“มันเกิดขึ้นท่ามกลางการรับรู้ของนานาชาติ โลกทั้งใบต่างได้เห็นมัน” ชัยคฺอิบรอฮีม บินมุฮัมมัด อัลอุก็อยลฺ กล่าวในคุฏบะฮฺเมืองริยาฎ 1 มิถุนายน 2012...หนึ่งสัปดาห์หลังเหตุการณ์สังหารหมู่ที่ฮูละฮฺ
ขณะที่ชัยคฺมุฮัมมัด อัชชะรอฟีก็ได้คุฏบะฮฺว่า “ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ ฉันไม่เคยได้รับรู้อะไรเช่นนี้เลย และก็ไม่คิดเลยว่ามันจะถูกพานพบในประวัติศาสตร์ เหตุการณ์นี้ทำให้ฉันนึกถึงสิ่งที่พวกครูเสดได้กระทำต่อมุสลิมขณะที่เข้ายึดครองอัลกุดส์ พวกเขาเข่นฆ่ามุสลิมราวกับคนเสียสติ จนกระทั่งเลือดของมุสลิมได้เจิ่งนองท้องถนนคล้ายกับว่ามันคือสายน้ำที่ไหลท่วมเมือง”
เกิดอะไรขึ้นที่ฮูละฮฺ?
...วันเดียว เมืองเดียว กับ 109 ศพเป็นอย่างน้อย
นักวิเคราะห์กล่าวกันว่ามันคือการสังหารหมู่ในนามเจ้าหน้าที่ร้ายแรงเป็นอันดับต้นๆ ของโลกหลังสงครามโลกครั้งที่2 เคียงคู่มากับเหตุการณ์ที่ทหารสหรัฐฯฆ่าชาวบ้านเวียดนาม ณ มีไล (1968) การสังหารหมู่ผู้ลี้ภัยมุสลิมในค่ายศ็อบรอและชาตีลาของเลบานอน (1982) และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวบอสเนียของทหารเซิร์บ ในเหตุการณ์ที่รู้จักกันในนาม “การสังหารหมู่ที่เซเบรนิกา” (1995)
และใช่ – เวลานี้กับชีวิตนี้...เราต่างได้ร่วมเป็นพยานการสังหารหมู่ที่ฮูละฮฺ เมืองทางตะวันตกของดินแดนชามอันมีเกียรติ
ฮูละฮฺตั้งอยู่ทางตอนเหนือของฮิมศ์-เมืองอันเรียกได้ว่าเป็นศูนย์กลางของกลุ่มต่อต้านประธานาธิบดีบัชชาร อัลอะสัด ท่ามกลางบรรยากาศแห่งการต่อสู้ในซีเรียที่ดำเนินมาร่วมปีกว่า
ในคืนวันแรกๆ ของการต่อสู้ ฮูละฮฺยังไม่ได้มีบทบาทมากนักในหน้าประวัติศาสตร์ทีกำลังถูกเขียนด้วยเลือดและเนื้อของประชาชนชาวซีเรีย แต่หลังจากเหตุการณ์ทวีความรุนแรง ฮูละฮฺซึ่งเป็นหมู่บ้านชาวซุนนะฮฺในวงล้อมของชีอะฮฺอะลาวียะฮฺก็แสดงตัวชัดเจนว่าอยู่ข้างประชาชนส่วนใหญ่ในฝ่ายต่อต้านรัฐบาลมือเปื้อนเลือด
วันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม ๒๐๑๒ อีกหนึ่งวันอีฎแห่งสัปดาห์ของเราะญับ-เดือนต้องห้ามในอิสลาม บรรยากาศของเมืองฮูละฮฺยังดำเนินไปเช่นที่มันเคยเป็นในระยะหลัง คือมีการเดินขบวนแสดงการต่อต้านรัฐบาลตามท้องถนน ทว่ายังไม่มีเค้ารอยความรุนแรงใดปรากฏขึ้นจนกระทั่งหลังละหมาดญุมอะฮฺ
เวลาบ่ายโมงเศษเศษๆ เสียงกราดยิงดังกระหึ่มขึ้นในหมู่บ้านตัลดูทางชานเมืองฮูละฮฺ
“ไม่ใช่ว่าเราไม่เคยถูกโจมตีมาก่อน” ชาวบ้านคนหนึ่งบอก “แต่คราวนี้มันผิดปกติ มีสัญญาณบางอย่างบอกเราว่าบางสิ่งกำลังจะเกิดขึ้น”
ชาวบ้านต่างหลบเข้าไปอยู่ตามอาคารบ้านเรือนที่ใกล้ตัวที่สุด แต่หลายคนก็ยังได้เห็นชายฉกรรจ์หลายร้อยคนเคลื่อนตัวเข้ามาบริเวณหมู่บ้าน ให้ข้อมูลตรงกันว่าพวกเขาเป็นส่วนผสมของกองกำลังรัฐบาลกับ “ชะบีฮะฮฺ – หน่วยไล่ล่าโหดเหี้ยมที่ทำงานรับใช้บัชชารโดยไม่ขึ้นตรงต่อกฎหมายใดใด”
เกือบสี่โมงเย็น กว่าเสียงกระสุนชุดสุดท้ายจะเงียบลง แต่ไม่ได้หมายความถึงการจบลงของเรื่องราวสยองขวัญ ในทางกลับกัน...มันเพิ่งเริ่มต้นขึ้น !
ช่วงเวลาย่ำเย็นนั้นเองที่พวกชะบีฮะฮฺเริ่มย่างกรายเข้าไปตามบ้านเรือนในตัลดูและหมู่บ้านใกล้เคียง ชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์เล่าว่า พวกเขารวมตัวกันเคลื่อนมาจากหมู่บ้านของชาวชีอะฮฺที่รายล้อมหมู่บ้านของชาวซุนนะฮฺในฮูละฮฺเอาไว้
“เรามองออกไปนอกบ้าน เห็นพวกทหารกำลังเข้าตรวจค้นบ้านข้างๆ เสียงกระสุนดังรัวใส่บ้านหลังนั้นเมื่อพวกเขาพยายามที่จะปิดประตูไม่ให้พวกทหารเข้าไป แล้วไม่กี่อึดใจต่อมา เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นที่บ้านของเรา” เราะชา หญิงสาวชาวฮูละฮฺ วัย ๒๙ ปีเล่า “พ่อของฉันไปเปิดประตู ขณะที่ฉันถูกลากตัวไปรวมกับผู้หญิงคนอื่นๆ ในบ้านที่ห้องหนึ่ง พวกเขาเริ่มทำร้ายพ่อ ก่อนจะพาตัวท่านเข้ามาในห้องที่เราอยู่ แล้วจ่อยิ่งพ่อต่อหน้าพวกเรา ฉันเห็นสมองของพ่อไหลออกมากับตาตัวเอง”
เราะชาก็ถูกยิงเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ในบ้าน เธอล้มลงกับพื้น บาดแผลนั้นไม่ร้ายแรงพอจะคร่าชีวิต เพียงแต่นำความสนใจจากพวกผู้บุกรุกให้พ้นไปจากเธอ
“พวกมันคนหนึ่งถามอีกคนว่าเราจะทำยังไงกับพวกเด็กๆดี แล้วคำตอบก็คือ...ยิงมันทิ้งให้หมด แล้วค่อยฆ่าพวกผู้ใหญ่ตาม”
กว่าเราะชาจะสามารถเงยหน้าขึ้นมาได้ เธอก็พบว่าพี่สาวทั้งสี่คนของเธอรวมถึงพี่สะใภ้อีกคนที่กำลังตั้งท้องถูกฆ่าตายแล้วทั้งหมด
หญิงชราอีกคนเล่าให้เจ้าหน้าที่ของฮิวแมนไรท์วอชฟังว่า “ฉันอยู่ในบ้านกับหลานชาย 3 คน ลูกสาว 3 คน แล้วก็ลูกสะใภ้ ตอนนั้นฉันอยู่ในห้องของตัวเอง ได้ยินเสียงผู้ชายมาตะคอกอยู่หน้าบ้าน ฉันซ่อนตัวอยู่หลังประตู หลังจากนั้นประมาณ 3 นาที ก็ได้ยินเสียงหวีดร้องของคนในครอบครัว หลานเล็กๆของฉันร้องไห้กันระงม แล้วฉันก็แทบเข่าทรุดเมื่อได้ยินเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด รอกระทั่งแน่ใจว่าพวกทหารจากไปแล้ว ฉันจึงออกมาจากห้อง และพบว่าทุกคนในบ้านตายหมดแล้ว พวกเขาถูกจ่อยิ่งทั้งตามร่างกาย และที่หัว”
ขณะที่เด็กชายวัย 10 ขวบเล่าว่า “ผมอยู่บ้านกับแม่และป้าตอนที่ได้ยินเสียงปืนดังรัวหลายนัด เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมได้ยินเสียงปืนดังและมากขนาดนั้น แม่รีบพาผมไปซ่อนในยุ้งข้าว ผมได้ยินเสียงตะโกนของผู้ชายหลายคน ได้ยินเสียงร้องไห้อ้อนวอนของชาวบ้านโดยเฉพาะพวกผู้หญิง ผมพยายามมองออกไปนอกหน้าต่างของยุ้งข้าว เห็นผู้ชายตัวโตๆ หลายคนสวมชุดเหมือนทหารบุกเข้าไปในบ้านเรา ไม่กี่นาทีพวกเขาก็ออกไปแล้วเดินข้ามถนนหน้าบ้าน ตรงนั้น ผมเห็นชะฟีก-เพื่อนของผมยืนอยู่คนเดียว เขาอายุ 13 ปีเองครับ พวกทหารลากเขาไปที่มุมหนึ่ง ค้นตัว แล้วก็เอาปืนจ่อหัวเขาก่อนลั่นกระสุน แม่และพี่สาวอายุ 14 ปีของเขาวิ่งออกมาจากบ้านพร้อมกับร้องไห้ ทหารพวกนั้นเลยยิงทั้งสองคนด้วย” แม่ของเด็กชายยืนยันข้อมูลเดียวกันนี้กับเจ้าหน้าที่
ลำพังการกราดยิงสุ่มโดยไม่สนใจว่าใครเป็นชาวบ้านก็นับว่าเป็นเรื่องโหดเหี้ยมอย่างยิ่งแล้ว ทว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นชั่ววันเดียวในฮูละฮฺกลับหินชาติกว่านั้น มันไม่ใช่เพียงสุ่มยิ่งกราด แต่หลักฐานทั้งหมดบอกตรงกันว่า การฆาตกรรมครั้งนี้เป็นไปอย่างตั้งใจ-บรรจง เด็กและผู้หญิงจำนวนมากที่เสียชีวิตถูกยิงจ่อในระยะประชิด
เดอะไทมส์มีภาพชาวเมืองฮูละฮฺที่ไร้ชีวิตอยู่ในมือของพวกเขาจำนวนหนึ่ง ไม่สามารถจะนำออกเผยแพร่ได้ด้วยเหตุผลด้านความร้ายแรงของรายละเอียดภาพ แต่พวกเขาก็มีความพยายามที่จะอธิบายภาพเหล่านั้นด้วยตัวอักษร
“ภาพหนึ่งเป็นรูปเด็กหญิงตัวเล็กหน้าหวาน อายุไม่น่าจะเกิน ๒ ขวบ” ในรายงานข่าวระบุ “เธอถูกห่อหุ้มด้วยผ้าสีขาวสะอาด กะโหลกศีรษะเกินครึ่งของเธอแหลกละเอียด น่าจะมีกระดูกชิ้นใหญ่ๆ เหลืออยู่สักชิ้นเดียวเท่านั้นสำหรับศีรษะเล็กๆ ที่มีแผลลึกใหญ่เลือดท่วมของเธอ”
“อีกรูปเป็นเด็กผู้ชายอายุราว 6 หรือ 7 ขวบ ผ้าที่คลุมศพของเขาแยกเปิดทำให้มองเห็นใบหน้าราวเขาเพียงกำลังเคลิ้มหลับ แต่ด้านหลังของศีรษะของเขาแตกกระจุยเหมือนยอดเปลือกไข่ที่ถูกต้มจนเดือด สมองของเด็กชายไหลมากองอยู่บนผ้าที่หุ้มหลังศีรษะนั้น”
“รูปที่สามเป็นเด็กหญิงน่าตาน่าเอ็นดู ริมฝีปากเธอเหยียดออกคล้ายจะแย้มยิ้ม เหนือดวงตาขวาขึ้นไปเล็กน้อยเป็นหลุมขนาดใหญ่ของรอยกระสุน ห้อมล้อมด้วยเนื้ออ่อนสด และกระดูก”
เจ้าหน้าที่ที่ได้เข้าไปดูกองศพเรียงรายยังเล่าด้วยว่า “บางศพนั้นเป็นเพียงเด็กทารกที่ไม่ได้ใส่อะไรนอกจากผ้าอ้อม ขณะที่ชายคนหนึ่งอุ้มร่างของเด็กอีกคนที่มีศีรษะเพียงครึ่งเดียวเข้ามา เด็กบางคนมีร่องรอยถูกมีดกรีดที่หน้า มีคนหนึ่งที่จมูกถูกตัดด้วยมีดหรือของมีคมสักอย่าง นี่คือเด็กๆ จำนวนอย่างน้อย 49 คน ที่ถูกสังหารในฮูละฮฺ ไม่ใช่ด้วยการกราดยิงสุ่ม แต่ด้วยการเอามีดเชือดอย่างตั้งใจ หรือไม่ก็จ่อยิงในระยะเผาขน”
นี่เป็นอีกครั้งที่ชั่วชีวิตของเราได้พานพบความตายอย่างทารุณของพี่น้องร่วมสายเชือก อีกครั้งที่หน้าประวัติศาสตร์ต้องถูกเขียนขึ้นด้วยเลือดของมุสลิม อีกครั้งที่เศษชิ้นของเรือนร่างเราเกลื่อนกระจายอยู่ต่อหน้าต่อตา และก็อีกครั้งที่เราจะสะเทือนใจอยู่สักสามนาทีหรือเต็มที่ก็สามวัน แล้วทุกอย่างก็กลับเป็นเหมือนเดิม เพียงเพื่อจะเสียเวลาอีกสามนาทีของชีวิตเพื่อเจ็บปวดกับอวัยวะชิ้นต่อๆ ไปที่จะถูกหั่นเฉือน
มันเป็นตลกร้ายนะ...ร้ายมากๆ โลกก็รู้ ก็เห็น ก็ได้ยินมหกรรมการฆ่าครั้งนี้อย่างชัดเจนผ่านประจักษ์พยานทั้งตัวบุคคลและสารพัดเทคโนโลยีบันทึกภาพร่วมสมัย แต่ก็ไม่มีใครทำอะไรฆาตรกรได้ ยูเอ็นทำคำว่าสันติภาพหลุดจากริมผีปากเกือบทุกนาทีหน้าโพเดียม และบนโต๊ะสนทนากับฆาตรกร แต่ไม่เคยมีสันติภาพจริง-หรือแม้แต่เงา-บนท้องถนนที่ประชาชนยังถูกฆ่ารายวัน
แต่ –เท่าๆกับที่เราจำเป็นต้องเจ็บปวด- ก็เป็นเรื่องจำเป็นอย่างหนึ่งเหมือนกัน ที่เราต้องมีความหวังเสมอ เป็นหวังในผู้ที่สัญญาแน่นหนักว่าพระองค์จะทรงช่วยเหลือเหล่าปวงบ่าวผู้ศรัทธา หวังและเชื่ออย่างสุดจิตสุดใจ ในขณะเดียวกันก็ไม่ทำให้หวังนี้เป็นแต่เพียงความฝันลมๆ แล้งๆ
“ พี่น้องร่วมศาสนาของฉัน ชัยชนะจากอัลลอฮฺนั้นคือคำสัญญา เราต้องมีความเชื่อมั่นหนักแน่นในคำสัญญานี้” ชัยคฺบัดรฺ บินนาดิร อัลมิชารี อิมามอีกท่านในเมืองริยาฎได้กล่าวในคุฏบะฮฺที่อัดแน่นไปด้วยความจับใจและเสียงสะอื้น ทว่าในการมุ่งให้ความหวังท่านก็มิได้ละทิ้งการเรียกร้องให้ลงมือปฏิบัติจริง คุฏบะฮฺของท่านซึ่งเน้นเรียกร้องให้พี่น้องมุสลิมในอาหรับญิฮาดด้วยทรัพย์สินจึงมีเนื้อหาที่ท่านกล่าวอย่างแน่นหนักว่า “ทุกคำพูดที่ฉันได้พูดไป –ขอสาบานต่ออัลอฮฺ- ฉันเต็มไปด้วยความหวั่นเกรง เพราะ ณ เวลานี้ เราไม่ได้ต้องการคำพูด ไม่ได้ต้องการการอภิปราย ไม่ต้องการแม้กระทั่งคุฏบะฮฺ ทว่าเราต้องการการลงมือปฏิบัติจริง!”
“โอ้ชาม พวกท่านจะต้องชนะอย่างแน่นอน มันเป็นคำสัญญาของอัลลอฮฺ ขอท่านจงอดทน อย่าได้เร่งร้อน และอย่าคิดเป็นอันขาดว่านอกเหนือจากอัลอฮฺจะมีใครช่วยเหลือพวกท่านได้ จงรับฟังข่าวดีเถิดชามที่รัก...หากพวกท่านตายพวกท่านก็เป็นชุฮะดาอ์ หากพวกท่านมีชีวิตอยู่พวกท่านก็เป็นสุอะดาอ์ (ผู้เปี่ยมสุข)...ด้วยความช่วยเหลือของอัลลอฮฺ"
ณ วันนี้ที่พี่น้องของเราถูกหลั่งเลือดคล้ายเป็นผักปลา
เรา-ทำอะไรได้บ้าง ?
โปรดอย่าลืมพี่น้อง ณ แผ่นดินที่ถูกอธรรมในดุอาอ์ของพวกเรา..
เพิ่มเติม..