ผู้เขียน หัวข้อ: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย ตอนที่ 13 สูเราะฮฺ อัรฺเราะอฺดุ  (อ่าน 2985 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

 :salam:

คำอธิบายประกอบสูเราะฮฺ อัรฺเราะอฺดุ (الرعد   สายฟ้า R4.)

เป็นบัญญัติ มะดะนียะฮฺ มี 43 อายะฮฺ

ความหมายโดยสรุปของซูเราะฮฺ อัรเราะอฺดุ

       ซูเราะฮฺอัรเราะอฺดุ เป็นซูเราะฮฺมะดะนียะฮฺ ที่มีจุดมุ่งหมายหลักเช่นเดียวกับบรรดาซูเราะฮฺมะดะนียะฮฺทั้งหลาย คือยืนยันการให้ความเป็นเอกภาพ การเป็นรอซูล การฟื้นคืนชีพและการตอบแทน รวมทั้งขจัดความสงสัยที่พวกมุชริกีนพยายามก่อกวนอยู่เสมอ
       ซูเราะฮฺเริ่มกล่าวถึงปัญหาใหญ่คือ ปัญหาหารศรัทธาต่อการมีของอัลลอฮฺและการให้ความเป็นเอกภาพแด่พระองค์ ทั้ง ๆ ที่มีหลักฐานปรากฏชัดแจ้งอยู่แล้ว พวกมุชริกีนก็ยังปฏิเสธศรัทธาต่อคัมภีร์อัลกุรอาน และไม่ยอมให้ความเป็นเอกภาพแด่พระองค์ ดังนั้น อายะฮฺต่าง ๆ ในซูเราะฮฺนี้ จึงได้ยืนยันถึงเดชานุภาพอันสมบูรณ์ของพระองค์ ความแปลกประหลาดของสิ่งที่ถูกบังเกิดมาในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ กลางคืนและกลางวัน พืชพรรณและพืชผล ตลอดจนสิ่งอื่น ๆ ที่อัลลอฮฺคะอาลา ทรงบังเกิดมาในจักรวาล อันกว้างใหญ่ไพศาลและงดงาม
       บรรดาอายะฮฺต่อมาได้ยืนยันถึงการฟื้นคืนชีพและการตอบแทน หลังจากได้กล่าวถึงหลักฐานอย่างชัดแจ้งและแน่นอนว่า พระองค์เท่านั้นเป็นผู้สร้าง ผู้ให้บังเกิด เป็นผู้ให้มีชีวิตและผู้ให้ตาย เป็นผู้ให้คุณและให้โทษ แล้ว อัลกุรอานได้ยกตัวอย่าง 2 เรื่องสำหรับความจริงและความเท็จ เรื่องแรกเกี่ยวกับน้ำที่ไหลลงมาจากฟากฟ้าลงสู้ห้วยเหวและแม่น้ำลำธาร และได้พัดพาเอาสิ่งโสโครกลงสู่ลำธาร มีฟองน้ำลอยอยู่ข้างบน ซึ่งเป็นสิ่งไร้ประโยชน์ เรื่องที่สอง เกี่ยวกับแร่ธาตุที่ถูกนำไปหลอมแปรสภาพเป็นภาชนะต่าง ๆ และเครื่องประดับ เช่น ทองและเงินส่วนที่ปรากฏให้เห็นอยู่ข้างบนคือ ขี้โลหะซึ่งจะถูกขจัดออกไป สำหรับส่วนที่เหลืออยู่คือธาตุแท้ที่บริสุทธิ์
       พระองค์ทรงประทานน้ำลงมาจากฟากฟ้า แล้วลำน้ำต่าง ๆ ก็ไหลไปตามปริมาณของมัน กระแสน้ำได้พัดพาเอาฟองอยู่เหนือน้ำ และนั่นคืออุทาหรณ์สำหรับความจริงและความเท็จ
       ซูเราะฮฺได้กล่าวถึงลักษณะของผู้ที่มีความสุขและผู้ที่มีความทุกข์ ตัวอย่างเช่น คนตาบอดกับบคนตาดี และแจกแจงชะตากรรมของบุคคลทั้งสองประเภท แล้วได้จบลงด้วยการที่อัลลอฮฺทรงเป็นพยานแก่รอซูลของพระองค์ในการเป็นนะบีและรอซูลว่า ได้ถูกคัดเลือกและส่งมาจากอัลลอฮฺอย่างแท้จริง
       ซูเราะฮฺอัรเราะอฺดุ ถูกขนานนามเช่นนั้น เนื่องจากปรากฏการณ์แห่งจักรวาลอันน่าประหลาด ซึ่งเป็นการแสดงให้เป็นที่ประจักษ์ถึงอานุภาพและอำนาจอันปราศจากขอบเขตของอัลลอฮฺตะอาลา สำหรับน้ำนั้นอัลลอฮฺทรงบันดาลให้มันเป็นสาเหตุสำคัญแห่งการดำรงชีวิต ทรงบันดาลให้มันไหลลงมาจากก้อนเมฆด้วยเดชานุภาพของพระองค์ และในก้อนเมฆนั้นพระองค์ทรงรวมมันไว้ด้วยกัน ระหว่างความเมตตาและการลงโทษ ก้อนเมฆได้อุ้มน้ำฝนและเก็บสายฟ้าเอาไว้ด้วย สำหรับน้ำนั้นคือการให้มีชีวิตชีวา ส่วนสายฟ้านั้นเล่าก็คือการทำความพินาศ การรวมเอาสองสิ่งที่ขัดกันเข้าไว้ด้วยกันนั้น นับได้ว่าเป็นเคล็ดลับแห่งเดชานุภาพของพระองค์ ในก้อนเมฆนี้ มีทั้งน้ำและไฟ มันช่างเป็นอานุภาพของอัลลอฮฺที่ยิ่งใหญ่เสียนี่กระไร

----------------------------------------------------

เอกสารอ้างอิง
R1. The Noble Qur’an (Dr.Muhammad Taqi-ud-Din al-Hilali and Dr.Muhammad Muhsin Khan.)
R2. อัลกุรอานฉบับแปลภาษาไทย โดย มัรวาน สะมะอุน
R3. ตัฟฮีมุลกุรฺอาน(อรรถาธิบายโดย เมาลานา ซัยยิด อบุล อลา เมาดูดี แปลโดย บรรจง บินกาซัน)
R4. พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน พร้อมคำแปลเป็นภาษาไทย ศูนย์กษัตริย์ฟาฮัด เพื่อการพิมพ์อัลกุรฺ อานแห่งนครมาดีนะฮ์
R5. พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ฉบับภาษาไทย (โดย นายต่วน สุวรรณศาสน์-ฮัจยีอิสมาแอล บินฮัจยียะห์ยา)

--------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัรฺเราะอฺดุ อายะฮฺที่ 1 - 3
 



คำแปล R1.
1. Alif-Lam-Mim-Ra. [These letters are one of the miracles of the Qur'an and none but Allah (Alone) knows their meanings]. These are the Verses of the Book (the Qur’an) and that which has been revealed to you (Muhammad) from your Lord is the truth, but most men believe not.
2. Allah is He who raised the heavens without any pillars that you can see. Then, He istawa (rose above) the Throne (really in a manner that suits his Majesty). He has subjected the sun and the moon (to continue going round)! Each running (its course) for a term appointed. He regulates all affairs, explaining the Ayat (proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.) in detail, that you may believe with certainty in the Meeting with your Lord.
3. And it is He who spread out the earth, and placed therein firm mountains and rivers and of every kind of fruits He made Zawjain Ithnain (two in pairs - may mean two kinds or it may mean: of two sorts, e.g. black and white, sweet and sour, small and big, etc.) He brings the night as a cover over the day. Verily, in these things, there are Ayat (proofs, evidences, lessons, signs, etc.) for people who reflect.


คำแปล R2.
1.   อะลิฟ, ลาม, มีม, รอ เหล่านี้ล้วนเป็นโองการต่าง ๆ ของคัมภีร์(อัลกุรอาน) และสิ่งที่ถูกส่งมายังเจ้าจากองค์อภิบาลของเจ้านั้น เป็นสัจจะเสมอ
2.   อัลเลาะฮฺเป็นผู้ทรงยกชั้นฟ้า (ให้ลอยอยู่) โดยปราศจากเสาที่พวกเจ้า (สามารถ) มองมันเห็น หลังจากนั้นพระองค์ทรงอำนาจเหนือบัลลังก์(ทรงบริหารโลกทั้งมวล) และทรงให้ดวงตะวันและดวงเดือนบริการประโยชน์(แก่มวลมนุษย์ โดยมนุษย์ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่ประการใด ๆ) ทั้งหมดต่างโคจรไปตามวาระที่ถูกกำหนดไว้ พระองค์ทรงบริหารการงานทั้งหมวล พระองค์ทรงจำแนกบรรดาสัญลักษณ์ต่าง ๆ เพื่อเจ้าทั้งหลายจักได้มั่นใจในการได้พบกับองค์อภิบาลของพวกเจ้า (เพื่อรอรับการตอบแทนผลกรรม)
3.   และพระองค์ทรงเป้นผู้ขยายแผ่นดิน(ออกให้กว้างขวางเป็นประโยชน์ในการอยู่อาศัยและหากิน) และทรงสร้างขุนเขาและธารน้ำต่าง ๆ ไว้ในนั้น และจากพืชพันธุ์ทุกชนิดทรงสร้างไว้ให้มีเป็นคู่ ๆ ละสอง (คือให้มีพันธุ์ไม้ตัวผู้ตัวเมียเพื่อการขยายพันธุ์) พระองค์ทรงบันดาลให้กลางคืนครอบคลุมกลางวันไว้ แท้จริงในนั้นย่อมเป็นสัญลักษณ์(เตือนใจ)แก่กลุ่มชนที่ใคร่ครวญ


คำแปล R3.
1.   อะลิฟ ลาม มีม รอ เหล่านี้คืออายะฮฺทั้งหลายของคัมภีร์ และที่ได้ถูกประทานลงมาแก่เจ้าจากพระผู้อภิบาลของเจ้านั้นเป็นสัจธรรม แต่ว่าผู้คนส่วนใหญ่ของเจ้าไม่ศรัทธา
2.   อัลลอฮฺคือผู้ทรงยกชั้นฟ้าไว้โดยไม่มีเสาดังที่สูเจ้าสามารถมองเห็นได้ แล้วพระองค์ก็ทรงดำรงอยู่บนบัลลังก์แห่งอาณาจักรของพระองค์ พระองค์ได้ทรงกำหนดให้ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์อยู่ในกฎ ทุกสิ่งในจักรวาลโคจรไปตามวาระที่ถูกกำหนดไว้สำหรับมัน และอัลลอฮิเท่านั้นที่ทรงควบคุมกิจการทั้งหมด พระองค์ทรงทำให้สัญญาณของพระองค์เป็นที่ชัดเจน เผื่อว่าบางทีสูเจ้าอาจจะเชื่อมั่นในการพบกับพระองค์
3.   และพระองค์คือผู้ทรงแผ่ขยายพื้นแผ่นดิน และได้ทรงทำให้ภูเขามั่นคง และทรงทำให้แม่น้ไหลในแผ่นดินนั้น พระองค์ได้ทรงทำให้ผลไม้ทุกชนิดเป็นคู่ และพระองค์ทรงปกคลุมกลางวันด้วยกลางคืน แน่นอนในสิ่งเหล่านี้มีสัญญาณสำหรับบรรดาผู้ใคร่ครวญ


คำแปล R4.
1. อะลิฟ ลาม มีม รอ เหล่านี้คือบรรดาโองการแห่งคัมภีร์ และสิ่งที่ได้ถูกประทานลงมาแก่เจ้าจากพระเจ้าของเจ้านั้นเป็นสัจธรรม และแต่ส่วนมากของมนุษย์ไม่ศรัทธา
2. อัลลอฮฺคือผู้ทรงยกชั้นฟ้าทั้งหลายไว้โดยปราศจากเสาค้ำจุน ซึ่งพวกเจ้ามองเห็นมัน แล้วทรงสถิตอยู่บนบัลลังก์ และทรงให้ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เป็นประโยชน์ (แก่มนุษย์) ทุกสิ่งโคจรไปตามวาระที่ได้กำหนดไว้ ทรงบริหารกิจการทรงจำแนกโองการทั้งหลายให้ชัดแจ้ง เพื่อพวกเจ้าจะได้เชื่อมั่นในการพบพระเจ้าของพวกเจ้า
3. และพระองค์คือผู้ทรงแผ่แผ่นดิน และในนั้นทรงทำให้มันมีภูเขามั่นคง และลำน้ำมากหลาย และจากพืชผลทุกชนิดทรงให้มีจำนวนคู่ ทรงให้กลางคืนครอบคลุมกลางวัน แท้จริงในการนั้นแน่นอนย่อมเป็นสัญญาณสำหรับหมู่ชนผู้ใคร่ครวญ


คำแปล R5.
๑. อะลิฟ ลาม มีม รอ อัลเลาะห์เท่านั้นทรงรู้ความหมายของคำนี้ นี้คือบรรดาโองการส่วนหนึ่งแห่งพระคัมภีร์อัล-กุรอานและพระคัมภีร์อัล-กุรอานซึ่งถูกประทานจากพระผู้อภิบาลแห่งเจ้ามายังเจ้า (มุฮำมัด) นั้นเป็นสัจจริงโดยไม่มีข้อสงสัยเลย แต่ทว่าชนชาวนครมักกะห์ส่วนมาก หาได้เชื่อไม่ว่าเป็นพระคัมภีร์มาแต่อัลเลาะห์
๒. อัลเลาะห์นั้นทรงเชิดชั้นฟ้าทั้งเจ็ดให้สูงโดยไม่มีเสาค้ำประคองซึ่งพวกเจ้าก็เห็นกันอยู่ ทั้งพระองค์ยังทรงอำนาจปกครองอยู่ ณ อัล-อัรช์ คือฟ้าชั้นที่เก้าและพระองค์ทรงบังคับการต่าง ๆ ของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ให้อยู่ภายใต้กฎตามเจตนารมณ์แห่งพระองค์ซึ่งทั้งสองนี้ต่างก็โคจรไปตารมกำหนดอันแน่นอนจนถึงวันกิยามะห์ พระองค์ทรงจัดระบบงานไว้ตายตัวตามพระกำหนด เช่น ให้มีชีวิต ให้ตาย การสร้างสรรค์ต่าง ๆ ให้โชคลาภ ให้มีขึ้น ให้ดับสูญ และอื่น ๆ และทรงอธิบายชี้แจงถึงบรรดาสัญญาณอันแสดงความมีพลานุภาพของพระองค์ไว้อีกด้วย เพื่อว่าพวกเจ้าจักได้มั่นใจต่อการไปเผชิญยังองค์พระผู้อภิบาลของพวกเจ้าด้วยการฟื้นคืนชีวิตขึ้นใหม่จากสุสาน เพราะเมื่อพระองค์ทรงมีฤทธานุภาพในการให้ตายได้ พระองค์ก็ทรงมีฤทธานุภาพให้เกิดขึ้นใหม่อีกหลังจากตายแล้วก็ได้
๓. พระองค์ผู้ซึ่งกำหนดเขตแผ่นดินให้กว้างและยาวสุดสายตาเพื่อให้พวกเจ้าและเหล่าสัตว์ได้อยู่อาศัยไปมา ณ ผืนแผ่นดินนั้น ทรงให้มีเทือกเขาเป็นแนวยึดเกาะแผ่นดินไว้ และมีแม่น้ำลำธารอยู่ด้วย พืชพันธุ์แต่ละชนิด ณ แผ่นดิน พระองค์ทรงให้มีเป็นคู่ ๆ ทรงให้ความมืดแห่งกลางคืนคาบกลืนกลางวัน แท้จริงในบรรดาที่พระองค์ทรงสร้างเหล่านี้ ย่อมเป็นสัญญาณแสดงถึงเอกภาพของพระองค์ สำหรับปวงชนที่ตรึกตรองถึงการสร้างสรรค์ของพระองค์

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัรฺเราะอฺดุ อายะฮฺที่ 4 - 6



คำแปล R1.
4. And in the earth are neighbouring tracts, and Gardens of vines, and green crops (fields etc.), and date-palms, growing out two or three from a single stem root, or otherwise (one stem root for every palm), watered with the same water, yet some of them we make more excellent than others to eat. Verily, in these things, there are Ayat (proofs, evidences, lessons, signs) for the people who understand.
5. And if you (O Muhammad) wonder (at these polytheists who deny your message of Islamic Monotheism and have taken besides Allah others for worship who can neither harm nor benefit), then wondrous is their saying: "When we are dust, shall we indeed then be (raised) in a new creation?" They are those who disbelieve in their Lord! They are those who will have iron chains tying their hands to their necks. They will be dwellers of the Fire to abide therein.
6. They ask you to hasten the evil before the good, yet (many) exemplary punishments have indeed occurred before them. But verily, your Lord is full of forgiveness for mankind in spite of their wrong-doing. And verily, your Lord is (also) severe in punishment.


คำแปล R2.
4. และในแผ่นดินมีพื้นที่อันติดต่อกัน มีสวนต่าง ๆ ทั้งองุ่น พืชปลูกและอินทผลัม มีทั้งที่เป็นกอและไม่เป็นกอ มันถูกรดด้วยน้ำเดียวกัน และเราให้มีคุณค่าแก่บางอย่างเหนือกว่าอีกบางอย่างในด้านโภชนาการ แท้จริงในสิ่งนั้นย่อมเป็นสัญลักษณ์(เตือนใจ)แก่กลุ่มชนที่ใช้ปัญญาไตร่ตรอง
5. และหากเจ้าฉงน (ต่อพวกไร้ศรัทธา) ความจริงคำพูดของพวกนั้นก็น่าฉงนอยู่หรอก (คือที่พวกเขาพูดว่า) “เมื่อเรากลายเป็นดินไปแล้ว แล้วพวกเราจะได้ฟื้นขึ้นในกำเนิดใหม่ได้กระนั้นหรือ?” และพวกนั้นจะมีโซ่ตรวนอยู่ในต้นคอของพวกเขา และพวกเขาเป็นชาวนรก
6. และพวกเขาวอนเร่งเร้าเจ้าให้อุบัติความเลวร้าย (คือการลงโทษของอัลเลาะฮฺ)ก่อนความดีงาม (คือแทนที่จะขอความเมตตาของอัลเลาะฮฺ) ทั้ง ๆ ที่บรรดา (การลงโทษ) ที่เหมือนกันนั้นได้เคยล่วงพ้นมาก่อนหน้าพวกเขา และแท้จริงองค์อภิบาลของเจ้าเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งการอภัยต่อมวลมนุษย์ในความฉ้อฉลของพวกเขา และแท้จริงองค์อภิบาลของเจ้าเป็นผู้ทรงลงโทษรุนแรงยิ่ง


คำแปล R3.
7. และในแผ่นดินนั้นมีเขตแดนต่าง ๆ ที่ใกล้ชิดติดต่อกัน มีสวนองุ่น ไร่ข้าวโพดและสวนอินทผลัมที่มีลำต้นเดี่ยวและลำต้นคู่ ทั้งหมดนี้ได้รับน้ำเหมือนกัน แต่เราได้ทำให้บางอย่างของมีนมีรสชาติมากกว่าบางอย่าง แน่นอนที่สุด ในสิ่งเหล่านี้ทุกสิ่งมีสัญญาณต่าง ๆ สำหรับผู้ใช้สามัญสำนึก
8. ถ้าหากมีสิ่งใดสำหรับเจ้าที่จะฉงน เจ้าก็จงฉงนในคำพูดของพวกเขาที่กล่าวว่า “อะไรนะ เมื่อเราได้กลายเป็นผุยผงไปแล้ว เราจะถูกทำให้กลับขึ้นมาเกิดใหม่อีกกระนั้นหรือ?” คนพวกนี้คือผู้ปฏิเสธพระผู้อภิบาลของพวกเขา พวกเขาจะมีโซ่รอบคอของพวกเขา พวกเขาจะเป็นผู้พำนักอยู่ในนรกและพวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้นตลอดไป
9. พวกเขาต้องการให้เจ้าเร่งความชั่วมากกว่าความดี ถึงแม้ว่าจะมีตัวอย่างมากมายของการลงโทษเกิดขึ้นก่อนหน้าพวกเขาแล้ว ความจริงพระผู้อภิบาลของเจ้าทรงอดทนต่อผู้คนทั้งหลาย ถึงแม้ว่าพวกเขาจะละเมิด และก็เป็นความจริงอีกเช่นกันที่พระผู้อภิบาลของเจ้าทรงเข้มงวดในการตอบแทน


คำแปล R4.
4. และในแผ่นดินมีเขตแดนติดต่อใกล้เคียงกัน และมีสวนพฤกษา เช่น ต้นองุ่น และต้นที่มีเมล็ด และต้นอินทผลัมที่มาจากรากเดียวกัน และมิใช่รากเดียวกัน ได้รับแหล่งน้ำเดียวกัน และเราได้ให้บางชนิดดีเด่นกว่าอีกบางชนิดในรสชาติ แท้จริงในการนั้น แน่นอนเป็นสัญญาณสำหรับหมู่ชนผู้ใช้ปัญญา
5. และหากเจ้า (มุฮัมมัด) ฉงน ดังนั้นคำกล่าวของพวกเขาก็น่าฉงน (ที่ว่า) เมื่อเรากลายเป็นผุยผงไปแล้ว แท้จริงเราจะเกิดใหม่กระนั้นหรือ? ชนเหล่านั้นคือบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อพระเจ้าของพวกเขา และชนเหล่านั้นคือชาวนรก พวกเขาจะอยู่ในนั้นตลอดกาล
6. และพวกเขาเร่งเร้าเจ้า ขอความชั่ว (การลงโทษ) ก่อนความดี (ความสุข) และแน่นอนได้มีหลายตัวอย่างเกิดขึ้นก่อนหน้าพวกเขาแล้ว และแท้จริงพระเจ้าของเจ้าเป็นผู้ทรงอภัยโทษแก่มนุษย์ต่อการอธรรมของพวกเขา และแท้จริงพระเจ้าของเจ้าเป็นผู้ทรงเข้มงวดในการลงโทษ


คำแปล R5.
๔.  ณ ผืนแผ่นดิน ยังมีเป็นย่าน ๆ ติดต่อกัน เป็นที่อุดมบริบูรณ์ไปด้วยพืชพันธุ์ต่าง ๆ ก็มี ที่แห้งแล้งเพาะปลูกไม่งอกงามก็มี ที่ทำประโยชน์ได้มากบ้างและน้อยบ้างก็มี การที่เกิดผลผิดเพี้ยนกันไปต่าง ๆ นานา เหล่านี้แหละจัดได้ว่าเป็นเครื่องหมายชี้ถึงพลานุภาพของพระองค์ และนอกนั้นก็มีเป็นสวนองุ่น เป็นไร่ธัญพืชและแหล่งปลูกอินทผลัม มีทั้งที่ขึ้นเป็นกลุ่มและต้นเดี่ยว ซึ่งเหล่านี้ล้วนแต่ถูกหล่อเลี้ยงไว้ด้วยน้ำเท่านั้น พืชพันธุ์และผลไม้ บางอย่างเรา(อัลเลาะห์)ก็ให้กินดีกว่าพืชพันธ์และผลไม้อีกอย่างหนึ่ง แน่แท้ในบรรดาที่กล่าวเหล่านี้ย่อมเป็นสัญญาณแสดงถึงพลานุภาพของอัลเลาะห์ สำหรับปวงชนผู้ใช้สติปัญญาตรึกตรองอีกด้วยเหมือนกัน
๕. และโอ้มุฮำมัด หากเจ้าฉงนใจในข้อที่พวกาฟิรหาว่าเจ้าเป็นผู้เท็จก็ย่อมจะทำให้เจ้าน่าฉงนได้จริง ๆ ในถ้อยคำพวกกาฟิรเหล่านั้นที่กล่าวปฏิเสธเรื่องการฟื้นคืนชีวิตในวันปรภพที่ว่า “ก็ในเมื่อพวกเราเป็นดินไปแล้ว พวกเรายังจะอยู่ในสภาพเกิดใหม่ได้อีกหรือนี่?” ชนกาฟิรชาวมักกะห์เหล่านี้แหละที่ไม่เชื่อในองค์พระผู้อภิบาลแห่งพวกเขาเลย เป็นชนพวกที่มีห่วงโซ่คล้องคอติดอยู่ และชนกาฟิรชาวมักกะห์เหล่านี้คือชาวนรกที่พวกเขาประจำอยู่ ณ นรกแห่งนั้นโดยถาวร ไม่ได้รับการปลดปล่อยและไม่ตาย
มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้ เนื่องจากกาฟิรชาวนครมักะห์ขอให้มีการลงโทษโดยเร่งด่วน ทั้งนี้เป็นการสบประมาทเย้ยหยันเรื่องการลงโทษ
๖. และโอ้มุฮำมัดพวกเหล่านั้นที่เป็นกาฟิรชาวนครมักกะห์จะขอต่อเจ้า(มุฮำมัด)ช่วยขอเร่งให้มีโทษขึ้น ก่อนมีความปรานี ทั้งที่ก่อนจากพวกเหล่านั้นก็เคยมีโทษทำนองเดียวกันเกิดขึ้นแล้วแก่ชนผู้หาว่าพระศาสนทูตของพวกเขาเป็นเท็จ กาฟิรชาวมักกะห์มิได้พินิจดูดอกหรือ? แน่นอนองค์พระผู้อภิบาลของเจ้านั้นคือองค์ทรงประวิงโทษแก่มวลมนุษย์ทั้งที่เป็นผู้มีอธรรม ประกอบแต่กรรมอันชั่วช้า และองค์พระผู้อภิบาลของเจ้านั้นทรงเอาโทษผู้ซึ่งทรยศต่อพระองค์รุนแรงยิ่งนัก


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัรฺเราะอฺดุ อายะฮฺที่ 7 - 11
 

คำแปล R1.
7. And the disbelievers say: "Why is not a sign sent down to him from his Lord?" You are only a Warner, and to every people there is a guide.
8. Allah knows what every female bears, and by how much the wombs fall short (of their time or number) or exceed. Everything with Him is in (due) proportion.
9. All-Knower of the unseen and the seen, the Most Great, the Most High.
10. It is the same (to Him) whether any of you conceal his speech or declare it openly, whether He be hid by night or go forth freely by day.
11. For each (person), there are angels in succession, before and behind him. They guard him by the command of Allah. Verily! Allah will not change the good condition of a people as long as they do not change their state of goodness themselves (by committing sins and by being ungrateful and disobedient to Allah). But when Allah wills a people's punishment, there can be no turning back of it, and they will find besides him no protector.


คำแปล R2.
7. และมวลชนผู้ไร้ศรัทธากล่าวว่า “เหตุไฉนจึงไม่มีสัญลักษณ์(อันมหัศจรรย์จำพวกปาฏิหาริย์) จากองค์อภิบาลของเขาถูกลงมายังเขา (มุฮำมัด) เล่า (ถ้าเขาเป็นศาสนทูตจริง?”) อันความเป็นจริงเจ้านั้น (มุฮำมัด) เป็นเพียงผู้ตักเตือนเท่านั้น และมวลชนทุกกลุ่มย่อมมีผู้ชี้นำ
8. อัลเลาะฮฺทรงรอบรู้ทุกสิ่งที่ทุกเพศหญิงแบกครรภ์ไว้ ทรงรอบรู้สิ่งที่มดลูกลดหย่อนไว้ (เช่น คลอดก่อนกำหนด) และที่มันเพิ่มให้ (เช่นมีลูกแฝดหรือตั้งท้องนานเกินปกติธรรมดา) และทุกสิ่งนั้นย่อมมีกำหนดการอยู่ที่พระองค์แล้ว (ทั้งสิ้น)
9. ผู้ทรงรอบรู้ทั้งสิ้น สิ่งเร้นลับและเปิดเผย ผู้ทรงยิ่งใหญ่อีกทั้งทรงสูงส่ง
10. ย่อมเทียมเท่ากันสำหรับพวกเจ้าทั้งหลาย ผู้ที่ซ่อนเร้นคำพูด ผู้ที่เปิดเผยคำพูด ผู้ที่แอบซ่อนในเวลากลางคืน และออกเดินปรากฏตัวในเวลากลางวัน
11. สำหรับเขา(ทุกคน)มี (มลาอิกะฮฺ)ผู้เปลี่ยนเวรกันประจำอยู่ต่อหน้าเขาและจากเบื้องหลังของเขา คอยพิทักษ์รักษาเขา (ให้ปลอดพ้น)จาก (อันตรายต่าง ๆ ตาม)บัญชาการแห่งอัลเลาะฮฺ แท้จริงอัลเลาะฮฺไม่ทรงเปลี่ยนแปลงสภาพของชุมชนใด จนกว่าพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงสภาพตัวของพวกเขาเอง และเมื่ออัลเลาะฮฺทรงปรารถนาให้อุบัติความเลวร้ายกับชุมชนใด ก็จะไม่มีผู้ผลักมันออกไปได้ และนอกเหนือจากอัลเลาะฮฺแล้ว พวกเขาไม่มีผู้คุ้มครองอื่นใดทั้งสิ้น


คำแปล R3.
7.บรรดาผู้ปฏิเสธสาส์นของเจ้าเหล่านี้กล่าวว่า “ทำไมจึงไม่มีสัญญาณถูกส่งมายังเขาจากพระผู้อภิบาลของเขาเล่า?” เจ้าเป็นเพียงผู้ตักเตือนเท่านั้น และทุกหมู่ชนนั้นมีผู้นำทาง
8. อัลลอฮฺทรงรู้ว่า เพศหญิงทุกคนอุ้มอะรไว้ในครรภ์ พระองค์ทรงรู้ดีถึงสิ่งที่กำลังก่อตัวเป็นรูปร่างในครรภ์และอะไรที่ลดไปหรือเพิ่มขึ้นในนั้น ทุกสิ่งมีมาตรการที่ถูกกำหนดไว้สำหรับมันอยู่ที่พระองค์
9. พระองค์ทรงมีความรู้ทั้งในที่มองเห็นและที่มองไม่เห็น พระองค์เป็นผู้ทรงยิ่งใหญ่และเป็นสิ่งสูงสุด
10.   เหมือนกันสำหรับพระองค์ก็คือ สูเจ้าทั้งหมดไม่ว่าสูเจ้าคนหนึ่งคนใดจะกระซิบหรือพูดดัง หรือคนใดที่ซ่อนตัวเองไว้ภายใต้การปกคลุมของความมืดแห่งราตรีหรือเดินในเวลาสว่างแห่งกลางวัน
11.   เพราะแต่ละคนมีผู้ดูแลอยู่ข้างหน้าและข้างหลังเขา คอยเฝ้าดูเขาอยู่โดยคำบัญชาของอัลลอฮฺ แท้จริงแล้วอัลลอฮฺจะไม่ทรงเปลี่ยนแปลงสภาพของหมู่ชนใดจนกว่าเขาจะเปลี่ยนแปลงตัวของเขาเองเสียก่อน และเมื่ออัลลอฮฺทรงตัดสินใจที่จะให้การลงโทษเกิดขึ้นแก่คนหมู่ใดแล้วก็ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้ และพวกเขาจะไม่สามารถหาคนป้องกันหรือผู้ช่วยเหลือเขาจากอัลลอฮฺได้


คำแปล R4.
7. และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาจะกล่าวว่า ทำไมจึงไม่มีปาฏิหาริย์จากพระเจ้าของเขาถูกประทานลงมาให้แก่เขา? ”แท้จริงเจ้าเป็นเพียงผู้ตักเตือนเท่านั้น และสำหรับทุกๆ หมู่ชนย่อมมีผู้ชี้แนะแนวทาง
8. อัลลอฮฺทรงรอบรู้สิ่งที่ผู้หญิงทุกคนอุ้มครรภ์และที่บรรดามดลูกคลอดก่อนกำหนดและที่เกินกำหนด และทุก ๆ สิ่ง ณ ที่พระองค์นั้นมีการกำหนดภาวะไว้
9. ผู้ทรงรอบรู้สิ่งเร้นลับและสิ่งเปิดเผยผู้ทรงเกรียงไกร ผู้ทรงสูงส่งยิ่ง
10. เท่าเทียมกันในหมู่พวกเจ้า ผู้ที่ปกปิดคำพูดและผู้ที่เปิดเผยมั และผู้ที่ซ่อนการกระทำในเวลากลางคืนและผู้ที่เดินไปอย่างเปิดเผยในเวลากลางวัน
11. สำหรับเขามีมะลาอิกะฮฺผู้เฝ้าติดตามทั้งข้างหน้าและข้างหลังเขา รักษาเขาตามพระบัญชาของอัลลอฮฺ แท้จริงอัลลอฮฺจะมิทรงเปลี่ยนแปลงสภาพของชนกลุ่มใด จนกว่าพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงสภาพของพวกเขาเอง และเมื่ออัลลอฮฺทรงปรารถนาความทุกข์แก่ชนกลุ่มใดก็จะไม่มีผู้ตอบโต้พระองค์ และสำหรับพวกเขาไม่มีผู้ช่วยเหลือนอกจากพระองค์


คำแปล R5.
๗. บรรดาชนกาฟิรชาวนครมักกะห์กล่าวว่า จงให้สัญญาณสักอย่างหนึ่งจากองค์พระผู้อภิบาลแห่งเขา(มุฮำมัด) มีลงมาที่เขา(มุฮำมัด) ด้วย เหมือนกับที่พระศาสดามูซาได้รับสัญญาณเป็นไม้เท้า และพระศาสดาซอลิห์ได้รับสัญญาณเป็นอูฐตัวเมียผลุดออกมาจากเนื้อหินภูเขา อัลเลาะห์ตรัสว่า “เจ้าคือเพียงผู้ตักเตือน พวกกาฟิรให้กลัวเท่านั้น” ไม่มีความจำเป็นใดทึ่เจ้าจะนำเอาสัญญาณต่าง ๆ มาแสดงแก่พวกกาฟิร และแต่ละกลุ่มชนย่อมจะมีพระศาสนทูตผู้ชี้แนวธรรมให้ปวงชนของตนมีศรัทธาต่อองค์พระผู้อภิบาลด้วยสัญญาณที่พระองค์ทรงให้มีขึ้นแก่พระศาสนทูตเท่านั้น หาได้ชี้แนวธรรมด้วยสัญญาณตามที่พวกเหล่านั้นขอให้มีขึ้นไม่
๘. อัลเลาะห์ทรงรู้ถึงเพศใด ๆ ของทารก เช่น จะเป็นหญิงหรือเป็นชาย จะเกิดเดี่ยวหรือเป็นแฝด ที่หญิงแต่ละคนตั้งครรภ์ ทรงรู้อีก ไม่ว่าระยะครรภ์จะหย่อนและเกินกำหนดเก้าเดือน แล้วทุกสิ่งย่อมมีกำหนดหมายที่พระองค์ ไม่ว่าอะไรจะมีขึ้นสักกี่มากน้อย มีสภาพดีหรือเลว ย่อมขึ้นอยู่กับรายการในสารบบอันละเอียดชัดแจ้งของพระองค์ทั้งนั้น
๙. ทรงเป็นผู้รู้ ที่ซ่อนเร้น และที่เห็นประจักษ์ชัด ทรงเป็นองค์ใหญ่ยิ่งในศักดานุภาพ ทรงเป็นองค์เลอเลิศยิ่งในอำนาจเหนือเหล่าชนของพระองค์
๑๐. ย่อมมีค่าเท่ากันสำหรับพระองค์ไม่ว่าพวกเจ้าคนใดจะพูดค่อยหรือพูดดัง ไม่ว่าผู้ใดจะซ่อนตัวอยู่ในความมืดแห่งยามราตรี หรือปรากฏตัวอยู่ในที่แจ้งตอนกลางวัน ณ แห่งหนใดที่ผู้นั้นจะเดินไป
๑๑. ที่ ตัวผู้นั้น ทั้งที่เป็นชนมุอ์มินและกาฟิรจะมีมลาอิกะห์เป็นผู้สะกดตามทำเวรผลัดเปลี่ยนกันทั้งกลางวันและกลางคืน ประจำการอยู่เบื้องหน้าและเบื้องหลัง คอยปกป้องผู้นั้นไว้ให้แคล้วคลาดจากภัยร้ายของพวกยินและสัตว์ต่าง ๆ ตามบัญชาการแห่งอัลเลาะห์ แน่นอนอัลเลาะห์จะไม่ทรงเปลี่ยนแปลงภาวะแห่งการอำนวยพระกรุณาธิคุณแก่ปวงชนให้เป็นอย่างอื่นจนกว่าปวงชนพวกนั้นจะเปลี่ยนภาวะแห่งคุณธรรมออกจากตัวเองด้วยการประพฤติการชั่วช้า แล้วในเมี่ออัลเลาะห์ทรงมุ่งหมายจะลงทัณฑ์ปวงชนหนึ่ง ย่อมไม่มีผู้ใด ไม่ว่าจะเป็นมลาอิกะห์หรือใครอื่นผลักโทษนั้นให้พ้นไปได้ และนอกจากพระองค์แล้วหามีผู้ใดคุ้มครองคนใดยับยั้งการลงทัณฑ์ของพระองค์สำหรับพวกเหล่านั้นไม่


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัรฺเราะอฺดุ อายะฮฺที่ 12 - 15
 

คำแปล R1.
12. It is He who shows you the lightning, as a fear (for travelers) and as a hope (for those who wait for rain). And it is He who brings up (or originates) the clouds, heavy (with water).
13. And Ar-Ra'd (thunder) glorifies and praises him, and so do the angels because of his awe, He sends the thunderbolts, and therewith He strikes whom He wills, yet they (disbelievers) dispute about Allah. And He is mighty in strength and severe in punishment.
14. For Him (alone) is the word of Truth (i.e. none has the right to be worshipped but He). And those, whom they (polytheists and disbelievers) invoke, answer them no more than one who stretches forth his hand (at the edge of a deep well) for water to reach his mouth, but it reaches him not, and the invocation of the disbelievers is nothing but an error (i.e. of no use).
15. And unto Allah (alone) falls in prostration whoever is in the heavens and the earth, willingly or unwillingly, and so do their shadows in the mornings and in the afternoons.


คำแปล R2.
12. พระองค์ทรงทำพวกเจ้ามองเห็นฟ้าแลบทั้งในยามกลัวและในยามมุ่งหวัง (เพื่อจะได้น้ำฝนไว้ทำประโยชน์) และพระองค์ทรงบังเกิดเมฆอันหนัก(ลอยลงต่ำด้วยแรงกดของอากาศแล้วแผ่กระจายตกลงมาเป็นน้ำฝน
13. และฟ้าคำรณทำการถวายความสดุดีในมหาบริสุทธิ์พร้อมการสรรเสริญในพระองค์รวมทั้งมลาอิกะฮฺด้วย (เนื่องมาจากความหวาดกลัว(ในอำนาจของ)อัลเลาะฮฺ และพระองค์ทรงบันดาลให้มันฟาดถูกผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และพวกเขาทำการโต้แย้งใน(เรื่องที่เกี่ยวกับ)อัลเลาะฮฺ และพระองค์ทรงลงโทษรุนแรงยิ่ง
14. การวอน(นมัสการ)อันสัจจริง(ที่ได้รับการตอบสนอง)นั้น เป็นอำนาจของอัลเลาะฮฺเพียงพระองค์เดียว ส่วนบรรดา (พวกไร้ศรัทธา)ผู้วอน(นมัสการ)นอกเหนือจากพระองค์ พวกนั้รย่อมไม่(สามารถ)สนองตอบพวกเขาสักกรณีเดียวก็ตาม นอกจากเสมือนผู้ที่ยื่นฝ่ามือของเขาทั้งสองไปยังน้ำ(โดยไม่ตักออกมา)เพื่อ(ขอ)ให้มันมาถึงปากของเขา แต่มันไม่(ไหล)ถึงปากอย่างแน่นอน และการวอน(นมัสการ)ของพวกไร้ศรัทธานั้นไม่มีอะไรเลยนอกจากอยู่ในความหลงผิด (ซึ่งไม่ได้ประโยชน์แก่ผู้กระทำเลย)
15. และสรรพสิ่งในชั้นฟ้าและปฐพีล้วนทำการกราบนมัสการแด่องค์อัลเลาะฮฺ ทั้งโดยสมัครใจและโดยขืนใจ(เช่นพวกสับปลับ)และบรรดาเงาของสิ่งเหล่านั้น(ก็ทำการกราบด้วย) ทั้งยามเช้าและยามเย็น


คำแปล R3.
12. พระองค์คือผู้ทรงทำให้ฟ้าแลบปรากฏต่อหน้าสูเจ้าเพื่อที่จะทำให้เจ้ามีทั้งความตระหนกและความหวัง และพระองค์คือผู้ทรงก่อให้เกิดเมฆที่อุ้มน้ำ
13. เสียงฟ้าร้องแซ่ซ้องสดุดีพระองค์ด้วยการสรรเสริญ และมลาอิกะฮฺก็สดุดีพระองค์ด้วยเพราะความเกรงกลัวพระองค์ พระองค์ทรงปล่อยให้ฟ้าผ่าและ(มักจะ)ฟาดลงมายังผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ ในขณะที่พวกเขาโต้แย้งกันเกี่ยวกับอัลลอฮฺ แท้จริงแล้ว แผนการของพระองค์นั้นเฉียบขาดยิ่ง
14. การวิงวอนต่อพระองค์เท่านั้นคือสิ่งที่ถูกต้อง ส่วนบรรดาสิ่งอื่นที่พวกเขาวิงวอนนอกไปจากอัลลอฮฺนั้นไม่สามารถที่จะตอบรับคำวิงวอนของพวกเขาได้ มันเหมือนกับคนที่ยื่นมือออกไปยังน้ำ และขอให้น้ำไหลมายังปากของเขาทั้ง ๆ ที่มันไม่สามารถไหลมาถึงปากของเขาได้ ในทำนองเดียวกัน การวิงวอนของบรรดาผู้ปฏิเสธนั้นก็ไม่มีอะไรนอกไปจากความพยายามที่ไร้ผล
15. เพราะอัลลอฮฺเท่านั้นที่ทุกสิ่งในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินนอบน้อมต่อพระองค์ ทั้งโดยเต็มใจหรือไม่เต็มใจ หรือเงาของทุกสิ่งก็นบนอบต่อพระองค์ทั้งในยามเช้าและยามเย็น


คำแปล R4.
12. พระองค์คือผู้ทรงให้พวกเจ้าเห็นฟ้าแลบ เพื่อความกลัวและความหวัง และทรงให้เกิดเมฆทึบ
13. และฟ้าลั่นจะแซ่ซ้อง สดุดีด้วยการสรรเสริญพระองค์ และมะลาอิกะฮฺจะสดุดีด้วย เพราะความกลัวพระองค์ และพระองค์ทรงให้ฟ้าผ่าแล้วมันจะฟาดไปยังผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ โดยพวกเขาโต้เถียงกันในเรื่องของอัลลอฮฺ และพระองค์คือผู้ทรงอำนาจยิ่ง
14. สำหรับพระองค์นั้นคือการวิงวอนที่แท้จริงและบรรดาผู้วิงวอนอื่นจากพระองค์ มัน(เจว็ด) จะไม่สนองตอบใด ๆ แก่พวกเขา เว้นแต่เสมือนกับผู้ที่แบมือทั้งสองไปยังน้ำเพื่อให้ไหลสู่ปากของเขา และมันจะไหลถึงไม่ได้และการวิงวอนของพวกปฏิเสธศรัทธานั้นหาใช่อื่นใด นอกจากอยู่ในการหลงผิด
15. และผู้อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินต่างก็สุญูดต่ออัลลอฮด้วยความภักดีและด้วยความจำยอม และเงาของมันจะสุญูดด้วย ทั้งยามเช้าและยามเย็น


คำแปล R5.
๑๒. พระองค์ผู้ซึ่งให้พวกเจ้าเห็นฟ้าแลบเพื่อว่าผู้เดินทางจะได้กลัวฟ้าผ่า และผู้อยู่ประจำ ณ หมู่บ้านจะได้ฝักใฝ่น้ำฝน และพระองค์ก็ทรงให้เกิดเมฆฝนขึ้น
๑๓. ทั้งมลาอิกะห์ผู้รับหน้าที่เกี่ยวกับเมฆและมลาอิกะห์ทั้งปวง ก็เอ่ยสดุดีพระองค์พร้อมกล่าวคำสรรเสริญพระองค์ ด้วยเกรงอำนาจฤทธิ์ของพระองค์ และทรงให้เกิดอสุนีบาตลงมา แล้วทรงให้มันประสบแก่ผู้ที่พระองค์ทรงมุ่งประสงค์จะผู้นั้นถูกเผาไหม้
มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้
เหตุเพราะมีชายผู้หนึ่ง พระศาสดามุฮำมัด ซล. ได้ส่งสาวกไปชักชวนเขาให้มีศรัทธาต่ออัลเลาะห์และพระศาสนทูตมุฮำมัด ซล. ชายนั้นกลับถามว่า มุฮำมัด เป็นใคร? และอัลเลาะห์นั้นคือใคร? อัลเลาะห์นั้นเป็นสิ่งที่ทำจากทองหรือเงินหรือว่าทำจากทองแดง พอพูดขาดคำ สายฟ้าก็ฟาดลงกลางกระหม่อมจนถึงกระดูกกระเด็นหายไปทันที โองการกล่าวว่า พวกกาฟิรเหล่านั้นต่างทุ่มเถียงกับพระศาสนทูตมุฮำมัด ซล. ในเรื่องอัลเลาะห์ทั้ง ๆ ทึ่พระองค์นั้นทรงเป็นองค์ลงทัณฑ์ซึ่งรุนแรงยิ่งนัก
๑๔. พระองค์ทรงไว้ซึ่งพระคำอันสัจ และแน่นอนที่ว่า “ไม่มีพระเจ้าใดนอกจากอัลเลาะห์” ส่วนบรรดาชนกาฟิรผู้เคารพบูชา (เทวรูป) ผู้อื่นจากพระองค์นั้นเล่า ใช่ว่าเทวรูปมันจะสนองสิ่งใดให้แก่พวกกาฟิรเหล่านั้นได้ตามคำวิงวอนก็หาไม่ นอกจากจะสนองให้เหมือนกับแบฝ่ามือสองข้างไปที่น้ำจากปากบ่อเพื่อให้ถึงปากของตน ซึ่งอยู่สูงกว่ากัน โดยจะทำให้น้ำเอ่อขึ้นจากปากบ่อถึงปากของตน แต่น้ำนั้นก็ไม่ถึงปากของตนได้เลย ฉะนั้นเหล่าเทวรูปจึงไม่สามารถสนองตอบอันใดแก่ชนกาฟิรที่เคารพบูชาพวกมันได้ การเคารพบูชาของชนกาฟิรต่อเหล่าเทวรูปก็ดี หรือคำวิงวอนของพวกกาฟิรต่อเหล่าเทวรูปก็ดี หาใช่อื่นใดเลย หากแต่อยู่ในความสูญเสียเท่านั้น
๑๕. และผู้ซึ่งอยู่ ณ ฟากฟ้าทั้งเจ็ดชั้น เช่น มลาอิกะห์ทั้งปวง และที่อยู่ ณ พื้นพิภพ เช่น ปวงมุอ์มินนั้นต่างเคารพบูชาอัลเลาะห์ด้วยใจสมัคร และที่แสดงเคารพบูชาหระองค์ด้วยจำใจก็มี เหล่านี้ได้แก่ปวงชนมุนาฟิก ส่วนเงาของพวกเขาเฉพาะที่เป็นมนุษย์ทั้งมุอ์มินและมุนาฟิก(ยินกับมลาอิกะห์นั้นไม่มีเงา) ก็จะเคารพบูชาพระองค์อยู่ในตอนเช้าและตอนเย็น


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัรฺเราะอฺดุ อายะฮฺที่ 16 - 18


คำแปล R1.
16. Say (O Muhammad): "Who is the Lord of the heavens and the earth?" say: "(It is) Allah." Say: "Have you then taken (for worship) Auliya' (protectors, etc.) other than him, such as have no power either for benefit or for harm to themselves?" say: "Is the blind equal to the one who sees? Or darkness equal to light? Or do they assign to Allah partners who created the like of his creation, so that the creation (which they made and his creation) seemed alike to them." say: "Allah is the Creator of all things, He is the one, the Irresistible."
17. He sends down water (rain) from the sky, and the valleys flow according to their measure, but the flood bears away the foam that mounts up to the surface, and (also) from that (ore) which they heat in the Fire in order to make ornaments or utensils, rises a foam like unto it, thus does Allah (by parables) show forth truth and falsehood. Then, as for the foam it passes away as scum upon the banks, while that which is for the good of mankind remains in the earth. Thus Allah sets forth parables (for the truth and falsehood, i.e. belief and disbelief).
18. For those who answered their Lord's call [believed in the Oneness of Allah and followed his Messenger Muhammad i.e. Islamic Monotheism] is Al-Husna (i.e. Paradise). But those who answered not his call (disbelieved in the Oneness of Allah and followed not his Messenger Muhammad), if they had all that is in the earth together with its like, they would offer it in order to save themselves (from the torment, it will be in vain). For them there will be the terrible reckoning. Their dwelling place will be Hell; - and worst indeed is that place for rest.


คำแปล R2.
16. จงประกาศเถิด “ใครเป็นผู้ทรงอภิบาลฟากฟ้าและแผ่นดิน?” จงประกาศว่า “อัลเลาะฮฺ!(คือผู้ทรงอภิบาลสิ่งเหล่านี้)” จงประกาศเถิดว่า “แล้วพวกท่านยังจะยึดเอาสิ่งอื่นจากพระองค์ขึ้นมาเป็นผู้ปกครองอีกหรือ? ทั้ง ๆ ที่พวกมันไม่มีอำนาจในตัวเองที่จะให้คุณและโทษ(แก่ผู้ใดทั้งสิ้น) จงประกาศเถิด! คนตาบอดกับคนตาดีจะเท่าเทียมกันหรือ?" หรือ "ความมืดกับความสว่างจะเท่าเทียมกัยหรือ?" หรือว่าพวกเขาได้อุปโลกน์ บรรดาภาคีต่าง ๆ แด่อัลเลาะฮฺซึ่งพวก(ภาคี)เหล่านั้นสามารถทำการบันดาลเหมือนเช่นการบันดาลของพระองค์ได้จนพวกเขารู้สึกละม้ายคลุมเครือต่อสิ่งถูกบันดาลทั้งปวงกระนั้นหรือ?” จงประกาศเถิด “อัลเลาะฮฺทรงบันดาลทุก ๆ สิ่ง และพระองค์เป็นผุ้ทรงหนึ่งเดียว อีกทั้งยังทรงอิทธิพลยิ่งนัก”
17. พระองค์ทรงประทานน้ำฝนลงมาจากฟากฟ้า แล้วธารน้ำต่าง ๆ ได้ไหลหลากไปตามปริมาณของมัน แล้วกระแสน้ำก็นำฟองน้ำที่ลอยตัวอยู่(บนผิวน้ำไหลตามไปด้วย) และมีบางอย่างที่พวกเขา (หลอม) มันในไฟเพื่อทำเป็นเครื่องประดับหรือเครื่องใช้มันก็จะเป็นฟองเช่นเดียวกัน(จากการหลอมดังกล่าว) เช่นนั้น!อัลเลาะฮฺทรงยกอุทาหรณ์สิ่งที่เป็นสัจจะและสิ่งที่เป็นโมฆะ กล่าวคือ ฟองนั้นมันจะสูญหายเป็นสิ่งไร้ประโยชน์ และส่วนที่ยังประโยชน์แก่มวลมนุษย์มันจะค้างอยู่ในแผ่นดิน เช่นนั้น ! อัลเลาะฮฺทรงยกอุทาหรณ์ต่าง ๆ
18. สำหรับบรรดาพวกที่สนองตอบต่อองค์อภิบาลของพวกเขาเอง(ด้วยการภักดี)นั้น ย่อมได้รับคุณความดีอย่างแน่นอน และบรรดาพวกที่ไม่สนองตอบต่อพระองค์นั้น(ย่อมถูกลงโทษอย่างแน่นอน) หากพวกเขามีสรรพสิ่งในพื้นพิภพนี้ทั้งหมด และที่เหมือนกับมันอีกเท่าตัว เป็นกรรมสิทธิ์ของพวกเขา แน่นอนพวกเขาต้องนำสิ่งนั้นมาไถ่ตัวของพวกเขาเป็นแน่! พวกเหล่านั้นถูกสอบสวนอย่างเลวร้ายและที่อยู่ของพวกเขาคือนรกยะฮันนัมและมันเป็นที่พักนอนอันชั่วร้ายยิ่ง


คำแปล R3.
16.จงถามพวกเขาว่า “ใครคือพระผู้อภิบาลแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน?” จงกล่าวเถิด “อัลลอฮฺ” ดังนั้น จงบอกพวกเขาว่า “เมื่อนี่คือความจริงแล้วพวกท่านยังเอาสิ่งอื่นนอกไปจากพระองค์เป็นผู้คุ้มครองกระนั้นหรือ ทั้งที่สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถยังคุณหรือให้โทษแม้แต่ตัวพวกเขาเองได้?” จงกล่าวเถิด “คนตาบอดและคนตาดีนั้นเหมือนกันกระนั้นหรือ? ความมืดและแสงสว่างเหมือนกันกระนั้นหรือ?” ถ้ามิใช่เช่นนั้น พวกหุ้นส่วนที่พวกเขาตั้งขึ้นเทียบเทียมอัลลอฮฺได้สร้างสิ่งใดเหมือนกับการสร้างสรรค์ของพระองค์ เพื่อที่จะทำให้เรื่องการสร้างสรรค์เป็นที่สงสัยสำหรับพวกเขา? จงกล่าวเถิด อัลลอฮฺเท่านั้นที่เป็นผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง และพระองค์คือผู้ทรงเอกะ ผู้ทรงอำนาจอันยิ่งใหญ่
17.อัลลอฮฺทรงประทานน้ำลงมาจากฟากฟ้าแล้วลำน้ำทั้งหลายก็นำมันไหลไปตามกฎของมัน แล้วก็มีน้ำท่วมและฟองน้ำลอยอยู่บนผิว ในทำนองเดียวกันก็มีเศษโลหะลอยขึ้นมาจากโลหะที่พวกเขาหลอมเพื่อทำเครื่องประดับและเครื่องใช้ โดยการเปรียบเทียบนี้ อัลลอฮิได้ทรงทำให้ความจริง แตกต่างไปจากความเท็จ ส่วนที่เป็นฟองก็จะมลายหายไป และส่วนที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ก็จะยังคงอยู่บนแผ่นดิน ในทำนองนี้เองที่อัลลอฮฺได้ทรงเปรียบเทียบเพื่อทำให้สาส์นของพระองค์เป็นที่กระจ่าง
18. สำหรับบรรดาผู้ตอบสนองต่อการเรียกร้องของพระผู้อภิบาลของพวกเขานั้นมีรางวัลอันประเสริฐตอบแทน แต่สำหรับบรรดาผู้ปฏิเสธสาส์นเรียกร้องของพระองค์นั้น พวกเขาจะยอมให้ความมั่งคั่งทั้งหมดที่มีอยู่ในแผ่นดินถ้าหากพวกเขามีมากไปกว่านั้นมาไถ่ตัวพวกเขา(เพื่อหนีการถูกลงโทษ) คนเหล่านี้คือผู้ที่จะได้รับการคิดบัญชีอย่างหนัก ที่พำนักของพวกเขาคือนรก สถานที่พำนักอันชั่วช้า


คำแปล R4.
16. จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด ใครคือพระเจ้าแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน? จงกล่าวเถิดอัลลอฮฺ  จงกล่าวเถิด พวกท่านได้ยึดเอาบรรดาผู้คุ้มครองอื่นจากอัลลอฮฺกระนั้นหรือ? ซึ่งพวกเขาไม่มีอำนาจให้คุณและให้โทษแก่ตัวของพวกเขาเอง จงกล่าวเถิด คนตาบอดกับคนตาดีจะเหมือนกันหรือ? หรือความมืดจะเหมือนกับแสงสว่างหรือ? หรือพวกเขาได้ตั้งเหล่าภาคีขึ้นเพื่ออัลลอฮฺนั้น เพื่อให้ได้สร้างเช่นกับการสร้างของพระองค์ แล้วการสร้างนั้นได้คล้ายคลึงแก่พวกเขากระนั้นหรือ ? จงกล่าวเถิด อัลลอฮฺคือผู้ทรงสร้างทุกสิ่ง และพระองค์คือผู้ทรงเอกะ ผู้ทรงพิชิต
17. พระองค์ทรงประทานน้ำลงมาจากฟากฟ้า แล้วลำน้ำต่าง ๆ ก็ไหลไปตามปริมาณของมัน กระแสน้ำได้พัดพาเอาฟองลอยอยู่เหนือน้ำ และจากสิ่งที่พวกเขาหลอมลงไปในไฟ เพื่อหวังทำเครื่องประดับหรือเครื่องใช้จะมีฟองเช่นกันในทำนองนั้นอัลลอฮทรงยกตัวอย่างความจริงและความเท็จสำหรับฟองนั้นก็จะออกไปเป็นสิ่งเหลือเดน ส่วนที่เป็นประโยชน์แก่มนุษย์ก็คงจะอยู่ในแผ่นดินในทำนองนั้น อัลลอฮทรงยกอุทาหรณ์ทั้งหลาย
18. สำหรับบรรดาผู้ตอบสนองต่อพระเจ้าของพวกเขา คือการได้รับความดี และบรรดาผู้ไม่ตอบสนองต่อพระองค์ แม้ว่าพวกเขาจะมีทั้งหมดที่มีอยู่ในแผ่นดินและมีอีกเยี่ยงนั้น พวกเขาจะยอมเอามาไถ่โทษอย่างแน่นอนชนเหล่านั้นสำหรับพวกเขาคือการมีบัญชีที่ชั่ว และที่พำนักของพวกเขาคือนรกญะฮันนัน มันเป็นที่พำนักที่ชั่วช้ายิ่ง


คำแปล R5.
๑๖. โอ้มุฮำมัดเจ้าจงถามประชาชนของเจ้าด้วยเถิด “ใครคือองค์พระผู้อภิบาลแห่งบรรดาชั้นฟ้าทั้งเจ็ดและแผ่นดิน” ถ้าประชาชนเหล่านั้นไม่ตอบว่ากระไรเจ้าจงตอบเถิดว่าผู้นั้นคืออัลเลาะห์” เพราะไม่มีคำตอบเป็นอย่างอื่นโอ้มุฮำมัด เจ้าจงถามย้ำพวกนั้นอีก เถิด “พวกท่านยอมรับคำตอบอย่างที่กล่าวนี้แล้วมิใช่หรือ? แล้วพวกท่านยังจะยึดถือ(เทวรูป) ผู้อื่นจากพระองค์เป็นที่พึ่งอีกหรือ? ทั้งที่ในตัวมัน(เทวรูป) เองก็ไม่มีอำนาจให้คุณและให้โทษได้ มิหนำซ้ำพวกท่านยังจะทอดทิ้งอัลเลาะห์ผู้ทรงไว้ซึ่งอำนาจทั้งในด้านให้คุณและให้โทษเสียอีก” การยึดถือของพวกท่านเช่นที่ว่านี้เป็นข้อน่าตำหนิยิ่งนัก โอ้มุฮำมัด จงถามเถิดว่า คนตาบอดผู้ถูกเปรียบเสมือนคนกาฟิรกับคนตาดีผู้ถูกเปรียบเสมือนคนมุอ์มินนั้นจะทัดเทียมกันได้หรือ? ย่อมทัดเทียมกันมิได้แน่นอน และความมืดอันเปรียบเหมือนความไร้ศรัทธากับความสว่างไสวอันเปรียบเหมือนความมีศรัทธานั้นจะทัดเทียมกันได้หรือ? ย่อมไม่ทัดเทียมกันอีกนั่นแหละ หรือพวก กาฟิรเหล่านั้นจะถือว่า (เทวรูป) ตัวภาคีกับอัลเลาะห์มันจะมีพลังอำนาจสามารถสร้างใดได้เสมือนการสร้างของพระองค์ จนสิ่งถูกสร้างนั้นจะทำให้พวกกาฟิรเหล่านั้นดูคล้ายคลึงกัน? พวกกาฟิรก็บอกว่าเทวรูปมีอำนาจสร้างสรรได้เหมือนอำนาจการสร้างสรรของอัลเลาะห์ เหตุนี้เหล่าเทวรูปจึงเรียกร้องให้มีการเคารพบูชาในพวกมันเหมือนอย่างอัลเลาะห์ทรงเรียกร้องให้เคารพบูชาในพระองค์ แต่ทว่าพวกกาฟิรเป็นฝ่ายยึดถือเทวรูปผู้ซึ่งหย่อนสมรรถภาพ ไม่มีอำนาจเหนือสิ่งใด ๆ เท่าที่อัลเลาะห์ทรงมีอำนาจเหนือสิ่งนั้น โอ้มุฮำมัด จงกล่าวแก่พวกกาฟิรเถิด อัลเลาะห์คือองค์ทรงสร้างทุกสิ่งซึ่งไม่มีภาคีใดมาร่วมสร้างสิ่งนั้นคู่กับพระองค์ ทั้งยังไม่มีตัวภาคีใดมีส่วนได้รับความเคารพบูชาร่วมกับพระองค์อีกด้วย ด้วยว่าพระองค์ทรงเป็นองค์เอกะ ทรงเป็นองค์อิทธิพลสูงสุดเหนือปวงชนของพระองค์
๑๗. แต่นี้ไปอัลเลาะห์จะทรงชักอุทาหรณ์ขึ้นอ้างเทียบให้เห็นแจ้งชัดถึงของจริงแท้และของเท็จด้วยดำรัสของพระองค์ว่า พระองค์ทรงหลั่งน้ำฝนมาจากฟ้า จึงมีกระแสน้ำไหลเต็มในลำธารตามปริมาณของมัน แล้วกระแสน้ำก็พัดพาเอาฟองสกปรกเปรอะเปื้อนลอยอยู่ผิวหน้าออกไป และยังมีบางสิ่ง เช่น สินแร่ ทองคำ เงิน และทองแดง เป็นอาทิ ที่ถูกไล่ขี้ออกด้วยไฟเมื่อเอามาทำสิ่งประดับหรืออุปกรณ์ ขี้ของมัน(สินแร่ต่าง ๆ )ก็สกปรกเช่นเดียวกันกับฟองน้ำ ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ก็จะถูกขับออกไป ฉะนั้นอัลเลาะห์จึงทรงยกอุทาหรณ์ของแท้และของไม่แท้ไว้เป็นอย่างที่บรรยายอยู่นี้ อันของเลว เช่น ฟองน้ำและขี้แร่นั้นจะถูกแยกตัวออกไปเป็นของเสีย ส่วนน้ำและเนื้อแร่ที่ยังเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ จะยังมีอยู่ ณ พื้นพิภพอีกตลอดไป ฉะนั้นอัลเลาะห์จึงทรงแจ้งไว้เป็นอุทาหรณ์อย่างนี้ ทุก ๆ ตอน เป็นการเปิดเผยถึงความประณีต นุ่มนวลและเป็นเจตนารมณ์อันสมบูรณ์ เพื่อให้เกิดเป็นวิทยญาณ และได้หันตรงเข้าสู่แนวอันเที่ยงตรง
๑๘. สำหรับบรรดาชนผู้ซึ่งยอมรับด้วยการปฏิบัติภักดีต่อองค์พระผู้อภิบาลแห่งพวกเขานั้น ย่อมได้รับสรวงสวรรค์ แต่บรรดาชนกาฟิรผู้ไม่ยอมรับ ด้วยการปฏิบัติฝ่าฝืนต่อพระองค์ แม้พวกเขามีกรรมสิทธิ์ตลอดสิ้นทั้งพื้นพิภพก็ดีและมี มากขึ้นอีกเท่านั้นตามความคิดหวังของพวกเขาก็ดี แน่นอนพวกเขาก็จะเอามันมาไถ่โทษมิได้ พวกเหล่านี้ก็ต้องมีโทษอันเลวร้ายอยู่นั่นเอง ทั้งนี้ จะไม่ได้รับการอภัยให้เลยแม้สักน้อยแล้วที่พำนักของพวกเขาคือขุมนรกยะฮันนำ มันเป็นสถานที่พักพิงอันเลวร้ายยิ่งนัก


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัรฺเราะอฺดุ อายะฮฺที่ 19 - 23
 

คำแปล R1.
19. Shall he then who knows that what has been revealed unto you (O Muhammad) from your Lord is the truth be like him who is blind? But it is only the men of understanding that pay heed.
20. Those who fulfill the Covenant of Allah and break not the Mithaq (bond, treaty, covenant);
21. Those who join that which Allah has commanded to be joined (i.e. they are good to their relatives and do not sever the bond of kinship), fear their Lord, and dread the terrible reckoning (i.e. abstain from all kinds of sins and evil deeds which Allah has forbidden and perform all kinds of good deeds which Allah has ordained).
22. And those who remain patient, seeking their Lord's Countenance, perform As-Salat (Iqamat-as-Salat), and spend out of that which we have bestowed on them, secretly and openly, and defend evil with good, for such there is a good end;
23. 'Adn (Eden) Paradise (everlasting Gardens), which they shall enter and (also) those who acted righteously from among their fathers, and their wives, and their offspring. And angels shall enter unto them from every gate (saying):


คำแปล R2.
19. แล้วผู้ที่รู้ว่าอันสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่เจ้า (คือกุรอาน)จากองค์อภิบาลของเจ้านั้นเป็นเรื่องจริง จะเหมือนกับบุคคลที่ตาบอด(ไม่รู้และไม่ศรัทธา)กระนั้นหรือ? ความเป็นจริงผู้มีวิจารณญาณทั้งหลายย่อมมัจิตสำนึกอย่างแน่นอน
20. ซึ่งพวกเขาเป็นผู้ที่ทำตามสัญญาของอัลเลาะฮฺอย่างครบถ้วน และพวกเขาไม่บิดพลิ้วต่อคำสัญญาเลย
21. และบรรดาผู้ที่เชื่อมสัมพันธ์ในสิ่งที่อัลเลาะฮฺทรงบัญชาให้เชื่อมสัมพันธ์ และพวกเขาเกรงกลัวองค์อภิบาลของพวกเขาและหวาดกลัวการสอบสวนอันร้ายกาจ (ในวันชาติหน้า)
22. และบรรดาผู้ที่อดทนเพื่อแสวงหา(ความโปรดปรานจาก) องค์อภิบาลของพวกเขา(ด้วยบริสุทธิ์ใจ) และพวกเขาทำละหมาดเป็นอาจิณ และพวกเขาเสียสละ(ทรัพย์สิน)บางเราที่เราได้ประทานเป็นโชคผลแก่พวกเขา ทั้งโดยซ่อนเร้นและโดยเปิดเผย และพวกเขาใช้ความดีงามมาขจัดความเลวทราม พวกเหล่านั้นย่อมมีสิทธิในสถานสุดท้ายอันดีที่สุด
23. มันคือสวรรค์อันสถาพรซึ่งพวกเขาจะเข้าไปอยู่ในนั้น พร้อมกับบรรดาผู้ประพฤติตัวดีจากบรรพบุรุษของพวกเขา และบรรดาผู้สืบตระกูลของพวกเขาและมลาอิกะฮฺก็จะเข้ามาหาเขา(เพื่อแสดงความยินดี)จากประตู(สวรรค์)ทุกประตู


คำแปล R3.
19. แล้วเป็นไปได้อย่างไรที่ผู้ศรัทธาว่าคัมภีร์ที่ถูกส่งมาจากพระผู้อภิบาลของเจ้ามายังเจ้านี้เป็นสัจธรรมจะเหมือนกับคนตาบอดต่อความจริงนี้? คนฉลาดเท่านั้นที่จะได้รับคำแนะนำจากสิ่งนี้
20. พวกเขาปฏิบัติครบตามสัญญาที่พวกเขามีกับอัลลอฮฺและไม่ทำลายสัญญานั้นหลังจากที่ยืนยันแล้ว
21. พวกเขาสานสัมพันธ์สิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงบัญชาให้สานสัมพันธ์ พวกเขาเกรงกลัวพระผู้อภิบาลของพวกเขาและกลัวการลงโทษอันแสนสาหัสหากถูกเรียกให้ไปรับ
22. พวกเขาแสดงความอดทนเพื่อที่จะได้รับการยอมรับจากพระผู้อภิบาลของพวกเขา พวกเขาดำรงนมาซและใช้จ่ายจากสิ่งที่เราได้ประทานแก่พวกเขาทั้งโดยซ่อนเร้นและเปิดเผย และขจัดความชั่วด้วยความดี สำหรับพวกเขาคือสถานที่พำนักที่ดี
23. นั่นคือสวนสวรรค์ที่พวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้นตลอดไป พวกเขาจะเข้าไปในนั้นพร้อมกับคนดีจากในหมู่บรรพบุรุษของพวกเขา คู่ครองของพวกเขาและลูกหลานของพวกเขา บรรดามลาอิกะฮฺจะมาหาพวกเขาจากทุก ๆ ด้าน


คำแปล R4.
19. ดังนั้น ผู้ที่รู้ว่าแท้จริงสิ่งที่ถูกประทานแก่เจ้าจากพระเจ้าของเจ้านั้นเป็นความจริง จะเหมือนกับผู้ที่ตาบอดกระนั้นหรือ? แท้จริงบรรดาผู้มีสติปัญญาเท่านั้นที่จะใคร่ครวญ
20. บรรดาผู้ให้ครบถ้วนซึ่งสัญญาณของอัลลอฮและไม่บิดพลิ้วข้อตกลง
21. และบรรดาผู้เชื่อมสัมพันธ์ที่อัลลอฮทรงบัญชาให้เขาเชื่อมสัมพันธ์ และยำเกรงพระเจ้าของพวกเขา และกลัวการมีบัญชีที่ชั่ว
22. และบรรดาผู้อดทนโดยหวังพระพักตร์ (ความโปรดปราน) ของพระเจ้าของพวกเขา และดำรงการละหมาดและบริจาคสิ่งที่เราได้ให้เป็นปัจจัยยังชีพแก่พวกเขา โดยซ่อนเร้นและเปิดเผย และพวกเขาขจัดความชั่วด้วยความดี ชนเหล่านั้นสำหรับพวกเขาคืนที่พำนักในปั้นปลายที่ดี
23. สวนสวรรค์ทั้งหลายอันสถาพร พวกเขาจะเข้าไปอยู่พร้อมกับผู้ทำดีจากบรรพบุรุษของพวกเขา และคู่ครองของพวกเขา และบรรดาลูกหลานของพวกเขา และมะลาอิกะฮจะเข้ามาหาพวกเขาจากทุกประตู (ของสวนสวรรค์)


คำแปล R5.
มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้ มีลงมาเกี่ยวกับเรื่องราวของฮำซะห์กับอะบูยะฮัล
๑๙. ฮำซะห์ผู้ซึ่งรู้ดีว่าพระคัมภีร์อัล-กุรอานอันถูกประทานจากองค์พระผู้อภิบาลของเจ้ามายังเจ้านั้นย่อมไม่เหมือนกันเลยกับอะบูยะฮัลผู้ซึ่งเป็นเสมือนคนตาบอด โดยเขาไม่รู้และไม่มีศรัทธาต่อพระคัมภีร์อัล-กุรอานเลย บรรดาชนที่จะยอมเชื่อฟังคำตักเตือนของอัลลอฮฺก็เฉพาะผู้ซึ่งทรงปัญญา
๒๐. ซึ่งปฏิบัติครบถ้วนตามสัญญาแห่งอัลเลาะห์ ทั้งมิได้บิดพริ้วซึ่งข้อสัญญานั้นด้วยการงดเว้นศรัทธาหรือละทิ้งข้อบัญญัติที่ตกเป็นภาระแก่พวกเขาเช่นละหมาดห้าเวลา
๒๑. ผู้ซึ่งติดตามอยู่กับข้อ บัญญัติใช้ต่าง ๆ อาทิให้ศรัทธาต่อพระคัมภีร์ ๑๐๔ เล่ม ต่อบรรดาพระศาสนทูตทั้ง ๒๖ ท่าน โดยมิให้แยกศรัทธาในท่านใดท่านหนึ่ง และให้มีไมตรีต่อวงศ์ญาติตลอดทั้งมวลมนุษย์ด้วยการเยี่ยมเยียนกันเมื่อป่วยไข้ มีการติดตามขบวนศพและอื่น ๆ ที่อัลเลาะห์ทรงบัญชาให้ติดตามทั้งยังได้ยำเกรงสัญญาการลงทัณฑ์แห่งองค์อภิบาลของพวกเขา และหวาดกลัวการสอบสวนเอาโทษอันชั่วช้าซึ่งพวกเขากระทำไว้
๒๒. ผู้ซึ่งมีความอดทนที่จะปฏิบัติการภักดี อดทนต่อปวงภัยและงดเว้นกรรมชั่วเพราะหวังจะได้กุศลและความปราโมทย์จากองค์พระผู้อภิบาลของพวกเขา ผู้ซึ่งได้ดำรงละหมาดเป็นประจำวันหนึ่ง ๆ ๕ เวลา ผู้ซึ่งได้บริจาคทรัพย์อันเรา (อัลเลาะห์) อำนวยแก่พวกเขาเป็นทานทั้งในที่ลับและที่สาธารณะ ผู้ซึ่งขจัดความเลวร้ายด้วยคุณธรรม เช่นขจัดอัปปัญญาด้วยปัญญาสุขุม และขจัดโทษะด้วยอดทน เป็นต้น พวกทั้งหมดที่กล่าวนี้เท่านั้น) เหล่านี้แหละได้อยู่ ณ สรวงสวรรค์สถานอันเป็นที่สุดแห่งความประเสริฐเลิศ
๒๓. นั่นคือสวรรค์อัดนิ์ที่พวกเขาจะได้เข้าไปอยู่ ทั้งในฤดูร้อนและฤดูหนาว รวมทั้งผู้ที่เป็นบิดา มารดา เหล่าภริยาและบุตรหลานของพวกเขา ซึ่งเป็นชนมุสลิมผู้ประพฤติชอบธรรมด้วย แม้คุณความดีของทั้งสามพวก (บิดา มารดา ภริยาและบุตรหลาน) นั้นจะไม่ดีพอเท่ากับพวกแรกก็ตาม ทั้งนี้เป็นการให้เกียรติพวกทั้งสามนั้น ฝ่ายมลาอิกะห์ก็จะเข้าไปหาพวกเหล่านั้นตามประตูสวรรค์ทุกแห่ง ในวาระแรกที่พวกเหล่านั้นเข้าสู่สวรรค์ เพื่อแสดงความยินดีด้วยถ้อยคำว่า


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัรฺเราะอฺดุ อายะฮฺที่ 24 - 26


คำแปล R1.
23. 'Adn (Eden) Paradise (everlasting Gardens), which they shall enter and (also) those who acted righteously from among their fathers, and their wives, and their offspring. and angels shall enter unto them from Every gate (saying):
24. "Salamun 'Alaikum (peace be upon you) for that you persevered in patience! Excellent indeed is the final home!"
25. And those who break the Covenant of Allah, after its ratification, and sever that which Allah has commanded to be joined (i.e. they sever the bond of kinship and are not good to their relatives), and work mischief in the land, on them is the Curse (i.e. they will be far away from Allah's Mercy); and for them is the unhappy (evil) home (i.e. Hell).
26. Allah increases the provision for whom He wills, and straitens (it for whom He wills), and they rejoice in the life of the world, whereas the life of this world as compared with the Hereafter is but a brief passing enjoyment.


คำแปล R2.
24. (มลาอิกะฮฺเหล่านั้นกล่าวว่า) “สันติสุขจงประสบแด่ท่านทั้งหลาย เพราะความอดทนของพวกท่าน ดังนั้น(สวรรค์)จึงเป็นสถานสุดท้ายที่ดีที่สุด(ซึ่งพวกท่านได้รับตอบแทน)”
25. และบรรดาผู้บิดพลิ้วสัญญาของอัลเลาะฮฺภายหลังจากได้ให้คำมั่นไว้แล้ว และพวกเขาตัดทอนสิ่งที่อัลเลาะฮฺบัญชาให้ทำการเชื่อมสัมพันธ์ และพวกเขาบ่อนทำลายในแผ่นดิน พวกเหล่านั้นย่อมได้รับคำสาปแช่ง และพวกเขาจะได้รับ(การตอบแทนด้วย)สถานอันเลวร้าย(คือนรก)
26. อัลเลาะฮฺทรงเผื่อแผ่โชคผลอย่างกว้างขวางแก่บุคคลที่พระองค์ทรงประสงค์และทรงกำจัด(โชคผลแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์เช่นเดียวกัน)และพวกเขาเหล่านั้นต่างพอใจในชีวิตทางโลก ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วชีวิตทางโลกนี้ (เมื่อเทียบกับชีวิต)ในโลกหน้าไม่มีอะไรเลย นอกจากความภิรมย์(เพียงชั่วคราว)เท่านั้น


คำแปล R3.
24. (และมลาอิกะฮฺจะกล่าวว่า) “ขอความสันติจงมีแด่ท่าน พวกท่านได้รับความจำเริญนี้เพราะสิ่งที่พวกท่านอดทนอย่างมั่นคงในโลก” สถานที่พำนักแห่งปรโลกนั้นช่างมีแต่ความจำเริญจริง ๆ
25. สำหรับบรรดาผู้ทำลายพันธะสัญญาของพวกเขากับอัลลอฮฺหลังจากที่ยืนยันแล้ว ผู้ที่ตัดขาดสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงสั่งให้เขาสานสัมพันธ์ และสร้างความเสียหายไปทั่วแผ่นดินนั้น สำหรับพวกเขาก็คือการสาปแช่ง และพวกเขาจะได้รับสถานที่พำนักอันชั่วช้าในโลกหน้า
26. อัลลอฮฺได้ทรงประทานปัจจัยยังชีพของพระองค์อย่างมากมายเหลือหลายแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์และประทานอย่างจำกัดจำเขี่ยแก่ผู้ที่พระองค์ทรงปรารถนา คนเหล่านี้มีความสุขความสำราญกับชีวิตแห่งโลกนี้ ในขณะที่ชีวิตแห่งโลกนี้มิใช่อะไรนอกไปจากสิ่งเพียงเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับชีวิตในโลกหน้า


คำแปล R4.
24. (พร้อมกับกล่าวว่า) ความศานติจงมีแต่พวกท่าน เนื่องด้วยพวกท่านได้อดทน มันช่างดีเสียนี่กระไรที่พำนักบั้นปลายนี้
25. และบรรดาผู้ทำลายพันธะของอัลลอฮฺ หลังจากที่ได้ให้คำมั่นสัญญาแก่พระองค์ และพวกเขาตัดขาดสิ่งที่อัลลอฮฺทรงใช้ให้เขาต่อ และบ่อนทำลายในแผ่นดิน ชนเหล่านี้แหละพวกเขาจะได้รับการสาปแช่ง และจะได้ที่พำนักอันชั่วช้า
26. อัลลอฮทรงให้กว้างขวางและทรงให้คับแคบซึ่งปัจจัยยังชีพ แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และพวกเขาดีใจต่อชีวิตในโลกนี้ และชีวิตของโลกนี้เมื่อเทียบกับโลกอาคิเราะฮแล้ว หาใช่อื่นใดไม่ นอกจากความเพลิดเพลินเท่านั้น


คำแปล R5.
๒๔. “ศานติพึงมีแด่พวกท่าน” นี้คือบุญกุศลตอบสนองแก่พวกท่าน ฐานที่พวกท่านมีใจอดทนมาแล้วในภาคภพ (ดุนยา) โน้น สวรรค์สถานแหล่งสุดท้ายของท่านนั้นเยี่ยมยิ่งนัก
๒๕. บรรดาชนผู้บิดพลิ้วซึ่งข้อสัญญาแห่งอัลเลาะห์ หลังจากได้รับคำมั่นสัญญานั้นไว้แล้ว โดยพวกเขางดเว้นจากศรัทธา และละทิ้งการดำรงละหมาด ๕ เวลา ทั้งยังได้ตัดขาดจากสิ่งซึ่งอัลเลาะห์ทรงบัญชาใช้ให้มีสัมพันธ์ไว้ กล่าวคือพวกนั้นไม่ยอมศรัทธาต่อบรรดาพระคัมภีร์ ๑๐๔ เล่ม ต่อพระศาสนทูตทั้ง ๒๖ ท่าน และตัดไมตรีกับมวลมนุษย์ด้วยงดเยี่ยมเยี่ยมญาติมิตรเมื่อป่วยไข้ ตลอดทั้งไม่ติดตามศพและอื่น ๆ และได้ก่อวินาศกรรมขึ้น ณ ผืนแผ่นดินโดยขาดศรัทธา และด้วยประพฤติชั่วช้าเลวทรามบ้าง พวกเหล่านี้แหละย่อมห่างจากเมตตาจิตและจะได้อยู่ ณ สถานอันเลวเป็นค่าตอบแทนในบั้นปลาย ณ ภาคภพอาคิเราะห์ นั่นคือได้เข้าสู่ขุมนรกยะฮันนำ
๒๖. อัลเลาะห์ทรงเอื้ออำนวยโภคลาภให้อย่างไพศาลแก่ผู้ซึ่งพระองค์ทรงมุ่งประสงค์ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นมุอ์มินหรือกาฟิร และพระองค์จะทรงจำกัดการเอื้ออำนวยโภคลาภของพระองค์แก่บุคคลทั้งมุอ์มินและกาฟิรเสียก็ได้ แต่ทว่าพระองค์ทรงจำกัดการเอื้ออำนวยโภคลาภสำหรับชนมุอ์มินไว้คล้ายกับจะทรงลองใจดูว่ามุอ์มินคนใดจะอดทน และคนใดไม่ยอมอดทน และเพื่อเป็นการล้างบาปของเขาอีกด้วย และพระองค์ทรงเอื้ออำนวยโภคลาภให้คนกาฟิรอย่างกว้างขวาง ทั้งนี้เพื่อจะทรงยืดเวลาแห่งการลงโทษกาฟิรให้ไกลออกไป แล้วพวกกาฟิรชาวมักกะห์เหล่านั้นก็ดีใจกันจนเกินขอบเขตในการที่พวกเขาได้อย่างใจหมาย ในชีวิตแห่งภพนี้ (ดุนยา) อันชีวิตแห่งภพนี้จะมีก็แต่ค่านิดเดียวสำหรับภพอาคิเราะห์เท่านั้น ซึ่งเมื่อได้รับประโยชน์จากมันแล้วมันก็มลายสิ้นไป แต่ชีวิตแห่งภาคปรภพเป็นสิ่งถาวรวัฒนา และจะได้รับคุณประโยชน์อยู่ตลอดกาล


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัรฺเราะอฺดุ อายะฮฺที่ 27 - 30


คำแปล R1.
27. And those who disbelieve say: "Why is not a sign sent down to him (Muhammad) from his Lord?" say: "Verily, Allah sends astray whom He wills and guides unto himself those who turn to him in repentance."
28. Those who believe (in the Oneness of Allah - Islamic Monotheism), and whose hearts find rest in the remembrance of Allah, verily, in the remembrance of Allah do hearts find rest .
29. Those who believe (in the Oneness of Allah - Islamic Monotheism), and work righteousness, Tuba (it means all kinds of happiness or name of a tree in Paradise) is for them and a beautiful place of (final) return.
30. Thus have we sent you (O Muhammad) to a community before whom other communities have passed away, in order that you might recite unto them what we have inspired to you, while they disbelieve in the Most Beneficent (Allah) say: "He is mMy Lord! La ilaha illaHuwa (none has the right to be worshipped but He)! In Him is my trust, and to Him will be my return with repentance."


คำแปล R2.
27. และบรรดาผู้ไร้ศรัทธาทั้งหลายกล่าวว่า “(หากมุฮำมัดเป็นศาสดาจริง)ก็แล้วไฉนเล่าจึงไม่มีสัญลักษณ์(ปาฏิหาริย์)ใด ๆ จากองค์อภิบาลของเขาลงมาสู่เขาเลย” จงประกาศเถิด (มุฮำมัด) “แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงประทานความหลงผอดแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และส่งชี้นำสู่(แนวทางของ)พระองค์ แก่บุคคลที่กลับตืนสู่พระองค์
28. บรรดาผู้ซึ่งมีศรัทธาและหัวใจของพวกเขาสงบมั่นด้วยการระลึกถึงอัลเลาะฮฺ พึงสังวร! ดวงจิตทั้งหลายจักสงบเพราะการระลึกถึงอัลเลาะฮฺอย่างแน่นอน
29. บรรดาผู้ซึ่งมีศรัทธา และประพฤติแต่คุณงามความดี โชคดีและที่อยู่อันงดงามย่อมเป็นของพวกเขา
30. เช่นนั้น เราได้ส่งเจ้ามาในประชาชาติหนึ่งซึ่งที่จริงได้มีบรรดาประชาชาติต่าง ๆ ล่วงพ้นมาก่อนหน้านั้น(เป็นจำนวนมาก)แล้ว ทั้งนี้เพื่อเจ้าจักได้แถลงแก่พวกเขาซึ่ง(โองการแห่งอัลกุรอาน)ที่เราได้ดลแก่เจ้า ในขณะที่พวกเขาแสดงความอกตัญญูต่อองค์(อัลเลาะฮฺ)ผู้ทรงเมตตา จงประกาศเถิด พระองค์ทรงเป็นองค์อภิบาลแห่งฉัน ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ ฉันขอมอบหมายแด่พระองค์ และสู่พระองค์เท่านั้นที่กลับคืนของฉัน


คำแปล R3.
27. บรรดาผู้ปฏิเสธ (มุฮัมมัดว่าเป็นนบี)กล่าวว่า “ทำไมจึงไม่มีสัญญาณจากพระผู้อภิบาลของเขาถูกส่งมายังเขา?” จงกล่าวเถิดว่า “อัลลอฮฺทรงปล่อยให้ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์หลงทางไป และทรงนำทางเฉพาะผู้ที่หันไปยังพระองค์”
28. คนเหล่านั้นคือผู้ที่ศรัทธา(สาส์นของนบีนี้)และหัวใจของเขาพบความสงสัยในการระลึกถึงอัลลอฮฺ จงรู้ไว้เถิดว่า การระลึกถึงอัลลอฮฺเท่านั้นที่นำความสงบมาสู่หัวใจ
29. บรรดาผู้ที่ศรัทธาในสาส์นนี้และกระทำความดีย่อมได้รับความสุขความจำเริญ สำหรับพวกเขาคือบั้นปลายที่ดี
30. (โอ้ มุฮัมมัด) เราได้ส่งเจ้ามาเป็นศาสนทูตในทำนองนี้ ในหมู่ผู้คนที่ก่อนหน้านี้มีหลายหมู่ชนได้ล่วงลับไปแล้ว ทั้งนี้เพื่อที่เจ้าจะได้อ่านสาส์นที่เราได้ประทานมายังเจ้าให้พวกเขาฟัง แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังคงปฏิเสธพระผู้ทรงกรุณาปรานีเขาอย่างที่สุด จงกล่าวแก่พวกเขาว่า “พระองค์คือพระผู้อภิบาลของฉัน ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ ฉันมอบหมายความไว้วางใจอย่างเต็มที่ต่อพระองค์ และพระองค์คือผู้ที่ฉันกลับไป”


คำแปล R4.
27. และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธากล่าวว่า ทำไมสัญญาณจากพระเจ้าของเขาจึงไม่ถูกประทานให้แก่เขา? จงกล่าวเถิด แท้จริงอัลลอฮฺทรงให้หลงทางแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และทรงนำทางสู่พระองค์แก่ผู้ที่สำนึกตัว
28. บรรดาผู้ศรัทธา และจิตใจของพวกเขาสงบด้วยการรำลึกถึงอัลลอฮ พึงทราบเถิด ด้วยการรำลึกถึงอัลลอฮเท่านั้นทำให้จิตใจสงบ
29. บรรดาผู้ศรัทธาและกระทำความดี ความผาสุกย่อมได้แก่พวกเขา และเป็นการกลับไปที่ดียิ่ง
30. ในทำนองนี้เราได้ส่งเจ้ามายังกลุ่มชนหนึ่ง ซึ่งก่อนหน้านั้นมีกลุ่มชนอื่นได้ล่วงลับไปแล้ว เพื่อเจ้าจะได้บอกกล่าวแก่พวกเขาถึงสิ่งที่เราได้วะฮี แก่เจ้า โดยที่พวกเขาปฏิเสธศรัทธาต่อพระผู้ทรงกรุณาปรานี จงกล่าวเถิด พระองค์คือพระเจ้าของฉัน ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์เฉพาะพระองค์เท่านั้นฉันมอบความไว้วางใจ และยังพระองค์คือการกลับไปของฉัน


คำแปล R5.
๒๗. บรรดาชนผู้เป็นกาฟิรชาวนครมักกะห์กล่าวว่า จงให้มีสักสัญญาณหนึ่งจากองค์พระผู้อภิบาลของเขา (มุฮำมัด) ลงมาถึงเขาซิ เช่นเดียวกับสัญญาณของมูซาที่ได้ไม้เท้าและมือเปลี่ยนเป็นสีขาวและสัญญาณของซอลิห์ที่ได้รับอูฐตัวเมียผลุดออกจากเนื้อหินภูเขา โอ้มุฮำมัด จงบอกแก่พวกกาฟิรมักกะห์เถิดว่า แน่แท้อัลเลาะห์จะทรงให้ผู้ใดก็ได้หลงหนทางตามที่ทรงมุ่งประสงค์ ฉะนั้นการบันดาลให้เกิดมีสัญญาณตามที่พวกท่านเรียกร้องนั้นหาช่วยให้พวกท่านห่างพ้นจากการหลงหนทางไปสู่แนวธรรมได้ไม่ และพระองค์จะทรงชี้แนวธรรมแก่ผู้ใดให้กลับไปสู่ศาสนา(อิสลาม)ของพระองค์ก็ได้
๒๘. พวกเหล่านั้นเป็นผู้มีศรัทธาต่อพระองค์และหัวใจของพวกเขาก็สงบอยู่ด้วยการรำลึกในสัญญาการตอบสนองกุศลจากอัลเลาะห์ แน่นอน โดยการรำลึกในสัญญาดังกล่าวของอัลเลาะห์เท่านั้น ที่หัวใจของปวงชนผู้มีศรัทธาจะสุขสงบได้
๒๙. บรรดาชนผู้มีศรัทธาและที่ได้ประพฤติชอบนั้นย่อมได้รับความรื่นรมย์หรือได้อยู่ภายในร่มเงาอขงต้นไม้ใหญ่ในสรวงสวรรค์ มีกิ่งก้านสาขาเป็นร่มเงาที่มีอาณาบริเวณกว้างไพศาล ขนาดอูฐเดินเท้านานถึงพันปี และมีที่กลับไปสู่อันสง่างาม
๓๐. ดังที่เรา (อัลเลาะห์)เคยแต่งตั้งพวกพระศาสนทูตมาก่อนจากเจ้านี้แหละ เราจึงแต่งตั้งเจ้า (มุฮำมัด) ขึ้นเป็นพระศาสนทูตท่ามกลางประชากรหนึ่งซึ่งมีมาหลังจากประชากรของพระศาสนทูตในยุคก่อนได้ล่วงลับไปแล้ว เพื่อเจ้าจะได้อ่านพระคัมภีร์อัล-กุรอานที่เรา (อัลเลาะห์) ได้ดลมายังเจ้า ให้พวก (ประชากรของเจ้า) เหล่านั้นฟัง แต่พวก ประชากรของเจ้าเหล่านั้นของเจ้ากลับปฏิเสธพระผู้เป็นเจ้า องค์ทรงยิ่งในความปรานี เพราะว่าพวกนั้นในคราที่ถูกสั่งให้ก้มลงกราบเคารพองค์ยิ่งในความปรานี พวกนั้นถามว่า “อะไรคือองค์ยิ่งในความปรานี” โอ้มุฮำมัด จงกล่าวแก่ปวงประชากรของเจ้าเถิด พระองค์คือองค์พระผู้อภิบาลแห่งฉัน ไม่มีพระเจ้าอื่นใดอันควรแก่การเคารพบูชา นอกจากพระองค์ผู้ทรงยิ่งในความปรานีเท่านั้น เฉพาะพระองค์เท่านั้นที่ฉันขอยึดมั่น และที่ซึ่งจะขอลุแก่โทษไปสู่ ก็คือพระองค์นั่นแหละ


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัรฺเราะอฺดุ อายะฮฺที่ 31
 

คำแปล R1.
31. And if there had been a Qur'an with which mountains could be moved (from their places), or the earth could be cloven asunder, or the dead could be made to speak (it would not have been other than this Qur'an). But the decision of all things is certainly with Allah. Have not then those who believe yet known that had Allah willed, He could have guided all mankind and a disaster will not cease to strike those who disbelieve because of their (evil) deeds or it (i.e. the disaster) settle close to their homes, until the Promise of Allah comes to pass. Certainly, Allah does not fail in his Promise.

คำแปล R2.
31. และถึงแม้ว่าโดยอัลกุรอานจะทำให้ภูเขาถูกเคลื่อนที่ได้หรือทำให้แผ่นดินถูกตัดแยกกันได้และทำให้คนตายพูดได้ (พวกเหล่านั้นก็ยังไม่ยอมศรัทธาอยู่นั่นเอง) ทว่า! การงานทั้งสิ้นย่อมเป็นสิทธิของอัลเลาะฮฺผู้เดียว แล้วปวงชนผู้ศรัทธายังมิรู้อีกหรือว่า “มาดแม้นอัลเลาะฮฺทรงประสงค์แล้วพระองค์ย่อมชี้นำมวลมนุษย์โดยทั้งสิ้น (มิให้เหลือไว้เป็นผู้ไร้ศรัทธาเลย) และบรรดาพวกไร้ศรัทธาทั้งหลายจะต้องประสบกับความหายนะเสมอ เพราะการกระทำ(อันเลวร้าย)ของพวกเขาเอง หรือมิฉะนั้นความหายนะนั้นก้อุบัติขึ้น ณ สถานที่อันใกล้เคียงกับบ้านเมืองของพวกเขาเอง จนกระทั่งสัญญาของอัลเลาะฮฺมาถึง แท้จริงอัลเลาะฮฺไม่ทรงผิดสัญญาอย่างแน่นอน”

คำแปล R3.
31. และ (สูเจ้าคิดว่า)มันจะมีผลอะไรถ้าหากเราได้ส่งกุรอานที่ทำให้ภูเขาเคลื่อนไหวหรือทำให้แผ่นดินแยกออกจากกัน หรือทำให้คนตายพูดได้? (มันไม่เป็นการยากเลยที่จะแสดงสัญญาณเช่นนั้น) เพราะอัลลอฮฺทรงมีอำนาจเหนือทุกสิ่ง บรรดาผู้ศรัทธา (ยังคงหวังที่จจะได้เห็นสัญญาณเป็นการตอบสนองความต้องการของบรรดาผู้ปฏิเสธและ)ยังไม่สิ้นหวังใช่ไหม (ที่รู้ว่า) อัลลอฮฺทรงสามารถที่จะนำทางมนุษย์ทั้งหมดก็ได้ ถ้าหากพระองค์ทรงประสงค์? สำหรับบรรดาผู้ปฏิเสธนั้นความวิบัติหายนะ ไม่อย่างหนึ่งบอย่างใดจะเข้ามาเยี่ยมเยียนเขาครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่หยุดหย่อนเพราะความผิดที่พวกเขาได้ประกอบไว้ หรือไม่ก็เกิดขึ้นใกล้กับที่อาศัยของพวกเขา มันจะเป็นไปเช่นนี้จนกว่าสิ่งที่อัลลอฮฺทรงขู่ไว้จะเกิดขึ้น แท้จริงอัลลอฮฺมิทรงผิดพลาดในสิ่งที่พระองค์ทรงขู่ไว้

คำแปล R4.
31. และมาดว่าอัลกุรอาน โดยมันนั้นภูเขาถูกทำให้เคลื่อนที่ได้ หรือโดยมันนั้นแผ่นดินถูกทำให้แยกออกจากกันได้ หรือโดยมันนั้นคนตายถูกทำให้พูดได้ แต่ทว่าพระบัญชาทั้งมวลเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮ บรรดาผู้ศรัทธายังมิรู้ดอกหรือว่า มาดว่าอัลลอฮทรงประสงค์ แน่นอนพระองค์จะทรงชี้แนะทางแก่มนุษย์ทั้งมวลก็ได้ และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธานั้น ความหายนะคงจะประสบแก่พวกเขา เนื่องด้วยพวกเขาได้กระทำไว้ หรือจะเกิดขึ้นใกล้ที่พำนักของพวกเขา จนกระทั่งสัญญาณของอัลลอฮจะมาถึง แท้จริงอัลลอฮมิทรงผิดสัญญา

คำแปล R5.
มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้ คือว่า ในตอนที่พวกกาฟิรชาวมักกะห์บอกแก่มุฮำมัด ซ.ล. ว่า หากท่านเป็นศาสนทูต ร่อซูล จริงแล้ว ก็จงให้เทือกเขาที่นครมักกะห์นี้เขื้อนที่ไปได้ หรือไม่ก็จงให้ท้องที่นครมักกะห์เป็นลุ่มน้ำ และเป็นตาน้ำให้ได้ซิ พวกเราจะได้เอาต้นไม้มาปลูก และจงบันดาลให้บรรพบุรุษของเราที่ตาย ๆ ไปแล้วคืนชีพขึ้นมาซิ เพื่อเขาเหล่านั้นจะได้มาบอกพวกเรา ท่านเป็นศาสนทูตจริง จึงมีโองการลงมาในขณะที่พวกกาฟิรพูดท้าทายนี้ว่า
๓๑. ต่อให้ภูเขาขยับเขยื้อนได้หรือแผ่นดินแยกออกได้ หรือคนตายแล้วจะถูกให้คืนชีพขึ้นมาเจรจาได้เพราะอานุภาพจากอัล-กุรอานก็เอาเถิด พวกนั้นก็ไม่ยอมเชื่ออยู่ดี แต่งานทั้งสิ้นนั้นเป็นสิทธิของอัลเลาะห์ หาได้เป็นของใครอื่นไม่ ฉะนั้นย่อมไม่มีคนใดศรัทธาได้ นอกจากผู้ซึ่งพระองค์ทรงมุ่งประสงค์เท่านั้น ย่อมจะมีศรัทธา
มูลเหตุแห่งการลงโองการส่วนต่อไปนี้ มีว่า ขณะที่เหล่าสาวกของพระศาสดามุฮำมัด ซ.ล. ต้องการจะให้มีสัญญาณลงมาเป็นประจักษ์ ตามที่กาฟิรชาวนครมักกะห์เรียกร้อง เพราะหมายมั่นว่าพวกกาฟิรมักกะห์จะเกิดมีศรัทธาและมวลมนุษย์ก็จะเกิดมีศรัทธาอีกด้วย จึงมีโองการจากพระองค์ลงมาว่า
ไม่เป็นการอันสมควรเลยที่เหล่าสาวกผู้ซึ่งมีศรัทธาจะลืมไปว่ากิจทั้งมวลเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลเลาะห์ และ จะเขลาไปว่าถ้าอัลเลาะห์ทรงมุ่งประสงค์แล้วไซร้ พระองค์ก็ทรงให้มนุษย์ทั้งสิ้นได้รับแนวธรรมได้ ด้วยเป็นชนผู้มีศรัทธาโดยไม่ถึงกับต้องมีสัญญาณใดลงมาแสดงด้วยหรอก บรรดาชนผู้เป็นกาฟิรชาวนครมักกะห์ก็จะเกิดมีเคราะห์มาประสบเข้าจนต้องสูญเสียบ้าง ถูกล้างชาติพันธุ์บ้าง และถูกจับตัวมาเป็นเชลยบ้าง ตลอดทั้งถูกพิชิตด้วยศึกสงครามและการขาดแคลนอาหารบ้าง ฐานที่พวกกาฟิรเหล่านั้น ได้ก่อกรรมกันไว้แก่มุฮำมัด ซ.ล. ด้วยการไม่ยอมเชื่อเขาเลย โอ้มุฮำมัด หรือเจ้าจะเข้าไปแค่ตำบลหุไดบียะห์ซึ่งอยู่ ใกล้ ๆ กับบ้านเรือนของพวกนั้นที่นครมักกะห์ในปีที่ ๖ ซึ่งพวกนั้นไม่ยอมให้เจ้าเข้าสู่นครมักกะห์ แต่ถึงกระนั้นในที่สุดพวกนั้นก็ตกลงประนีประนอมกับเจ้าให้เข้ายังนครมักกะห์ได้ เพื่อทำพิธีอุมเราะฮฺในปีที่ ๗ จนกระทั่งถึงในปีที่ ๘ เจ้าก็สามารถพิชิตนครมักกะห์ได้สำเร็จตามที่สัญญาของอัลเลาะห์มีมาถึงเจ้า พอตกในปีที่ ๑๐ พระศาสดามุฮำมัด ก็ได้ประกอบพิธีฮัจย์อีกหนหนึ่ง แน่แท้ อัลเลาะห์จะไม่ทรงบิดพลิ้วซึ่งสัญญาของพระองค์ให้ผิดเพี้ยนเป็นอื่นเลย

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัรฺเราะอฺดุ อายะฮฺที่ 32 - 34


คำแปล R1.
32. And indeed (many) Messengers were mocked at before you (O Muhammad), but I granted respite to those who disbelieved, and finally I punished them. Then how (terrible) was My Punishment!
33. Is then He (Allah) who takes charge (guards, maintains, provides, etc.) of every person and knows all that He has earned (like any other deities who know nothing)? Yet they ascribe partners to Allah. Say: "Name them! Is it that you will inform Him of something He knows not in the earth or is it (just) a show of false words?" Nay! To those who disbelieve, their plotting is made fairseeming, and they have been hindered from the right path, and whom Allah sends astray, for him, there is no guide.
34. For them is a torment in the life of this world, and certainly, harder is the torment of the Hereafter. And they have no protector against Allah.


คำแปล R2.
32. ขอยืนยัน แท้จริงบรรดาศาสนทูตก่อนหน้าเจ้า(มุฮำมัด)ก็ถูกเย้ยหยัน(จากพวกพาลชนมาก่อนแล้วเหมือนกัน)ซึ่งข้าได้ประวิงเวลาให้แก่พวกไร้ศรัทธา(ไม่ลงโทษชั่วระยะหนึ่ง) แล้วต่อมาข้าก็จัดการลงโทษพวกเขา แล้วการลงโทษของข้านั้นเป็นอย่างไรบ้างเล่า
33. แล้วใครเล่าเป็นผู้ทรงอำนาจปกครองเหนือทุกชีวิต ตามที่พวกเขาได้ขวนขวายไว้และพวกเขาได้อุปโลกน์บรรดาภาคีขึ้นแด่อัลเลาะฮฺ เจ้าจงประกาศเถิด “พวกท่านจงตั้งชื่อพวก (ภาคี) เหล่านั้นขึ้นมาซิ! หรือว่าพวกท่านจะแจ้งให้พระองค์ทราบถึงสิ่งที่พระองค์ไม่รับรู้(สถานภาพของมันตามที่พวกเจ้าอุปโลกน์ขึ้น)ในแผ่นดิน? หรือเป็นเพียงแต่คำพูดอันผิวเผิน(ของพวกท่านที่มีต่อสิ่งอุปโลกน์เหล่านั้น) ทว่า แผนการร้ายของเหล่าผู้ไร้ศรัทธา(ที่มุ่งกระทำต่อฝ่ายมุสลิม)ได้ถูกประดับประดาแก่พวกเขา(ให้เห็นดีเห็นงามจนพวกเขาประพฤติอย่างต่อเนื่องตลอดมา) และพวกเขาถูกกีดขวาง (โดยกิเลสตัณหาของพวกเขาเอง)จากแนวทาง(อันเที่ยงตรง) และผู้ใดซึ่งอัลเลาะฮฺยังความหลงผิด แน่นอนจะไม่มีผู้ใดชี้นำแก่เขาได้เลย
34. พวกเขาจะถูกตอบแทนด้วยการลงโทษในชีวิตทางโลกนี้ และที่จริงนั้นการลงโทษในโลกหน้าย่อมลำเค็ญกว่า และพวกเขาจะไม่มีผู้ใดป้องกันจาก(การลงโทษของ)อัลเลาะฮฺได้

 
คำแปล R3.
32. ศาสนทูตคนอื่น ๆ ก็ได้เคยถูกเยาะเย้ยมาก่อนหน้าเจ้าแล้ว แต่ฉันก็ผ่อนปรนเวลาให้บรรดาผู้ปฏิเสธได้สำนึกผิด แล้วจึงได้จัดการพวกเขาในที่สุด ดูเอาเองแล้วกันว่าการลงโทษของฉันน่าสะพรึงกลัวเช่นใด
33. พวกเขา (กล้าจนถึงกับ)ตั้งสิ่งอื่นเป็นหุ้นส่วนกับพระองค์ผู้ทรงเฝ้ามองการกระทำของทุกชีวิตอยู่ทุกขณะกระนั้นหรือ? โอ้นบี จงบอกพวกเขาเถิดว่า “(ถ้าหากพระเจ้าเองเป็นผู้ทรงตั้งหุ้นส่วนของพระองค์ขึ้นมา) จงบอกชื่อของพวกมันหน่อยซิ พวกท่านต้องการที่จะบอกพระองค์ถึงสิ่งใหม่ที่พระองค์เองมิทรงรู้บนแผ่นดินของพระองค์กระนั้นหรือ? หรือพวกท่านเพียงพูดขึ้นมาลอย ๆ ? แท้จริงสำหรับบรรดาผู้ปฏิเสธสาส์นนั้น การหลอกลวงของพวกเขาได้ถูกทำให้ปรากฏเป็นที่ดีงามแก่พวกเขา และพวกเขาได้ถูกขวางจากแนวทางที่ถูกต้อง และไม่มีใครที่จะแสดงหนทางที่ถูกต้องให้แก่บรรดาผู้ที่อัลลอฮฺทรงปล่อยให้หลงทางได้
34. สำหรับพวกเขา มีการลงโทษในชีวิตแห่งโลกนี้ แต่การลงโทษในโลกหน้านั้นเจ็บปวดทรมานยิ่งกว่า และไม่มีใครที่จะคุ้มครองเขาให้รอดพ้นจากอัลลอฮฺได้


คำแปล R4.
32. และโดยแน่นอน บรรดารอซูลก่อนหน้าเจ้าได้ถูกเย้ยหยันมาแล้ว ข้าได้ประวิงเวลาแก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาแล้วข้าได้คร่าพวกเขา ดังนั้นการลงโทษของข้าเป็นเช่นใด
33. ดังนั้น พระองค์ผู้ทรงเฝ้ามองทุกชีวิตที่มันได้ขวนขวายเอาไว้ (จะเหมือนกับเจว็ดทั้งหลาย) กระนั้นหรือ? และพวกเขาได้ตั้งภาคีเทียมอัลลอฮฺ จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด พวกท่านจงกล่าวชื่อพวกมัน หรือพวกท่านจะบอกพระองค์ในสิ่งที่พระองค์ไม่รู้ในแผ่นดิน หรือเป็นเพียงคำพูดที่กล่าวขึ้นมาลอย ๆ กระนั้นหรือ เปล่าเลย ได้ถูกทำให้เพริศแพร้วแก่บรรดาผู้ปฏิเสธ ซึ่งแผนการของพวกเขา และถูกปิดกั้นจากแนวทาง (ของอัลลอฮฺ) และผู้ใดที่อัลลอฮฺทรงประสงค์ให้เขาหลงทางสำหรับเขาจะไม่มีผู้ชี้แนะให้เลย
34. สำหรับพวกเขาจะได้รับการลงโทษในชีวิตของโลกนี้ และแน่นอนการลงโทษในปรโลกนั้นร้ายแรงกว่า และสำหรับพวกเขาไม่มีผู้คุ้มกันจาก (การลงโทษของ) อัลลอฮได้


คำแปล R5.
๓๒. ข้าจักให้สัจปฏิญาณเพื่อเป็นการบำรุงขวัญว่า แท้จริงเหล่าพระศาสนทูตที่อยู่ในยุคก่อน ๆ จากเจ้า(มุฮำมัด) เคยถูกประชากรของพวกเขา เหยียดหยามกันมาแล้ว เหมือนกับประชากรของเจ้าเหยียดหยามเจ้านั่นแหละ ดังนั้นขอให้เจ้าอกใจไว้ให้เหมือนกับที่เหล่าพระศาสนทูตสมัยก่อนเขาเคยอดใจกันมา ข้า(อัลเลาะห์) จึงได้ทอดเวลาให้กับบรรดาที่เป็นกาฟิรได้เพลินอยู่กับความผาสุกและสงบไว้ก่อน ครั้นแล้วข้าก็เอาโทษพวกเขา แล้วโทษจากข้าที่จะลงแก่พวกเขาซึ่งเหยียดหยามเจ้านั้นจะทรงความยุติธรรมเป็นอย่างไร
๓๓. ใครเล่าเป็นผู้คุ้มรักษาไว้ซึ่งแต่ละชีวิตแห่งบรรดาข้าพระองค์ ใครเป็นผู้เอื้ออำนวยโภคลาภ เป็นผู้รู้ถึงคุณความดีและความชั่วช้าของแต่ละชีวิตเหล่านั้นตามที่ได้พยายามขวนขวายกัน พระองค์ทรงตอบสนองบุญกรรมให้ ถ้าชีวิตนั้น ๆ ประพฤติดี และจะทรงเอาโทษถ้าชีวิตนั้นประพฤติชั่วช้า ผู้คุมรักษาต่าง ๆ ก็ดี และผู้ทรงการอื่นก็ดีตามที่กล่าวนี้คือ อัลเลาะห์ผู้ซึ่งทรงคุณลักษณะผิดกับเหล่าเทวรูป ดังนั้นเหล่าเทวรูปจึงมีคุณลักษณะต่างจากพระองค์ แม้นตัวของมันเองก็ไม่สามารถอยู่แล้ว นับประสาอะไรกับคนอื่น มันไม่อาจให้คุณและโทษได้ แล้วพวกเหล่านั้นที่เป็นชนกาฟิรชาวมักกะห์ ต่างยึดถือเอาเทวรูปเป็นตัวภาคีขึ้นเทียบอัลเลาะห์ในทางให้ความเคารพสักการะ โอ้มุฮำมัดจงกล่าวเถิดแก่ชนกาฟิรเหล่านั้นว่า พวกท่านจงบอกชื่อและจงบรรยายถึงคุณลักษณะของ(เทวรูป)มาให้ชัดแจ้งด้วยซิ ทั้งจงบอกมาให้แน่ชัดอีกว่าเทวรูปนั้นมาแต่ธาตุใด และเป็นเพศใด หรือว่าพวกท่านจะแจ้งให้พระองค์ได้ทรงทราบถึงเนื้อแท้ของเทวรูปที่พระองค์ไม่ทรงทราบอยู่ ณ ผืนแผ่นดิน ย่อมเป็นไปมิได้เลย ทั้งนี้เพราะตามข้อเท็จจริงเทวรูปหามีเนื้อแท้ใด ๆ ในตัวของมันไม่ ถ้ามี อัลเลาะห์ก็ทรงทราบ แต่พระองค์หาได้ทรงทราบแต่ประการใดไม่ นั่นแสดงว่าในตัวเทวรูปนั้นไม่มีเนื้อแท้ใดเลย หรือ ว่าพวกท่านเพียงแต่จะอ้างชื่อของเทวรูปอย่างเผิน ๆ ตามความนึกคิดอันไร้สาระของพวกท่านเท่านั้น ว่าเทวรูปคือคู่ภาคีกับอัลเลาะห์ ในทางให้ความเคารพบูชา ฉะนั้น พวกท่านอาจออกชื่อให้เทวรูปได้สักแต่ว่าเป็นชื่อและเป็นชื่อแห่งความหายนะ เจ้าของชื่อหามีไม่ แต่บรรดาที่เป็นกาฟิรชาวมักกะห์ ถูกให้แลเห็นว่า ความไร้ศรัทธาของพวกเขาต่ออัลเลาะห์เป็นสิ่งงาม และจะถูกผลักห่างจากวิถีทางอันเที่ยงธรรมของอัลเลาะห์อีกด้วย ผู้ใดที่อัลเลาะห์ทรงให้หลงหนทางเสียแล้ว ผู้นั้นย่อมไม่มีคนใดชี้แนวธรรมไปสู่ทางเที่ยงแท้เลย
๓๔. พวกกาฟิรเหล่านั้นยังได้รับโทษทัณฑ์ทั้งในชีวิตแห่งภพนี้ โดยการถูกฆ่าและถูกจับตัวไปเป็นเชลย ส่วนโทษแห่งภาคปรภพเล่าก็ร้ายเหลือเกิน ร้ายกว่าโทษในภาคภพนี้เสียอีก ทั้งจะไม่มีผู้คุ้มกันพวกเขาจากโทษทรมานของอัลเลาะห์เลย

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ต.ค. 15, 2012, 06:17 AM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัรฺเราะอฺดุ อายะฮฺที่ 35 - 37
 

คำแปล R1.
35. The description of the Paradise which the Muttaqun (pious - see V.2:2): have been promised! -Underneath it rivers flow, its provision is eternal and so is its shade, this is the end (final destination) of the Muttaqun (pious - see V.2:2), and the end (final destination) of the disbelievers is Fire. (See Verse 47:15)
36. Those to whom we have given the Book (such as 'Abdullah bin Salam and other Jews who embraced Islam), rejoice at what has been revealed unto you (i.e. the Qur'an) , but there are among the confederates (from the Jews and pagans) those who reject a part thereof. Say (O Muhammad): "I am commanded only to worship Allah (alone) and not to join partners with Him. To Him (alone) I call and to Him is my return."
37. And thus have we sent it (the Qur'an) down to be a judgment of authority in Arabic. Were you (O Muhammad) to follow their (vain) desires after the knowledge which has come to you, then you will not have any Wali (protector) or defender against Allah.


คำแปล R2.
35. อุทาหรณ์แห่งสวรรค์ที่ถูกสำรองไว้แก่พวงชนผู้ยำเกรงซึ่งมีธารน้ำหลากสายไหลอยู่ ณ เบื้องใต้ของมัน (ให้ความเย็นชื่อนตลอดเวลา) อาหารการกินของสวรรค์มีอยู่เป็นนิรันดร์พร้อมทั้งร่มเงาของมันนั่น! เป็นที่หมายสุดท้ายของบรรดาผู้ยำเกรง และที่หมายสุดท้ายของพวกไร้ศรัทธาคือนรก
36. และบรรดา (พวกยิว-คริสต์บางคน) ผู้ซึ่งเรา(อัลเลาะฮฺ) ได้มอบคัมภีร์(เตารอฮฺ-อินญีล) ให้พวกเหล่านั้นมีความพึงใจในสิ่งที่ถูกลงมาให้เจ้า (คืออัลกุรอาน) แต่ก็มีอีกบางกลุ่มชนผู้ที่คัดค้านบางส่วนของสิ่งนั้น (อัลกุรอาน) จงประกาศเถิด! ความจริงฉันได้รับคำบัญชามาว่าให้ฉันทำการนมัสการอัลเลาะฮฺ และฉันต้องไม่ตั้งภาคีกับพระองค์ ฉันต้องวอนขอเฉพาะพระองค์และที่หมายของฉันคือกลับคืนสู่พระองค์
37. และเช่นนั้น เราได้ลงอัลกุรอานมาเป็นข้อตัดสินที่ใช้ภาษาอาหรับ ขอยืนยัน แท้จริงหากเจ้าตามอารมณ์ของพวกเขา ทั้ง ๆ ที่ความรู้แท้ได้มาถึงเจ้าแล้ว แน่นอนเจ้าจะไม่มีผู้ใดเลยที่ให้ความคุ้มครองและคอยป้องกัน (ให้พ้นไป)จาก (การลงโทษของ) อัลเลาะฮฺได้

 
คำแปล R3.
35. สำหรับสวนสวรรค์ที่ผู้เกรงกลัวอัลลอฮฺได้ถูกสัญญาไว้นั้นเป็นดังนี้คือ ภายใต้นั้นจะมีลำน้ำหลายสายไหลผ่าน ผลของมันยืนนานถาวรและร่มเงาของมันยาวนานตลอดไป นั่นคือสิ่งตอบแทนสำหรับผู้สำรวมตนจากความชั่ว แต่ผลตอบแทนบั้นปลายของบรรดาผู้ปฏิเสธนั้นคือไฟนรก
36. (โอ้ นบี) บางคนของผุ้ที่เราได้ประทานคัมภีร์ให้ก่อนหน้าเจ้า มีความยินดีในคัมภีร์ที่เราได้ประทานแก่เจ้า ในขณะที่มีบางคนในหมู่ชนต่าง ๆ ปฏิเสธบางสิ่งที่มีอยู่ในนี้ จงบอกพวกเขาว่า “ฉันได้ถูกบัญชาให้เคารพภักดีอัลลอฮฺเท่านั้น และได้ถูกห้ามมิให้ตั้งสิ่งใดเป็นภาคีเทียบเคียงพระองค์ ดังนั้นฉันจึงขอเชิญชวนพวกท่านไปสู่พระองค์และฉันเองก็จะกลับไปหาพระองค์
37. ด้วยคำสั่งนี้เองที่เราได้ส่งคำบัญชามาเป็นภาษาอาหรับ และถ้าหากเจ้าปฏิบัติตามความปรารถนาและอารมณ์ต่ำของพวกเขาทั้ง ๆ ที่เจ้าได้รับความรู้แล้ว จะไม่มีใครที่จะป้องกันเจ้าหรือคุ้มครองเจ้าให้พ้นจากอัลลอฮฺได้


คำแปล R4.
35. อุปมาสวนสวรรค์ซึ่งบรรดาผู้ยำเกรงได้ถูกสัญญาไว้คือ มีลำน้ำหลายสายไหลผ่านภายใต้มัน ผลไม้และเงาร่มมีอยู่ตลอดกาล นั่นคือบั้นปลายของบรรดาผู้ยำเกรง และบั้นปลายของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา ก็คือไฟนรก
36. และบรรดาผู้ที่เราได้ให้คัมภีร์แก่พวกเขาต่างก็ดีใจ ต่อสิ่งที่ได้ถูกประทานให้แก่เจ้า (อัลกุรอาน) และส่วนหนึ่งจากกลุ่มชนต่าง ๆ มีผู้ปฏิเสธบางส่วนของมัน (อัลกุรอาน) จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด แท้จริงฉันถูกบัญชาให้เคารพภักดีต่ออัลลอฮ และฉันจะไม่ตั้งภาคีเท่าเทียมพระองค์ และยังพระองค์ฉันจะเชิญชวน และยังพระองค์เท่านั้นคือการกลับไปของฉัน
37. และในทำนองนั้น เราได้ให้อัลกุรอานแก่เขาไว้เป็นข้อชี้ขาดที่เป็นภาษาอาหรับ และหากเจ้าปฏิบัติตามความใคร่ของพวกเขา หลังจากหลักฐานได้มายังเจ้าแล้ว สำหรับเจ้าจะไม่มีผู้ช่วยเหลือและผู้คุ้มกันจากการลงโทษของอัลลอฮ


คำแปล R5.
๓๕. คุณลักษณะของสวรรค์ซึ่งชนผู้ยำเกรงได้รับสัญญาไว้นั้น ที่เบื้องล่างมีลำธารไหลผ่าน อาหารในนั้นก็มีอยู่ไม่ขาด ไม่สูญเสีย ทั้งร่มเงาในสรวงสวรรค์นั้นก็มีอยู่อย่างถาวร แม้ดวงอาทิตย์ก็ไม่อาจทำลายร่มเงานั้นได้ สวรรค์ที่กล่าวนี้แหละเป็นสถานอันทรงเกียรติยิ่งขั้นสุดท้ายของบรรดาชนผู้ยำเกรงเรื่องถือภาคี แต่สถานขั้นสุดท้ายที่แสนเลวของปวงชนกาฟิรคือนรก
๓๖. และบรรดาชนทั้งหลายเช่น อับดุลเลาะห์บุตรสลามกับคณะ และ กะอับ อัล-อะบ๊าร ทั้งที่เป็นชนมุอ์มินยะฮูดี และมุอ์มินนะซอรออีก ๘๐ คน ที่เรา (อัลเลาะห์) ได้มอบพระคัมภีร์เตารอตและอินยีลให้ ต่างก็ปลื้มใจต่อข้อที่เราบัญญัติใช้ และห้ามเกี่ยวกับเรื่องของเอกภาพบ้าง เรื่องตำแหน่งพระศาสดาบ้าง และเรื่องการไปชุมนุมกันยังสถานแห่งหนึ่งหลังจากตายแล้วบ้าง ซึ่งข้อบัญญัติเหล่านั้นถูกมอบลงมายังเจ้า (มุฮำมัด) ในพระคัมภีร์อัล-กุรอาน แต่จากกลุ่มย่อยที่รวมพวกกันระหว่างพวกยะฮูดีและกาฟิรชาวมักกะห์เพื่อประสงค์จะทำศึกกับพระศาสดามุฮำมัด ซล. นั้น ก็มีผู้ปฏิเสธบางส่วนแห่งพระคัมภีร์อัล-กุรอานด้วยเหมือนกัน กล่าวคือชนยะฮูดีปฏิเสธข้อใช้และข้อห้ามจากอัล-กุรอานซึ่งระบุไว้ไม่ตรงตามในเตารอต แต่ยอมรับเฉพาะประวัติของพระศาสนทูตที่มีเล่าไว้ในพระคัมภีร์อัล-กุรอาน ซึ่งเล่าตรงกับพระคัมภีร์เตารอต ส่วนพวกกาฟิรชาวมักกะห์ปฏิเสธคำว่าอัล-เราะห์มาน (องค์ทรงยิ่งด้วยความปรานี) อันเป็นพระนามของพระเจ้าองค์เดียว แต่รับรองพระนามว่า “อัลเลาะห์”ซึ่งเป็นพระนามของพระเจ้าองค์เดียวเหมือนกัน เนื่องจากพวกนี้รู้จักดี ทั้งยังได้นับถือเราะห์มานุลยามาอะห์ คือมุไซลิม ผู้ให้เท็จอ้างตนเป็นพระศาสดาอีกด้วย โอ้มุฮำมัด เจ้าจงกล่าวแก่ชนกลุ่มย่อยเหล่านั้นเถิดว่า แน่แท้ฉันถูกบัญชาให้เคารพสักการะอัลเลาะห์เพียงพระองค์เดียว แต่มิถูกใช้ให้ถือภาคีใดเสมอด้วยพระองค์ เฉพาะพระองค์เท่านั้นที่ฉันเรียกร้อง และที่พระองค์อีกเหมือนกันที่ฉันกลับไปหา
๓๗. เช่นเดียวกับที่เรา (อัลเลาะห์) ได้มอบพระคัมภีร์ฉบับก่อน ๆ ลงมานี้แหละ เรา (อัลเลาะห์) จึงได้มอบพระคัมภีร์อัล-กุรอานให้มาแก่เจ้าเป็นบทบัญญัติตัดสินเป็นภาษาอาหรับด้วย โอ้มุฮำมัดเจ้าก็จะใช้พระคัมภีร์อัล-กุรอานภาษาอาหรับนี้เป็นบทตัดสินข้อพิพาทและข้อข้องใจของมวลมนุษย์ และขอให้สัจจะว่าถ้าโดยสมมติเจ้าเจริญตามอารมณ์ชอบทางกิเลสของพวกกาฟิรเหล่านั้นที่ชักชวนเจ้าให้เข้ารับนับถือศาสนาของพวกนั้นหลังจากความรู้ในเรื่องเอกภาพแห่งอัลเลาะห์มีมายังเจ้าแล้วไซร้ก็ไม่มีใครเลยเป็นผู้สงเคราะห์และเป็นผู้คุ้มกันเจ้า (มุฮำมัด) ให้พ้นการลงทัณฑ์จากอัลเลาะห์

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ต.ค. 15, 2012, 06:16 AM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัรฺเราะอฺดุ อายะฮฺที่ 38 - 39


คำแปล R1.
38. And indeed we sent Messengers before you (O Muhammad), and made for them wives and offspring. And it was not for a Messenger to bring a sign except by Allah's Leave. (for) each and every matter there is a decree (from Allah).
39. Allah blots out what He wills and confirms (what He wills). And with Him is the mother of the Book (Al-Lauh Al-Mahfuz)


คำแปล R2.
38. ขอยืนยัน! แท้จริงเราได้ส่งศาสนทูตต่าง ๆ มาก่อนหน้าเจ้า(มากมาย) และเราได้บันดาลบรรดาคู่ครองและผู้สืบตระกูลให้แก่พวกเขา (แบบมนุษย์ทั่ว ๆ ไป) อันศาสนทูตคนใดไม่มีสิทธิ์จะนำมาซึ่งสัญลักษณ์ (ปาฏิหาริย์)ใด ๆ นอกจากต้องโดยอนุมัติของอัลเลาะฮฺ แต่ละกำหนดการนั้นย่อมมีบันทึกไว้แล้วทั้งสิ้น
39. อัลเลาะฮฺทรงลบเลือนสิ่งซึ่งพระองค์ทรงประสงค์ และทรงคงไว้ตามเดิม (ในสิ่งที่ทรงประสงค์) และที่พระองค์นั่นคือแม่บทแห่งการบันทึก


คำแปล R3.
38. เราได้ส่งรอซูลมาหลายคนแล้วก่อนหน้าเจ้า และเราได้ให้พวกเขามีภรรยาและบุตร และไม่มีรอซูลคนใดมีอำนาจที่จะแสดงสัญญาณใด ๆ ได้ หากปราศจากการอนุมัติของอัลลอฮฺ ทุกยุคนั้น มีคัมภีร์ของมันเอง
39. อัลลอฮฺได้ทรงยกเลิกอะไรก็ตามที่พระองค์ทรงประสงค์และทรงรักษาไว้ซึ่งอะไรก็ตามซึ่งพระองค์ทรงประสงค์ และพระองค์ทรงมีคัมภีร์ต้นฉบับอยู่ที่พระองค์


คำแปล R4.
38. และโดยแน่นอน เราได้ส่งบรรดารอซูลมาก่อนหน้าเจ้า และเราได้ให้พวกเขามีภริยาและลูกหลาน และไม่บังควรแก่รอซูลที่จะนำมาซึ่งสัญญาณ (ปาฏิหาริย์) ใด ๆ เว้นแต่โดยอนุมัติของอัลลอฮ สำหรับทุกสิ่งอย่างนั้น มีบันทึกไว้แล้ว
39. อัลลอฮฺทรงยกเลิกสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ และทรงยืนหยัดให้มั่น (สิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์) และที่พระองค์คือแม่บทแห่งคัมภีร์ (อัลลูฮุลมะฮฺฟูซ)


คำแปล R5.
มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้ มีลงมาขณะที่ชาวกาฟิรชาวนครมักกะห์พูดจาติเตียนพระศาสดามุฮำมัด ว่ามีภริยามาก
๓๘. และขอให้สัจจะว่า แท้จริงเรา(อัลเลาะห์) ได้แต่งตั้งเหล่าพระศาสนทูตขึ้นแล้วก่อนเจ้า แล้วเราก็ให้เขา (พระศาสนทูต) เหล่านั้นมีภรรยาหลายคนและบุตรด้วย เป็นต้นว่า พระศาสนทูตสุลัยมานมีภรรยาสามร้อยกับมีนางบำเรออีกถึงเจ็ดร้อย และพระศาสนทูตยะกู๊บก็มีบุตรถึง ๑๒ คน โอ้มุฮำมัด เจ้าเองก็เหมือนกัน เจ้าย่อมมีสิทธิ์เช่นเดียวกับพระศาสนทูตในยุคก่อน ๆ เจ้าจึงมีภรรยาได้ถึง ๑๐ คน กับนางทาสอีก ๔ คนและมีบุตร ๗ คน และพระศาสนทูตคนใดในหมู่พระศาสนทูตทั้งหลายก็ไม่อาจจะนำมาซึ่งสัญญาณเพื่อยืนยันตำแหน่งพระศาสนทูตของตนเองได้ นอกจากโดยอนุญาตของอัลเลาะห์ อันว่ากำหนดกาลของแต่ละสิ่งนั้น ย่อมมีบันทึก ซึ่งมวลมลาอิกะห์จะถ่ายบันทึกนั้นจากแผ่นทะเบียนเดิม(เลาหุลมะห์ฟูต)ที่แขวนอยู่ใต้อัล-อัรชุ์ (ฟ้าชั้นที่เก้า)
๓๙. อัลเลาะห์จะทรงลบบันทึก ไม่ว่าจะเป็นบทบัญญัติใช้หรือห้าม หรืออื่นใดตามที่ทรงมุ่งประสงค์ก็ได้ และทรงคงไว้ซึ่งบันทึกนั้น ๆ เป็นดังเดิมก็ได้ แต่ความรู้อันมีอยู่แน่นอนแล้วที่พระองค์นั้นคือแม่ฉบับในแผ่นทะเบียนเดิม (เลาหุลมะห์ฟูต) หาได้มีการแปรเปลี่ยนแต่ประการใดไม่

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ต.ค. 14, 2012, 08:37 AM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัรฺเราะอฺดุ อายะฮฺที่ 40 - 41



คำแปล R1.
40. Whether we show you (O Muhammad) part of what we have promised them or Cause you to die, your duty is only to convey (the Message) and on us is the reckoning.
41. See they not that we gradually reduce the land (of disbelievers, by giving it to the believers, in war victories) from its outlying borders. And Allah judges, there is none to put back his judgment and He is swift at reckoning.


คำแปล R2.
40. และไม่ว่าเราจะทำให้เจ้าได้เห็นบางสิ่ง (คือโทษทัณฑ์)ที่เราสัญญาแก่พวกเขา หรือเราจะทำให้เจ้าตาย(ก่อนถึงวาระนั้น) ก็ตาม (ก็ไม่ใช่ปัญหาอุปสรรคใด ๆ ทั้งสิ้น) เพราะความเป็นจริง เจ้ามีหน้าที่เพียงการเผยแพร่เท่านั้น เรามีหน้าที่สอบสวน(พฤติกรรมของพวกนั้น)
41. และหรือพวกเขาไม่เห็นว่า แท้จริงเราจัดการลดส่วนของแผ่นดินจากปริมณฑลของมัน (ให้ถูกยึดครองโดยกองทัพมุสลิม เช่น การยึดครองเมืองมักกะฮฺเป็นต้น) และอัลเลาะฮฺทรงตัดสินโดยไม่มีผู้ใดทั้งสิ้นที่จะหักล้างข้อตัดสินของพระองค์ และพระองค์ทรงสอบสวนอย่างรวดเร็ว


คำแปล R3.
40. (และ โอ้นบี) จงแน่ใจเถิดว่าเราจะให้เจ้าได้เห็นสิ่งที่เราได้คาดโทษพวกเขาไว้ ไม่ว่าส่วนหนึ่งของมันจะเกิดขึ้นในระหว่างชีวิตของเจ้าหรือเราจะทำให้เจ้าตายก่อนที่มันจะเกิดขึ้น อย่างไรก็ตามหน้าที่ของเจ้าก็คือการนำสาส์นออกไปเผยแผ่ และเราเองจะทำหน้าที่ชำระบัญชี
41. คนเหล่านี้มิเห็นหรือว่าเราได้เข้ามายังแผ่นดินและย่นขอบเขตของมัน(สำหรับพวกเขา)ในทุก ๆ ด้านได้อย่างไร? อัลลอฮฺทรงปกครอง และไม่มีใครที่จะกลับคำบัญชาของพระองค์ได้ และพระองค์ทรงฉับพลันในการชำระบัญชี


คำแปล R4.
40. และหากเราจะให้เจ้าเห็นบางสิ่ง ซึ่งเราสัญญากับพวกเขา (ถึงการลงโทษ) หรือเราจะให้เจ้าตาย แท้จริงหน้าที่ของเจ้าคือการเผยแพร่ และหน้าที่ของเราคือการชำระบัญชี
41. พวกเขาไม่เห็นดอกหรือว่า แท้จริงเขาขยายพื้นที่ แล้วเราให้มันลดน้อยลงจากอาณาเขตของมันและอัลลอฮทรงตัดสิน ไม่มีผู้ใดเปลี่ยนแปลงการตัดสินของพระองค์ และพระองค์เป็นผู้ทรงฉับพลันในการคิดบัญชี

 
คำแปล R5.
๔๐. แล้วถ้าหากเรา (อัลเลาะห์ จะให้เจ้า (มุฮำมัด) ได้แลเห็นการลงทัณฑ์บางอย่างที่เราสัญญาไว้กับพวกกาฟิรเหล่านั้น ผู้เป็นศัตรูกับเจ้าและได้แลเห็นหลักฐานยืนยันฐานะความเป็นพระศาสนทูตจริงของเจ้าก็ได้ หรือเรา (อัลเลาะห์) จะให้เจ้าจบชีวิตลง ก่อนมีการลงโทษพวกกาฟิรเหล่านั้นก็ได้ ไม่ถือว่าเป็นข้อบกพร่องและเป็นความสะเพร่าในตัวเจ้าเลย เจ้านั้นเพียงแต่รับหน้าที่เป็นผู้เผยแพร่ศาสนาไปให้ถึงพวกเหล่านั้นเท่านั้น ส่วนการพินิจบุญและโทษนั้นเล่า เป็นกิจของเราเอง
๔๑. พวกกาฟิร (ชาวนครมักกะห์) เหล่านั้นไม่เห็นดอกหรือว่า ความจริงเรา (อัลเลาะห์) ได้ค่อย ๆ ให้แผ่นดินเสื่อมโทรมลงในทุก ๆ ด้าน จากเดิมที่รุ่งเรืองก็กลับเสื่อมลง อุดมสมบูรณ์อยู่แล้วก็กลับขาดแคลน มีเกียรติแล้วกลับอัปยศ ความผันแปรจากดีเป็นร้าย เหล่านี้ย่อมเห็นประจักษ์ชัดแก่สายตาแล้ว จึงไม่มีอันใดเป็นที่น่านอนใจสำหรับชนกาฟิรเลยในข้อที่อัลเลาะห์จะทรงแปรผันสภาพของชนกาฟิรให้เลวลงหลังจากพวกเขามีเกียรติ และที่จะทรงเปลี่ยนจากอิสรภาพมาถูกกดขี่ ด้วยว่าอัลเลาะห์ทรงเป็นผู้ประกาศิต อย่างปราศจากการโต้แย้งและการต่อต้านใด ๆ หามีผู้ใดคอยติดตามคัดค้านประกาศิตของพระองค์ไม่ และอัลเลาะห์นั้นทรงพินิจผลแห่งบุญและโทษได้ฉับไวยิ่งนัก เพียงครึ่งของวันในพิภพนี้เท่านั้น


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัรฺเราะอฺดุ อายะฮฺที่ 42 - 43


คำแปล R1.
42. And verily, those before them did devise plots, but all planning is Allah's. He knows what every person earns, and the disbelievers will know who gets the good end (final destination).
43. And those who disbelieve, say: "You (O Muhammad) are not a Messenger." say: "Sufficient for a witness between Me and you is Allah and those too who have knowledge of the Scripture (such as 'Abdullah bin Salam and other Jews and Christians who embraced Islam)."


คำแปล R2.
42. และแท้จริงบรรดา (พวกไร้ศรัทธา) ก่อนหน้า พวกเขาเคยวางแผนร้าย ทำลานศาสนทูตในยุคของพวกนั้น) แต่แท้จริงการวางแผนทั้งสิ้นนั้นเป็นของอัลเลาะฮฺเพียงผู้เดียว พระองค์ทรงรอบรู้ในสิ่งที่ทุกชีวิตขวนขวายไว้ และเหล่าผู้ไร้ศรัทธาทั้งหลายจะได้รู้ว่า อันสถานสุดท้าย (ที่ดีและเลว –สวรรค์,นรก)นั้นเป็นสิทธิของใคร
43. และบรรดาพวกไร้ศรัทธาพูดว่า “ท่านนั้นมิใช่ (ศาสนทูต) ผู้ถูกส่งตัวมาหรอก?” จงประกาศเถิด “ย่อมเป็นการเพียงพอแล้วดัวยกับอัลเลาะฮฺ และผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจในคัมภีร์ของอัลเลาะฮฺ ที่พึงเป็นสักขีพยาน ระหว่างฉันและระหว่างพวกท่าน”


คำแปล R3.
42. แท้จริงหมู่ชนก่อนหน้าพวกเขาได้วางแผนไว้ แต่แผนการอันเด็ดขาดนั้นอยู่ในอำนาจของอัลลอฮฺทั้งหมด พระองค์ทรงรู้ถึงสิ่งที่ทุกชีวิตขวนขวายไว้และในไม่ช้าบรรดาผู้ปฏิเสธจะรู้ว่าใครจะได้รับบั้นปลายที่ดี
43. บรรดาผู้ปฏิเสธกล่าวว่า “ท่านไม่ใช่รอซูลของอัลลอฮฺ” จงกล่าวเถิดว่า “อัลลอฮฺก็เพียงพอแล้วสำหรับการเป็นพยานระหว่างฉันกับพวกท่านและคนที่มีความรู้ในคัมภีร์”


คำแปล R4.
42. และโดยแน่นอน บรรดาผู้ที่มาก่อนหน้า พวกเขาได้วางแผนมาก่อนแล้ว ดังนั้นแผนการทั้งหมดเป็นของอัลลอฮ พระองค์ทรงรอบรู้สิ่งที่ทุกชีวิตแสวงหาเอาไว้ และพวกปฏิเสธศรัทธาจะได้รู้ว่าจะได้แก่ผู้ใดบ้างที่พำนักที่ดีในบั้นปลาย
43. และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธากล่าวว่า ท่านมิใช่เป็นผู้ได้รับแต่ตั้ง จงกล่าวเถิด เพียงพอแล้วที่อัลลอฮทรงเป็นพยานระหว่างฉันกับพวกท่าน และผู้ที่เขามีความรู้ในคัมภีร์ (ก็เป็นพยานด้วย)


คำแปล R5.
๔๒. แท้จริงบรรดาชนผู้เป็นประชากรก่อนจากพวก(ประชากรของเจ้า) เหล่านั้นได้เคยหลอกลวงพระศาสนทูตของพวกเขาเองสมัยนั้น เหมือนกับประชากรของเจ้าหลอกลวงเจ้า อันการตอบแทนผลแห่งอุบายทั้งมวลย่อมเป็นสิทธิ์ของอัลเลาะห์เท่านั้น กลอุบายจากพวกเหล่านั้นหาเหมือนกับของพระองค์ไม่ และจะสัมฤทธิ์ผลมิได้นอกจากเป็นไปตามพระประสงค์ของอัลเลาะห์ โอ้มุฮำมัด เจ้าจงสะกดใจต่อความเดือดร้อนจากอุบายลวงของพวกนั้น และจงนอนใจในอุบายดังกล่าวของพวกนั้นไว้เถิด เพราะพระองค์ทรงรู้ถึงคุณความดีและความชั่วช้าที่แต่ละชีวิตใฝ่หาไว้ พระองค์จึงทรงตระเตรียมผลตอบแทนในคุณความและความชั่วให้พวกนั้น การตอบแทนเช่นนี้แหละ คือการสนองผลแห่งอุบายอย่างที่พวกนั้นไม่รู้ตัวเลย แล้วในไม่ช้าเหล่ากาฟิรจะรู้ว่า สรวงสวรรค์สถานอันเป็นที่สุดประเสริฐจะเป็นของผู้ใด จะเป็นของกาฟิรเอง หรือว่าเป็นของพระศาสดามุฮำมัดกับคณะสาวก
๔๓. และบรรดาชนผู้เป็นกาฟิรแห่งนครมักกะห์กล่าวแก่เจ้าว่า เจ้ามิใช่พระศาสนทูต โอ้มุฮำมัด จงบอกแก่พวกเหล่านั้นเถิด มีอัลเลาะห์ทรงเป็นองค์พยานให้ฉันและพวกท่าน เพื่อยืนยันฐานะจริงแห่งความเป็นพระศาสนทูตของฉัน และมีศรัทธาชนยะฮูดี กับศรัทธาชนนัซรอนี ผูทรงความรู้ในพระคัมภีร์เตารอตและพระคัมภีร์อินยีลเป็นสักขีพยานก็เพียงพออยู่แล้ว



------------------------------------------------------------


ดำรัสของอัลลอฮฺผู้ทรงยิ่งใหญ่เป็นจริงเสมอ (صدق الله العظيم)
จบสูเราะฮฺที่ 13 อัรฺเราะอฺดุ
والسلام عليكم ورحمة الله وبركاته

 

GoogleTagged