ผู้เขียน หัวข้อ: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย ตอนที่ 15 อัลหิจญริ  (อ่าน 3992 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

 :salam:

อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย ตอนที่ 15 อัลหิจญริ

คำอธิบายประกอบสูเราะฮฺ อัลหิจญริ (  الحجر  - ชื่อเมือง )R4.

เป็นบัญญัติมักกียะฮฺ มี 99 อายะฮฺ
ความหมายโดยสรุปของซูเราะฮฺอัลฮิจรฺ
   ซูเราะฮฺอัลฮิจรฺเป็นซูเราะฮฺมักกียะฮฺที่มีจุดมุ่งหมายหลักคือการศรัทธาในอิสลามหมายถึงการให้ความเป็นเอกภาพแด่อัลลอฮฺ การเป็นนะบี การฟื้นคืนชีพและการตอบแทน หลักสำคัญของซูเราะฮฺนี้กล่าวถึงการต่อต้านของพวกปฏิเสธศรัทธาที่มีต่อบรรดารอซูลของอัลลอฮฺในสมัยต่าง ๆ ด้วยเหตุนี้ซูเราะฮฺนี้จึงเริ่มด้วยการเตือนสำทับถึงการลงโทษอย่างสาหัส
   “บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาหวังกันว่า หากพวกเขาได้เป็นมุสลิม เจ้าจงปล่อยพวกเขาบริโภคและร่าเริง แล้วความหวังจะทำให้พวกเขาลืม แล้วพวกเขาจะรู้”
   ซูเราะฮฺได้กล่าวถึงการเรียกร้องของบรรดานะบี และได้ชี้แจงถึงท่าทีของผู้หลงทางและผู้มีความทุกข์ที่มีต่อบรรดาร่อซูล ไม่มีนะบีท่านใดที่ถูกส่งมาเว้นแต่จะต้องถูกเย้ยหยันจากกลุ่มชนที่ถูกหลงทางของเขา ซึ่งจะเห็นได้จากตั้งแต่นะบีนูหฺ อะลัยอิสสลาม จนกระทั่งถึงนะบีท่านสุดท้ายคือนะบี มุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และนี่คือแนวทางของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาทุกกาลสมัย
   “และโดยแน่นอน ก่อนหน้าเจ้านั้น เราได้ส่งมาในหมู่คณะต่าง ๆ เมื่อครั้งสมัยก่อน ๆ และไม่มีร่อซูลคนใดมายังพวกเขา เว้นแต่พวกเขาจะเย้ยหยันเขา”
   ซูเราะฮฺได้เปิดเผยให้เห็นถึงสัญญาณต่าง ๆ อันชัดแจ้งโดยมันแผ่กระจายไปทั่วหน้าของจักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาลอันน่าประหลาดนี้ ซึ่งเป็นการบ่งชี้ให้เห็นถึงร่องรอบของผู้ประดิษฐสร้างมันขึ้นมา ในเวลาเดียวกันก็เป็นการยืนยันถึงความยิ่งใหญ่ของพระผู้สร้าง โดยเริ่มด้วยทัศนียภาพของชั้นฟ้า ทัศนียภาพของแผ่นดิน ทัศนียภาพของลมผสมเกสร ทัศนียภาพของความเป็นความตาย ทัศนียภาพของวันรวมฝูงชนและการฟื้นคืนชีพ ทั้งหมดนี้เป็นการแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮฺตะอาลา และเป็นการยืนยันถึงความเป็นเอกะและเดชานุภาพของพระองค์
    “และโดยแน่นอนเราให้มีหมู่ดาวในท้องฟ้า และเราได้ประดับมันให้สวยงามแก่บรรดาผู้เฝ้ามองและเราได้รักษามันให้พ้นจากชัยฏอนทุกตัวที่ถูกสาปแช่ง”
ซูเราะฮฺได้เปิดเผยถึงเรื่องราวของมนุษยชาติผู้ยิ่งใหญ่ คือเรื่องราวของการฮิดายะฮฺและการหลงทางโดยอุปมาในเรื่องอาดัม อะลัยฮิสสลามกับศัตรูตัวฉกาจคืออิบลีสที่ถูกสาปแช่ง และสิ่งที่เกิดขึ้นจากการสุญูดของมะลาอิกะฮฺต่ออาดัม และการหยิ่งผยองของอิบลีสที่ไม่ยอมสุญูด และการคัดค้านของมันต่อบัญชาของอัลลอฮฺ ตลอดจนการสัญญาของมันที่จะล่อลวงลูกหลานของอาดัมให้อยู่ในการหลงผิด
“และจงรำลึกเมื่อพระเจ้าของเจ้าตรัสแก่มะลาอิกะฮฺว่า แท้จริงข้าเป็นผู้สร้างมนุษย์จากดินแห้งและดินดำเป็นตม ดังนั้นเมื่อข้าได้ทำให้เขาสมบูรณ์แล้วและเป่ารูหฺของข้าในตัวเขา ฉะนั้นจงก้มสุญูดต่อเขา”
จากเรื่องของอาดัม สูเราะฮฺได้เปลี่ยนการดำเนินเรื่องมาเป็นเรื่องของนะบีบางท่านเพื่อเป็นการปลอบใจท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เป็นการเสริมสร้างกำลังใจให้เข้มแข็ง เพื่อมิให้ความหมดหวังและความเบื่อหน่ายเข้าไปสิงอยู่ในจิตใจของท่าน ทั้งนี้ด้วยการกล่าวถึงประวัติความเป็นมาของนะบีลูฏ ชุอัยบฺและศอและฮฺ อะลัยฮิมุสสลาม รวมทั้งเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นกับประชาชาติของบรรดานะบี ที่ปฏิเสธศรัทธาและต่อต้านการเรียกร้องเชิญชวนและการเผยแพร่ศาสนาของพระองค์
ซูเราะฮฺจบลงบด้วยการเตือนท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมให้รำลึกถึงความโปรดปรานอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ ด้วยการประทานคัมภีร์ฉบับปาฏิหาริย์และใช้มีความอดทนต่อการถูกทำร้ายและก่อกวนจากพวกมุชริกีนอีกทั้งเป็นการแจ้งข่าวดีว่า ชัยชนะที่แท้จริงแน่นอนนั้นจะเป็นของท่านนะบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมและบรรดามุอฺมินในเวลาอันใกล้นี้
“และโดยแน่นอน เราได้ให้แก่เจ้า 7 อายะฮฺที่ถูกอ่านซ้ำและอัลกุรอานที่ยิ่งใหญ่”
ซูเราะฮฺนี้ได้รับการขนานนามว่าอัลฮิจรฺ เพราะอัลลอฮฺตะอาลาทรงกล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับประชาชาติของนะบี ศอและฮฺ ซุ่งสืบเชื้อสายมาจากตระกูลษะมูด อันมีถิ่นฐานอยู่ที่เมืองฮิจรฺ ซึ่งอยู่ระหว่างนครมะดีนะฮฺกับเมืองชาม ชนชาตินี้มีร่างกายกำยำ แข็งแรง เจาะสกัดภูเขาเป็นที่พำนักอาศัยและมีความเชื่อมั่นว่าจะใช้เป็นพำนักอยู่อย่างถาวร โดยที่ความตายและความพินาศไม่มีช่องทางที่จะเข้ามาเยือนพวกเขาได้ ด้วยความเชื่อมั่นดังกล่าว ประกอบกับความหยิ่งผยองและการไม่เชื่อฟัง อีกทั้งการต่อต้านผู้ประกาศเผยแพร่ศาสนาของอัลลอฮฺ ในที่สุดพวกเขาจึงได้รับการลงโทษอย่างสาสม โดยเสียงกัมปนาทได้มาคร่าชีวิตพวกเขาในเวลาเช้าตรู่
“และพวกเขาได้สกัดภูเขาเป็นบ้านพักอย่างปลอดภัย ดังนั้นเสียงกัมปนาทได้คร่าพวกเขาเมื่อเวลาเช้า”


----------------------------------------------------

เอกสารอ้างอิง
R1. The Noble Qur’an (Dr.Muhammad Taqi-ud-Din al-Hilali and Dr.Muhammad Muhsin Khan.)
R2. อัลกุรอานฉบับแปลภาษาไทย โดย มัรวาน สะมะอุน
R3. ตัฟฮีมุลกุรฺอาน(อรรถาธิบายโดย เมาลานา ซัยยิด อบุล อลา เมาดูดี แปลโดย บรรจง บินกาซัน)
R4. พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน พร้อมคำแปลเป็นภาษาไทย ศูนย์กษัตริย์ฟาฮัด เพื่อการพิมพ์อัลกุรฺอานแห่งนครมาดีนะฮ์
R5. พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ฉบับภาษาไทย (โดย นายต่วน สุวรรณศาสน์-ฮัจยีอิสมาแอล บินฮัจยียะห์ยา)

--------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลหิจญริ อายะฮฺที่ 1 - 6
 



คำแปล R1.
1. Alif-Lam-Ra. [These letters are one of the miracles of the Qur'an, and none but Allah (alone) knows their meanings]. These are the Verses of the Book and a plain Qur’an.
2. Perhaps (often) will those who disbelieve wish that they were Muslims [those who have submitted themselves to Allah's will in Islam Islamic Monotheism, this will be on the Day of Resurrection when they will see the disbelievers going to Hell and the Muslims going to Paradise].
3. Leave them to eat and enjoy, and let them be preoccupied with (false) hope. They will come to know!
4. And never did we destroy a township but there was a known decree for it.
5. No nation can anticipate its term, nor delay it.
6. And they say: "O you (Muhammad) to whom the Dhikr (the Qur'an) has been sent down! Verily, you are a mad man.


คำแปล R2.
1.   อาลิฟ, ลาม, รอ นี้คือโองการต่าง ๆ แห่งคัมภีร์ และ (คัมภีร์นั้นคือ)กุรอานอันชัดแจ้ง
2.   บางทีพวกไร้ศรัทธารู้สึกยินดีหากพวกเขาได้เป็นผู้ยอมสวามิภักดิ์
3.   เจ้าจงปล่อยพวกเขาไว้ให้พวกเขาบริโภคและเสพสุขเถิด และให้พวกเขาเพลิดเพลินไปกับความเพ้อฝัน(ลม ๆ แล้ง ๆ )ของพวกเขา แล้วต่อไปพวกเขาก็จะรู้
4.   และเรามิได้ทำลายล้างเมืองใด ๆ ทั้งสิ้นนอกจากจะต้องมีหมายกำหนดที่แน่ชัดสำหรับมันมาก่อน
5.   ประชาชาติใดก็ตามย่อมไม่อาจชิง (พบกับความหายนะ)ก่อนกำหนดของพวกเขาและพวกเขาไม่อาจขอประวิงให้เนิ่นช้า(ออกไปเลยกำหนด)ได้
6.   และพวกเขากล่าวว่า “โอ้ผู้ซึ่งมีคำเตือนถูกลงมาให้(คือมุฮำมัด) แท้จริงท่านนั้นเป็นคนวิกลจริต

 
คำแปล R3.
1.   อะลีฟ, ลาม, รอ, เหล่านี้คืออายะฮฺของคัมภีร์และกุรอานอันชัดแจ้ง
2.   อีกไม่นานนักที่บรรดาผู้ปฏิเสธ (สาส์นแห่งอิสลาม) จะเสียใจและกล่าวว่า “เราจะยอมจำนนต่อมันแล้ว”
3.   จงปล่อยให้พวกเขา กิน ดื่ม สนุกสนานรื่นเริงและหวังลม ๆ แล้ง ๆ ต่อไป แล้วในไม่ช้าพวกเขาจะได้รู้
4.   เราได้กำหนดเวลาแห่งการผ่อนปรนไว้สำหรับทุกเมืองที่เราทำลายไปก่อนหน้านี้แล้ว
5.   ไม่มีประชาชาติใดถูกทำลายก่อนสิ้นสุดระยะเวลาการผ่อนปรน และไม่มีประชาชาติใดถูกปล่อยให้เหลือรอด
6.   พวกเขากล่าวว่า “โอ้ท่านผู้มีคำตักเตือนส่งมา ท่านบ้าแน่ ๆ”


คำแปล R4.
1. อะลีฟ ลาม รอ เหล่านี้คือโองการทั้งหลายแห่งคัมภีร์ และเป็นกุรอานอันชัดแจ้ง
2. บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาหวังกันว่า หากพวกเขาได้เป็นมุสลิม
3. เจ้าจงปล่อยพวกเขาบริโภคและร่าเริงและความหวังจะทำให้พวกเขาลืม แล้วพวกเขาก็จะรู้
4. เรามิได้ทำลายเมืองใด นอกจากว่าได้มีกำหนดเป็นที่รู้กันแก่มันแล้ว
5. ไม่มีประชาชาติใดจะเร่งกำหนดการลงโทษได้ และไม่อาจจะทำให้ล่าช้ากว่ากำหนดได้
6. และพวกเขากล่าวว่า โอ้ผู้ซึ่งข้อตักเตือนถูกประทานแก่เขา แท้จริงท่านเป็นคนบ้าอย่างแน่นอน


คำแปล R5.
๑. อลิฟ ลาม รอ อัลเลาะห์เท่านั้นที่ทรงรู้ความหมายของคำนี้ นี้คือโองการแห่งพระคัมภีร์อัล-กุรอาน และเป็นอัล-กุรอานอันชัดแจ้งและจำแนกระหว่างของจริงและของเท็จ
๒. ในวันกิยามะห์นั้น จะมีไม่น้อยทีเดียวที่เหล่าชนผู้ปฏิเสธอัล-กุรอานนี้นึกอยากเป็นชนมุสลิมขึ้นมาทันที ทั้งนี้ในเมื่อพวกนั้นได้แลเห็นเป็นประจักษ์แล้ว ว่าสภาพของพวกตนตกอยู่ในความลำบาก แต่ชนมุอ์มินมีสภาพเป็นสุขสบาย
๓. โอ้มุฮำมัด เจ้าจงปล่อยพวก(กาฟิรชาวนครมักกะห์) เหล่านั้นเถิดให้พวกเหล่านั้นได้เสพสุขสมบูรณ์ให้เพลิดเพลินอยู่กับความรื่นรมย์แห่งภาคพิภพนี้(ดุนยา) และปล่อยให้พวกนั้นมัวกังวลที่จะมีอายุยืนยาวและอื่น ๆ อีก อันเป็นผลทำให้พวกนั้นเว้นว่างจากศรัทธาต่ออัลเลาะห์ ต่อมุฮำมัด และอัล-กุรอาน ไม่ช้าดอก พวกเหล่านั้นจะได้รู้ในวันกิยามะห์ว่า ผลในที่สุดในกิจการแห่งพวกตน และคำบัญชาของอัลเลาะห์ให้มุฮำมัด ซล. จัดการกับพวกกาฟิรชาวมักกะห์นั้นเป็นอย่างไร โองการนี้ประทานมาก่อนโองการว่าด้วยศึกสงคราม เมื่อโองการว่าด้วยศึกสงครามมีลงมา โองการ(ที่ ๓)นี้ จึงเป็นอันยกเลิก
๔. และเรา (อัลเลาะห์) มิเคยได้ทำลายล้างชาวชนแห่งแว่นแคว้นใด นอกจากจะมีประกาศเวลาอันแน่นอนในอันที่จะทำลายล้างชนแห่งแว่นแคว้นนั้น
ประชาชาติจะชิงกาลแห่งความหายนะแก่ตนเองก่อนกำหนดมิได้และจะประวิงการแห่งความหายนะแก่ตนไว้มิได้อีกเช่นกัน
๖. แล้วพวกเหล่านั้นที่เป็นกาฟิรชาวมักกะห์กล่าวแก่มุฮำมัด ซล. ในเชิงเหยียดหยามว่า โอ้มุฮำมัด ผู้ซึ่งได้รับประทานพระคัมภีร์ อัลกุรอานมาแต่อัลเลาะห์ แน่นอน ท่านคือคนบ้า คำกล่าวเหยียดหยามของกาฟิรชาวมักกะห์ต่อมุฮำมัดที่ว่านี้แม้ฟิรเอาน์ก็เคยกล่าวให้ประชาชนของเขาฟังมาแล้วในอดีตสมัยว่า “แน่แท้มูซาพระศาสนทูตของพวกท่านที่ถูกส่งมาเป็นศาสนทูตนั้นคือคนบ้า (ดูโองการที่ ๒๗ บทอัล-ชูรออ์ ส่วนที่ ๑๙)


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลหิจญริ อายะฮฺที่ 7 - 11
 

คำแปล R1.
7. "Why do you not bring angels to us if you are of the truthful ones?"
8. We send not the angels down except with the truth (i.e. for torment, etc.), and in that case, they (the disbelievers) would have no respite!
9. Verily we: it is we who have sent down the Dhikr (i.e. the Qur'an) and surely, we will guard it (from corruption) .
10. Indeed, we sent Messengers before you (O Muhammad) amongst the sects (communities) of old.
11. And never came a Messenger to them but they did mock him.


คำแปล R2.
7.   “ไฉนท่านจึงไม่มา(ประกาศ)ในหมู่พวกเราพร้อมด้วยมลาอิกะฮฺเล่า หากท่านเป็นหนึ่งในบรรดาผู้สัตย์จริงทั้งปวง?”
8.   เราจะไม่ให้มลาอิกะฮฺลงมา (เพื่อภารกิจอื่นใดทั้งสิ้น) นอกจากด้วย (ภารกิจที่)จริงแท้ (และเหมาะสม เช่น การลงโทษปวงชนที่ทำผิดรุนแรง เป็นต้น) และเมื่อนั้นพวกเขามิได้ถูกประวิงไว้เลย (ต้องรับโทษจากมลาอิกะฮฺอย่างฉับพลัน)
9.   แท้จริงเราได้มอบข้อตักเตือน (คัมภีร์อัลกุรอาน) ลงมาและแท้จริงเราเป็นผู้พิทักษ์ไว้ (มิให้ถูกเปลี่ยนแปลงหรือถูกทำลาย)
10.   ขอยืนยัน! แท้จริงเราได้ส่งศาสนทูตมาก่อนหน้าเจ้าในหลาย ๆ คณะของบรรพชนเมื่ออดีต
11.   และไม่มีศาสนทูตคนใดมายังพวกเขาเลย นอกจากพวกเขาแสดงอาการเย้ยหยันต่อศาสนทูตนั้นทั้งสิ้น


คำแปล R3.
7.   ทำไมท่านไม่นำมลาอิกะฮฺมาต่อหน้าเราเล่า ถ้าหากว่าสิ่งที่ท่านพูดเป็นความจริง ?”
8.   เราไม่ได้ส่งมลาอิกะฮฺมาด้วยเรื่องเช่นนี้ แต่เมื่อพวกเขามา พวกเขาจะมาพร้อมกับความจริง แล้วเมื่อนั้นผู้คนจะไม่ได้รับการผ่อนปรน
9.   ส่วนเรื่องคำตักเตือนนั้น เราเองคือผู้ส่งมันลงมาและเองเป็นผู้ดูแลรักษามัน
10.(โอ้ มุฮัมมัด) เราได่ส่งบรรดารอซูลก่อนหน้าเจ้ามายังผู้คนก่อนหน้านี้หลายหมู่ชนแล้ว
11.   แต่พวกเขาหัวเราะเยาะรอซูลที่มายังพวกเขา


คำแปล R4.
7. ทำไมท่านไม่นำมะลาอิกะฮฺมาที่เราหากท่านอยู่ในหมู่ผู้สัตย์จริง
8. เราจะไม่ส่งมะลาอิกะฮฺลงมา เว้นแต่ด้วยความจริง และดังนั้นพวกเขาไม่ต้องคอย
9. แท้จริงเราได้ให้ข้อตักเตือน (อัลกุรอาน) ลงมา และแท้จริงเราเป็นผู้รักษามันอย่างแน่นอน
10. และโดยแน่นอน ก่อนหน้าเจ้านั้นเราได้ส่ง (บรรดาร่อซูล) มาในหมู่คณะต่าง ๆ เมื่อครั้งสมัยก่อน ๆ
11. และไม่มีร่อซูลคนใดมายังพวกเขา เว้นแต่พวกเขาจะต้องเย้ยหยัน


คำแปล R5.
๗. แม้นว่าท่านเป็นผู้สัจจริงในถ้อยคำของท่านที่ว่า ท่านคือศาสนทูตของอัลเลาะห์และว่า อัล-กุรอานนี้มาแต่อัลเลาะห์แล้วไซร้ ก็จงมาหาพวกเราพร้อมด้วยเหล่ามลาอิกะห์ซิเพื่อว่ามลาอิกะฮฺจะได้บอกแก่พวกเราว่า ที่ท่านอ้างนั้นเป็นความจริง
๘. อัลเลาะห์ตรัสโต้คำท้าทายของกาฟิรชาวมักกะห์ในสองประโยคนั้นว่า เรา(อัลเลาะห์) จะไม่ส่งมลาอิกะห์มาเพื่อการอื่นใดเลยนอกจากมีสาเหตุอันจะต้องลงโทษพวกกาฟิรเท่านั้น และเมื่อนั้นเอง พวก(มลาอิกะห์ที่ส่งให้มาลงโทษ) เขาจะไม่รีรอ
๙. แท้จริงเรา (อัลเลาะห์) ได้มอบคัมภีร์อัล-กุรอานลงมา แล้วเรา (อัลเลาะห์) ก็เป็นผู้พิทักษ์พระคัมภีร์นั้นไว้ด้วย มิให้ถูกเปลี่ยนแปลงและดัดแปลง ตลอดทั้งเพิ่มเติมและลดลงโดยให้คณะปราชญ์(อุละมาอ์)เป็นฝ่ายคุ้มรักษาและคอยสอดส่องอยู่ตลอดเวลาตราบถึงวันกิยามะห์ ต่างจากคัมภีร์อื่น ๆ ที่ถูกประทานลงมาในครั้งอดีต ยังมีประสงค์ร้ายคิดเปลี่ยนแปรและดัดแปลง จนไม่สามารถเสาะหาได้ว่าต้นฉบับอันแท้จริงมีอยู่เป็นเช่นไร
๑๐. และว่าโดยสัจจริงแล้ว ก่อนหน้าเจ้า(มุฮำมัด) เรา (อัลเลาะห์) ก็เคยได้แต่งตั้งศาสนทูตจากหลาย ๆ เหล่าชนโบราณมาแล้ว ครั้นเมื่อชนเหล่านั้นสดงกิริยาเลวทราม และพูดจากับศาสนทูตของพวกตนด้วยวาจาอันละลาบละล้วงว่า “ท่านคือคนบ้า” อัลเลาะห์ทรงปลอบโยนพระศาสนทูตของพระองค์ไว้ว่า การที่เหล่าอนารยชนแสดงกิริยาวาจาอาจเอื้อมต่ศาสนทูตนั้นเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว ดังนั้นศาสนทูตทั้งหลาย แม้จะสะเทือนใจที่ประชาชนรุมยั่วยุก็อดใจไว้ได้ และยังคงประกาศชักชวนปวงชนมาสู่ศรัทธาต่ออัลเลาะห์อยู่เรื่อยไปตามปกติ
๑๑. พระศาสนทูตใดก็ตามในสมัยก่อนจากเจ้า (มุฮำมัด) ที่มีมา ล้วนแต่พวก (ประชากร) เหล่านั้นโดนเหยียดหยามมาแล้วทั้งสิ้น เหมือนกับประชากรของเจ้าเหยียดหยามเจ้านั่นเอง ข้อนี้เป็นคำเตือนใจมุฮำมัดให้รู้จักอดทนต่อความเดือดร้อนที่พวกกาฟิรมักกะห์ก่อขึ้นก่อน บางทีจะฆ่าเจ้าบ้าง จะกักขังเจ้าบ้าง จะเนรเทศเจ้าบ้าง และอื่น ๆ อีกบ้าง


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลหิจญริ อายะฮฺที่ 12 - 15
 

คำแปล R1.
12. Thus do we let it (polytheism and disbelief) enter into the hearts of the Mujrimun [criminals, polytheists, pagans, etc. (because of their mockery at the Messengers)].
13. They would not believe in it (the Qur'an), and already the example of (Allah's punishment of) the ancients (who disbelieved) has gone forth.
14. And even if we opened to them a gate from the heaven and they were to continue ascending thereto,
15. They would surely say: "Our eyes have been (as if) dazzled. Nay, we are a people bewitched."


คำแปล R2.
12.   เช่นนั้น! เราจึงปลูกฝังมัน(การเย้ยหยันศาสนทูต)ลงไว้ในจิตใจของคนบาปทั้งมวล
13.   พวกเขาไม่ยอมศรัทธากับสิ่งนั้น(อัลกุรอาน)เลย ทั้ง ๆ ที่แบบแผนของบรรพชนได้ล่วงพ้นมาแล้ว (ว่าต้องถูกทำลายล้างเนื่องจากการไม่ศรัทธาดังกล่าว)
14.   และหากเราได้เปิดประตูหนึ่งจากฟากฟ้าให้แก่พวกเขา แล้วพวกเขาก็ขึ้นไปในนั้นตลอดเวลา (จนได้เห็นความมหัศจรรย์ของชั้นบรรยากาศ และชั้นอวกาศ และความไพศาลสุดแห่งระบบจักรวาล)
15.   แน่นอน พวกเขาก็ยังคงพูดว่า “ความจริงสายตาของเราพร่ามัว ยิ่งไปกว่านั้น พวกเราเป็นกลุ่มชนที่ถูกสะกดด้วยมายากลอีกด้วย(เราจึงไม่ยอมศรัทธาเป็นอันขาด)”


คำแปล R3.
12.   ถึงแม้เราจะทำให้มัน(คำตักเตือน) เข้าไปในหัวใจของพวกเขา(เหมือนกับแท่งเหล็ก)
13.   พวกเขาก็ไม่ศรัทธามัน และนี่ก็เป็นแบบแผนของผู้คนเหล่านั้นมาตั้งแต่ครั้งบรรพกาล
14.   ถึงแม้เราจะเปิดประตูใดในท้องฟ้าให้แก่พวกเขา และพวกเขาปีนสูงขึ้นไปในเวลากลางวัน
15.   พวกเขาก็จะกล่าวว่า “ตาของพวกเราพร่าไปเสียแล้ว ใช่แต่เท่านั้น เรายังถูกคาถาอาคมอีกด้วย”


คำแปล R4.
12. ในทำนองนั้น เราได้ทำให้มัน อยู่ในจิตใจของพวกอาชญากร
13. พวกเขาจะไม่ศรัทธาต่ออัลกุรอาน และแน่นอนแบบอย่างของคนรุ่นก่อน ๆ ได้ล่วงลับไปแล้ว
14. และหากเราเปิดประตูแห่งชั้นฟ้าแก่พวกเขา แล้วพวกเขาจะขึ้นต่อไปเรื่อย ๆ
15. แน่นอนพวกเขาจะกล่าวว่า แท้จริงสายตาของพวกเราถูกปิดกั้น ไม่แต่เพียงเท่านั้นพวกเรายังเป็นกลุ่มชนที่ถูกเวทมนตร์อีกด้วย


คำแปล R5.
๑๒. ดังที่เราเคยบันดาลใจปวงประชากรสมัยก่อนให้กล่าวหาว่าศาสนทูตของพวกตนเป็นพวกเท็จนั้น เรา (อัลเลาะห์) จึงให้การกล่าวหาเช่นว่านี้หยั่งลึกลงยังหัวใจของพวกกาฟิรชาวมักกะห์ด้วย กล่าวคือพวกกาฟิรชาวมักกะห์ต้องกล่าวหาว่า มุฮำมัดเป็นผู้เท็จด้วยเหมือนกัน
๑๓. พวกเหล่านั้นที่เป็นชาวมักกะห์มิได้เชื่อเขา (มุฮำมัด) เลย อันที่จริงก็เคยมีการลงโทษชนสมัยก่อนกาฟิรชาวมักกะห์ฐานที่กล่าวหาว่าศาสนทูตของพวกตนเป็นผู้เท็จ เป็นแบบฉบับดั้งเดิมผ่านมาแล้ว
๑๔. หากเรา (อัลเลาะห์) จะเปิดสายตาของพวกกาฟิรชาวมักกะห์ให้ได้แลเห็นประตูฟ้ากำลังเปิดอยู่ แล้วให้พวกเหล่านั้นจ้องมองดูมลาอิกะห์ทะยอยกันขึ้นไปสู่ฟ้าแล้ว พวกนั้นก็ยังมืดมนที่จะขึ้นไปถึงประตูฟ้านั้น
๑๕. พวกเหล่านั้นก็คงไม่เชื่อและเพียงพูดว่าสายตาของพวกเราพร่าไปเท่านั้น แต่พวกเรายังถูกมนต์สะกดด้วย


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลหิจญริ อายะฮฺที่ 16 - 18


คำแปล R1.
16. And indeed, we have put the big stars in the heaven and we beautified it for the beholders.
17. And we have guarded it (near heaven) from every outcast Shaitan (devil).
18. Except him (devil) that gains hearing by stealing, he is pursued by a clear flaming Fire.


คำแปล R2.
16. ขอยืนยัน แท้จริงเราได้กำหนดจักราศีขึ้นในท้องฟ้า (เท่ากับราศี ในรอบปีมีราศี)และเราประดับมัน(ด้วยดวงดาวต่าง ๆ) สำหรับบรรดาผู้พินิจทั้งปวง (จะได้นำมาเป็นสิ่งชี้ทิศทางและคำนวณ เป็นต้น)
17. และเราได้พิทักษ์มันไว้ให้พ้นจากมารทุก ๆ ตัวที่ถูกอัปเปหิ
18. ยกเว้นมารบางตัวที่ขโมยฟัง ก็จะมีเปลวไฟอันชัดเจนตามติดมันไป (เพื่อขับไล่ออกไปจากฟากฟ้า เปลวไฟนั้นคือดาวตก หรือที่คนโบราณเรียกว่า ผีพุ่งใต้)


คำแปล R3.
16. เราได้แบ่งท้องฟ้าออกเป็นชั้นบรรยากาศที่เป็นปราการหลายชั้น เพื่อการบริหารและได้ประดับมันให้เป็นที่สวยงามแก่ผู้มอง
17. และเราได้ป้องกันมันให้พ้นจากมารร้ายที่ถูกสาปแช่ง
18. ไม่มีมารร้ายตัวใดสามารถผ่านชั้นบรรยากาศเหล่านั้นไปได้ นอกจากผู้แอบฟังที่อาจได้ยินบางสิ่ง แต่เปลวไฟอันร้อนจ้าจะไล่ตามมัน


คำแปล R4.
16. และโดยแน่นอน เราให้มีหมู่ดวงดาวในท้องฟ้า และเราได้ประดับมันให้สวยงามแก่บรรดาผู้เฝ้ามอง
17. และเราได้รักษามันให้พ้นจากชัยฏอนทุกตัวที่ถูกสาปแช่ง
18. เว้นแต่ผู้ที่แอบฟัง ดังนั้นดวงดาวที่ลุกโชติช่วงจะตามติดเผามัน

 
คำแปล R5.
๑๖.โดยแน่แท้เรา (อัลเลาะห์) ได้กำหนดจักรราศีขึ้นในท้องฟ้า ๑๒ จักรราศี และทางโคจรของดาวอีก ๗ ดวงด้วย ดังนี้
๑. อัล-มะหัล ๒. อัล-เซาร์  ๓. เยาซาอ์ ๔. อัล-ซัรตอน ๕. อะซัด ๖. ซุมบุละห์   ๗. มีซาน ๘. อัล-อักร็อบ   ๙. อัลเกาส์   ๑๐. อัล-ยัดยุ์ ๑๑. อัล-ดัลว์  ๑๒. อัลฮู๊ต
ส่วนดวงดาวทั้งเจ็ดนั้นโคจรตามจักรราศีดังนี้
๑. อัลบะซี๊ด โคจรในจักรราศี อัล-มะหัล และอัล-อักร็อบ
๒. อัล-ซะห์เราะห์ โคจรในจักรราศี อัลเซาร์ และ อัล-มีซาน
๓. อุตอริค โคจรในจักรราศี  อัล-เยาซาอ์ และอัลซุมบุละห์
๔. อัล-ก็มัร โคจรในจักรราศี อัล-ซัรตอน
๕. อัล-ชำซ์ โคจรในจักรราศี อัล-อะซัด
๖. อัล-มุชตะรีย์ โคจรในจักรราศี อัล-เกาส์ และอัลฮู๊ต
๗. ซุฮัล โคจรในจักรราศี     อัล-ยัดยุ์ และอัล-ดัลว์
และเรา(อัลเลาะห์) ยังได้ประดับมัน(ฟากฟ้า) ให้สวยงามด้วยดวงดาวต่าง ๆ สำหรับให้คนแลมองหรือพินิจพิเคราะห์
๑๗. และเรา (อัลเลาะห์) ยังได้คุ้มครองมัน (ฟากฟ้า) ไว้ให้พ้นจากมาร (ไชตอน) ทุกตนที่ถูกตะเพิดออกจากความปรานีซึ่งมันจะเข้าไปสู่ฟ้าโดยให้มีดาวดวงหนึ่งซึ่งมีแสงกล้าเป็นตัวคุ้มครอง เนื้อความมีอยู่ว่า แต่เดิมพวกไชตอนมีสิทธิเสรีที่จะขึ้นสู่ฟ้าได้ทุกเมื่อ ครั้นเมื่อขึ้นไปแล้วก็นำเอาเรื่องราวต่าง ๆ ลงมาบอกแก่พวกโหรทำนายโชคชะตา พอตกถึงสมัยมูซากำเนิด ไชตอนเหล่านั้นจะถูกตัดสิทธิการขึ้นสู่ฟ้าถึงสามชั้น ต่อมาถึงสมัยพระศาสดามุฮำมัด ซล.กำเนิด พวกเหล่านี้ก็ถูกตัดสิทธิ์มิให้ขึ้นสู่ฟ้าเลย
๑๘. แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีไชตอนที่พยายามลักฟังเรื่องราวจากมลาอิกะห์อยู่อีก โดยวิธีการซ้อนตัวกันจนสูงสุดฟ้า รัศมีกล้าจากดวงดาวจึงกราดแสงเข้าหามันจนมอดไหม้หรือทำให้อวัยวะของมันพิการ
 

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลหิจญริ อายะฮฺที่ 19 - 21


คำแปล R1.
19. And the earth we spread out, and placed therein firm mountains, and caused to grow therein all kinds of things [n due proportion.
20. And we have provided therein means of living, for you and for those whom you provide not [moving (living) creatures, cattle, beasts, and other animals].
21. And there is not a thing, but with us are the stores thereof. And we send it not down except in a known measure.


คำแปล R2.
19. และแผ่นดิน เราได้ขยายมันออก และเราได้ปักเทือกเขาไว้ในนั้น และเราได้ให้งอกเงบในนั้นซึ่งทุก ๆ สิ่งที่ถูกกำหนดน้ำหนักไว้แล้ว
20. และเราได้บันดาลเครื่องยังชีพต่าง ๆ และพวกเจ้าในนั้น และ(เราได้ดลบันดาล)ผู้อื่นอีก ซึ่งพวกเจ้ามิได้เป็นผู้เลี้ยงดูเขา (แต่ผู้เลี้ยงดูที่แท้จริงคืออัลเลาะฮฺ เช่น ลูก ๆ คนรับใช้ สัตว์ต่าง ๆ เป็นต้น)
21. และไม่ว่าสิ่งใด ๆ ก็ตาม ยกเว้นบรรดาคลังของมันนั้นอยู่ที่เราทั้งสิ้น(สุดแต่เราจะให้แก่ผู้ใด) และเราจะไม่ลงสิ่งนั้นให้ (แก่ใครทั้งสิ้น) นอกจากเป็นไปโดยปริมาณที่ถูกกำหดไว้แล้ว


คำแปล R3.
19. เราได้แผ่ขยายแผ่นดินและปักภูเขาไว้บนมันอย่างมั่นคง และเราได้ทำให้พืชพันธุ์งอกเงยขึ้นในนั้นอย่างเหมาะสม
20. และเราได้จัดเตรียมปัจจัยยังชีพจากแผ่นดินนั้นให้แก่สูเจ้าและแก่สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ที่สูเจ้าไม่ได้เป็นผู้จัดหาให้
21. ไม่มีสิ่งใดที่คลังทั้งหลายของมันไม่ได้อยู่กับเรา และเราได้ประทานมันลงมาด้วยมาตรการที่ถูกกำหนดไว้อย่างเหมาะสม


คำแปล R4.
19. และแผ่นดินนั้นเราได้แผ่มันออกไป และเราได้ทำให้มีเทือกเขาเป็นที่ยึดอย่างมั่นคงและเราได้ให้ทุกสิ่งงอกเงยอย่างสมดุล
20. และในแผ่นดินนั้นเราได้ทำให้มีเครื่องยังชีพแก่พวกเจ้า และแก่ผู้ที่พวกเจ้ามิได้เป็นผู้ให้ริซกีแก่เขา
21. และไม่มีสิ่งใด (เครื่องยังชีพ) เว้นแต่ที่เรานั้นมีคลังของมัน และเราจะไม่ให้มันลงมานอกจากตามสภาวะที่ได้ถูกกำหนดไว้แล้ว


คำแปล R5.
๑๙. แผ่นดินนั้น เรา(อัลเลาะห์) ได้แผ่ให้เป็นพื้น และได้แทรกแนวเขาลงไว้ที่แผ่นดินนั้นด้วย เพื่อให้แผ่นดินมั่นคง ทั้งเรายังให้บางสิ่งบางอย่างที่กำหนดได้งอกงาม ณ แผ่นดินอีกด้วย
๒๐. เรา(อัลเลาะห์) ได้กำหนดให้มีเครื่องยังชีพ เช่น ผลไม้ ธัญพืช เป็นต้น รวมทั้งสิ่งอื่น ๆ เช่นแร่ธาตุและปศุสัตว์ ที่พวกเจ้ามิต้องและดูมันเพราะอัลเลาะห์ทรงเป็นองค์อำนวยการเลี้ยงดูสัตว์ทั้งปวงอยู่แล้วเพื่อพวกเจ้าดำรงชีพยู่ ณ ผืนแผ่นดินนั้น
๒๑. และสิ่งใด ๆ ก็ตามที่ผู้หนึ่งจะถือเอาเป็นกรรมสิทธิ์ได้นั้น ก็แต่ที่มีแหล่งต้นของมันมาแต่การกำหนดจากเรา (อัลเลาะห์) เท่านั้น ทั้งเรา (อัลเลาะห์) จะมอบสิ่งนั้นลงให้ก็ต่อเมื่อมีกำหนดอันแน่นอน

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ม.ค. 08, 2013, 11:24 AM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลหิจญริ อายะฮฺที่ 22 – 25


คำแปล R1.
22. And we send the winds fertilizing (to fill heavily the clouds with water), then caused the water (rain) to descend from the sky, and we gave it to you to drink, and it is not you who are the owners of its stores [i.e. to give water to whom you like or to withhold it from whom you like].
23. And certainly We! We it is who give life, and cause death , and we are the inheritors.
24. And indeed, we know the first generations of you who had passed away, and indeed, we know the present generations of you (mankind), and also those who will come afterwards.
25. And verily, your Lord will gather them together. Truly, He is All-Wise, All-Knowing.


คำแปล R2.
22.   และเราได้ส่งลมที่พัดพาเกสรดอกไม้(ตัวผู้ตัวเมียให้มาผสมพันธุ์กัน)แล้วเราได้ให้น้ำฝนลงมาจากฟากฟ้า จากนั้นเราได้ให้พวกเจ้าได้ดื่มกินมัน ทั้ง ๆ ที่พวกเจ้าหาใช่ผู้สะสมมันไม่
23.   และแท้จริงเราทำให้มีชีวิตและเราทำให้ตาย และเราเป็นผู้สืบมรดกเพียงผู้เดียว(เพราะทุก ๆ สิ่งต้องดับสูญ ไม่มีเหลือ)
24.   ขอยืนยัน! แท้จริงเรารอบรู้(ถึงสภาพของ)บรรดาผู้ที่ล่วงลับไปก่อนหน้าพวกเจ้า ขอยืนยัน! แท้จริงเรารอบรู้ถึง(สภาพของ)บรรดาผู้ที่อยู่ข้างหลัง(ในยุคต่อ ๆ มา)
25.   และแท้จริงองค์อภิบาลของเจ้า พระองค์จะทรงรวบรวมพวกเขา (ไว้ในจุดรวมเดียวกัน) แท้จริงพระองค์ทรงปรีชาญาณยิ่ง อีกทั้งทรงรอบรู้ยิ่ง


คำแปล R3.
22.   และเราได้ส่งลมเกสรมา แล้วเราก็ได้ประทานน้ำลงมาจากฟากฟ้า แล้วเราก็ให้สูเจ้าได้ดื่มมัน และสูเจ้าไม่ใช่ผู้ถือครองความมั่งคั่งนี้
23.   แท้จริงเราคือผู้ให้ชีวิตและความตาย และเราจะเป็นผู้เหลือรอดของทั้งหมด
24.   และเรารู้ดีเกี่ยวกับบรรดาผู้ที่มีชีวิตอยู่ก่อนหน้าสูเจ้า และเรากำลังเฝ้ามองผู้ที่มาข้างหลังพวกเขา
25.   แน่นอนพระผู้อภิบาลของเจ้าจะรวบรวมพวกเขาเข้าไว้ด้วยกัน เพราะพระองค์เป็นผู้ทรงปรีชาญาณ ผู้ทรงรอบรู้


คำแปล R4.
22. และเราได้ส่งลมผสมเกสร แล้วเราได้ให้น้ำลงมาจากฟ้า แล้วเราได้ให้พวกเจ้าดื่มมันและพวกเจ้าก็มิได้เป็นผู้สะสมมันไว้
23. และโดยแน่นอนเราเป็นผู้ให้ชีวิต และเราเป็นผู้ให้ตาย และเราเป็นผู้คงอยู่แต่ผู้เดียว
24. และโดยแน่นอน เรารอบรู้กลุ่มชนก่อนพวกเจ้า และโดยแน่นอนเรารอบรู้กลุ่มชนรุ่นหลัง
25. และแท้จริง พระเจ้าของเจ้าคือผู้ทรงชุมนุมพวกเขา แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงปรีชาญาณผู้ทรงรอบรู้


คำแปล R5.
๒๒. เรา (อัลเลาะห์) ได้ส่งกระแสลมที่อุ้มไอน้ำและคายออกเป็นกลุ่มเมฆแล้วเราได้ให้ฝนตกลงมาจากฟากฟ้า เราจึงให้พวกเจ้าได้ดื่มและได้ใช้น้ำนั้น โดยพวกเจ้ามิได้เป็นต้นผลิตมันเลย
๒๓. แน่แท้เรา(อัลเลาะห์) ให้กำเนิดชีวิตและให้ตาย แต่เราเองยังคงอยู่อย่างนิรันดรหลังจากเมื่อโลกเสื่อมสูญลงแล้ว
๒๔. และโดยแน่นอน เรา(อัลเลาะห์) ย่อมรู้ถึงแต่ละคนในหมู่พวกเจ้าผู้ที่ผ่านพ้นมาแต่สมัยของศาสดาอาดำ และเราก็รู้ถึงแต่ละคนในหมู่พวกเจ้าที่อยู่ถัด ๆ ไปจนถึงวันกิยามะห์
๒๕. และโอ้มุฮำมัด แท้จริงองค์พระผู้อภิบาลแห่งเจ้าจะทรงไล่ให้พวกเหล่านั้นทั้งพวกที่ผ่านพ้นมาแล้วและพวกที่ถัดสมัยต่อไปอีก จนถึงวันกิยามะห์ไปรวมกันยังที่พักแห่งหนึ่งชื่อว่า “สันนิบาตมหาชน” (อัล-มะห์ชัร) ทั้งนี้หลังจากพวกเหล่านั้นฟื้นชีพออกมาจากสุสานแล้ว ด้วยว่าพระองค์ทรงเป็นองค์ประณีตยิ่งในบรรดากิจของพระองค์ ทรงรู้ยิ่งถึงทุกอย่างในบรรดาสิ่งถูกสร้างของพระองค์


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลหิจญริ อายะฮฺที่26 - 31


คำแปล R1.
26. And indeed, we created man from sounding clay of altered black smooth mud.
27. And the jinn, we created aforetime from the smokeless flame of fire.
28. And (remember) when your Lord said to the angels: "I am going to create a man (Adam) from sounding clay of altered black smooth mud.
29. "So, when I have fashioned him completely and breathed into him (Adam) the soul which I created for him, then fall (you) down prostrating yourselves unto him."
30. So, the angels prostrated themselves, all of them together.
31. Except Iblis (Satan), - He refused to be among the prostrators.


คำแปล R2.
26. ขอยืนยัน! แท้จริงเราได้ดลบันดาลมนุษย์ขึ้นมาจากดินแห้งสนิท(ซึ่งเดิมมา)จากดินดำที่เปลี่ยนสภาพ
27. และเราได้บันดาลญินมาก่อน(มนุษย์)จากไฟของลมร้อนแรง
28. และ(จงระลึกเถิด)เมื่อครั้งที่องค์อภิบาลของเราได้ตรัสแก่มวลมลาอิกะฮฺว่า “แท้จริงข้าจะสร้างมนุษย์คนหนึ่งมาจากดินแห้ง(ซึ่งเดิมมา)จากดินดำที่เปลี่ยนสภาพ
29. ต่อมาเมื่อข้าได้สร้างเขาจนครบสมบูรณ์แล้ว ข้าได้เป่าจากวิญญาณ(ที่ข้าเนรมิตขึ้นตามความประสงค์)ของข้า เข้าไปในตัวเขา ดังนั้นพวกเจ้าทั้งหลายจงทรุดกายลงคารวะต่อเขาเถิด
30. แล้วมลาอิกะฮฺทั้งหมดก็ทรุดกายลงคารวะ(ต่ออาดัม)
31. ยกเว้นอิบลีสเท่านั้น มันขัดขืนที่จะร่วมกับบรรดาผู้คารวะทั้งมวล


คำแปล R3.
26. เราได้สร้างมนุษย์มาจากดินโคลนเน่าที่แห้งแข็ง
27. และก่อนเขา เราได้สร้างญินมาจากเปลวเพลิงแห่งความร้อน
28. และจงนึกถึงเมื่อตอนที่พระผู้อภิบาลของเจ้าตรัสแก่มลาอิกะฮฺว่า “เราจะสร้างมนุษย์คนหนึ่งจากดินโคลนเน่าที่แห้งแข็ง
29. เมื่อฉันได้ทำให้เขาสมบูรณ์และเป่าวิญญาณของฉันเข้าไปในเขาแล้ว สูเจ้าทั้งหลายจงนบนอบหมอบคารวะต่อเขา”
30. ดังนั้นบรรดามลาอิกะฮฺทั้งหมดจึงนบนอบคารวะต่อเขา
31. ยกเว้นอิบลีส มันได้ปฏิเสธที่จะร่วมอยู่กับบรรดาผู้นบนอบ


คำแปล R4.
26. และโดยแน่นอน เราได้สร้างมนุษย์จากดินแห้ง จากดินดำเป็นตม
27. และญินนั้น เราได้สร้างมันมาก่อนจากไฟของลมร้อน
28. และจงรำลึกเมื่อพระเจ้าของเจ้าตรัสแก่มะลาอิกะฮฺแก่ แท้จริงข้าเป็นผู้สร้างมนุษย์จากดินแห้ง จากดินดำเป็นตม
29. ดังนั้น เมื่อข้าได้ทำให้เขามีรูปร่างสมส่วนและเป่าวิญญาณจากข้าเข้าไปในตัวเขา ฉะนั้นพวกเจ้าจงก้มลงสุญูดต่อเขา
30. ดังนั้น มะลาอิกะฮฺทั้งหมดได้ก้มลงสุญูด
31. เว้นแต่อิบลีส มันปฏิเสธที่จะอยู่ร่วมกับบรรดาผู้สุญูด


คำแปล R5.
๒๖. และโดยแน่นอนเรา(อัลเลาะห์) ได้สร้างอาดำมนุษย์คนแรกขึ้นมาจากดินแห้งจากดินดำที่ถูกหมักไว้จนมีกลิ่น
๒๗. และต้นตระกูลของเหล่ายินทั้งที่เป็นยินมุอ์มินและยินกาฟิรซึ่งมีสภาพชีวิตเป็นได้และตายได้ หรืออิบลีสซึ่งเป็นต้นตระกูลของเหล่าไชตอน ทั้งที่เป็นมุอ์มินและเป็นกาฟิร เราก็ได้สร้างมันขึ้นมาก่อนจากการสร้างอาดำแล้วจากเปลวเพลิงอันละเอียดและร้อนแรง ซึ่งสามารถผ่านทะลุเข้าร่างของมนุษย์ และทำให้มนุษย์ถึงตายได้
๒๘. โอ้มุฮำมัดเจ้าจงกล่าวเถิดแก่ประชากรของเจ้าเพื่อเป็นคติให้ระลึกถึงขณะที่องค์พระผู้อภิบาลของเจ้ากล่าวแก่เหล่ามลาอิกะห์ว่า แท้จริงข้าคือผู้สร้างมนุษย์คนแรกคืออาดำ จากดินแห้งแข็งแกร่งจากดินดำมีกลิ่น
๒๙.เมื่อข้าสร้างเขา(อาดำ) เรียบร้อยแล้วข้าก็ได้ประจุชีวิตที่มีเกียรติเข้าไปในร่างของเขา ข้าสั่งเหล่ามลาอิกะห์ให้ก้มลงคำนับอาดำ ดังนั้นพวกมลาอิกะห์เหล่านั้นจึงได้โค้งศีรษะคำนับเขา(อาดำ)
๓๐. เหล่ามลาอิกะห์ทั้งสิ้น ต่างก็โค้งคำนับเขา(อาดำ)
๓๑. นอกจากอิบลีสจากกลุ่มมลาอิกะห์เท่านั้นมันดื้อรั้นจองหองที่จะร่วมโค้งคำนับให้อาดำ


ออฟไลน์ Auwalan

  • alif auwalan
  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 27
  • เพศ: หญิง
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
بارك الله فيك mycool:
اتق الله حيثما كنت

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลหิจญริ อายะฮฺที่ 32 - 38


คำแปล R1.
32. (Allah) said: "O Iblis (Satan)! What is your reason for not being among the prostrators?"
33. [Iblis (Satan)] said: "I am not the one to prostrate myself to a human being, whom you created from sounding clay of altered black smooth mud."
34. (Allah) said: "Then, get out from here, for verily, you are Rajim (an outcast or a cursed one)." [Tafsir At-Tabari]
35. "And verily, the curse shall be upon you till the Day of Recompense (i.e. The Day of Resurrection)"
36. [Iblis (Satan)] said: "O my Lord! Give me then respite till the day they (the dead) will be resurrected."
37. Allah said: "Then, verily, you are of those reprieved,
38. "Till the  Day of the time appointed."


คำแปล R2.
32. พระองค์ทรงตรัสว่า “โอ้อิบลีส อะไรคือเหตุผลของเจ้าที่เจ้าไม่ยอมร่วมกับบรรดาผู้คารวะทั้งหลาย?”
33. มันตอบว่า “ไม่บังควรสำหรับข้าพเจ้าที่จะทำการคารวะมนุษย์คนใดทั้งสิ้นที่พระองค์ได้สร้างเขามาจากดินแห้ง จากดินดำที่เปลี่ยนสภาพ”
34. พระองค์ทรงตรัสว่า “(ถ้าเช่นนั้น)เจ้าก็จงออกไปจากสวรรค์เถิด แท้จริงเจ้าถูกอัปเปหิแล้ว”
35. และแท้จริงเจ้าได้รับคำสาปแช่ง ไปจนถึงวันแห่งการตอบแทน (คือวันชาติหน้า)
36. มันกล่าวว่า “โอ้องค์อภิบาล! ดังนั้นขอพระองค์ได้โปรดประวิงข้าพเจ้าไว้ (อย่าให้ตาย)จนกว่าจะถึงวันซึ่งพวกเขาถูกฟื้น(ขึ้นจากสุสาน)”
37. พระองค์ทรงตรัสว่า “ดังนั้น เจ้าจงเป็นผู้หนึ่งจากบรรดาที่ถูกประวิง(ตามคำขอของเจ้า)”
38. จนกว่าจะถึงวันแห่งเวลาที่ถูกกำหนดไว้


คำแปล R3.
32.   พระองค์จึงตรัสว่า “อิบลีสเอ๋ย สูเจ้าเป็นอะไรไปจึงไม่ยอมร่วมกับบรรดาผู้นบนอบ ?”
33.   มันตอบว่า “ไม่เป็นการสมควรที่ฉันจะนบนอบต่อมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างเขามาจากดินโคลนเน่าที่แห้งแข็ง”
34.   พระองค์จึงตรัสว่า “จงออกไปจากที่นี่เสีย เพราะสูเจ้าได้กลายเป็นผู้ถูกสาปแช่งแล้ว”
35.   และการถูกสาปแช่งนี้จะตกอยู่แก่สูเจ้าตลอดไปจนกระทั่งถึงวันแห่งการตอบแทน”
36.   (เมื่อเป็นเช่นนี้) มันจึงได้ขอว่า “ข้าแต่พระผู้อภิบาลของฉัน ขอพระองค์ได้ทรงผ่อนปรนเวลาให้แก่ฉันจนกระทั่งถึงวันที่มนุษย์จะถูกทำให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง”
37.   พระองค์ตรัสว่า “ก็ได้ สูเจ้าจะได้รับการผ่อนปรน
38.   ไปจนถึงเวลาที่ได้ถูกกำหนดไว้”


คำแปล R4.
32. พระองค์ตรัสว่า โอ้อิบลีส ทำไมเจ้าจึงไม่อยู่ร่วมกับบรรดาผู้สุญูด ?
33. มันกล่าวว่า ข้าพระองค์จะไม่สุญูดต่อมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างเขาจากดินแห้ง จากดินดำเป็นตม
34. พระองค์ตรัสว่า ดังนั้นเจ้าจงออกไปจากที่นี่ แท้จริงเจ้าเป็นผู้ถูกขับไล่
35. และแท้จริง การสาปแช่งจงประสบแก่เจ้า จนกระทั่งวันแห่งการตอบแทน
36. มันกล่าวว่า โอ้พระเจ้าของข้าพระองค์ได้โปรดประวิงเวลาให้แก่ข้าพระองค์จนถึงวันฟื้นคืนชีพด้วยเถิด
37. พระองค์ตรัสว่า ดังนั้น แท้จริงเจ้าอยู่ในหมู่ผู้ถูกประวิงเวลา
38. จนกระทั่งถึงวันแห่งเวลาที่ถูกกำหนดไว้แล้ว


คำแปล R5.
๓๒. พระองค์ตรัสตำหนิว่า โอ้อิบลีส ทำไมเล่าเจ้าจึงไม่ร่วมโค้งคำนับให้อาดำกับเขาด้วย
๓๓. อิบลีสมันตอบว่า ไม่สมควรเลยที่ข้าพระองค์จะโค้งคำนับให้อาดำผู้เป็นมนุษย์ซึ่งพระองค์ทรงสร้างเขาจากดินแห้งแข็งแกร่งจากดินดำมีกลิ่น
๓๔. พระองค์ตรัสว่า ถ้าอย่างนั้นเจ้าจงออกไปให้พ้นจากสรวงสวรรค์แห่งนี้หรือจากฟ้าทั้งเจ็ดชั้น แน่นอนเจ้านั้นเป็นผู้ถูกกำจัดพ้นจากความปรานีของเรา
๓๕. อีกทั้งเจ้าย่อมถูกหักเมตตาจิตจากเราไปจนถึงวันแห่งการตอบสนอง(วันกิยามะห์)
๓๖. อิบลีสมันกล่าวว่า โอ้องค์พระผู้อภิบาลแห่งข้าพระองค์ขอพระองค์ได้โปรดชะลอชีวิตของข้าพระองค์ไว้ก่อนอย่าเพ่อให้ข้าพระองค์ตายจนถึงวัน(กิยามะห์) ที่พวก(มนุษย์) เหล่านั้นจะถูกฟื้นคืนชีพจากสุสาน
๓๗. พระองค์ตรัสว่า ฉะนั้นเจ้าเป็นผู้หนึ่งที่ถูกชะลอชีวิตไว้
๓๘. จนถึงวันเวลาอันกำหนด ซึ่งอิสรอฟีลเป่าสังข์ครั้งแรก


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลหิจญริ อายะฮฺที่ 39 - 42


คำแปล R1.
39. [Iblis (Satan)] said: "O my Lord! Because you misled me, I shall indeed adorn the path of error for them (mankind) on the earth, and I shall mislead them all.
40. "Except your chosen, (guided) slaves among them."
41. (Allah) said: "This is the way which will lead straight to me."
42. "Certainly, you shall have no authority over my slaves, except those who follow you of the Ghawin (Mushrikun and those who go astray, criminals, polytheists, and evil-doers, etc.).


คำแปล R2.
39. มันกล่าวอีกว่า “โอ้องค์อภิบาล! โดยเหตุที่พระองค์ทรงบันดาลข้าพเจ้าให้หลงผิด ข้าพเจ้าจะขอทำการประดับ(ความคิด)แก่พวกเขาในพื้นพิภพ(ให้คล้อยมานิยมข้าพเจ้า) และข้าพเจ้าจะขอลวงให้พวกเขาทั้งหมดหลงให้จงได้”
40. “ยกเว้นบ่าวของพระองค์บางกลุ่มจากพวกเขาซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์แล้ว”
41. พระองค์ทรงตรัสว่า “นี้เป็นหนทางอันเที่ยงตรง ซึ่งเป็นหน้าที่ของข้า(ที่จะป้องกันมันเอง)”
42. แท้จริงบ่าวของข้านั้นเจ้าไม่มีอำนาจที่จะ(ทำความหลงผิด)แก่พวกเขาหรอกนอกจากผู้ที่ตามเจ้าจากพวกที่หลงทางทั้งหลาย


คำแปล R3.
39.   มันได้ตอบว่า “ข้าแต่พระผู้อภิบาลของฉัน เพราะการที่พระองค์ได้ทรงทำให้ฉันหลงทางไป ฉันจะสร้างสิ่งเย้ายวนต่าง ๆ สำหรับพวกเขาในโลกนี้และจะล่อลวงพวกเขา
40.   ยกเว้นบ่าวของพระองค์บางคนที่พระองค์ทรงเลือกไว้สำหรับพระองค์เอง”
41.   อัลลอฮฺทรงตอบว่า “นี่คือแนวทางอันเที่ยงตรงที่มาถึงฉัน
42.   แท้จริงแล้ว สูเจ้าจะไม่มีอำนาจใด ๆ เหนือปวงบ่าวผู้จริงใจของฉัน สูเจ้าจะล่อลวงได้ก็แต่เฉพาะผู้ที่ตามสูเจ้าเท่านั้น


คำแปล R4.
39. มันกล่าวว่า โอ้พระเจ้าของข้าพระองค์โดยที่พระองค์ทรงให้ข้าพระองค์หลงผิดไปแล้วแน่นอน ข้าพระองค์ก็จะทำให้เป็นที่เพริศแพร้วแก่พวกเขาในแผ่นดินนี้ และแน่นอนข้าพระองค์จะทำให้พวกเขาทั้งหมดหลงผิด
40. เว้นแต่ปวงบ่าวของพระองค์ ในหมู่พวกเขาที่มีใจบริสุทธิ์เท่านั้น
41. พระองค์ตรัสว่า นี่คือทางอันเที่ยงธรรมของข้า
42. แท้จริงปวงบ่าวของข้า เจ้าจะไม่มีอำนาจใด ๆ เหนือพวกเขา เว้นแต่ผู้ที่เชื่อฟังเจ้าในหมู่ผู้หลงผิดเท่านั้น


คำแปล R5.
๓๙. อิบลีสมันกล่าวว่า โอ้องค์พระผู้อภิบาลแห่งข้าพระองค์ ก็เพราะพระองค์ทรงให้ข้าพระองค์เขวจากหนทางนี้เอง ข้าพระองค์จักต้องล่อลวงเหล่านั้นที่เป็นบุตรหลานของอาดำ ณ พิภพนี้ให้เพลิดเพลินอยู่กับการทรยศ และจะชักจูงพวกเหล่านั้นทั้งสิ้นให้เขวออกจากหนทางจงได้
๔๐. เว้นแต่บ่าวเหล่านั้นบางคนของพระองค์ที่เป็นมุอ์มินผู้บริสุทธิ์เท่านั้น
๔๑. พระองค์ตรัสว่า การที่พวกมุอ์มินได้ปลอดพ้นจากการฉุดให้เขวของไชตอนนี้แหละคือแนวทางอันเที่ยงธรรมไปสู่ข้า (อัลเลาะห์) มิใช่หนทางที่เฉให้เตลิดไปอื่นเลย
๔๒. แน่แท้ปวงบ่าวมุอ์มินของข้า ตัวเจ้าย่อมไม่มีอำนาจใด ๆ ต่อ การที่จะผลักดันพวกมุอ์มินเหล่านั้นให้ตกอยู่ในความไร้ศรัทธาได้เลย นอกจากกาฟิรผู้ไขว้เขวบางคนที่เจริญตามเข้า (ไชตอน) เท่านั้น แต่พลังดังกล่าวอาจผลักดันปวงชนมุอ์มินให้ตกอยู่ในความชั่วที่ไม่ถึงขั้นขาดศรัทธาก็ได้




สูเราะฮฺ อัลหิจญริ อายะฮฺที่ 43 - 50
 

คำแปล R1.
43. "And surely, Hell is the promised place for them all.
44. "It (Hell) has seven gates, for each of those gates is a (special) class (of sinners) assigned.
45. "Truly! The Muttaqun (pious and righteous persons - see V.2:2) will be amidst gardens and water-springs (Paradise).
46. "(It will be said to them): 'Enter therein (Paradise), in peace and security.'
47. "And we shall remove from their breasts any sense of injury (that they may have), (so they will be like) brothers facing each other on thrones.
48. "No sense of fatigue shall touch them, nor shall they (ever) be asked to leave it."
49. Declare (O Muhammad) unto my slaves, that truly, I am the Oft-Forgiving, the Most-Merciful.
50. And that my torment is indeed the most painful torment.


คำแปล R2.
43. และแท้จริง นรกยะฮันนัมนั้น ได้ถูกสัญญาไว้สำหรับพวกเขาทั้งสิ้น
44. มันมีประตูอยู่เจ็ดประตู (บ้างว่าหมายถึงชั้นมีชื่อเรียกต่างกัน) แต่ละประตูที่ได้เข้าไปโดยแต่ละกลุ่ม)จากพวกเหล่านั้นมีส่วนที่ถูกแบ่งไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่ปะปนกัน
45. แท้จริงบรรดาผู้มีความยำเกรงทั้งหลายจะได้อยู่ในสวรรค์ต่าง ๆ และธารน้ำทั้งหลาย (ที่ไหลรินอยู่ใต้สวรรค์)
46. (มีคำบัญชาแก่พวกเขาว่า) “พวกเจ้าจงเข้าไปในนั้นโดยสันติและปลอดภัยเถิด”
47. และเราได้ถอดถอนความเคียดแค้นในหัวอกของพวกเขา(ออกจนหมดสิ้นให้เปลี่ยนมา)เป็นพี่น้องกัน(ที่รักกันอย่างซาบซึ้ง)ต่างคนต่างหันหน้าเข้าหากันบนเตียง
48. ความเหนื่อยยากจะไม่สัมผัสกับพวกเขาใน(สวรรค์)นั้น และพวกเขาจะไม่ถูกขับออกไป(อีกตลอดกาล)
49. (โอ้มุฮำมัด) เจ้าจงแจ้งแก่ปวงปวงบ่าวของข้าให้ทราบเถิดว่า “แน่แท้ข้านั้นเป็นผู้ให้อภัย อีกทั้งเป็นผู้เมตตายิ่ง”
50. แท้จริงการลงโทษของข้านั้นมันเป็นการลงโทษที่แสนสาหัสยิ่ง


คำแปล R3.
43.   และแท้จริงพวกเขาได้ถูกกำหนดไว้สำหรับนรก”
44.   นรกนี้มี 7 ประตู และแต่ละประตูได้ถูกกำหนดไว้สำหรับแต่ละกลุ่มของพวกเขา
45.   ส่วนผู้สำรวมตนจากความชั่วนั้นจะไปยังสวรรค์และน้ำพุ
46.   (จะมีผู้กล่าวแก่พวกเขาว่า) “จงเข้ามาในนี้ด้วยความสันติและปลอดภัย”
47.   เราจะขจัดสิ่งหม่นหมองแม้แต่เพียงน้อยนิดออกไปจากหัวใจของพวกเขา และพวกเขาจะเป็นเหมือนพี่น้องที่นั่งหันหน้าเข้าหากันอยู่บนฟูก
48.   พวกเขาจะไม่มีงานให้ต้องเหนื่อยล้าและพวกเขาจะไม่ถูกนำออกมาจากนั้น
49.   (โอ้ นบี) จงบอกปวงบ่าวของฉันว่า “ฉันเป็นผู้ให้อภัยและผู้ทรงเมตตาเสมอ
50.   แต่ในขณะเดียวกัน การลงโทษของฉันก็เป็นการลงโทษอันเจ็บปวด”


คำแปล R4.
43. และแท้จริงนรกญะฮันนัม แน่นอนคือสัญญาของพวกเขาทั้งหมด
44. มันมีเจ็ดประตู สำหรับทุกประตูมีส่วนที่ถูกจัดไว้แล้ว
45. แท้จริง บรรดาผู้ยำเกรงอยู่ในสวนสวรรค์มากหลาย และตาน้ำพุ
46. พวกเจ้าจงเข้าไปในนั้นด้วยความศานติและปลอดภัย
47. และเราได้ขจัดความขุ่นแค้นที่มีอยู่ในหัวอกของพวกเขา ให้กลายเป็นพี่น้องกัน โดยพำนักอยู่บนเตียงหันหน้าเข้าหากัน
48. ความเหนื่อยยากจะไม่ประสบแก่พวกเขาในนั้น และพวกเขาจะไม่ถูกนำออกจากที่นั้น
49. จงแจ้งแก่ปวงบ่าวของข้าว่า แท้จริงข้าคือผู้อภัย ผู้เมตตาเสมอ
50. และแท้จริงการลงโทษของข้านั้น เป็นการลงโทษที่เจ็บแสบ


คำแปล R5.
๔๓. และแน่แท้นรกยะฮันนำก็คือข้อสัญญาสำหรับพวกกาฟิรเหล่านั้นทั้งสิ้นที่เจริญตามเจ้า (อิบลีส)
๔๔. มัน (นรกยะฮันนำ) มีอยู่เจ็ดชั้น แต่ละชั้นมีพวกกาฟิรเหล่านั้นที่ถูกปลีกออกอยู่กลุ่มหนึ่ง
๔๕. แน่แท้เหล่าผู้มีความยำเกรงในการถือภาคีด้วยอัลเลาะห์ และในการไม่เชื่อในพระองค์นั้น แต่ละคนย่อมได้อยู่ในสวนสวรรค์โดยประจำอยู่อย่างถาวรและได้ตาน้ำไหลอยู่เบื้องใต้สวนสวรรค์อีกหนึ่งด้วย
๔๖. พวกเหล่านั้นได้ยินคำประกาศว่า พวกท่านจงเข้าอยู่ในสวรรค์แห่งนั้นโดยสันติสุขและปลอดภัย
๔๗. และเรา(อัลเลาะห์) ได้ถอนความเจ็บแค้นและความริษยาออกจากหัวใจของพวกเหล่านั้น ที่ต่างก็เป็นญาติพี่น้องกันและต่างก็นั่งหันหน้าเข้าหากันบนม้านั่ง
๔๘. ในสวรรค์นั้นพวกเขาจะไม่ประสบกับความเหนื่อยยากเลย ทั้งจะไม่ถูกขับไสให้ออกพ้นจากที่ (สวรรค์) นั้น เสมอไปอีกด้วย
๔๙. โอ้มุฮำมัดจงแจ้งแก่ปวงมุอ์มินผู้เป็นบ่าวของข้าเถิดว่า แน่แท้ข้า(อัลเลาะห์) นี้คือองค์ผู้ยิ่งในการอภัยแก่พวกนั้น องค์ผู้เมตตายิ่งต่อพวกนั้น
๕๐. และจงบอกอีกเถิดว่า โทษทัณฑ์จากข้าที่จะลงแก่ผู้ทรยศนั้นคือโทษที่เจ็บแสบ


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลหิจญริ อายะฮฺที่ 51 - 56


 
คำแปล R1.
51. And tell them about the guests (the angels) of Ibrahim (Abraham).
52. When they entered unto him, and said: Salaman (peace)! [Ibrahim (Abraham)] said: "Indeed! We are afraid of you."
53. They (the angels) said: "Do not be afraid! We give you glad tidings of a boy (son) possessing much knowledge and wisdom."
54. [Ibrahim (Abraham)] said: "Do you give me glad tidings (of a son) when old age has overtaken me? Of what then is your news?"
55. They (the angels) said: "We give you glad tidings in truth. So be not of the despairing ones."
56. [Ibrahim (Abraham)] said: "And who despairs of the Mercy of his Lord except those who are astray?"


คำแปล R2.
51. และเจ้าจงแจ้งให้พวกเขาทราบถึง(เรื่องราวของบรรดามลาอิกะฮฺทั้งสามที่ถูกส่งมาเป็น)แขกของอิบรอฮีม
52. เมื่อทั้งหมดได้เข้าไปพบเขาแล้วกล่าวคำประสาทสันติสุขแก่เขา เขากล่าว(ขณะที่เห็นว่าพวกนั้นไม่ยอมรับประทานอาหารคือลูกแกะย่างที่เขายกมาต้อนรับ)ว่า “ข้าพเจ้ารู้สึกหวั่นกลัวพวกท่านเหลือเกิน!”
53. พวกเขากล่าวว่า “ท่านไม่ต้องกลัวหรอก! เพราะความจริงเรามาเพื่อแจ้งข่าวดีแก่ท่านว่าท่านจะได้ลูกชายคนหนึ่งที่รอบรู้(เขาคือ อิสหาก)”
54. อิบรอฮีมกล่าวว่า “ท่านมาแจ้งข่าวดีนี้แก่ฉัน ทั้ง ๆ ที่ความชราสัมผัสฉันอย่างนี้น่ะหรือ ? แล้วพวกท่านมาแจ้งข่าวดีแก่ฉันทำไม ? (เพราะเป็นไปไม่ได้ที่คนแก่อย่างฉันจะมีลูก)”
55. พวกเขากล่าวว่า “เราแจ้งข่าวดีแก่ท่านด้วยเรื่องจริง ดังนั้นท่านอย่าเป็นผู้หนึ่งในหมู่ผู้ท้อแท้”
56. พวกเหล่านั้นปลอบโยนว่า และไม่มีผู้ใดทั้งสิ้นที่ท้อแท้ใจในความเมตตาแห่งองค์อภิบาลของเขา นอกจากบรรดาพวกหลงผิดเท่านั้น


คำแปล R3.
51. และจงบอกพวกเขาถึงเรื่องราวของแขกของอิบรอฮีม
52. เมื่อพวกเขาได้มายังเขา พวกเขาได้กล่าวว่า “สันติจงมีแด่ท่าน” แต่เขาได้ตอบว่า “เรากลัวพวกท่าน”
53. พวกเขาจึงกล่าวว่า “จงอย่ากลัวเราเลย เราจะแจ้งข่าวดีแก่ท่านถึงเรื่องเด็กที่มีความฉลาดหลักแหลมคนหนึ่ง”
54. อิบรอฮีมกล่าวว่า “พวกท่านมาบอกข่าวดีว่าฉันจะมีลูกในตอนที่ฉันอยู่ในวัยชราอย่างนี้กระนั้นหรือ ? ข่าวดีอะไรกันที่พวกท่านบอกฉัน”
55. พวกเขากล่าวว่า “เราแจ้งข่าวดีแก่ท่านจริง ๆ ดังนั้น ท่านจงอย่าเป็นผู้สิ้นหวัง
56. อิบรอฮีมได้ตอบว่า “จะมีก็แต่คนหลงผิดเท่านั้นที่สิ้นหวังในความเมตตาของพระผู้อภิบาลของเขา”


คำแปล R4.
51. และจงแจ้งพวกเขาให้ทราบถึงบรรดาแขกของอิบรอฮีม
52. เมื่อพวกเขาเข้าไปหาเขา (อิบรอฮีม) แล้วกล่าวว่า ศานติ เขากล่าวว่า แท้จริงเรากลัวพวกท่าน
53. พวกเรากล่าวว่า ท่านอย่ากลัว แท้จริงเราขอแจ้งข่าวดีแก่ท่าน เกี่ยวกับเด็กคนหนึ่งที่มีความรู้
54. เขากล่าวว่า พวกท่านมาแจ้งข่าวดีแก่ฉันเมื่อความชราภาพได้ประสบแก่ฉันแล้วกระนั้นหรือ ? แล้วเรื่องอะไรเล่าที่พวกท่านจะแจ้งข่าวดีแก่ฉัน
55. พวกเขากล่าวว่า เราขอแจ้งข่าวดีแก่ท่านด้วยความจริง ดังนั้นท่านอย่าอยู่ในหมู่ผู้สิ้นหวัง
56. เขากล่าวว่า และจะไม่มีผู้ใดที่สิ้นหวังในพระเมตตาของพระเจ้าของเขา นอกจากพวกหลงผิด


คำแปล R5.
๕๑. โอ้มุฮำมัดเจ้าจงบอกแก่พวกมุอ์มินเหล่านั้นถึงพวกมลาอิกะห์ ๑๒ ท่าน ซึ่งมียิบรออีลรวมอยู่ด้วยว่า เป็นแขกของอิบรอฮีมใน
๕๒. ขณะที่พวกแขกเหล่านั้นเข้าไปหาเขา (อิบรอฮีม) พลางกล่าวว่า “ขอสันติสุข” พึงมีเถิด เขา(อิบรอฮีม) กล่าวในตอนนำอาหารมาให้บริการแขก แต่แขกไม่ยอมรับประทานว่า เรา(อิบรอฮีม) นี้รู้สึกหวาดหวั่นพวกท่าน
๕๓. พวกเหล่านั้นกล่าวแก่อิบรอฮีมว่า ท่านอย่าหวาดหวั่นเลย อันที่จริงพวกเรานี้เป็นเพียงผู้นำสาส์นจากองค์พระผู้อภิบาลของท่านจะมาแจ้งให้ท่านได้ปลื้มใจในกุมารหนึ่งชื่ออิสหาก เป็นบุตรของท่านผู้รอบรู้เท่านั้น
๕๔. เขา(อิบรอฮีม) กล่าวด้วยความประหลาดใจว่า พวกท่านหรือที่จะมาแจ้งให้ฉันปลื้มใจในการได้บุตรชายทั้ง ๆ ที่ฉันก็ชราภาพแล้ว ? ทำไมพวกท่านจึงมาแจ้งเรื่องให้ฉันปลื้มใจ ?
๕๕. พวกเหล่านั้นกล่าวว่า เรานี้แจ้งเรื่องจริงที่อัลเลาะห์ได้ทรงกำหนดขึ้นเกี่ยวกับการจะได้บุตรของท่านให้ท่านได้ปลื้มใจ ฉะนั้นท่านอย่าได้สิ้นหวังในความโปรดปรานของอัลเลาะห์เลย ในรูปการณ์เช่นนี้อัลเลาะห์ทรงมีพลานุภาพแม้จะทรงสร้างมนุษย์ขึ้นโดยไม่มีพ่อแม่ก็ได้
๕๖. เขา(อิบรอฮีม) กล่าวแก่พวกแขกของตนว่า ไม่มีใครดอกที่สิ้นหวังในความปรานีจากอัลเลาะห์ องค์พระผู้อภิบาลของตน นอกจากผู้หลงงมงายเท่านั้น




สูเราะฮฺ อัลหิจญริ อายะฮฺที่ 57 - 60


คำแปล R1.
57. [Ibrahim (Abraham) again] said: "What then is the business on which you have come, O Messengers?"
58. They (the angels) said: "We have been sent to a people who are Mujrimun (criminals, disbelievers, polytheists, sinners).
59. "(All) except the family of Lout (Lot). Them all we are surely going to save (from destruction).
60. "Except his wife, of whom we have decreed that she shall be of those who remain behind (i.e. she will be destroyed)."


คำแปล R2.
57. เขาถามว่า “อะไรคือหน้าที่ของพวกท่าน? โอ้บรรดาผู้ถูกส่งเป็นทูตทั้งหลาย”
58. พวกเขาตอบว่า “แท้จริงพวกเราถูกส่งตัวมายังกลุ่มทรชน(ชาวเมืองสะดูมของนบีลู๊ตเพื่อลงโทษพวกนั้น)”
59. “ยกเว้นวงศ์วานของลู๊ต แท้จริงเราจะทำให้พวกเขาปลอดภัยทั้งหมด(เนื่องจากพวกนั้นมีความศรัทธาในการประกาศของลู๊ต)”
60. “ยกเว้นภรรยาของเขา(ที่ไม่ศรัทธา) แท้จริงนางเป็นหนึ่งในบรรดาที่คงค้างอยู่(ในการรับโทษทัณฑ์)”


คำแปล R3.
57. แล้วเขาก็ถามพวกเขาว่า “พวกท่านได้ถูกส่งตัวมาด้วยเหตุอันใดหรือ ?”
58. พวกเขากล่าวว่า “เราถูกส่งมาเพื่อ(ลงโทษ) หมู่ชนผู้ทำผิด
59. ยกเว้นครอบครัวของลูฏ เราจะช่วยพวกเขาทั้งหมด
60. ยกเว้นภรรยาของเขาที่ (อัลลอฮฺกล่าวว่า) ได้ถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะยังคงอยู่กับบรรดาผู้ที่อยู่ข้างหลัง”


คำแปล R4.
57. เขากล่าวว่า ดังนั้น ธุระอันใดเล่าของพวกท่าน โอ้ทูตทั้งหลาย
58. พวกเขากล่าวว่า แท้จริงเราถูกส่งมายังกลุ่มชนผู้ทำผิด
59. นอกจากบริวารของลูฏ แท้จริงเราจะเป็นผู้ช่วยพวกเขาให้รอดทั้งหมด
60. เว้นแต่ภริยาของเขา เราได้กำหนดไว้แล้วว่า แท้จริงนางจะอยู่ในหมู่ผู้ล่วงไปแล้ว


คำแปล R5.
๕๗. เขา(อิบรอฮีม) กล่าวถามพวกเหล่านั้นว่า โอ้คณะทูต พวกท่านถูกส่งมามีหน้าที่อย่างไร ?
๕๘. พวกเหล่านั้นตอบว่า พวกเราถูกส่งมายังประชากรกาฟิรของพระศาสดาลู๊ตเพื่อทำลายล้างประชากรเหล่านั้น
๕๙. นอกจากประชากรผู้เป็นวงศ์วานทั้งหมดของศาสดาลู๊ตเท่านั้นที่พวกเราให้พวกเขาปลอดภัยจากหายนะ เพราะพวกนั้นต่างมีศรัทธาต่ออัลเลาะห์
๖๐. ยกเว้นภรรยาของเขา(ลู๊ต) ที่ไม่ได้รับความคุ้มครอง เพราะพวกเราทราบอยู่ว่า เธอนั้นเป็นผู้หนึ่งที่ยืนยงอยู่ในการถูกโทษทรมานเพราะไร้ศรัทธา


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลหิจญริ อายะฮฺที่ 61 - 66


คำแปล R1.
61. Then, when the Messengers (the angels) came unto the family of Lout (Lot).
62. He said: "Verily! You are people unknown to me."
63. They said: "Nay, we have come to you with that (torment) which they have been doubted.
64. "And we have brought to you the truth (the news of the destruction of your nation) and certainly, we tell the truth.
65. "Then travel in a part of the night with your family, and you go behind them in the rear, and let no one amongst you look back, but go on to where you are ordered."
66. And we made known this decree to him, that the root of those (sinners) was to be cut off in the early morning.


คำแปล R2.
61. ต่อเมื่อบรรดาคณะทูตได้มายังวงศ์วานของลู๊ต
62. เขา(ลู๊ต)ก็กล่าวว่า “แท้จริงพวกท่านเป็นกลุ่มชนที่ไม่มีผู้ใดรู้จัก(แม้แต่ฉันเอง)”
63. พวกเขากล่าวว่า “ทว่า! เราได้มาหาท่านพร้อมด้วย(การลงโทษ)ซึ่งพวกเขามีความสงสัย(ว่าจะอุบัติขึ้นหรือ)”
64. “และเราได้นำสัจธรรมมายังท่าน แท้จริงเราเป็นผู้สัตย์จริง”
65. ดังนั้น ท่านจงนำครอบครัวของท่านออกเดินทางในช่วงหนึ่งของเวลากลางคืนเถิด และท่านจงเดินรั้งท้ายพวกเขาและอย่าให้ผู้ใดจากพวกท่านเหลียวหลัง(กลับไปดูถิ่นฐานที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง)และพวกท่านจงรีบรุด)ไปข้างหน้า คือเมืองชาม) ตามที่พวกท่านถูกบัญชามา”
66. และเราได้ดลจิตแก่เขาในการงานนั้นว่า “อันที่จริง พวกเหล่านี้จะถูกทำลายล้างในตอนเช้าจนคนสุดท้าย”


คำแปล R3.
61. หลังจากนั้นเมื่อบรรดาทูตเหล่านี้ได้มายังบ้านของลูฏ
62. เขากล่าวว่า “พวกท่านดูเหมือนคนแปลกหน้า”
63. พวกเขากล่าวว่า “มิได้เรามาหาท่านด้วยเรื่องที่ผู้คนเหล่านี้สงสัย
64. เราขอบอกความจริงแก่ท่านว่าเรามาหาท่านพร้อมกับความจริง
65. ดังนั้น ท่านกับครอบครัวของท่านจงเดินทางออกไปในยามสุดท้ายของกลางคืนและตัวท่านเองควรจะตามหลังพวกเขา และจงอย่าให้ใครในหมู่พวกท่านหันกลับมามองข้างหลัง แต่จงมุ่งตรงไปตามที่พวกท่านถูกบัญชา”
66. และเราได้แจ้งเขาถึงคำบัญชาของเราว่าพวกเขาจะถูกทำลายอย่างเด็ดขาดภายในยามเช้านี้


คำแปล R4.
61. ครั้นเมื่อพวกทูตได้มายังบริวารของลูฏ
62. เขา (บริวารของลูฏ) กล่าวว่า แท้จริงพวกท่านเป็นกลุ่มชนที่ไม่คุ้นหน้า
63. พวกเขากล่าวว่า แต่ว่าเรามาหาท่าน (ลูฏ) ด้วยเรื่องที่พวกเขาสงสัยกันอยู่
64. และเรามาหาท่านด้วยเรื่องจริง และแท้จริงเราเป็นผู้ซื่อสัตย์อย่างแน่นอน
65. ดังนั้น ท่านจงเดินทางไปกับครอบครัวของท่าน ในช่วงเวลากลางคืน และจงตามหลังพวกเขา และอย่าให้ผู้ใดในหมู่พวกท่านเหลียวหลังและจงเดินต่อไปตามที่พวกท่านถูกบัญชา
66. และเราได้แจ้งแก่เขาถึงเรื่องนั้นว่า คนสุดท้ายของพวกเหล่านี้จะถูกตัดขาดในยามเช้า


คำแปล R5.
๖๑. ครั้นเมื่อพวกคณะทูตมลาอิกะห์ผู้ซึ่งเป็นแขกของอิบรอฮีมได้มาถึงพระศาสดาลู๊ตแล้ว (ความจริงในโองการนี้โดยถ้อยคำใช้ว่า “วงศ์วานของลู๊ต” แต่เอาความเพียงแต่ลู๊ตผู้เดียว)
๖๒. เขา (ลู๊ต) กล่าวว่า แน่แท้พวกท่านคือกลุ่มชนผู้ที่ฉันไม่รู้จัก
๖๓. พวกเหล่านั้นตอบว่า ที่เรามาหาท่านนี้ก็เพราะจะมีโทษทัณฑ์ที่พวก(ประชาชนของท่าน) นั้นแคลงใจลงมาก่อนกำหนด
๖๔. และเราได้นำความจริงมาสู่ท่าน โดยเรานั้นเป็นผู้ที่สัจจริงในคำเอ่ยของเรา
๖๕. ฉะนั้นท่านจงเดินร่วมไปกับครอบครัวของท่านในช่วงหนึ่งแห่งกลางคืน แต่ท่านต้องเดินตามหลังพวก(ครอบครัว) นั้นไป อย่าให้คนใดในหมู่พวกท่านเหลียวมองข้างหลัง เพื่อพวกนั้นจะได้มองไม่เห็นการลงทัณฑ์อันยิ่งใหญ่ ทั้งพวกท่านจงเดินทางเลยไปยังที่แห่งหนึ่งคือประเทศชาม(ซีเรีย) ตามที่พวกท่านได้รับบัญชา
๖๖. แล้วเรา(อัลเลาะห์) ได้สั่งการลงยังเขา(ลู๊ต) ว่าในที่สุดพวกเหล่านั้นจะถูกล้างชาติพันุ์ลงเด็ดขาดในยามเช้ามืด




สูเราะฮฺ อัลหิจญริ อายะฮฺที่ 67 - 72


คำแปล R1.
67. And the inhabitants of the city came rejoicing (at the news of the young men's arrival).
68. [Lout (Lot)] said: "Verily! These are my guests, so shame me not.
69. "And fear Allah and disgrace me not."
70. They (people of the city) said: "Did we not forbid you to entertain (or protect) any of the 'Alamin (people, foreigners, strangers, etc. from us)?"
71. [Lout (Lot)] said: "These (the girls of the nation) are my daughters (to marry lawfully), if you must act (so)."
72. Verily, by your life (O Muhammad), in their wild intoxication, they were wandering blindly.


คำแปล R2.
67. และ(ก่อนหน้านั้น)ชาวเมือง(สะดูม – โซด้อม)ได้มา(หาลู๊ต)ด้วยความร่าเริง(เพราะได้เห็นว่าในบ้านของลู๊ตมีชายหนุ่มรูปงามถึงสามคน ซึ่งพวกเขาหมายมั่นจะฉุดมาทำอนาจารรักร่วมเพศ)
68. ลู๊ตจึงกล่าวว่า “บุคคลเหล่านี้แท้จริงเป็นแขกของฉัน ฉะนั้นพวกท่านอย่าทำให้ฉันต้องอับอาย!”
69. “และพวกท่านจงยำเกรงอัลเลาะฮฺ และพวกท่านอย่าทำให้ฉันต้องอัปยศ(เพราะการกระทำของพวกท่าน)”
70. พวกชาวเมืองกล่าวว่า “และเราเคยห้ามท่านไว้แล้วมิให้(ต้อนรับ)คนทั้งหลายมิใช่หรือ?”
71. เขากล่าวว่า “เหล่านี้ คือ บุตรหญิงของฉัน หากพวกท่านจะกระทำ(การอันหื่นกระหายลามกนั้น ก็จงแต่งงานกับบุตรหญิงเหล่านี้เถิด อย่าทำกับแขกของฉันเลย)”
72. “ขอยืนยันในอายุของเจ้า (โอ้ มุฮำมัด)! แท้จริงพวกเขาเหล่านั้นตกอยู่ในความเมามัว พวกเขาหลงงมงายโดยแท้จริง”


คำแปล R3.
67. และชาวเมืองได้วิ่งกรูกันมาอย่างสนุกสนานยังบ้านลูฏ
68. เขากล่าวว่า “คนเหล่านี้คือแขกของฉัน ดังนั้นจงอย่าทำให้ฉันต้องเสียเกียรติเลย
69. จงเกรงกลัวอัลลอฮฺ และจงอย่าทำให้ฉันต้องอับอายขายหน้า”
70. พวกเขาตอบว่า “เราไม่ได้ห้ามท่านขอร้องเพื่อเรื่องอันใดมิใช่หรือ ?”
71. ในที่สุดลูฏก็ขอร้องว่า “นี่คือบรรดาลูกสาวของฉัน ถ้าหากพวกท่านต้องการ
72. ขอสาบานด้วยชีวิตของเจ้า โอ้ นบี ในเวลานั้นพวกเขาตกอยู่ใต้อารมณ์ต่ำอย่างหน้ามืดตามัว


คำแปล R4.
67. และชาวเมือง ได้มาหาอย่างดีใจ
68. เขา (ลูฎ) กล่าวว่า แท้จริง เขาเหล่านั้นคือแขกของฉัน ดังนั้น พวกท่านอย่าทำให้ฉันอัปยศ
69. และจงยำเกรงอัลลอฮฺ และอย่าทำให้ฉันได้รับความละอาย
70. พวกเขากล่าวว่า และเรามิได้ห้ามท่านเกี่ยวกับการต้อนรับแขกดอกหรือ?
71. ลูฏกล่าวว่า เขาเหล่านี้คือลูกสาวของฉันหากพวกท่านจำเป็นต้องกระทำ?
72. ขอสาบานด้วยชีวิตของเจ้า แน่นอนแท้จริงพวกเขาอยู่ในการมึนเมาหลงทาง


คำแปล R5.
๖๗. และก่อนจาก มลาอิกะห์สั่งแก่ลู๊ตว่า “ท่านจงเดินทางในยามค่ำคืน” ขณะที่ทราบข่าวว่าที่บ้านของลู๊ตมีชายหนุ่ม (มลาอิกะห์) หน้าตาสะสวยอยู่ด้วย ชาวนครสะซูมก็มาถึงด้วยความร่าเริงเพราะต่างมั่นหมายที่จะร่วมการลามกกับเหล่าชายหนุ่มนั้น
๖๘. เขา (ลู๊ต) กล่าวแก่ชาวนครสะซูมว่า พวกเหล่านี้เป็นแขกของฉัน ขอพวกท่านอย่าทำให้ฉันอับอายเลย
๖๙. และพวกท่านจงยำเกรงอัลเลาะห์ ทั้งอย่าให้ฉันได้ตกต่ำ เพราะเหตุพวกท่านหมายทำลามกอนาจารกับแขกของฉันเลย
๗๐. พวก(ชาวนครสะซูม) เหล่านั้นตอบว่า เราเคยห้ามท่านแล้วมิใช่หรือว่ามิให้จัดงานเลี้ยงเพื่อใครก็ตามในหมู่ผู้พเนจร
๗๑. เขา (ลู๊ต) กล่าวแก่พวกเหล่านั้นว่า ถ้าพวกท่านจะปฏิบัติให้สิ้นกระหายในอารมณ์ปรารถนาทางกาม ตามที่พวกท่านต้องการแล้ว นี่แน่ะ เหล่าลูกสาวของฉัน เชิญพวกท่านแต่งงานกับพวกหล่อนเสียซิ
๗๒. อัลเลาะห์ตรัสยืนยันแก่มุฮำมัดว่า ชีวิตของเจ้านี้เอ๋ย พวก(ชาวนครสะซูม) เหล่านี้ช่างหลงงมอยู่ในความมัวเมาเสียจริง
(หมายเหตุของผู้นำเสนอ : ชื่อเมืองของนะบียฺลูฏในเอกสารอ้างอิงอื่น ๆ ใช้คำว่า “สะดูม หรือ โซดอม” ในขณะที่เอกสารอ้างอิงนี้เรียกว่าเมือง สะซูม)



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลหิจญริ อายะฮฺที่ 73 - 77


คำแปล R1.
73. So As-Saihah (torment - awful cry, etc.) overtook them at the time of sunrise;
74. And we turned (the towns of Sodom in Palestine) upside down and rained down on them stones of baked clay.
75. Surely! In this are signs, for those who see (or understand or learn the lessons from the signs of Allah).
76. And verily! They (the cities) were right on the highroad (from Makkah to Syria i.e. the place where the dead sea is now).
77. Surely! Therein is indeed a sign for the believers.


คำแปล R2.
73. ครั้นแล้ว เสียงกัมปนาทสั่นสะเทือนก็ได้ลงโทษพวกเขาในยามเช้าตรู่
74. ดังนั้นเราจึงดลบันดาลให้ข้างบนของมันพลิกกลับลงมาอยู่ข้างล่างและเราได้ให้หินจากดินเผาพรั่งพรูลงมาทับถมพวกเขา
75. แท้จริงในนั้นเป็นสัญลักษณ์(เตือนใจ)สำหรับปวงชนที่มีการพินิจพิจารณา(ถึงเรื่องราวในอดีต)
76. และแท้จริงในนั้น(เมืองของพวกนี้)เป็นทาง(สัญจรของกองคาราวานจากมักกะฮฺไปยังเมืองชาม)ที่ยืนยงอยู่(ตราบถึงทุกวันนี้)
77. แท้จริงในนั้นมีสัญลักษณ์(เตือนใจ)แก่บรรดาศรัทธาชนทั้งปวง


คำแปล R3.
73. ในที่สุดการระเบิดอย่างรุนแรงก็เกิดขึ้นแก่พวกเขาในยามเช้า
74. เราได้พลิกเมืองนั้นคว่ำลงและเราได้กระหน่ำพวกเขาด้วยหินเผาที่ตกมาดุจห่าฝน
75. แท้จริงในเรื่องราวนี้มีสัญญาณหลายอย่างแก่คนที่มีความเข้าใจ
76. และดินแดนที่ถูกทำลายนี้ก็ยังคงมีอยู่บนเส้นทางสัญจร
77. แท้จริงในนั้นมีสัญญาณสำหรับบรรดาผู้ศรัทธา


คำแปล R4.
73. ดังนั้น เสียงกัมปนาทได้คร่าพวกเขาเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น
74. แล้วเราได้พลิกกลับส่วนบนของมันเป็นส่วนล่างและได้ให้หินจากนรกหล่นลงมาทับพวกเขา
75. แท้จริงในการนั้น แน่นอนเป็นสัญญาณแก่บรรดาผู้พินิจพิเคราะห์
76. และแท้จริง มัน (สถานที่นั้น) ยังคงเป็นเส้นทางที่พักอาศัยอย่างแน่นอน
77. แท้จริงในการนั้น แน่นอนย่อมเป็นสัญญาณแก่บรรดามุอ์มิน


คำแปล R5.
๗๓. ดังนั้น เสียงกัมปนาทจากยิบรออีล จึงแผดทำลายพวกเหล่านั้นในยามเช้าตรู่
๗๔. แล้วเรา(อัลเลาะห์) ก็บันดาลให้ท้องที่สี่ตำบลที่ประชากรของลู๊ตที่อาศัยอยู่ ซึ่งมีนักรบทั้งสิ้นถึงสี่แสนคนพลิกข้างบนลงข้างล่าง โดยให้ยิบรออีลยกตำบลทั้งสี่ขึ้นสู่ฟ้าแล้วทิ้งลงให้กลับด้านกันดังกล่าว และเราได้ซัดเม็ดหินจากดินเผาลงมาทำลายพวกนั้นที่อยู่นอกตำบลทั้งสี่นั้นด้วย
๗๕. แท้จริงเรื่องราวต่าง ๆ ที่กล่าวมานี้เป็นสัญญาณที่แสดงถึงเอกภาพของอัลเลาะห์สำหรับชนผู้พินิจพิเคราะห์
๗๖. และแน่แท้ตำบลทั้งสี่ของประชากรลู๊ตนั้นมันเป็นเส้นทางสัญจรของชาวกุรอยช์ไปยังเมืองชามที่ยังคงอยู่จนปัจจุบันนี้ พวกกุรอยช์มิได้พิเคราะห์ดูตำบลทั้งสี่นี้ดอกหรือ ?
๗๗. และแน่แท้ เรื่องราวต่าง ๆ ที่กล่าวมานี้ ย่อมเป็นคติสำหรับปวงชนผู้ศรัทธา (มุอ์มิน)

 


สูเราะฮฺ อัลหิจญริ อายะฮฺที่ 78 - 84


คำแปล R1.
78. And the dwellers in the wood [i.e. the people of Madyan (Midian) to whom Prophet Shu'aib was sent by Allah), were also Zalimun (polytheists and wrong-doers, etc.).
79. So, we took vengeance on them. They are both on an open highway, plain to see.
80. And verily, the dwellers of Al-Hijr (the rocky tract) denied the Messengers.
81. And we gave them our signs, but they were averse to them.
82. And they used to hew out dwellings from the mountains (feeling themselves) secure.
83. But As-Saihah (torment - awful cry etc.) overtook them in the early morning (of the fourth day of their promised punishment days).
84. And all that which they used to earn availed them not.


คำแปล R2.
78. และแน่แท้ชาวป่าทึบ(กลุมชนของนบีสุอัยบ์)เป็นพวกฉ้อฉลโดยแน่นอน(ไม่ต้องสงสัย)
79. ครั้นแล้วเราจึงจัดการลงโทษพวกเขาเสีย และแท้จริงทั้งสอง(กลุ่มชน)นั้น ล้วนเกิดขึ้น ณ ทางเดินอันเตียนโล่ง (ที่ผู้คนใช้เดินทางอย่างสะดวก)
80. ขอยืนยัน! แท้จริงชาวหิจริ(เป็นชื่อเมืองของพวกสะมู๊ด ตั้งอยู่ระหว่างมักกะฮฺกับตะบูฏ บ้างว่าอยูระหว่างหิยาซกับชาม)ได้กล่าวหาบรรดาศาสนทูตว่ามุสา(ศาสนทูตของเขาคือนบีซอลิห์)
81. และเราได้มอบสัญลักษณ์ต่าง ๆ แก่พวกเขา แต่แล้วพวกเขากลับหันหลังให้สัญลักษณ์เหล่านั้น
82. และพวกเขาสามารถสกัดหินจากภูเขาทำบ้านอยู่อย่างปลอดภัย
83. แต่แล้วเสียงแผดกัมปนาทก็ได้ทำลายล้างพวกเขาในตอนเช้าตรู่
84. แล้วสิ่งที่พวกเขาเคยพากเพียรไว้ไม่อาจป้องกันพวกเขาได้เลย


คำแปล R3.
78. เนื่องจากชาวอัยก๊ะฮฺเป็นผู้อธรรม
79. ดังนั้นเราจึงได้ลงโทษพวกเขาและซากเมืองที่ถูกทำลายของหมู่ชนทั้งสองนี้ก็ยังคงมีให้เห็นอยู่บนทางสัญจร
80. ชาวฮิจญ์รฺ ก็ถือว่าบรรดารอซูลเป็นผู้โกหก
81. และเราได้ประทานอายะฮฺทั้งหลายของเราและแสดงสัญญาณต่าง ๆ ของเราให้พวกเขาได้เห็น แต่พวกเขาก็ยังไม่ใส่ใจต่อสิ่งเหล่านี้
82. พวกเขาสกัดภูเขาเพื่อทำเป็นที่อยู่อาศัยอย่างมั่นคงปลอดภัย
83. แต่ในที่สุดการระเบิดอย่างกึกก้องก็ได้เกิดขึ้นแก่พวกเขาในยามเช้า
84. และสิ่งที่พวกเขาได้ทำไว้นั้นไม่ได้ยังประโยชน์อันใดให้แก่พวกเขาเลย


คำแปล R4.
78. และกระนั้นก็ดี ชาวอัลอัยกะฮฺ เป็นผู้อธรรมอย่างแน่นอน
79. ดังนั้นเราได้ลงโทษพวกเขา และแท้จริงทั้งสองพวก อยู่บนเส้นทางที่ชัดแจ้งอย่างแน่นอน
80. และโดยแน่นอน ชาวอัลฮิจร์ได้ปฏิเสธบรรดารอซูล
81. และเราได้ให้สัญญาณต่างๆ ของเราแก่พวกเขา แล้วพวกเขาก็ผินหลังให้มัน
82. และพวกเขาได้สะกัดภูเขาเป็นบ้านพักอย่างปลอดภัย
83. ดังนั้น เสียงกัมปนาทได้คร่าชีวิตพวกเขาในยามเช้า
84. ฉะนั้น สิ่งที่พวกเขากระทำเอาไว้ ไม่ให้ประโยชน์แก่พวกเขาได้เลย


คำแปล R5.
๗๘. แน่แท้ ชาวป่าละเมาะซึ่งเป็นประชากรของศาสดาชุไอบ์มีภูมิลำเนาอยู่ใกล้กับนครสะซูมนั้นเป็นทรชน กล่าวหาว่าพระศาสดาชุไอบ์เป็นผู้เท็จ
๗๙. ฉะนั้นเรา(อัลเลาะห์) จึงเอาโทษพวกนั้นให้เกิดหายนะเพราะอากาศร้อนจัดเสียเลย และทั้งสองพวก คือพวกของลู๊ตกับชาวป่าละเมาะนั้น คือแนวทางชั่วที่เด่นชัด โอ้ชาวนครมักกะห์ พวกเจ้ามิได้พิจารณาถึงพวกเหล่านั้นดอกหรือ ?
๘๐. และขอให้สัจปฏิญาณว่า โดยแน่นอนชาวชนแห่งที่ราบระหว่างนครมะดีนะห์กับเมืองซีเรีย(ชาม) คือชนเผ่าซะมู๊ดนั้นต่างหาว่าพระศาสนทูตซอลิห์เป็นผู้เท็จ ซึ่งซอลิห์ก็เป็นผู้หนึ่งในหมู่ศาสนทูต เมื่อผู้นี้หาว่าเขาเป็นผู้เท็จย่อมเท่ากับหาว่าเหล่าศาสนทูตทั้งหลายเป็นผู้เท็จด้วย ทั้งนี้เพราะแต่ละศาสนทูตต่างประกาศคำสอนในเรื่องเอกภาพของอัลเลาะห์ด้วยกันทั้งนั้น
๘๑. แล้วเรา(อัลเลาะห์) ได้ให้มีเครื่องหมายต่าง ๆ ของเราแก่พวกเหล่านั้น เช่น มีอูฐตัวเมียผลุดจากหินภูเขา ซึ่งเป็นเรื่องผิดธรรมดา แต่พวกเหล่านั้นต่างก็เมินเสียจากสิ่งนั้น มิได้ตริตรองในเรื่องเครื่องหมายต่าง ๆ เลย
๘๒. และพวกเหล่านั้นได้สกัดหินภูเขาเป็นโพรงอยู่ต่างบ้านโดยสงบ ปลอดพ้นจากการทำลายของพวกศัตรูและจากการเจาะทะลวงของเหล่าขโมย ทั้งนี้เพราะโพรงพักนั้นมั่นคงแข็งแรง
๘๓. ดังนั้นเสียงกัมปนาทจากยิบรออีลจึงแผดทำลายเหล่าพวกนั้นในยามเช้าตรู่
๘๔. อะไรที่พวกเหล่านั้นได้พยายามไว้ เช่น การก่อกำแพงสูงและการสะสมทรัพย์สินไว้ให้มากพอ ก็จะป้องกันพวกเหล่านั้นไว้ให้ปลอดพ้นจากโทษมิได้เลย


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลหิจญริ อายะฮฺที่ 85 - 88


คำแปล R1.
85. And we created not the heavens and the earth and all that is between them except with truth, and the hour is surely coming, so overlook (O Muhammad), and their faults with Gracious Forgiveness. [This was before the ordainment of Jihad Holy fighting in Allah's Cause].
86. Verily, your Lord is the All-Knowing Creator.
87. And indeed, we have bestowed upon you seven of Al-Mathani (the seven repeatedly recited Verses), (i.e. Surat Al-Fatiha) and the Grand Qur'an .
88. Look not with your eyes ambitiously at what we have bestowed on certain classes of them (the disbelievers), nor grieve over them. And lower your wings for the believers (be courteous to the fellow-believers).


คำแปล R2.
85. และเรามิได้สร้างฟ้า, แผ่นดิน, และสรรพสิ่งระหว่างทั้งสอง(อย่างไร้สาระ)นอกจากโดยความจริงแท้(อันยังประโยชน์มหาศาลในด้านต่าง ๆ )และแท้จริงกาลอวสาน(ของโลกนี้) จะต้องมาประสบอย่างแน่นอน ดังนั้นเจ้าจงให้อภัย(แก่กันและกัน)อย่างดีงามเถิด
86. แน่แท้องค์อภิบาลของเจ้านั้น พระองค์ทรงเป็นผู้บันดาลยิ่ง อีกทั้งทรงรอบรู้ยิ่ง
87. ขอยืนยัน! แท้จริงเราได้มอบโองการทั้งเจ็ดจากที่ถูกอ่านซ้ำ(หมายถึงฟาติฮะฮฺ)และอัลกุรฺอานที่ยิ่งใหญ่แก่เจ้า
88. เจ้าจงอย่าทอดสายตาทั้งสองของเจ้าไปยังสิ่งที่เราได้มอบเป็นความสุขแก่คนกลุ่มต่าง ๆ จากพวกเหล่านั้น และเจ้าอย่าโศกเศร้าเพราะพวกนั้น(ไม่ยอมศรัทธาในอิสลามเหมือนที่เจ้าหวังไว้) และเจ้าจงลดปีกของเจ้าลง(คือจงนอบน้อม)ต่อบรรดาศรัทธาชนทั้งมวล


คำแปล R3.
85.   เราไม่ได้สร้างชั้นฟ้าทั้งหลาย และแผ่นดินและทุกสิ่งที่อยู่ในระหว่างทั้งสองนั้นไว้บนพื้นฐานอันใดนอกไปจากความจริง และการตัดสินของเราจะมาอย่างแน่นอน ดังนั้น (มุฮัมมัด) จงออกห่าง(พฤติกรรมที่เสียหายของพวกเขา) ไปอย่างนุ่มนวล
86.   แท้จริง พระผู้อภิบาลของเจ้าเป็นผู้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่งและผู้ทรงรอบรู้
87.   เราได้ประทานแก่เจ้าซึ่ง 7 อายะฮฺที่สมควรจะอ่านแล้วอ่านอีก และเราได้ประทานอัลกุรอานอันยิ่งใหญ่แก่เจ้าด้วย
88.   จงอย่ามองไปที่ความมั่งคั่งทางโลกที่เราได้ประทานให้แก่บางคนในหมู่พวกเขา และจงอย่าทุกข์โศกต่อสภาพของพวกเขา จงปล่อยพวกเขาไว้ตามลำพังและจงเอาใจใส่ต่อบรรดาผู้ศรัทธา


คำแปล R4.
85. และเรามิได้สร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และสิ่งที่อยู่ระหว่างทั้งสองนั้น เพื่ออื่นใดเว้นแต่เป็นความจริงและแท้จริงวันกิยามะฮฺจะมีมาอย่างแน่นอน ดังนั้นเจ้าจงอภัยด้วยการอภัยที่ดี
86. แท้จริงพระเจ้าของเจ้า(มุฮัมมัด) ผู้ทรงสร้าง ผู้ทรงรอบรู้
87. และโดยแน่นอน เราได้ให้แก่เจ้าเจ็ดอายาตที่ถูกอ่านซ้ำ และอัลกุรอานที่ยิ่งใหญ่
88. อย่าทอดสายตาทั้งสองของเจ้าไปยังชนชั้นต่างๆ ของพวกเขาและอย่าเสียใจแทนพวกเขาและจงลดปีกของเจ้าให้ต่ำต่อบรรดาผู้ศรัทธา


คำแปล R5.
๘๕. และเรา(อัลเลาะห์) หาได้สร้างชั้นฟ้าทั้งเจ็ดและแผ่นดินตลอดทั้งสิ่งต่าง ๆ ระหว่างทั้งสองนั้นขึ้นเพื่ออื่นใดไม่นอกจากโดยเป็นวิทยญาณและแน่แท้ วาระกาลแห่งวันกิยามะห์ย่อมจะมีขึ้น และทุก ๆ คนจะได้รับตอบแทนผลแห่งการกระทำของตน โอ้มุฮำมัด เจ้าจงผินหนีจากปวงชนของเจ้าอย่างแนบเนียนเถิด เจ้าอย่าเพิ่งลงโทษพวกเหล่านั้น แต่จงปฏิบัติต่อพวกเหล่านั้นอย่างสันติ โองการส่วนที่ว่า “จงปฏิบัติต่อพวกเหล่านั้นอย่างสันติ” นี้ถูกยกเลิกเมื่อมีโองการว่าด้วยการศึกประทานลงมา
๘๖. แน่แท้ องค์พระผู้อภิบาลแห่งเจ้าคือองค์พระผู้ทรงสร้างทุกสิ่งทุกอย่าง ทรงรู้ยิ่งถึงสิ่งเหล่านั้นทั้งสิ้น
๘๗. และโอ้มุฮำมัด ขอยืนยันโดยสัจจริงว่าเรา(อัลเลาะห์) ได้มอบโองการทั้งเจ็ด คือบทอัล-ฟาติฮะห์ ซึ่งบทนี้ถูกแบ่งเป็นสองตอน ตอนต้นว่าด้วยการสรรเสริญในตัวเรา ส่วนตอนหลังว่าด้วยคำขอพร(ดุอาอ์) และได้มอบอัลกุรอานที่ยิ่งใหญ่แก่เจ้าอีกด้วย
๘๘. เจ้าอย่าได้ทอดสายตาของเจ้าลงไปยังสิ่งต่าง ๆ ที่เรา (อัลเลาะห์) ให้เหล่าทรชนบางกลุ่มจากพวก (กาฟิร) เหล่านั้นได้รับความรื่นรมย์เลย เพราะสิ่งทั้งปวงนี้เมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งที่เจ้าได้รับแล้ว ถือว่าเป็นสิ่งที่เลวกว่า สิ่งที่เจ้าได้รับนั่นซิเป็นสิ่งแท้บริสุทธิ์ในเนื้อแท้ของมันเอง ที่สามารถนำไปสู่ความถาวรและความมีรสชาติซาบซึ้ง และเจ้าอย่าได้เศร้าในความไม่ยอมเชื่อของพวกกาฟิรเหล่านั้น ทั้งเจ้าจงอ่อนน้อมเพื่อพวกศรัทธาชนด้วยปฏิบัติการที่ดีงามมีความเอ็นดูและให้ความสงเคราะห์จงดี





สูเราะฮฺ อัลหิจญริ อายะฮฺที่ 89 - 94
 
 

คำแปล R1.
89. And say: "I am indeed a plain Warner."
90. As we have sent down on the dividers, (Quraish pagans or Jews and Christians).
91. Who have made the Qur'an into parts. (i.e. believed in a part and disbelieved in the other).
92. So, by your Lord (O Muhammad), we shall certainly call all of them to account.
93. For all that they used to do.
94. Therefore proclaim openly (Allah's message Islamic Monotheism) that which you are commanded, and turn away from Al-Mushrikun (polytheists, idolaters, and disbelievers, etc. - see V.2:105).


คำแปล R2.
89. และจงประกาศเถิด “แท้จริงฉันเป็นผู้ตักเตือนอันชัดแจ้งยิ่ง”
90. ประดุจดังเราได้ส่ง(คัมภีร์)ลงมาแก่บรรดา(ชาวคัมภีร์)ผู้ทำการแบ่งแยก(คัมภีร์ไปตามอารมณ์ปรารถนาของตนเอง)
91. พวกเหล่านั้นซึ่งทำการแบ่งแยกอัลกุรอานออกเป็นหลายส่วน (บางส่วนพวกเขาว่าเป็นการทำน่ายทายทัก บางส่วนเป็นมายากล และบางส่วนเป็นกาพย์กลอน)
92. ดังนั้น ขอสาบานต่อองค์อภิบาลของเจ้า! เราจะต้องทำการสอบถามพวกเขาทั้งหมดอย่างแน่นอน
93. (สอบถาม)ถึงสิ่งที่พวกเขาได้เคยประพฤติไว้
94. ดังนั้น (โอ้ มุฮำมัด) เจ้าจง(ประกาศโดย)เปิดเผยเถิด สิ่งที่เจ้าถูกบัญชามา(ให้เผยแพร่) และเจ้าจงหันเหไปจากบรรดาพวกตั้งภาคีทั้งหลาย


คำแปล R3.
89.   จงบอก(บรรดาผู้ปฏิเสธ) ว่า “ฉันเป็นเพียงผู้ตักเตือนธรรมดาเท่านั้น
90.   (คำเตือนนี้) เป็นเหมือนดั่งคำเตือนที่เราได้ส่งลงมายังบรรดาผู้สร้างความแตกแยก
91.   ผู้ทำให้กุรอานแยกออกเป็นส่วน ๆ
92.   ดังนั้น ขอสาบานด้วยพระผู้อภิบาลของเจ้าเราจะถามพวกเขาทั้งหมด
93.   เกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาได้กระทำไว้
94.   ดังนั้น (โอ้ นบี) จงประกาศออกไปอย่างเปิดเผยถึงสิ่งที่เจ้าได้ถูกบัญชาและจงอย่าใส่ใจต่อบรรดาผู้กระทำชิริก


คำแปล R4.
89. และมุฮัมมัดจงกล่าวเถิดว่า แท้จริงฉันเป็นผู้ตักเตือนอย่างชัดแจ้ง
90. เช่นเดียวกับที่เราได้ให้แก่พวกแบ่งการศรัทธา
91. (คือ) บรรดาผู้แบ่งแยกอัลกุรอานเป็นส่วน ๆ
92. ดังนั้น ของสาบานด้วยพระเจ้าของเจ้าแน่นอนเราจะถามพวกเขาทั้งหมด
93. ถึงที่พวกเขาได้กระทำไว้
94. ดังนั้น จงประกาศอย่างเปิดเผยในสิ่งที่เจ้าถูกบัญชา และจงผินหลังให้พวกมุชริกีน


คำแปล R5.
๘๙. และเจ้าจงกล่าวแก่บรรดาชนของเจ้าเถิด แท้จริงฉันคือผู้ตักเตือนอย่างเปิดเผยด้วยให้เกรงกลัวการลงโทษของอัลเลาะห์ที่จะทรงเอาโทษพวกเจ้า
๙๐. เหมือนกับที่เรา(อัลเลาะห์) เคยลงโทษผู้ที่แตกแผนกอันได้แก่ชนชาวยะฮูดีกับชนชาวนะซอรอที่ทั้งสองพวกนี้ต่างแตกส่วนแห่งคัมภีร์ของตน คือคัมภีร์เตารอตและคัมภีร์อินยีลออกเป็นสองส่วน ส่วนที่มีเนื้อความสบอารมณ์พวกเขาก็เชื่อตาม ส่วนที่ไม่สบอารมณ์พวกเขาก็ไม่ยอมเชื่อ
๙๑. ผู้ซึ่งเป็นชนยะฮูดีและนะซอรอนั้นนอกจากจะแยกส่วนแห่งพระคัมภีร์ของตนออกเป็นส่วนแล้ว ยังได้แยกพรรคพวกออกไปคอยดักซุ่มอยู่ตามรายทางเพื่อห้ามผู้คนมิให้เชื่อศาสนาอิสลาม และพวกเหล่านี้บ้างก็แบ่งอัล-กุรอานออกเป็นส่วน ๆ รวมสามส่วนด้วยกัน ส่วนหนึ่งจัดไว้เป็นวิทยากล อีกส่วนหนึ่งเป็นวิชาโหรและส่วนหนึ่งเป็นบทโคลงกลอน
๙๒. ขอให้สัจปฏิญาณในพระนามแห่งองค์พระผู้อภิบาลแห่งเจ้าว่า แน่นอนเรา(อัลเลาะห์) จักต้องสอบถามในเชิงประณามพวกเหล่านั้นทั้งสิ้นถึง
๙๓. สิ่งใด ๆ ที่พวกเหล่านั้นได้ปฏิบัติไว้
๙๔. โอ้มุฮำมัด เจ้าจงเปิดเผยและปฏิบัติข้อบัญญัติที่เจ้าถูกบัญชาใช้ให้สำเร็จลุล่วงไปเถิด และจงออกห่างจากพวกถือภาคีด้วย โดยมิท้อถอยและหนักอกหนักใจใด ๆ ในการประพฤติปฏิบัติตามคำบัญชาใช้ของอัลเลาะห์ โองการส่วนนี้ถูกยกเลิกแล้วเมื่อมีโองการว่าด้วยการศึกลงมา


 

GoogleTagged