ผู้เขียน หัวข้อ: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย ตอนที่ 16 อันนะหฺลุ  (อ่าน 4635 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

 :salam:

คำอธิบายประกอบสูเราะฮฺ อันนะหฺลุ (  النحل - ผึ้ง ) R4.


เป็นบัญญัติมักกียะฮฺ มี 128 อายะฮฺ

   ซูเราะฮฺอันนะหฺลุ เป็นซูเราะฮฺมักกียะฮฺที่กล่าวถึงปัญหาหลักต่าง ๆ เกี่ยวกับการศรัทธา เช่น เรื่องเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้า การวะฮียฺ การฟื้นคืนชีพ และการตอบแทน ฯลฯ นอกจากนั้นยังกล่าวถึงหลักฐานแห่งความปรีชาญาณและความเป็นเอกะของพระองค์ในโลกอันกว้างใหญ่ไพศาล คือชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน ท้องทะเล ภูเขา ห้วยเหว หุบเขา น้ำฝนที่หลั่งลงมาจากฟากฟ้า พืชผลที่งอกเงย เรือที่แล่นในมหาสมุทร ดวงดาวต่าง ๆ ที่นักเดินทางยามค่ำคืนใช้นำทาง ตลอดจนทัศนียภาพต่าง ๆ ที่มนุษย์ได้มีโอกาสพบเห็นในการดำรงชีวิตของตน เป็นภาพชีวิตแห่งความจริงที่สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นเอกะ และความปรีชาญาณของอัลลอฮฺตะอาลา ที่ทรงบรรจงสร้างจักรวาลทั้งหลายให้ได้สัดส่วนและสวยงาม
   ซูเราะฮฺนี้ได้กล่าวถึงเรื่องการประทานวะฮียฺลงมา ซึ่งเป็นปฐมเหตุแห่งการปฏิเสธและเย้ยหยันของพวกมุชริกีน พวกเขาได้ปฏิเสธเรื่องวะฮียฺ และไม่ยอมเชื่อปรากฏการณ์ของวันปรโลกโดยสิ้นเชิง และเร่งเร้าท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ให้นำการลงโทษมาโดยเร็ว ซึ่งท่านนะบีได้กล่าวเตือนพวกเขาอยู่เสมอและทุกครั้งที่การลงโทษล่าช้าไป พวกเขาก็เรียกร้องและเย้ยหยันมากยิ่งขึ้น
   ซูเราะฮฺนี้มีจุดมุ่งหมายถึง การกำหนดหลักการแห่งความเป็นเอกภาพของอัลลอฮฺตะอาลา โดยให้เบนความสนใจไปสู่เดชานุภาพของพระองค์ ผู้ทรงเอกะ ผู้ทรงพิชิต โดยสนทนากับสิ่งสัมผัสทุกส่วนในร่างกายของมนุษย์ และอวัยวะทุกส่วนในเรือนร่างของมนุษย์ ให้มุ่งใช้สติปัญญาสู่พระเจ้าของเขา เพื่อจะได้มองเห็นร่องรอยในการสร้างของอัลลอฮฺ ที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์
   ต่อมาซูเราะฮฺนี้ได้กล่าวเตือนมนุษย์ถึงผลของการเนรคุณต่อความโปรดปรานของอัลลอฮฺ การไม่แสดงความขอบคุณต่อพระองค์ กับได้เตือนพวกเขาถึงบั้นปลายที่จะเกิดขึ้นอย่างมหันต์ แก่ทุกคนที่ดื้อดึงและฝ่าฝืน
   ซูเราะฮฺนี้จบลงด้วยการใช้ให้ท่านร่อซูลุลลอฮฺเรียกร้องเชิญชวนไปสู่อัลลอฮฺด้วยความสุขุม การแนะนำสั่งสอนที่ดี การอดทนขันติและการให้อภัยกับสิ่งที่จะเผชิญจากการถูกทำร้าย ในการเผยแพร่ศาสนาของอัลลอฮฺตะอาลา

ชื่อของซูเราะฮฺ
   ซูเราะฮฺนี้ถูกขนานนามว่าผึ้ง เพราะข้อความในซูเราะฮฺประกอบด้วยบทเรียนและข้อเตือนสติอย่างน่าจับใจ เป็นการชี้แนะให้เห็นถึงความประหลาดแห่งการสร้างสรรค์ของพระผู้สร้าง และเป็นการบ่งถึงการเป็นพระเจ้าอย่างแท้จริงแน่นอน

สาเหตุของการประทานซูเราะฮฺนี้
   อิบนุอับบาสเล่าว่า เมื่ออัลลอฮฺตะอาลา ทรงประทานอายะฮฺที่ว่า ยามอวสานใกล้เข้ามาแล้ว พวกกุฟฟารได้กล่าวเตือนซึ่งกันและกันว่า มุฮัมมัดได้อ้างว่าวันกิยามะฮฺได้ใกล้เข้ามาแล้ว พวกท่านจงยับยั้งการกระทำของพวกท่านลงเสียบ้าง จนกว่าเราจะเห็นว่าเป็นความจริงหรือไม่ เมื่อวันเวลาได้ยืดเยื้อออกไป พวกเขากล่าวว่า โอ้มุฮัมมัด เราไม่เห็นสิ่งใดเลยในสิ่งที่ท่านขู่พวกเรา อัลลอฮฺตะอาลา จึงทรงประทานซูเราะฮฺนี้ลงมา

 
----------------------------------------------------

เอกสารอ้างอิง
R1. The Noble Qur’an (Dr.Muhammad Taqi-ud-Din al-Hilali and Dr.Muhammad Muhsin Khan.)
R2. อัลกุรอานฉบับแปลภาษาไทย โดย มัรวาน สะมะอุน
R3. ตัฟฮีมุลกุรฺอาน(อรรถาธิบายโดย เมาลานา ซัยยิด อบุล อลา เมาดูดี แปลโดย บรรจง บินกาซัน)
R4. พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน พร้อมคำแปลเป็นภาษาไทย ศูนย์กษัตริย์ฟาฮัด เพื่อการพิมพ์อัลกุรฺ อานแห่งนครมาดีนะฮ์
R5. พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ฉบับภาษาไทย (โดย นายต่วน สุวรรณศาสน์-ฮัจยีอิสมาแอล บินฮัจยียะห์ยา)




ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อันนะหฺลุ อายะฮฺที่ 1 - 3
 


คำแปล R1.
1. The event (the Hour or the punishment of disbelievers and polytheists or the Islamic laws or commandments), ordained by Allah will come to pass, so seek not to hasten it. Glorified and exalted be He above all that they associate as partners with Him.
2. He sends down the angels with inspiration of his command to whom of His slaves He pleases (saying): "Warn mankind that La ilaha illa Ana (none has the right to be worshipped but I), so fear Me (by abstaining from sins and evil deeds).
3. He has created the heavens and the earth with truth. High is He exalted above all they associate as partners with Him.


คำแปล R2.
1. การงานของอัลเลาะฮฺ (คือการลงโทษของพระองค์)ได้มาปรากฏแล้ว ดังนั้นพวกเจ้าจงอย่าขอเร่งมันเลย พระองค์ทรงบริสุทธิ์และสูงส่งเกินกว่าที่พวกเขาตั้งภาคี
2. พระองค์ทรงส่งมลาอิกะฮฺให้นำ(โองการอันเปรียบได้ดัง)วิญญาณ(ที่สร้างชีวิตถาวรและดีงามแก่ปวงชน)จากพระบัญชาของพระองบค์ แก่ผู้(นบี)ที่พระองค์ทรงประสงค์จากมวลข้าทาสของพระองค์ว่า “เจ้าทั้งหลายจงเตือน(ประชาชาติทั้งมวล)เถืดว่า อันที่จริงนั้นหามีพระเจ้าอื่นใดนอกจากข้าไม่ ดังนั้นพวกเจ้าจงยำเกรงข้าเถิด!”
3. พระองค์ทรงบันดาลฟากฟ้าและแผ่นดินโดย(เป้าหมายอัน)จริงแท้ พระองค์ทรงสูงส่งเกินกว่าที่พวกเขาตั้งภาคี


คำแปล R3.
1. การตัดสินของอัลลอฮฺได้มาแล้ว ดังนั้นไม่ต้องเร่งเร้าให้มันเกิดขึ้นโดยเร็ว พระองค์นั้นทรงบริสุทธิ์ยิ่งจากสิ่งบกพร่องทั้งมวลและทรงสูงส่งเหนือกว่าการชิริกที่พวกเขากำลังปฏิบัติอยู่
2. พระองค์ได้ส่งมลาอิกะฮฺลงมาพร้อมกับวิญญาณจากคำบัญชาของพระองค์แก่บ่าวของพระองค์ที่พระองค์ทรงคัดเลือก (โดยสั่งว่า) “จงเตือนผู้คนว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากฉัน ดังนั้นจงเกรงกลัวฉัน”
3. พระองค์ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินด้วยความจริง พระองค์ทรงสูงส่งเหนือกว่าการชิริกที่พวกเขากำลังปฏิบัติกันอยู่


คำแปล R4.
1. พระบัญชาของอัลลอฮฺได้มาแล้ว ดังนั้นเจ้าอย่าได้เร่งมัน มหาบริสุทธิ์แด่พระองค์ และพระองค์ทรงสูงส่งเหนือที่พวกเขาตั้งภาคี
2. พระองค์ทรงส่งมะลาอิกะฮฺลงมาพร้อมด้วยวะฮี ตามพระบัญชาของพระองค์ แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ จากปวงบ่าวของพระองค์โดยให้พวกเขาตักเตือนว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากข้า ดังนั้นพวกเจ้าจงยำเกรงต่อข้าเถิด
3. พระองค์ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินด้วยความจริง พระองค์ทรงสูงส่งเหนือที่พวกเขาตั้งภาคี


คำแปล R5.
๑. กิจของอัลเลาะห์ อันได้แก่วาระแห่งวันสิ้นโลกนั้นจวนมาถึงอยู่แล้ว ฉะนั้นพวกเจ้าอย่าได้ขอเร่งรีบให้มันมีขึ้นก่อนกำหนดเลย มันย่อมเกิดขึ้นจริงอย่างแน่นอนและมิต้องสงสัย ขอถวายสรรเสริญว่า มหาบริสุทธิ์แด่พระองค์ พระองค์ทรงเกียรติเลิศล้นเกินกว่าพวกเหล่านั้นจะถือเอาสิ่งใดเช่นเทวรูป เป็นคู่ภาคีกับพระองค์ได้
๒. พระองค์ทรงให้มลาอิกะห์ชื่อยิบรออีลนำโองการลงมาตามประสงค์ของพระองค์ให้แก่ปวงบ่าวผู้เป็นศาสนทูตบางคนของพระองค์ตามที่พระองค์ทรงมุ่งประสงค์สั่งว่า โอ้ปวงศาสนทูต พวกเจ้าจงตักเตือนพวกกาฟิรให้เกรงกลัวการลงโทษ และจงประกาศแก่พวกกาฟิรเหล่านั้นให้รู้เถิดว่า พระองค์นั้นไม่มีพระเจ้าใดที่ถูกเคารพสักการะโดยเที่ยงแท้ เว้นแต่ข้า(อัลเลาะห์) ฉะนั้นพวกเจ้าจงยำเกรงการลงโทษจากข้าเถิด
๓. พระองค์ทรงสร้างบรรดาชั้นฟ้าทั้งเจ็ดและแผ่นดินแล้ว โดยแน่นอน พระองค์ทรงเกียรติเลิศล้นเกินกว่าพวกเหล่านั้นจะถือเอาสิ่งใด เช่น เหล่าเทวรูปเป็นคู่ภาคีกับพระองค์ได้


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อันนะหฺลุ อายะฮฺที่ 4 - 6
 

คำแปล R1.
4. He has created man from Nutfah (mixed drops of male and female sexual discharge), then behold, this same (man) becomes an open opponent.
5. And the cattle, He has created them for you; In them there is warmth (warm clothing), and numerous benefits, and of them you eat.
6. And wherein is beauty for you, when you bring them home in the evening, and as you lead them forth to pasture in the morning.


คำแปล R2.
4. พระองค์ทรงบันดาลมนุษย์มาจากหยดอสุจิ(อันมีเชื้อของชีวิตคือตัวสเปิร์ม) แต่แล้วพวกเขากลับเป็นผู้โต้เถียงอันชัดแจ้ง(ต่อพระองค์)
5. และปศุสัตว์ต่าง ๆ พระองค์ทรงสร้างมันไว้ ซึ่งพวกเจ้าจะได้ป้องกันความหนาวในมัน(ด้วยการนำขนของมันมาหรือหนังของมันมาทำเครื่องนุ่งห่ม) และเป็นประโยชน์อื่น ๆ อีกมากมาย รวมทั้งพวกเจ้าได้รับประทานบางชนิดจากมัน
6. และในสัตว์เหล่านั้นมันทำให้เจ้ารู้สึกงดงาม (เป็นเครื่องประดับบารมี) ในยามที่พวกเจ้านำมันเข้าพักผ่อน และในยามพวกเจ้าปล่อยมันออกหากิน


คำแปล R3.
4. พระองค์ทรงสร้างมนุษย์จากหยดเชื้ออสุจิ แล้วดูซิ เขากลับเป้นผู้โต้เถียงอย่างเปิดเผย
5. พระองค์ทรงสร้างปศุสัตว์ที่ให้เสื้อผ้าแก่สูเจ้าได้อบอุน และอาหารแก่สูเจ้าได้กิน และในตัวของพวกมันยังมีประโยชน์อื่น ๆ อีกมากมาย
6. และพวกมันดูมีความสุขเมื่อสูเจ้าต้อนมันกลับคอกและต้อนมันออกไปยังทุ่งหญ้า


คำแปล R4.
4. พระองค์ทรงสร้างมนุษย์จากน้ำอสุจิแล้วเขาก็เป็นปรปักษ์อย่างชัดแจ้ง
5. และปศุสัตว์ พระองค์ทรงสร้างมันในตัวมันมีความอบอุ่นสำหรับพวกเจ้าและประโยชน์มากหลาย และในส่วนหนึ่งจากมันนั้นพวกเจ้าเอามาบริโภคได้
6. และในตัวมันมีความสง่างามสำหรับพวกเจ้า ขณะที่มันกลับจากทุ่งหญ้าและขณะที่นำมันออกไปเลี้ยง


คำแปล R5.
๔. พระองค์ทรงสร้างมนุษย์(นอกจากอาดัม) จากหยดอสุจิ แล้วในทันใดนั้นเขา(มนุษย์) ก็จะเถียงกันอย่างชัดแจ้งในแบบปฏิเสธเรื่องการฟื้นชีพใหม่จากสุสานว่า ไม่มีใครดอกที่สามารถทำให้กระดูกฟื้นขึ้นได้ ทั้งที่กระดูกนั้นผุเปื่อยเป็นผุยผงไปแล้ว
๕. และเหล่าปศุสัตว์อันมีอูฐ โค แพะ และแกะ พระองค์ก็ทรงสร้างมันขึ้นมาเพื่อพวกเจ้า ซึ่งจากมัน(สัตว์) เหล่านั้นบางส่วน เช่น ขนของมันก็เอาเป็นเครื่องนุ่งห่มได้ และมีคุณประโยชน์ในทางผสมพันธุ์ และนมของมัน ตลอดจนใช้ขับขี่เป็นต้น และอีกบางชนิดจากสัตว์เหล่านั้นพวกเจ้าก็บริโภคได้อีกด้วย
๖. สัตว์นั้น ที่สวยงามสำหรับพวกเจ้าในยามที่พวกเจ้าต้อนเข้าที่นอนของมัน ตอนเย็นก็มี และตอนที่พวกเจ้าไล่ไปเลี้ยงตอนเช้าก็มี

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.พ. 15, 2013, 09:18 AM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อันนะหฺลุ อายะฮฺที่ 7 - 9
 

คำแปล R1.
7. And they carry your loads to a land that you could not reach except with great trouble to yourselves. Truly, your Lord is full of kindness, Most Merciful.
8. And (He has created) horses, mules and donkeys, for you to ride and as an adornment. And He creates (other) things of which you have no knowledge.
9. And upon Allah is the responsibility to explain the Straight Path (i.e. Islamic Monotheism for mankind i.e. to show them legal and illegal, good and evil things, etc. So, whosoever accepts the guidance, it will be for his own benefit and whosoever goes astray, it will be for his own destruction), but there are ways that turn aside (such as Paganism, Judaism, Christianity, etc.). And had He willed, He would have guided you all (mankind).


คำแปล R2.
7. และมันบรรทุกสัมภาระของพวกเจ้าไปยังเมืองเมืองหนึ่งซึ่งพวกเจ้าไม่สามารถจะไปถึงมันได้ด้วยความยากลำบากแก่ตัวเอง แท้จริงองค์อภิบาลของพวกเจ้านั้นทรงปรานีอีกทั้งทรงเมตตายิ่ง
8. และ(พระองค์ทรงบันดาล)ม้า, ล่อ, และลา เพื่อพวกเจ้าได้ขี่มัน และเป็นสิ่งประดับบารมีอย่างหนึ่ง และพระองค์ทรงบันดาลสิ่งที่พวกเจ้าไม่รู้(อีกมากมาย)
9. และเป็นหน้าที่ของอัลเลาะฮฺโดยเฉพาะการชี้ถึงแนวทางที่เที่ยงตรง และมีบางแนวทางที่บิดเบือน(ไปจากความจริง) และมาดแม้นพระองค์ทรงประสงค์แล้วไซร้แน่นอนพระองค์ย่อมชี้นำพวกเจ้าทั้งมวล(ให้เข้าสู่แนวทางของพระองค์)


คำแปล R3.
7. พวกมันบรรทุกสัมภาระของสูเจ้าไปยังแดนไกลที่สูเจ้าไม่สามารถไปถึงได้ถ้าไม่ใช้ความพยายามอย่างหนัก แท้จริงพระผู้อภิบาลของสูเจ้านั้นทรงเอ็นดูและทรงเมตตาเสมอ
8. พระองค์ได้ทรงสร้างม้า ล่อ และลา เพื่อที่ว่าสูเจ้าจะได้ขี่มันและเพื่อมันจะได้สร้างความสง่างามให้แก่ชีวิตของสูเจ้า และพระองค์ทรงสร้างสิ่งอื่น ๆ อีกมากมายที่สูเจ้าไม่รู้
9. อัลลอฮฺได้ถือว่าเป็นเรื่องของพระองค์เองที่จะแสดงแนวทางที่ถูกต้องเมื่อมีหนทางคดเคี้ยวต่าง ๆ เกิดขึ้น พระองค์จะทรงนำทางสูเจ้าทั้งหมด หากว่าพระองค์ทรงประสงค์เช่นนั้น


คำแปล R4.
7. และมันแบกสัมภาระหนักของพวกเจ้าไปยังเมืองไกล ๆ โดยที่พวกเจ้าจะไปถึงมันไม่ได้เว้นแต่ด้วยความเหนื่อยยากลำบากใจ แท้จริงพระเจ้าของพวกเจ้านั้นเป็นผู้ทรงเอ็นดู ผู้ทรงเมตตาเสมอ
8. และม้า และล่อ และลา เพื่อพวกเจ้าจะได้ขี่มันและเป็นเครื่องประดับ และพระองค์ยังทรงสร้างสิ่งอื่นๆ ที่พวกเจ้าไม่รู้
9. และเป็นหน้าที่เหนืออัลลอฮฺคือการชี้แนะทางที่เที่ยงตรง และจากมัน(ทางต่าง ๆ) นั้น ก็มีทางคดเคี้ยวและหากพระองค์ทรงประสงค์แน่นอนพระองค์ก็จะทรงชี้นำทางแก่พวกเจ้าทั้งหมด


คำแปล R5.
๗. และสัตว์เหล่านั้นมันจะบรรทุกสัมภาระของพวกเจ้าจากเมืองหนึ่งไปยังอีกเมืองหนึ่ง ซึ่งพวกเจ้าจะไปถึงได้ก็ทั้งยาก พร้อมต้องใช้อูฐเป็นพาหนะอีกด้วย แน่แท้องค์อภิบาลของพวกเจ้าก็คือองค์เอื้ออารีย์ยิ่ง ทรงปรานียิ่งต่อพวกเจ้า
๘. ส่วนม้า ล่อ และลา ที่พระองค์ทรงให้บังเกิดมีขึ้นก็เพื่อให้พวกเจ้าได้ขับขี่เป็นพาหนะไปมา และเป็นสิ่งสวยงาม พระองค์ทรงสร้างสิ่งทั้งปวงซึ่งแปลกประหลาดที่พวกเจ้าไม่รู้
๙. จะสู่วิถีทางที่มุ่งประสงค์คือศาสนาอิสลามได้ ก็อยู่ที่อัลเลาะห์เท่านั้นที่ทรงกรุณาแจ้งให้ทราบด้วยการแต่งตั้งพระศาสดามาถึง ๒๖ ท่านและด้วยการประทานคัมภีร์ ๑๐๔ เล่ม ลงมา แต่บางวิถีทางที่หันเหออกไปนอกทางเที่ยงธรรมก็มี เช่นวิถีทางในสายของยะฮูดี ในสายของนะซอรอและวิถีทางของกาฟิร ถ้าพระองค์ทรงมุ่งประสงค์แล้วไซร้ พระองค์ก็ทรงให้พวกเจ้าทั้งหมด ดำรงมั่นอยู่ในแนวธรรม แต่พวกเจ้าไม่ได้อยู่ในแนวธรรมทั้งหมด แสดงว่าพระองค์มิได้ทรงมุ่งประสงค์อย่างนั้น


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อันนะหฺลุ อายะฮฺที่ 10 – 12


คำแปล R1.
10. He it is who sends down water (rain) from the sky; from it you drinks and from it (grows) the vegetation on which you send your cattle to pasture;
11. With it He causes to grow for you the crops, the olives, the date-palms, the grapes, and every kind of fruit. Verily! In this is indeed an evident proof and a manifest sign for people who give thought.
12. And He has subjected to you the night and the day, the sun and the moon; and the stars are subjected by his Command. Surely, in this are proofs for people who understand.


คำแปล R2.
10. พระองค์เป็นผู้หลั่งน้ำฝนให้ลงมาจากฟ้าเพื่อเป็นเครื่องดื่มสำหรับพวกเจ้าเป็นบางส่วน และบางส่วนต้นไม้ก็เจริญงอกงามขึ้นจากมัน ซึ่งพวกเจ้าใช้เลี้ยงสัตว์ (ให้อุดมสมบูรณ์)
11. พระองค์ทรงให้พืชพันธุ์ต่าง ๆ งอกงามขึ้นเพื่อพวกเจ้า รวมทั้งต้นมะกอก, ต้นองุ่น,ต้นอินทผลัม, และต้นไม้อื่น ๆ ทุกชนิด แท้จริงในสิ่งนั้นล้วนเป็นสัญลักษณ์(เตือนใจ)สำหรับกลุ่มชนที่ตริตรอง
12. พระองค์ทรงให้กลางคืน, กลางวัน, ตะวัน, เดือน, และดาวต่าง ๆ อำนวยประโยชน์แก่พวกเจ้า โดยพระบัญชาของพระองค์ แท้จริงในนั้นย่อมเป็นสัญลักษณ์ต่าง ๆ สำหรับกลุ่มชนที่ใช้ปัญญา


คำแปล R3.
10. พระองค์คือผู้ทรงประทานน้ำลงมาจากฟากฟ้าสำหรับสูเจ้าเพื่อใช้ดื่มและจากน้ำนั้นได้ก่อให้เกิดพืชพันธุ์สำหรับปศุสัตว์ของสูเจ้า
11. และจากนั้นพระองค์ก็ได้ทรงทำให้พืชผลและมะกอกและอินทผลัมและองุ่นและผลไม้อื่น ๆ อีกหลายชนิดเติบโตขึ้นเพื่อสูเจ้า แน่นอนในนั้นมีสัญญาณอันยิ่งใหญ่สำหรับหมู่ชนผู้ตรึกตรอง
12. และพระองค์ได้ทรงทำให้กลางคืนและกลางวัน และดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เป็นประโยชน์ต่อสูเจ้า และหมู่ดาวก็ถูกทำให้เป็นประโยชน์ต่อสูเจ้าโดยพระบัญชาของพระองค์เช่นกัน แท้จริงในนั้นมีสัญญาณมากมายสำหรับหมู่ชนผู้ใช้ปัญญา


คำแปล R4.
10. พระองค์คือ ผู้ทรงหลั่งน้ำลงมาจากฟากฟ้าสำหรับพวกเจ้า ส่วนหนึ่ง เป็นเครื่องดื่มและอีกส่วนหนึ่ง (ทำให้) พฤกษชาติ(เจริญเติบโต) เพื่อพวกเจ้าใช้เลี้ยงสัตว์
11. ด้วยมัน (น้ำ) พระองค์ทรงให้พืชผลและผลมะกอก และอินทผลัม และองุ่น งอกงามสำหรับพวกเจ้า และจากผลไม้อีกหลายชนิด แท้จริงในการนั้น แน่นอน ย่อมเป็นสัญญาณสำหรับกลุ่มชนที่ตึกตรอง
12. และพระองค์ทรงให้กลางคืนและกลางวันและดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เป็นประโยชน์แก่พวกเจ้า และหมู่ดาวถูกใช้ให้เป็นประโยชน์โดยพระบัญชาของพระองค์ แท้จริงในการนั้น แน่นอนย่อมเป็นสัญญาณมากหลาย สำหรับกลุ่มชนที่ใช้ปัญญา


คำแปล R5.
๑๐. พระองค์คือผู้หลั่งน้ำฝนลงมาแต่ก้อนเมฆจากฟากฟ้า เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่พวกเจ้าใช้สำหรับดื่มด้วย และสำหรับพืชพันธุ์เจริญงอกงามด้วย ทั้งพวกเจ้าจะใช้เลี้ยงสัตว์ได้อีกด้วย
๑๑. พระองค์ทรงให้พืชพันธุ์ต้นไซตูน อินทผลัม ตลอดทั้งองุ่นและผลไม้ทุกชนิดงอกเงยขึ้น ณ หน้าแผ่นดินได้ด้วยน้ำก็เพื่อพวกเจ้าจะได้รำลึกถึงพระกรุณาธิคุณของพระองค์ แน่แท้จากสิ่งทั้งปวงที่กล่าวนี้เป็นสัญลักษณ์บอกถึงเอกภาพของอัลเลาะห์สำหรับปวงชนผู้ตึกตรองในกิจทั้งมวลของพระองค์ พวกเขาจะได้มีศรัทธาต่อพระองค์
๑๒. พระองค์ทรงบังคับการให้มีกลางคืน กลางวัน ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และหมู่ดาวเพื่อเป็นบริการสำหรับพวกเจ้าตามพระประสงค์แห่งพระองค์ แน่แท้จากสิ่งอันเป็นบริการที่กล่าวนี้ เป็นสัญลักษณ์บอกถึงเอกภาพแห่งอัลเลาะห์สำหรับปวงชนผู้ใช้ปัญญาตรึกตรองกิจทั้งปวงของพระองค์



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อันนะหฺลุ อายะฮฺที่ 13 - 16
 

คำแปล R1.
13. And whatsoever He has created for you on this earth of varying colours [and qualities from vegetation and fruits, etc. (botanical life) and from animal (zoological life)]. Verily! In this is a sign for people who remember.
14. And He it is who has subjected the sea (to you), that you eat thereof fresh tender meat (i.e. fish), and that you bring forth out of it ornaments to wear. And you see the ships ploughing through it, that you may seek (thus) of His Bounty (by transporting the goods from place to place) and that you may be grateful.
15. And He has affixed into the earth mountains standing firm, lest it should shake with you, and rivers and roads, that you may guide yourselves.
16. And landmarks (signposts, etc. during the day) and by the stars (during the night), they (mankind) guide themselves.


คำแปล R2.
13. และสิ่งที่พระองค์ทรงเนรมิตขึ้นแก่พวกเจ้า ในแผ่นดินให้มีสีสันอันแตกต่างกัน แท้จริงในนั้นเป็นสัญลักษณ์สำหรับกลุ่มชนที่มีจิตสำนึก
14. และพระองค์เป็นผู้ทรงให้ทะเลอำนวยประโยชน์ เพื่อพวกเจ้าได้บริโภคเนื้อ(ปลา)สด ๆ จากมัน และพวกเจ้าจะได้งมออกมาจากทะเล ซึ่งเครื่องประดับ (เช่นไข่มุก) ที่พวกเจ้าสวมใส่มัน และพวกเจ้าเห็นเรือฝ่าแหวกสายน้ำอยู่ในทะเล และเพื่อพวกเจ้าจะได้แสวงหาจากความโปรดปรานของพระองค์ (ด้วยการทำพาณิชย์นาวีเป็นต้น)และเพื่อพวกเจ้าจะได้กตัญญูต่อพระองค์
15. และพระองค์ได้ทรงปักขุนเขาลงไปในแผ่นดิน มันทำให้พวกเจ้าไม่สั่นไหวและ(ทรงบันดาล)บรรดาธารน้ำ และทางต่าง ๆ เพื่อพวกเจ้าจะได้รับการชี้นำ(ในการสัญจรอย่างตรงตามเป้าหมาย)
16. และ(ทรงบันดาล) เครื่องหมายต่าง ๆ (สำหรับการเดินทาง) และด้วยดวงดาวเท่านั้นที่พวกเขาทั้งหลายจะได้รับการชี้นำ(อย่างถูกต้องและแม่นยำในการเดินทาง)


คำแปล R3.
13. และในสรรพสิ่งหลากสีซึ่งพระองค์ได้ทรงสร้างไว้สำหรับสูเจ้านั้นแท้จริงแล้วมีสัญญาณสำหรับผู้เรียนรู้บทเรียนจากมัน
14. พระองค์คือผู้ทรงทำให้ทะเลเป็นประโยชน์ต่อสูเจ้าเพื่อที่สูเจ้าจะได้เนื้อปลาสด ๆ จากมันมากินและเอาสิ่งประดับออกมาจากมันเพื่อสวมใส่และสูเจ้าได้เห็นเรือแล่นฝ่ามันไป พระองค์ได้ทรงทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเพื่อที่สูเจ้าจะได้แสวงหาความโปรดปรานจากพระองค์และแสดงความกตัญญูต่อพระองค์
15. พระองค์ได้ทรงปักภูเขาลงไปในแผ่นดินอย่างมั่นคงเพื่อที่ว่ามันจะไม่เคลื่อนออกไปจากสภาพปกติของมนพร้อมกับสูเจ้า พระองค์ได้ทรงทำให้แม่น้ำไหลและได้ทำทางตามธรรมชาติ เพื่อที่ว่าสูเจ้าจะได้อยู่ในหนทางที่ถูกต้อง
16. พระองค์ได้ทรงสร้างเครื่องหมายต่าง     เพื่อนำทางผู้คน และดวงดาวเช่นกันที่พวกเขาได้ถูกนำทางอย่างถูกต้อง


คำแปล R4.
13. และสิ่งที่พระองค์ทรงให้มีขึ้นมากมายสำหรับพวกท่านในแผ่นดินนั้น ชนิดของมันแตกต่างกันไป(แท้จริงในการนั้น แน่นอนย่อมเป็นสัญญาณสำหรับกลุ่มชนผู้ใคร่ครวญ)
14. และพระองค์คือผู้ทรงทำให้ทะเลเป็นประโยชน์ เพื่อพวกเจ้าจะได้กินเนื้อนุ่มสดจากมัน และพวกเจ้าเอาเครื่องประดับออกจากมัน สำหรับใช้ประดับราคา และเจ้าเห็นเรือแล่นฝ่าคลื่นในท้องทะเล และเพื่อพวกเจ้าจะได้แสวงหาความโปรดปรานของพระองค์ และเพื่อพวกเจ้าจะได้ขอบคุณ
15. และพระองค์ทรงให้มีเทือกเขามั่นคงในแผ่นดิน เพื่อมิให้มันสั่นสะเทือกนแก่พวกเจ้า และ (ทำให้มี) ลำน้ำและหนทาง เพื่อพวกเจ้าจะได้บรรลุสู่เป้าหมาย
16. เครื่องหมายต่าง ๆ และด้วยดวงดาว พวกเขาใช้นำทาง


คำแปล R5.
๑๓. สิ่งต่าง ๆ ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น ณ หน้าแผ่นดินเพื่อพวกเจ้า อาทิ สัตว์และพืชรวมทั้งสิ่งอื่น ๆ ด้วย ก็ให้มีสีแปลกกันไป เช่น เป็นสีแดง สีเหลือง สีเขียว และสีอื่น ๆ แน่แท้จากสิ่งที่ถูกสร้างให้มีสีแปลก ๆ ที่กล่าวนี้เป็นสัญลักษณ์บอกถึงเอกภาพแห่งอัลเลาะห์ สำหรับปวงชนผู้น้อมรำลึกในคำเตือนจากพระองค์
๑๔. พระองค์ทรงบังคับการให้มีทะเลเพื่อใช้เป็นที่ขับขี่ยานทางน้ำเพื่อพวกเจ้าจะได้บริโภคเนื้อปลาที่จับมาได้จากท้องทะเลและเพื่อพวกเจ้าจักได้แสวงหาเครื่องประดับ เช่น ไข่มุกจากท้องทะเลมาตกแต่งให้สวยงาม โอ้มุฮำมัด แล้วเจ้าจะเห็นเรือแล่นฝ่าท้องน้ำไปได้เพียงด้วยกระแสลมเท่านั้น และเพื่อพวกเจ้าจักได้แสวงหาส่วนแห่งพระกรุณาของพระองค์ด้วยทำการค้าขาย เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้ขอบพระคุณในพระกรุณาธิคุณของพระองค์ดังกล่าวอันมีต่อพวกเจ้า
๑๕. และพระองค์ทรงสร้างเทือกเขาลงยังแผ่นดิน มัน(แผ่นดิน) จะได้ให้พวกเจ้า(ชาวนครมักกะห์) เกาะกุมอยู่ได้ ไม่ไหวหวั่น ตลอดทั้งทรงให้เกิดมีแม่น้ำ ลำธารและทางสัญจรไว้ ณ หน้าแผ่นดินอีกด้วยเพื่อพวกเจ้า(ชาวนครมักกะห์) จักได้ดำเนินทางไปสู่ที่หมายอันถูกต้องของพวกเจ้า
๑๖. และพวกนั้น (ชาวชนแห่งโลกพิภพ) จะดำเนินไปได้ถูกต้องตามที่หมาย ก็เฉพาะโดยมีเครื่องหมาย เช่น ในเวลากลางวันใช้ภูเขาเป็นเครื่องสังเกต และในเวลากลางคืนก็สังเกตดูดวงดาวเท่านั้น




สูเราะฮฺ อันนะหฺลุ อายะฮฺที่ 17 - 22


คำแปล R1.
17. Is then he, who creates as one who creates not? Will you not then remember?
18. And if you would count the graces of Allah, never could you be qble to count them. Truly! Allah is Oft-Forgiving, Most Merciful.
19. And Allah knows what you conceal and what you reveal.
20. Those whom they (Al-Mushrikun) invoke besides Allah have not created anything, but are themselves created.
21. (They are) dead, lifeless, and they know not when they will be raised up.
22. Your Ilah (God) is one Ilah (God Allah, none has the right to be worshipped but He). But for those who believe not in the Hereafter, their hearts deny (the faith in the Oneness of Allah), and they are proud.


คำแปล R2.
17. แล้วจะเหมือนกันหรือ (อัลเลาะฮฺ) ผู้ที่สร้าง (ทุกสิ่งทุกอย่าง) กับ (เทวรูปต่าง ๆ) ผู้ที่ไม่สร้าง (อะไรเลย)? แล้วไฉนพวกเจ้าจึงไม่สำนึก(กันเลย)
18. และหากพวกเจ้าจะนับความโปรดปรานของอัลเลาะฮฺ แน่นอน พวกเจ้าไม่อาจนับมันให้ถ้วนได้ แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงให้อภัยอีกทั้งทรงเมตตายิ่ง
19. และอัลเลาะฮฺทรงรอบรู้ทั้งสิ่งที่พวกเจ้าปิดบังและสิ่งที่พวกเจ้าเปิดเผย
20. และบรรดาผู้วอน(นมัสการ)สิ่งอื่นนอกจากอัลเลาะฮฺ ซึ่งสิ่งเหล่านั้นมิได้สร้างสิ่งใดเลย แต่สิ่งเหล่านั้นถูกสร้างขึ้น(โดยผู้ทำการกราบไหว้นั่นเอง)
21. (สิ่งเหล่านั้นล้วน)เป็นสิ่งไร้ชีวิต และพวกมันหารู้ไม่ว่า จะถูกให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อใด?
22. อันพระเจ้าของพวกเจ้านั้นเป็นพระเจ้าเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ส่วนบรรดาผู้ไม่ศรัทธาในโลกหน้า หัวใจของเขาย่อมคัดค้าน(ในสัจธรรม)และพวกเขาเป็นผู้ทรนงตนโดยแท้จริง


คำแปล R3.
17. แล้วพระองค์ผู้ทรงสร้างจะเหมือนกับบรรดาผู้ที่ไม่ได้สร้างสิ่งใดกระนั้นหรือ? ถึงขนาดนี้แล้วสูเจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ?
18. ถ้าหากสูจ้าจะนับความโปรดปรานของอัลลอฮฺ สูเจ้าไม่อาจที่จะนับมันได้ แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงให้อภัยผู้ทรงเมตตาเสมอ
19. และอัลลอฮฺทรงรู้ทั้งหมดที่สูเจ้าซ่อนเร้นและที่สูเจ้าเปิดเผย
20. และคนอื่น ๆ ที่พวกเขาวิงวอนนอกไปจากอัลลอฮฺไม่ได้สร้างสิ่งใด แต่พวกเขาเองต่างหากที่ถูกสร้าง
21. พวกเขาตาย ไม่มีชีวิต และพวกเขาไม่รู้เลยว่าเมื่อไรพวกเขาจะถูกทำให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีก
22. พระเจ้าของสูเจ้าคืออัลลอฮฺองค์เดียว แต่หัวใจของบรรดาผู้ไม่ศรัทธาในโลกหน้านั้นได้ปฏิเสธ และพวกเขามีแต่ความหยิ่งผยอง


คำแปล R4.
17. ดังนั้น ผู้ทรงสร้างย่อมไม่เหมือนกับผู้ที่ถูกสร้าง พวกเจ้าไม่ใคร่ครวญดอกหรือ
18. และหากพวกเจ้าจะนับความโปรดปรานของอัลลอฮฺ พวกเจ้าก็ไม่สามารถจะคำนวณมันได้ แท้จริงอัลลอฮฺนั้น เป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาอย่างแน่นอน
19. และอัลลอฮทรงรอบรู้สิ่งที่พวกท่านปิดบังและสิ่งที่พวกท่านเปิดเผย
20. และบรรดาสิ่งที่พวกเขาวิงวอนอื่นจากอัลลอฮฺนั้น พวกมันไม่ได้สร้างสิ่งใดเลย แต่พวกมันถูกสร้าง
21. พวกมันตาย ปราศจากชีวิต และพวกมันไม่รู้ด้วยว่า เมื่อใดจะถูกให้ฟื้นขึ้นมาอีก
22. พระเจ้าของพวกเจ้านั้นคือพระองค์เดียว ดังนั้น บรรดาผู้ไม่ศรัทธาต่อวันปรโลกหัวใจของพวกเขาปฏิเสธไม่รับรู้ และพวกเขาหยิ่งผยอง


คำแปล R5.
๑๗. อัลเลาะห์ องค์ผู้มีพลานุภาพในการสร้างนั้นจะเหมือนกันหรือกับเหล่าเทวรูปผู้มิได้สร้างสิ่งใดขึ้นเลย แต่ถูกพวกกาฟิรนำขึ้นเคารพบูชาเป็นคูภาคีกับอัลเลาะห์ หาเหมือนกันไม่ โอ้เหล่าชนผู้เคารพบูชาเทวรูป พวกเจ้ามิได้ระลึกในข้อนี้ดอกหรือ ? พวกเจ้าจะได้ศรัทธาต่อพระองค์
๑๘. ถ้าพวกเจ้าจะคิดคำนวณพระกรุณาธิคุณของอัลเลาะห์แล้วพวกเจ้าอย่าได้นับมันเลย เพราะมีมากมายล้นพ้น และแน่แท้อัลเลาะห์นั้นทรงเป็นองค์ยิ่งในการอภัยแก่พวกเจ้าที่ขอบพระคุณแต่เพียงพระกรุณาธิคุณที่จำเป็นแก่พวกเจ้าเท่านั้น ทรงเป็นองค์เมตตายิ่งต่อพวกเจ้า ที่ทรงอำนวยพระกรุณาธิคุณแก่พวกเจ้าอย่างไพศาล และไม่ทรงจำกัดพระกรุณาธิคุณของพระองค์ให้ลดน้อยลงเพียงเพราะเหตุพวกเจ้าประมาทเลินเล่อและทรยศ
๑๙. อัลเลาะห์ทรงทราบถึงความนับถืออยู่ในใจและการกระทำทางร่างกายที่พวกเจ้าปกปิดไว้ และที่พวกเจ้าเปิดเผยด้วย
๒๐. โอ้ปวงชนกาฟิรอื่นจากอัลเลาะห์แล้ว เหล่าเทวรูปที่พวกเจ้าเคารพบูชาอยู่นั้นจะสร้างสิ่งใดมิได้เลย มัน(เทวรูป) เหล่านั้นต่างหากที่ถูกสร้างขึ้นโดยฝีมือ ทำเป็นรูปขึ้นจากหินบ้างหรือจากสิ่งอื่น ๆ บ้าง
๒๑. ทั้งมัน(เทวรูป) เหล่านั้นยังตายหามีชีวิตไม่ และมิได้รู้อีกด้วยว่าพวกตนถูกกำเนิดมาเมื่อใด ไม่รู้แม้กระทั่งพวกตนถูกเคารพบูชา และไม่รู้ว่าพวกตนมีภาวะเป็นอย่างใด
๒๒. พระเจ้าของพวกเจ้า องค์ผู้ซึ่งควรแก่การเคารพบูชายิ่งสำหรับพวกเจ้านั้นเป็นพระเจ้าองค์เดียว ย่อมไม่มีผู้ใดเหมือนกับอัลเลาะห์ไม่ว่าในด้านใด ส่วนบรรดาชนผู้ซึ่งไม่ศรัทธาต่อวันปรภพ หัวใจของพวกเขาจะปฏิเสธเอกภาพของพระองค์ยิ่งกว่าจะยอมศรัทธาในอกภาพของพระองค์ ทั้งพวกเขายังเป็นผู้หยิ่งยโสอีกด้วย


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อันนะหฺลุ อายะฮฺที่ 23 - 25


คำแปล R1.
23. Certainly, Allฟh knows what they conceal and what they reveal. Truly, He likes not the proud.
24. And when it is said to them: "What is it that your Lord has sent down (unto Muhammad)?" they say: "Tales of the men of old!"
25. They will bear their own burdens in full on the Day of Resurrection, and also of the burdens of those whom they misled without knowledge. Evil indeed is that which they shall bear!


คำแปล R2.
23. ไม่มีข้อกังขาใด ๆ ทั้งสิ้น! แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงรอบรู้สิ่งที่พวกเขาปกปิดไว้ และสิ่งที่พวกเขาเปิดเผย แท้จริงพระองค์ไม่ทรงรักบรรดาผู้ที่ทระนงตนทั้งมวล
24. และเมื่อมีผู้ถามพวกเขา(ชาวไร้ศรัทธา)ว่า “อะไรบ้างที่องค์อภิบาลแห่งเจ้าได้ประทานลงมา(แก่มุฮำมัด)” พวกเขาก็ตอบว่า “เป็นนิยายปรัมปราของบรรพชน!”
25. เพื่อพวกเขาจะได้แบกบาปอันหนักของพวกเขา โดยครบสมบูรณ์ในวันชาติหน้า และ(รวมทั้ง)บางส่วนแห่งบาปของบรรดาผู้ที่พวกเขาได้ทำให้หลงผิด โดยไม่มีความรู้ (อีกด้วย) พึงสังวร! สิ่งที่พวกเขาแบกไว้นั้น ชั่วช้ายิ่งนัก


คำแปล R3.
 23. แน่นอนอัลลอฮฺทรงรู้ดีถึงการกระทำของพวกเขาทั้งหมด ทั้งที่ปิดบังและเปิดเผย พและพระองค์ไม่ทรงรักบรรดาผู้หยิ่งผยอง
24. และเมื่อพวกเขาถูกถามว่า “อะไรเล่าที่พระผู้อภิบาลของท่านส่งมา?” พวกเขากล่าวว่านี่เป็นเพียงตำนานเมื่อครั้งโบราณ
25. พวกเขากล่าวเช่นนั้นก็เพื่อพวกเขาจะได้แบกภาระของพวกเขาไว้อย่างเต็มที่ในวันแห่งการฟื้นคืนชีพพร้อมกับภาระบางส่วนของบรรดาผู้ที่พวกเขาทำให้หลงทางโดยไม่มีความรู้ด้วย จงรู้ไว้เถิดว่า ภาระหนักเหลือเกินที่พวกเขาแบกไว้


คำแปล R4.
23. โดยแน่นอน แท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงรอบรู้สิ่งที่พวกเขาปิดบัง และสิ่งที่พวกเขาเปิดเผยแท้จริงพระองค์มิทรงรักพวกหยิ่งผยอง
24. และเมื่อได้ถูกกล่าวแก่พวกเขาว่า “พระเจ้าของพวกเจ้าได้ประทานอะไรลงมา? พวกเขากล่าวว่า “นิยายสมัยก่อน”
25. พวกเขาจงแบกความผิดอย่างครบครันในวันกิยามะฮฺเถิด และ(จงแบก) ความผิดของบรรดาผู้ที่พวกเขาทำให้เขาเหล่านั้น หลงผิดโดยไม่รู้ พึงทราบเถิด! สิ่งที่พวกเขาทำผิดนั้นชั่วช้ายิ่ง


คำแปล R5.
๒๓. แน่นอนทีเดียวอัลเลาะห์ทรงทราบถึงสิ่งที่พวกนั้นผู้เป็นข้าของพระองค์ปกปิดไว้และที่พวกนั้นเปิดเผย พระองค์จะทรงตอบสนองผลแห่งกรรมให้แก่พวกนั้นที่ได้ปกปิดและเปิดเผย แน่แท้พระองค์ทรงเอาโทษผู้ที่หยิ่งยโส
มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้ เพราะมีชายผู้หนึ่งชื่อนะด็อรบุตรอัล-ฮัรซ์เป็นผู้รจนาคัมภีร์พงศาวดารขึ้นเล่มหนึ่ง เขาเองคิดว่าถ้อยคำที่ใช้อยู่ในคัมภีร์นั้นสละสลวย และมีเนื้อความครบถ้วนยิ่งกว่าพระคัมภีร์อัล-กุรอานที่ถูกประทานลงมายังพระศาสดามุฮำมัด ซล. จึงมีโองการลงมาว่า
๒๔. และเมื่อพวกเหล่านั้นที่เป็นชนกาฟิรผู้ไม่เชื่อในวันอวสาน(อาคิเราะห์) ถูกถามว่าองค์พระผู้อภิบาลแห่งพวกเจ้าประทานอะไรลงมายังมุฮำมัดหรือ ? พวก(กาฟิร) เหล่านั้นตอบว่า “นิยายปรัมปรา” ที่เหล่าบรรพบุรุษเล่าสืบทอดกันมาแต่โบราณสมัย เพื่อชักนำปวงชนให้หลงห่างจากหนทางเที่ยง
๒๕. ในที่สุดพวกเหล่านั้นจึงต้องแบกภาระแห่งบาปของพวกตนในวันกิยามะห์อย่างครบถ้วนจนแม้แต่บรรดาภัยที่พวกตนได้รับในภาคภพดุนยา ก็ไม่อาจนำไปบรรเทาโทษในภพอาคิเราะห์ให้ลดน้อยลงได้(ต่างกับชนมุอ์มินผู้มีโทษในวันอาคิเราะห์ ถ้าในภพดุนยาได้รับเคราะห์ร้ายแล้ว โทษในภาคอาคิเราะห์ย่อมถูกหักกลบบรรเทาลง) และรับภาระแห่งบาปของผู้เจริญตามที่พวกตนทำให้พวกเขาหลงห่างโดยไม่รู้ตัวอีกด้วย ทั้งนี้พวกตนผู้เป็นหัวหน้าคอยชักนำพวกเขาให้หลงพวกเขาจึงหลงตาม พวกหัวหน้าจึงมีส่วนได้รับบาป ระวังเถิด เท่าที่พวก(หัวหน้า) เหล่านั้นแบกภาระแห่งบาปทั้งสองแบบนั้นชั่วช้ายิ่งนัก


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อันนะหฺลุ อายะฮฺที่ 26 - 29
 

คำแปล R1.
26. Those before them indeed plotted, but Allah struck at the foundation of their building, and then the roof fell down upon them, from above them, and the torment overtook them from directions they did not perceive.
27. Then, on the Day of Resurrection, He will disgrace them and will say: "Where are my (so called) 'partners' concerning whom you used to disagree and dispute (with the believers, by defying and disobeying Allah)?" those who have been given the knowledge (about the torment of Allah for the disbelievers) will say: "Verily! Disgrace this day and misery are upon the disbelievers.
28. "Those whose lives the angels take while they are doing wrong to themselves (by disbelief and by associating partners in worship with Allah and by committing all kinds of crimes and evil deeds)." Then, they will make (false) submission (saying): "We used not to do any evil." (The angels will reply): "Yes! truly, Allah is All-Knower of what you used to do.
29. "So enter the gates of Hell, to abide therein, and indeed, what an evil abode will be for the arrogant."


คำแปล R2.
26. แท้จริงบรรดาพวกที่มีมาก่อนพวกเขา(ในยุคอดีต)ได้วางแผน(เพื่อทำลายศาสดาของตนเอง) ดังนั้นต่อมาอัลเลาะฮฺได้(ลงโทษด้วยการ)ประทานให้สิ่งก่อสร้างของพวกเขา(ถอนออก)จากรากฐาน แล้วหลังคาก็ทรุดลงมาทับพวกเขาจากเบื้องบน และพระองค์ทรงประทานการลงโทษแก่พวกเขา โดยพวกเขาหาได้รู้ตัวไม่
27. หลังจากนั้นในวันชาติหน้า พระองค์ก็จะทำให้พวกเขารู้สึกอดสู โดยพระองค์ตรัสว่า “บรรดาภาคีของข้าซึ่งพวกเจ้าได้แตกแยกกันเองในเรื่องของพวกนั้นอยู่ไหนเล่า?” บรรดาผู้มีความรู้ทั้งหลายพูดว่า “แท้จริงความอัปยศและความเลวร้ายในวันนี้ย่อมตกแก่พวกทรยศอย่างแน่นอน!”
28. บรรดาผู้ซึ่งมวลมลาอิกะฮฺได้ทำให้พวกเขาสิ้นชีวิตในฐานะผู้อธรรมต่อตัวเอง(คือไม่ศรัทธาในหลักสัจธรรม) พวกเขาก็แสดงความนอบน้อมพร้อมกับพูดว่า “พวกเรามิเคยปฏิบัติความชั่วช้าใด ๆ เลย (เพื่อตอบคำถามขององค์อภิบาลในโองการที่พ้นมา)” ทว่า! แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงรอบรู้ยิ่งในสิ่งที่พวกเจ้าได้ประพฤติไว้”
29. ดังนั้นเจ้าทั้งหลายจงเข้าประตูนรกยะฮันนัมโดยอยู่ถาวรในนั้นเถิด! แท้จริงมันเป็นที่พำนักอันชั่วช้าที่สุดของบรรดาพวกทรนงตน


คำแปล R3.
26. บรรดาผู้คนก่อนหน้าพวกเขาได้เคยวางแผนร้ายที่คิดจะทำลายสัจธรรมกันมาแล้ว แต่จงรู้ไว้ด้วยว่า อัลลอฮิได้ทรงทำลายโครงสร้างแผนการอันชั่วร้ายของพวกเขาที่เป็นรากฐานของมัน และหลังคาของมันได้หล่นทลายลงมาบนหัวของพวกเขาจากข้างบน และการลงโทษได้เกิดขึ้นแก่พวกเขาจากทางที่พวกเขาไม่คาดคิด
27. แล้วในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ อัลลอฮิจะทรงทำให้พวกเขาอัปยศและตกต่ำพระองค์จะทรงกล่าวแก่พวกเขาว่า “ไหนเล่าหุ้นส่วนของฉันที่สูเจ้าเคยนำมาโต้แย้ง(กับสัจธรรม)?” บรรดาผู้ได้รับความรู้ในโลกนี้จะกล่าวว่า “วันนี้มีความอัปยศและความทุกข์สำหรับผู้ปฏิเสธอย่างแน่นอน”
28. ใช่แล้ว นี่สำหรับบรรดาผู้ปฏิเสธที่ขณะกำลังอธรรมต่อตัวเองอยู่นั้น พวกเขาจะยอมจำนนก็ต่อเมื่อมลาอิกะฮฺมาเอาชีวิตไป พลางกล่าวว่า “เราไม่ได้ทำผิดอะไรเลย” (มลาอิกะฮฺกล่าวว่า) “สูเจ้ากล้าดีอย่างไรที่ปฏิเสธ อัลลอฮฺทรงรู้ดีถึงสิ่งที่สูเจ้ากระทำ
29. จงเข้าไปในประตูแห่งนรกที่สูเจ้าจะพำนักอยู่ในนั้นตลอดไป” แท้จริง นั่นเป็นที่พำนักอันเลวร้ายสำหรับผู้หยิ่งผยอง


คำแปล R4.
26. แน่นอน บรรดาผู้ที่มาก่อนหน้าพวกเขาได้วางแผน ดังนั้น อัลลอฮฺทำลายอาคารของพวกเขาจากรากฐาน (ของมัน) ฉะนั้นหลังคาที่อยู่เหนือพวกเขาได้หล่นลงมาทับพวกเขา และการลงโทษได้มายังพวกเขา โดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว
27. แล้วในวันกิยามะฮฺพระองค์ทรงให้พวกเขาอัปยศ และตรัสว่า ไหนเล่าภาคีของข้าที่พวกเจ้าโต้เถียงกันในเรื่องของพวกเขา บรรดาผู้รู้กล่าวว่า แน่แท้ วันนี้ความอัปยศและความชั่วช้าจะประสบแก่พวกปฏิเสธศรัทธา
28. (คือ) บรรดาผู้ที่มะลาอิกะฮฺเอาชีวิตของพวกเขา โดยที่พวกเขาอธรรมต่อตัวเอง ดังนั้นพวกเขายอมจำนน(พลางกล่าวว่า) เรามิได้กระทำความชั่วใด ๆ เปล่าเลย แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรอบรู้สิ่งที่พวกเจ้ากระทำ
29. ดังนั้น พวกเจ้าจงเข้าประตูนรกเพื่ออยู่ในนั้นตลอดกาล ฉะนั้น ที่พำนักของพวกหยิ่งผยองมันชั่วช้ายิ่ง


คำแปล R5.
๒๖. ความจริงบรรดาชนในครั้งก่อนจากพวกเหล่านั้นผู้ไม่ศรัทธาต่อวันอวสานเคยได้ทำอุบายลวงเหล่าพระศาสดาและปวงชนมุอ์มินมาแล้ว พวกเหล่านั้นจึงมีลักษณะแห่งการสูญเสียเป็นดังเช่นที่อัลเลาะห์ทรงให้รากฐานของอาคารที่พวกนั้นสร้างขึ้นพังทลายด้วยกระแสลม แล้วพังทับพวกเหล่านั้น ทั้งแผ่นดินไหวอันเป็นโทษจากเบื้องล่างก็เกิดขึ้น โดยการบันดาลของพระองค์ ความรุนแรงของมันมีมากถึงกับทำให้บ้านเรือนของพวกเหล่านั้นถอนขึ้นจากรากฐาน ป็นโทษเกิดขึ้นแก่พวกเหล่านั้น โดยไม่ทันรู้ตัวมาก่อนเลย ข้อนี้เปรียบความได้กับคำกล่าวบทหนึ่งที่ว่า “ผู้ใดขุดบ่อไว้โดยมีประสงค์ร้ายจะให้คนอื่นตกลงไป อัลเลาะห์จะทรงให้ตัวเขาเองตกลงยังบ่อแห่งนั้น
๒๗ ครั้นแล้วในวันกิยามะห์พระองค์จะทรงให้พวกนั้น(กาฟิรทุกประเภท) ตกต่ำและทรงให้เหล่ามลาอิกะห์ถามเป็นเชิงตำหนิพวกกาฟิรเหล่านั้นว่า ไหนเล่า ? พวกเทวรูปซึ่งตามความคิดของพวกเจ้าว่าเป็นคู่ภาคีกับข้าที่พวกเจ้าไม่เคยลงรอยกันเลยกับมุอ์มินในเรื่องภาวะเกี่ยวกับความจริงแท้หรือไม่อย่างไรของเทวรูปนั้น บรรดาชนผู้ทรงความรู้ทั้งฝ่ายเป็นศาสดาและฝ่ายปวงชนผู้มีศรัทธาจะพูดสมน้ำหน้าพวกกาฟิรทุกประเภทว่า ความตกต่ำและความชั่วช้าย่อมตกแก่ชนกาฟิรวันนี้แน่นอนทีเดียว
๒๘. ซึ่งบรรดาชนกาฟิรเหล่านั้นจะถูกเหล่ามลาอิกะห์ปลิดชีพในฐานะเป็นผู้ก่ออธรรมขึ้นแก่ตนเองด้วยการขาดศรัทธา ครั้นแล้วเมื่อใกล้ตายพวกกาฟิรนั้นจะน้อมรับสันติ(ศาสนาอิสลาม) โดยกล่าวอ้างขึ้นว่า “พวกเรานี้มิเคยได้กระทำชั่วช้าอันใด เกี่ยวกับเรื่องการถือภาคีเลย” ฝ่ายมลาอิกะห์ตอบพวกกาฟิรว่า “แน่แล้ว” อัลเลาะห์ทรงเป็นผู้รู้ยิ่งถึงพฤติการณ์ที่พวกเจ้าปฏิบัติไว้ แล้วพระองค์จะทรงตอบแทนผลกรรมที่ปฏิบัตินั้นแก่พวกเจ้า
๒๙. ฉะนั้นพวกเจ้า(กาฟิร) จงเข้าสู่ชั้นนรกยะฮันนำอย่างยืนยงถาวรตามที่พวกเจ้าถูกสัญญาไว้ ซึ่งพวกเจ้าจะไม่ถูกให้ออกและไม่ตายสถานพำนักของพวกหยิ่งยโสนั้นเลวร้ายนัก


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อันนะหฺลุ อายะฮฺที่ 30 - 34


คำแปล R1.
30. And (when) it is said to those who are the Muttaqun (pious - see V.2:2) "What is it that your Lord has sent down?" they say: "That which is good." for those who do good in this world, there is good, and the home of the Hereafter will be better. And excellent indeed will be the home (i.e. Paradise) of the Muttaqun (pious - see V.2:2).
31. 'Adn (Eden) Paradise (Gardens of Eternity) which they will enter, under which rivers flow, they will have therein all that they wish. Thus Allah rewards the Muttaqun (pious - see V.2:2).
32. Those whose lives the angels take while they are in a pious state (i.e. pure from all evil, and worshipping none but Allah alone) saying (to them): Salamun 'Alaikum (peace be on you) enter you Paradise, because of (the good) which you used to do (in the world)."
33. Do they (the disbelievers and polytheists) await but that the angels should come to them [to take away their souls (at death)], or there should come the command (i.e. the torment or the Day of Resurrection) of your Lord? Thus did those before them. And Allah wronged them not, but they used to wrong themselves.
34. Then, the evil results of their deeds overtook them, and that at which they used to mock surround them.


คำแปล R2.
30. และมีผู้พูด(ถาม)กับบรรดาผู้ยำเกรงว่า “องค์อภิบาลของพวกท่านได้ประทานสิ่งใดลงมาบ้งเล่า?” พวกเขาก็ตอบว่า “(พระองค์ประทานแต่)ความดี! ปวงชนผู้ประกอบความดีงามในพื้นพิภพนี้ย่อมได้รับความดีเป็นสิ่งตอบแทน และที่จริง โลกหน้าย่อมจะดีกว่า และเป็นที่อยู่อันเยี่ยมยอดที่สุดของบรรดาผู้ยำเกรงทั้งมวล”
31. นั่นคือบรรดาสวรรค์อมตะซึ่งพวกเขาจะได้เข้าไปในนั้น มีธารน้ำหลายสายไหลอยู่ ณ เบื้องใต้ของมัน พวกเขาได้ทุกสิ่งที่พวกเขาประสงค์ในนั้น เช่นนั้น! อัลเลาะฮฺทรงตอบแทนแก่บรรดาผู้ยำเกรงทั้งมวล
32. พวกเขาเป็นพวกที่มลาอิกะฮฺทำให้เขาสิ้นชีวิตในฐานะผู้บริสุทธิ์ (หมดมลทิน)พลางพวกมลาอิกะฮฺกล่าวว่า “สันติสุขจงประสบแก่พวกท่านเถิด พวกท่านจงเข้าสวรรค์เพราะความดีที่พวกท่านได้เคยประพฤติไว้”
33. พวกเรามิได้รอคอย(สิ่งใดเลย)นอกจากรอมลาอิกะฮฺที่จะมาหาเขา(เพื่อเอาชีวิต)หรือมีงานการ(ลงโทษ)ขององค์อภิบาลของเจ้ามา(ประสบแก่พวกเขา) เช่นนั้น! บรรดาพวก(ไร้ศรัทธา)ที่มีมาก่อนพวกเขา(เมื่ออดีต)ได้กระทำ และอัลเลาะฮฺมิได้อธรรมแก่พวกเขาเลย แต่ทว่าพวกเขาได้อธรรมแก่ตัวของพวกเขาเองต่างหาก
34. ดังนั้น ความเลวร้ายจากสิ่งที่พวกเขาได้ประพฤติไว้ก็จะต้องประสบแก่พวกเขาอย่างแน่นอนและ (การลงโทษ)ที่พวกเขาได้เคยนำมาเย้ยหยัน(ว่าเป็นสิ่งจะอุบัติขึ้นไม่ได้) ก็จะอุบัติแก่พวกเขา


คำแปล R3.
30. ในทางตรงข้าม เมื่อผู้เกรงกลัวพระเจ้า ถูกถามว่า “อะไรเล่าที่พระผู้อภิบาลของสูเจ้าได้ทรงประทานมา?” พวกเขากล่าวว่า “มันคือสิ่งดีที่สุดที่พระองค์ได้ทรงประทานมา” มีสิ่งดีสำหรับผู้ทำดีในโลกนี้และที่ดียิ่งกว่านั้นอีกก็คือที่พำนักของพวกเขาในโลกหน้า ประเสริฐยิ่งจริง ๆ สำหรับที่พำนักของผู้มรคุณธรรมยำเกรงพระเจ้า
31. สวนสวรรค์อันเป็นที่พำนักอันถาวรที่พวกเขาจะเข้าไปนั้น จะมีสายน้ำไหลอยู่เบื้องล่าง พวกเขาจะได้พบกับทุกสิ่งที่พวกเขาต้องการ นี่เป็นการตอบแทนสำหรับผู้ที่มีคุณธรรมยำเกรงพระเจ้า
32. ซึ่งวิญญาณของพวกเขาจะถูกมลาอิกะฮฺรับมาในสภาพที่สะอาดผุดผ่อง และมลาอิกะฮฺจะกล่าวต้อนรับพวกเขาว่า “สันติจงมีแด่ท่าน จงเข้าไปในสวรรค์อันเป็นรางวัลตอบแทนการทำความดีที่พวกท่านได้ทำไว้”
33. (โอ้ มุฮัมมัด) คนเหล่านี้ยังรอคอยอยู่อีกหรือ ถึงแม้ว่าตอนนี้จะไม่มีอะไรอีกแล้วนอกจากมลาอิกะฮฺจะมาหาหรือพระผู้อภิบาลของเจ้าจะตัดสินพวกเขา? หลายคนแล้วก่อนหน้าพวกเขาที่ประพฤติตัวโอหังเหมือนพวกเขาและต้องได้รับผลกรรม อัลลอฮฺไม่ได้ทรงอธรรมต่อพวกเขา แต่พวกเขาเองต่างหากที่อธรรมต่อตัวของพวกเขาเอง
34. ในที่สุดแล้ว การทำชั่วของพวกเขาก็ได้นำผลกรรมมายังพวกเขาและสิ่งที่พวกเขาเคยหัวเราะเยาะนั้นก็ได้ล้อมพวกเขาไว้


คำแปล R4.
30. และได้ถูกกล่าวแก่บรรดาผู้ยำเกรงว่า พระเจ้าของพวกเจ้าได้ทรงประทานอะไรลงมา? พวกเขากล่าวว่า ความดีทั้งนั้น สำหรับบรรดาผู้ทำดีในโลกนี้คือความดี และแน่นอนในปรโลกนั้นย่อมดีกว่า และที่พำนักของบรรดาผู้ยำเกรงนั้นช่างดีเลิศ
31. สวนสวรรค์ที่พำนักที่พวกเขาจะเข้าไปในนั้น มีลำน้ำหลายสายไหลผ่าน ณ เบื้องล่างสำหรับพวกเขาที่อยู่ในนั้นจะได้สิ่งที่ต้องการ ในทำนองนั้น อัลลอฮฺทรงตอบแทนบรรดาผู้ยำเกรง
32. บรรดาผู้ที่มะลาอิกะฮฺเอาชีวิตของพวกเขาโดยที่พวกเขาเป็นคนดี พลางกล่าวว่า ศานติจงมีแด่พวกเจ้า จงเข้าไปในสวนสวรรค์เนื่องจากสิ่งที่พวกเจ้าได้กระทำไว้
33. พวกเขามิได้คอยสิ่งใด นอกจากจะให้มะลาอิกะฮฺมาหาพวกเขา หรือพระบัญชาของพระเจ้าจะมา ในทำนองนั้นแหละ บรรดาผู้มาก่อนหน้าพวกเขาได้กระทำ และอัลลอฮฺมิได้ทรงอธรรมต่อพวกเขา แต่พวกเขาได้อธรรมต่อตัวของพวกเขาเอง
34. ดังนั้น ความชั่วทั้งหลายที่พวกเขาได้กระทำไว้ ก็จะประสบแก่พวกเขา และสิ่งที่พวกเขาเคยเย้ยหยันไว้ ก็จะห้อมล้อมพวกเขา


คำแปล R5.
๓๐. และบรรดาชนผู้ยำเกรงต่อการถือเรื่องภาคีถูกถามว่าองค์พระผู้อภิบาลแห่งพวกเจ้าประทานอะไรลงมายังมุฮำมัดหรือ? พวกมุอ์มินเหล่านั้นตอบเหล่าชนกาฟิรว่า พระองค์ประทานพระคัมภีร์อัล-กุรอาน อันเป็นสิ่งดีเยี่ยมแก่ปวงชนมุอ์มิน สำหรับบรรดาชนผู้ประพฤติดีงาม ณ ภาคพิภพดุนยานี้โดยมีศรัทธานั้นย่อมมีชีพอยู่อย่างดีงาม ส่วนสวรรค์สถานแห่งภาคปรภพนั้นเล่า ก็ดียิ่งกว่าภาคภพดุนยา และดีกว่าสิ่งทั้งปวงในภพดุนยาอีกด้วย อัลเลาะห์ตรัสถึงคุณภาพและแจงรายการของสรวงสวรรค์ว่า สวนสวรรค์นั้นเป็นเคหะแห่งชนผู้ยำเกรงเรื่องการถือภาคที่เยี่ยมยิ่งนัก
๓๑. คือสวรรค์ที่ชื่อว่าอัดน์ที่พวกผู้ยำเกรงเหล่านั้นจะได้เข้าไปอยู่ มีธารน้ำไหลผ่านอยู่เบื้องใต้ อะไรในสรวงสวรรค์ที่พวกนั้นปรารถนาจะได้ ก็ได้สมปรารถนา อัลเลาะห์จะทรงตอบสนองให้ผู้ยำเกรงได้รับสิ่งตอบแทนเป็นเช่นที่กล่าวมานี้
๓๒. ชนผู้ยำเกรงการถือภาคี ผู้ซึ่งจะถูกมลาอิกะห์ปลิดชีพอย่างผู้บริสุทธิ์พ้นจากการไร้ศรัทธา พลางพวกมลาอิกะห์กล่าวว่า สันติสุขพึงมีขึ้นแก่พวกเจ้า พวกเจ้าจงเข้าสู่สรวงสวรรค์เถิด ฐานที่พวกเจ้าเคยได้ประพฤติกรรมอันดีงามไว้
๓๓. พวก(กาฟิร) เหล่านั้นจะรอคอยอะไรนอกจากจะคอยให้เหล่ามลาอิกะห์ปลิดชีพ หรือรอให้โทษแห่งองค์อภิบาลแห่งเจ้าหรือรอวันกิยามะห์มาถึงเท่านั้น ทำนองเดียวกับที่กาฟิรชาวนครมักกะห์ประพฤติเสีย เช่นหาว่าพระศาสนทูตของตนเป็นผู้เท็จนี้ บรรดาชนกาฟิรในยุคก่อนจากกาฟิรมักกะห์ก็เคยประพฤติเสียที่หาว่าพระศาสนทูตของพวกตนเป็นผู้เท็จมาแล้ว พวกนั้นจึงต้องเกิดความหายนะล่มจม อัลเลาะห์มิได้ทรงคดโกงพวกเหล่านั้นด้วยให้เกิดความหายนะเพราะปราศจากบาปโทษเลย พวกเหล่านั้นต่างหากที่คดโกงตัวเอง เพราะไร้ซึ่งศรัทธา
๓๔. ค่าตอบแทนแห่งความชั่วช้าที่พวกเหล่านั้นได้กระทำขึ้นจึงตกแก่พวกเหล่านั้นเอง  ทั้งผลตอบแทนที่พวกเหล่านั้นเคยเหยียดหยามดูถูก ก็ยังสกัดล้อมพวกนั้นไว้ด้วย


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อันนะหฺลุ อายะฮฺที่ 35 - 37


คำแปล R1.
35. And those who join others in worship with Allah say: "If Allah had so willed, neither we nor our fathers would have worshipped aught but him, nor would we have forbidden anything without (Command from) him." so did those before them. Then! Are the Messengers charged with anything but to convey clearly the message?
36. And verily, we have sent among every Ummah(community, nation) a Messenger (proclaiming): "Worship Allah (alone), and avoid (or keep away from) Taghut (all false deities, etc. i.e. do not worship Taghut besides Allah)." Then of them were some whom Allah guided and of them were some upon whom the straying was justified. So travel through the land and see what was the end of those who denied (the truth).
37. If you (O Muhammad) covet for their guidance , then verily Allah guides not those whom He makes to go astray (or none can guide him whom Allah sends astray). And they will have no helpers.


คำแปล R2.
35. และบรรดาพวกตั้งภาคีได้กล่าวว่า “หากแม้นอัลเลาะฮฺทรงประสงค์แล้วไซร้ แน่นอนพวกเราก็คงไม่นมัสการสิ่งใด ๆ นอกเหนือจากพระองค์ ทั้งพวกเราและบรรพบุรุษของเรา(ทั้งหมดด้วย) และเราก็คงไม่ออกกฎห้ามในสิ่งใด ๆ (โดยพลการ) นอกเหนือจากพระองค์(ได้ทรงบัญชาไว้) เช่นนั้น! บรรดาปวงชนเมื่อก่อนหน้าพวกเขาได้กระทำไว้ ที่จริงแล้วศาสนทูตไม่มีหน้าที่อื่นใดทั้งสิ้นนอกจากการเผยแพร่ที่ชัดแจ้งเท่านั้น
36. ขอยืนยัน! แท้จริงเราได้แต่งตั้งศาสนทูตขึ้นในทุก ๆ ประชาชาติ (โดยให้เขาประกาศว่า) “ท่านทั้งหลายจงห่างไกลพระเจ้าจอมปลอมเถิด” แต่แล้วพวกเขาบางกลุ่มก็เป็นผู้ที่อัลเลาะฮฺได้ทรงชี้นำเขา(เข้าสู่แนวทางของพระองค์)และบ้างก็เป็นผู้ที่ความหลงผิดได้อุบัติแก่เขา ดังนั้นพวกเจ้าจงจาริกไปในแผ่นดินเถิด แล้วจงพินิจพิเคราะห์ให้ดีว่า จุดจบของบรรดาพวกที่อ้างเท็จ(แก่ศาสดาของตนเอง)นั้นเป็นอย่างไรบ้าง
37. ถึงเจ้า(มุฮำมัด)มุ่งมาดที่จะให้พวกเขาได้รับการชี้นำ(แต่เจ้าก็ไม่สามารถทำได้สำเร็จโดยพลการ) เพราะแท้จริงอัลเลาะฮฺย่อมไม่ชี้นำผู้ที่พระองค์ทรงปล่อยให้หลงผิด และพวกเขาไม่มีผู้ให้การช่วยเหลือเลย

 
คำแปล R3.
35. พวกมุชริกกล่าวว่า “ถ้าหากอัลลอฮฺทรงประสงค์ ทั้งเราและบรรพบุรุษของเราก็จะไม่เคารพสักการะสิ่งใดอื่นนอกไปจากอัลลอฮิและเราก็จะไม่ทำให้สิ่งใดเป็นที่ต้องห้ามหากไม่ใช่พระประสงค์ของพระองค์ คำแก้ตัวเช่นนี้ได้เคยถูกยกขึ้นมาแล้วโดยบรรดาผู้คนก่อนหน้าพวกเขา แล้วบรรดารอซูลมีความรับผิดชอบอะไรมากไปกว่าการนำสาส์นมาบอกให้เป็นที่ชัดแจ้งกระนั้นหรือ?
36. ดังนั้นเราจึงได้ส่งรอซูลมายังทุกชนชาติเพื่อให้เขากล่าวว่า “จงเคารพภักดีอัลลอฮิและจงหลีกห่างจากฏอฆูต” หลังจากนั้นอัลลอฮฺก็ได้ทรงนำทางพวกเขาบางคนในขณะที่บางคนในหมู่พวกเขาก้หลงทาง ดังนั้นจงท่องไปตามแผ่นดินแล้วดูว่าจุดจบของบรรดาผู้ปฏิเสธรอซูลเป็นอย่างไร?
37. (โอ้ มุฮัมมัด)ไม่ว่าเจ้าจะต้องการนำทางพวกเขาอย่างไร (จงรู้ไว้เถิดว่า) อัลลอฮฺไม่ทรงนำทางผู้ที่พระองค์ทรงปล่อยให้หลงทาง และคนเช่นนั้นจะไม่มีผู้ช่วยเหลือ

 
คำแปล R4.
35. และบรรดาผู้ตั้งภาคีดังกล่าว หากอัลลอฮฺทรงประสงค์ พวกเราจะไม่เคารพบูชาผู้ใดอื่นจากพระองค์ ทั้งพวกเราและบรรพบุรุษบองพวกเราและพวกเราจะไม่ห้ามสิ่งใดอื่นจากที่พระองค์ (ทรงห้ามไว้) ในทำนองนั้นแหละบรรดาผู้มาก่อนหน้าพวกเขาได้กระทำ ดังนั้น บรรดารอซูลมิได้มีหน้าที่อื่นใด นอกจากการประกาศอันชัดแจ้งเท่านั้น
36. และโดยแน่นอน เราได้ส่งรอซูลมาในทุกประชาชาติ (โดยบัญชาว่า) พวกท่าจงเคารพภักดีอัลลอฮฺ และจงหลีกหนีให้ห่างจากพวกเจว็ด ดังนั้น ในหมู่พวกเขามีผู้ที่อัลลอฮฺทรงชี้แนะทางให้และในหมู่พวกเขามีการหลงผิดคู่ควรแก่เขาฉะนั้น พวกเจ้าจงตระเวนไปในแผ่นดิน แล้วจงดูว่าบั้นปลายของผู้ปฏิเสธนั้นเป็นเช่นใด
37. หากเจ้าห่วงใยต่อการชี้แนะทางของพวกเขา ดังนั้น แท้จริงอัลลอฮฺจะไม่ทรงแนะทางแก่ผู้ที่พระองค์จะให้เขาหลง และสำหรับพวกเขาจะไม่มีผู้ช่วยเหลือใด ๆ


คำแปล R5.
๓๕. บรรดาชนผู้ถือภาคี(มุชริก) ส่วนหนึ่งแห่งชนกาฟิรนครมักกะห์กล่าวว่า ถ้าอัลเลาะห์ทรงมุ่งประสงค์มิให้พวกเรากับบรรพบุรุษของพวกเราเคารพผู้อื่นจากพระองค์ (เทวรูป) และมิให้พวกเรากับบรรพบุรุษอขงพวกเราต้องลงกฎว่าเป็นบาปเกี่ยวกับอูฐ มีชื่อเรียกสี่ประเภทคือ บะฮาอิร สะวาอิ๊บ วซีละห์ และฮามแล้วไซร้ พวกเรากับบรรพบุรุษของพวกเราก็จะไม่เคารพอันใด(เทวรูป) ที่นอกจากพระองค์ และจะไม่ตราเองโดยพลการ ไม่เกี่ยวกับพระองค์ว่าอูฐสี่ประเภทนั้นเป็นบาป แต่การณ์กลับปรากฏว่า ผู้ถือภาคีดังกล่าวยังเคารพบูชาเทวรูปกันอยู่และตราว่า อูฐทั้งสี่ประเภทเป็นสัตว์ต้องห้าม แสดงว่าพระองค์มิได้ทรงมุ่งประสงค์และยินดีอย่างนั้น ทำนองเดียวกันกับที่กาฟิรชาวมักกะห์ประพฤติเสียด้วยการกล่าวหาว่าพระศาสนทูตของตนเป็นผู้เท็จนี้ บรรดาชนกาฟิรในยุคก่อนจากกาฟิรมักกะห์ก็เคยได้ประพฤติเสียอย่างเดียวกันมาแล้ว หน้าที่ของเหล่าศาสนทูตนั้นจะมีอยู่ก็แต่เพียงเป็นผู้เผยแพร่ข้อบัญญัติใช้และห้ามไปชี้แจงแก่ปวงชนให้แจ้งชัดเท่านั้น แต่ไม่มีหน้าที่บังคับให้ถือตามที่เผยแพร่เลย
๓๖. และข้ออ้างไว้โดยสัจจะว่าแน่แท้เราได้แต่งตั้งพระศาสนทูตขึ้นในทุก ๆ ประชาคม เหมือนกับที่เราเคยแต่งตั้งเจ้า (มุฮำมัด) ขึ้นท่ามกลางชนชาวนครมักกะห์ สั่งว่า พวกเจ้าจงถือในเอกภาพของอัลเลาะห์และจงออกห่างเสียจากการเคารพบูชาเหล่าเทวรูป ฉะนั้นบางคนในหมู่ชนที่อัลเลาะห์ทรงชี้แนวธรรมให้ก็มี เขาจึงมัศรัทธา และบางคนในหมู่ชนเหล่านั้นที่มีความหลงงมงายตกแก่เขาก็มี  ทั้งนี้โดยเราย่อมรู้อยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นเขาจึงไร้ศรัทธา โอ้ชนชาวมักกะห์ พวกเจ้าจงท่องเที่ยวไปในพิภพ ทั้งจงพิจารณาดูด้วยว่า พวกซึ่งหาว่าพระศาสนทูตเป็นผู้เท็จนั้นในที่สุดจะมีสภาพแห่งความสูญเสียเป็นอย่างไร
๓๗. โอ้มุฮำมัด ถ้าเจ้าใคร่จะให้พวกกาฟิรเหล่านั้นอยู่ในแนวธรรมโดยที่อัลเลาะห์ยังคงให้พวกกาฟิรเหล่านั้นหลงงมงายแล้วไซร้ เจ้าย่อมไม่มีอำนาจชี้แนวธรรมให้พวกกาฟิรเหล่านั้นได้แน่นอน อัลเลาะห์จะไม่ทรงชี้แนวธรรมแก่ชนผู้ที่พระองค์ทรงให้เขาหลงงมงายเลย หามีผู้ทรงเสราะห์สำหรับพวก(กาฟิร) เหล่านั้นไม่


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อันนะหฺลุ อายะฮฺที่ 38 - 40


คำแปล R1.
38. And they swear by Allah their strongest oaths, that Allah will not raise up him who dies. Yes, (He will raise them up), a promise (binding) upon him in truth, but most of mankind know not.
39. In order that he may make manifest to them the truth of that wherein they differ, and that those who disbelieved (in Resurrection, and in the Oneness of Allah) may know that they were liars.
40. Verily! Our word unto a thing when we intend it is only that we say unto it: "Be!" and it is.


คำแปล R2.
38. และพวกเขาได้สาบานต่ออัลเลาะฮฺอย่างแท้จริง พร้อมทั้งพูดว่า “อัลเลาะฮฺจะไม่ฟื้นบุคคลที่ตายไปแล้วอีกอย่างแน่นอน!” ทว่า!คำสัญญาของพระองค์(ในเรื่องฟื้นจากความตายนั้น)เป็นความจริงอย่างยิ่ง แต่ทว่ามนุษย์ส่วนมากไม่รู้
39. เพื่อพระองค์จะได้แจ้งแก่พวกเขาให้ทราบถึงกรณีที่พวกนั้นได้พิพาทกัน และเพื่อบรรดาพวกไร้ศรัทธาทั้งหลายจะได้ทราบว่า ที่จริงแล้วเขาเป็นผู้มุสาอย่างแท้จริง
40. อันความเป็นจริง คำประกาศิตของเราในสิ่งหนึ่ง เมื่อเราประสงค์สิ่งนั้นให้เป็นไปต่าง ๆ นานา คือ เราจะประกาศิตว่า “จงเป็นขึ้นเถิด!” แล้วสิ่งนั้นก็เป็นขึ้น(ตามประกาศิตดังกล่าว)

 
คำแปล R3.
38. พวกเขาสาบานต่ออัลลอฮฺอย่างหนักแน่นจริงจังว่า “อัลลอฮฺจะไม่ทรงทำให้ผู้ตายแล้วฟื้นขึ้นมา” ทำไมพระองค์จะไม่ทรงทำให้ฟื้นเล่า? มันเป็นสัญญาที่พระองค์ได้ทรงทำไว้กับพระองค์เองแล้ว แต่มนุษย์ส่วนมากไม่รู้
39. และมันจะต้องเป็นเช่นนั้น เพื่อที่พระองค์จะได้ทรงเปิดเผยให้พวกเขาเห็นถึงสิ่งที่พวกเขากำลังขัดแย้งกัน และเพื่อบรรดาผู้ปฏิเสธจะได้รู้ว่าพวกเขาเป็นผู้โกหก
40. (เกี่ยวกับความเป็นไปได้ของมัน) เมื่อเราปรารถนาที่จะทำให้สิ่งใดเกิดขึ้น เราแค่กล่าวเพียงว่า “จงเป็น” แล้วมันก็เป็นขึ้นมา


คำแปล R4.
38. และพวกเขาได้สาบานต่ออัลลอฮ์B ด้วยการสาบานอย่างแข็งขันว่า อัลลอฮฺจะไม่ทรงให้ผู้ตายฟื้นขึ้นมาอีก มิใช่เช่นนั้น สัญญานั้นย่อมเป็นจริงแก่พระองค์เสมอ แต่มนุษย์ส่วนมากไม่รู้
39. เพื่อพระองค์จะทรงชี้แจงแก่พวกเขาถึงสิ่งที่พวกเขาขัดแย้งกันในเรื่องนั้น และเพื่อพระองค์จะทรงให้บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาได้รู้ว่าแท้จริงพวกเขานั้นเป็นผู้โกหก
40. แท้จริงเมื่อเราปรารถนาคำตรัสของเราแก่สิ่งใด เราก็จะกล่าวแก่มันว่า จงเป็น แล้วมันก็เป็นขึ้น


คำแปล R5.
๓๘. แล้วพวกเหล่านั้นซึ่งเป็นชาวนครมักกะห์สาบานโดยออกพระนามแห่งอัลเลาะห์อย่างขึงขังว่า อัลเลาะห์จะไม่ทรงให้ผู้ซึ่งตายไปฟื้นชีพออกจากสุสานอีกเลย พระองค์ตรัสว่า แต่พระองค์ทรงให้ผู้ตายแล้วเกิดใหม่จากสุสานเป็นข้อสัญญาอันแน่นอนจากข้าที่จะให้ผู้ตายแล้วเกิดขึ้นใหม่จริง ชนชาวมักกะห์ส่วนมากต่างหากที่ไม่รู้ว่าพวกตนจะเกิดจากสุสาน
๓๙. ที่ทรงให้ผู้ตายแล้วเกิดขึ้นใหม่จากสุสานนั้นเพื่อพระองค์จะทรงแจ้งให้พวกเหล่านั้นที่เป็นกาฟิรมักกะห์ได้รู้เรื่องของการเกิดชีวิตใหม่ ที่พวกเหล่านั้นขัดแย้งกันอยู่กับพวกมุอ์มินว่า จะลงโทษปวงชนกาฟิรชาวนครมักกะห์ และตอบแทนบุญกุศลแก่ชาวมุอ์มิน และเพื่อบรรดาชนผู้ปฏิเสธเรื่องดังกล่าวจะได้รู้ว่าพวกตนนั้นเป็นผู้เท็จในเรื่องนั้น
๔๐. อันคำประกาศิตของเรา (อัลเลาะห์) ที่มีต่อสิ่งหนึ่งเมื่อเราปรารถนาที่จะให้เกิดมีสิ่งนั้นเพียงแต่เรากล่าว สิ่งนั้นก็มีขึ้นโดยพลัน โองการนี้เป็นพระคำสนับสนุนที่เข้มแข็งถึงพลานุภาพของพระองค์ในการให้เกิดชีพขึ้นใหม่จากสุสาน


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อันนะหฺลุ อายะฮฺที่ 41 - 44


คำแปล R1.
41. And as for those who emigrated for the Cause of Allah, after suffering oppression, we will certainly give them goodly residence in this world, but indeed the reward of the Hereafter will be greater, if they but knew!
42. (They are) those who remained patient (in this world for Allah's sake), and put their trust in their Lord (Allah alone).
43. And we sent not (as Our Messengers) before you (O Muhammad) any but men, whom we inspired, (to preach and invite mankind to believe in the Oneness of Allah). So ask of those who know the Scripture [learned men of the Taurat (Torah) and the Injeel (Gospel)], if you know not.
44. With clear signs and books (We sent the Messengers). And we have also sent down unto you (O Muhammad) the reminder and the advice (the Qur'an), that you may explain clearly to men what is sent down to them, and that they may give thought.


คำแปล R2.
41. และบรรดาปวงชนที่อพยพไปใน(ทางของ)อัลเลาะฮฺ ภายหลังจากพวกเขาได้ถูกฉ้อฉล(อย่างหนักจากฝ่ายศัตรู) แน่นอนเราจะแจ้งให้พวกเขาทราบถึง(การตอบแทน)ความดีในโลกนี้ และขอยืนยัน! แท้จริงรางวัลในโลกหน้าย่อมยิ่งใหญ่กว่า หากพวกเขารู้
42. (บรรดาพวกอพยพเหล่านั้นล้วนเป็น)ปวงชนผู้อดทน และมีจิตมอบหมาย แด่องค์อภิบาลของพวกเขาโดยแท้จริง
43. และเรามิได้ส่ง (ศาสนทูตคนใด) มาก่อนหน้าเจ้านอกจากกลุ่มบุรุษซึ่งเราได้ดลกระแสโองการแก่พวกเขา (ซึ่งไม่มีศาสนทูตผู้ใดเป็นมลาอะฮฺเลย) ดังนั้นพวกเจ้าจงสอบถามผู้มีความสรู้เถิด หากแม้นพวกเจ้าไม่รู้
44. (เราส่งศาสนทูตมาพร้อม)ด้วยบรรดาสัญลักษณ์อันชัดเจน พร้อมด้วยคัมภีร์ต่าง ๆ และเราได้มอบคำเตือน (คืออัลกุรอาน)แก่เจ้า เพื่อเจ้าได้ชี้แจงแก่มวลมนุษย์ ในสิ่งที่ถูกบัญญัติแก่พวกนั้น และเพื่อพวกนั้นจะได้ตริตรอง


คำแปล R3.
41. สำหรับบรรดาผู้ที่ทิ้งบ้านของพวกเขาเพื่อหนทางของอัลลอฮฺหลังจากถูกกดขี่ข่มเหง เราจะให้ที่พักที่ดีแก่พวกเขาในโลกนี้ ตารางวัลตอบแทนในโลกหน้านั้นดีกว่ามากมาย ถ้าหากพวกเขารู้
42. นั่นคือบรรดาผู้อดทนต่อการถูกกดขี่ และปฏิบัติภารกิจของพวกเขาด้วยความไว้วางใจในพระผู้อภิบาลของพวกเขา
43. (โอ้ มุฮัมมัด) คนที่เราได้ส่งมาก่อนหน้าเจ้า ซึ่งเรามีวะฮีย์แก่พวกเขานั้น พวกเขาไม่ใช่ใครนอกไปจากมนุษย์ สูเจ้า (ชาวเมืองมักกะฮฺ) จงถามคนที่ได้รับการตักเตือนดูก็ได้ถ้าหากสู้เจ้าไม่รู้
44. เราได้ส่งรอซูลก่อน ๆ มาพร้อมด้วยสัญญาณอันชัดเจนและบรรดาคัมภีร์และตอนนี้เราได้ประทานการตักเตือนมาให้เจ้า (โอ้มุฮัมมัด) เพื่อที่เจ้าจะได้อธิบายให้เป็นที่กระจ่างแก่ผู้คนซึ่งคำสอนของคัมภีร์ที่ถูกส่งมาสำหรับพวกเขา และเพื่อที่พวกเขาจะได้ตรึกตรอง


คำแปล R4.
41. และบรรดาผู้ที่อพยพในเรื่องของอัลลอฮฺหลังจากที่พวกเขาถูกข่มเหง และแน่นอนเราจะให้ที่พำนักที่ดีแก่เขาในโลกนี้ และแน่นอนรางวัลของวันปรโลกนั้นยิ่งใหญ่กว่า หากพวกเขารู้
42. บรรดาผู้อดทน และพวกเขามอบความไว้วางใจต่อพระเจ้าของพวกเขา
43. และเรามิได้ส่งผู้ใดมาก่อนหน้าเจ้า นอกจากเป็นผู้ชายที่เราได้วะฮีแก่พวกเขา ดังนั้น พวกเจ้าจงถามบรรดาผู้รู้ หากพวกเจ้าไม่รู้
44. ด้วยหลักฐานทั้งหลายที่ชัดแจ้ง และคัมภีร์ต่างๆ ที่ศักดิ์สิทธิ์ และเราได้ให้อัลกุรอานแก่เจ้าเพื่อเจ้าจะได้ชี้แจง (ให้กระจ่าง) แก่มนุษย์ซึ่งสิ่งที่ได้ถูกประทานมาแก่พวกเขา และเพื่อพวกเขาจะได้ไตร่ตรอง


คำแปล R5.
๔๑. บรรดาชนอันได้แก่พระศาสดามุฮำมัด ซล. และปวงสาวกของท่านผู้ซึ่งอพยพไปแต่นครมักกะห์สู่นครมะดีนะห์เพื่อธำรงไว้ซึ่งศาสนาของอัลเลาะห์หลังจากพวกเขาถูกชนชาวนครมักกะห์ข่มเหงคะเนงร้ายด้วยก่อให้เกิดความเดือดร้อนขึ้นต่าง ๆ นานานั้น ในภาคภพดุนยานี้เรา (อัลเลาะห์) จะให้พวกเขาได้อยู่อาศัยในนครมะดีนะห์ สถานที่รื่นรมย์ทีเดียว ส่วนค่าตอบแทน ณ ภาคปรภพ (อาคิเราะห์) นั้นเล่าก็คือสวนสวรรค์ซึ่งยิ่งใหญ่กว่าค่าตอบแทนในภาคภพนี้มากนัก แม้นว่าพวกเหล่านั้น ทั้งที่เป็นชนกาฟิรและชนมุอ์มินผู้ซึ่งมิได้อพยพตระหนักดีว่าเกียรติอันเลิศที่คณะชนผู้อพยพได้รับเป็นดังที่กล่าวแล้ว พวกเหล่านั้นย่อมต้องอพยพไปด้วย
๔๒. คณะอพยพเหล่านั้นคือบรรดาชนผู้ซึ่งได้อดทนต่อความเดือดร้อนอันเกิดแต่การข่มเหงด้วยวิธีต่าง ๆ นานาจากเหล่ากาฟิรชาวมักกะห์และอดทนต่อความยากลำบากในการเดินทางอพยพเพื่อประกาศศาสนาอิสลามให้ปรากฏแก่โลก ทั้งพวกเขายังได้มอบหมายอยู่กับองค์พระผู้อภิบาลแห่งพวกเขาอีกด้วย พระองค์จึงทรงตอบสนองซึ่งโภคลาภให้มีแก่พวกเขาอย่างเหลือล้นคณา
๔๓. โอ้มุฮำมัด ในสมัยก่อนจากเจ้า เรา(อัลเลาะห์) ก็มิเคยได้แต่งใครขึ้นเป็นศาสนทูตนอกจากเหล่าชายผู้ซึ่งเราดลกระแสโองการแต่เราไปยังพวกเขา หาใช่พวกมลาอิกะห์ไม่ โอ้ปวงชนชาวนครมักกะห์ หากพวกเจ้าแคลงใจสงสัยในประการซึ่งกล่าวแล้ว พวกเจ้าจงไต่ถามคณะปราชญ์ผู้รู้แจ้งในคัมภีร์เตารอตและคัมภีร์อินยีลเถิด หากพวกเจ้าไม่รู้ว่าเหล่าศาสนทูตถูกแต่งจากมนุษย์ คณะปราชญ์นั่นซิที่จะแจ้งให้พวกเจ้าได้รู้ถึงคุณลักษณะของมุฮำมัดที่มีบ่งระบุอยู่ในคัมภีร์เตารอตและคัมภีร์อินยีล ถ้าพวกมุอ์มินแจ้งให้พวกเจ้าได้รู้ถึงคุณลักษณะของมุฮำมัดที่มีกล่าวอยู่ในอัล-กุนอาน พวกเจ้าจะต้องชื่อเรื่องนี้จากปากคำของคณะปราชญ์มากกว่าที่พวกมุอ์มินบอก ทั้งนี้เพราะชนมุชริกกับคณะปราชญ์ต่างเป็นฝ่ายที่ไม่เชื่ออยู่แล้ว ฉะนั้นพวกเจ้าพึงถามถึงคุณลักษณะของมุฮำมัดและของศาสนทูตอื่น ๆ จากคณะปราชญ์เอาเองดีกว่า ว่าพระศาสนทูตที่อัลเลาะห์ทรงแต่งขึ้นท่มกลางประชาชาติเป็นมนุษย์ หรือมลาอิกะห์หรือใดอื่น
๔๔. ที่เราพระศาสนทูตขึ้นท่ามกลางปวงชนนั้นพร้อมด้วยมีหลักฐานอันชัดแจ้งและอีกหลายคัมภีร์ ทั้งเรา(อัลเลาะห์) ได้มอบพระคัมภีร์อัล-กุรอานลงยังเจ้าเพื่อเจ้าจะได้แจ้งแก่ปวงชนให้ทราบถึงข้อ บัญญัติใช้และห้ามซึ่งถูกนำมาสู่พวกมนุษย์เหล่านั้นด้วย เพื่อว่าพวกเหล่านั้นจะได้ไตร่ตรองข้อบัญญัตินั้น ๆ อย่างถี่ถ้วน


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อันนะหฺลุ อายะฮฺที่ 45 - 48


คำแปล R1.
45. Do then those who devise evil plots feel secure that Allah will not sink them into the earth, or that the torment will not seize them from directions they perceive not?
46. Or that He may catch them in the midst of their going to and fro (in their jobs), so that there be no escape for them (from Allah's punishment)?
47. Or that He may catch them with gradual wasting (of their wealth and health). Truly! Your Lord is indeed full of kindness, Most Merciful?
48. Have they not observed things that Allah has created, (how) their shadows incline to the right and to the left, making prostration unto Allah, and they are lowly?


คำแปล R2.
45. แล้วบรรดาผู้วางแผนร้ายต่าง ๆ (ที่จะกำจัดนบีมุฮำมัด)ยังรู้สึกว่าตัวเองปลอดภัยหรือ หากอัลเลาะฮฺจะทรงให้ธรณีสูบพวกเขาหรือการลงโทษมาประสบแก่พวกเขาโดยพวกเขาไม่รู้ตัวมาก่อน
46. หรือพระองค์จะทรงลงโทษพวกเขาในระหว่างพวกเขาเดินทางแล้วพวกเขาก็ไม่สามารถรอดพ้นได้
47. หรือพระองค์ทรงลงโทษพวกเขา (ด้วยการบั่นทอนทรัพย์สิน) ทีละเล็กทีละน้อย อันที่จริงองค์อภิบาลของพวกเจ้า เป็นผู้ทรงปรานีอีกทั้งทรงเมตตายิ่ง
48. และพวกเขาไม่ได้สังเกตกระนั้นหรือ? สิ่งที่อัลเลาะห์ทรงบันดาลไว้ แม้เพียงสิ่งเดียวก็ตาม ซึ่งเงาของมันคล้อยไปจากทางขวาและทางซ้ายโดยภักดีต่ออัลเลาะฮฺ และพวกมันยอมสยบ(ต่อพระองค์)


คำแปล R3.
45. พวกคนที่วางแผนร้าย (เพื่อต่อต้านสัจธรรม) นั้นรู้สึกปลอดภัยจากอันตรายที่อัลลอฮฺจะทรงทำให้พวกเขาจมลงไปในแผ่นดินกระนั้นหรือ ? หรือที่พระองค์จะทรงลงโทษพวกเขาจากที่ไหนก็ได้โดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว
46. หรือที่พระองค์จะทรงเอาชีวิตพวกเขาโดยทันทีในขณะที่พวกเขากำลังเดินไปไหนมาไหนโดยไม่กลัว คนเหล่านี้ไม่มีอำนาจที่จะยับยั้งแผนการของอัลลอฮฺได้
47. หรือที่พระองค์จะเอาชีวิตพวกเขาในเมื่อพวกเขาเองก็รู้ตัวถึงอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้น? แท้จริง พระผู้อภิบาลของสูเจ้านั้นเป็นผู้ทรงเอ็นดูและผู้ทรงเมตตา
48. และพวกเขาไม่สังเกตสิ่งที่อัลลอฮฺทรงสร้างมาหรือว่า มันทอดเงาจากทางขวาและทางซ้ายโดยนบนอบต่ออัลลอฮฺได้อย่างไร ? ดังนั้น ทุกสิ่งจึงแสดงออกถึงความนอบน้อมถ่อมตนของมัน


คำแปล R4.
45. บรรดาผู้วางแผนชั่วร้ายทั้งหลายจะปลอดภัยกระนั้นหรือ จากการที่อัลลอฮฺจะทรงให้ธรณีสูบพวกเขา หรือการลงโทษที่จะมาหาพวกเขาโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว
46. หรือพระองค์จะทรงคร่าชีวิตพวกเขาขณะที่พวกเขาเดินทาง ดังนั้น พวกเขาจะไม่สามารถหักห้าม(พระองค์)ได้
47. หรือพระองค์พวกเขาให้ตายทีละน้อย ดังนั้น แท้จริงพระเจ้าของพวกเจ้านั้น แน่นอนเป็นผู้ทรงเอ็นดู ผู้ทรงเมตตาเสมอ
48. และพวกเขามิได้มองไปยังสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงสร้างบ้างดอกหรือว่า เงาของมันจะทอดไปทางขวาและทางซ้าย เพื่อสุญูดต่ออัลลอฮฺโดยที่พวกมันนอบน้อม


คำแปล R5.
๔๕. ชนชาวนครมักกะห์มิได้ตรึกตรองถึงประชากรในยุคก่อนที่ได้รับความสูญเสียมาแล้วก่อนหน้าพวกตนหรอกหรือ ? พวกเหล่านั้นผู้เป็นชาวนครมักกะห์ซึ่งประชุมกันที่สมาคมอัล-นัดวะห์เพื่อหาอุบายร้ายกระทำต่อมุฮำมัดด้วยวิธีกักขังบ้าง ฆ่าบ้าง หรือเนรเทศบ้าง ยังจะนอนใจอยู่อีกหรือต่อการที่อัลเลาะห์จักทรงให้ธรณีสูบพวกตน เช่นเดียวกับกอรูนผู้ทระนงเคยถูกธรณีสูบมาแล้วในครั้งก่อนโน้น ? หรือนอนใจต่อการจะมีโทษทัณฑ์ลงแก่พวกตนโดยมิเลือกว่าจากหนแห่งใดที่พวกตนมิทันรู้ตัว ดูแต่เมื่อครั้งสงครามที่สมรภูมิบัดร ชาวนครมักกะห์ยังได้รับความสูยเสียยิ่งใหญ่ จนไม่อาจต้านทานได้
๔๖. หรือนอนใจต่อการที่พระองค์จะทรงเอาโทษพวกตนในยามเดินทางไปทำการค้า ทั้งพวกเหล่านั้นไม่อาจรอดพ้นจากการถูกลงโทษได้เลย
๔๗. หรือนอนใจต่อการที่พระองค์จะทรงเอาโทษพวกตนด้วยการบั่นทอนในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะในทางชีวิตร่างกายหนือทรัพย์สินให้ค่อย ๆ น้อยลงจนกระทั่งหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ด้วยว่า อัลเลาะห์องค์พระผู้อภิบาลแห่งพวกเจ้านั้นทรงเป็นองค์อารียิ่ง ทรงเป็นองค์ปรานียิ่ง เพราะพระองค์จะยังไม่ทรงด่วนลงโทษชาวนครมักกะห์ในปัจจุบันทันทีเลย
๔๘. พวกเหล่านั้นที่เป็นชาวนครมักกะห์มิได้แลเห็นสิ่งทั้งปวงที่อัลเลาะห์ทรงสร้างขึ้นดอกหรือ ? ว่าที่เงามันคล้อยไปทางขวาบ้างและทางซ้ายบ้างในยามเช้าและเย็น เช่นเงาของต้นไม้และภูเขานั้นก็เพื่อถวายความนอบน้อมแด่อัลเลาะห์โดยมิได้ทำพยศต่อพระองค์แต่อย่างใดเลย


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อันนะหฺลุ อายะฮฺที่ 49 – 50


คำแปล R1.
49. And to Allah prostate all that is in the heavens and all that is in the earth, of the live moving creatures and the angels, and they are not proud [i.e. they worship their Lord (Allah) with humility].
50. They fear their Lord above them, and they do what they are commanded.


คำแปล R2.
49. และสรรพสิ่งในฟากฟ้าและสรรพสิ่งในแผ่นดินจากมวลเหล่าสัตว์ทั้งหลายและมวลมลาอิกะฮฺต่างกราบกรานต่ออัลเลาะฮฺ และพวกเขามิได้ทระนงตนเลย
50. พวกเขาเกรงกลัวองค์อภิบาลของพวกเขาผู้ทรงอยู่เหนือพวกเขา แลชะพวกเขาประพฤติในสิ่งที่ถูกบัญชาไว้


คำแปล R3.
49. สิ่งถูกสร้างที่มีชีวิตทั้งหลายในชั้นฟ้าและแผ่นดินและมลาอิกะฮฺทั้งหมดต่างนบนอบสักการะต่ออัลลอฮฺ สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นไม่แสดงความยโสโอหังแต่อย่างใดเลย
50. สิ่งเหล่านั้นเกรงกลัวพระผู้อภิบาลของพวกเขาผู้ทรงอยู่เหนือพวกเขาและสิ่งเหล่านั้นทำตามทุกอย่างที่ถูกบัญชา


คำแปล R4.
49. และสิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและสิ่งที่อยู่ในแผ่นดิน ที่เป็นสัตว์โลกทั้งหลายและมะลาอิกะฮฺจะสุญูดต่ออัลลอฮฺ โดยที่พวกมันจะไม่หยิ่งผยอง
50. พวกเขาจะกลัวพระเจ้าของพวกเขา ผู้ทรงอำนาจเหนือพวกเจ้า ปฏิบัติตามสิ่งที่พวกเขาถูกบัญชา


คำแปล R5.
๔๙. และต่ออัลเลาะห์เท่านั้นที่เหล่ามลาอิกะห์บรรดาผู้อยู่ ณ ชั้นฟ้าทั้งเจ็ดและเหล่ามนุษย์ ตลอดทั้ง เหล่าสัตว์ ณ หน้าแผ่นดินต่างกราบสักการะ กล่าวคือ มนุษย์จะกราบสักการะพระองค์ในขณะปฏิบัติหมาด ส่วนเหล่าสัตว์ที่กราบสักการะพระองค์นั้นหมายถึงทุกอิริยาบทที่มันกระทำไปตามประสงค์ของพระองค์ไม่เลือกว่าจะยืนขึ้น นอนลง เคลื่อนย้ายที่ไปหนแห่งใดหรืออื่น ๆ  ฝ่ายมลาอิกะห์ซึ่งสถิตอยู่  เจ็ดชั้นฟ้านั้นเล่าก็เช่นกันและต่างก็มิได้หยิ่งยโสเลย กล่าวคือต่างกราบสักการะต่อะองค์อยู่
๕๐. โดยยำเกรง อัลเลาะห์ องค์พระผู้ภิบาลผู้ทรงอำนาจสูงสุดอยู่เหนือพวกเขาทั้งพวกเขาจะปฏิบัติตามที่ถูกบัญชาใช้


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อันนะหฺลุ อายะฮฺที่ 51 - 53
 

คำแปล R1.
51. And Allah said (O mankind!): "Take not Ilahan(two gods in worship, etc.). Verily, He (Allah) is (the) only One Ilah (God). Then, fear Me (Allah جلّ جلاله) much [and Me (alone), i.e. be away from all kinds of sins and evil deeds that Allah has forbidden and do all that Allah has ordained and worship none but Allah] .
52. To Him belongs All that is in the heavens and (all that is in) the earth and Ad-Din Wasiba is his [(i.e. perpetual sincere obedience to Allah is obligatory). None has the right to be worshipped but Allah)]. Will you then fear any other than Allah?
53. And whatever of blessings and good things you have, it is from Allah. Then, when harm touches you, unto Him you cry aloud for help.


คำแปล R2.
51. และอัลเลาะฮฺทรงตรัสว่า “สูเจ้าทั้งหลายจงอย่ายึดถือพระเจ้าสององค์ ความเป็นจริงพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าเพียงหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นพวกเจ้าจงเกรงกลัวข้าโดยเฉพาะเถิด”
52. และสรรพสิ่งในฟากฟ้าและแผ่นดินเป็นของพระองค์เพียงผู้เดียว และการภักดี(ของสรรพสิ่งทั้งหลายย่อมถวาย)แต่พระองค์เป็นนิรันดร แล้วพวกเจ้าจะยำเกรง(ผู้อื่น)นอกจากอัลเลาะฮฺกระนั้นหรือ?
53. และความสุขใด ๆ ที่อยู่กับพวกเจ้านั้นที่จริงแล้วมาจากอัลเลาะฮฺ หลังจากนั้นเมื่อมีเภทภัยได้สัมผัสพวกเจ้า พวกเจ้าก็หวีดร้อง(ขอความช่วยเหลือ)


คำแปล R3.
51. อัลลอฮฺได้ทรงบัญชาว่า “สูเจ้าจะต้องไม่ยึดถือพระเจ้าสององค์เพราะพระองค์คือพระเจ้าที่แท้จริงแต่เพียงองค์เดียว ดังนั้นจงเกรงกลัวเฉพาะฉันเท่านั้น”
52. ทุกสรรพสิ่งในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินนั้นเป็นของอัลลอฮฺ และแนวทางของพระองค์นั้นกำลังถูกปฏิบัติตามในจักรวาล แล้วสูเจ้ายังกลัวสิ่งอื่นนอกไปจากอัลลอฮฺกระนั้นหรือ ?
53. ความโปรดปรานอันใดก็แล้วแต่ที่สูเจ้าได้รับนั้นมาจากอัลลอฮฺทั้งสิ้น ดังนั้น เมื่อสูเจ้าประสบความทุกข์ยากลำบาก สูเจ้าวิ่งไปร้องขอความช่วยเหลือต่อพระองค์


คำแปล R4.
51. และอัลลอฮฺตรัสว่า พวกเจ้าอย่ายึดถือพระเจ้าสององค์ แท้จริงพระองค์คือพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวเท่านั้น ดังนั้น เฉพาะข้าเท่านั้นที่พวกเจ้าต้องเกรงกลัว
52. และเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์ สิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และการภักดีต่อพระองค์เท่านั้นจำเป็นต้องมีประจำ ดังนั้นพวกเจ้าจะยำเกรงผู้ใดอื่นจากอัลลอฮฺกระนั้นหรือ?
53. และไม่มีความโปรดปรานใด ๆ ที่พวกเจ้าได้รับนอกจากมันย่อมมาจากอัลลอฮฺ ดังนั้น เมื่อความทุกข์ร้ายประสบแก่พวกเจ้า พวกเจ้าก็จะคร่ำครวญขอพรต่อพระองค์


คำแปล R5.
๕๑. อัลเลาะห์ตรัสว่า พวกเจ้าอย่าได้เคารพนับถือ ให้ความเคารพสักการะพระเจ้าสององค์ แน่แท้พระองค์(อัลเลาะห) คือพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น พวกเจ้าจงยำเกรงการลงโทษจากข้าเถิด อย่าได้เกรงการลงโทษจากผู้อื่นใดเลย
๕๒. พระองค์ทรงปกครอง ทรงสร้าง และทรงสิทธิ์ทุกสิ่งในบรรดาชั้นฟ้าทั้งเจ็ดและผืนแผ่นดิน อันความจรักภักดีนั้นย่อมมีต่อพระอง์เป็นนิจนิรันดรเพราะพวกเจ้าทราบอยู่แล้วว่า เจ้าแห่งสากลโลกนั้นมีเพียงพระองค์เดียว ส่วนสากลโลกนั้นต้องพึ่งอาศัยพระองค์อยู่ไม่ว่าสากลโลกจะอุบัติขึ้นหรือคงอยู่หรือดับสูญไป ฉะนั้นพวกเจ้า(มวลมนุษย์) จะยำเกรงอื่นใดนอกจากอัลเลาะห์มิได้ ด้วยว่าพระองค์นั้นหามีพระเจ้าอื่นใดที่ควรแก่การเคารพสักการะไม่ นอกจากพระองค์เท่านั้น
๕๓. อันพระกรุณาธิคุณที่มีแก่พวกเจ้านั้นมาจากอัลเลาะห์ครั้นหลังจากนั้นเมื่อได้มีภัย อาทิ ความป่วยไข้ และความยากจนมาประสบกับพวกเจ้าอย่างกะทันหันแล้วพวกเจ้าก็จะเอ็ดตะโร ร้องขอความช่วยเหลือไปยังพระองค์ จะไม่ขอความช่วยเหลือจากผู้ใดอื่นจากข้าเลย


 

GoogleTagged