ผู้เขียน หัวข้อ: เวลาชูรูก ในปฏิทิน หมายความว่าอย่างไร และการหมดเวลาละหมาดซุบฮิ  (อ่าน 14450 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ مرونة الشريعة

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 61
  • Respect: +9
    • ดูรายละเอียด
:salam:

เวลาซุรุกก็เหมือนกับการเข้าเดือนของเดือนรอมาดอนโดยเทียบเคียงกัน โดยที่ เซค อาลี ญุมอัต ได้กล่าวไว้เกี่ยวกับการเข้าบวช ระหว่างการดูเดือนกับการใช้หลักดาราศาสตร์คำนวน ท่านบอกว่า ถ้่่าพรุ่งนี้นักดาราศาสตร์ได้คำนวนเอาไว้ว่าจะมีจันทร์เสี่ยวของเดือนรอมาดอนเกิดขึ้น พอถึงวันนพรุ่งนี้พวกเราได้ทำการดูเดือนบังเอินไม่เห็นจันทร์เสี่ยว ท่านบอกว่าถ้าใครเชื่อนักดาราศาสตร์ก็ให้เขาบวชในวันนี้(เพราะการคำนวนของคนที่เชื่อถือได้นั้น ยาเกน มั่นใจ ส่วนการดูเดือนนั้น ซอนนีย์ คาดการเอา) ถ้าใครไม่มั่นใจในนักดาราศาสตร์กลุ่มนี้ก็ไม่ต้องบวชเพราะไม่เห็นเดือน ดังนั้น เวลาซุรุกก็เหมือนกัน ถ้าใครจะตามปฎิทินก็ตาม ถ้าใครจะดูแสงดวงอาทิตย์ก็ดูเรื่องก็มีเท่านี้ครับ ปรองดองกันไว้ครับ วัลลอฮุ อะลัม
  :salam:ต้องแก้ไข ไม่ถูกต้อง เรื่องการดูจันทร์เสี้ยว ไม่เกี่ยวข้องเลยกับเวลาซุรุก ไม่เหมือนกัน (เพราะการเข้าร่อมะดอน ดูดวงจันทร์ แต่เวลาซุรูกดูดวงอาทิตย์) กล่าวคือ ในวันที่29ของเดือนอิสลาม หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ ถ้านักดาราศาสตร์อิสลามคำนวนว่า มีจันทร์เสี้ยวที่สามารถเห็นได้ ณวันนั้น แต่เวลาดูจริงๆทั่วทั้งประเทศไม่เห็นจันทร์เสี้ยวเลย สืบเนื่องจากเพราะฝนจะตก เมฆหนาฟ้ามืด หรือด้วยเหตุอื่นๆ สรุปว่าวันนั้นไม่เห็นจันทร์เสี้ยว ดังนั้นวิธีที่ถูกต้องตามหลักของศาสนา มีอยู่วิธีเดียวคือวันรุ่งขึ้น จะเข้าบวชไม่ได้โดยเด็ดขาด หรือขึ้นวันที่1ของเดือนใหม่ไม่ได้โดยเด็ดขาด ให้นับเดือนนั้นว่ามี30วัน เพราะเรื่องของการขึ้นต้นเดือนอิสลามใหม่นั้น ตามหลักศาสนา ต้องเอาเมฆเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย(แต่เวลาละหมาดทั้ง5เวลา รวมทั้งเวลาซุรูกด้วย ตามหลักศาสนาไม่ได้เอาเมฆเข้ามาเกี่ยวข้องเลย ดังนั้นเวลาซุรูกกับการดูจันทร์เสี้ยวจึงไม่เหมือนกัน คืออย่างนี้ ถ้าคำนวนว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่พอดูจริงๆไม่เห็น ก็ให้เลื่อนถัดจากวันรุ่งขึ้นไปอีกหนึ่งวัน เป็นวันที่1ของเดือนใหม่ ส่วนกรณีของเวลาซุรูกตามหลักศาสนาไม่ใช่อย่างนั้น คือสมมุติว่า เวลาซุรูกคือ6.41แต่บังเอิญช่วงนั้นฝนมาฟ้ามืด จะเลื่อนเวลาซูรุก ออกไปจนกว่าฟ้าจะสว่าง ไม่ได้โดยเด็ดขาด) ดังปรากฏหลักฐานฮะดิษของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด(ซ.ล.) ดังนี้صُوْمُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، وَأَفْطِرُوْا لِرُؤْيَتِهِ ،  فَإ
غُمَّ عَلَيْكُمْ فَأَكْمِلُوْا عِدَّةَ شَعْبَانَ ثَلاَثِيْنَ يَوْمًا
رواه البخاري (1810)  ومسلم (1080)
“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นเดือนเสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี (1810) และมุสลิม (1080)
    ดังนั้นนักดาราศาสตร์อิสลาม แม้จะคำนวนได้แม่นยำ ว่าวันที่29ของเดือนอิสลาม มีจันทร์เสี้ยวสามารถจะเห็นได้ แต่ไม่มีนักดาราศาสตร์อิสลามคนใดหรอก ที่จะคำนวนได้ว่า ที่จะรู้ได้ว่า วันที่29ของเดือนอิสลามวันนั้น จะมีเมฆมาบดบังหรือไม่ ฝนจะมาฟ้าจะมืดหรือไม่ ตรงนี้ชี้ให้เห็นว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงรู้ทุกๆสิ่ง ทุกๆอย่าง
     ในฐานะที่ผม ศึกษาเรื่องนี้มาโดยตรง จึงสรุปว่าสมัยนี้ เวลาละหมาดทั้ง5เวลารวมถึงเวลาซุรูก-ดวงอาทิตย์ขึ้น ให้ดูปฏิทินเท่านั้น  ส่วนการเริ่มขึ้นวันที่1ของเดือนใหม่ในเดือนอิสลามนั้น อย่าดูในปฏิทินเป็นอันขาด สำหรับประเทศไทยให้ฟัง ทำตามสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น (อย่าดูการขึ้น วันที่1เดือนใหม่ในปฏิทิน แล้วนำมาปฏิบัติศาสนกิจโดยเด็ดขาด)เพราะไม่มีนักดาราศาสตร์อิสลามคนใด รู้หรอกว่า ณวันที่29 ที่ดูจันทร์เสี้ยวนั้น จะมีเมฆมาบดบังหรือไม่ ฝนจะมาฟ้าจะมืดหรือไม่ หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ มีพระผู้เป็นเจ้าเพียงพระองค์เดียวเท่านั้นที่ทรงรู้
ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้ามคือหน้าที่ของผู้ศรัทธา

สลามครับ.
ขอตอบสั้นๆนะครับ สิ่งที่ท่านได้กล่าวมามันต่างกับสิ่งที่ผมจะกล่าวดังต่อไปนี้ (ผมไม่ได้กล่าวหาว่าท่านผิดนะครับ ผมแค่ถ่ายทอดความรู้จากนักวิชาการมาสู่พี่น้องทั้งหลายก็เท่านั้นครับ ส่วนผิดถูกท่านคิดเอาเองแล้วกันนะครับ)

1. (ในหนังสือ ฟิกฮ์ อัซซิยาม ของ ดร.ยูซุฟ อัลก๊อรฏอวีย์ หน้าที่ 23 และหน้าต่อๆไปบอกว่า) การเข้าเดือนของเดือนรอมาดอนนั้นเกิดขึ้นได้ 3 ทางด้วยกัน 1 เห็นจันทร์เสี่ยว 2 นับให้ครบ 30 วัน 3 คาดการณ์เอาโดยนักดาราศาสตร์ที่มีความแม่นยำและเชื่อถือได้ในวันที่ 29 ซะบาน และท่านยังกล่าวไว้อีกว่า ท่านอีหม่ามสุบกีย์ได้ถูกถามเกี่ยวกับนักดาราศาสตร์ที่พวกเขาได้คำนวนไว้แล้วว่าถ้าพรุ่งนี้ไม่มีการเห็นเดือนแล้วมีคนมาอ้างว่าเขานั้นได้เห็นเดือนไว่าว่าจะคนเดียวหรือ2คนก็ตาม ท่านบอกว่า คนที่เห็นนี้โกหกแล้ว เพราะวันนั้นจะไม่มีเดือนปรากฏให้เห็น (ฟะตาวา อัสสุบกีย์ 1/279-280)
และในหนัวสือเล่มนี้เช่นเดียวกันบอกว่าการคำนวนหรือหลักดาราศาสตร์นั้นใช้ทั้งการดูเดือนบวชและเวลาของการละหมาดด้วยไม่ได้จำกัดเฉพาะเวลาของการละหมาดเท่านั้น

 ส่วนฮุก่มเกี่ยวกับการคำนวน ท่านอาบู อับบาส อิบนุ สะรีจ ถือว่าจำเป็นต้องปฏิบัติตามนี้ ส่วนญุมฮูร ให้นับเดือน โดยยกฮาดิษ ให้นับเดือนให้ครบถ้าไม่เห็นเดือน แต่หลักฐาน ของอิบนุ สะรีจนั้น ท่านอิรอกีย์ได้เอาคำพูดหนึ่งของ อิบนุสะรีจบอกว่า ฮาดิษดังกล่าวนั้น (หมายถึงให้นับครบ30วัน)พูดถึงคนทั่วไป ส่วนนักดาราศาตร์หรือคนที่สามารถคำนวนได้นั้นให้คำนวนเอาไม่ใช่ให้ดูเดือน เพราะในสมัยนบีไม่มีใครชำนาญทางด้่นนี้เลยใช้ให้ดูเดือนแต่สมัยนี้มีการก้าวหน้าพัฒนาสามารถที่จะคำนวนได้ก็ให้คำนวนเอานี้คือหลักฐานของอิบนุสิรีน ส่วนคนอื่น ถือว่าอนุญาติไม่จำเป็น และอีกกลุ่มหนึ่งเห็นว่าถ้าเขาเชื่อถือได้ก็ตาม

2.(ในหนังสือ อัลบะยาน อัลกอวีมู่ ของ เซค อาลี ญุมอัต หน้า 127-129 บอกไว้คล้ายๆกันกับสิ่งที่ ดร.ยูซุฟ ก๊อรฏอวีย์ได้กล่าวเอาไว้) เกี่ยวกับการคำนวนการเข้าบวช การละหมาดทั้ง5เวลารวมถึง หัวข้อที่ได้พูดกันอยู่ คือ เวลา ซูรูก อุลามาอ์นักดาราศาสตร์เห็นตรงกันว่าเรื่องการคำนวนนั้นเป็นเรื่องที่ ยาเกน มั่นใจ ส่วนการมองนั้น ซอนนีย์ ไม่มั่นใจ ดังนั้น เรื่องของการดูตามปฏิทินในเวลาซูรูกตามได้แน่นอน แต่ฮุก่มตรงนี้อุลามาอ์เห็นต่างกันดังนั้นอย่ายึดติดจนเกินไป สิ่งที่เราได้กล่าวมาตามปฏิทินก็ถูก ดูแสงอาทิตย์ก็ได้ในเวลาที่ปรกติไม่ใช่วันที่ฟ้าฝนครึ่ม และข้อดีที่แน่นอนเลยไม่มีใครแย้งกันคือละหมาดก่อนเข้าเวลาซูรูกนั้นเอง
ถ้าสร้างความไม่พอใจขอมอัฟไว้ ณ.ที่นี้ด้วยครับ วัลลอฮุ อะลัม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มี.ค. 26, 2012, 08:49 AM โดย مرونة الشريعة »

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
:salam:

เวลาซุรุกก็เหมือนกับการเข้าเดือนของเดือนรอมาดอนโดยเทียบเคียงกัน โดยที่ เซค อาลี ญุมอัต ได้กล่าวไว้เกี่ยวกับการเข้าบวช ระหว่างการดูเดือนกับการใช้หลักดาราศาสตร์คำนวน ท่านบอกว่า ถ้่่าพรุ่งนี้นักดาราศาสตร์ได้คำนวนเอาไว้ว่าจะมีจันทร์เสี่ยวของเดือนรอมาดอนเกิดขึ้น พอถึงวันนพรุ่งนี้พวกเราได้ทำการดูเดือนบังเอินไม่เห็นจันทร์เสี่ยว ท่านบอกว่าถ้าใครเชื่อนักดาราศาสตร์ก็ให้เขาบวชในวันนี้(เพราะการคำนวนของคนที่เชื่อถือได้นั้น ยาเกน มั่นใจ ส่วนการดูเดือนนั้น ซอนนีย์ คาดการเอา) ถ้าใครไม่มั่นใจในนักดาราศาสตร์กลุ่มนี้ก็ไม่ต้องบวชเพราะไม่เห็นเดือน ดังนั้น เวลาซุรุกก็เหมือนกัน ถ้าใครจะตามปฎิทินก็ตาม ถ้าใครจะดูแสงดวงอาทิตย์ก็ดูเรื่องก็มีเท่านี้ครับ ปรองดองกันไว้ครับ วัลลอฮุ อะลัม
  :salam:ต้องแก้ไข ไม่ถูกต้อง เรื่องการดูจันทร์เสี้ยว ไม่เกี่ยวข้องเลยกับเวลาซุรุก ไม่เหมือนกัน (เพราะการเข้าร่อมะดอน ดูดวงจันทร์ แต่เวลาซุรูกดูดวงอาทิตย์) กล่าวคือ ในวันที่29ของเดือนอิสลาม หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ ถ้านักดาราศาสตร์อิสลามคำนวนว่า มีจันทร์เสี้ยวที่สามารถเห็นได้ ณวันนั้น แต่เวลาดูจริงๆทั่วทั้งประเทศไม่เห็นจันทร์เสี้ยวเลย สืบเนื่องจากเพราะฝนจะตก เมฆหนาฟ้ามืด หรือด้วยเหตุอื่นๆ สรุปว่าวันนั้นไม่เห็นจันทร์เสี้ยว ดังนั้นวิธีที่ถูกต้องตามหลักของศาสนา มีอยู่วิธีเดียวคือวันรุ่งขึ้น จะเข้าบวชไม่ได้โดยเด็ดขาด หรือขึ้นวันที่1ของเดือนใหม่ไม่ได้โดยเด็ดขาด ให้นับเดือนนั้นว่ามี30วัน เพราะเรื่องของการขึ้นต้นเดือนอิสลามใหม่นั้น ตามหลักศาสนา ต้องเอาเมฆเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย(แต่เวลาละหมาดทั้ง5เวลา รวมทั้งเวลาซุรูกด้วย ตามหลักศาสนาไม่ได้เอาเมฆเข้ามาเกี่ยวข้องเลย ดังนั้นเวลาซุรูกกับการดูจันทร์เสี้ยวจึงไม่เหมือนกัน คืออย่างนี้ ถ้าคำนวนว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่พอดูจริงๆไม่เห็น ก็ให้เลื่อนถัดจากวันรุ่งขึ้นไปอีกหนึ่งวัน เป็นวันที่1ของเดือนใหม่ ส่วนกรณีของเวลาซุรูกตามหลักศาสนาไม่ใช่อย่างนั้น คือสมมุติว่า เวลาซุรูกคือ6.41แต่บังเอิญช่วงนั้นฝนมาฟ้ามืด จะเลื่อนเวลาซูรุก ออกไปจนกว่าฟ้าจะสว่าง ไม่ได้โดยเด็ดขาด) ดังปรากฏหลักฐานฮะดิษของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด(ซ.ล.) ดังนี้صُوْمُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، وَأَفْطِرُوْا لِرُؤْيَتِهِ ،  فَإ
غُمَّ عَلَيْكُمْ فَأَكْمِلُوْا عِدَّةَ شَعْبَانَ ثَلاَثِيْنَ يَوْمًا
رواه البخاري (1810)  ومسلم (1080)
“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นเดือนเสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี (1810) และมุสลิม (1080)
    ดังนั้นนักดาราศาสตร์อิสลาม แม้จะคำนวนได้แม่นยำ ว่าวันที่29ของเดือนอิสลาม มีจันทร์เสี้ยวสามารถจะเห็นได้ แต่ไม่มีนักดาราศาสตร์อิสลามคนใดหรอก ที่จะคำนวนได้ว่า ที่จะรู้ได้ว่า วันที่29ของเดือนอิสลามวันนั้น จะมีเมฆมาบดบังหรือไม่ ฝนจะมาฟ้าจะมืดหรือไม่ ตรงนี้ชี้ให้เห็นว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงรู้ทุกๆสิ่ง ทุกๆอย่าง
     ในฐานะที่ผม ศึกษาเรื่องนี้มาโดยตรง จึงสรุปว่าสมัยนี้ เวลาละหมาดทั้ง5เวลารวมถึงเวลาซุรูก-ดวงอาทิตย์ขึ้น ให้ดูปฏิทินเท่านั้น  ส่วนการเริ่มขึ้นวันที่1ของเดือนใหม่ในเดือนอิสลามนั้น อย่าดูในปฏิทินเป็นอันขาด สำหรับประเทศไทยให้ฟัง ทำตามสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น (อย่าดูการขึ้น วันที่1เดือนใหม่ในปฏิทิน แล้วนำมาปฏิบัติศาสนกิจโดยเด็ดขาด)เพราะไม่มีนักดาราศาสตร์อิสลามคนใด รู้หรอกว่า ณวันที่29 ที่ดูจันทร์เสี้ยวนั้น จะมีเมฆมาบดบังหรือไม่ ฝนจะมาฟ้าจะมืดหรือไม่ หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ มีพระผู้เป็นเจ้าเพียงพระองค์เดียวเท่านั้นที่ทรงรู้
ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้ามคือหน้าที่ของผู้ศรัทธา

สลามครับ.
ขอตอบสั้นๆนะครับ สิ่งที่ท่านได้กล่าวมามันต่างกับสิ่งที่ผมจะกล่าวดังต่อไปนี้ (ผมไม่ได้กล่าวหาว่าท่านผิดนะครับ ผมแค่ถ่ายทอดความรู้จากนักวิชาการมาสู่พี่น้องทั้งหลายก็เท่านั้นครับ ส่วนผิดถูกท่านคิดเอาเองแล้วกันนะครับ)

1. (ในหนังสือ ฟิกฮ์ อัซซิยาม ของ ดร.ยูซุฟ อัลก๊อรฏอวีย์ หน้าที่ 23 และหน้าต่อๆไปบอกว่า) การเข้าเดือนของเดือนรอมาดอนนั้นเกิดขึ้นได้ 3 ทางด้วยกัน 1 เห็นจันทร์เสี่ยว 2 นับให้ครบ 30 วัน 3 คาดการณ์เอาโดยนักดาราศาสตร์ที่มีความแม่นยำและเชื่อถือได้ในวันที่ 29 ซะบาน และท่านยังกล่าวไว้อีกว่า ท่านอีหม่ามสุบกีย์ได้ถูกถามเกี่ยวกับนักดาราศาสตร์ที่พวกเขาได้คำนวนไว้แล้วว่าถ้าพรุ่งนี้ไม่มีการเห็นเดือนแล้วมีคนมาอ้างว่าเขานั้นได้เห็นเดือนไว่าว่าจะคนเดียวหรือ2คนก็ตาม ท่านบอกว่า คนที่เห็นนี้โกหกแล้ว เพราะวันนั้นจะไม่มีเดือนปรากฏให้เห็น (ฟะตาวา อัสสุบกีย์ 1/279-280)
และในหนัวสือเล่มนี้เช่นเดียวกันบอกว่าการคำนวนหรือหลักดาราศาสตร์นั้นใช้ทั้งการดูเดือนบวชและเวลาของการละหมาดด้วยไม่ได้จำกัดเฉพาะเวลาของการละหมาดเท่านั้น

 ส่วนฮุก่มเกี่ยวกับการคำนวน ท่านอาบู อับบาส อิบนุ สิรีน ถือว่าจำเป็นต้องปฏิบัติตามนี้ ส่วนญุมฮูร ให้นับเดือน โดยยกฮาดิษ ให้นับเดือนให้ครบถ้าไม่เห็นเดือน แต่หลักฐาน ของอิบนุ สิรีนนั้น ท่านอิรอกีย์ได้เอาคำพูดหนึ่งของ อิบนุสิรีนบอกว่า ฮาดิษดังกล่าวนั้น (หมายถึงให้นับครบ30วัน)พูดถึงคนทั่วไป ส่วนนักดาราศาตร์หรือคนที่สามารถคำนวนได้นั้นให้คำนวนเอาไม่ใช่ให้ดูเดือน เพราะในสมัยนบีไม่มีใครชำนาญทางด้่นนี้เลยใช้ให้ดูเดือนแต่สมัยนี้มีการก้าวหน้าพัฒนาสามารถที่จะคำนวนได้ก็ให้คำนวนเอานี้คือหลักฐานของอิบนุสิรีน ส่วนคนอื่น ถือว่าอนุญาติไม่จำเป็น และอีกกลุ่มหนึ่งเห็นว่าถ้าเขาเชื่อถือได้ก็ตาม

2.(ในหนังสือ อัลบะยาน อัลกอวีมู่ ของ เซค อาลี ญุมอัต หน้า 127-129 บอกไว้คล้ายๆกันกับสิ่งที่ ดร.ยูซุฟ ก๊อรฏอวีย์ได้กล่าวเอาไว้) เกี่ยวกับการคำนวนการเข้าบวช การละหมาดทั้ง5เวลารวมถึง หัวข้อที่ได้พูดกันอยู่ คือ เวลา ซูรูก อุลามาอ์นักดาราศาสตร์เห็นตรงกันว่าเรื่องการคำนวนนั้นเป็นเรื่องที่ ยาเกน มั่นใจ ส่วนการมองนั้น ซอนนีย์ ไม่มั่นใจ ดังนั้น เรื่องของการดูตามปฏิทินในเวลาซูรูกตามได้แน่นอน แต่ฮุก่มตรงนี้อุลามาอ์เห็นต่างกันดังนั้นอย่ายึดติดจนเกินไป สิ่งที่เราได้กล่าวมาตามปฏิทินก็ถูก ดูแสงอาทิตย์ก็ได้ในเวลาที่ปรกติไม่ใช่วันที่ฟ้าฝนครึ่ม และข้อดีที่แน่นอนเลยไม่มีใครแย้งกันคือละหมาดก่อนเข้าเวลาซูรูกนั้นเอง
ถ้าสร้างความไม่พอใจขอมอัฟไว้ ณ.ที่นี้ด้วยครับ วัลลอฮุ อะลัม
:salam:     ตามหลักการของศาสนาอิสลาม หลักฐานที่แข็งแรงที่สุดคืออัลกุรอ่าน รองลงมาคืออัลฮะดิษ รองลงมาอิจมาอฺ รองลงมากิยาส
ขอหลักฐานด้วย กุรอ่าน หรือฮะดิษที่ระบุชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้(ในหนังสือที่ท่านนำมาเสนอนี้ ระบุถึงหลักฐานทางกุรอ่านหรือไม่ มีฮะดิษหรือไม่  ในหนังสือทั้ง2เล่มที่ท่านนำมาอ้างนี้ ที่ผมรู้มีอยู่ฮะดิษเดียว เหมือนกับฮะดิษ ที่ผมได้นำเสนอไปแล้ว แต่ในประเด็นอื่นๆ ไม่เห็นมีระบุถึงหลักฐานทางกุรอ่าน หรือฮะดิษเลย ถ้าในหนังสือมีระบุนำมาบอกด้วย ถ้าไม่มีระบุ ลองคิดดูว่าจะเชื่อดีหรือไม่เชื่อดี
ตอนนี้ท่านกลับนำมาบอกอีกอย่างแล้ว คือบอกว่า      1. (ในหนังสือ ฟิกฮ์ อัซซิยาม ของ ดร.ยูซุฟ อัลก๊อรฏอวีย์ หน้าที่ 23 และหน้าต่อๆไปบอกว่า) การเข้าเดือนของเดือนรอมาดอนนั้นเกิดขึ้นได้ 3 ทางด้วยกัน 1 เห็นจันทร์เสี่ยว 2 นับให้ครบ 30 วัน 3 คาดการณ์เอาโดยนักดาราศาสตร์ที่มีความแม่นยำและเชื่อถือได้ในวันที่ 29 ซะบาน และท่านยังกล่าวไว้อีกว่า ท่านอีหม่ามสุบกีย์ได้ถูกถามเกี่ยวกับนักดาราศาสตร์ที่พวกเขาได้คำนวนไว้แล้วว่าถ้าพรุ่งนี้ไม่มีการเห็นเดือนแล้วมีคนมาอ้างว่าเขานั้นได้เห็นเดือนไว่าว่าจะคนเดียวหรือ2คนก็ตาม ท่านบอกว่า คนที่เห็นนี้โกหกแล้ว เพราะวันนั้นจะไม่มีเดือนปรากฏให้เห็น (ฟะตาวา อัสสุบกีย์ 1/279-280)
และในหนัวสือเล่มนี้เช่นเดียวกันบอกว่าการคำนวนหรือหลักดาราศาสตร์นั้นใช้ทั้งการดูเดือนบวชและเวลาของการละหมาดด้วยไม่ได้จำกัดเฉพาะเวลาของการละหมาดเท่านั้น
สรุปว่าตอนนี้ท่าน บอกว่าท่านอีหม่ามสุบกีย์ได้ถูกถามเกี่ยวกับนักดาราศาสตร์ที่พวกเขาได้คำนวนไว้แล้วว่าถ้าพรุ่งนี้ไม่มีการเห็นเดือนแล้วมีคนมาอ้างว่าเขานั้นได้เห็นเดือนไว่าว่าจะคนเดียวหรือ2คนก็ตาม ท่านบอกว่า คนที่เห็นนี้โกหกแล้ว เพราะวันนั้นจะไม่มีเดือนปรากฏให้เห็น (ฟะตาวา อัสสุบกีย์ 1/279-280)
     ผมขอบอกว่าเรื่องนี้ในประเทศไทยเรา มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นแล้ว ถามว่าจริงๆควรปฏิบัติเช่นไร ผมยังยืนยันคำเดิมว่า ต้องตามการประกาศของสำนักจุฬาราชมนตรี เพราะจริงๆแล้วเป็นหน้าที่ของสำนักจุฬาราชมนตรีโดยตรง แหละเป็นความรับผิดชอบโดยตรง ไม่ใช่หน้าที่ของนักดาราศาสตร์อิสลาม เลยแม้แต่น้อย ดังมีหลักฐานดังต่อไปนี้
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า ผู้ศรัทธาทั้งหลาย  จงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และเชื่อฟังร่อซูลเถิด และผู้ปกครองในหมู่พวกท่านด้วย แต่ถ้าพวกท่านขัดแย้งกันในสิ่งใด ก็จงนำสิ่งนั่นกลับไปยังอัลลอฮฺ และร่อซูล(กิตาบและซุนนะห์ ว่าทั้งสองกล่าวว่าอย่างไร ก็ทำตาม อย่าดื้อรั้น) หากพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันปรโลก นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่งและเป็นการกลับไป ที่สวยยิ่ง ซูเราะห์อันนิซาอฺ4 อายะห์ที่59
     ผมได้ชี้ประเด็นที่กล่าวมาด้วยอัลกุรอ่านที่กล่าวมา ส่วนท่านถ้าคิดว่าต้องตามนักดาราศาสตร์ โดยไม่ต้องฟังคำประกาศของสำนักจุฬาราชมนตรี ขอหลักฐานด้วย
     ส่วนที่นักดาราศาสตร์อิสลามได้มีการคำนวนล่วงหน้าไว้นั้น รวมทั้งตัวผมเองด้วย(ล่าสุดกระทู้ที่บอกว่า ขนคิ้ว อาจเป็นจันทร์เสี้ยวได้)  เพื่อเป็นแนวทาง ให้พี่น้องได้นำไปดูจันทร์เสี้ยวจริงเท่านั้น  เพราะการดูจันทร์เสี้ยวจริง ทำแล้วได้ผลบุญจากพระผู้เป็นเจ้าอย่างมากมาย(ส่วนถ้ามีการโกหกจริง คนที่โกหกนั่นแหละ ต้องรับผลบาปเต็มๆ  พี่น้องมุสลิมที่ทำตามสำนักจุฬาราชมนตรีก็ไม่มีบาปหรอก  พี่น้องทั่วประเทศมีเท่าไหร่ ถ้าเขากล้าโกหกก็ให้เขารับผลบาปไป ก็ยุติธรรมดีอยู่แล้ว เราท่านทั้งหลาย ได้ตามคำประกาศของสำนักจุฬาราชมนตรี พ้นแล้ว) เพราะต้องอย่าลืมว่า จะต้องเชื่อฟังผู้นำ ดังอายะห์กุรอ่านที่กล่าวมา
     ส่วนคำพูดของท่านที่นำความเห็นของนักวิชาการ มากล่าวว่าและในหนัวสือเล่มนี้เช่นเดียวกันบอกว่าการคำนวนหรือหลักดาราศาสตร์นั้นใช้ทั้งการดูเดือนบวชและเวลาของการละหมาดด้วยไม่ได้จำกัดเฉพาะเวลาของการละหมาดเท่านั้น ตรงนี้ผมได้อธิบายไปแล้ว ส่วนท่านยังพูดไม่ชัดเจน  ขอหลักฐานด้วย หลักฐานทางกุรอ่าน หรือฮะดิษ หรือกิตาบเล่มใดก็ได้ที่ระบุถึงหลักฐานทางกุรอ่าน หรือฮะดิษด้วย อย่าเอาแค่คำพูดของนักวิชาการมาอย่างเดียว อ่อน ยังไม่ค่อยแข็งแรงนัก เพราะ
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า ผู้ศรัทธาทั้งหลาย  จงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และเชื่อฟังร่อซูลเถิด และผู้ปกครองในหมู่พวกท่านด้วย แต่ถ้าพวกท่านขัดแย้งกันในสิ่งใด ก็จงนำสิ่งนั่นกลับไปยังอัลลอฮฺ และร่อซูล(กิตาบและซุนนะห์ ว่าทั้งสองกล่าวว่าอย่างไร ก็ทำตาม อย่าดื้อรั้น) หากพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันปรโลก นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่งและเป็นการกลับไป ที่สวยยิ่ง ซูเราะห์อันนิซาอฺ4 อายะห์ที่59
     ส่วนคำพูดของท่านที่ว่า2.(ในหนังสือ อัลบะยาน อัลกอวีมู่ ของ เซค อาลี ญุมอัต หน้า 127-129 บอกไว้คล้ายๆกันกับสิ่งที่ ดร.ยูซุฟ ก๊อรฏอวีย์ได้กล่าวเอาไว้) เกี่ยวกับการคำนวนการเข้าบวช การละหมาดทั้ง5เวลารวมถึง หัวข้อที่ได้พูดกันอยู่ คือ เวลา ซูรูก อุลามาอ์นักดาราศาสตร์เห็นตรงกันว่าเรื่องการคำนวนนั้นเป็นเรื่องที่ ยาเกน มั่นใจ ส่วนการมองนั้น ซอนนีย์ ไม่มั่นใจ ดังนั้น เรื่องของการดูตามปฏิทินในเวลาซูรูกตามได้แน่นอน แต่ฮุก่มตรงนี้อุลามาอ์เห็นต่างกันดังนั้นอย่ายึดติดจนเกินไป สิ่งที่เราได้กล่าวมาตามปฏิทินก็ถูก ดูแสงอาทิตย์ก็ได้ในเวลาที่ปรกติไม่ใช่วันที่ฟ้าฝนครึ่ม และข้อดีที่แน่นอนเลยไม่มีใครแย้งกันคือละหมาดก่อนเข้าเวลาซูรูกนั้นเอง ถ้าสร้างความไม่พอใจขอมอัฟไว้ ณ.ที่นี้ด้วยครับ วัลลอฮุ อะลัม
     เรื่องนี้ผมก็ได้อธิบายชัดเจนมาแล้วอีกเช่นกัน ส่วนที่ท่านนำมาอ้างในหัวข้อที่2นี้ ขอหลักฐานด้วย หลักฐานทางกุรอ่าน หรือฮะดิษ หรือกิตาบเล่มใดก็ได้ที่ระบุถึงหลักฐานทางกุรอ่าน หรือฮะดิษด้วย อย่าเอาแค่คำพูดของนักวิชาการมาอย่างเดียว อ่อน ยังไม่ค่อยแข็งแรงนัก
เพราะ
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า ผู้ศรัทธาทั้งหลาย  จงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และเชื่อฟังร่อซูลเถิด และผู้ปกครองในหมู่พวกท่านด้วย แต่ถ้าพวกท่านขัดแย้งกันในสิ่งใด ก็จงนำสิ่งนั่นกลับไปยังอัลลอฮฺ และร่อซูล(กิตาบและซุนนะห์ ว่าทั้งสองกล่าวว่าอย่างไร ก็ทำตาม อย่าดื้อรั้น) หากพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันปรโลก นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่งและเป็นการกลับไป ที่สวยยิ่ง ซูเราะห์อันนิซาอฺ4 อายะห์ที่59
     ผมแนะนำนิดนึงว่า บางคนเห็นว่าการขัดแย้งทางด้านความคิด ในศาสนา หมายถึงการแตกแยก จริงๆแล้วในหมู่ชนที่พัฒนาแล้ว เค้าถือกันว่าการระดมความคิด แน่นอนอาจต้องมีการขัดแย้งกันบ้าง เป็นสิ่งที่ดี  เป็นสิ่งที่ควรกระทำ เพื่อค้นหาสิ่งที่ดีที่สุด ความจริงที่สุด ที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่การแตกแยกหรือเอาชนะเอาแพ้แต่ประการใด คิดบวกกันเถอะแล้วชีวิตจะมีความสุข  (ถ้าพี่น้องท่านใด พึ่งจะเริ่มเข้ามาดูในกระทู้นี้ ควรอ่านตั้งแต่เริ่มต้น หน้าหนึ่งเลย เพื่อจะได้เกิดความเข้าใจ)
ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้ามคือหน้าที่ของผู้ศรัทธา

ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

ออฟไลน์ مرونة الشريعة

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 61
  • Respect: +9
    • ดูรายละเอียด
 :salam:
ตามหลักการของศาสนาอิสลาม หลักฐานที่แข็งแรงที่สุดคืออัลกุรอ่าน รองลงมาคืออัลฮะดิษ รองลงมาอิจมาอฺ รองลงมากิยาส
ตอบถูกต้อง และยังมีหลักฐานอื่นๆที่บรรดาอุลามาอ์เห็นต่างกัน เช่นคำพูดของซอฮาบะห์ มะซอลิฮ์มุรซาละห์ เป็นต้น


...
ขอหลักฐานด้วย กุรอ่าน หรือฮะดิษที่ระบุชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้(ในหนังสือที่ท่านนำมาเสนอนี้ ระบุถึงหลักฐานทางกุรอ่านหรือไม่ มีฮะดิษหรือไม่  ในหนังสือทั้ง2เล่มที่ท่านนำมาอ้างนี้ ที่ผมรู้มีอยู่ฮะดิษเดียว เหมือนกับฮะดิษ ที่ผมได้นำเสนอไปแล้ว แต่ในประเด็นอื่นๆ ไม่เห็นมีระบุถึงหลักฐานทางกุรอ่าน หรือฮะดิษเลย ถ้าในหนังสือมีระบุนำมาบอกด้วย ถ้าไม่มีระบุ ลองคิดดูว่าจะเชื่อดีหรือไม่เชื่อดี
ตอบหลักฐานในหนังสือ อัลบะยาน อัลกอวีมู่ ของ เซค อาลี ญุมอัต จากอัลกรุอาน สูเราะห์ ยูนุส อายะห์ที่ 101 สูเราะห์ อันกาบูร อายะห์ที่ 20 สูเราะห์ อิสรออ์ อายะห์ที่ 12 สูเราะห์ ยาสีน อายะห์ที่ 38-40
หลักฐานในหนังสือฟิกฮ์ อัซซิยาม ของ ดร.ยูซุฟ อัลก๊อรฏอวีย์ จากฮาดิษ
 «صوموا لرؤيته وأفطروا لرؤيته، فإن غُبِّيَ عليكم فأكملوا عدّة شعبان ثلاثين يوماً».
«صوموا لرؤيته وأفطروا لرؤيته، فإن غُمَّ عليكم فأكملوا العدّة ثلاثين
إنّما الشهر تسع وعشرون، فلا تصوموا حتى تروه، فإن غُمَّ عليكم فاقدروا له
ความหมายของคำว่า فاقدروا لهหมายความว่า ضيقواله ทำให้แคบลงมา ท่านอีหม่ามนาวาวีย์ได้กล่าวไว้ใน มัญมั๊วว่า ท่านอะห์มัดและกลุ่มกนึ่งซึ่งมีจำนวนไม่มากได้กล่าวว่า قدربمعنى ضيق เหมือนกับที่อัลลอฮ์ซ.บได้กล่าวไว้ว่า قدرعليه رزقه ริสกีของเขาได้ถูกทำให้แคบลงสำหรับเขาแล้ว คือเครื่องปัจจัยน้อยลงนั้นเอง
...



ตอนนี้ท่านกลับนำมาบอกอีกอย่างแล้ว คือบอกว่า      1. (ในหนังสือ ฟิกฮ์ อัซซิยาม ของ ดร.ยูซุฟ อัลก๊อรฏอวีย์ หน้าที่ 23 และหน้าต่อๆไปบอกว่า) การเข้าเดือนของเดือนรอมาดอนนั้นเกิดขึ้นได้ 3 ทางด้วยกัน 1 เห็นจันทร์เสี่ยว 2 นับให้ครบ 30 วัน 3 คาดการณ์เอาโดยนักดาราศาสตร์ที่มีความแม่นยำและเชื่อถือได้ในวันที่ 29 ซะบาน และท่านยังกล่าวไว้อีกว่า ท่านอีหม่ามสุบกีย์ได้ถูกถามเกี่ยวกับนักดาราศาสตร์ที่พวกเขาได้คำนวนไว้แล้วว่าถ้าพรุ่งนี้ไม่มีการเห็นเดือนแล้วมีคนมาอ้างว่าเขานั้นได้เห็นเดือนไว่าว่าจะคนเดียวหรือ2คนก็ตาม ท่านบอกว่า คนที่เห็นนี้โกหกแล้ว เพราะวันนั้นจะไม่มีเดือนปรากฏให้เห็น (ฟะตาวา อัสสุบกีย์ 1/279-280)
และในหนัวสือเล่มนี้เช่นเดียวกันบอกว่าการคำนวนหรือหลักดาราศาสตร์นั้นใช้ทั้งการดูเดือนบวชและเวลาของการละหมาดด้วยไม่ได้จำกัดเฉพาะเวลาของการละหมาดเท่านั้น
สรุปว่าตอนนี้ท่าน บอกว่าท่านอีหม่ามสุบกีย์ได้ถูกถามเกี่ยวกับนักดาราศาสตร์ที่พวกเขาได้คำนวนไว้แล้วว่าถ้าพรุ่งนี้ไม่มีการเห็นเดือนแล้วมีคนมาอ้างว่าเขานั้นได้เห็นเดือนไว่าว่าจะคนเดียวหรือ2คนก็ตาม ท่านบอกว่า คนที่เห็นนี้โกหกแล้ว เพราะวันนั้นจะไม่มีเดือนปรากฏให้เห็น (ฟะตาวา อัสสุบกีย์ 1/279-280)
     ผมขอบอกว่าเรื่องนี้ในประเทศไทยเรา มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นแล้ว ถามว่าจริงๆควรปฏิบัติเช่นไร ผมยังยืนยันคำเดิมว่า ต้องตามการประกาศของสำนักจุฬาราชมนตรี เพราะจริงๆแล้วเป็นหน้าที่ของสำนักจุฬาราชมนตรีโดยตรง แหละเป็นความรับผิดชอบโดยตรง ไม่ใช่หน้าที่ของนักดาราศาสตร์อิสลาม เลยแม้แต่น้อย ดังมีหลักฐานดังต่อไปนี้
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า ผู้ศรัทธาทั้งหลาย  จงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และเชื่อฟังร่อซูลเถิด และผู้ปกครองในหมู่พวกท่านด้วย แต่ถ้าพวกท่านขัดแย้งกันในสิ่งใด ก็จงนำสิ่งนั่นกลับไปยังอัลลอฮฺ และร่อซูล(กิตาบและซุนนะห์ ว่าทั้งสองกล่าวว่าอย่างไร ก็ทำตาม อย่าดื้อรั้น) หากพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันปรโลก นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่งและเป็นการกลับไป ที่สวยยิ่ง ซูเราะห์อันนิซาอฺ4 อายะห์ที่59
ตอบข้อนี้ท่านเข้าใจผมผิดถนัดเลยทีเดียว ผมไม่ได้พูดเรื่องไม่ให้ตามจุฬาอย่าสับสนสิ เรื่องนักดาราศาสตร์ คนละเรื่องกับการตามจุฬาหรือไม่ตาม และผมก็กล้าบอกท่านได้ว่าผมตามจุฬาครับหลักฐานในการตามมีเยอะส่วนหนึ่งคือสิ่งที่ท่านได้บอกไว้แล้ว เรื่องความเห็นต่างของบรรดาอุลามาอ์ถ้าจุฬาให้น้ำหนักอันไหนผมก็ตาม
ความต่างในเรื่องศาสนาคือเราะห์มัต ความเมตตา ไม่ใช่นิกมัต การลงโทษครับ
...




     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า ผู้ศรัทธาทั้งหลาย  จงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และเชื่อฟังร่อซูลเถิด และผู้ปกครองในหมู่พวกท่านด้วย แต่ถ้าพวกท่านขัดแย้งกันในสิ่งใด ก็จงนำสิ่งนั่นกลับไปยังอัลลอฮฺ และร่อซูล(กิตาบและซุนนะห์ ว่าทั้งสองกล่าวว่าอย่างไร ก็ทำตาม อย่าดื้อรั้น) หากพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันปรโลก นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่งและเป็นการกลับไป ที่สวยยิ่ง ซูเราะห์อันนิซาอฺ4 อายะห์ที่59
     ส่วนคำพูดของท่านที่ว่า2.(ในหนังสือ อัลบะยาน อัลกอวีมู่ ของ เซค อาลี ญุมอัต หน้า 127-129 บอกไว้คล้ายๆกันกับสิ่งที่ ดร.ยูซุฟ ก๊อรฏอวีย์ได้กล่าวเอาไว้) เกี่ยวกับการคำนวนการเข้าบวช การละหมาดทั้ง5เวลารวมถึง หัวข้อที่ได้พูดกันอยู่ คือ เวลา ซูรูก อุลามาอ์นักดาราศาสตร์เห็นตรงกันว่าเรื่องการคำนวนนั้นเป็นเรื่องที่ ยาเกน มั่นใจ ส่วนการมองนั้น ซอนนีย์ ไม่มั่นใจ ดังนั้น เรื่องของการดูตามปฏิทินในเวลาซูรูกตามได้แน่นอน แต่ฮุก่มตรงนี้อุลามาอ์เห็นต่างกันดังนั้นอย่ายึดติดจนเกินไป สิ่งที่เราได้กล่าวมาตามปฏิทินก็ถูก ดูแสงอาทิตย์ก็ได้ในเวลาที่ปรกติไม่ใช่วันที่ฟ้าฝนครึ่ม และข้อดีที่แน่นอนเลยไม่มีใครแย้งกันคือละหมาดก่อนเข้าเวลาซูรูกนั้นเอง ถ้าสร้างความไม่พอใจขอมอัฟไว้ ณ.ที่นี้ด้วยครับ วัลลอฮุ อะลัม
     เรื่องนี้ผมก็ได้อธิบายชัดเจนมาแล้วอีกเช่นกัน ส่วนที่ท่านนำมาอ้างในหัวข้อที่2นี้ ขอหลักฐานด้วย หลักฐานทางกุรอ่าน หรือฮะดิษ หรือกิตาบเล่มใดก็ได้ที่ระบุถึงหลักฐานทางกุรอ่าน หรือฮะดิษด้วย อย่าเอาแค่คำพูดของนักวิชาการมาอย่างเดียว อ่อน ยังไม่ค่อยแข็งแรงนัก
เพราะ
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า ผู้ศรัทธาทั้งหลาย  จงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และเชื่อฟังร่อซูลเถิด และผู้ปกครองในหมู่พวกท่านด้วย แต่ถ้าพวกท่านขัดแย้งกันในสิ่งใด ก็จงนำสิ่งนั่นกลับไปยังอัลลอฮฺ และร่อซูล(กิตาบและซุนนะห์ ว่าทั้งสองกล่าวว่าอย่างไร ก็ทำตาม อย่าดื้อรั้น) หากพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันปรโลก นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่งและเป็นการกลับไป ที่สวยยิ่ง ซูเราะห์อันนิซาอฺ4 อายะห์ที่59
ตอบหลักฐานยกให้ไปแล้ว ส่วนหลักฐานที่ท่านยกมา ถ้าเกิดความขัดแย้งในเรื่องราวของศาสนาให้กลับไปยังกรุอานและฮาดิษ ผมก็ถามกลับว่าถ้าไม่มีในกรุอานและฮาดิษหล่ะจะทำไง
ส่วนตามผู้นำในอายะห์นี้หมายถึงถ้าผู้นำได้ใช้กับสิ่งที่ไม่ได้ผิดกับหลักการของศาสนาตามได้ถ้าผิดเมื่อไหร่ก็ห้ามตาม
...



     ผมแนะนำนิดนึงว่า บางคนเห็นว่าการขัดแย้งทางด้านความคิด ในศาสนา หมายถึงการแตกแยก จริงๆแล้วในหมู่ชนที่พัฒนาแล้ว เค้าถือกันว่าการระดมความคิด แน่นอนอาจต้องมีการขัดแย้งกันบ้าง เป็นสิ่งที่ดี  เป็นสิ่งที่ควรกระทำ เพื่อค้นหาสิ่งที่ดีที่สุด ความจริงที่สุด ที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่การแตกแยกหรือเอาชนะเอาแพ้แต่ประการใด คิดบวกกันเถอะแล้วชีวิตจะมีความสุข  (ถ้าพี่น้องท่านใด พึ่งจะเริ่มเข้ามาดูในกระทู้นี้ ควรอ่านตั้งแต่เริ่มต้น หน้าหนึ่งเลย เพื่อจะได้เกิดความเข้าใจ)
ตอบอย่างที่ได้บอกไว้แล้วข้างต้น ความเห็นต่างในเรื่องศาสนาถือเป็นเราะห์มัตความเมตตาจากอัลลอฮ์ซ.บ แต่ความแตกแยกมันเกิดขึ้น เพราะบางคนตะอัซซุบกับสิ่งที่ตนได้ยึดเอา บ้างก็ไม่ได้มีความรู้สักเท่าไหร่สาว่าตนเองนั้นเก่งแล้วอาเลมแล้ว บ้างก็ได้แค่รู้แต่ไม่เข้าใจไม่รู้ถึงสถานการณ์ของผู้ถามไม่รู้ว่าบรรดานักวิชาการมีความเห็นอย่างไรในเรื่องนี้จะเอาของตนอย่างเดียว บ้างก็ไม่ใช่มุจตะฮิดและไม่ใช่อะห์ลุ้ลกะชัฟดันเอาอัลกรุอานหรือฮาดิษที่ยังคลุ่มเคลือ(ซอนนีย์)อยู่มาตอบให้ชาวบ้านได้ฟังผลคือความแตกแยก หรือหายนะนั้นเอง ส่วนตัวผมตามบรรดาอุลามาอ์ ผมมุกอลลิด ไม่ใช่มุจตะฮิด วายิบสำหรับผมต้องตามอุลามาอ์ เพราะอัลลอฮ์ซ.บได้กล่าวเอาไว้ว่า พวกเจ้าจงถามผู้ที่มีความรู้จริงรู้อย่างชัดแจ้งหากสู่เจ้าไม่รู้ ไม่ว่าจะเรื่องดุนยาหรือศาสนาก็ตาม
ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้านาฬิกาเราเสียเราจะซ่อมเองใหมทั้งที่เราเองก็ไม่ชำนาญในการซ่อมมัน หรือจะเอาไปให้ช่างที่เขามีความชำนาญในการซ่อมมันคิดเอา
(ในฟะตาวา มุอาซอเราะห์ ของ ดร.วะห์บะห์ อัสซุหัยลีย์ กล่าวว่า من قلدعالمالقي الله سالما ใครที่เขาตามผู้รู้เขาย่อมกลับไปพบกับพระองค์อย่างปลอดภัย มุมกลับกันใครที่ไม่ตามผู้รู้เขาจะไปพบกับอัลลอฮ์ซ.บในสภาพอย่างไรคิดเอานะครับ)วัลลอฮุ อะลัม

...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มี.ค. 26, 2012, 02:36 PM โดย مرونة الشريعة »

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
:salam:
ตามหลักการของศาสนาอิสลาม หลักฐานที่แข็งแรงที่สุดคืออัลกุรอ่าน รองลงมาคืออัลฮะดิษ รองลงมาอิจมาอฺ รองลงมากิยาส
ตอบถูกต้อง และยังมีหลักฐานอื่นๆที่บรรดาอุลามาอ์เห็นต่างกัน เช่นคำพูดของซอฮาบะห์ มะซอลิฮ์มุรซาละห์ เป็นต้น


...
ขอหลักฐานด้วย กุรอ่าน หรือฮะดิษที่ระบุชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้(ในหนังสือที่ท่านนำมาเสนอนี้ ระบุถึงหลักฐานทางกุรอ่านหรือไม่ มีฮะดิษหรือไม่  ในหนังสือทั้ง2เล่มที่ท่านนำมาอ้างนี้ ที่ผมรู้มีอยู่ฮะดิษเดียว เหมือนกับฮะดิษ ที่ผมได้นำเสนอไปแล้ว แต่ในประเด็นอื่นๆ ไม่เห็นมีระบุถึงหลักฐานทางกุรอ่าน หรือฮะดิษเลย ถ้าในหนังสือมีระบุนำมาบอกด้วย ถ้าไม่มีระบุ ลองคิดดูว่าจะเชื่อดีหรือไม่เชื่อดี
ตอบหลักฐานในหนังสือ อัลบะยาน อัลกอวีมู่ ของ เซค อาลี ญุมอัต จากอัลกรุอาน สูเราะห์ ยูนุส อายะห์ที่ 101 สูเราะห์ อันกาบูร อายะห์ที่ 20 สูเราะห์ อิสรออ์ อายะห์ที่ 12 สูเราะห์ ยาสีน อายะห์ที่ 38-40
หลักฐานในหนังสือฟิกฮ์ อัซซิยาม ของ ดร.ยูซุฟ อัลก๊อรฏอวีย์ จากฮาดิษ
 «صوموا لرؤيته وأفطروا لرؤيته، فإن غُبِّيَ عليكم فأكملوا عدّة شعبان ثلاثين يوماً».
«صوموا لرؤيته وأفطروا لرؤيته، فإن غُمَّ عليكم فأكملوا العدّة ثلاثين
إنّما الشهر تسع وعشرون، فلا تصوموا حتى تروه، فإن غُمَّ عليكم فاقدروا له
ความหมายของคำว่า فاقدروا لهหมายความว่า ضيقواله ทำให้แคบลงมา ท่านอีหม่ามนาวาวีย์ได้กล่าวไว้ใน มัญมั๊วว่า ท่านอะห์มัดและกลุ่มกนึ่งซึ่งมีจำนวนไม่มากได้กล่าวว่า قدربمعنى ضيق เหมือนกับที่อัลลอฮ์ซ.บได้กล่าวไว้ว่า قدرعليه رزقه ริสกีของเขาได้ถูกทำให้แคบลงสำหรับเขาแล้ว คือเครื่องปัจจัยน้อยลงนั้นเอง
...



ตอนนี้ท่านกลับนำมาบอกอีกอย่างแล้ว คือบอกว่า      1. (ในหนังสือ ฟิกฮ์ อัซซิยาม ของ ดร.ยูซุฟ อัลก๊อรฏอวีย์ หน้าที่ 23 และหน้าต่อๆไปบอกว่า) การเข้าเดือนของเดือนรอมาดอนนั้นเกิดขึ้นได้ 3 ทางด้วยกัน 1 เห็นจันทร์เสี่ยว 2 นับให้ครบ 30 วัน 3 คาดการณ์เอาโดยนักดาราศาสตร์ที่มีความแม่นยำและเชื่อถือได้ในวันที่ 29 ซะบาน และท่านยังกล่าวไว้อีกว่า ท่านอีหม่ามสุบกีย์ได้ถูกถามเกี่ยวกับนักดาราศาสตร์ที่พวกเขาได้คำนวนไว้แล้วว่าถ้าพรุ่งนี้ไม่มีการเห็นเดือนแล้วมีคนมาอ้างว่าเขานั้นได้เห็นเดือนไว่าว่าจะคนเดียวหรือ2คนก็ตาม ท่านบอกว่า คนที่เห็นนี้โกหกแล้ว เพราะวันนั้นจะไม่มีเดือนปรากฏให้เห็น (ฟะตาวา อัสสุบกีย์ 1/279-280)
และในหนัวสือเล่มนี้เช่นเดียวกันบอกว่าการคำนวนหรือหลักดาราศาสตร์นั้นใช้ทั้งการดูเดือนบวชและเวลาของการละหมาดด้วยไม่ได้จำกัดเฉพาะเวลาของการละหมาดเท่านั้น
สรุปว่าตอนนี้ท่าน บอกว่าท่านอีหม่ามสุบกีย์ได้ถูกถามเกี่ยวกับนักดาราศาสตร์ที่พวกเขาได้คำนวนไว้แล้วว่าถ้าพรุ่งนี้ไม่มีการเห็นเดือนแล้วมีคนมาอ้างว่าเขานั้นได้เห็นเดือนไว่าว่าจะคนเดียวหรือ2คนก็ตาม ท่านบอกว่า คนที่เห็นนี้โกหกแล้ว เพราะวันนั้นจะไม่มีเดือนปรากฏให้เห็น (ฟะตาวา อัสสุบกีย์ 1/279-280)
     ผมขอบอกว่าเรื่องนี้ในประเทศไทยเรา มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นแล้ว ถามว่าจริงๆควรปฏิบัติเช่นไร ผมยังยืนยันคำเดิมว่า ต้องตามการประกาศของสำนักจุฬาราชมนตรี เพราะจริงๆแล้วเป็นหน้าที่ของสำนักจุฬาราชมนตรีโดยตรง แหละเป็นความรับผิดชอบโดยตรง ไม่ใช่หน้าที่ของนักดาราศาสตร์อิสลาม เลยแม้แต่น้อย ดังมีหลักฐานดังต่อไปนี้
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า ผู้ศรัทธาทั้งหลาย  จงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และเชื่อฟังร่อซูลเถิด และผู้ปกครองในหมู่พวกท่านด้วย แต่ถ้าพวกท่านขัดแย้งกันในสิ่งใด ก็จงนำสิ่งนั่นกลับไปยังอัลลอฮฺ และร่อซูล(กิตาบและซุนนะห์ ว่าทั้งสองกล่าวว่าอย่างไร ก็ทำตาม อย่าดื้อรั้น) หากพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันปรโลก นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่งและเป็นการกลับไป ที่สวยยิ่ง ซูเราะห์อันนิซาอฺ4 อายะห์ที่59
ตอบข้อนี้ท่านเข้าใจผมผิดถนัดเลยทีเดียว ผมไม่ได้พูดเรื่องไม่ให้ตามจุฬาอย่าสับสนสิ เรื่องนักดาราศาสตร์ คนละเรื่องกับการตามจุฬาหรือไม่ตาม และผมก็กล้าบอกท่านได้ว่าผมตามจุฬาครับหลักฐานในการตามมีเยอะส่วนหนึ่งคือสิ่งที่ท่านได้บอกไว้แล้ว เรื่องความเห็นต่างของบรรดาอุลามาอ์ถ้าจุฬาให้น้ำหนักอันไหนผมก็ตาม
ความต่างในเรื่องศาสนาคือเราะห์มัต ความเมตตา ไม่ใช่นิกมัต การลงโทษครับ
...




     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า ผู้ศรัทธาทั้งหลาย  จงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และเชื่อฟังร่อซูลเถิด และผู้ปกครองในหมู่พวกท่านด้วย แต่ถ้าพวกท่านขัดแย้งกันในสิ่งใด ก็จงนำสิ่งนั่นกลับไปยังอัลลอฮฺ และร่อซูล(กิตาบและซุนนะห์ ว่าทั้งสองกล่าวว่าอย่างไร ก็ทำตาม อย่าดื้อรั้น) หากพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันปรโลก นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่งและเป็นการกลับไป ที่สวยยิ่ง ซูเราะห์อันนิซาอฺ4 อายะห์ที่59
     ส่วนคำพูดของท่านที่ว่า2.(ในหนังสือ อัลบะยาน อัลกอวีมู่ ของ เซค อาลี ญุมอัต หน้า 127-129 บอกไว้คล้ายๆกันกับสิ่งที่ ดร.ยูซุฟ ก๊อรฏอวีย์ได้กล่าวเอาไว้) เกี่ยวกับการคำนวนการเข้าบวช การละหมาดทั้ง5เวลารวมถึง หัวข้อที่ได้พูดกันอยู่ คือ เวลา ซูรูก อุลามาอ์นักดาราศาสตร์เห็นตรงกันว่าเรื่องการคำนวนนั้นเป็นเรื่องที่ ยาเกน มั่นใจ ส่วนการมองนั้น ซอนนีย์ ไม่มั่นใจ ดังนั้น เรื่องของการดูตามปฏิทินในเวลาซูรูกตามได้แน่นอน แต่ฮุก่มตรงนี้อุลามาอ์เห็นต่างกันดังนั้นอย่ายึดติดจนเกินไป สิ่งที่เราได้กล่าวมาตามปฏิทินก็ถูก ดูแสงอาทิตย์ก็ได้ในเวลาที่ปรกติไม่ใช่วันที่ฟ้าฝนครึ่ม และข้อดีที่แน่นอนเลยไม่มีใครแย้งกันคือละหมาดก่อนเข้าเวลาซูรูกนั้นเอง ถ้าสร้างความไม่พอใจขอมอัฟไว้ ณ.ที่นี้ด้วยครับ วัลลอฮุ อะลัม
     เรื่องนี้ผมก็ได้อธิบายชัดเจนมาแล้วอีกเช่นกัน ส่วนที่ท่านนำมาอ้างในหัวข้อที่2นี้ ขอหลักฐานด้วย หลักฐานทางกุรอ่าน หรือฮะดิษ หรือกิตาบเล่มใดก็ได้ที่ระบุถึงหลักฐานทางกุรอ่าน หรือฮะดิษด้วย อย่าเอาแค่คำพูดของนักวิชาการมาอย่างเดียว อ่อน ยังไม่ค่อยแข็งแรงนัก
เพราะ
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า ผู้ศรัทธาทั้งหลาย  จงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และเชื่อฟังร่อซูลเถิด และผู้ปกครองในหมู่พวกท่านด้วย แต่ถ้าพวกท่านขัดแย้งกันในสิ่งใด ก็จงนำสิ่งนั่นกลับไปยังอัลลอฮฺ และร่อซูล(กิตาบและซุนนะห์ ว่าทั้งสองกล่าวว่าอย่างไร ก็ทำตาม อย่าดื้อรั้น) หากพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันปรโลก นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่งและเป็นการกลับไป ที่สวยยิ่ง ซูเราะห์อันนิซาอฺ4 อายะห์ที่59
ตอบหลักฐานยกให้ไปแล้ว ส่วนหลักฐานที่ท่านยกมา ถ้าเกิดความขัดแย้งในเรื่องราวของศาสนาให้กลับไปยังกรุอานและฮาดิษ ผมก็ถามกลับว่าถ้าไม่มีในกรุอานและฮาดิษหล่ะจะทำไง
ส่วนตามผู้นำในอายะห์นี้หมายถึงถ้าผู้นำได้ใช้กับสิ่งที่ไม่ได้ผิดกับหลักการของศาสนาตามได้ถ้าผิดเมื่อไหร่ก็ห้ามตาม
...



     ผมแนะนำนิดนึงว่า บางคนเห็นว่าการขัดแย้งทางด้านความคิด ในศาสนา หมายถึงการแตกแยก จริงๆแล้วในหมู่ชนที่พัฒนาแล้ว เค้าถือกันว่าการระดมความคิด แน่นอนอาจต้องมีการขัดแย้งกันบ้าง เป็นสิ่งที่ดี  เป็นสิ่งที่ควรกระทำ เพื่อค้นหาสิ่งที่ดีที่สุด ความจริงที่สุด ที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่การแตกแยกหรือเอาชนะเอาแพ้แต่ประการใด คิดบวกกันเถอะแล้วชีวิตจะมีความสุข  (ถ้าพี่น้องท่านใด พึ่งจะเริ่มเข้ามาดูในกระทู้นี้ ควรอ่านตั้งแต่เริ่มต้น หน้าหนึ่งเลย เพื่อจะได้เกิดความเข้าใจ)
ตอบอย่างที่ได้บอกไว้แล้วข้างต้น ความเห็นต่างในเรื่องศาสนาถือเป็นเราะห์มัตความเมตตาจากอัลลอฮ์ซ.บ แต่ความแตกแยกมันเกิดขึ้น เพราะบางคนตะอัซซุบกับสิ่งที่ตนได้ยึดเอา บ้างก็ไม่ได้มีความรู้สักเท่าไหร่สาว่าตนเองนั้นเก่งแล้วอาเลมแล้ว บ้างก็ได้แค่รู้แต่ไม่เข้าใจไม่รู้ถึงสถานการณ์ของผู้ถามไม่รู้ว่าบรรดานักวิชาการมีความเห็นอย่างไรในเรื่องนี้จะเอาของตนอย่างเดียว บ้างก็ไม่ใช่มุจตะฮิดและไม่ใช่อะห์ลุ้ลกะชัฟดันเอาอัลกรุอานหรือฮาดิษที่ยังคลุ่มเคลือ(ซอนนีย์)อยู่มาตอบให้ชาวบ้านได้ฟังผลคือความแตกแยก หรือหายนะนั้นเอง ส่วนตัวผมตามบรรดาอุลามาอ์ ผมมุกอลลิด ไม่ใช่มุจตะฮิด วายิบสำหรับผมต้องตามอุลามาอ์ เพราะอัลลอฮ์ซ.บได้กล่าวเอาไว้ว่า พวกเจ้าจงถามผู้ที่มีความรู้จริงรู้อย่างชัดแจ้งหากสู่เจ้าไม่รู้ ไม่ว่าจะเรื่องดุนยาหรือศาสนาก็ตาม
ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้านาฬิกาเราเสียเราจะซ่อมเองใหมทั้งที่เราเองก็ไม่ชำนาญในการซ่อมมัน หรือจะเอาไปให้ช่างที่เขามีความชำนาญในการซ่อมมันคิดเอา
(ในฟะตาวา มุอาซอเราะห์ ของ ดร.วะห์บะห์ อัสซุหัยลีย์ กล่าวว่า من قلدعالمالقي الله سالما ใครที่เขาตามผู้รู้เขาย่อมกลับไปพบกับพระองค์อย่างปลอดภัย มุมกลับกันใครที่ไม่ตามผู้รู้เขาจะไปพบกับอัลลอฮ์ซ.บในสภาพอย่างไรคิดเอานะครับ)วัลลอฮุ อะลัม

...
:salam:     
     ขัดแย้งในด้านความคิด แต่ยังเป็นมิตรเหมือนเดิม
     ชี้ชัดให้เห็นว่า เรื่องเวลาของการละหมาด ทั้ง5เวลา รวมทั้งเวลาที่ดวงตะวันขึ้น ซุรูก สรุปว่าสมัยนี้ให้ดูปฏิทินเท่านั้น (สำหรับผู้ที่ไม่ได้ศึกษา ดาราศาสตร์อิสลามมาโดยตรง) ส่วนการขึ้นเดือนใหม่(ขึ้นวันที่1)ของเดือนอิสลามทั้งหมด (เช่นเริ่มเข้าวันที่1 ของเดือนต่างๆในเดือนอิสลาม)การเข้าบวช ออกบวช วันอีดทั้งสอง สำหรับประเทศไทย ให้ฟังคำประกาศของสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น (อย่าได้ดูการขึ้น วันที่1เดือนใหม่อิสลาม ในปฏิทินโดยเด็ดขาด)ปัจจุบันดูการประกาศ วันที่1ของเดือนใหม่ในอิสลามได้ ในเว็ปไซร์ http://www.skthai.org/ ก็จะมีบอกไว้ทุกๆเดือน
     ถ้าในปัญหาศาสนาเรื่องเดียวกัน มีหลักฐานทางกุรอ่านชัดเจนอยู่แล้ว อย่าสงสัยในการทำตามเลย ไม่ต้องสงสัย  ถ้าไม่มี ฮะดิษมีใหม ถ้ามีก็ชัดเจน ถ้าไม่มีอิจมาอฺอุลามามีใหม ถ้าไม่มีก็ใช้การกิยาส เรื่องฟิกษ์ ผมเห็นว่ามีผู้ที่รับผิดชอบโดยตรงอยู่แล้ว ผมจะไม่ขอพูดอะไรไปมากกว่านี้
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า ผู้ศรัทธาทั้งหลาย  จงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และเชื่อฟังร่อซูลเถิด และผู้ปกครองในหมู่พวกท่านด้วย แต่ถ้าพวกท่านขัดแย้งกันในสิ่งใด ก็จงนำสิ่งนั่นกลับไปยังอัลลอฮฺ และร่อซูล(กิตาบและซุนนะห์ ว่าทั้งสองกล่าวว่าอย่างไร ก็ทำตาม อย่าดื้อรั้น) หากพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันปรโลก นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่งและเป็นการกลับไป ที่สวยยิ่ง ซูเราะห์อันนิซาอฺ4 อายะห์ที่59
     ในเรื่องราวของดาราศาสตร์อิสลาม ถ้าไม่ได้ศึกษามาโดยตรง อย่าพยายามชี้เลย เพราะยิ่งชี้ยิ่งสับสน ยิ่งชี้ ยิ่งงงเอง ชี้เองผลสุดท้ายก็ต้องมายอมรับเอง อัลฮัมดุลิ้ลลาห์ๆๆๆ( กรณีศึกษา มีบางคนนาฬิกาเสีย แทนที่ ทีแรกจะนำไปให้ช่างซ่อมเลย แต่กลับสงสัยในฝีมือช่าง อ้างโน่นอ้างนี่ สุดท้ายช่างก็ซ่อมให้อยู่ดี เพราะตัวเองซ่อมไม่เป็น)
     เรื่องจริงๆแล้ว ไม่มีใครรู้หรอกว่า ความรู้ของใครมีอยู่ระดับใหน(นอกจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น) ตัวเราเองแหละที่รู้ดี ว่าความรู้ของเราอยู่ระดับใหน แหละพระผู้เป็นเจ้าก็ไม่ได้ใช้ ให้เอาความรู้มาวัดกันด้วย แต่ที่พระผู้เป็นเจ้าใช้ก็คือ ให้ทำตามความรู้ เมื่อรู้ก็ต้องบอกต่อ ถ้าไม่รู้เรื่องราวของศาสนา ต้องเรียนให้รู้
     เรื่องเวลาของการละหมาด ทั้ง5เวลา รวมทั้งเวลาที่ดวงตะวันขึ้น ซุรูก กับการขึ้นเดือนใหม่ในอิสลาม ผมได้อธิบายมาแล้ว ผมจะไม่พูดเรื่องนี้อีก เพราะหมดหน้าที่ของผมแล้ว (ถ้าพี่น้องท่านใด พึ่งจะเริ่มเข้ามาดูในกระทู้นี้ ควรอ่านตั้งแต่เริ่มต้น หน้าหนึ่งเลย เพื่อจะได้เกิดความเข้าใจ อ่านดีๆ อย่าสับสนเพราะบางช่วง มีทำให้เกิดการสับสน เยอะ)
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า ผู้ที่พระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)ทรงแนะนำนั้น เขาก็เป็นผู้รับคำแนะนำ(ได้รับทางนำที่ถูกต้อง) และผู้ที่พระองค์ทรงปล่อยให้หลงผิดนั้น ชนเหล่านี้แหละพวกเขาคือผู้ที่ขาดทุน ซูเราะห์อัลอะรอฟ7 อายะห์ที่178
ทำตามใช้ ละเว้นสิ่งที่ห้าม คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มี.ค. 27, 2012, 08:15 PM โดย บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม »
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
อัสลามุอะลัยกุม วะเราะมาตุลลอฮฺ วะบารอกาตุ

อ่านมาทั้งของท่านบ่าวของผู้ทรงยุติธรรม ทั้งของท่านมุฟตี
และของท่านอื่นๆมาท้ังหมด...

อยากถามนักดาราศาสตร์อิสลามหรือผู้ที่เรียนด้านนี้มาว่า

"เวลา" คืออะไร? นิยามสิ่งนี้ให้ฟังกันหน่อยนะคะ

เพราะเวลาที่ว่าคือปัจจัยหลักที่ทำให้เกิด ปฏิทิน นาฬิกา และเครื่องมือดูดาว
ของพวกท่านทั้งหลาย ถ้าพวกท่านนิยาม เวลาพลาด จะเกิดอะไรขึ้น...

ทำไมว่าเวลาที่เราเกิดการโต้เถียงกันในเรื่องใด เราจึงต้องกลับไปหา
ท่านรอซุลลุลลอฮฺ (กลับไปพิจารณาแนวทางที่ท่านเคยปฏิบัติ)
ก็เพราะว่ามุสลิมต่างเชื่อมั่นในการกระทำทุกๆการกระทำของท่านรอซุลุ้ลลอฮฺ
ซอลลัลลอฮฺุอะลัยฮิวะซัลลัมมากกว่าใครทั้งหมดน่ะสิคะ...
เขามั่นใจ เข้าเชื่อมั่นและเขายึดมั่นว่าท่านนบีมุฮัมหมัด ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
คือผู้ไม่ผิดพลาดในเรื่องศาสนา...เราเลยหันกลับไปมองการกระทำของท่าน
ที่ถูกบันทึกเอาไว้อย่างไรล่ะคะ...

เพราะสิ่งใหม่ๆที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ฟ้าที่ไม่เคยเหมือนกันสักวันเดียวนั้น
มันทำให้เรามนุษย์ไม่มั่นใจกับมันเลย...เวลาที่ผ่านพ้นไปมันก็ชวนให้สงสัยอยู่ไม่น้อย
ว่ามันแคบลงหรือกว้างขึ้น...

ข้าน้อยไม่ปฏิเสธเลยว่า ดวงอาทิตย์มีวิถีการเดินทางที่แน่นอน...
แต่ที่ไม่แน่นอนก็คือมันจะเปลี่ยนทิศทางการโคจรเมื่อใด...
หรือจะหยุดการเดินทางเวลาไหน

ในเมื่อ 'เวลาของวันพรุ่งนี้จริงๆ' ยังมาไม่ถึงจริงๆเลย...
แต่ปฏิทินเดินทางไปก่อนหน้าดวงอาทิตย์แล้ว...รู้ว่ามันคำนวณกันได้
แต่ค่าคำนวณที่ได้มานั้นมันเดินไปก่อนของจริง...เราเลยใช้มันอ้างอิง
มากกว่าจะคิดว่ามันต้องเกิดขึ้นจริงๆแน่ๆ ในเมื่อเรื่องของเวลาในอนาคต
ยังมาไม่ถึง อัลลอฮฺสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ตลอดเวลาตามที่พระองค์ทรงประสงค์

แต่ตราบเท่าที่ดวงอาทิตย์ยังไม่ขึ้นทางทิศตะวันตก...เราก็ละหมาดโดยการ
ดูดวงอาทิตย์อย่างที่ท่านนบีมุฮัมหมัด ซอลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัมทำไว้
เป็นแนวทางได้มิใช่หรือคะ...

ในเมื่อ...เกิดวันนึง เราไม่มีนาฬิกาให้ดูเวลาขึ้นมา ไม่มีปฏิทิน
ไปอยู่ในซีกโลกไหนซักซีกโลกนึง...ที่ดวงอาทิตย์ขึ้นตอนเที่ยงคืน
อะไรประมาณนี้ เราจะทำเช่นไร...มันเกิดขึ้นได้ทั้งนั้นบนความไม่แน่นอน
ของดุนยานี้...แล้วไอ้นาฬิกาที่บอกว่า 6:14 บนหน้าปัดนั้น
ใครสร้างมันขึ้นมาหรือคะ...จำได้ดีแน่ว่ามันเกิดมาหลังจากการมีดวงอาทิตย์
และเพิ่งจะมีมาในยุคท้ายๆนี้...คนก่อนหน้านี้เขาละหมาดกันอย่างไร

ข้าน้อยคนนึงมองว่า ไม่มีคำว่าถอยหลัง หรือเดินไปข้างหน้าสำหรับโลกใบนี้
เพราะมันหมุนรอบตัวมันเอง...

ทุกวันนี้...เราดูปฏิทินกับนาฬิกา แทนวัตถุบนท้องฟ้าจนวันๆนึงผ่านไป
เราก็ไม่เคยใส่ใจท้องฟ้าเลย...

ลองกลับไปมองอย่างที่ท่านนบีมุฮัมหมัด ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
มองไว้ในอดีต แล้วเราจะรู้สึกอยู่อย่างนึงว่า...ท่านได้สร้างปฏิสัมพันธ์
ชีวิตมนุษย์ในโลกนี้ไว้กับจักรวาล เพื่อให้มนุษย์ทุกคนได้ผูกพันกับมัน
มิได้มีไว้ให้แค่นักดาราศาสตร์สร้างความผูกพันด้วยเท่านั้น...

ไม่รู้ดาราศาสตร์ไม่สมควรชี้...ข้าน้อยคนนี้ไม่ได้จะชี้นะคะ
แค่ขอแสดงความเห็นบ้างในฐานะที่ก็เรียนจบด้านวิทยาศาสตร์
ศึกษามาบ้างเหมือนกัน...และพอรู้หลักๆของมัน ไม่ต้องลึก
รู้แค่เพียงว่า วิทยาศาสตร์เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา

แต่อัล-กุรอ่านไม่เปลี่ยนแปลง และกิจวัตรของท่านนบีมุฮัมหมัด ซอลลัลลอฮฺุอะลัย
ฮิวะซัลลัมยังคงทำให้ข้าน้อยเชื่อมั่นกว่าใครคนใดที่อัลลอฮฺส่งมายังโลกนี้

ปล.ปัญหาใหญ่มันอยู่ที่ความเชื่อมั่นค่ะ...พอเชื่อมั่น เราก็ยึดมั่น

ปล.อีกที...ดูปฏิทินเสมอเม่ือโอกาสอำนวยให้ได้ดู
และก็ดูนาฬิกาเมื่อเข็มของมันยังเดินอยู่...
แต่ก็ดูแสงที่ตกกระทบกับวัตถุเช่นกันเพราะมั่นใจว่าดวงอาทิตย์ไม่หยุดเดินง่ายๆ
และไปไหนเราก็จะเจอดวงอาทิตย์ตลอดกลางวัน...
เพราะถ้าดวงอาทิตย์เกิดหยุดเดินขึ้นมาเมื่อไหร่...
เราก็คงจะหมดเวลาละหมาดกันเมื่อนั้นเอง...

อีกร้อยปีข้างหน้า ปฏิทินในวันนี้จะกลายเป็นอะไรเราก็ไม่รู้
นาฬิกาที่ใช้อยู่จะมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอีกแค่ไหน
ก็ไม่แน่ใจ...แต่ที่แน่ๆคือ กิจวัตรของท่านนบีมุฮัมหมัด
ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม บุคคลที่ถูกส่งมาเพื่อให้เรา
ยึดถือปฏิบัติไม่เปลี่ยนแปลงอีกแล้ว เพราะท่านได้ทำไว้
เป็นแนวทางแล้ว มันถูกบันทึกเอาไว้แล้ว
และท่านก็ได้จากดุนยานี้ไปแล้ว...หน้าที่ของท่านลุล่วงแล้ว...

เราจะมาคิดกันเอาเองว่าสิ่งที่ท่านนบีมุฮัมหมัด ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
ทำไว้ในอดีตนั้นคร่ำครึหรือล้าหลัง ไม่ทันโลก ไม่ทันสมัยเหมือนพวกเรา
และไม่เข้าใจอนาคตซี...เพราะสำหรับข้าน้อยนะ เชื่ออย่างรุนแรงเลยว่า...
ท่านนบีคนสุดท้ายที่อัลลอฮฺส่งมานั้นรู้มากกว่ามนุษย์คนไหนในโลกนี้...
รู้อดีตและหยั่งถึงอนาคตด้วยซ้ำ การที่ท่านทำอะไรเอาไว้นั้น
มันย่อมหมายความว่า สิ่งนั้นมีความหมายและนัยยะซ่อนอยู่...
ซึ่งเราเองอาจเข้าไม่ถึงด้วยซ้ำไป...ก็เรานั้นแสนจะธรรมดากว่าท่านเป็นไหนๆ
สติปัญญาความสามารถที่อัลลอฮฺมอบให้เราย่อมไม่เท่ากับท่าน...
เพราะท่านไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา แต่เป็นทูตของอัลลอฮฺ

ทุกอย่างที่นบีมุฮัมหมัด ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมทำไว้เป็นแบบฉบับนั้น
ล้วนมีฮิกมะฮฺ เป็นขุมแห่งวิทยปัญญา...และท่านเองก็มิได้เผยแผ่ศาสนา
ให้แก่มนุษย์เท่านั้น แต่รวมหมู่ญินเข้าไปด้วย...ญินดูปฏิทินหรือมีปฏิทิน
เหมือนเราหรือเปล่า?...ท่านนบีของเราไม่ได้มองอะไรแคบๆแน่
เพราะท่านเห็นอะไรที่มนุษย์ธรรมดาอย่างเราๆมองไม่เห็น...
ทัศนวิสัยของท่านกับเรามันไม่เท่ากัน ไม่มีทางจะเหมือนกันได้...

ซึ่งนี่ไงคะ...ที่ทำให้มุสลิมเชื่อมั่นในตัวรอซุลลุ้ลลอฮฺเป็นที่สุด
เพราะท่านถูกอัลลอฮฺทรงรับรองเอาไว้ในอัลกุรอ่านอย่างชัดแจ้ง...
ท่านไม่ได้ทำอะไรผิดพลาด...อิสลามสมบูรณ์แล้วตอนที่
อัลกุรอ่านประกาศบอกเช่นนั้นลงมา...คำว่าสมบูรณ์แล้วมันชัดมาก
สิ่งที่ท่านทำไว้ เราเลยมั่นใจด้วยว่าสมบูรณ์...และเพียงพอ
เราเลยเอามายึดมั่นปฏิบัติตาม...ด้วยความมั่นใจ

....ความมั่นใจเช่นนี้นั้นยากที่มนุษย์คนใดจะทำได้เท่าท่าน...

เพราะว่าท่านนบีของเราเป็นบุคคลที่น่าเชื่อถืออย่างที่สุด...
คุณลักษณะเช่นท่านไม่พบในมนุษย์ธรรมดาทั่วๆไปที่ย่อมมีความผิดพลาด
และบกพร่องเป็นปกติสามัญ

ปัญหาที่เกิดการโต้เถียงและเลือกปฏิบัติในทุกวันนี้มันก่อเกิดมาจาก
ความมั่นใจ การเชื่อมั่น และความน่านับถือเป็นสำคัญ...

ผู้รู้ที่ให้เกียรติความรู้ ณ ที่อัลลอฮฺมากมาย มักจะกล่าวเอาไว้เสมอว่า
ตนนั้นย่อมมีข้อผิดพลาดหรืออาจวินิจฉัยพลาดได้...

เพราะสิ่งใหม่ๆมักมีมาให้เราได้ทะเลาะหรือถกเถียงกันได้เรื่อยๆค่ะ
แต่สิ่งที่ถูกทำเอาไว้เป็นแบบฉบับแล้ว...มันจบไปแล้ว...
และถูกรับรองเอาไว้ว่าเป็นแบบฉบับที่ดีเลิศให้มุสลิมเดินตามรอย...
แล้วใครเล่าจะกล้าไปเปลี่ยนแปลง...

ถ้าเรายึดมั่นอย่างหนักแน่นต่อสิ่งใหม่ๆจนหลงลืมสิ่งเดิมๆที่มีมา...
หรือมองเมินเพราะคิดว่ามันล้าหลังไปแล้ว เราจะดูถูกผลงาน
ของฟิรอูนที่อัลลอฮฺได้ให้อำนาจไว้เมื่อครั้งอดีตเสียแล้ว...
พวกเขาได้ทำบางอย่างที่คนสมัยนี้ยังหาคำตอบไม่ได้เลยว่าทำได้ไง...

อย่าเพิ่งแน่ใจว่าสิ่งที่ตนเพิ่งมาค้นพบอยู่นั้นว่าทันสมัย
กว่าสิ่งที่เคยมีมาในยุคก่อนๆ และการกระทำของคนยุคก่อนนั้นล้าหลัง
เราไม่รู้ลึกรู้ซึ้งนี่ว่าในอดีตอัลลอฮฺได้ประทานสิ่งใดมาบ้าง
แล้วล้มล้างอะไรไปบ้าง...คนสมัยก่อนอาจมีวิธีดูดวงดาวที่สุดยอด
กว่าของเราก็ได้ แล้วสิ่งเหล่านั้นก็อาจจะถูกทำลายไปพร้อมกับประชาชาตินั้นๆ
แล้วก็ได้...ซึ่งนั่นมันการงานของอัลลอฮฺ...

เราควรจะสอนให้ลูกหลานเราได้เข้าใจในกิจวัตรทุกอย่าง
ที่นบีมุฮัมหมัด ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมทำไว้เป็นแนวทาง
ศึกษาและลองนำมาใช้ปฏิบัติ...
ไม่งั้นเรามนุษย์ก็คงต้องเถียงกันไปจนวันโลกาวินาศแน่ๆค่ะ...
เพราะโลกมันต้องเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน มีเรื่องราวใหม่ๆ
เกิดขึ้นตลอดตามวิถีของมัน...เอาแน่เอานอนไม่ได้หรอกค่ะ

เพราะความแน่นอนอยู่ ณ ที่อัลลอฮฺ...
ความถูกต้องและแม่นยำที่แท้จริงก็อยู่ ณ ที่อัลลอฮฺ
และความรู้ที่แท้จริงก็อยู่ ณ ที่อัลลอฮฺ

มอบหมายให้อัลลอฮฺค่ะสำหรับเรื่องที่เราก็ย่อมรู้แก่ใจดีว่า
เราเข้าไม่ถึงมันอย่างแท้จริง เราไม่อาจเอื้อมถึงมันได้...

เราเล็กเกินไปจริงๆสำหรับโลกนี้และจักรวาลนี้...

หมายเหตุ: ทั้งหมดนี้เป็นแค่ความคิดเห็นส่วนตัวนะคะ
หากผิดพลาดอย่างไร ใครผ่านมาอ่าน
แนะนำตักเตือนกันด้วยนะคะ น้อมรับฟังและจะนำไปแก้ไขค่ะ...

ด้วยจิตคารวะ...

วัสลาม

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.พ. 16, 2015, 03:53 PM โดย nada-yoru »
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

 

GoogleTagged