ตะอาลาทรงรู้สภาพการของสิ่งที่ถูกสร้างก่อนที่พระองค์จะทรงสร้างสิ่งนั้น ดังนั้นจึงไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดจากพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นการศรัทธา การฏออะฮ์ หรือ การปฏิเสธและการฝ่าฝืน ความสุขและทุกข์ นอกจากด้วยการรู้ของอัลเลาะฮ์และพระประสงค์ของพระองค์ ตัวบทต่างๆ มากมายได้กล่าวถึงการบันทึกที่มีมาก่อน เช่น ในรายงานของท่านอิหม่ามอัลบุคอรีย์จากท่านอลีย์บินอบีฏอลิบ (ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ) จากท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) “ไม่มีชีวิตหนึ่งที่ถูกให้เกิดมา เว้นแต่ว่าอัลเลาะฮ์จะบันทึกสถานที่ของมันไว้ว่าเป็นสวรรค์หรือนรก และเว้นแต่ว่ามันจะถูกบันทึกว่ามีความผาสุกหรือความทุกข์ ดังนั้นได้มีชายคนหนึ่งกล่าวว่า โอ้ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ถ้าเช่นนั้นเราจะไม่รอคอยบันทึกของเราและละทิ้งการปฏิบัติ (อะมั้ล) กระนั้นหรือ?  ท่านร่อซูลจึงได้กล่าวว่า พวกท่านจงอะมั้ลเถิด เพราะทุกคนนั้นจะมีหนทางสะดวกไปสู่สิ่งที่เขาถูกสร้างมาสำหรับสิ่งนั้น สำหรับชนแห่งความผาสุก พวกเขาก็จะมีความง่ายดายสำหรับอะมั้ลของชนแห่งความผาสุก ส่วนชนแห่งความทุกข์ระทมนั้น พวกเขาก็จะมีความง่ายดายสำหรับอะมั้ลของชนแห่งความทุกข์ระทม หลังจากนั้น ท่านร่อซูลจึงอ่านอายะฮ์ “ส่วนผู้ที่บริจาคและยำเกรง (อัลเลาะฮ์) และเชื่อมั่นในสิ่งที่ดี เราก็จะให้เขาได้รับความสะดวกอย่างง่ายดาย  และส่วนผู้ที่ตระหนี่และถือว่ามีพอเพียงแล้ว และปฏิเสธสิ่งที่ดีงาม เราก็จะให้เขาได้รับความลำบากอย่างง่ายดาย” [อัลลัยล์: 5-10]

            ดังนั้นการรู้ของอัลเลาะฮ์ไม่ได้เป็นการยกการเลือกเฟ้นและการเจตนาออกไปจากบ่าว  เพราะการรู้นั้นเป็นคุณลักษณะที่ไม่ได้ทำให้บังเกิดผล และแน่นอนอัลเลาะฮ์ตะอาลาได้ทรงใช้มนุษย์ให้ศรัทธาและทำการฏออะฮ์ และได้ทรงห้ามพวกเขาจากการปฏิเสธและการฝ่าฝืน และดังกล่าวนี้ก็เป็นหลักฐานยืนยันว่า สำหรับบ่าวนั้นมีการเลือกเฟ้นและมีเจตนาในสิ่งที่เขาต้องการ หากไม่เช่นนั้นแล้ว คำสั่งใช้ของอัลเลาะฮ์ตะอาลาและคำสั่งห้ามของพระองค์ก็จะเป็นเรื่องไร้สาระซึ่งเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน อัลเลาะฮ์ตะอาลาทรงตรัสว่า “และด้วยชีวิตและที่พระองค์ทรงทำให้มันสมบูรณ์ แล้วพระองค์ทรงดลใจมันให้รู้ทางชั่วของมันและทางสำรวมของมัน แน่นอนผู้ขัดเกลาจิตใจย่อมได้รับความสำเร็จ และแน่นอนผู้หมกมุ่นมัน (ด้วยการทำชั่ว) ย่อมล้มเหลว” [อัชชัมส์: 7-10]

5. การกล่าวอ้างถึงการกำหนด (ก่อดัร)

           แน่แท้อัลเลาะฮ์ตะอาลาได้ทรงใช้ให้เราศรัทธาและฏออะฮ์ต่อพระองค์ และได้ทรงห้ามเราจากการปฏิเสธและการฝ่าฝืน และสิ่งดังกล่าวนี้เป็นหน้าที่ตกหนักสำหรับเรา ส่วนสิ่งที่อัลเลาะฮ์ได้ทรงกำหนด (ก่อดัร) ไว้ให้แก่เรานั้น (ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี) ก็เป็นสิ่งที่มัจญฮูล เราไม่ทราบได้และเราก็ไม่ถูกถามถึงด้วยเช่นกัน ดังนั้นผู้ที่อยู่ในความหลงผิด อยู่ในการปฏิเสธและสิ่งชั่วร้ายก็อย่าได้อ้างว่าเป็นเพราะการกำหนดการบันทึกและพระประสงค์ของอัลเลาะฮ์ ก่อนที่สิ่งดังกล่าวนั้นจะเกิดขึ้นจากเขา อัลเลาะฮ์ตะอาลาได้ทรงตรัสว่า “และจงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า พวกท่านจงทำงานเถิด แล้วอัลเลาะฮ์จะทรงเห็นการงานของพวกท่าน และร่อซูลของพระองค์และบรรดามุมิน” [อัตเตาบะฮ์: 105]
ส่วนหลังจากสิ่งที่ถูกกำหนดไว้ได้เกิดขึ้นแล้ว การอ้างถึงก่อดัรนั้นเป็นที่อนุญาต เนื่องจากทำให้ผู้ศรัทธาพบกับความผ่อนคลายขณะที่เขายอมจำนนต่อการก่อฎออ์ของอัลเลาะฮ์ตะอาลา และการก่อฎออ์ของอัลเลาะฮ์ตะอาลาให้แก่ผู้ศรัทธานั้นดำเนินไปด้วยความดีงามทั้งในรูปของความสุขสบายและความยากลำบาก
أللهم اخرجنا من ظلمات الوهم وأكرمنا بنور الفهم ... آمين يارب العالمين
โอ้อัลเลาะฮ์ ขอพระองค์ทรงให้เราออกห่างจากความมืดมนแห่งความคิดคลุมเครือ  และให้เกียรติเราได้วยรัศมีแห่งความเข้าใจ... อามีน ยาร็อบ

ออฟไลน์ ItQan

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 177
  • Reflection
  • Respect: +50
    • ดูรายละเอียด

6. การงานนั้นดูที่ช่วงท้ายของมัน

        ท่านอิหม่ามอัลบุคอรีย์ได้รายงานจากซะฮ์ล บิน ซะอ์ด จากท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ได้กล่าวว่า “แท้จริงแล้วการงานนั้นดูที่ช่วงท้ายของมัน” และดังกล่าวนี้ก็หมายความว่า แท้จริงแล้วคนที่การศรัทธาและการฏออะฮ์ถูกบันทึกให้กับเขาในบั้นปลายของชีวิตนั้น บางครั้งเขาอาจปฏิเสธและฝ่าฝืนในบางช่วง หลังจากนั้นอัลเลาะฮ์ทรงเตาฟีกเขาไปสู่การศรัทธาและการฏออะฮ์ในช่วงเวลาหนึ่งก่อนถึงวาระสุดท้าย แล้วเขาก็ตายบนสิ่งดังกล่าวนั้น ดังนั้นเขาก็จะได้เข้าสวรรค์ และผู้ที่ถูกบันทึกการปฏิเสธและความชั่วร้ายในบั้นปลายชีวิต บางทีเขาอาจจะศรัทธาและฏออะฮ์ช่วงหนึ่ง หลังจากนั้นอัลเลาะฮ์ได้ละทิ้งเขา –ด้วยการแสวงหา การปฏิบัติและความต้องการของบ่าวเอง – และเขาได้ประกอบการงานของชาวนรก และเขาได้ตายบนสิ่งดังกล่าว ดังนั้นเขาก็จะเข้านรก
ดังนั้นบ่าวจะต้องไม่หลงไปกับสภาพของมนุษย์ที่มองเห็นภายนอก เพราะการพิจารณานั้นดูที่บั้นปลาย และเขาจะต้องไม่สิ้นหวังจากสภาพที่มองเห็นภายนอก เพราะการพิจารณานั้นดูที่บั้นปลาย เราขอต่ออัลเลาะฮ์ตะอาลาให้มั่นคงอยู่บนสัจธรรม ความดีงาม และบั้นปลายที่ดีงาม

7. ท่านนบีมุฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ได้ขอดุอาอย่างมากว่า “โอ้ผู้ทรงพลิกผันบรรดาหัวใจ โปรดทรงให้หัวใจของฉันมั่นคงอยู่บนศาสนาของท่าน”

8. ท่านอิบนุหะญัร อัลฮัยตะมีย์ ได้กล่าวว่า “แท้จริงแล้วบั้นปลายที่เลวร้าย –ขอความคุ้มครองต่ออัลเลาะฮ์ให้พ้นจากสิ่งดังกล่าว- นั้นด้วยกับสาเหตุของความหมกมุ่นที่อยู่ภายในหัวใจของบ่าว ซึ่งคนทั่วไปไม่อาจรู้ได้ และเช่นเดียวกัน บางครั้งชายคนหนึ่งได้ประกอบการงานของชาวนรกและในหัวใจของเขามีคุณลักษณะที่ดีซ่อนอยู่โดยในบั้นปลายชีวิตของเขานั้นมันพิชิตเขาได้ ดังนั้นบั้นปลายชีวิตที่ดีงามจึงมีให้สำหรับเขา

9. หะดีษบทนี้ได้บ่งชี้ถึงช่วงตอนของการพัฒนาการของทารกในครรภ์ ขณะที่วิชาการแพทย์ในยุคใหม่พึ่งจะมีการค้นพบ และนี่ก็เป็นความมหัศจรรย์ทางวิชาการอันชัดแจ้งในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานและซุนนะฮ์ของท่านนบี

อ้างอิง: ดร. มุศตอฟา อัลบุฆอ, อัลวาฟีย์ ฟี ชัรหฺ อัลอัรบะอีน อันนะวะวียะห์ (เบรุต: ดาร อิบนิกะษีร, พิมพ์ครั้งที่ 11, ค.ศ. 1999), หน้า 24-29.
أللهم اخرجنا من ظلمات الوهم وأكرمنا بنور الفهم ... آمين يارب العالمين
โอ้อัลเลาะฮ์ ขอพระองค์ทรงให้เราออกห่างจากความมืดมนแห่งความคิดคลุมเครือ  และให้เกียรติเราได้วยรัศมีแห่งความเข้าใจ... อามีน ยาร็อบ

ออฟไลน์ Al Fatoni

  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4905
  • เพศ: ชาย
  • จงอยู่กับความจริงแล้วจะไม่หลง
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
ฉบับแปลภาษาอินโดเนเซียก็มีครับข้างต้นนี้ แต่ไม่ทันซื้อ เพราะตังค์ไม่พอ ไว้โอกาสหน้า อิอิ
ท่านขนขวายอะไร ท่านก็จะได้สิ่งนั้น - วัลลอฮุอะอฺลัม

 

GoogleTagged