ผู้เขียน หัวข้อ: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย ตอนที่ 27 อัน-นัมลุ  (อ่าน 5510 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

 :salam:

คำอธิบายประกอบสูเราะฮฺ อัน-นัมลุ (มด - النمل ) R3.

เป็นสูเราะฮฺมักกียะฮฺ มี 93 อายะฮฺ
 
บทนำ
    ชื่อซูเราะฮฺ : ซูเราะฮฺนี้ได้ชื่อมาจากคำว่า وادالنمل  (วาดินนัมล์) ในอายะฮฺที่ 18  ซึ่งบอกให้เราทราบว่าในซูเราะฮฺนี้ได้มีการบอกเล่าเรื่องราวของ “อัน-นัมลุ” (มด)
    ระยะเวลาของการประทานซูเราะฮฺ : เนื้อหาสาระและลีลาของซูเราะฮฺนี้มีความละม้ายคล้ายคลึงกับซูเราะฮฺที่ถูกประทานลงมาในช่วงกลางแห่งการปฏิบัติภารกิจของท่านนบีมุฮัมมัด (ขอความสันติจงมีแด่ท่าน) ที่นครมักกะฮฺ และมีหะดีษหลายตอนสนับสนุนด้วย อิบนุอับบาส และญาบิรฺ บิน เซด กล่าวว่า “ตอนแรกซูเราะฮฺ อัช-ชุอะรออ์ได้ถูกประทานลงมาก่อน และหลังจากนั้นซูเราะฮฺ อัล-เกาะศ็อศก็ได้ถูกประทานลงมา
    เนื้อเรื่อง : ซูเราะฮฺนี้ประกอบด้วยคำพูดสองตอน ตอนแรกเริ่มจากตอนต้นของซูเราะฮฺไปจนจบอายะฮฺที่ 58 และตอนที่สองจากอายะฮฺที่ 59 ไปจนจบซูเราะฮฺ
   เนื้อหาของคำพูดตอนแรกก็คือ คนที่จะได้รับประโยชน์จากทางนำของกุรฺอานและควรคู่กับคำสัญญาที่กุรฺอานได้ให้ไว้ก็คือคนที่ยอมรับความจริงที่กุรอานนำมาเสนอว่าเป็นความจริงขั้นพื้นฐานของจักรวาลและปฏิบัติตามความจริงนั้นด้วยความเชื่อฟังและยอมจำนน แต่อุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับมนุษย์ในการที่จะปฏิบัติตามทางนี้ก็คือ การปฏิเสธโลกหน้า เพราะการปฏิเสธโลกหน้า ทำให้เขาเป็นคนไม่รับผิดชอบ เห็นแก่ตัว และมุ่งแต่โลกวัตถุซึ่งทำให้เขาไม่สามารถยอมตนต่ออัลลอฮฺและยอมรับข้อจำกัดทางศีลธรรมได้ หลังจากกล่าวนำแล้วก็มีการนำลักษณะของคนสามแบบมาแสดงให้เห็น
   ลักษณะแรก ก็คือลักษณะของฟาโรห์และบรรดาหัวหน้าของชาวษะมูดและผู้คนในสมัยนบีลูฏ ซึ่งไม่เชื่อในเรื่องการตัดสินตอบแทนในโลกหน้า ดังนั้นคนเหล่านี้จึงตกเป็นทาสของโลกวัตถุ คนเหล่านี้ถึงแม้จะเห็นปาฏิหาริย์แล้วก็ยังไม่เชื่อ ไม่เพียงแต่เท่านั้น พวกเขายังหันหลังให้กับคนที่เชิญชวนพวกเขาไปสู่คุณธรรมและความดี และยังคงดึงดันอยู่ในหนทางเลวทรามที่คนที่มีจิตสำนึกทุกคนรังเกียจ ในที่สุด คนเหล่านี้ก็ต้องถูกทำลายด้วยความกริ้วจากอัลลอฮฺ
   ลักษณะประเภทที่สอง ก็คือลักษณะของนบีสุลัยมาน ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับความมั่งคั่ง อำนาจและความยิ่งใหญ่ เกินกว่าที่พวกหัวหน้าผู้ปฏิเสธแห่งมักกะฮฺจะฝัน แต่เนื่องจากนบีสุลัยมานถือว่าตัวท่านจะต้องไปตอบต่ออัลลอฮฺและมีความรู้สึกว่า อะไรก็ตามที่ท่านได้มานั้นก็เนื่องมาจากความโปรดปรานของอัลลอฮฺ ท่านจึงเป็นผู้นอบน้อมยอมจำนนต่อพระองค์และไม่มีลักษณะแห่งความโอหังให้เห็น
   ลักษณะประเภทที่สาม ก็คือลักษณะของราชินีชีบา ผู้ปกครองประชาชนที่มั่งคั่งและมีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ของอารเบีย นางมีทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นในชีวิตที่สามารถทำให้คนกลายเป็นผู้โอหังได้ ทรัพย์สินและความมั่งคั่งของนางมากมายมหาศาลเกินกว่าทรัพย์สินและความมั่งคั่งของพวกกุเรชทั้งหมดเสียด้วยซ้ำ หลังจากนั้นนางก็ทำชิริก ซึ่งไม่เพียงแต่จะเป็นวิถีชีวิตที่ปฏิบัติกันมาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษของนางเท่านั้น แต่นางยังต้องปฏิบัติตามมันเพื่อที่จะรักษาสถานภาพของนางในฐานะผู้ปกครองด้วย ดังนั้น สำหรับนางจึงเป็นเรื่องยากลำบากกว่าคนทั่วไปที่จะละทิ้งชิริก และหันมายอมรับหลักเตาฮีด แต่เมื่อสัจธรรมเป็นที่แจ่มชัดแก่นาง มันก็ไม่มีสิ่งใดที่จะมาหยุดยั้งนางจากการยอมรับสัจธรรมนั้นได้ ความจริงแล้ว การที่ชีวิตของนางหันเหออกไปจากแนวทางที่ถูกต้องก็เพราะนางเกิดมาและถูกเลี้ยงดูในสภาพแวดล้อมที่มีแต่การชิริก มิใช่เพราะนางเป็นทาสอารมณ์และความต้องการของนาง
   คำพูดตอนที่สองได้ชี้ให้เห็นถึงความจริงที่เห็นได้อย่างชัดเจนของจักรวาลและบรรดาผู้ปฏิเสธแห่งมักกะห์ ได้ถูกตั้งคำถามครั้งแล้วครั้งเล่าว่า : “ความจริงเหล่านี้ยืนยันความเชื่อเรื่องชิริกที่พวกเจ้ากำลังปฏิบัติตามหรือยืนยันสัจธรรมแห่งหลักการเตาฮีดที่กุรฺอานกำลังเชิญชวนพวกเจ้า ?” หลังจากนั้นก็ได้มีการชี้ให้เห็นถึงสาเหตุแห่งความเจ็บป่วยที่แท้จริงของบรรดาผู้ปฏิเสธว่า “สิ่งที่ทำให้พวกเขาตาบอดและพวกเขาไม่สำนึกถึงความจริงที่เห็นได้อย่างชัดแจ้งก็คือการปฏิเสธความเชื่อในโลกหน้า สิ่งนี้เองที่ทำให้พวกเขาถือว่าชีวิตไม่ใช่เรื่องจริงจัง เพราะสำหรับพวกเขา ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องกลายเป็นดินในที่สุด และชีวิตก็ไม่มีวัตถุประสงค์อะไร ความจริงและความเท็จก็เหมือนกัน ดังนั้นปัญหาที่ว่าระบบชีวิตจะวางอยู่บนพื้นฐานที่ถูกต้องหรือผิดจึงไม่มีความหมายสำหรับพวกเขา”
   แต่คำพูดดังกล่าวข้างต้นมิได้ต้องการที่จะหน่วงเหนี่ยวท่านนบีและมุสลิมมิให้เรียกร้องเชิญชวนคนดื้อรั้นดันทุรังมาสู่หนทางแห่งเตาฮีด ความจริงแล้วคำพูดดังกล่าวต้องการที่จะกระตุ้นคนเหล่านั้นให้ตื่นขึ้นจากความง่วงเหงาซึมเซา นั่นคือเหตุผลที่ว่า ทำไมในอายะฮฺ 67 - 93 จึงได้มีการกล่าวถึงบางสิ่งบางอย่างซ้ำแล้วซ้ำอีก เพื่อที่จะสร้างความสำนึกในเรื่องโลกหน้าให้เกิดขึ้นในหมู่ผู้คน เพื่อเตือนพวกเขาให้เห็นถึงผลที่จะติดตามมาจากการไม่ใส่ใจในเรื่องนี้ และเพื่อที่จะทำให้พวกเขามั่นใจว่าชีวิตในโลกหน้าจะต้องมีอย่างแน่นอน เหมือนกับคนที่เห็นบางสิ่งมาด้วยตาของตัวเองและต้องการที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้แก่คนที่ไม่ได้เห็นมัน
   กล่าวโดยสรุป การเชิญชวนที่แท้จริงของกุรฺอานก็คือการเชิญชวนมนุษย์ให้เคารพภักดีอัลลอฮฺ และมนุษย์ได้ถูกเตือนว่า การยอมรับกุรอานจะเป็นผลดีต่อมนุษย์เองและการปฏิเสธกุรอานก็จะเป็นผลร้ายต่อมนุษย์ เพราะถ้าหากพวกเขาไม่ยอมศรัทธาไปจนกระทั่งได้เห็นสัญญาณของอัลลอฮิแล้ว พวกเขาก็จะไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากจะต้องเชื่อและยอมจำนน และเมื่อถึงเวลานั้นก็ขอให้พวกเขาได้รู้ว่า เวลานั้นเป็นเวลาแห่งการตัดสินแล้ว และการศรัทธาในตอนนั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีก

   
----------------------------------------------------

เอกสารอ้างอิง
R1. The Noble Qur’an (Dr.Muhammad Taqi-ud-Din al-Hilali and Dr.Muhammad Muhsin Khan.)
R2. อัลกุรอานฉบับแปลภาษาไทย โดย มัรวาน สะมะอุน
R3. ตัฟฮีมุลกุรฺอาน(อรรถาธิบายโดย เมาลานา ซัยยิด อบุล อลา เมาดูดี แปลโดย บรรจง บินกาซัน)
R4. พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน พร้อมคำแปลเป็นภาษาไทย ศูนย์กษัตริย์ฟาฮัด เพื่อการพิมพ์อัลกุรฺ อานแห่งนครมาดีนะฮ์
R5. พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ฉบับภาษาไทย (โดย นายต่วน สุวรรณศาสน์-ฮัจยีอิสมาแอล บินฮัจยียะห์ยา)


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัน-นัมลุ อายะฮฺที่ 1 - 5




คำอ่าน
1. ฏอ สีน ติลกะอายาตุลกุรฺอานิ วะกิตาบิม..มุบีน
2. ฮุเดา..วะบุชรอลิลมุอ์มินีน
3. อัลละซีนะยุกีมูนัศเศาะลาตะ วะยุอ์ตูนัซซะกาตะ วะฮุม..บิลอาคิเราะติฮุม ยูกินูน
4. อิน..นัลละซีนะลายุอ์มินูนะ บิลอาคิเราะติ ซัยยัน..นาละฮุม อะอฺมาละฮุม ฟะฮุมยะอฺมะฮูน
5. อุลา...อิกัลละซีนะละฮุม สู...อุลอะซาบิ วะฮุมฟิลอาคิเราะติ ฮุมุลอัคสะรูน


คำแปล R1.
1. Ta-Sin. [These letters are one of the miracles of the Qur'an, and none but Allah (Alone) knows their meanings]. These are thev of the Qur'an, and (it is) a book (that makes things) clear;
2. A guide (to the right path); and glad tidings for the believers [who believe in the Oneness of Allah (i.e. Islamic Monotheism)].
3. Those who perform As-Salat (Iqamat-as-Salat) and give Zakat and they believe with certainty in the Hereafter (Resurrection, Recompense of their good and bad deeds, Paradise and Hell, etc.).
4. Verily, those who believe not in the Hereafter, we have made their deeds fair-seeming to them, so they wander about blindly.
5. They are those for whom there will be an evil torment (in this world). And in the Hereafter they will be the greatest losers.


คำแปล R2.
1. ฏอ ซีน นี้เป็นโองการแห่งอัลกุรอานและคัมภีร์อันแจ้งชัด
2. เป็นสิ่งชี้นำทางและเป็นข่าวประเสริฐสำหรับศรัทธาชน
3. ซึ่งพวกเขาเป็นผู้ที่ดำรงการละหมาดและบริจาคทานซะกาต อีกทั้งพวกเขามีความเชื่อมั่นในโลกหน้า
4. แท้จริงบรรดาผ้ไม่ศรัทธากับโลกหน้าเราได้ประดับ(ความคิด)แก่พวกเขา(ให้พวกเขาชื่นชอบในความชั่วช้าแห่ง)การงานต่าง ๆ ของพวกเขาเอง ดังนั้นพวกเขาจึงมีแต่ความงงงัน
5. พวกเหล่านั้นเป็นพวกที่ต้องได้รับการลงโทษอันเลวร้าย และพวกเขาต้องประสบความขาดทุนที่สุดในโลกหน้า


คำแปล R3.
1. ฏอ ซีน เหล่านี้คืออายะฮฺของกุรอาน และคัมภีร์อันแจ่มแจ้ง
2. เป็นทางนำและข่าวดีสำหรับบรรดาผู้ศรัทธา
3. ผู้ซึ่งดำรงนมาซและจ่ายซะกาตและพวกเขาคือผู้เชื่อมั่นในโลกหน้า
4. ความจริงแล้ว เราได้ทำให้การงานของบรรดาผู้ไม่ศรัทธาในโลกหน้าเป็นที่ดูดีแก่พวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงหลงไปอย่างมืดบอด
5. พวกเขาคือผู้ที่จะได้รับการลงโทษอันชั่วช้า และในโลกหน้า พวกเขาเป็นผู้ที่ขาดทุน


คำแปล R4.
1. ฏอ ซีน เหล่านี้คือโองการทั้งหลายของอัรกุรอาน และคัมภีร์อันชัดแจ้ง
2. เป็นแนวทางที่ถูกต้อง และข่าวดีสำหรับบรรดาผู้ศรัทธา
3. บรรดาผู้ที่ดำรงการละหมาดและบริจาคซะกาตและต่อวันปรโลกพวกเขาเชื่อมั่น
4. แท้จริงบรรดาผู้ไม่ศรัทธาต่อวันปรโลกนั้น เราได้ทำให้การงานของพวกเขาสวยงามแก่พวกเขา ดังนั้นพวกเขาจะระเหเร่ร่อน
5. ชนเหล่านั้น พวกเขาจะได้รับการลงโทษอันชั่วช้า และในวันปรโลกพวกเขาเป็นผู้ขาดทุนยิ่ง


คำแปล R5.
๑. ฏอ ซีน (อัลเลาะห์ทรงรอบรู้ความหมายเพียงพระองค์เดียว) นี้คือบรรดาโองการแห่งอัลกุรอานและคัมภีร์อันชัดแจ้ง ที่ทำความจริงให้ปรากฏและสลายความเท็จให้หมดสิ้น
๒. คัมภีร์อัลกุรอานเป็นสิ่งชี้นำมวลชนทั้งหลายให้หันเหออกจากความหลงผิด และเป็นข่าวดีสำหรับศรัทธาชนทั้งหลายที่จะยึดเป็นแนวทางเพื่อดำเนินไปสู่ความสุขศานติแห่งสวรรค์
๓. คุณสมบัติแห่งศรัทธาชนคือเป็นผู้ที่ดำรงละหมาดเป็นนิตย์เนืองบริจาคซะกาตโดยสม่ำสมอและครบถ้วน และพวกเขามีความเชื่อมั่นในวันปรภพอย่างแน่นแฟ้น ไม่ลังเลหรือสงสัยใด ๆ ทั้งสิ้น
๔. ที่จริงบรรดาผู้ไม่ศรัทธาต่อวันปรภพนั้น เราได้ทำให้พวกเขาเห็นดีงามกับการประกอบการงานต่าง ๆ อันเลวร้ายของพวกเขาเอง ซึ่งพวกเขาจะประพฤติความชั่วร้ายเลวทรามต่าง ๆ จนชาชินและไม่เคยสำนึกในความน่ารังเกียจและน่าอุจดของความชั่วเหล่านั้น แต่แล้วพวกเขาก็งงงัน เมื่อประจักษ์ในโอกาสต่อมาว่า การงานอันเลวร้ายที่พวกเขาประกอบเป็นอาจินต์นั้นเป็นที่รังเกียจของสังคมมุสลิมผู้มีศรัทธาทั้งหลาย ไม่มีศรัทธาชนคนใดเห็นดีเห็นงามกับการกระทำเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย
๕. พวกเหล่านั้นจะต้องได้รับการลงโทษอันเลวร้ายที่สุด ซึ่งพวกเขาจะได้รับความทรมานในโทษที่ได้รับนั้น ไม่ว่าในโลกนี้หรือโลกหน้าก็ตาม สำหรับโลกนี้พวกเขาจะต้องถูกประหารชีวิตและถูกจับเป็นเชลย ส่วนโลกหน้าก็จะต้องถูกจองจำในนรกตลอดไปและพวกเขาเป็นผู้ที่ขาดทุนที่สุดในวันปรภพ


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัน-นัมลุ อายะฮฺที่ 6 - 10


คำอ่าน
6. วะอิน..นะกะ ละตุลักก็อลกุรฺอานะ มิลละดุน หะกีมินอะลีม
7. อิซกอละมูสา ลิอะฮฺลิฮี..อิน..นี..อานัสตุนารอ สะอาตีกุม..มินฮา บิเคาะบะริน เอาอาตีกุม..บิชิฮาบิน..เกาะบะสิลละอัลละกุมตัศเฏาะลูน
8. ฟะลัม..มาญา...อะฮา นูดิยะอัม..บูริกะ มัน..ฟิน..นาริ วะมันเหาละฮา วะสุบหานัลลอฮิร็อบบิลอาละมีน
9. ยามูสา..อิน..นะฮู..อะนัลลอฮุลอะซีซุลหะกีม
10. วะอัลกิอะศอก ฟะลัม..มาเราะอาฮา ตะฮฺตัซซุ กะอัน..นะฮา ญา..นนู..วัลลามุดบิร็อว..วะลัมยุอักกิบ ยามูสา ลาตะค็อฟ อิน..นีลายะคอฟุละดัยยัลมุรฺสะลูน


คำแปล R1.
6. And verily, you (O Muhammad ) are receiving the Qur'an from the one, All-Wise, All-Knowing.
7. (Remember) when Musa (Moses) said to his household: "Verily! I have seen a fire, I will bring you from there some information, or I will bring you a burning brand, that you may warm yourselves."
8. But when he came to it, he was called: "Blessed is whosoever is in the Fire, and whosoever is round about it! And glorified be Allah, the Lord of the 'Alamin (mankind, jinns and all that exists).
9. "O Musa (Moses)! Verily! It is I, Allah, the All-Mighty, the All-Wise.
10. "And throw down your stick!" but when he saw it moving as if it were a snake, he turned in flight, and did not look back. (It was said): "O Musa (Moses)! Fear not, verily! The Messengers fear not in front of Me.


คำแปล R2.
6. และแท้จริงเจ้านั้นได้รับการถ่ายทอดอัลกุรอานมาจากพระผู้ทรงปรีชาญาณยิ่ง ผู้ทรงรอบรู้ยิ่ง
7. เมื่อมูซาได้กล่าวกับครอบครัวของเขาว่า “แท้จริง ฉันได้มองเห็น(แสง)ไฟแล้ว ฉันจะไปนำข่าวมามอบแก่เธอจากไฟนั้น หรือฉันจะได้นำท่อนไฟมาให้เธอ เพื่อเธอจะได้ใช้ผิง(ป้องกันความหนาว)
8. ครั้นเมื่อเขาได้มายังกองไฟนั้น ก็มีเสียงเรียกว่า “ผู้ที่อยู่ใกล้กองไฟและที่อยู่รอบกองไฟนี้จงจำเริญเถิด และอัลเลาะฮฺองค์อภิบาลแห่งโลกทั้งหลาย ทรงบริสุทธิ์ยิ่งนัก”
9. “โอ้ มูซา แท้จริง ข้าคืออัลเลาะฮฺ ผู้มีอำนาจที่สุด ผู้มีความปรีชาที่สุด”
10. “และเจ้าจงขว้างไม้เท้าของเจ้าเถิด” ครั้นเมื่อเขามองเห็นมันเคลื่อนไหวประดุจดังงูที่ฉับไว เขาก็หันหลังหนี และเขามิได้เหลียวหลัง(มาดูเลย) “โอ้มูซา เจ้าอย่ากลัว แท้จริงข้านั้น บรรดาศาสนทูตย่อมไม่รู้สึกกลัว ขณะที่รับโองการจากข้า”


คำแปล R3.
6. และ (โอ้ มุฮัมมัด) แท้จริง เจ้าเป็นผู้ที่ได้รับกุรฺอานจากพระผู้ทรงปรีชาญาณ ผู้ทรงรอบรู้
7. (จงบอกพวกเขาถึงเรื่องราว)เมื่อตอนที่มูซาได้กล่าวกับคนในครอบครัวของเขาว่า “ฉันเห็นไฟ ฉันอาจจะได้ข่าวจากที่นั่นหรืออาจจะได้ดุ้นไฟมาสักดุ้นเพื่อพวกเจ้าจะได้อบอุ่นร่างกาย”
8. เมื่อเขามาถึงที่นั่นก็มีเสียงเรียกออกมาว่า “ความจำเริญจงมีแด่ผู้ที่อยูในไฟและผู้ที่อยู่รอบมัน มหาบริสุทธิ์ยิ่งคืออัลลอฮฺ พระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก
9. มูซาเอ๋ย แท้จริงฉันคืออัลลอฮฺ ผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงปรีชาญาณ
10. จงโยนไม้เท้าของเจ้า” ทันทีที่มูซาเห็นไม้เท้าเคลื่อนไหวคล้ายงู เขาก็หันหนีโดยไม่หันหลับมามอง “มูซาเอ๋ย จงอย่ากลัว บรรดารอซูลนั้นไม่รู้สึกกลัวเมื่ออยู่ต่อหน้าฉัน


คำแปล R4.
6. และแท้จริง เจ้าจะได้รับอัลกุรอานอย่างแน่นอน จากพระผู้ทรงปรีชาญาณ ผู้ทรงรอบรู้
7. จงรำลึก เมื่อมูซากล่าวแก่ครอบครัวของเขา ว่า “แท้จริงฉันเห็นไฟ ฉันจะนำข่าวจากที่นั่นมาให้พวกท่านหรือฉันจะนำคบเพลิงมาให้พวกท่าน เพื่อพวกท่านจะได้ทำให้มันอุ่น”
8. ครั้นเมื่อเขามาถึงที่นั่น ได้มีเสียงเรียกขึ้นว่า “ผู้ที่อยู่ในไฟและผู้ที่อยู่รอบ ๆ มัน จะได้รับความจำเริญ และมหาบริสุทธิ์แห่งอัลลอฮฺ พระเจ้าแห่งสากลโลก
9. “โอ้มูซาเอ๋ย ! แท้จริงข้าคืออัลลอฮฺ ผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงปรีชาญาณ
10. “และจงโยนไม้เท้าของเจ้า” เมื่อเขาเห็นมันเคลื่อนไหวคล้ายกับว่ามันเป็นงู เขาก็กลับหลังหันและไม่หันกลับมาอีก “โอ้มูซาเอ๋ย ! เจ้าอย่ากลัว แท้จริงบรรดารอซูลนั้นจะไม่กลัวเมื่ออยู่ต่อหน้าข้า”


คำแปล R5.
ประวัติของนบีมูซา
๖. และ โอ้มุฮำมัด แท้จริงเจ้านั้นได้รับอัลกุรฺอานมาจากอัลเลาะห์ผู้ทรงปรีชายิ่ง ผู้ทรงรอบรู้ยิ่ง
๗. เมื่อมูวาได้กล่าวกับครอบครัวของเขา ขณะเดินทางออกจากมัดยันไปยังอียิปต์ แต่เกิดหลงทางและภรรยาของนบีมูซา กำลังเจ็บท้องคลอดบุตร ว่าข้าเห็นไฟอยู่ลิบ ๆ ข้าจะไปที่นั่น ส่วนพวกเจ้าทั้งหมดจงรออยู่ที่นี่ก่อน แล้วข้าจะมาหาพวกเจ้า เมื่อกลับมาจากมัน พร้อมกับข่าวเกี่ยวกับทางเดินที่พวกเรากำลังหลงทางอยู่ในขณะนี้ หรือหากไม่สามารถจะสืบข่าวดังกล่าวได้ข้าก็จะนำถ่านไฟสักก้อนหนึ่งกลับมาหาพวกเจ้า เพื่อพวกเจ้าจะได้ใช้ผิงประทังความหนาว
๘. ต่อมาเมื่อนบีมูซาเขาได้มาถึงมัน (กองไฟนั้น) เขาก็ถูกเรียกว่า ผู้ที่อยู่ในบริเวณใกล้กองไฟนั้นได้รับความสิริมงคลแล้วจากอัลเลาะห์ผู้เป็นเจ้าและรวมทั้งบรรดามลาอิกะห์ซึ่งเป็นผู้ที่แวดล้อมรอบมัน(กองไฟ)ด้วย และมหาบพิตรยิ่ง อัลเลาะห์ผู้ทรงอภิบาลโลกทั้งหลาย
๙. จากนั้นอัลเลาะห์ได้มีบัญชาแก่นบีมูซาว่า โอ้ มูซา โดยเที่ยงแท้แน่นอนที่สุด ข้าคืออัลเลาะห์ผู้ทรงอำนาจยิ่ง ผู้ทรงปรีชายิ่ง
๑๐. และเจ้าจงขว้างไม้เท้าของเจ้าเถิด ซึ่งนบีมูซาก็ขว้างไม้เท้านั้นออกไปจากมือของท่าน แต่แล้วเมื่อนบีมูซาเขาเห็นมัน(ไม้เท้า) กำลังสั่นไหวคล้ายกับงูที่ว่องไวเขาก็หันหลังหนีออกไปจากที่นั้น และเขาไม่ย้อนกลับมาใหม่อีกเลย อัลเลาะห์จึงโองการแก่เขาว่าโอ้มูซา เจ้าไม่ต้องกลัวงูนั้น เพราะข้านั้น บรรดาศาสนทูตทั้งหลายย่อมไม่กลัวสิ่งใดทั้งสิ้นเมื่ออยู่กับข้า


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัน-นัมลุ อายะฮฺที่ 11 - 14


คำอ่าน
11. อิลลามัน..เซาะละมะ ษุม..มะบัดดะละ หุสนัม..บะอฺดะสู...อิน..ฟะอิน..นี เฆาะฟูรุรฺเราะหีม
12. วะอัดคิลยะดะกะ ฟีญัยบิกะ ตัครุจบัยฏอ...อะ มินฆ็อยริสู...อ์ ฟีติสอิ อายาติน อิลาฟิรฺเอานะ วะก็อวมิฮี อิน..นะฮุม กานู ก็อวมัน..ฟาสิกีน
13. ฟะลัม..มาญา...อัตฮุม อายาตุนา มุบศิเราะตัน..กอลูฮาซา สิหฺรุม..มุบีน
14. วะหะญะดูบิฮา วัสตัยเกาะนัตฮา..อัน..ฟุสุฮุม ซุลเมา..วะอุลูวา ฟัน..ซุรฺกัยฟะ กานะอากิบะตุลมุฟสิดีน


คำแปล R1.
11. "Except him who has done wrong and afterwards has changed evil for good, then surely, I am Oft-Forgiving, Most Merciful.
12. "And put your Hand into your bosom, it will come forth white without hurt. (These are) among the nine signs (you will take) to Fir'aun (Pharaoh) and his people, they are a people who are the Fasiqun (rebellious, disobedient to Allah).
13. But when our Ayat (proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.) came to them, clear to see, they said: "This is a manifest magic."
14. And they belied them (those Ayat) wrongfully and arrogantly, though their own selves were convinced thereof [i.e. those (Ayat) are from Allah, and Musa (Moses) is the Messenger of Allah in truth, but they disliked to obey Musa (Moses), and hated to believe in his message of Monotheism]. So see what was the end of the Mufsidun (disbelievers, disobedient to Allah, evil-doers, liars.).


คำแปล R2.
11. นอกจากผู้ทุจริตเท่านั้น หลังจากนั้นเขาได้เปลี่ยนความดีงามภายหลังจากความชั่วร้าย แท้จริงข้าเป็นผู้ให้อภยยิ่ง เป็นผู้เมตตายิ่ง
12. และเจ้าจงสอดมือของเจ้าเข้าไปในคอเสื้อของเจ้าเถิด แล้วเจ้าจะชักมันออกมาในสภาพขาวประกาย โดยปราศจาก(ราคีแห่ง)ความเลวร้ายเลย (นี้เป็นบางส่วน)ในเก้าสัญลักษณ์ที่เจ้าพึงนำไปยังฟิรเอาน์และพรรคพวกของเขา เพราะแท้จริงพวกนั้นเป็นพวกที่เลวทราม
13. ครั้นเมื่อบรรดาสัญลักษณ์ (ปาฏิหาริย์) ของเราได้มาปรากฏแก่พวกเขา (โดยการแสดงของมูซา) อย่างชัดแจ้ง พวกเขากลับพูดว่า “สิ่งนี้เป็นมายากลอันชัดแจ้ง”
14. และพวกเขาปฏิเสธสิ่งเหล่านั้น เพราะความฉ้อฉลและความหยิ่งยโส ทั้ง ๆ ที่จิตใจของพวกเขามีความมั่นใจในความจริงของมัน ดังนั้น เจ้าจงพิจารณาเถิด ผลบั้นปลายของบรรดาผู้บ่อนทำลายนั้นเป็นอย่างไรบ้าง


คำแปล R3.
11. เว้นเสียแต่ว่าคนที่ทำผิด ถ้าหลังจากความชั่วนั้นแล้วเขาได้เปลี่ยน(การกระทำ)ของเขาเป็นความดี แน่นอน ฉันเป็นผู้ให้อภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ
12. และจงสอดมือของเจ้าเข้าไปในอกของเจ้า มันจะออกมาขาวสว่างโดยไม่มีความเจ็บปวดใด ๆ (สองสัญญาณ)นี่เป็นสัญญาณในเก้าสัญญาณ(ที่เจ้าจะนำไป)ยังฟิรเอาน์และผู้คนของเขา แท้จริงพวกเขาเป็นหมู่ชนผู้ฝ่าฝืน”
13. แต่เมื่อสัญญษณอันชัดเจนของเราปรากฏต่อหน้าคนเหล่านั้น พวกเขาก็กล่าวว่า “นี่คือมายากลชัด”
14. พวกเขาปฏิเสธสัญญาณเหล่านั้นอย่างไม่เป็นธรรมและเย่อหยิ่ง ทั้ง ๆ ที่ใจของพวกเขายอมรับมัน ดังนั้น จงดูว่าชะตากรรมของผู้ก่อความเสียหายจะเป็นเช่นใด


คำแปล R4.
11. เว้นแต่ผู้อธรรม แล้วเขาได้เปลี่ยนมาทำความดี หลังจากที่ได้ทำความชั่ว เพราะแท้จริงข้านั้นเป็นผู้อภัย ผู้เมตตาเสมอ
12. และจงสอดมือของเจ้าเข้าไปในอกเสื้อของเจ้า มันจะออกมาขาวปราศจากอันตรายใด ๆ (นี่คือสอง) ในเก้าสัญญาณ (ที่เจ้าจะนำไป) ยังฟิรเอาน์และพวกพ้องของเขา แท้จริงพวกเขาเป็นหมู่ชนผู้ฝ่าฝืน
13. เมื่อสัญญาณของเราได้มาปรากฎชัดแจ้งแก่พวกเขา พวกเขาก็กล่าวว่า “นี่คือเวทมนต์คาถาอันแจ่มแจ้ง”
14. และพวกเขาได้ปฏิเสธมันอย่างยุติธรรมและเย่อหยิ่ง ทั้ง ๆ ที่จิตใจของพวกเขาเชื่อมั่นมันดังนั้นจงดูเถิดว่า บั้นปลายของบรรดาผู้บ่อนทำลายนั้นจะเป็นเช่นไร ?


คำแปล R5.
๑๑. ยกเว้นบรรดาผู้ที่ทุจริตต่อตัวเองด้วยการประอบกรรมชั่วมาตลอด หลังจากนั้นเขาก็เปลี่ยนแปลงตัวเองด้วยการประพฤติความดีงามทดแทนหลังความเลวร้ายที่เขาเคยประพฤติไว้แต่อดีตด้วยความสำนึกผิดและขอลุแก่โทษต่ออัลเลาะห์เจ้าแน่นอนที่สุดข้าจะให้อภัยแก่เขาเพราะข้าคือพระเจ้าผู้ทรงอภัยยิ่งแก่ผู้ขอลุแก่โทษผู้ทรงเมตตายิ่งโดยตอบรับคำสารภาพผิดของทุก ๆ คน
๑๒. และ  โอ้มูซา เจ้าจงสอดมือของเจ้าในคอเสื้อเถิดและจงชักมันออกมา ซึ่งมือของเจ้านั้นมันจะออกมาเป็นสีข้าวซึ่งปราศจากความหมองคล้ำ ประกอบด้วยประกายแสงอันสกาว และนั่นเป็นความมหัศจรรย์ยิ่ง เป็นสัญลักษณ์หนึ่งในเก้าสัญลักษณ์ซึ่งเจ้ารับเพื่อนำมาแสดงตนในฐานะศาสนทูตต่อฟิรเอาน์และพวกพ้องของเขา เพราะแท้จริงพวกเขาเป็นกลุ่มชนผู้เนรคุณพระเจ้าด้วยการประกอบกรรมชั่วโดยตลอด และไม่ยอมรับศรัทธาในสั๗ธรรมของพระองค์
๑๓. แต่แล้วเมื่อสัญลักษณ์ต่าง ๆ ของเราที่ได้ประทานแก่นบีมูซาได้มาถึงพวกเขาอย่างชัดแจ้งกับสายตาของพวกเขาพวกเขากลับกล่าวคัดค้านว่า นี้คือวิทยากลอันแจ้งชัด เราไม่เชื่อเด็ดขาดว่า จะเป็นสัญลักษณ์แห่งศาสนทูต
๑๔. และพวกเขาปฏิเสธสิ่งเหล่านั้นโดยสิ้นเชิง ไม่ยอมรับว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งศาสนทูตดังกล่าวแล้ว ทั้ง ๆ ที่ตัวพวกเขาเองมีความเชื่อมั่นต่อสิ่งนั้นว่ามาจากอัลเลาะห์อย่างแน่นอน นั่นเป็นเพราะความฉ้อฉลและความยโสของพวกเขาที่มีต่อนบีมูซาและคำประกาศของเขา ดังนั้น โอ้มุฮำมัด เจ้าจงพินิจเถิดว่าจุดจบของเหล่าผู้บ่อนทำลายนั้นจะเป็นเช่นใด ซึ่งเจ้าก็ทราบดีว่า พวกเขาประสบผลสถานเดียวเท่านั้น คือถูกลงโทษต่าง ๆ นานา


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัน-นัมลุ อายะฮฺที่ 15 - 19


คำอ่าน
15. วะละก็อดอาตัยนาดาวูดะ วะสุลัยมานะอิลมา วะกอลัลหัมดุลิลลาฮิลละซี ฟัฏเฏาะละนา อะลากะษีริม..มินอิบาดิฮิลมุอ์มินีน
16. วะวะริษะสุลัยมานุ ดาวูดะ วะกอละ ยา..อัยยุฮัน..นาสุ อุลลิมนามัน..ฏิก็อฏฏ็อยริ วะอูตีนามิน..กุลลิชัยอ์ อิน..นะฮาซาละฮุวัลฟัฎลุลมุบีน
17. วะหุชิเราะลิสุลัยมานะ ญุนูดุฮู มินัลญิน..นิ วัลอิน..สิ  วัฏฏ็อยริ ฟะฮุม ยูซะอูน
18. หัตตา..อิซา..อะเตาอะลา วาดิน..นัมลิ กอลัตนัมละตุย..ยา..อัยยุฮัน..นัมลุดคุลูมะสากินะกุม ลสยะหฺฏิมัน..นะกุม สุลัยมานุ วะญุนูดะฮู วะฮุมลายัชอุรูน
19. ฟะตะบัสสะมะ ฎอหิกัม..มิน..ก็อวลิฮา วะกอละ ร็อบบิเอาวิอฺนี..อันอัชกุเราะ นิอฺมะตะกัลป์ละตี..อันอัมตะ อะลัยยะ วะอะลาวาลิดัยยะ วะอันอะอฺมะละ ศอลิหัน..ตัรฺฎอฮุ วะอัดคิลนี บิเราะหฺมะติกะ ฟีอิบาดิกัศศอลิหีน


คำแปล R1.
15. And indeed we gave knowledge to Dawud (David) and Sulaiman (Solomon), and they both said: "All the praises and thanks be to Allah, who has preferred us above many of his believing slaves!"
16. And Sulaiman (Solomon) inherited (the knowledge of) Dawud (David). He said: "O mankind! We have been taught the language of birds, and on us have been bestowed all things. This, verily, is an evident Grace (from Allah)."
17. And there were gathered before Sulaiman (Solomon) his hosts of jinns and men, and birds, and they all were set in battle order (marching forwards).
18. Till, when they came to the valley of the ants, one of the ants said: "O ants! Enter your dwellings, lest Sulaiman (Solomon) and his hosts crush you, while they perceive not."
19. So he [Sulaimโn (Solomon)] smiled, amused at her speech and said: "My Lord! Inspire and bestow upon me the power and ability that I may be grateful for your favours which you have bestowed on me and on my parents, and that I may do righteous good deeds that will please you, and admit me by your Mercy among your righteous slaves."


คำแปล R2.
15. ขอยืนยัน แท้จริงเราได้ให้ความรอบรู้แก่ดาวุด และสุลัยมาน และคนทั้งสองได้กล่าวว่า “การสรรเสริญทั้งมวลเป็นของอัลเลาะฮฺที่ทรงประทานความเลอเลิศแก่พวกเราให้เหนือกว่าบรรดาข้าทาสผู้ศรัทธาทั้งหลายของพระองค์”
16. และสุลัยมานได้สืบตำแหน่งแทนดาวูดและเขาได้ประกาศว่า “โอ้มวลมนุษย์ทั้งหลาย เราได้รับความรู้เกี่ยวกับภาษาพูดของนก และเรายังได้รับทุกสิ่ง (ที่สำคัญอื่น ๆ อีก เช่น ตำแหน่งศาสดาและบริหาร สามารถเรียกสัตว์ต่าง ๆ มาใช้งานได้ บังคับลมให้พัดพาไปยังทิศทางที่ประสงค์ได้ เป็นต้น) แท้จริงสิ่งนี้ เป็นความโปรดปรานอันชัดแจ้ง (จากอัลเลาะฮฺ)
17. และบรรดาไพร่พลของสุลัยมานได้ถูกนำมาร่วมชุมนุนกัน ซึ่งมัทั้งญิน, มนุษย์และนก ซึ่งพวกเหล่านั้นถูกยกแถวไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
18. จนกระทั่งเมื่อพวกนั้นได้มาถึง “ทุ่งมด” (เป็นสถานที่หนึ่งในฟิลิสฏีน) ก็มีมดตัวหนึ่งพูดกับมดด้วยกันเองว่า “โอ้มดทั้งหลาย พวกท่านจงเข้าไปในรูที่อยู่ของพวกท่านเถิด อย่าให้สุลัยมานและกองทัพของเขาเหยียบย่ำพวกท่านโดยพวกเขาไม่รู้ตัว”
19. ดังนั้นสุลัยมานจึงยิ้มหัวเราะในคำพูดของมดนั้น และกล่าวว่า “โอ้องค์อภิบาล ขอพระองค์ได้โปรดดลใจแก่ข้าพเจ้าให้ข้าพเจ้ากตัญญูในพระคุณแห่งพระองค์ที่ได้ทรงโปรดปรานแก่ข้าพเจ้า และแก่ผู้ให้กำเนิดทั้งสองของข้าพเจ้า และให้ข้าพเจ้าได้ประพฤติแต่ความดีที่พระองค์ทรงพึงพระทัย และโปรดให้ข้าพระเจ้าได้เข้าอยู่ในกลุ่มผู้เป็นข้าทาสผู้ประพฤติดีของพระองค์ โดยพระเมตตาธิคุณของพระองค์ด้วยเถิด”


คำแปล R3.
15. (ในทางตรงข้าม) เราได้ประทานความรู้แก่ดาวูดและสุลัยมาน และเขากล่าวว่า “บรรดาการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮฺผู้ประทานความโปรดปรานแก่เราเหนือกว่าบ่าวผู้ศรัทธาหลายคนของพระองค์”
16. และสุลัยมานได้สืบต่อจากดาวูดและเขาได้กล่าวว่า “ผู้คนทั้งหลาย เราได้ถูกสอนให้รู้จักการพูดของนกและเราได้รับทุกสิ่ง แท้จริงนี่คือความโปรดปรานอันยิ่งใหญ่(ของอัลลอฮฺ)”
17. เพราะทั้งญินและมนุษย์และนก ได้ถูกรวมไว้เป็นไพร่พลที่มีระเบียบวินัยของสุลัยมาน
18. (ครั้งหนึ่ง ขณะที่เขาออกเดินทางไปกับไพร่พลเหล่านี้) จนกระทั่งเมื่อพวกเขามาถึงหุบเขาแห่งมด มดตัวหนึ่งได้กล่าวว่า “พวกมดทั้งหลายจงเข้าไปในรังของพวกเจ้า มิฉะนั้นสุลัยมานและไพร่พลของเขาจะเหยียบย่ำพวกเจ้าโดยที่พวกเขาไม่รู้”
19. เมื่อได้ยินเช่นนั้น สุลัยมานจึงขำแกมหัวเราะและกล่าวว่า “โอ้พระผู้อภิบาลของฉัน โปรดทรงหน่วงเหนี่ยวฉันไว้ เพื่อที่ฉันจะได้ขอบคุณพระองค์สำหรับความโปรดปรานที่พระองค์ได้ประทานแก่ฉันและแก่พ่อแม่ของฉัน และ(ทรงทำ)ให้ฉันทำความดีอันเป็นที่ปีติแก่พระองค์ และขอพระองค์ได้ทรงรับฉันไว้ในความเมตตาของพระองค์ ท่ามกลางปวงบ่าวผู้ทรงความดีของพระองค์ด้วยเทอญ”


คำแปล R4.
15. และโดยแน่นอนเราได้ให้ความรู้แก่ดาวูดและสุลัยมาน และเขาทั้งสองกล่าวว่า “บรรดาการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮฺ ผู้ทรงโปรดปรานแก่เรา เหนือส่วนมากของปวงบ่าวของพระองค์ผู้ศรัทธาทั้งหลาย”
16. และสุลัยมานเป็นทายาทของดาวูด และเขากล่าวว่า “มหาชนทั้งหลายเอ๋ย ! เราได้รับความรู้ในภาษาของนก และเราได้รับทุก ๆ สิ่ง แท้จริง นี่คือความโปรดปรานอันแท้จริงแน่นอน”
17. และไพร่พลของเขาที่เป็นญินมนุษย์และนก ได้ถูกให้มาชุมนุมต่อหน้าสุลัยมาน และพวกเขาถูกจัดให้เป็นระเบียบ
18. จนกระทั่งเมื่อพวกเขาได้มาถึงทุ่งที่มีมดมาก มดตัวหนึ่งได้พูดว่า “โอ้พวกมดเอ๋ย! พวกเจ้าจงเข้าไปในรังของพวกเจ้าเถิด เพื่อว่าสุลัยมานและไพร่พลของเขาจะได้ไม่บดขยี้พวกเจ้า โดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว”
19. เขา (สุลัยมาน) ยิ้มแกมหัวเราะต่อคำพูดของมันและกล่าวว่า “ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ ขอพระองค์ทรงโปรดประทานแก่ข้าพระองค์ เพื่อให้ข้าพระองค์ขอบคุณต่อความโปรดปรานของพระองค์ท่าน ซึ่งพระองค์ท่านได้ทรงโปรดปรานแก่ข้าพระองค์ และบิดามารดาของข้าพระองค์และให้ข้าพระองค์กระทำความดีเพื่อให้พระองค์ทรงพอพระทัยมัน และทรงให้ข้าพระองค์เข้าอยู่ในความเมตตาของพระองค์ ในหมู่ปวงบ่าวของพระองค์ที่ดีทั้งหลาย”

คำแปล R5.
ประวัตินบีดาวุดและสุลัยมาน
๑๕. ขอสาบาน แท้จริง เราได้ประทานความรอบรู้แก่นบีดาวุด และ นบีสุไลมาน ผู้เป็นบุตร และคนทั้งสองกล่าวขอบคุณอัลเลาะห์ว่า “มวลการสรรเสริญย่อมเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะอัลเลาะห์ที่ประทานความเลิศเลอแก่พวกเราให้เหนือกว่ามวลบ่าวของพระองค์ผู้มีศรัทธาอีกเป็นจำนวนมาก”
๑๖. และนบีสุไลมานได้รับมรดกทางศาสนสภาพ โดยได้เป็นนบีสืบต่อและได้รับความรู้ต่าง ๆ จากนบีดาวุดผู้เป็นบิดาและนบีสุไลมานเขากล่าวว่า โอ้มนุษย์ทั้งหลาย เราได้ถูกสอนให้มีความรู้ ความเข้าใจภาษานกโดยสามารถฟังเสียงร้องของมัน ได้รู้เข้าใจถึงความหมายจากเสียงนั้นเป็นอย่างดี และเราได้รับจากทุก ๆ สิ่งที่บรรดาศาสนทูตและบรรดาผู้ครองนครทั้งหลายได้รับอันที่จริงสิ่งที่เราได้รับไว้นี้เป็นความโปรดปรานที่แจ้งชัดจากอัลเลาะห์
๑๗. และกองทัพของเขา ทั้งญิน มนุษย์และฝูงนก ต่างถูกรวบรวม เป็นจำนวนมหาศาลแด่นบีสุไลมานในการเดินทางของเขาแล้วพวกเหล่านั้นก็ถูกต้อนให้มารวมกันเป็นกลุ่มอันหนาแน่น จากนั้นนบีสุไลมานก็นำกองทัพ มนุษย์ ญิน และนกดังกล่าว ออกเดินทางจนถึงที่แห่งหนึ่งในประเทศชาม (ซีเรียปัจจุบัน) ซึ่งมีมดเป็นจำนวนมาก ทั้งขนาดเล็กและใหญ่
๑๘. จนเมื่อพวกนั้นได้เดินทัพมาถึงทุ่งมด ก็มีมดตัวหนึ่งพูดกับบรรดาเพื่อนมดของมันว่า โอ้มดทั้งหลาย พวกเจ้าจงหลบหนีเข้าไปอยู่ในรูซึ่งเป็นที่อยู่ของแต่ละตัวเถิด เพื่อนบีสุไลมานและกองทัพของเขาจะได้ไม่บดขยี้พวกเจ้าโดยพวกเขาไม่รู้สึกตัว
๑๙. เมื่อนบีสุไลมานได้ยินคำสั่งของมดตัวนั้นต่อเพื่อนมดของมัน เขาก็ยิ้มหัวเราะเนื่องจากคำพูดของมัน และเขาได้กล่าวว่า โอ้องค์อภิบาล ขอพระองค์ได้โปรดอำนวยข้าพระองค์ ให้ข้าพระองค์ได้ขอบคุณในความโปรดปรานของพระองค์ ที่พระองค์ทรงมีต่อข้า และต่อผู้ให้กำเนิดของข้าทั้งสอง และให้ข้าพระองค์ได้ประพฤติแต่ความดี ซึ่งพระองค์ทรงยินดีต่อมันโดยรับรองความดีนั้นและได้โปรดบันดาลให้ข้าพระองค์ได้เข้ารวมอยู่ในกลุ่มบ่าวที่ดีของพระองค์โดยพระเมตตาธิคุณของพระองค์


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัน-นัมลุ อายะฮฺที่ 20 - 26


คำอ่าน
20. วะตะฟักเกาะตัฏฏ็อยเราะ ฟะกอละมาลิยะ ลา..อะร็อลฮุดฮุดะ อัมกานะมินัลฆอ...อิบีน
21. ละอุอัซซิบัน..นะฮู อะซาบัน..ชะดีดัน เอาละอัซบะหัน..นะฮู..เอาละยะอ์ติยัน..นี บิสุลฏอนิม..มุบีน
22. ฟะมะกะษะฆ็อยเราะบะอีดิน..ฟะกอละ อะหัตตุ บิมาลัมตุหิฏ บิฮี วะญิอ์ตุกะ มิน..สะบะอิม..บินะบะอี..ยะกีน
23. อิน..นี วะญัตตุมเราะอะตัน..ตัมลิกุฮุม วะอูติยัต มิน..กุลลิชัยอิว..วะละฮาอัรฺ๙นอะซีม
24. วะญัตตุฮา วะก็อวมะฮา ยัสญุดูนะลิชชัมสิ มิน..ดูนิลลาฮิ วะซัยยะนะละฮุมุชชัยฏอนุ อะอฺมาละฮุม ฟะศ็อดดะฮุม อะนิสสะบีลิ ฟะฮุมลายะฮฺตะดูน
25. อัลลายัสญุดูลิลลาฮิลละซี ยุคริญุลค็อบอะ ฟิสสะมาวาติวัลอัรฎิ วะยะอฺละมุมาตุคฟูนะ วะมาตุอฺลินูน
26. อัลลอฮุลา..อิลาฮะอิลลาฮุวะ ร็อบบุลอัรชิลอะซีม


คำแปล R1.
20. He inspected the birds, and said: "What is the matter that I see not the hoopoe? Or is he among the absentees?
21. "I will surely punish him with a severe torment, or slaughter him, unless he brings me a clear reason."
22. But the hoopoe stayed not long, he (came up and) said: "I have grasped (the knowledge of a thing) which you have not grasped and I have come to you from Saba' (Sheba) with true news.
23. "I found a woman ruling over them, and she has been given all things that could be possessed by any ruler of the earth, and she has a great throne.
24. "I found her and her people worshipping the sun instead of Allah, and Shaitan (Satan) has made their deeds fair-seeming to them, and has barred them from (Allah's) way, so they have no guidance,"
25. Al-La (this word has two interpretations) (A) [as Shaitฟn (Satan) has barred them from Allah's Way] so that they do not worship (prostrate before) Allah, or (B) so that they may worship (prostrate before) Allah, who brings to light what is hidden in the heavens and the earth, and knows what you conceal and what you reveal. [Tafsir At-Tabari,Vol. 19, Page 149]
26. Allah, La ilaha illa Huwa (none has the right to be worshipped but He), the Lord of the Supreme Throne!


คำแปล R2.
20. และสุลัยมานได้ค้นหานกตัวหนึ่ง (ที่บินตามกองทัพมาด้วยแต่มันลับหายไป) เขาจึงกล่าวว่า “เพราะเหตุใด ฉันจึงมองนกหัวขวานตัวนั้นไม่เห็น หรือว่ามันเป็นหนึ่งในจำพวกที่ลับหายไป (ไม่ได้มาร่วมกับกองทัพด้วย) ?”
21. “ขอสาบาน ข้าจะต้องลงโทษมันอย่างรุนแรงที่สุด หรือมิฉะนั้นจะต้องเชือดมัน หรือมิฉะนั้นมันจะต้องนำหลักฐานที่ชัดแจ้งมาแสดงต่อข้า(เพื่อเป็นเหตุผลที่มันหายหน้าไป)”
22. และมันเงียบไปไม่นา(ก็กลับมา) แล้วมันก็รายงานว่า “ข้าพเจ้าได้รู้ในเรื่องที่ท่านไม่เคยรู้มาก่อน และข้าพเจ้าขอนำข่าวที่มั่นใจจากเมือง “สะบะฮฺ” มาแจ้งแก่ท่าน
23. แท้จริงข้าพเจ้าได้พบกับสตรีนางหนึ่งซึ่งเป็นผู้ปกครองชาวเมืองนั้น และนางมีทุกสิ่งทุกอย่างครบถ้วน และนางมีบัลลังก์อันยิ่งใหญ่ที่สุด
24. ข้าพเจ้าได้พบว่า นางและกลุ่มชนของนางทำการกราบไหว้ดวงตะวันโดยมิได้กราบไหว้อัลเลาะฮฺ” และมารร้ายได้ประดับ(ความคิด)แก่พวกเขา (ให้เห็นดีไปกับความเลวแห่ง) การงานทั้งหลายของพวกเขา แล้วมันได้ขัดขวางพวกเขาไว้จากแนวทาง(อันเที่ยงตรง) ดังนั้น พวกเขาจึงไม่ได้รับการชี้นำ(อยู่ในสภาพงมงายตลอดมา)
25. (พวกมารร้ายได้ห้ามพวกเขาไว้) มิให้พวกเขาทำการกราบกรานต่ออัลเลาะฮฺ พระผู้ทรงนำออกซึ่งสิ่งลี้ลับในฟากฟ้าและแผ่นดิน(ให้มนุษย์ได้ประจักษ์แจ้ง) และทรงรอบรู้ในสิ่งที่พวกเจ้าปิดเร้นไว้ และสิ่งที่พวกเจ้าเปิดเผย
26. อัลเลาะฮฺทรงเป็นพระเจ้า ซึ่งไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ ผู้ทรงอภิบาลบัลลังก์อันยิ่งใหญ่


คำแปล R3.
20. (ครั้งหนึ่ง) สุลัยมานได้สำรวจนกและกล่าวว่า “อะไรกันนี่ ฉันไม่เห็นนดฮุดฮุด มันหายไปไหนหรือ?
21. ฉันจะลงโทษมันให้หนักทีเดียวหรือไม่ก็จะเชือดมัน เว้นเสียแต่ว่ามันจะมีข้อแก้ตัวที่มีเหตุผลมาให้ฉัน”
22. หลังจากนั้นไม่นาน มันก็มาและกล่าวว่า “ฉันได้รู้ในสิ่งที่ท่านยังไม่รู้ ฉันนำข่าวที่แน่นอนจากสะบะอ์มายังท่าน
23. ฉันได้พบผู้หญิงคนหนึ่งปกครองผู้คน นางมีทุกสิ่งและมีบัลลังก์อันสง่างาม
24. ฉันเห็นนางและผู้คนของนางสักการบูชาดวงอาทิตย์แทนอัลลอฮฺ” และชัยฏอนได้ทำให้การกระทำของพวกเขาเป็นที่ดูดีแก่พวกเขาและขัดขวางพวกเขาจากหนทาง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่พบหนทางที่ถูกต้อง
25. ทำไมพวกเขาจึงไม่กราบสักการะอัลลอฮฺผู้ทรงนำสิ่งที่ซ่อนเร้นในท้องฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินออกมา และทรงรอบรู้ทุกสิ่งที่สูเจ้าซ่อนเร้นและเปิดเผย
26. อัลลอฮฺ ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกไปจากพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าของบัลลังก์อันยิ่งใหญ่


คำแปล R4.
20. และเขาได้ตรวจดูฝูงนกแล้วกล่าวขึ้นว่า “ทำไมฉันจึงไม่เห็นฮุดฮุด แต่ว่ามันหายไปไหน ?
21. แน่นอน ฉันจะลงโทษมันด้วยการลงโทษอย่างสาหัส หรือฉันจะฆ่ามันอย่างแน่นอนหรือให้มันนำหลักฐานอันชัดแจ้งมาให้ฉัน”
22. มันหายไปชั่วครู่ (แล้วกลับมา) มันได้กล่าวว่า “ฉันได้ไปตรวจพบสิ่งที่ท่านไม่รู้ และฉันได้นำข่าวอันแน่นอนจากสะบะ มายังท่าน
22. มันหายไปชั่วครู่ (แล้วกลับมา) มันได้กล่าวว่า “ฉันได้ไปตรวจพบสิ่งที่ท่านไม่รู้ และฉันได้นำข่าวอันแน่นอนจากสะบะมายังท่าน
24. และฉันได้พบนางและหมู่ชนของนางสักการะบูชาดวงอาทิตย์อื่นจากอัลลอฮฺ และมารชัยฎอนได้ทำให้การงานของพวกเขาเป็นของดีงามแก่พวกเขา และได้กีดกันพวกเขาออกจากแนวทางที่ถูกต้อง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้อยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง
25. ทำไมพวกเขาไม่สุญูดต่ออัลลอฮฺ ผู้นำออกมาซึ่งสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และทรงรอบรู้สิ่งที่พวกเจ้าปิดบัง และสิ่งที่พวกเจ้าเปิดเผย
26. อัลลอฮฺ ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ พระเจ้าแห่งบัลลังก์อันยิ่งใหญ่

 
คำแปล R5.
๒๐. และนบีสุไลมานเขได้ค้นหานกหัวขวานเพื่อให้มันสังเกตพื้นที่ตรงนั้นว่ามีน้ำอยู่ใต่ดินหรือไม่เนื่องเพราะมันมีธรรมชาติพิเศษในการสังเกตดังกล่าวแล้วเขากล่าวว่า ข้าไม่เห็นนกหัวขวานตัวนั้นเลย หรือว่ามันเป็นตัวหนึ่งจากบรรดาที่หายไปแล้ว
๒๑. ขอสาบานข้าจะต้องทำโทษมันอย่างสาหัสด้วยการจับมันขังในกรงเหมือนกับนกตัวอื่น ๆ หือถอนขนให้หมดแล้วปล่อยไว้กลางแดด หรือมิฉะนั้นก็จะต้องเชือดมันให้ตายไปเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อไป หรือถ้ามันจะรอดพ้นจากการทำโทษนั้นได้มันก็จะต้องนำเหตุผลอันชัดเจนมาแสดงต่อข้าว่ามันหายหน้าไปเพราะเหตุใด
๒๒. แล้วนบีสุไลมานก็สงบนิ่งไปไม่นานักนกหัวขวานตัวนั้นก็มาปรากฏร่างให้เห็นด้วยความคารวะอันสูงส่งแล้วมันก็พูดว่าโอ้นบีสุไลมานข้าได้เห็นในบางเรื่องที่ท่านไม่เห็นที่ข้าหายไปเมื่อสักครู่ที่ผ่านมานั้น เพราะข้าได้พบเห็นบางสิ่งบางอย่างที่น่าสนใจที่สุด คือข้าได้ไปพบคนเผ่าหนึ่งของชนชาติยะมัน ชื่อว่า “สะบ๊ะอ์” และข้ามาหาท่านโดยข้าออกมาจากชนเผ่าสะบ๊ะอ์บุตรของยัชรุบ บุตรของยะอ์รุบ บุตรของเกาะห์ตอนพร้อมมีข่าวที่น่าเชื่อถือได้
๒๓. แท้จริงข้าได้พบว่ามีหญิงคนหนึ่งปกครองคนเผ่านั้น และนางได้รับความรอบรู้ต่าง ๆ จากทุกสิ่ง และนางมีบัลลังก์อันยิ่งใหญ่นางมีนามว่า “บุลกิส”
๒๔. ข้าได้พบนางและชุมชนของนาง ทำการกราบไหว้บูชาดวงตะวันนอกจากอัลเลาะห์และมารร้ายได้ยุยงให้พวกเขาเห็นดีเห็นงามในการปฏิบัติต่าง ๆ ของพวกเขา แล้วมันก็ทำให้พวกนั้นถลันออกไปจากแนวทางอันเที่ยงตรงและถูกต้องดังนั้นพวกเขาจึงมิได้รับการชี้นำ
๒๕. โดยพวกเขามิได้กราบนมัสการต่ออัลเลาะห์ ซึ่งทรงนำออกมาซึ่งความลี้ลับที่มีอยู่ในชั้นฟ้าและแผ่นดินคือทรงบันดาลให้ฝนตกลงมาจากท้องฟ้า และให้พืชต่าง ๆ งอกเงยขึ้นมาและทรงรอบรู้สิ่งที่พวกเจ้าปิดบังและเปิดเผย
๒๖. อัลเลาะห์ คือพระเจ้าซึ่งไม่มีพระเจ้าอื่นใดทั้งสิ้น นอกจากพระองค์พระองค์ทรงเป็นผู้ทรงอภิบาลแห่งบัลลังก์แห่งอำนาจอันยิ่งใหญ่


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัน-นัมลุ อายะฮฺที่ 27 - 31


คำอ่าน
27. กอละ สะนัน..ซุรุ อะเศาะดักตะ อัมกุน..ตะมินัลกาซิบีน
28. อิซฮับ บิกิตาบี ฮาซา ฟะอัลกิฮฺอะลัยฮิม ษุม..มะตะวัลละฮันฮุม ฟัน..ซุรฺมาซายัรฺญิอูน
29. กอลัต ยา..อัยยุฮัลมะละอุ อิน..นี..อุลกิยะ อิลัยยะกิตาบุน..กะรีม
30. อิน..นะฮูมิน..สุลัยมานะ วะอิน..นะฮู บิสมิลลาฮิรฺเราะหฺมานิรฺเราะหีม
31. อัลลาตะอฺลูอะลัยยะ วะอ์ตูนีมุสลิมีน


คำแปล R1.
27. [Sulaiman (Solomon)] said: "We shall see whether you speak the truth or you are (one) of the liars.
28. "Go you with this letter of mine, and deliver it to them, then draw back from them, and see what (answer) they return."
29. She said: "O chiefs! Verily! Here is delivered to me a noble letter,
30. "Verily! It is from Sulaiman (Solomon), and verily! It (reads): in the name of Allah, the Most Beneficent, the Most Merciful;
31. "Be you not exalted against me, but come to me as Muslims (true believers who submit to Allah with full submission)' "


คำแปล R2.
27. นบีสุลัยมานกล่าวว่า “ข้าจะรอดูว่าเจ้าพูดจริง หรือว่าเจ้าเป็นเพียงผู้หนึ่งจากพวกมดเท็จ
28. ดังนั้นเจ้าจงนำหนังสือฉบับนี้ของข้าไป แล้วจงมอบมันแก่พวกเขา หลังจากนั้นเจ้าจงหันออกมาจากพวกเขา แล้วเจ้าจงมองดูว่า พวกเขากลับพิจารณาอะไรบ้าง(จากหนังสือนี้)”
29. (เมื่อหญิงผู้นั้นรับหนังสือ และอ่านข้อความโดยตลอด) นางก็ประกาศ (แก่พวกหัวหน้ากลุ่มที่ปรึกษาของนาง)ว่า “โอ้หัวหน้ากลุ่มทั้งหลาย ฉันได้รับหนังสืออันทรงเกียรติฉบับหนึ่ง
30. มันเป็นหนังสือที่มาจากสุลัยมาน และเนื้อความของมันมีดังนี้คือ ในพระนามแห่งอัลเลาะฮฺ ผู้ทรงยิ่งในความเมตตา ผู้ทรงยิ่งในความกรุณา
31. พวกท่านทั้งหลายอย่าได้ทระนงตนเหนือฉัน และพวกท่านจงมาหาฉัน อย่างมีสวามิภักดิ์เถิด”


คำแปล R3.
27. สุลัยมานกล่าวว่า “เราจะดูว่า เจ้าพูดจริงหรือเจ้าเป็นหนึ่งในบรรดาผู้โกหก
28. จงนำจดหมายของฉันไปแล้วหย่อนลงให้พวกเขา หลังจากนั้นก็จงถอยออกมาและดูว่าพวกเขาจะตอบกลับมาอย่างไร”
29. ราชินีได้กล่าวว่า “เสนาบดีทั้งหลาย จดหมายสำคัญนี้ได้ถูกหย่อนลงมาให้ฉัน
30. มันมาจากสุลัยมาน และมันเริ่มต้นด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ
31. มันกล่าวว่า “จงอย่าหยิ่งผยองต่อฉัน และจงมาหาฉันอย่างมุสลิม”


คำแปล R4.
27. เขากล่าวว่า “เราจะคอยดูว่าเจ้าพูดจริงหรือเจ้าอยู่ในหมู่ผู้กล่าวเท็จ
28. เจ้าจงนำสารของฉันนี้และส่งมันให้พวกเขา แล้วถอยออกห่างจากพวกเขา ดังนั้นจงคอยดูว่าพวกเขาจะตอบกลับมาว่าอย่างไร ?
29. (พระราชินี) ทรงกล่าวว่า “โอ้หมู่บริพารทั้งหลายเอ๋ย ! แน่แท้สารอันมีเกียรติถูกนำมาให้ฉัน”
30. “แท้จริงมันมาจากสุลัยมาน และแท้จริงมันเริ่มว่า ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ”
31. “พวกท่านอย่าเย่อหยิ่งต่อฉัน และจงมาหาฉันอย่างนอบน้อม”


คำแปล R5.
๒๗. นบีสุไลมานเขากล่าวว่าเจ้านกหัวขวานเอ๋ย เราจะดุและพิสูจน์ว่าที่เจ้านำข่าวดังกล่าวมาเล่าให้เราฟังนั้นเจ้าพูดจริงหรือเจ้าเป็นเพียงผู้หนึ่งจากบรรดาผู้มุสาทั้งหลาย
๒๘. เจ้าจงนำหนังสือฉบับนี้ของข้าไป แล้วเจ้าจงมอบมันแก่พวกเหล่านั้น หลังจากนั้นเจ้าก็จงผละออกจากพวกเขาและจงพิจารณาดูว่า อะไรที่พวกเขาวิพากษ์วิจารณ์จากการอ่านข้อความในหนังสือนั้น
๒๙. เมื่อนกหัวขวานนั้นนำสารจากนบีสุไลมานไปมอบแก่หญิงผู้เป็นเจ้าเมืองแล้วนางกล่าวว่า โอ้กลุ่มชนของข้า แท้จริงได้มีผู้มอบหนังสืออันมีเกียรติยิ่งฉบับหนึ่งแก่ข้า
๓๐. ที่จริงมันเป็นหนังสือที่ถูกส่งมาจากนบีสุไลมาน และแท้จริงมันเป็นหนังสือที่เริ่มต้นด้วยข้อความว่าด้วยนามของอัลเลาะห์ผู้ทรงเมตตายิ่งผู้ทรงกรุณายิ่ง
๓๑. พวกท่านทั้งหลายอย่าได้คิดมักสูงเหนือข้าเป็นอันขาดและพวกท่านจงมาหาข้าโดยเป็นผู้ยอมจำนนเถิด


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัน-นัมลุ อายะฮฺที่ 32 - 35



คำอ่าน
32. กอลัต ยา..อัยยุฮัลมะละอุ อัฟตูนีฟี..อัมรี มากุน..ตุ กอฏิอะตัน อัมร็อน หัตตาตัชฮะดูน
33. กอลู นะหฺนุอุลูกูววะติว..วะอุลูบะอ์สิน..ชะดีด วัลอัมรุอิลัยกิ ฟัน..ซุรี มาซาตะอ์มุรีน
34. กอลัต อิน..นัลมุลูกะ อิซาดะเคาะลูก็อรฺยะตัน อัฟสะดูฮา วะญะอะลู..อะอิซซะตะ อะฮฺลิฮา..อะซิลละฮฺ วะกะซาลิกะยัฟอะลูน
35. วะอิน..นีมุรฺสิละตุน อิลัยฮิม..บิฮะดียะติน..ฟะนาซิเราะตุม..บิมะยัรฺญิอุลมุรฺสะลีน


คำแปล R1.
32. She said: "O chiefs! Advise me in (this) case of mine. I decide no case till you are present with me."
33. They said: "We have great strength, and great ability for war, but it is for you to command; so think over what you will command."
34. She said: "Verily! Kings, when they enter a town (country), they despoil it, and make the most honourable amongst its people low. And thus they do.
35. "But Verily! I am going to send Him a present, and see with what (answer) the Messengers return."


คำแปล R2.
32. นางกล่าวต่อไปว่า “โอ้หัวหน้ากลุ่มทั้งหลาย จงแนะนำฉันด้วยในเหตุการณ์ของฉันนี้ เพราะฉันยังไม่เคยตัดสินใจเรื่องราวหนึ่ง ๆ จนกว่าพวกท่านจะให้คำแนะนำแก่ฉัน”
33. พวกเขาจึงกล่าวแนะนำว่า “พวกเราเป็นกลุ่มชนที่มีพลังและมีพิษสงอันร้ายแรง แต่การงานนี้เป็นอำนาจของแม่นาง(ที่จะตัดสินเอาเอง) ดังนั้นแม่นางโปรดพิจารณาเถิด ว่าแม่นางจะออกคำสั่งเช่นใด?”
34. นางกล่าวต่อไปว่า “แท้ที่จริงบรรดาราชาทั้งหลายเมื่อได้ยาตราเข้ามายังเมืองใด แน่นอนพวกเขาก็ย่อมทำลายเมืองนั้นราบคาบและพวกเขาย่อมทำให้ผู้ทรงเกียรติแห่งชาวเมืองนั้นเปลี่ยนมาเป็นผู้ไร้เกียรติและเช่นนั้นที่พวกเขากระทำ
35. และแท้จริงฉันจะส่งของขวัญให้นำไปมอบแก่พวกเขา แล้วฉันจะรอดูว่า บรรดาทูตที่ถูกส่งตัวไปนั้นจะกลับมาด้วยกับอะไร”


คำแปล R3.
32. (หลังจากอ่านจดหมายแล้ว) ราชินีได้กล่าวว่า “เสนาบดีทั้งหลาย ให้คำปรึกษาแก่ฉันในเรื่องนี้หน่อย ฉันจะไม่ตัดสินใจเรื่องอะไรจนกว่าพวกท่านจะอยู่ร่วมด้วย”
33. พวกเขาตอบว่า “เราเป็นคนที่มีพลังและเป็นนักรบที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจนั้นขึ้นอยู่กับพระนาง ดังนั้นพระนางจะบัญชาสิ่งใดก็สุดแท้แต่วิจารณญาณของพระนาง”
34. ราชินีจึงกล่าวว่า “เมื่อบรรดากษัตริย์เข้าไปในเมืองใดพวกเขาก็ทำลายมันและทำให้คนมีอำนาจในเมืองนั้นหมดตกต่ำ เช่นนี้แหละที่พวกเขากระทำ
35. แต่ฉันจะส่งของกำนัลไปให้พวกเขา แล้วเราจะดูว่า ทูตของฉันได้คำตอบอะไรกลับมา”


คำแปล R4.
32. พระนางทรงกล่าวว่า “โอ้หมู่บริหารทั้งหลายเอ๋ย ! จงให้ข้อชี้ขาดแก่ฉันในเรื่องของฉัน ฉันไม่อาจจะตัดสินใจในกิจการใด จนกว่าพวกท่านจะอยู่ร่วมด้วย”
33. พวกเขากล่าวว่า “เราเป็นพวกที่มีพลังและเป็นพวกที่มีกำลังรบเข็มแข็งสำหรับพระบัญชานั้นเป็นของพระนางดังนั้น พระนางได้โปรดตรึกตรองดูสิ่งใดที่พระนางจะทรงบัญชา”
34. พระนางทรงกล่าวว่า “แท้จริงเหล่ากษัตริย์นั้น เมื่อเข้าไปในเมืองใดก็ทำลายมัน และทำให้บรรดาผู้มีอำนาจของเมืองนั้นเป็นผู้ต่ำต้อย และเช่นนั้นแหละพวกเขากระทำกัน”
35. และแท้จริงฉันจะส่งของกำนัลไปให้พวกเขา แล้วฉันจะเฝ้าคอยดูว่า ผู้ที่ถูกส่งไปนั้นจะกลับมาอย่างไร ?”


คำแปล R5.
๓๒. นางกล่าวต่อไปอีก ว่า โอ้ชุมชนของข้าพวกท่านจงเสนอแนะข้าด้วยว่า ข้าควรปฏิบัติตนอย่างไรในกรณีของข้าครั้งนี้ ข้าจักไม่ชี้ขาดกรณีใด ๆ จนกว่าพวกท่านทั้งหลายจะมาพบข้าและได้ปรึกษาหารือกัน ถ้าพวกท่านส่วนใหญ่เห็นควรอย่างไร ข้าก็จะปฏิบัติตามนั้นทันที
๓๓. พวกเหล่านั้นกล่าวว่า พวกเราเป็นผู้มีพลัง และมีอำนาจอันร้ายแรง พร้อมที่จะออกทำสงครามได้กับข้าศึกในทุกเมื่อ แต่ในกรณีนี้เป็นภาระที่จะต้องมอบแก่ท่าน ดังนั้นท่านจงพิจารณาเถิดว่า อะไรที่ท่านจะออกคำสั่ง พวกเราพร้อมเสมอที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของท่าน
๓๔. นางกล่าวว่า อันที่จริงบรรดาเจ้าเมืองทั้งหลายเมื่อได้นำกองทัพเข้าบุกโจมตีเมืองใด แน่นอนพวกเจ้าเมืองเหล่านั้นก็ทำลายมันจนย่อยยับ และพวกเขาก็จะทำให้ผู้มีอำนาจแห่งชาวเมืองนั้นเป็นผู้ต่ำต้อยในทันที และเช่นนั้นแหละที่พวกเจ้าเมืองทั้งหลายเขาทำกันเป็นประเพณี
๓๕. อย่ากระนั้นเลย ข้ามีความเห็นว่าพวกเราควรเจรจากับกองทัพของสุไลมานเสียเถิด และแท้จริงข้าจะส่งทูตนำเครื่องบรรณาการไปมอบแก่พวกสุไลมานเขา แล้วข้าจะดูว่า บรรดาทูตที่ส่งตัวไปนั้นจะกลับมาด้วยกับอะไร การส่งทูตเข้าพบกับนบีสุไลมานในครั้งนั้น บุลกิสได้ส่งเครื่องบรรณาการเป็นจำนวนมหาศาล และดูว่าทูตนั้นจะได้รับการตอบสนองอย่างไร หากสุไลมานรับเครื่องบรรณาการทั้งหมด ก็แสดงว่าสุไลมานเป็นเพียงเจ้าเมืองธรรมดาซึ่งบุลกิสก็จะนำกำลังพลออกมาต่อสู้ทันที แต่ถ้าสุไลมานไม่ยอมรับเครื่องบรรณาการก็แสดงว่าสุไลมานเป็นศาสนทูตจริง ซึ่งพวกเขาก็จะเชื่อถือและปฏิบัติตามคำสอน


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัน-นัมลุ อายะฮฺที่ 36 - 40


คำอ่าน
36. ฟะลัม..มาญา...อะสุลัยมานุ อะตุมิดดูนะนิบิมาลิน..ฟะมาอาตานิยัลลอฮุ ค็อยรุม..มิม..มา..อาตากุม บัลอัน..ตุม..บิฮะดียะติกุม ตัฟเราะหูน
37. อิรฺยิฮฺอิลัยฮิม ฟะละนะอ์ติยัน..นะฮุม..บิญุฯดิลลากิบะละ ละฮุม..บิมา วะละนุคริญัน..นะฮุม..มินฮา..อะซิลละเตา..วะฮุมศอฆิรูน
38. กอละ ยา..อัยยุฮัลมะละอุ อัยยุกุม ยะอ์ตีนี บิอัรฺชิฮา ก็อบละ อัย..ยะอ์ตูนี มุสลิมีน
39. กอละ อิฟรีตุม..มินัลญิน..นิ อะนะ อาตีกะ บิฮี ก็อบละ อัน..ตะกูมะ มิม..มะกอมิกะ วะอิน..นี อะลัยฮิ ละเกาะวียุนอะมีน
40. กอลัลละซี อิน..ดะฮู อิลมุม..มินัลกิตาบิ อะนะอาตีกะ บิฮีก็อบละ อัย..ยัรฺตัดดะอิลัยกะ ฏ็อรฺฟุก ฟะลัม..มาเราะอาฮุมุสตะกิรฺร็อนอิน..ดะฮู กอละ ฮาซามิน..ฟัฎลิร็อบบี ลิยับลุวะนี..อะอัชกุรุ อัมอักฟุรฺ วะมัน..ชะกะเราะ ฟะอิน..นะมายัชกุรุลินัฟสิฮฺ วะมัน..กะฟะเราะ ฟะอิน..นะร็อบบี เฆาะนียุน..กะรีม


คำแปล R1.
36. So when (the messengers with the present) came to Sulaiman (Solomon), he said: "Will you help me in wealth? What Allah has given me is better than that which he has given you! Nay, you rejoice in your gift!"
37. [Then Sulaiman (Solomon) said to the chief of her messengers who brought the present]: "Go back to them. We verily shall come to them with hosts that they cannot resist, and we shall drive them out from there in disgrace, and they will be abased."
38. He said: "O chiefs! Which of you can bring me her Throne before they come to me surrendering themselves in obedience?"
39. An Ifrit (strong) from the jinns said: "I will bring it to you before you rise from your place (council). And verily, I am indeed strong, and trustworthy for such work."
40. One with whom was knowledge of the Scripture said: "I will bring it to you within the twinkling of an eye!" Then when [Sulaiman (Solomon)] saw it placed before him, he said: "This is by the Grace of my Lord to test me whether I am grateful or ungrateful! And whoever is grateful, truly, his gratitude is for (the good of) his own self, and whoever is ungrateful, (he is ungrateful only for the loss of his own self). Certainly! My Lord is rich (free of all wants), bountiful."


คำแปล R2.
36. ครั้นเมื่อทูตได้มาหาสุลัยมาน สุลัยมานก็ถามว่า “พวกท่านจะนำเอาทรัพย์สินมาหยิบยื่นแก่ข้ากระนั้นหรือ? ที่จริงแล้วสิ่งที่อัลเลาะฮฺทรงประทานแก่ข้านั้น ประเสริฐกว่าสิ่งที่ทรงประทานแก่พวกท่าน (ที่นำมามอบในครั้งนี้มากมายนัก) แต่พวกท่านย่อมพึงใจในของบรรณาการของพวกท่านแน่ (เพราะท่านชอบเกียรติยศและความมั่งคั่งในโลกนี้)
37. เจ้าจงกลับไปหาพวกเขา (ชาวสะบะฮฺ)เถิด ขอสาบานว่า เราจะนำกองทัพไปโจมตีพวกเขา ซึ่งพวกเขาไม่มีทางที่จะต่อต้านได้หรอก และเราจะเนรเทศพวกเขาให้ออกไปจากเมืองนั้นอย่างอัปยศ และพวกเขาต่ำต้อย(ถูกจับเป็นเชลยของเรา)”
38. นบีสุลัยมานกล่าวว่า “โอ้ที่ปรึกษาทั้งหลาย คนใดในหมู่พวกท่านบ้างที่อาสาไปนำบัลลังก์ของนางมามอบแก่ฉันก่อนที่พวกเขาจะมาหาฉันในฐานะผู้สวามิภักดิ์”
39. ได้มี “อิฟรีต” ซึ่งเป็นหนึ่งในพวกญินกล่าวอาสาขึ้นมาว่า “ข้าพเจ้าขออาสาเป็นผู้ไปนำบัลลังก์นั้นมาเอง ก่อนที่ท่านจะลุกออกไปจากที่ของท่านนี่แหละ และแท้จริงข้าพเจ้ามีพลังอีกทั้งซื่อสัตย์บนงานนั้น”
40. ส่วนผู้ที่มีความรู้จากคัมภีร์(เดิม)ได้พูดขึ้นว่า “ฉันขอเป็นผู้ไปนำมันมาเอง ก่อนที่สายตาของท่านจะกะพริบกลับมายังท่าน(ชั่วพริบตาเดียว)” ครั้นเมื่อสุลัยมานได้มองเห็นบัลลังก์นั้นมาวางอยู่ต่อหน้าเขาเรียบร้อยแล้ว (จากการไปนำมาโดยอาสาสมัครคนที่สอง ซึ่งมีนักวิชาการบางคนว่า เป็นข้าราชบริพารของนบีสุลัยมาน, บ้างว่าเป็นญิบรีล, บ้างก็ว่าเป็นนบีคิฎิร) เขาจึงกล่าวว่า “นี้เป็นส่วนหนึ่งจากความโปรดปรานขององค์อภิบาลของฉัน เพื่อพระองค์ทรงทดสอบฉันว่า ฉันจะกตัญญูหรือฉันจะอกตัญญู อันที่จริง ผู้ใดกตัญญู แน่นอนที่สุด เขาก็กตัญญูเพื่อ(ผลลัพท์อันพึงได้แก่)ตัวเขาเอง และผู้ใดอกตัญญู แท้จริงองค์อภิบาลของฉัน ย่อมมั่งคั่งอีกทั้งทรงเผื่อแผ่ยิ่งนัก


คำแปล R3.
36. เมื่อพวกทูตมาเข้าเฝ้าสุลัยมาน เขาก็กล่าวว่า “พวกท่านต้องการจะช่วยฉันด้วยทรัพย์สินกระนั้นหรือ? สิ่งที่อัลลอฮฺประทานแก่ฉันนั้นมากมายกว่าที่พระองค์ได้ประทานแก่พวกท่านเสียอีก พวกท่านจงรื่นเริงกับของกำนัลของพวกท่านไปเถิด
37. จงกลับไปยังพวกท่าน เราจะนำกองทัพที่พวกเขาไม่สามารถต้านทานได้ไปยังพวกเขา และเราจะขับไล่พวกเขาออกไปจากที่นั้นอย่างอัปยศและหมดศักดิ์ศรี
38. สุลัยมานได้กล่าวว่า “เสนาบดีทั้งหลาย มีใครบ้างในหมู่พวกเจ้าที่สามารถนำบัลลังก์ของนางมาก่อนที่คนเหล่านั้นจะมายังฉันในฐานะผู้นอบน้อม?”
39. ผู้กล้าหาญตนหนึ่งในหมู่ญินกล่าวว่า “ฉันจะนำมันมาให้ท่านก่อนที่ท่านจะลุกขึ้นจากที่ของท่าน ฉันมีพลังที่จะทำเช่นนั้น และไว้วางใจได้ในเรื่องนี้”
40. ผู้มีความรู้ในคัมภีร์คนหนึ่งได้กล่าวขึ้นมาว่า “ฉันจะนำมันมาให้ท่านในชั่วกะพริบตา” ทันทีที่สุลัยมานเห็นบัลลังก์ปรากฏต่อหน้า เขาก็อุทานออกมาว่า “นี่เพราะความโปรดปรานจากองค์พระผู้อภิบาลของฉัน ทั้งนี้เพื่อที่พระองค์จะทดสอบฉันว่าฉันเป็นผู้กตัญญูหรือผู้เนรคุณ และผู้ใดกตัญญู ผู้นั้นก็กตัญญูเพื่อผลดีของตัวเขาเอง ส่วนผู้ใดเนรคุณ พระผู้อภิบาลของฉันนั้นเป็นผู้มั่งมีอย่างเหลือหลายและทรงมีเกียรติอันสูงส่งอยู่แล้ว


คำแปล R4.
36. เมื่อพวกเขาได้เข้าพบสุลัยมานแล้ว เขา(สุลัยมาน) กล่าวว่า “พวกท่านจะนำทรัพย์สินมากำนัลแก่เราหรือ ? สิ่งที่อัลลอฮฺทรงประทานให้แก่ฉันนั้น ดียิ่งกว่าสิ่งที่พระองค์ประทานให้แก่พวกท่าน แต่พวกท่านดีใจต่อของกำนัลของพวกท่าน
37. จงกลับไปยังพวกเขา เพราะแน่นอนเราจะนำไพร่พลไปยังพวกเขา โดยที่พวกเขาไม่มีกำลังที่จะต่อต้านมันได้ และแน่นอน เราจะให้พวกเขาออกจากที่นั่นอย่างอัปยศ และพวกเขาจะเป็นผู้ต่ำต้อย
38. เขา (สุลัยมาน) กล่าวว่า “โอ้หมู่บริพารทั้งหลายเอ๋ย ! ผู้ใดในหมู่พวกท่านจะนำบัลลังก์ของนางมายังฉัน ก่อนที่พวกเขาจะมาหาฉันอย่างผู้นอบน้อม”
39. ผู้ปรีชาสามารถล้ำเลิศคนหนึ่งของพวกญินได้กล่าวว่า “ฉันจะนำมันมาเสนอท่าน ก่อนที่ท่านจะลุกขึ้นจากที่นั่งของท่าน และแท้จริงฉันเป็นผู้มีพลังและไว้วางใจได้ในเรื่องนี้”
40. ผู้ที่มีความรู้ในเรื่องคัมภีร์ กล่าวว่า “ฉันจะนำมันมาเสนอท่านชั่วพริบตาเดียว” เมื่อเขา (สุลัยมาน) เห็นมันวางมั่นคงอยู่ต่อหน้าเขา เขากล่าวว่า “นี่เนื่องจากความโปรดปรานของพระเจ้าของฉัน เพื่อพระองค์จะได้ทรงทดสอบฉันว่าฉันกตัญญูหรือเนรคุณ และผู้ใดกตัญญูแท้จริงเขาก็กตัญญูต่อตัวเขาเอง และผู้ใดเนรคุณแท้จริงพระเจ้าของฉันนั้นเป็นผู้ทรงมั่งมี ผู้ทรงเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ยิ่ง”

 
คำแปล R5.
๓๖. แล้วเมื่อทูตที่ได้รับการแต่งตั้งเขามาพบนบีสุไลมาน นบีสุไลมานเขาก็กล่าวกับทูตว่า พวกท่านจะนำทรัพย์สมบัติมาสร้างความมักมากกับข้าหรือ พวกท่านทำไม่สำเร็จหรอก เพราะข้ามิได้เสน่หาใด ๆ กับทรัพย์วัตถุทางโลกนี้ แล้วท่านนบีสุไลมานก็กล่าวกับหัวหน้าขณะซึ่งมีชื่อว่า “อัลมุนซิร บิน อัมริน” ว่า “ท่านกลับไปเถิด”จนจบเรื่องที่ปรากฏในโอกงารต่อไป อันที่จริงสิ่งที่อัลเลาะห์ประทานแก่ข้า ได้แก่การเป็นศาสนทูตและการเป็นผู้ปกครองย่อมจะประเสริฐกว่าสิ่งที่พวกท่านให้แก่ข้า ซึ่งมีพวกทรัพย์สมบัติต่าง ๆ ที่นำมามอบในคราวนี้ แต่พวกท่านทั้งหลายย่อมพึงใจในบรรณาการของพวกท่านแน่แน่ เพราะพวกท่านชอบฝักใฝ่กับเกียรติยศ ความมั่งคั่งของโลกนี้ พวกท่านคิดว่าการมอบเครื่องบรรณาการแก่กันและกันจะเสริมสร้างมิตรภาพแก่กัน แต่สำหรับข้าแล้ว มิตรภาพไม่จำเป็นต้องได้มาจากทรัพย์สมบัติเท่านั้น
๓๗. ท่านจงกลับไปหาพวกเขาเถิด มุนซิรเอ๋ย แล้วเราจะมาพบพวกเขาพร้อมด้วยกองทัพอันยิ่งใหญ่มหาศาล ซึ่งสำหรับพวกเขาแล้วไม่อาจจะต้านทานกองทัพนั้นได้เลย และเราจะขับพวกเขาออกจากเมืองนั้นด้วยความตกต่ำ และพวกเขาจะต้องกลับมาเป็นคนเล็ก ๆ อันไร้เกียรติ ไร้อำนาจวาสนาโดยสิ้นเชิง ทั้งนี้ถ้าพวกเขาไม่ยอมเป็นมุสลิมผู้ยอมสยบต่อพระผู้เป็นเจ้า
๓๘. นบีสุไลมานเขากล่าวประกาศในกองทัพของเขาว่า โอ้มวลชนของข้า ผู้ใดบ้างในพวกท่านที่จะรับอาสาล่วงหน้าไปพบกับบุลกิส แล้วเขาผู้รับอาสานั้นต้องกลับมาหาข้า โดยสามารถทำให้บุลกิสยอมมอบบัลลังก์ของนาง โดยงานนั้นจะต้องทำให้เสร็จก่อนที่พวกนั้นจะมาหาข้าในสภาพผู้ยอมเป็นมุสลิม
๓๙. อิฟริต ซึ่งเป็นอนมุษย์ชนิดหนึ่งจากกลุ่มญินจึงรับอาสาและกล่าวว่า ข้าพเจ้าจะเป็นผู้นำมัน(บัลลังก์) มาเองก่อนที่ท่านจะยืนขึ้นจากที่ยืนของท่านและแท้จริงข้าพเจ้าย่อมเป็นผู้มีพลัง เป็นผู้ที่ซื่อสัตย์เหนือ ภารกิจที่ข้าพเจ้าได้รับอาสามานั้น ข้าพเจ้าสัญญาว่าจะนำบัลลังก์ของบุลกิสมาให้ได้ ข้าพเจ้าจะทำกับมันอย่างทะนุถนอมและไม่แบ่งบางส่วนมาเป็นของข้าพเจ้า
๔๐. นบีสุไลมาน ผู้มีความรู้จากคัมภีร์แห่งพระโองการของอัลเลาะห์จึงกล่าวว่า ข้าจะเป็นผู้นำมัน(บัลลังก์ของบุลกิส) มายังเจ้าเองโดยใช้เวลาน้อยกว่าที่เจ้าอาสาอีก นั่นคือ จะนำมาในช่วงเวลาก่อนที่สายตาเจ้าจะตวัดกลับมาสู่เจ้าเองในชั่วพริบตาเดียว ซึ่งเจ้าไม่สามารถจะทำเช่นนั้นได้ ต่อมาเมื่อนบีสุไลมานเขาได้เห็นมัน(บัลลังก์) สถิตอยู่กับเขาด้วยการช่วงชิงมาจากบุลกิสได้สำเร็จในชั่วพริบตาดังกล่าวแล้ว เขาก็กล่าวด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของอัลเลาะห์ว่า นี้คือความโปรดปรานหนึ่งของพระผู้อภิบาลข้าพระองค์ทรงประทานแก่ข้า ก็เพื่อจะปฏิบัติประหนึ่งทดสอบข้าว่าข้าจะรู้คุณต่อพระองค์ หรือว่าข้าจะเนรคุณพระองค์ และผู้ใดรู้คุณพระองค์แน่นอนที่สุด เขาก็จะได้รับผลแห่งความรู้คุณแก่ตัวของเขาเอง ผลนั้นหาได้เกิดแก่ผู้อื่นไม่ และผู้ใดเนรคุณพระองค์แน่นอนที่สุดพระผู้ทรงอภิบาลของข้าย่อมทรงไว้ซึ่งความรวย ไม่ได้พึ่งพาอาศัยผู้ใดทั้งสิ้น ดังนั้นการเนรคุณของผู้นั้นจึงไม่ได้ระคายเบื้องพระเดชานุภาพแห่งพระองค์แม้แต่น้อย พระองค์ สำหรับมวลข้าทาสของพระองค์ แม้พวกนั้นจะเนรคุณ พระองค์ก็ยังทรงโปรดปรานพวกเขาเป็นอันดี


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัน-นัมลุ อายะฮฺที่ 41 - 44


คำอ่าน
41. กอละ นักกิรูละฮา อัรฺชะฮานัน..ซุรฺ อะตะฮฺตะดี.อัมตะกูนุมินัลละซี นะลายะฮฺตะดูน
42. ฟะลัม..มาญา...อัต กีละ อะฮากะซาอัรชุก กอลัตกะอัน..นะฮูฮู วะอูตีนัลอิลมะ มิน..ก็อบลิฮา วะกุน..นามุสลิมีน
43. วะศ็อดดะฮา มากานัตตะอฺบุดุ มิน..ดูนิลลาฮฺ อิน..นะฮา กานัตมิน..ก็อวมิน..กาฟิรีน
44. กีละ ละฮัดคุลิศศ็อรฺหะ ฟะลัม..มาเราะอัตฮุ หะสิบัตฮุ ลุจญะเตา..วะกะชะฟัต อัน..สาก็อยฮา กอละ อิน..นะฮู ศ็อรฺหุม..มุมัรฺเราะดุม..มิน..เกาะวารีรฺ กอลัตร็อบบิอิน..นี เซาะลัมตุนัฟสี วะอัสลัมตุมะอะ สุลัยมานะ ร็อบบิลอาละมีน


คำแปล R1.
41. He said: "Disguise her Throne for her that we may see whether she will be guided (to recognize her throne), or she will be one of those not guided."
42. So when she came, it was said (to her): "Is your Throne like this?" she said: "(It is) as though it were the very same." and [Sulaiman (Solomon) said]: "Knowledge was bestowed on us before her, and we were submitted to Allah (in Islam as Muslims before her)."
43. And that which she used to worship besides Allah has prevented her (from Islam), for she was of a disbelieving people.
44. It was said to her: "Enter As-Sarh" [(a glass surface with water underneath it) or a palace], but when she saw it, she thought it was a pool, and she (tucked up her clothes) uncovering her legs, Sulaiman (Solomon) said: "Verily, it is Sarh [(a glass surface with water underneath it) or a palace] paved smooth with slab of glass." she said: "My Lord! Verily, I have wronged myself, and I submit (in Islam, together with Sulaiman (Solomon), to Allah, the Lord of the 'Alamin (mankind, jinns and all that exists)."


คำแปล R2.
41. สุลัยมานกล่าว(ออกคำสั่งแก่คนของเขา)ว่า “พวกท่านจงแปรสภาพบัลลังก์ของนางเสียเถิด เพื่อเราจะได้คอยดูว่านางจะได้รับการชี้นำ(ให้จดจำได้) หรือว่า นางเป็นผู้หนึ่งจากบรรดาที่ไม่ถูกชี้นำ(ให้จำได้)?”
42. ครั้นต่อมาเมื่อนางได้มา(พบกับนบีสุลัยมาน) ก็มีผู้ถามนางว่า “บัลลังก์ของนางเป็นเช่นนี้หรือ?” นางตอบว่า “คล้าย ๆ กับว่าจะใช่มัน และเราได้รับรู้มาก่อนหน้านั้น(ว่าท่านมีปาฏิหาริย์สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งใด ๆ ได้) และเราเป็นผู้ยอมสวามิภักดิ์แล้ว”
43. และสิ่งที่นางเคยกราบไหว้นอกเหนือจากอัลเลาะฮฺได้เป็นอุปสรรคแก่นาง (ที่ทำให้นางไม่ยอมรับอิสลามมาแต่เดิม) แท้จริงนางจึงเป็นหนึ่งในกลุ่มชนที่ไร้ศรัทธา
44. มีผู้กล่าวกับนางว่า “ขอเชิญนางเข้ามาในวังนี้เถิด” ครั้นเมื่อนางได้เห็นวังนั้น นางก็คิดว่ามันเป็นเพียงสระน้ำ และนางได้ถลกเสื้อผ้าจากน่องทั้งสองของนาง (เพื่อให้พ้นน้ำที่นางเห็น) สุลัยมานจึงกล่าวว่า “ที่จริงมันเป็นวังที่ถูกสร้างขึ้นเป็นเงาลื่นจากกระจก” นางจึงอุทานว่า “โอ้องค์อภิบาลของข้า แท้จริงข้าได้ทุจริตแก่ตัวข้าเอง(มาเป็นเวลานาน) และข้าขอสวามิภักดิ์ร่วมกับสุลัยมาน ต่ออัลเลาะฮฺ ผู้ทรงอภิบาลโลกทั้งหลาย


คำแปล R3.
41. สุลัยมานได้กล่าวว่า “จงจัดบัลลังก์ของนางให้พอเป็นพิธี เราจะดูว่านางมาถึงทางนำหรือนางเป็นผู้หนึ่งที่ยังไม่ได้รับทางนำ”
42. เมื่อนางได้มาถึง นางได้ถูกถามว่า “บัลลังก์ของพระนางเหมือนอย่างนี้ใช่ไหม?” นางได้กล่าวว่า “มันก็เหมือนอย่างนี้ เรารู้เรื่องนี้แล้ว และเราก็ยอมจำนน(หรือเป็นมุสลิม)แล้วด้วย”
43. การที่นางสักการบูชาสิ่งอื่นแทนอัลลอฮฺได้ขัดขวางนาง(จากการศรัทธา) เพราะแท้จริงนางมาจากหมู่ชนผู้ปฏิเสธ
44. นางได้ถูกขอให้เข้าไปในวัง เมื่อนางได้เห็น นางก็คิดว่ามันเป็นสระน้ำ ดังนั้นนางจึงถลกผ้าขึ้นมาเพื่อที่จะเข้าไปในนั้น สุลัยมานได้กล่าวว่า “มันเป็นพื้นเงามันของกระจก” ดังนั้นนางจึงบอุทานว่า “โอ้พระผู้อภิบาลของฉัน ฉันได้อธรรมต่อตัวฉันเอง ตอนนี้ฉันขอนอบน้อมยอมตนกับสุลัยมานเพื่ออัลลอฮฺ พระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก”


คำแปล R4.
41. เขากล่าวว่า “พวกท่านจงดัดแปลงบัลลังก์ของพระนาง เพื่อดูซิว่าพระนางจะจำมันได้หรือพระนางจะอยู่ในหมู่ผู้จำมันไม่ได้”
42. ครั้นเมื่อพระนางได้มาถึงก็ได้ทูลพระนางว่า “บัลลังก์ของพระนางเหมือนอย่างนี้หรือ ?” พระนางตรัสว่า “มันคล้ายอย่างนี้แหละ” และเราได้รับความรู้มาก่อนนาง และเราได้เป็นมุสลิมมาก่อนนาง
43. และการที่นางได้สักการะบูชาอื่นจากอัลลอฮฺ ได้หันห่างนางออกไป แท้จริงนางอยู่ในหมู่ชนผู้ปฏิเสธ
44. ได้มีเสียงกล่าวแก่นางว่า “โปรดเข้าไปในวังเถิด” ครั้นเมื่อนางเห็นมันนางคิดว่า มันเป็นสระที่เป็นห้วงน้ำ และนางได้เลิกหน้าแข็งของนาง เขา (สุลัยมาน) กล่าวว่า “มันเป็นวังทำให้ราบเรียบด้วยกระจก” นางได้กล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้าของฉัน แท้จริงฉันได้อธรรมแก่ตัวฉันเอง และฉันขอนอบน้อมปฏิบัติตามสุลัยมาน เพื่ออัลลอฮ์พระเจ้าแห่งสากลโลก”


คำแปล R5.
๔๑. หลังจากนำบัลลังก์ของบุลกิสมายึดครองไว้เรียบร้อยแล้ว นบีสุไลมานเขากล่าวออกคำสั่งแก่ทหารของเขาว่าพวกเจ้าจงดัดแปลงรูปแบบบัลลังก์ของนางให้นางได้มองเห็นเมื่อนางตามมา เพื่อเราจะดูว่านางรับการชี้นำจากพระเจ้าให้จำบัลลังก์ของนางเองได้ไหม หรือว่านางจะเป็นเพียงหนึ่งจากบรรดาผู้ไม่ได้รับการชี้นำทั้งหลาย ซึ่งนางก็ไม่สามารถจดจำบัลลังก์ของนางได้เลย
๔๒. ต่อมาเมื่อนางได้มาหานบีสุไลมานเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีก็มีผู้ถามนางว่า บัลลังก์ของนางเป็นเช่นนี้หรือ นางตอบว่า มันคล้ายคลึงกันและเราได้รู้มาก่อนที่ท่านจะแสดงปาฏิหาริย์เกี่ยวกับมัน(บัลลังก์)ว่า อัลเลาะห์ทรงอานุภาพอันสมบูรณ์สุด และศาสนทูตของพระองค์ทรงไว้ซึ่งสัจจะยิ่ง และเราได้ยอมเป็นมุสลิม และสวามิภักดิ์ต่อท่านอย่างราบคาบแล้ว จึงไม่จำเป็นที่ท่านจะแสดงปาฏิหาริย์อื่น ๆ ต่อไปอีก
๔๓. และนบีสุไลมานเขาได้ห้ามปรามนางที่นางเคยนมัสการกราบไหว้ดวงอาทิตย์นอกจากอัลเลาะห์เพียงพระองค์เดียวที่เขากำชับให้นางนมัสการ เพราะแท้จริงแต่เดิมนั้น นางเป็นผู้หนึ่งจากกลุ่มชนผู้เนรคุณ
๔๔. มีผู้กล่าวกับนางว่า เจ้าจงเข้าสู่ราชวังเถิด แต่แล้วเมื่อนางได้เห็นมัน(ราชวัง) นางก็คิดว่ามันเป็นน้ำด้วยความลื่นและมันเป็นเงาจนดูไกล ๆ คล้ายกับน้ำ และนางได้เผยหน้าแข้งทั้งสองของนางด้วยการถลกอาภรณ์ของนางขึ้นสูงเพื่อให้พ้นระดับน้ำนั้น นบีสุไลมานเขากล่าวว่ามันเป็นราชวังอันราบรื่นซึ่งถูกสร้างมาจากกระจก หาใช่เป็นน้ำซึ่งเจ้าต้องยกอาภรณ์อย่างนั้นไม่ นางจึงกล่าวว่า โอ้องค์อภิบาล ข้านี้ได้ทุจริตแก่ตัวเองด้วยการกราบไหว้ดวงตะวันมา และข้าขอเข้าอิสลามร่วมกับสุไลมานด้วยความบริสุทธิ์ใจเพื่ออัลเลาะห์ผู้ทรงอภิบาลโลกทั้งผอง


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัน-นัมลุ อายะฮฺที่ 45 - 47


คำอ่าน
45. วะละก็อดอัรฺสัลนา..อิลาสะมูดะ อะคอฮุม ศอลิหา อะนิอฺบุดุลลอฮะ ฟะอิซาฮุม ฟะรีกอนิ ยัคตะศิมูน
46. กอละยาก็อวมิ ลิมะตัสตะอฺญิลูนะ บิสสัยยิอะติ ก็อบลัลหะสะนะฮฺ เลาลาตัสตัฆฟิรูนัลลอฮะ ละอัลละกุมตุรฺหะมูน
47. กอลุฏฏ็อยยัรฺนาบิกะ วะบิมัม..มะอัก กอละฏอ..อิรุกุม อิน..ดัลลอฮิ บัลอัน..ตุม ก็อวมุน..ตุกตะนูน


คำแปล R1.
45. And indeed we sent to Thamud their brother Salih (Saleh), saying: "Worship Allah (Alone and none else). Then look! They became two parties (believers and disbelievers) quarreling with each other."
46. He said: "O my people! Why do you seek to hasten the evil (torment) before the good (Allah's Mercy)? Why seek you not the Forgiveness of Allah, that you may receive Mercy?"
47. They said: "We augur ill omen from you and those with you." He said: "Your ill omen is with Allah; Nay, but you are a people that are being tested."


คำแปล R2.
45. ขอยืนยัน แท้จริงเราได้ส่งทูตมายังกลุ่มสะมู๊ดซึ่งพี่น้องอขงพวก้ขาคือซิลิหฺ (ให้เขาประกาศว่า) “พวกท่านจงนมัสการต่ออัลเลาะฮฺเถิด” แต่ครั้นแล้วพวกเขาก็แยกออกเป็นสองกลุ่ม ซึ่งต่างก็ทะเลาะกันเอง(ฝ่ายหนึ่งศรัทธา อีกฝ่ายหนึ่งคัดค้านX
46. นบีซอลิหฺจึงประกาศว่า “โอ้กลุ่มชนของฉัน เหตุใดพวกท่านจึงรีบทำความเลวก่อนความดี ไฉนพวกท่านจึงไม่ขออภัยต่ออัลเลาะฮฺเสีย? เพื่อพวกท่านจะได้รับความเมตตา(จากพระองค์)
47. พวกเขากล่าวว่า “พวกเราโชคร้ายเพราะเจ้า และผู้ที่อยู่ร่วม(ขบวนการ)กับเจ้า” นบีซอลิหฺโต้เขาว่า “ความโชคร้ายของพวกท่านเป็นอำนาจของอัลเลาะฮฺ(ที่จะทรงบันดาลขึ้น) ทว่าพวกท่านเป็นกลุ่มชนที่ถูกก่อกวน (โดยมารร้ายทำให้เกิดความหลงผิด)


คำแปล R3.
45. และยังพวกษะมูด เราได้ส่งซอลิฮฺพี่น้องของพวกเขา(พร้อมกับสาส์น)ว่าพวกเขาจะต้องเคารพภักดีอัลลอฮฺ แต่พวกเขาได้แตกออกเป็นสองพวกที่โต้แย้งกัน
46. ซอลิฮฺได้กล่าวว่า “หมู่ชนของฉัน ทำไมพวกท่านจึงรีบเร่งเพื่อความชั่วก่อนความดีเล่า? ทำไมพวกท่านจึงไม่ขออภัยต่ออัลลอฮฺ? เพื่อที่พวกท่านจะได้รับความเมตตา”
47. พวกเขากล่าวว่า “เราถือว่าท่านและผู้คนที่อยู่กับท่านเป็นลางร้าย” ซอลิฮฺได้กล่าวว่า “ลางร้ายของพวกท่านมาจากอัลลอฮฺ ความจริงแล้วพวกท่านเป็นหมู่ชนที่กำลังถูกทดสอบ”


คำแปล R4.
45. และโดยแน่นอน เราได้ส่งพี่น้องคนหนึ่งของพวกเขาคือศอและฮฺ ไปยัง(หมู่ชนของ) ษะมูดโดยให้พวกเขาเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺ แล้วพวกเขาได้แบ่งออกเป็นสองพวกแล้วโต้เถียงกัน
46. เขา (ศอและฮฺ) กล่าวว่า “โอ้หมู่ชนของฉันเอ๋ย ! ทำไมพวกท่านจึงรีบเร่งหาความชั่วก่อนความดีเล่า ? ทำไมพวกท่านจึงไม่ขออภัยต่ออัลลอฮฺเพื่อพวกท่านจะได้รับความเมตตา”
47. พวกเขากล่าวว่า “พวกเราได้ประสบโชคร้ายเพราะท่าน และผู้ที่ร่วมกับท่าน” เขา (ศอและฮฺ) กล่าวว่า “โชคร้ายของพวกท่านอยู่ที่อัลลอฮฺ ยิ่งกว่านั้นพวกท่านเป็นหมู่ชนที่ถูกทดสอบ”

 
คำแปล R5.
ประวัตินบีซอและห์
๔๕. ขอสาบาน โดยแท้จริงเราได้ส่งนบีซอและห์ผู้เป็นญาติของพวกสะมู๊ดให้เป็นศาสนทูตสำหรับพวกเขาเอง โดยให้เขาประกาศเผยแพร่ว่า พวกท่านทั้งหลายจงนมัสการอัลเลาะห์ แต่แล้วพวกเขาเหล่านั้น ก็แตกแยกออกเป็นสองกลุ่มซึ่งได้เถียงกันเอง คือกลุ่มหนึ่งเชื่อถือนบีซอและห์อีกกลุ่มหนึ่งว่านบีซอและห์โกหก
๔๖. นบีซอและห์เขากล่าวว่า โอ้พวกพ้องของข้า ไฉนพวกท่านจึงขอเร่งความเลวทรามให้อุบัติแก่ตัวเองก่อนความดีงามเพราะการปฏิเสธคำสั่งสอนของข้านั้นพวกท่านจะต้องรับโทษทัณฑ์อันสาหัสยิ่งนักมาดแม้นพวกท่านไม่ขอลุแก่โทษต่ออัลเลาะห์เพื่อพวกท่านจักได้รับความเมตตาจากพระองค์
๔๗. พวกเขากล่าวว่า เราขอเสี่ยงทายกับท่านและกับผู้ร่วมอุดมการณ์กับท่าน นบีซอและห์เขากล่าวว่า อันผลเสี่ยงทายของพวกท่านนั้นอยู่ที่อัลเลาะห์ จะดีหรือจะชั่วก็ตาม แต่ทว่าความเป็นจริงพวกท่านทั้งหลายนั้นเป็นกลุ่มชนที่จะได้รับการทดสอบ จากอัลเลาะห์กล่าวคือหากพวกท่านเชื่อถือศรัทธาในพระองค์และปฏิบัติตามข้ามา พวกท่านก็จะได้รับการตอบสนองอันมีมงคลและสมบูรณ์ยิ่ง แต่ถ้าพวกท่านเนรคุณและไม่เชื่อฟังข้า พวกท่านก็จะได้รับการตอบแทนอย่างสาหัสที่สุด


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัน-นัมลุ อายะฮฺที่ 48 - 53


คำอ่าน
48. วะกานะฟิลมะดีนะติ ติสอะตุ เราะฮฺตี ยุฟสิดูนะ ฟิลอัรฺฎิ วะลายุศลิหูน
49. กอลู ตะกอสะมูบิลลาฮิ ลินุบัยยิตัน..นะฮู วะอะฮฺละฮู ษุม..มะละนะกูลัน..นะ ลิวะลียิฮี มาชะฮิดนา มะฮฺลิกะอะฮฺลิฮี วะอิน..นาละศอดิกูน
50. วะมะกะรูมักร็อว..วะมะกัรฺนามักร็อว..วะฮุมลายัชอุรูน
51. ฟัน..ซุรฺกัยฟะ กานะอากิบะตุ มักริฮิม อัน..นาดัม..มัรฺนาฮุม วะก็อวมะฮุมอัจญมะอีน
52. ฟะติลกะบุยูตุฮุม คอวิยะตัม..บิมาเซาะละมู อิน..นะฟีซาลิกะละอายะตัลลิก็อวมียะอฺละมูน
53. วะอัน..ญัยนัลละซีนะอามะนู วะกานูยัตตะกูน


คำแปล R1.
48. And there were in the city nine men (from the sons of their chiefs), who made mischief in the land, and would not reform.
49. They said: “Swear one to another by Allah that we shall make a secret night attack on him and his household, and afterwards we will surely say to his near relatives: 'We witnessed not the destruction of his household, and verily! We are telling the truth.”
50. So they plotted a plot, and we planned a plan, while they perceived not.
51. Then see how was the end of their plot! Verily! We destroyed them and their nation, all together.
52. These are their houses in utter ruin, for they did wrong. Verily, in this is indeed an Ayah (a lesson or a sign) for people who know.
53. And we saved those who believed, and used to fear Allah, and keep their duty to Him.


คำแปล R2.
48. และมีคนอยู่เก้าคนในเมืองนั้น(ของพวกสะมู๊ด)ซึ่งคอยบ่อนทำลายในแผ่นดิน และพวกเขามิได้สร้างสรรค์เลย
49. พวกเหล่านั้นกล่าวปรึกษากันเองว่า “พวกท่านจงต่างคนต่างสาบานต่ออัลเลาะฮฺเถิด เพื่อพวกเราจะลอบฆ่าเขาและสมาชิกของเขาในยามวิกาล หลังจากนั้นพวกเราก็รายงานแก่ทายาทของเขาว่า “เราไม่ได้มาในที่ที่ทำการฆ่าสมาชิกของเขา (เราจึงไม่รู้ว่าใครเป็นคนฆ่า) และแท้จริงเราเป็นผู้พูดจริง”
50. และพวกเขาได้วางแผนการไว้อย่างแยบยล และเรา(อัลเลาะฮฺ)ก็ได้กำหนดแผนไว้อย่างแยบยล(เหมือนกัน) แต่พวกเขาไม่รู้ตัว
51. ดังนั้น เจ้าจงพิจารณาเถิด ผลบั้นปลายแห่งแผนการของพวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง? เราได้ทำลายล้างพวกเขา และกลุ่มชนของพวกเขาทั้งสิ้น
52. ในที่สุดบ้านเรือนของพวกเขาก็พังทลายเพราะเหตุที่พวกเขาได้ฉ้อฉล แท้จริงในนั้นย่อมเป็นสัญลักษณ์สำหรับกลุ่มชนที่รอบรู้
53. และเราได้บันดาลความปลอดภัยแก่บรรดาผู้มีศรัทธา และพวกเขาเป็นผู้ยำเกรง


คำแปล R3.
48. ในเมืองนั้นมีผู้นำ 9 คน ที่สร้างความเสียหายในแผ่นดินและไม่ได้ทำสิ่งใดให้ดีขึ้น
49. พวกเขากล่าวซึ่งกันและกันว่า “ขอให้พวกเราสาบานด้วยอัลลอฮฺว่า เราจะโจมตีซอลิฮฺและครอบครัวของเขาในตอนกลางคืน แล้วหลังจากนั้น เราจะบอกผู้คุ้มครองของเขาว่า เราไม่ได้อยู่ในตอนที่ครอบครัวของเขาถูกฆ่า เราพูดความจริง”
50. ดังนั้นพวกเขาจึงได้วางแผน และเราก็วางแผนด้วยเช่นกัน โดยที่พวกเขาไม่รู้
51. จงดูว่าผลสุดท้ายของแผนการของพวกเขาเป็นอย่างไร เราได้ทำลายพวกเขาและคนของพวกเขาจนหมดสิ้น
52. และนั่น บ้านของพวกเขาได้ทลายลงมาเพราะผลแห่งการทำชั่วของพวกเขา แท้จริงแล้วในนั้นมีสัญญาณสำหรับหมู่ชนที่มีความรู้
53. และเราได้ช่วยบรรดาผู้ศรัทธาและสำรวมตนจากความชั่วให้รอด


คำแปล R4.
48. และในเมืองนั้นมีเก้าคนที่เป็นผู้บ่อนทำลายในแผ่นดิน และพวกเขาไม่เป็นผู้ฟื้นฟูการทำดี
49. พวกเขากล่าวว่า “จงร่วมกันสาบานด้วยพระนามของอัลลอฮฺ แน่นอนพวกเราเตรียมที่จะทำร้ายเขาและครอบครัวของเขาในเวลากลางคืนแล้วเราก็จะกล่าวแก่ทายาทของเขาว่า เราไม่รู้เห็นความพินาศของครอบครัวของเขา และแท้จริงเรานั้นเป็นผู้สัตย์จริง”
50. และพวกเขาได้วางแผน และเราก็ได้วางแผนโดยที่พวกเขาไม่รู้สึกตัว
51. ดังนั้นจงคอยดูเถิด ผลสุดท้ายแห่งแผนการของพวกเขาจะเป็นเช่นไร กล่าวคือเราได้ทำลายล้างพวกเขา และหมู่ชนของพวกเขารวมทั้งหมด
52. ดังนั้น นั่นคือบ้านของพวกเขาก็ว่างเปล่า ทั้งนี้เพราะพวกเขาอธรรม แท้จริงในการนี้ย่อมเป็นสัญญาณหนึ่งอย่างแน่นอน สำหรับหมู่ชนที่รู้
53. และเราได้ช่วยบรรดาผู้ศรัทธา และพวกเขาเป็นผู้ยำเกรง ให้รอดพ้น


คำแปล R5.
๔๘. และในเมืองของนบีซอและห์ซึ่งมีชื่อว่า “อัลฮิจริ” นั้นมีอยู่เก้าคนที่บ่อนทำลายในแผ่นดิน และไม่ประพฤติความดี
๔๙. บุคคลทั้งเก้าได้ประชุมเพื่อทำลายนบีซอและห์ โดยพวกเขากล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงมาร่วมสาบานกันเถิดว่าพวกท่านจะต้องลอบทำลายชีวิตของเขา (นบีซอและห์) และครอบครัวของเขาในตอนกลางคืน หลังจากนั้นเมื่อมีการสอบสวนเพื่อหาผู้กระทำผิด ก็ให้พวกเราทุกคนพูดกับผู้ปกครองของเขาที่ทรงสิทธิตามกฎหมายที่จะทวงการฆ่าแทนจากผู้กระทำผิดว่าพวกเราไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุแห่งการทำลายชีวิตครอบครัวของเขา เราไม่รู้ว่าใครเป็นผู้ฆ่า และแท้จริงพวกเราทุกคนเป็นผู้พูดจริงทั้งสิ้น
๕๐. และพวกเขาวางอุบายอย่างแยบยล และเราก็มีอุบายที่แยบยลเหมือนกัน แต่พวกเขาหาได้สำนึกไม่
๕๑. ดังนั้น มุฮำมัดเอ๋ย เจ้าจงพิเคราะห์เถิดว่า ผลที่สุด อุบายของพวกเขานั้นเป็นอย่างไร อุบายที่พวกเขาวางไว้ว่าจะทำลายนบีซอแลห์และครอบครัวหาได้สัมฤทธิ์ผลไม่ ตรงกันข้ามแท้จริงเราได้ทำให้พวกเขาทั้งเก้าและพวกพ้องของพวกเขาทั้งหมดพินาศสิ้น ไม่เหลือแม้แต่คนเดียว นักศาสนประวัติศาสตรืได้เล่าสืบต่อกันมาว่า ในเมือง “อัลหิจริ” ท่านนบีซอแลห์มีมัสยิดอยู่หนึ่งหลังในซอกเขา ซึ่งท่านจะเข้าไปทำการละหมาดเป็นประจำ และฝ่ายศัตรูของท่านทั้งเก้าได้ฆ่าอูฐตัวเมียจนตายตามที่กล่าวมาแล้ว พวกเขาจึงได้รับการคาดโทษว่าจะต้องพบกับความพินาศในสามวัน พวกเขาจึงวางแผนกันว่าจะต้องจัดการฆาตกรรมนบีซอและห์กับครอบครัวเสียก่อนที่จะครบสามวัน ดังนั้นพวกเขาจึงเข้าไปที่ซอกเขาเพื่อจัดการตามแผนการที่วางไว้ แต่เมื่อเขาเดินเข้าไปในซอกเขาก็มีหินก้อนใหญ่ถล่มกลิ้งลงมาจากภูเขาทับพวกเขาตายจนหมดสิ้น และพวกที่เหลืออยู่ในบ้านเรือนของตนเองก็ตายด้วยเสียงกัมปนาทจนหมดสิ้น ท่านนบีซอและห์กับศรัทธาชนจึงรอดชีวิต
๕๒. โดยแท้จริง บ้านเรือนของพวกเขานั้นได้ถล่มพังทลายเพราะความฉ้อฉลของพวกเขาเองที่ไม่รับศรัทธาในคำประกาศของนบีซอและห์และฆ่าอูฐตัวเมีย แท้จริงในนั้นย่อมเป็นสัญลักษณ์เพื่อเป็นข้อสังวรแก่กลุ่มชนที่มีความรู้
๕๓. และเราได้ยังความปลอดภัยแก่บรรดาผู้มีศรัทธา เพราะพวกเขาเป็นผู้มีความยำเกรงในพระผู้ทรงอภิบาล


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัน-นัมลุ อายะฮฺที่ 54 - 58


คำอ่าน
54. วะลูฏ็อน อิซกอละลิก็อวมิฮี..อะตะอ์ตูนัลฟาหิชะตะ วะอัน..ตุมตุบศิรูน
55. อะอิน..นะกุม ละตะอ์ตูนัรฺริญาละ ชะฮฺวะตัม..มิน..ดูนิน..นิสา...อิ บัลอัน..ตุมก็อวมุน..ตัจญฮะลูน
56. ฟะมากานะ ญะวาบะก็อวมิฮี..อิลลา..อัน..กอลู..อัคริญู..อาละลูฏิม..มิน..ก็อรฺยะติกุม อิน..นะฮุม อุนาสุย..ยะตะฏ็อฮฺฮะรูน
57. ฟะอัน..ญัยนาฮุ ฟะอะฮฺละฮู..อิลลัมเราะอะตะฮู ก็อดดัรฺนาฮา มินัลฆอบิรีน
58. วะอัมฏ็อรฺนาอะลัยฮิม..มะเฏาะรอ ฟะสา...อะมะเฏาะรุลมุน..ซะรีน


คำแปล R1.
54. And (remember) Lout (Lot)! When he said to his people. Do you commit Al-Fahishah (evil, great sin, every kind of unlawful sexual intercourse, sodomy, etc.) while you see (one another doing evil without any screen, etc.)?"
55. "Do you approach men in your lusts rather than women? Nay, but you are a people who behave senselessly."
56. There was no other answer given by his people except that they said: "Drive out the family of Lout (Lot) from your city. Verily, these are men who want to be clean and pure!"
57. So we saved him and his family, except his wife. We destined her to be of those who remained behind.
58. And we rained down on them a rain (of stones). So evil was the rain of those who were warned.


คำแปล R2.
54. และนบีลู๊ฏ (เราก็ส่งเขาเป็นศาสนทูตเหมือนกัน) เมื่อเขาประกาศแก่กลุ่มชนของเขาว่า “พวกท่านยังจะกระทำสิ่งอนาจารกันอีกหรือ? ทั้ง ๆ ที่พวกท่านก็มองเห็น(เป็นที่ประจักษ์ในความน่าเกลียดของมัน)
55. แท้จริงพวกท่านยังจะทำการสมสู่ผู้ชายด้วยความกำหนัด โดยไม่ยอมสมสู่กับผู้หญิงกระนั้นหรือ? ยิ่งไปกว่านั้น พวกท่านเป็นกลุ่มชนที่โง่เขลาเสียจริง
56. แต่ไม่มีคำตอบจากกลุ่มชนของเขา นอกจากพวกนั้นกล่าวว่า “พวกท่านจงเนรเทศพวก้ะองของลู๊ฏออกไปจากเมืองของพวกท่านเถิด แท้จริงพวกนั้นเป็นมนุษย์ที่อ้างว่าตัวสะอาดบริสุทธิ์
57. ครั้นแล้วเราก็ให้เขาและสมาชิกของเขาปลอดภัย ยกเว้นภริยาของเขา(เพียงคนเดียว) ซึ่งเราได้กำหนดแก่นางไว้แล้วให้เป็นผู้หนึ่งจากบรรดาผู้เหลืออยู่(ในการลงโทษ)
58. และเราได้ให้ฝนหินตกลงมาทับพวกเขา ที่จริงมันเป็นฝนที่ร้ายกาจสำหรับบรรดาผู้ถูกเตือน(ที่ไม่ยอมรับคำเตือนนั้น)


คำแปล R3.
54. และเราได้ส่งลูฏมา จงนึกถึงเมื่อตอนที่เขากล่าวแก่หมู่ชนของเขาว่า “พวกท่านทำสิ่งชั่วช้าลามกทั้ง ๆ ที่พวกท่านเห็นมันอยู่?
55. พวกท่านละทิ้งผู้หญิงและไปแสวงหาผู้ชายเพื่อตอบสนองความต้องการทางเพศของพวกท่านกระนั้นหรือ? พวกท่านช่างโง่เขลาเสียจริง ๆ”
56. แต่คำตอบของหมู่ชนของเขาก็ไม่มีอะไรนอกจากพวกเขากล่าวว่า “จงขับไล่ครอบครัวของลูฏออกไปจากเมืองของพวกท่าน พวกเขาชอบทำตัวสะอาดมากนัก”
57. ในที่สุด เราก็ได้ช่วยเขาและครอบครัวของเขายกเว้นภรรยาของเขาที่เราได้กำหนดให้นางต้องอยู่ข้างหลัง
58. และเราได้ทำให้ฝนหลั่งลงมาบนพวกเขา เป็นฝนแห่งความชั่วสำหรับคนที่ได้ถูกเตือนแล้ว


คำแปล R4.
54. และ (จงรำลึกถึง) ลูฏ เมื่อเขากล่าวแก่หมู่ชนของเขาว่า “พวกท่านกระทำการลามกทั้งๆ ที่พวกท่านรู้เห็นอยู่กระนั้นหรือ ?
55. “แท้จริงพวกท่านสมสู่พวกผู้ชายด้วยตัณหา แทนพวกผู้หญิงกระนั้นหรือ ? ยิ่งกว่านั้นพวกท่านเป็นหมู่ชนที่โง่เขลา”
56. ดังนั้น คำตอบของหมู่ชนของเขาไม่เป็นอย่างอื่น นอกจากกล่าวว่า “จงให้ตระกูลของลูฏออกจากหมู่บ้านของพวกท่าน แท้จริงพวกเขาเป็นหมู่ชนผู้บริสุทธิ์”
57. แล้วเราได้ช่วยเขาและบริวารของเขาให้รอดพ้น เว้นแต่ภรรยาของเขา เราได้กำหนดให้นางอยู่ในหมู่ผู้ถูกทำลาย
58. และเราได้ให้ห่าฝน ตกลงมาบนพวกเขาดังนั้น ฝนของบรรดาผู้ถูกตักเตือนมันชั่วช้าเสียนี่กระไร


คำแปล R5.
ประวัตินบีลู๊ต
๕๔. โอ้มุฮำมัดและเจ้าจงคำนึงถึงประวัติของนบีลู๊ต เมื่อเขาได้กล่าวกับกลุ่มชนของเขาว่า พวกเจ้าจะกระทำการบัดสีอยู่อีกหรือ ทั้งๆ ที่มนุษย์อื่นเขาไม่กระทำกัน และพวกเจ้าก็ประจักษ์ชัดว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความเลวอย่างยิ่ง
๕๕. แท้จริงพวกเจ้านั้นหรือ ได้ร่วมเพศกับชายด้วยกันโดยความกำหนัดทางเวจมรรค ได้ยกเว้นอิสตรีซึ่งพวกเจ้าไม่ยอมแตะต้องพวกนางเลย ความจริงแล้วพวกเจ้าเป็นกลุ่มชนที่โฉดเขลา
๕๖. แท้จริงไม่ปรากฏคำตอบจากกลุ่มชนของเขาเลย นอกจากพวกนั้นได้พูดชักชวนซึ่งกันและกันในการขับไล่นบีลู๊ตว่าพวกท่านจงขับวงศ์วานของลู๊ตออกจากเมืองของพวกท่านเถิด เพราะแท้จริงพวกของนบีลู๊ต เขาเป็นคนสะอาด ปราศจากการกระทำอันบัดสีนั้น
๕๗. ดังนั้น เราจึงดลความปลอดภัยแก่เขา(นบีลู๊ต) และครอบครัวของเขามิให้ประสบการลงโทษของเรา ยกเว้นภริยาของเขาซึ่งเนรคุณต่อพระเจ้าและไม่ยอมเชื่อฟังเขา โดยเรากำหนดให้นางเป็นผู้หนึ่งจากบรรดาผู้ที่คงอยู่ในโทษที่เราได้บันดาลให้เกิดขึ้น
๕๘. และเราได้บันดาลฝนหินจากนรกให้ตกลงมาเหนือพวกเขา ดังนั้นมันจึงเป็นฝนที่เลวสำหรับบรรดาผู้ที่ถูกเตือน แต่ไม่ยอมรับคำเตือนนั้น


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัน-นัมลุ อายะฮฺที่ 59 - 62


คำอ่าน
59. กุลิลหัมดุลิลลาฮิ วะสะลามุน อะลาอิบาดิฮิลละซีนัสเฏาะฟา อา..ลลอฮุค็อยรุน อัม..มายุชริกูน
60. อัม..มันเคาะละก็อสสะมาวาติวัลอัรฺเฎาะ วะอัน..ซะละละกุม..มนัสสะมา...อิมาอา ฟะอัม..บัตนาบิฮี หะดา...อิเกาะซาตะบะฮฺญะฮฺ มากานะละกุม อัน..ตุม..บิตู ชะญะเราะฮา อะลิลาฮุม..มินัลลอฮฺ มัลฮุมก็อวมุย..ยะอฺดิลูน
61. อัม..มัน..ญะอะลัลอัรฺเฎาะ เกาะรอร็อว..วะญะอะละ คิลาละฮา..อันฮาร็อว..วะญะอะละ ละฮา เราะวาสิยะ วะญะอะละบัยนัลบะหฺร็อยนิหาญิซา อะอิลาฮุม..มะอัลลอฮฺ บัลอักษะรุฮุมลายะอฺละมูน
62. อัม..มัย..ยุญีบุลมุฎฏ็อรฺเราะ อิซาดะอาฮุ วะยักชิฟุสสู...อะ วะยัจญอะลุกุม คุละฟา...อัลอัรฺฎฺ อะอิลาฮุม..มะอัลลอฮฺ เกาะลีลัม..มาตะซักกะรูน


คำแปล R1.
59. Say (O Muhammad): "Praise and thanks be to Allah, and peace be on his slaves whom He has chosen (for his Message)! Is Allah better, or (all) that you ascribe as partners (to Him)?" (Of course, Allah is Better).
60. Is not He (better than your gods) who created the heavens and the earth, and sends down for you water (rain) from the sky, whereby we cause to grow wonderful gardens full of beauty and delight? It is not in your ability to cause the growth of their trees. Is there any Ilah (God) with Allah? Nay, but they are a people who ascribe equals (to him)!
61. Is not He (better than your gods) who has made the earth as a fixed abode, and has placed rivers in its midst, and has placed firm mountains therein, and has set a barrier between the two seas (of salt and sweet water).Is there any Ilah (God) with Allah? Nay, but most of them know not.
62. Is not He (better than your gods) who responds to the distressed one, when He calls him, and who removes the evil, and makes you inheritors of the earth, generations after generations. Is there any Ilah (God) with Allah? Little is that you remember!


คำแปล R2.
59. จงกล่าวเถิด “อันมวลสรรเสริญย่อมเป็นสิทธิแห่งอัลเลาะฮฺ และสันติสุขจงประสบแด่มวลข้าทาสของพระองค์ผู้ได้รับการเลือกเฟ้น(ให้เป็นศาสดา) อัลเลาะฮฺนั้นประเสริฐกว่า หรือว่าสิ่งที่พวกเขาตั้งเป็นภาคีจักประเสริฐกว่า?”
60. ใครเล่าที่ทรงบันดาลฟากฟ้าและแผ่นดินและทรงประทานน้ำฝนให้หล่นลงมาจากฟากฟ้าใฟ้แก่พวกเจ้า จากนั้นเราก็ได้ทำให้งอกงามเพราะมัน(น้ำฝนนั้น) แก่บรรดาเรือดสวนอันงดงามซึ่งพวกเจ้าไม่อาจทำความงอกงามแก่ต้นไม้ของมันได้ ยังจะมีพระเจ้าอื่นใดพร้อมกับอัลเลาะฮฺอีกหรือ? (แน่นอน ไม่มีพระเจ้าอื่นใดทั้งสิ้นนอกจากพระองค์) ทว่า พวกเขาเป็นพวกที่ผันแปร(จากสัจธรรมสู่สิ่งไร้สาระ)
61. ใครเล่าที่ทรงบันดาลแผ่นดินให้เป็นที่อันมั่นคง และทรงบันดาลไว้ ณ ส่วนต่าง ๆ ของมันให้มีสายน้ำมากมาย และทรงบันดาลขุนเขาไว้แก่มัน และทรงบันดาลไว้ระหว่างสองทะเล (น้ำจืดน้ำเค็ม) ให้มีสิ่งสกัดกั้น (มิให้ทั้งสองนั้นมารวมกัน) ยังจะมีพระเจ้าอื่นใดพร้อมกับอัลเลาะฮฺอีกหรือ? ทว่าส่วนใหญ่ของพวกเขา(ชาวมุชริกีนผู้ตั้งภาคี) ไม่รู้
62. ใครเล่าที่ทรงตอบรับ(คำวอนขอของ)ผู้เดือดร้อนเมื่อเขาได้ขอพระองค์ และทรงคลี่คลายความเลวร้าย และทรงแต่งตั้งพวกเจ้าให้เป็นผู้สืบทอดแผ่นดิน (สืบต่อจากประชาชาติในยุคก่อน ๆ) ยังจะมีพระเจ้าอื่นใดพร้อมกับอัลเลาะฮฺอีกหรือ? น้อยเหลือเกินที่พวกเขาพึงสำนึก (ถึงความโปรดปรานของอัลเลาะฮฺ)


คำแปล R3.
59. (โอ้ นบี) จงกล่าวเถิด “บรรดาการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮฺและความสันติจงมีแด่ปวงบ่าวของพระองค์ที่พระองค์ทรงคัดเลือก” (จงถามพวกเขา:)  “อัลลอฮฺทรงดีกว่าหรือที่พวกเขาตั้งขึ้นมาเป็นภาคีกับพระองค์?”
60. หรือใครเล่า ผู้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และทำให้น้ำฝนตกลงมาจากฟากฟ้าเพื่อสูเจ้า และทำให้บรรดาสวนสวยงามต่าง ๆ งอกเงยออกมาด้วยฝนนั้น ซึ่งสูเจ้าเองก็ไม่มีอำนาจที่จะทำให้มันงอกเงยขึ้นมาได้? ยังมีพระเจ้าอื่นใดควบคู่กับอัลลอฮฺ (ในการทำสิ่งเหล่านี้)อีกกระนั้นหรือ? (ไม่) แต่พวกเขาเป็นหมู่ชนที่หลงออกไปจากทางที่เที่ยงตรง
61. หรือใครเล่าผู้ทรงทำให้แผ่นดินนี้เป็นสถานที่พัก และทำให้ในแผ่นดินนั้นมีแม่น้ำหลายสายและทรงทำให้มีภูเขามั่นคงขึ้นในแผ่นดินนั้น และทรงทำให้มีที่คั่นระหว่างน่านน้ำทั้งสอง? ยังมีพระเจ้าอื่นใดควบคู่ไปกับอัลลอฮฺ (ในงานเหล่านี้) อีกกระนั้นหรือ? ไม่เลย แต่ส่วนมากของพวกเขาไม่รู้
62. หรือใครเล่าที่ทรงฟังผู้มีทุกข์เมื่อเขาวิงวอนพระองค์ และทรงปัดเป่าความทุกข์ยากเดือดร้อนนั้น? และ(ใครเล่าที่) ทรงให้สูเจ้าเป็นผู้ปกครองแผ่นดิน? อย่างนี้แล้วยังมีพระเจ้าอื่นใดควบคู่ไปกับอัลลอฮฺ(ในการทำสิ่งนี้) อีกกระนั้นหรือ? เล็กน้อยเหลือเกินที่พวกท่านคิดกัน


คำแปล R4.
59. จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) บรรดาการสรรเสริญเป็นสิทธิของอัลลอฮฺ และความศานติจงมีแด่ปวงบ่าวของพระองค์ ผู้ซึ่งพระองค์ทรงคัดเลือกแล้ว อัลลอฮฺดีกว่าหรือสิ่งที่พวกเขาตั้งเป็นภาคี (เจว็ด)
60. หรือผู้ใดเล่าที่สร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และทรงหลั่งน้ำจากฟากฟ้าแก่พวกเจ้าแล้วเราได้ให้สวนต่าง ๆ งอกเงยอย่างสวยงาม พวกเจ้า ก็ไม่สามารถที่จะทำให้ต้นไม้งอกเงยขึ้นมาได้ จะมีพระเจ้าอื่นคู่เคียงกับอัลลอฮฺอีกหรือ ? เปล่าดอก! พวกเขาเป็นหมู่ชนผู้ตั้งภาคี
61. หรือผู้ใดเล่าที่ทำให้แผ่นดินเป็นที่พำนักและทรงให้มีลำน้ำหลายสายไหลระหว่างมัน และทรงทำให้ภูเขายึดมั่นสำหรับมัน และทรงทำให้มีที่กั้นระหว่างน่านน้ำทั้งสอง จะมีพระเจ้าอื่นใดคู่เคียงกับอัลลอฮฺอีกหรือ เปล่าดอก ! ส่วนมากของพวกเขาไม่รู้
62. หรือผู้ใดเล่าจะตอบรับผู้ร้องทุกข์ เมื่อเขาวิงวอนขอต่อพระองค์ และทรงปลดเปลื้องความชั่วร้ายนั้น และทรงทำให้พวกเจ้า เป็นผู้ปกครองแผ่นดิน จะมีพระเจ้าอื่นคู่เคียงกับอัลลอฮฺอีกหรือ? ส่วนน้อยเท่านั้นที่พวกเจ้าจะใคร่ครวญ”


คำแปล R5.
๕๙. โอ้มุฮำมัด เจ้าจงกล่าวเถิดว่า การสรรเสริญย่อมเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะอัลเลาะฮฺ และสันติภาพจากอัลเลาะห์ทรงประทานแก่ข้าทาสของพระองค์ ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ซึ่งพระองค์ได้ทรงเลือกเฟ้นพวกเหล่านั้นไว้แต่ดั้งเดิมแล้วว่า จะทรงประทานสันติภาพนั้นแก่พวกเขา อัลเลาะห์หรือบรรดาเจว็ดที่พวกเขาตั้งเป็นภาคีต่อพระองค์จะประเสริฐกว่ากัน แน่นอนอัลเลาะห์ย่อมประเสริฐ ทรงถาวร ทรงอำนาจและทรงเมตตาปราณี ด้วยพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่แท้จริง ส่วนบรรดาเจว็ดที่พวกนั้นกราบไหว้เป็นเพียงวัตถุที่ไร้สำนึก มันจึงไม่มีคุณสมบัติดังกล่าวแต่อย่างใดทั้งสิ้น
๖๐. ใครเล่าที่บันดาลเจ็ดชั้นฟ้าและเจ็ดชั้นแผ่นดิน และใครเล่าที่ได้ให้น้ำฝนหลั่งลงจากฟากฟ้าเพื่อเป็นประโยชน์แก่พวกเจ้าทั้งหลาย แล้วเราก็ให้งอกเงยขึ้นเพราะน้ำฝนนั้นซึ่งเรือกสวนที่มีแต่ความงดงาม ย่อมไม่มีสิทธิและความสามารถสำหรับพวกเจ้าที่จะทำให้ต้นไม้ของมัน(สวน) งอกเงยขึ้นได้ ยังจะมีพระเจ้าอื่นใดร่วมกับอัลเลาะห์อีกหรือ ที่เสกสรรและบันดาลสิ่งต่าง ๆ ขึ้นมา แน่นอนพระเจ้าอื่น ๆ ไม่มีนอกจากอัลเลาะห์เพียงพระองค์เดียว แต่พวกเขาเป็นกลุ่มชนที่บิดผันออกจากความศรัทธาในเอกภาพของพระเจ้า
๖๑. ใครเล่าที่บันดาลแผ่นดินนี้ให้มั่นคงมีความสมดุลในด้านต่าง ๆ และทรงบันดาลไว้ ณ ซอกซอยของมัน (แผ่นดิน) ซึ่งแม่น้ำเป็นจำนวนมากและทรงบันดาลภูเขาต่าง ๆ แก่มัน(แผ่นดิน) และทรงบันดาลเครื่องบังกั้นระหว่างสองทะเลซึ่งมีลักษณะแตกต่างกันมาบรรจบกัน โดยต่างก็ไม่เสียลักษณะของตน ยังจะมีพระเจ้าอื่นใดร่วมกับอัลเลาะห์อีกหรือ แน่นอนพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลเลาะห์ย่อมไม่มี แต่พวกเขาส่วนมากไม่รู้และไม่ศรัทธาในเอกภาพของพระองค์
๖๒. ใครเล่าที่จะตอบสนองผู้เดือดร้อนได้ ยามเมื่อเขาวอนขอและใครเล่าที่จะขจัดความเดือดร้อนอันเลวสำหรับเขานั้นได้ และใครเล่าที่บันดาลพวกเจ้าให้เป็นผู้สืบทอดการปกครองแผ่นดิน ยังจะมีพระเจ้าอื่นใดร่วมกับอัลเลาะห์อีกหรือ แน่นอนย่อมไม่มี น้อยเหลือเกินที่พวกเขาจะคำนึงถึงความจริงดังกล่าว เพื่อเขาจะได้ยอมรับและศรัทธาในพระองค์เพียงองค์เดียว


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัน-นัมลุ อายะฮฺที่ 63 - 66


คำอ่าน
63. อัม..มัย..ยะฮฺดีกุม ฟีซุลุมาติลบัรฺริ วัลบะหฺริ วะมัย..ยุรฺสิลุรฺริยาหะ บุชร็อม..บัยนะยะดัย เราะหฺมะติฮฺ อะลิลาฮุม..มะอัลลอฮฺ ตะอาลัลลอฮุอัม..มายุชริกูน
64. อัม..มัย..ยับดะอุลค็อลเกาะ ษุม..มะยะอีดุฮู วะมัย..ยัรฺซุกุกุม..มินัสสะมา...อิวัลอัรฺฎิ อะอิลาฮุม..มะอัลลอฮฺ กุลฮาตูบุรฺฮานะกุม อิน..กุน..ตุมศอดิกีน
65. กุลลายะอฺละมุ มัน..ฟิสสะมาวาติวัลอัรฺฎิลฆ็อยบิ อิลลัลลอฮฺ วะมายัชอุรูนะ อัยยานะยุบอะษูน
66. บะลิดดาเราะกะ อิลมุฮุม ฟิลอาคิเราะฮฺ บัลฮุม ฟัชักกิม..มินฮา บัลฮุม..มินฮา...อะมูน


คำแปล R1.
63. Is not He (better than your gods) who guides you in the darkness of the land and the sea, and who sends the winds as heralds of glad tidings, going before His Mercy (rain)? Is there any Ilah (God) with Allah? High exalted be Allah above all that they associate as partners (to him)!
64. Is not He (better than your so-called gods) who originates creation, and shall thereafter repeat it, and who provides for you from heaven and earth? Is there any Ilah (God) with Allah? Say, "Bring forth your proofs, if you are truthful."
65. Say: "None in the heavens and the earth knows the Ghaib (unseen) except Allah, nor can they perceive when they shall be resurrected."
66. Nay, they have no knowledge of the Hereafter. Nay, they are in doubt about it. Nay, they are blind about it.


คำแปล R2.
63. ใครเล่าที่ทรงชี้นำพวกเจ้า(ให้สามารถมองเห็น)ในความมืดแห่งพื้นดินและท้องทะเล และใครเล่าที่ทรงส่งลมให้พัดมาเพื่อแจ้งข่าวดีก่อน(ฝนซึ่งเป็น)ความเมตตาของพระองค์จะมาถึง ยังมีพระเจ้าอื่นใดพร้อมกับอัลเลาะฮฺอีกหรือ? อัลเลาะฮฺทรงสูงส่งเกินกว่าสิ่งที่พวกเขาตั้งภาคีไว้
64. ใครเล่าที่ทรงบังเกิดสรรพสิ่งทั้งปวงหลังจากนั้นทรงคืนกลับมัน (สู่สภาพเดิมอีก ภายหลังจากได้เน่าเปื่อยไปแล้ว) และใครเล่าที่ทรงประทานโชคผลจากฟากฟ้าและแผ่นดิน? ยังจะมีพระเจ้าอื่นใดพร้อมกับอัลเลาะฮฺอีกกระนั้นหรือ? จงประกาศเถิด พวกท่านจงนำหลักฐานของพวกท่านมาแสดงสิ หากพวกท่านเป็นผู้สัตย์จริง
65. จงประกาศเถิด ใครก็ตามในฟากฟ้าและแผ่นดินย่อมไม่สามารถรู้ความลี้ลับได้นอกจากอัลเลาะฮฺเท่านั้น และพวกเขาไม่รู้หรอกว่า พวกเขาจะถูกให้ฟื้นขึ้นมาอีกเมื่อใด
66. ยิ่งไปกว่านั้น ความรู้ของพวกเขาใน(เรื่องของ)โลกหน้ามีอย่างสมบูรณ์กระนั้นหรือ ทว่า! พวกเขาตกอยู่ในความสงสัยต่อมัน ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังรู้สึกมืดบอดต่อมัน


คำแปล R3.
63. หรือใครเล่าผู้ทรงทำให้สูเจ้าเห็นหนทางในความมืดของแผ่นดินและทะเล และทรงส่งลมมาเป็นข่าวดีแห่งความเมตตาของพระองค์? ยังมีพระเจ้าอื่นใดควบคู่กับอัลลอฮฺอีกหรือ(ในการทำสิ่งนี้)? อัลลอฮฺทรงสูงส่งเกินกว่าที่พวกเขาตั้งภาคี
64. หรือใครเล่าที่ทรงเริ่มต้นการสร้างสรรค์ แล้วหลังจากนั้นก็ทรงทำให้มันบังเกิดขึ้นมาอีก?  และใครเล่าที่ทรงประทานปัจจัยยังชีพแก่สูเจ้าจากฟากฟ้าและแผ่นดิน? อย่างนี้แล้วยังมีพระเจ้าอื่นใดควบคู่กับอัลลอฮฺ(ในการทำสิ่งนี้)อีกหรือ? จงบอกพวกเขาว่า “จงนำหลักฐานมาถ้าพวกท่านเป็นผู้สัตย์จริง”
65. จงบอกพวกเขาว่า “ไม่มีผู้ใดนอกไปจากอัลลอฮฺที่ทรงมีความรู้ในสิ่งที่มองไม่เห็นในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และพวกเขา (สิ่งที่พวกเจ้าเคารพสักการะ)ไม่รู้ว่าพวกเขาจะถูกทำให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาเมื่อใด
66. แต่(ในทางตรงข้าม) ความรู้ในเรื่องโลกหน้าของคนเหล่านี้ได้สูญหายไปหมดแล้ว ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขายังสงสัยเกี่ยวกับมันอีก ทั้งมืดบอดต่อเรื่องนี้ด้วย


คำแปล R4.
63. หรือผู้ใดเล่าจะชี้แนะทางแก่พวกเจ้าในความมืดทึบของแผ่นดินและน่านน้ำ และผู้ใดทรงส่งลมแจ้งข่าวดี ท่ามกลางความเมตตาของพระองค์ จะมีพระเจ้าอื่นคู่เคียงกับอัลลอฮฺอีกหรือ ? อัลลอฮฺทรงสูงส่งเหนือสิ่งที่พวกเขาตั้งภาคี
64. หรือผู้ใดเล่าจะเริ่มในการสร้าง แล้วทรงให้มันเกิดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง และผู้ใดทรงประทานปัจจัยยังชีพแก่พวกเจ้า จากฟากฟ้าและแผ่นดิน จะมีพระเจ้าอื่นคู่เคียงกับอัลลอฮฺอีกหรือ? จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) “จงนำหลักฐานของพวกท่านมา หากพวกท่านเป็นผู้สัตย์จริง”
65. จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) “ไม่มีผู้ใดในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินจะรู้ในสิ่งพ้นญาณวิสัย นอกจากอัลลอฮฺ และพวกเขาจะไม่รู้ว่า เมื่อใดพวกเขาจะถูกให้ฟื้นคืนชีพ”
66. แต่ว่าความรู้ของพวกเขาเกี่ยวกับปรโลกนั้น ได้ถึงที่สุดแล้วหรือ ?ทั้ง ๆ ที่พวกเขาอยู่ในการสงสัยในเรื่องของมันยิ่งกว่านั้นพวกเขายังตาบอดต่อเรื่องนั้นอีกด้วย


คำแปล R5.
๖๓. ใครเล่าที่ชี้นำพวกเจ้าให้เดินทางไปไหน ๆ ได้ถูกต้อง ในความมืดของบนบกและในท้องทะเล และใครเล่าที่ส่งลมให้พัดเพื่อเป็นการแจ้งข่าวดีต่อหน้าฝนอันเป็นความเมตตาของพระองค์โดยลมจะพัดมาก่อนเป็นสัญญาณ และเค้าแสดงว่าฝนจะตกในวาระต่อมา ยังจะมีพระเจ้าอื่นใดร่วมกับอัลเลาะห์อีกหรือ แน่นอนย่อมไม่มี ที่จริงอัลเลาะห์ย่อมสูงส่งเกินกว่าที่พวกเขาจะตั้งภาคีได้
๖๔. ใครเล่าที่จะเริ่มการบันดาลแก่สิ่งบันดาลทั้งหลายให้เกิดขึ้นมาโดยให้มีการผสมของเชื้ออสุจิกับรังไข่เป็นปฐมแล้ววิวัฒนาการจนครบบริบูรณ์ แล้วคลอดออกมาตามขบวนการที่แน่นอน หลังจากนั้นก็ตายจากโลกนี้ไปแล้วพระองค์ทรงคืนเขาสู่การมีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง และใครเล่าที่ประทานการยังชีพแก่พวกเจ้าจากฟากฟ้าโดยให้ฝนตกลงมาและแผ่นดินโดยให้พืชเจริญงอกงามจากน้ำฝนนั้น ยังจะมีพระเจ้าอื่นใดร่วมกับอัลเลาะห์อีกหรือ แน่นอนย่อมไม่มี โอ้มุฮำมัด เจ้าจงกล่าวเถิดว่า พวกท่านจงนำหลักฐานมายืนยันสิ แม้นพวกท่านเป็นผู้สัจจริง
๖๕. โอ้มุฮำมัด เจ้าจงกล่าวเถิดว่า แม้ผู้ที่อยู่ในชั้นฟ้า คือมลาอิกะห์ และในแผ่นดิน คือมนุษย์ ก็ไม่สามารถจะรู้ความเร้นลับได้ แต่อัลเลาะห์ เพียงพระองค์เดียวที่ทรงรอบรู้ในสิ่งนั้น และพวกเขาชาวกาฟิรมักกะห์ไม่สำนึกหรอกว่า เมื่อใดพวกเขาจะถูกให้ฟื้นคืนชีพขึ้นจากสุสาน
๖๖. ความรู้ของพวกเหล่านั้นกว้างขวางจนบรรลุถึงวันปรภพด้วยกระนั้นหรือ พวกเขาจึงซักถามถึงกำหนดเวลาของวันดังกล่าวซึ่งความเป็นจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ พวกเขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย ทว่าความเป็นจริงพวกเขาอยู่ในความสงสัยเกี่ยวกับมัน(วันปรภพ) ยิ่งกว่านั้นทั้งตาและใจของพวกเขาบอดสนิทจากมัน ไม่ยอมรับศรัทธาว่าวันปรภพจะอุบัติขึ้น



 

GoogleTagged