ผู้เขียน หัวข้อ: เมื่อมุสลิมมองมุสลิม--พันทิป  (อ่าน 3334 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ comel sokmo

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 97
  • เพศ: ชาย
  • muslims united together
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
0

 :salam:
จากที่มีคนโพสต์ในพันทิป

โลกหมุนเร็ว
เพ็ญศรี เผ่าเหลืองทอง


คุณว่าไหม บนโลกใบนี้น่ะมีคนที่ตำหนิตัวเองอยู่น้อยเต็มที มันเป็นธรรมชาติของคนที่มักชอบติคนอื่นเสียมากกว่า ทีนี้พอมีคนลุกขึ้นมาติตัวเองซะที ก็เลยกลายเป็นเรื่องน่าฟังไป

คนที่ลุกขึ้นมาติตัวเองอย่างแข็งขันคนนี้เป็นคนปากีสถาน มีดีกรีเป็นดอกเตอร์และมีตำแหน่งการงานเป็นผู้อำนวยการของศูนย์วิจัยด้านความมั่นคงของปากีสถาน ถือเป็นหน่วยงาน Think Tank ของประเทศนี้ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อปี 2550 และยังเป็นคอลัมนิสต์ชื่อดังอีกด้วย เขาชื่อ ดร.ฟารุก ซาลีม

เขาเริ่มด้วยการตั้งคำถามว่า ทำไม "ยิว" จึงเป็นชนชาติที่มีอิทธิพลนัก

ในเมื่อทั้งโลกใบนี้น่ะมี "ยิว" ทั้งหมดแค่ 14 ล้านคน 7 ล้านอยู่ในอเมริกา 4 ล้านอยู่ในเอเชีย อีก 2 ล้านอยู่ในยุโรป ส่วนที่เหลืออีก 100,000 คนอยู่ในแอฟริกา

โลกนี้มีคนยิว 1 คน ต่อคนมุสลิม 100 คน แต่เหตุไฉนคนยิวจึงมีอิทธิพลต่อโลกกว่าคนมุสลิมมากมายนัก

แม้แต่พระเยซูก็เป็นคนยิว คนยิวอีกคนที่เป็นอัจฉริยะผู้ยิ่งใหญ่ของโลกคือ อัลเบิร์ต ไอนส์ไตน์ ส่วนที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กันคือ ซิกมันด์ ฟรอยด์ บิดาแห่งนักนักจิตวิทยาผู้ค้นคิดเรื่อง ตัวกู ของกู ส่วนด้านนักคิดเพื่อสังคมนั้นเล่า ก็เช่น คาร์ล มาร์กซ์, พอล แซมมวลสัน และ มิลตัน ฟรีดแมน เป็นต้น

ทางด้านวงการแพทย์ผู้มีคุณูปการอันใหญ่หลวงสำหรับมนุษยโลกก็มีบุคคลเหล่านี้คือ

เบนจามิน รูบิน เป็นผู้ค้นคิดเข็มฉีดยา โจนาส ซอล์ก คิดวัคซีนโปลิโอเป็นคนแรก เกอทรูด เอลเลียน คิดค้นยารักษาลูคีเมีย บารุค บลูมเบิร์ก พัฒนาวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี พอล เออร์ลิก ค้นคิดวิธีรักษาโรคซิฟิลิส เบอร์นาร์ด คัตซ์ ได้รับรางวัลโนเบลจากผลงานการเปลี่ยนกล้ามเนื้อหัวใจ และบุคคลสำคัญทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์ทั้งหลายอีกมากมายก็ล้วนเป็นคนยิว

ในช่วง 105 ปีที่ผ่านมา จากคนยิว 14 ล้านคน มีถึง 15 โหล หรือ 180 คนที่ได้รับรางวัลโนเบล ในขณะที่มุสลิมในโลกมี 1.4 พันล้านคน แต่มีเพียง 3 คนเท่านั้นที่ได้รับรางวัลโนเบล

ทำไมล่ะ คนยิวจึงทรงอิทธิพลนัก


ไม่เฉพาะการแพทย์เท่านั้น ทางด้านวิทยาศาสตร์ คนยิวชื่อ สแตนลี่ เมเซอร์ ค้นพบชิพคอมพิวเตอร์เป็นคนแรก ลีโอ ซิลลาร์ด พัฒนากระบวนการปฏิกิริยานิวเคลียร์เป็นคนแรก ปีเตอร์ ชุลต์ ค้นพบไฟเบอร์ออฟติก ชาร์ลส์ แอดเลอร์ ค้นพบไฟจราจร ยังไม่เท่านั้นคนแรกที่ค้นพบสแตนเลสสตีล คือ เบนโน สเตราส์ อิซาดอร์ คิสเซ ค้นพบภาพยนตร์ที่มีเสียง ชาร์ลส์ กินสเบิร์ก พบเครื่องอัดวิดีโอเทป

แล้วในโลกการเงินล่ะ พ่อมดธุรกิจเจ้าของแบรนด์ดังทั้งหลายล้วนเป็นคนยิว ไม่ว่าจะเป็น ราล์ฟ ลอเรน เจ้าของแบรนด์โปโล เฮาวาร์ด ชูลตส์ เจ้าของสตาร์บัคก็เป็นยิว เซอร์เก บริน เจ้าของกูเกิลอีกล่ะ ต้องเป็นยิวอยู่แล้ว ไมเคิล เดลล์ เจ้าของเดล ก็ยิวอีกหละ เจ้าของออราเคิลก็เป็นยิว

ส่วนสาวเศรษฐินีในโลกแฟชั่น ดอนน่า คาราน ก็เป็นคนยิว เจ้าของแบรนด์อาหาร อย่าง บาสกิ้น รอบบิ้นส์ และ ดังกิ้น โดนัทส์ก็ไม่ใช่ชาติไหน แต่คือยิว

รายชื่อยังมีอีกยาวเหยียด พวกรัฐบุรุษทั้งหลายอย่าง เฮนรี่ คิสซิงเจอร์ อลัน กรีนสแปน โจเซฟ ลิเบอร์แมน และ มาเดอลีน อัลไบรต์ ก็ล้วนแต่เป็นยิว

ในโลกของสื่อ คนดังๆ อย่าง บาร์บารา วอลเตอร์ส แห่งเอบีซีนิวส์ ยูยีน แมเยอร์ และแคทารีน แกรม แห่งวอชิงตันโพสต์ รวมทั้งบรรณาธิการของ เดอะ นิวยอร์ก ไทมส์ ก็เป็นคนยิว

แล้วคุณคิดว่าพ่อมดการเงินและนักบริจาคการกุศลอย่าง จอร์จ โซรอส ใช่ยิวไหม ดูหน้าแล้วจะเป็นอื่นไปไม่ได้แน่ เขาบริจาคแล้วถึง 4 พันล้านดอลลาร์ให้กับการทดลองทางวิทยาศาสตร์และมหาวิทยาลัยต่างๆ ในโลก

และหากมองไปที่วงการกีฬาและบันเทิง ชื่อของคนแถวหน้าที่เรารู้จักก็ไม่พ้นยิว มาร์ก สปิตซ์ ที่เคยทำสถิติเหรียญทอง 7 เหรียญ และ บอริส เบกเกอร์ นั่นไง หรือบนจอเงิน คนที่คุณชื่นชมบูชา อย่าง แฮริสัน ฟอร์ด ชาร์ลส์ บรอนสัน แซนดรา บูลล็อก วูดดี้ แอลเลน และ พอล นิวแมน ดัสติน ฮอฟฟ์แมน ไมเคิล ดักลาส เบน คิงส์ลีย์ โกลดี้ ฮอว์น และ แครี่ แกรนต์ คือยิว

ยังไม่นับตัวละครไชล็อกที่ร่ำรวยในเวนิส วานิช นะเนี่ย

สตีเว่น สปีลเบิร์ก นั้นยิ่งใหญ่มากในฐานะผู้สร้างภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด เมล บรู๊ก และ โอลิเวอร์ สโตน ก็เช่นกัน

ทำไมโลกนี้จึงมีแต่คนเก่งที่เป็นยิว


คําตอบก็คือการศึกษานั่นเอง

แล้วหันมาดูคนมุสลิม ซึ่งมีอยู่ประมาณ 1,476,233,470 คนในโลกนี้ โดยที่ประมาณพันล้านคนอยู่ในเอเชีย 400 ล้านอยู่ในแอฟริกา และ 44 ล้านคนอยู่ในยุโรป และ 6 ล้านคนอยู่ในอเมริกา เป็นอันว่าในประชากรโลกห้าคนจะเป็นมุสลิมเสียหนึ่ง และมีคนฮินดูหนึ่งคนต่อทุกๆ มุสลิม 2 คน ชาวพุทธหนึ่งคนจะประกบด้วยมุสลิม 2 คน

แล้วทำไมคนมุสลิมจึงไร้พลัง เมื่อมองลึกลงไปจะพบว่าโลกมุสลิมมีองค์กรที่เรียกว่า Organisation of Islamic Conference (OIC) ซึ่งมีสมาชิก 57 ประเทศ ทั้งหมดนี้ มีมหาวิทยาลัยรองรับแค่ 500 แห่ง เอาจำนวนประชากรมุสลิมหารดู จะพบว่ามีหนึ่งมหาวิทยาลัยต่อประชากรมุสลิม 3 ล้านคน

ต้องเหนื่อยอีกนานกว่าคนมุสลิมจะมีความรู้ทั่วถึง

ในขณะที่สหรัฐมีมหาวิทยาลัย 5,758 แห่ง และอินเดียมี 8,407 แห่ง

เมื่อปี 2547 มหาวิทยาลัยเฉียวตงที่เซี่ยงไฮ้ได้ทำการจัดอันดับมหาวิทยาลัยทั่วโลกชั้นนำ 500 แห่ง ไม่มีมหาวิทยาวิทยาลัยในประเทศมุสลิมติดอันดับเลย

ตัวเลขของ UNDP ระบุว่าอัตราการอ่านออกเขียนได้ในโลกคริสเตียนอยู่ที่ร้อยละ 90 และมี 15 ประเทศที่ประชากรเป็นคริสเตียน อ่านออกเขียนได้ร้อยละร้อย

ในขณะที่ประเทศมุสลิมนั้นตรงกันข้าม อัตราอ่านออกเขียนได้มีแค่ร้อยละ 40

ประเทศมุสลิมมีนักวิทยาศาสตร์ 230 คนต่อประชากรหนึ่งล้านคน ในขณะที่สหรัฐมี 4,000 และญี่ปุ่นมี 5,000

แล้วการวิจัยล่ะ โลกมุสลิมลงทุนเพียงร้อยละ 0.2 ของจีดีพีในการวิจัยพัฒนา ส่วนโลกคริสเตียนลงทุนร้อยละ 5 ของจีดีพี

ดังนั้น ก็พูดได้ว่าโลกมุสลิมนั้นขาดความสามารถในการสร้างองค์ความรู้


ไม่ต้องดูอื่นไกล ดูที่จำนวนหนังสือพิมพ์รายวันต่อประชากร 1,000 คนกับจำนวนหนังสือที่พิมพ์ออกมาก็รู้ ว่ามีการกระจายความรู้สู่ประชากรทั่วถึงเพียงไร

ในปากีสถาน มีหนังสือพิมพ์ 23 หัว ต่อประชากร 1,000 คน ส่วนในสิงคโปร์ต่อประชากร 360 คน

ในอังกฤษต่อประชากร 1 ล้านคน จะมีหนังสือ 2,000 เล่ม ส่วนในอียิปต์มีหนังสือแค่ 20 เล่ม

นั่นแปลว่าอัตราการกระจายความรู้ของคนมุสลิมนั้นต่ำอย่างมาก

ทีนี้ มาถึงการผลิตและส่งออกสินค้าเทคโนโลยี ซึ่งเป็นตัวชี้วัดการนำองค์ความรู้มาใช้ ปากีสถานนั้นส่งออกสินค้าเทคโนโลยีแค่ร้อยละ 1 ของสินค้าส่งออก ซาอุดีอาระเบียยิ่งแล้วใหญ่ ส่งออกแค่ ร้อยละ 0.3 ส่วนเพื่อนมุสลิมอื่นๆ อย่างคูเวต โมร็อกโก และแอลจีเรียก็พอกัน ส่งออกสินค้าเทคโนโลยีได้เพียงร้อยละ 0.3 เมื่อเทียบกับสิงคโปร์ที่ส่งออกได้ร้อยละ 58

นี่แสดงว่าอะไร แสดงว่าโลกมุสลิมนำองค์ความรู้มาใช้ไม่เป็น

ทั้งไม่สามารถสร้างความรู้ กระจายความรู้ และนำความรู้มาใช้ ทำให้โลกมุสลิมไร้พลัง

ดร.ฟารุก ซาลีม สรุปว่าคนมุสลิมน่าจะตั้งหน้าตั้งตาศึกษาหาความรู้ สร้างองค์ความรู้ และหัดนำความรู้มาใช้ แทนที่จะเอาแต่ตะโกนเรียกพระอัลเลาะห์อยู่ทั้งวันทั้งคืน

หรืออีกนัยหนึ่งคือใช้เวลากับเรื่องศาสนาน้อยลงบ้างก็ได้ และเพิ่มเวลาให้กับการศึกษานั่นเอง

ข้อสรุปอันนี้น่าจะเป็นแนวทางให้โลกมุสลิมพัฒนาขึ้นมาได้ แทนที่ประเทศยากจนทรัพยากรจะปล่อยให้ชีวิตเป็นไปตามลิขิตเบื้องบน

ส่วนประเทศมุสลิมที่ร่ำรวยด้วยทรัพยากรจะมัวแต่สรรค์สร้างความฟุ่มเฟือยต่างๆ นานา เพราะทรัพยากรนั้นอีกไม่นานก็จะหมดไป ในขณะที่ความรู้มีแต่จะทำให้เพิ่มพูน
Berkurun lama pergi menjauh
wajah ku lihat di dalam mimpi,
Kalau dah kasih sesama sungguh
kering lautan tetap ku nanti,

Ilmu yg tdk digunakan ibarat pohun kayu yg tidak berbuah

ออฟไลน์ hiddenmin

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2453
  • เพศ: ชาย
  • 404 not found
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
    • Ikhlas Studio
Re: เมื่อมุสลิมมองมุสลิม--พันทิป
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: พ.ค. 10, 2012, 06:10 PM »
0
ผมหาไม่เจอว่ามาจากกระทู้ไหนของพันทิป หาเจอแต่ในเว็บ มติชนออนไลน์

ออฟไลน์ comel sokmo

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 97
  • เพศ: ชาย
  • muslims united together
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อมุสลิมมองมุสลิม--พันทิป
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: พ.ค. 10, 2012, 07:01 PM »
0
hททp://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y12071703/Y12071703.html นี่คับ
Berkurun lama pergi menjauh
wajah ku lihat di dalam mimpi,
Kalau dah kasih sesama sungguh
kering lautan tetap ku nanti,

Ilmu yg tdk digunakan ibarat pohun kayu yg tidak berbuah

ออฟไลน์ amad 254

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 176
  • Respect: +48
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อมุสลิมมองมุสลิม--พันทิป
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: พ.ค. 11, 2012, 12:47 AM »
0
อัสลามุอะลัยกุมครับ
  ข้อความด้านบน เป็นมุมมองเพียงตอบสนองความต้องการทางดุนยาเท่านั้น การพัฒนาที่เป็นการพัฒนาจริงๆ
 คือการพัฒนาจิตใจให้บริสุทธิ์ปราศจากอารมณ์ใฝ่ต่ำ หรือความต้องการที่ฝืนบทบัญญัติที่ทุกๆคนถูกบังคับใช่(ต่อมุสลิม) การพัฒนาต่างๆนั้นจุดมุ่งหมายหรือเป้าหมายที่แท้จริงคือการสะดวกหรือทำให้สะดวกต่อการอิบาดัตและการใช้ชีวิตประจำวันที่ไม่ฝืนกฎ ซาเราะห์ของศาสนาที่วางไว้ เช่น การสร้างไฟฟ้าเพื่อการเรียนรู้ในช่วงค่ำคืน การสร้างรถยนต์เพื่อการไปมาหาสู่หรือไปมัสยิด  การสร้างถนนเพื่อความสะดวกสัญจรในการไปมัสยิดหรือซื้อสินค้าประจำวัน อื่นๆอีกมากมายเพื่อความสะดวกในการใช้ชีวิตเพื่อการทำอิบาดัตที่สมบูรณ์
          จุดมุ่งหมายที่มุสลิมหรือศาสนาอิสลามบ่งบอกนั้น การใช้ชีวิตอย่างสงบสุขถาวรในโลกหน้า โดยการใช้ความอดทน อดกลั่นต่อสภาพต่างๆบนดุนยาในการใช้ชีวิต เพื่อรางวัลอันยิ่งใหญ่ในโลกหน้าจากพระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่รางวัลโนเบลที่ถูกกำหนดโดยสิ่งถูกสร้าง 
         แต่ฉะนั้น อิสลามก็ส่งเสริมต่อการพัฒนาการต่างๆ และมีนักวิทยาศาสตร์มากมายที่ถูกปกปิดไว้ การเรียนรู้ในโลกสากลนั้นย่อมเป็นไปตามแนวทางที่คนควบคุมนั้นบังคับไปในทางที่เขาต้องการ ก็คงรู้ๆกันว่า ใครเป็นคนควบคุมระบบต่างๆของสากลไว้ แน่นอนต้องเป็น ยิว การที่มุสลิมไม่อ่อนโอนตามโลกสากล ย่อมดีอยู่แล้วต่อศาสนา

        หากมีคำถาม ว่า ทำไมมุสลิมต้องเป็นผู้นำทางสากล เพื่อให้ผู้คนต่างๆยอมรับในศาสนาอิสลามและเข้ามาอยู่ในศาสนาอันเที่ยงธรรมและแท้จริงหรือ ?  ถ้าเป็นอย่างนั้นแน่นอนย่อมเป็นการดีอย่างมาก แต่ถ้ามุสลิมนั้นเป็นผู้นำทางสากลเพื่อให้ผู้คนยกย่อง สรรเสริญนั้นเหมือนพวกยิว ท่านคิดว่า ศาสนาส่งเสริมหรือ? บทสรุปคือ การเป็นตัวของตัวเองปฎิบัติตามแนวทางที่ถูกบัญชาใช้นั้น ย่อมเป็นการดีกว่าอย่างแน่นอน ใครจะอยู่ถาวรบนดุนยา? แม้แต่ดุนยายังสลายไปตามกาลเวลา  และการศึกษานั้นมุสลิมไม่ได้เน้นถึงการศึกษาสามัญ แต่เน้นที่การศึกษาศาสนาเพื่อเรียนรู้ถึงความเป็นจริงในอดีต ปัจจุบัน และที่จะเกิดขึ้นในอนาคต(หลังความตาย)และการปฎิบัติตัวให้เหมาะสมอยู่ในกฎระเบียบ เพื่อความผาสุขในโลกหน้า

         ศาสนาอื่นๆมีหรือที่บอกอย่างชัดเจนถึงเรื่องราวหลังความตาย?  การเรียงลำดับของการศึกษา ที่ศาสนาวางไว้ การเรียนรู้ฟัรดูอีนหรือการเรียนรู้ที่จะปฎิบัติตัวหรือทำอิบาดัต(เคารพภักดี) ให้ถูกต้องเป็นวายิบ เป็นขั้นที่1 ของการศึกษาที่ทุกๆต้องเรียนหากไม่เรียนก็มีบทลงโทษของศาสนา ส่วนการเรียนรู้สามัญนั้นเป็นเพียงฟัรดูกีฟายะห์ ที่ถูกกำหนดไว้เพียง1ในคนหมู่มากในชุมชนเดียว ก็พ้นการบทลงโทษของศาสนาแล้วซึงมีรายละเอียดอีกมาก ก็ต้องเรียนรู้เพิ่มเติมกันไป การเรียนรู้หรือตามในสิ่งหนึ่งสิ่งใดสิ่งสำคัญต้องคำนึงถึงผลได้ผลเสียที่ศาสนากำหนดไว้ ถ้าดีต่อศาสนาหรือการปฎิบัติตามศาสนาก็สมควรอย่างยิ่งยวด หากไม่ใช่อย่างนั้นแล้วคงต้องตัดทิ้งไปย่อมดีกว่า

                                                                               วัสลามครับ 

ออฟไลน์ comel sokmo

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 97
  • เพศ: ชาย
  • muslims united together
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อมุสลิมมองมุสลิม--พันทิป
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: พ.ค. 11, 2012, 04:28 AM »
0
 :salam:

คือผมคิดว่าคนที่เจตนาทำเขียนบทความนี้เขาก็มีความตั้งใจที่จะโจมตีอิสลาม

แต่ก็ต้องยอมรับว่าอิสลามเดียวนี้อ่อนแอ่ แต่มันก็มีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้อิสลามนั้นอ่อนแอ คือ พวก ยาฮูด และ นาซอรอ พวกนี้ต้องการขัดขวางความเจริญของอิสลาม จึงทำทุกอย่าง ที่จะทำให้ประเทศอิสลาม และ ประชาชาติ อิสลามนั้น อ่อนแอ ไม่ว่าจะเป็น ทางตรงหรือทางอ้อม ทางตรงเราก็เห็นอย่างชัดเจน ตั้งแต่อดีตนั่นที่อณาจักร อุสมานียะห์ได้ล่มสลาย ดินแดนที่เคยอยู่ภายใต้การปกครองของอุสมานียะห์ก็ได้ถูกแบ่งเป็นประเทศเล็ก ประเทศน้อย โดยมีประเทศตะวันตกเข้ามาเป็นอณานิคมของประเทศเหล่านั้น ซึ่งทำให้ประเทศเหล่านั้นอ่อนแออย่างมาก จนสามารถไล่ชาวปาเลสไตน์ออกจากปาเลสไตน์ และตั้งประเทศอิสราเอล และการกระทำนั้นก็มีเรื่อยมา ประเทศอัฟกานิสถานที่ผ่านการสู้รบกับโซเวียตจนสามารถไล่โซเวียตออกไปได้ ตอลีบันได้ตั้งรัฐบาลได้ประมาณ 4 ปี แต่ถูกสหรัฐเข้ามาสร้างความตกต่ำให้กับคนอัฟกัน แล้วไหนล่ะที่จะได้พัฒนา. ต่อมาอิรักที่ถูกคว่ำบาตรหลายปี(ขัดขวางความเจริญ) ก็มาถูกจัดการอีก. ต่อมาสุดท้ายแต่คงไม่ใช่ท้ายสุด ลิเบียก็ถูกคว่ำบาตรเหมือนอิรัก หลักจากนั้นถูกยกเลิกการคว่ำบาตร ประเทศได้พัฒนาเร็วมาก แต่ท้ายที่สุดจุดจบก็มา เมื่อนาโต้บุกเข้าโจมตีลิเบีย แล้วนั้งสูบน้ำมันในลิเบียอย่างหนำใจ. ส่วนทางอ้อมก็มีการสร้างความปั่นป่วนต่างๆในสังคมมุสลิม ซึ่งสิ่งเหล่านี้่ล้วนสร้างความไม่สงบสุขในสังคมอิสลาม อิสลามในอดีตเคยยิ่งใหญ่ มีอณาจักรอิสลามต่างๆที่ยิ่งใหญ่ ปัญญาความรู้ต่างๆนั้นอิสลามก็มีส่วนอย่างมากที่ทำให้มีความรู้มีการต่อยอดมาจนถึงทุกวันนี้ ดังจะเห็นจากผลงานที่นักวิชาการมุสลิมได้ทำมาในอดีต หากเรามองตัวเลขที่ใช้กันทุกวันนี้นักวิชาการมุสลิมเป็นผู้คิดค้น หากไม่มีสิ่งเหล่านี้ ก็คนไม่มีคอมพิวเตอร์ดหรือเทคโนโลยีต่างๆที่ใช้กันอย่างทุกวันนี้หรอก.
Berkurun lama pergi menjauh
wajah ku lihat di dalam mimpi,
Kalau dah kasih sesama sungguh
kering lautan tetap ku nanti,

Ilmu yg tdk digunakan ibarat pohun kayu yg tidak berbuah

ออฟไลน์ amad 254

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 176
  • Respect: +48
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อมุสลิมมองมุสลิม--พันทิป
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: พ.ค. 11, 2012, 11:56 AM »
0
  อัสลามุอลัยกุมครับ

  ความคิดและความรู้สึกของผมนั้นแตกต่างจากคนอื่นๆพอสมควร  ผมคิดว่า อิสลามตกต่ำนั้น เพราะตัวเองหรือเพราะผู้ที่เป็นมุสลิมทั้งหลายไม่ดำเนินตามแนวทางที่ถูกต้อง ตามกฎเกณร์ของศาสนากำหนดไว้ หรือว่าตรงๆคือ ลืมตัวเองว่าเป็นใคร ควรเป็นอย่างไร ยาฮูดี และนัซรอนี นั้นเพียงแต่สร้างรูปแบบขึ้นมาแล้วชี้นำให้เดินตาม ไม่สามารถบังคับใครให้ตามได้ เราต่างหากที่อยากตามใจแทบขาด ขาดเขาเราแย่แน่ประมาณนั้น หากท่านลองคิดว่าสิ่งต่างๆที่ นัซรอนี และยาฮูดีสร้าง เราไม่ใช้ เราไม่ทำ เราจะอยู่ได้ไหม ผมยกตัวอย่างแค่โทรทัศ ท่านว่าบ้านใดไม่มีบ้าง

       การเรียนรู้วิธีการหรือแนวทางของ ยาฮูดี และ นัซรอนี เพื่อป้องกันจากการชี้นำต่างๆที่หลงแนวทางหรือขัดกับหลักการของศาสนาของลูกหลานหรือคนรอบข้างเท่านั้น ไม่ได้เพื่อการโจมตีหรือมุ่งหวังชัยชนะเพื่อการนำหรือปกครอง หากลองมองดูให้ดี อิสลามตกต่ำเพราะ เราไม่ดำเนินแนวทางของศาสนาอย่างแท้จริง ขาดความสามัคคี ขาดความอดทน ชอบความยิ่งใหญ่ หลงใหลในวัตถุ หลงใหลในยศต่ำแหน่ง หลงใหลเงินทอง เพื่อให้ผู้คนนับหน้าถือตา

    การทำให้ศาสนาสูงส่งขึ้นนั้น ไม่อยากแต่ต้องใช้ความอดทนอย่างสูง คือการปฎิบัติให้ดีให้ถูกต้องสมบูรณ์ตามหลักการของศาสนาและตามแบบฉบับท่านร่อซูล(ซล)ในการปฎิบัติตัว มองความผิดพลาดตัวเองเป็นหลัก คิดในแง่ดีต่อผู้อื่นเสมอ เรียนรู้ในสิ่งที่มีประโยชน์ ลดกิจกรรมเลอะเทอะต่างๆ เมื่อตัวเราดี คนรอบข้างชื่นชมเขาก็จะทำตาม เมื่อคนรอบข้างตาม คนในหมู่บ้านก็ชื่นชมและทำตาม และก็ลามไปเรื่อยๆ จนเป็นสังคมที่ดี รู้จักแยกแยะผิดถูกชั่วดี ต่างๆ แต่นะ  เป็นเพียงแค่ความคิดผมเท่านั้น ใครละจะปฎิบัติอย่างที่ว่าได้ง่ายๆ ในปัจจุบัน 

     ส่วนสิ่งที่ท่านกล่าวมานั้นเป็นเพียงแค่รูปแบบภายนอกเท่านั้น การมองดูว่า ยาฮูดี และนัซรอนี ทำร้ายทำลายอิสลามอย่างไร หากลองคิดให้ลึกว่า หากมุสลิมรวมเป็นหนึ่งหรือสามัคคีเป็นหนึ่งเดียว ดุจเรือนร่างเดียวกัน ส่วนใดส่วนเจ็บส่วนต่างๆ ก็รู้สึกด้วย ท่านว่า ยาฮูดี และนัซรอนี สามารถทำลายอิสลามได้หรือเปล่า? 

     ผมว่าแค่ในหมู่บ้านเดียวกัน อิสลามด้วยกัน ยังแทบฆ่ากันให้ตายเพื่อให้ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองบอกกล่าว และในสังคมสากลท่านคิดว่าเป็นอย่างไร ในประเทศซีเรีย มุสลิมทำลายมุสลิมด้วยกัน แล้วอะไรคือต้นเหตุหรือจุดหมายในการกระทำนี้  สุดท้ายก็ต้องกลับมามองตัวเอง มองคนรอบข้าง มองดูการปฎิบัติของเราดีหรือยัง ยังไงเราก็ไม่สามารถบังคับหรือควบคุมสิ่งต่างๆในโลกให้อยู่ความคิดตัวเองได้ เป็นการดีหากมอบหมายให้พระผู้เป็นเจ้า พร้อมด้วยการดุอา ให้พี่น้องมุสลิมนั้น พ้นจากภัยร้ายต่างๆที่คุกคาม พร้อมกับทำหน้าที่ที่ควรทำหรือได้รับอามานะห์ให้ดีให้สมบูรณ์ ผู้นำก็ควรนำ ผู้ตามก็ควรตาม นักเรียนก็ควรเรียน ครูอาจารย์ก็ควรสอนให้ดีให้ถูกต้อง หน้าที่ใครก็หน้าที่คนนั้น  ผู้ไม่รู้แต่อยากเป็นผู้รู้แต่ไม่เรียนนั่งว่านั่งสอนในสิ่งที่ตัวเองรู้ไม่จริงเป็นส่วนหนึ่งทำให้อิสลามตกต่ำสมัยนี้มีเยอะ  hehe ท่านว่าจริงไหม

                                                        วัสลามครับ

   

ออฟไลน์ ibnu ismail

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 8
  • Respect: +5
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อมุสลิมมองมุสลิม--พันทิป
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: พ.ค. 11, 2012, 04:26 PM »
+1
 
     ชาวตะวันตก ได้ใช้ความพยายามทั้งสติปัญญาและร่างกาย จนทำให้พวกเขาสามารถสร้างความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุด้วยกับสิ่งต่างๆขึ้นมาได้ เช่น วิทยุ โทรทัศน์ เครื่องบิน ฯลฯ พวกเขาเหล่านั้นตั้งใจ และมุ่งมั่นในการใช้สติปัญญาที่มี จนกระทั่งทำให้เราเห็นได้ว่า พวกเขาไม่ทันที่จะคิดถึงเรื่องพระเจ้าเลย.ทุกวินาทีพวกเขาใช้สติปัญญาในการคิดค้นผลิตเครื่องมือต่างๆรุ่นแล้วรุ่นเล่า จนลืมที่จะนึกถึงผู้สร้าง ผู้ที่ให้สติปัญญาแก่พวกเขานั่นเอง.نعوذ بالله من ذلك ถ้าเปรียบเทียบกับมุสลิมเราแล้ว เป็นเพราะอิสลามไม่ได้ให้เราจริงจังกับการใช้สติปัญญาให้กับเรื่องเหล่านั้น  จึงทำให้เราไม่ลืมในพระผู้เป็นเจ้า ไม่ถึงกับทำให้เราตกอยู่ในกุฟูรต่ออัลลอฮ ซบ. เพียงแต่ว่า เป็นเพราะพวกเขาจริงจัง หรือเรียกได้ว่าถวายทั้งชีวิตให้กับการขวนขวายความสุขดุนยา เขาจึงมีความก้าวหน้า(ทางวัตถุ)มากกว่าเรา  ลองถามตัวเราเองดูซิว่า เราต้องการขวนขวายความสุขสบายของดุนยาเหมือนพวกเขาขนาดนั้นเลยเชียวหรือ? ถ้าต้องการ วิธีมันง่ายมาก นั่นคือ ทำเหมือนกับพวกเขา จงมุ่งมั่นและจริงจังกับมัน แล้วก็ลืมอัลลอฮ์ ซบ. แต่จงจำไว้เถิดว่า นรกรอเราอยู่.ด้วยเหตุนี้ อัลลอฮ์ ซบ. ได้ตรัสไว้ในอัลกรุอ่าน เพื่อที่จะไม่ให้เราถูกครอบงำกับคนเหล่านั้นว่า
  وَلَا تُعْجِبْكَ أَمْوَالُهُمْ وَأَوْلَادُهُمْ ۚ إِنَّمَا يُرِيدُ اللَّهُ أَن يُعَذِّبَهُم بِهَا فِي الدُّنْيَا وَتَزْهَقَ أَنفُسُهُمْ وَهُمْ كَافِرُونَ
   “และจงอย่าให้ทรัพย์สมบัติของพวกเขาและลูก ๆของพวกเขา เป็นที่พึงใจแก่เจ้า แท้จริงอัลลอฮ์ ทรงต้องการที่จะลงโทษพวกเขาด้วยสิ่งเหล่านั้นในโลกนี้ และที่จะให้ชีวิตของพวกเขาออกจากร่างไป ขณะที่พวกเขาเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาเท่านั้น” จากอายะห์นี้ เราสามารถเข้าใจได้ว่า อัลลอฮ ซบ. ตั้งใจ หรือพูดง่ายๆคือ แกล้งทำให้คนกาฟิรมีความเหนือกว่ามุสลิมในด้านการใช้สติปัญญา (กับเรื่องดุนยา) เพื่อที่จะทดสอบบ่าวของพระองค์ว่าสามารถอดทนได้แค่ไหน จะยังคงรำลึกถึงและทำตามคำสั่งพระองค์อีกหรือไม่ แต่ถ้าเราไม่ผ่านบดทดสอบนี้ แน่นอนเราก็จะหลงระเริง หมกมุ่นกับสิ่งเหล่านั้น และจะพยายามหาทางเอาชนะคนกาฟิร เพื่อที่ให้ได้มาซึ่งความสุขเพียงน้อยนิดของโลกดุนยา.หากพวกเขามีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโลโลยี อุมมัตอิสลามก็จะขวนขวายสิ่งนั้นด้วย มิหนำซ้ำยังจะไปแข่งกับพวกเขาอีก สุดท้ายอุมมัตอิสลามก็จะลืมอัลลอฮ์ ซบ. เช่นเดียวกับพวกเขาเหล่านั้นที่ลืมพระผู้เป็นเจ้า ผู้สร้างที่แท้จริง วัลลอฮุอะอฺลัม
     

   
   
         
     
(فقد كان سفيان الثوري يقول: (قالت لي والدتي: يا بني، لا تتعلم العلم إلا إذا نويت العمل به، وإلا فهو وبال عليك يوم القيامة

ออฟไลน์ Carrothz

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 120
  • Respect: +24
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อมุสลิมมองมุสลิม--พันทิป
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: พ.ค. 12, 2012, 12:32 PM »
+1
มุสลิมเราต้องปฏิบัติตามหลักศาสนามากขึ้นนะครับ แต่ผมไม่คิดว่าเราต้องทำตัวเป็นนักบวชตัดขาดซึ่งการเรียนรู้ทางเทคโนโลยี และความก้าวหน้าต่างๆ เราใช้เท่าที่จำเป็นโดยทำให้เทคโนลียีเป็นของเรา เป็นสิ่งอำนวยความสะดวกแก่เรา ไม่ใช่ทุ่มเทจนเราเป็นของเทคโนโลยี มีชีวิตอยู่เพื่อเทคโนโลยี

แต่ตอนนี้ ผมรู้สึกว่า เหตุการณ์จะค่อนข้างลักลั่นย้อนแย้งในสังคมมุสลิมบางส่วนพยายามปฏิเสธความเจริญก้าวหน้า เทคโนโลยี วิทยาการต่างๆ โดยคิดว่า นั่นเป็นยิว นั่นเป็นคริสต์ เพื่ออะไร? ทั้งๆ ที่วิทยาการหลากหลายของพวกยิว และคริสต์ มันมีพื้นฐานมาจากนักวิชาการอิสลามทั้งนั้น แทนที่เราจะใช้ประโยชน์เทคโนโลยีต่างๆ ให้มันส่งผลดีต่อศาสนา ดันกลายเป็น ปฏิเสธหมด ประหนึ่งว่า จะกลับไปจุดตะเกียง ขี่อูฐ เหมือนเมื่อก่อน ซึ่งมันไม่น่าใช่

กับอีกบางส่วนก็ละทิ้งทุกอย่างเพื่อก้าวให้ทันโลกโดยไม่สนใจความเป็นจริง ทิ้งข้อปฏิบัติ ข้อห้ามของศาสนาเพื่อก้าวหน้าตามกระแส ทั้ง ๆ ที่บางกระแสนั้นเป็นเพียงกระแสที่สร้างขึ้นเพื่อหลอกคน

เมื่อมันไม่สมส่วนกันไปกันคนละทิศละทางสังคมเราจึงไม่ไปไหนเสียที

ผมเข้าใจเจ้าของบทความนะครับ ว่าเขามองอะไร เขามองว่าเราได้แต่ทำตามรูปแบบ แต่ไร้จิตวิญญาณในการลงมือปฏิบัติ เราไม่ได้เอาอิสลามมาใช้ในชีวิตประจำวัน การดำรงชีวิตตามแบบอย่างนบีนั้นสำคัญนะครับ ตลอด 24 ชั่วโมง

ผมขอพูดถึงการทำงานในชีวิตประจำวันก็แล้วกัน ถ้าเรา ซื่อสัตย์ ขยันอดทน ไม่คดโกง ทำตามแบบอย่างของท่านนบี สิ่งดีดีย่อมเกิดขึ้น เราก็พัฒนาไปในทางที่ดี ถ้าใครเป็นนักวิทยาศาสตร์ หรือเป็นสถาบันที่ขายเทคโนโลยี ก็มีเป้าหมายในการทำผลิตภัณฑ์ที่เอื้ออำนวยต่อศาสนา สิ่งเหล่านี้คือสังคมมุสลิม

เราไม่ควรปฏิเสธเรื่องศาสนาที่มีส่วนในชีวิตประจำวันออกไป

หรือเราจะนั่งอ่านกุรอานทั้งวัน ละหมาดตลอด ถือศีลอดไป แล้วไม่ประกอบอาชีพ หรือใช้ชีวิตด้านอื่นเลย อิสลามสอนเราแบบนั้นหรือเปล่า?

ออฟไลน์ WIND

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 220
  • เพศ: ชาย
  • MKM
  • Respect: +30
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อมุสลิมมองมุสลิม--พันทิป
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: พ.ค. 12, 2012, 03:28 PM »
+1
เทคโนยีก็ดีนะ ความเจริญก็ดีเหมือนกัน แต่ถ้าสังเกตดีๆ ทั้งคู่จำทำให้คนต่ำทรามขึ้นทุกวันๆ
Dua.....The weapon of believer

ออฟไลน์ comel sokmo

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 97
  • เพศ: ชาย
  • muslims united together
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อมุสลิมมองมุสลิม--พันทิป
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: พ.ค. 12, 2012, 07:46 PM »
0
 :salam:

ในสังคมตะวันตกศาสนาถูกแยกออกจากชีวิตมนุษย์โดยสิ้นเชิง(ระบอบเซคิวล่า) พวกเขาจะเรียนแต่สิ่้งทางโลก แต่ในสังคมมุสลิมอย่างบ้านเรา จะมีเรียนกันควบคู่กันไปทั้งศาสนาและสามัญ อย่างตาดีกาก็มีสอนกันทุกหมู่บ้าน ส่วนระดับมัธยม ก็มีเรียนศาสนาครึ่งสามัญครึ่ง แต่พอมาระดับมหาลัยก็จะเริ่มแยกแล้ว อันที่จริงมันไม่น่าจะเป็นอย่างงั้น . ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันก็ต่างจากสังคมของตะวันตก .

ในความคิดผมน่ะ.....

เราต้องทิ้งเทคโนโลยีกระนั้นหรอ เพื่อให้สังคมมุสลิมไม่ตกต่ำ?, จะต้องยอมแพ้กาเฟรไปเสียทุกอย่างเพราะว่าเป็นแค่ดุนยา? อย่างสมัยนบีก็มีสงคราม สมัยนั้นกาเฟรมีดาบ มุสลิมก็ดาบ กาเฟรมีเสื้อเกราะ มุสลิมก็มีเสื้อเกราะ กาเฟรมีธนู มุสลิมก็มี คือเท่าเทียมกัน แต่สมัยนี้  ทุกคนต่างเห็นแล้วว่ามันเป็นอย่างไร.
Berkurun lama pergi menjauh
wajah ku lihat di dalam mimpi,
Kalau dah kasih sesama sungguh
kering lautan tetap ku nanti,

Ilmu yg tdk digunakan ibarat pohun kayu yg tidak berbuah

ออฟไลน์ สุไลมาน

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 44
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อมุสลิมมองมุสลิม--พันทิป
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: พ.ค. 21, 2012, 06:10 PM »
+1
พวกเขารู้แต่เพียงผิวเผินในเรื่องการดำรงชีวิตในโลกนี้ และพวกเขาไม่คำนึงถึงการมีชีวิตในปรโลก (ซูเราะห์อัรรูม อายะที่ 7)

ออฟไลน์ ssnks

  • เพื่อนแรกพบ (^^)/
  • *
  • กระทู้: 1
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อมุสลิมมองมุสลิม--พันทิป
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: พ.ค. 22, 2012, 02:30 PM »
0
ขอบคุณครับ

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อมุสลิมมองมุสลิม--พันทิป
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: ก.ย. 02, 2012, 02:15 AM »
0
คำว่า "พัฒนา" คำนี้...คืออะไร...
ข้าน้อยเชื่อว่า มันเป็นโจทย์ที่คนทุกยุคอาจให้ค่าและความหมาย
ที่แตกต่างกัน...บางประเทศประกาศตนว่า เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว
ข้าน้อยพยายามมองมาตลอดว่า เขามีดีอะไรหนอ ถึงกล้าประกาศตน
ว่าเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว และอะไรที่เขาเรียกว่าพัฒนาแล้ว...

เราต้องมองเขาให้หมดว่า เขาใช้อะไรเป็นไม้บรรทัดวัด
หรือจะพูดให้ง่ายก็คือ เขาใช้อะไรเป็นบรรทัดฐานวัดค่าสิ่งต่างๆ...

ถ้าเขากับเราใช้ไม้บรรทัดบนบรรทัดฐานที่แตกต่างกัน
ผลที่ออกมาก็ย่อมไม่เหมือนกันและไม่เท่ากัน...

สุดท้าย...สิ่งที่เราค้นหาก็คือ...อะไรคือค่าที่แท้จริงกันแน่...

มนุษย์แต่ละคนให้ค่าแต่ละอย่างแตกต่างกัน...

สำหรับข้าน้อย...คนเคยเดินหลงทาง...พลัดหลงไปยังดินแดน
ที่เรียกตนเองว่าเป็นดินแดนที่พัฒนาแล้ว...ข้าน้อยเห็น
และได้ยินสิ่งที่พวกเขาคิดกัน...ซึ่งมันไม่เหมือนกับที่เราคิด
เพราะเขาไม่คิดว่าความคิดเรามันเป็นความคิดที่พัฒนา...
เขาว่ามันล้าหลัง...ข้าน้อยไม่สน อยากคิดอย่างไรก็ช่างเขา...
เราคือเรา...เรารู้ว่าเรามาที่นี่ทำไม และเราก็รู้ด้วยว่า ต่อไปเราจะไปที่ไหน
เรามีเป้าหมายชีวิตที่ชัดเจนแล้ว ก็เลยไม่อยากให้ใครทำให้
มันมัวหมอง...มันจึงเป็นหน้าที่เราที่ต้องยืนหยัดต่อสู้เพื่อที่จะเดิน
ไปสู่เป้าหมายให้ได้...แม้หลายเสียงตะโกนบอกว่า มันไม่มีแสง
อยู่ตรงปลายอุโมงค์หรอก...เราจะสนไปทำไม ในเมื่อเรารู้ว่าดีว่า
ใจเรานั้นมีแสงสว่างหรือไม่...หนทางที่เดินไปต่อให้มืดมิดก็ไม่เป็นไร
ขอแค่ให้ใจเรารู้แจ้งแก่ใจว่า เรากำลังทำอะไร และจะไปที่ไหน...
และอะไรคือสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตเรา...

สำหรับข้าน้อย...หากข้าน้อยไม่เชื่อท่านนบี ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
ไม่เชื่อว่าท่านรับวะฮีย์มาจากอัลลอฮฺ...หากข้าน้อยไม่ศรัทธาในอัลลอฮฺ
หากข้าน้อยไม่เชื่อว่าโลกหน้ามีจริง...และไม่เชื่อว่า
โลกหน้านั้นเป็นโลกอันนิรันดร์
ข้าน้อยคงเลือกแล้วที่จะเดินบนหนทางสายอื่นที่จะทำให้ตัวเอง
ได้ยืนโดดเด่นบนดุนยาอย่างไม่ต้องเกรงกลัวอะไร...
และคงทำทุกอย่างเพื่อให้ดุนยาเป็นสวรรค์ของตนเอง...
โดยการที่ไม่ต้องสนใจว่าโลกนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง
โดยไม่สนใจว่าตัวเองต้องทำลายธรรมชาติและทุกสิ่งที่อัลลอฮฺสร้างมา
เพียงเพื่อสนองความต้องการ สนองนัฟซูของตนเองเพียงแค่นั้นก็พอ...
และดุนยาคงกว้างขวางมากกว่านี้...คงไม่เหมือนคุกอย่างที่รู้สึกอยู่...
เกิดมา ก็เพียงเพื่อ กิน นอน สืบพันธุ์ และก็ทำทุกอย่างให้มีชัย
เหนือผู้ที่อ่อนแอกว่าอย่างสัตว์ชนิดอื่นๆไปวันๆ จนกว่าจะตาย...

ปล.การพัฒนาจิตใจนั้น เป็นสิ่งสำคัญ...และความรู้ในการพัฒนาด้านนี้
ข้าน้อยก็อยากรู้ว่า มีกี่มหาวิทยาลัยในโลกนี้ที่สอนหรือให้ความรู้กัน...
มหาวิทยาลัยที่ข้าน้อยเรียนจบมา มันมีแต่เรื่องของดุนยาและวัตถุล้วนๆ...
มันเป็นความรู้ที่ถ้าตายไปแล้วก็คงจบกัน...เอาไปเป็นสเบียงในโลกหน้า
ไม่ได้เลย...แต่ข้าน้อยก็ไม่ได้ปฏิเสธความรู้เรื่องดุนยาและวัตถุ
เพราะเราต้องอยู่กับมันไปจนกว่าจะตายจากมันไป...
เนื่องจากดุนยาเป็นทางผ่านไปสู่อาคิเราะห์...

อยู่ที่เราจะฉกฉวยโอกาสอะไรในโลกนี้ เพื่อที่จะเป็นสเบียงในโลกหน้า
โดยไม่ลืมว่า เราเองก็ยังคงต้องเสาะหาสเบียงเพื่อประทังชีวิต
ในโลกนี้ด้วย...แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ลำดับความสำคัญก็เป็นสิ่งที่เรา
ต้องพยายามหาให้เจอว่าอะไรมาก่อนมาหลัง...

สุดท้าย...อะไรคือจุดยืนของเรา...ข้าน้อยว่าอันนี้ต่างหากที่น่าคิดที่สุด...
เพราะถ้าเราลืมจุดยืนหรือไม่มีจุดยืน เราอาจไม่มีที่ให้ยืน
ไม่ว่าจะในโลกนี้หรือในโลกหน้า...

...สำหรับข้าน้อยพยายามบอกกับหัวใจตัวเองว่า...อัลลอฮุอักบัรฺ....
...อัลลอฮฺใหญ่สุด...

เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัว
หากผิดพลาดประการใด ก็ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย

อัลลอฮฺเท่านั้นที่รู้จริง...

วัสสลามค่ะ

"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

 

GoogleTagged