บรรดาความหมาย ของ “บาอฺ” ที่มิได้ระบุไว้ใน ตำรา “อัล-อาวามิ้ล อัล-มิอะฮ์”:
ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่าเจ้าของตำรา “ชัรห์ อัล-อัชมุนีย์” ได้ระบุไว้ในตำราของท่านว่า ความหมายของ “บุพบท อักษร บาอฺ” นั้น มีอยู่ 15 ความหมาย (ซึ่งจะกล่าวเพิ่มเติมไปจากบรรดาความหมายเดิมที่ได้นำเสนอไปแล้ว จากความหมายที่ หนึ่ง ถึง ความหมายที่แปด) มีดังนี้ :
(9) ความหมายที่เก้า : (البَدَلِيَّة) “อัล-บ่าดาลี้ยะฮ์” (หมายถึง การทดแทน) . ซึ่งข้อสังเกต : คือ สามารถนำคำว่า “بَدَلٌ” (แทน) มาวาง ณ ตำแหน่งของ “บุพบท บาอฺ” ได้อย่างเหมาะสม .
ตัวอย่างเช่น :
- ฮาดิษที่ว่า (
مَا يَسُرُّنِي بِهَا حُمُرُ النَّعَمِ) “ไม่ปิติใจแก่ฉันเลยโดยการที่จะให้อูฐแดงมาแทนที่มัน(ละหมาดศุกร์)” (รายงานโดย อัล-บัยฮะกีย์ 1453 ในตำรา อัส-สุนัน อัล-กุบรอ)
- และคำกล่าวของท่าน รอฟิอฺ บิน คอดีจญฺ ซึ่งเป็นอัครสาวก ของท่านศาสดา(ซอลลัลลอฮุ อะลัยฮิวาซัลลัม)ที่ว่า
(ما يَسُرُّني أني شَهِدتُ بَدْراً بالعَقَبَة) أي بَدَلها “ไม่ปิติใจแก่ฉันเลยโดยการที่ฉันจะมรณสักขี ณ สมรภูม บะดัร มาแทนที่ (เหตุการณ์สนธิสัญญา) อัล- อะกอบะฮ์ ”.
และ ข้อแบ่งแยกระหว่าง “บาอฺ อัล-บะดั้ล” (بَاء البَدَل) และ “บาอฺ อัล-อิวัฎด์” (بَاء العِوَض) ก็ได้กล่าวไปแล้วใน ความหมายที่สี่ : (المُقَابَلة) “อัล-มุกอบะละฮฺ”.
(10) ความหมายที่สิบ : (السَبَبِيَّة) “อัส-สะบาบียะฮ์” (หมายถึง สาเหตุอันเนื่องมาจาก) . ตัวอย่างเช่น :
-โองการที่ว่า
(إِنَّكُمْ ظَلَمْتُمْ أَنْفُسَكُمْ بِاتِّخَاذِكُمُ الْعِجْلَ) “(โอ้หมู่คณะ)แท้จริงท่านทั้งหลายได้ฉ้อฉลตัวของพวกท่านเองด้วย(สาเหตุ)ที่ท่านทั้งหลายได้หลอมรูปลูกวัวขึ้น(เพื่อการบูชา)”(อัล-บากอเราะฮ์ :54).
-และโองการที่ว่า
(فَكُلًّا أَخَذْنَا بِذَنْبِهِ) “แท้จริงแต่ละคนนั้นเราได้ทำลายล้างด้วย(เพราะสาเหตุ)บาปของพวกเขา”(อัล-อังกาบูต :40 ).
-และโองการที่ว่า
(فَبِمَا نَقْضِهِمْ مِيثَاقَهُمْ لَعَنَّاهُمْ) “เป็นเพราะพวกเขาทำลายสัญญาของพวกเขาเอง เราจึงสาปแช่งพวกเขา(ไม่ให้ได้รับความเมตตาของเรา)”(อัล-มาอิดะฮ์ :13 ).
ความสัมพันธ์ระหว่าง (السَبَبِيَّة) “อัส-สะบาบียะฮ์”และ (التَّعْلِيْل)“อัต-ตะอฺลี้ล” :นักวิชาการบางท่าน (เช่นท่าน อัล-อัชมุนีย์) ได้ระบุเพิ่มความหมาย (التَّعْلِيْل)“อัต-ตะอฺลี้ล” ให้กับบุพทบาอฺ โดยนับเอกเทศ แยกย่อยออกมาเป็นหนึ่งความหมายโดยลำพัง ทว่า ตามทัศนะที่มีน้ำหนักแล้ว สมควรที่จะจัดเข้าไปอยู่ภายใต้ ความหมายของ (السَبَبِيَّة) “อัส-สะบาบียะฮ์” ดังที่ได้ระบุไว้ ใน ตำรา “อัลมุฆนีย์” และตำราเล่มอื่นๆ อันเนื่องมาจากกฏเกณฑ์ทีว่า
(لأن التعليلية والسببية شيء واحد) “เพราะว่า“อัต-ตะอฺลีล” และ“อัส-สะบาบียะฮ์” นั้นเป็นสิ่งเดียวกัน” เฉกเช่นที่ได้กล่าวไว้โดย ท่าน อาบูหัยยาน ท่าน อัซ-ซูยูตีย์ และ ท่านอื่นๆ .
แต่ท่าน ยะยา (อาบู ซะการียา อิบนุ ซียาด อัลฟัรรออฺ) ได้ทำการแบ่งแยกระหว่าง ระหว่าง العلة (อัลอิ้ลละฮ์) และ السبب (อัส-สะบับ) กล่าวคือ :
-อัล-อิลละฮ์ : จะตกหลังในการเกิด(นอกจิตใจ) และตกก่อนภายในจิต นั่นคือ เหตุผล ที่ซุ่มซ่อนอยู่ และเป้าหมายต่างๆ.
-อัส-สะบับ : จะตกก่อนทั้งในจิต และนอกจิต.
ความสัมพันธ์ระหว่าง (السَبَبِيَّة) “อัส-สะบาบียะฮ์”และ (الاسْتِعَانَة)“อัล-อิสติอานะฮฺ”:เราก็ได้ทราบกันไปแล้วสำหรับ ข้อแบ่งแยกระหว่างทั้งสองความหมายนี้ใน ความหมายที่สอง (الاسْتِعَانَة) “อัล-อิสติอานะฮฺ” (การขอความช่วยเหลือ)(ซึ่งการแบ่งแยกดำเนินไปตามทัศนะของ นักวิชาการ อัล-อันดาลุซิยูน الأندلوسيون).
อันเนื่องมาจากความคล้ายคลึงและไกล้เคียงกันของทั้งสองความหมาย ทำให้ นักวิชาการบางท่านจัดให้ “อัล-อิสติอานะฮฺ” เข้าอยู่ภายใต้ ความหมายของ “อัส-สะบาบียะฮ์” ด้วยเหตุนี้เองท่าน ท่านอาบู หัยยาน กล่าวว่า “ตามทัศนะของท่าน อิบนิมาลีกที่ว่าบาอฺ“อัล-อิสติอานะฮฺ” เข้าอยู่ภายใต้ ความหมายของ บาอฺ “อัส-สะบาบียะฮ์” นั้นเป็นคำพูดที่เขา(อิบนุมาลีก)มีทัศนะแยกออกไปลำพังเพียงผู้เดียว ”.
แต่ท่าน อัร-ริฎอ กล่าวว่า
(السَّبَبِيَّة فرع الِاسْتِعَانَة) ”อนึ่ง“อัส-สะบาบียะฮ์” เป็นแขนงหนึ่งของ “อัล-อิสติอานะฮฺ” ด้วยเหตุนี้เองท่าน อิบนุ มาลีกได้กล่าวไว้แค่ “อัล-อิสติอานะฮฺ” ในตำรา “อัล-กาฟิยะฮ์ อัล-กุบรอ”ในทางกลับกัน ท่าน ได้กล่าวไว้แค่ “อัส-สะบาบียะฮ์” ในตำรา “อัต-ตัสฮี้ล”.
ทว่า ท่าน อิบนุมาลีก ได้ระบุทั้งสองความหมายไว้ในตำรา”อัล-คุลาเซาะฮ์”ของท่าน และ ท่าน อิบนุ หิชาม ก็ได้ทำเช่นเดียวกัน ในตำรา “อัล-มุฆนีย์”.
ซึงกรณีดังกล่าวนี้มีผลอย่างยิ่งต่อ หลักวิชา อัล-อากีดะฮ์ กล่าวคือ การใช้สำนวน “อัส-สะบาบียะฮ์” ในหมวด “อัฟอ้าลของอัลลอฮ์”(الأَفْعَال المَنْسُوْبَة إِلَى اللّه) เป็นที่อนุญาตให้กระทำได้ ในขณะที่การใช้ สำนวน“อัล-อิสติอานะฮฺ” นั้นกลับเป็นที่ต้องห้าม.
(11) ความหมายที่สิบเอ็ด : (التَّبْعِيْض) “อัต-ตับอีฎ” (หมายถึง ส่วนหนึ่ง) . ตัวอย่างเช่น :
-โองการที่ว่า
(عَيْنًا يَشْرَبُ بِهَا عِبَادُ اللَّهِ) “มันเป็นสายน้ำ(ในสวรรค์) ซึ่งบรรดาข้าทาส(ผู้ภักดี)แห่งอัลลอฮ์ดื่มจากมัน”(อัล-อินซาน:6).
นักวิชาการมีความขัดแย้งกันถึง ความหมายของบาอฺ ในโองการ
(وَامْسَحُوا بِرُءُوسِكُمْ وَأَرْجُلَكُمْ إِلَى الْكَعْبَيْنِ ) “และพวกเจ้าจงเช็ดศรีษะ และ (จงล้าง) เท้าของพวกเจ้าจงถึงตาตุ่ม” (อัล-มาอิดะฮ์ : 6)
- ท่านอิบนุ ญินนีย์ และ ส่วนมากจาก นักวิชาการนะฮู ปฏิเสธ ความหมาย“อัต-ตับอีฎ” นี้ในบุพบทบาอฺ
- นักวิชาการ สำนัก “อัลกูฟียูน (الْكُوْفِيُّوْن)” และ ท่าน “อัล-อัศมะอีย์” ท่าน “อัล-ฟาริซีย์” ท่าน “กุตาบีย์” ตลอดจนท่าน “อิบนุมาลีก” ได้มีทัศนะว่า “อัต-ตับอีฎ” เป็นหนึ่งจากความหมายของบุพบท บาอฺ โดยท่านได้อิงหลักฐานด้วยอายะฮ์ อัล-กุรอ่าน โองการ
(عَيْنًا يَشْرَبُ بِهَا عِبَادُ اللَّهِ) ข้างต้น.
ซึ่งกรณีดังกล่าวนี้ มีผลอย่างยิ่งต่อ นักปราชญ์ฟิกฮฺ นิติศาสตร์อิสลาม ตามสำนัก มัซฮับทั้งสี่ ในการวินิจฉัยฮุก่มจากอัลกุรอ่าน ในเรื่องการเช็ดศรีษะในการอาบน้ำละหมาด กล่าวคือนักวิชาการมีความขัดแย้งกันถึง ความหมายของบาอฺ ในโองการ
(وَامْسَحُوا بِرُءُوسِكُمْ وَأَرْجُلَكُمْ إِلَى الْكَعْبَيْنِ) ข้างต้น โดย
- ท่าน อีหม่าม มาลีกีย์ เห็นว่า บาอฺ ในโองการนี้มีความหมาย “อัล-อิลศอก”(الْإَلْصَاق)(ซึ่งเราได้ทราบไปแล้วในควมหมายที่หนึ่งของ “บุพบท บาอฺ”) ดังนั้นมัซฮับ มาลีกีย์ จึงมีความเห็นว่า การเช็ดศีรษะนั้นต้องเช็ดทั้งหมดของเขตศรีษะ เพราะ “ บาอฺ อิลศอก” จะให้ความหมายที่ครอบคลุมทั้งหมด.
-ขณะที่ท่าน อีหม่าม อัชชาฟีอีย์ เห็นว่า บาอฺ ในโองการนี้มีความหมาย “อัต-ตับอีฏ” ดังนั้นมัซฮับ ชาฟีอีย์ จึงมีความเห็นว่า การเช็ดศีรษะนั้นเพียงพอและใช้ได้แล้วเพียงแค่เช็ดส่วนหนึ่งของเขตศรีษะ เพราะ “บาอฺ อัต-ตับอีฏ” จะให้ความหมายว่าส่วนหนึ่ง แต่ก็สุนัตให้เช็ดทั่วเขตศีรษะ เพื่อให้ออกจากทัศนะที่เห็นต่างนี้.
(12) ความหมายที่สิบสอง : (الْمُجَاوَزَة) “อัล-มุญาวะซะฮ์” ซึ่งมีความหมายว่า (عَنْ) (จาก) . ตัวอย่างเช่น : โองการ
(فَاسْأَلْ بِهِ خَبِيرًا) “ดังนั้นจงถามผู้ทรงภูมิรู้ ถึงเรื่อง(ที่เกี่ยวกับการบันดาลต่างๆ)นั้นเถิด” (อัล-ฟรุกอน :59).
-นักวิชาการบางท่านมีทัศนะว่า : ความหมายนี้จะใช้เฉพาะการถาม (السُّؤَال) เท่านั้น โดยอ้างหลักฐานจากโองการ
(يَسْأَلُونَ عَنْ أَنْبَائِكُمْ) “ซึ่งพวกเขาจะคอยถามข่าวคราวของพวกท่าน”(ซูเราะฮ์ อัล-อะห์ซาบ : 20) .
-ในขณะที่นักวิชาการบางท่านให้ทัศนะว่า : ความหมายนี้ไม่ได้เฉพาะแค่การถาม (السُّؤَال) แต่เพียงอย่างเดียว โดยอ้างหลักฐานเช่นกัน จากโองการ
(ييَسْعَى نُورُهُمْ بَيْنَ أَيْدِيهِمْ وَبِأَيْمَانِهِمْ) “รัศมีของพวกเขา(ผู้ศรัทธาทั้งชายหญิง)โชติช่วง ต่อเบื้องหน้าของพวกเขา และจากเบื้องขวาของพวกเขา”(ซูเราะฮ์ อัล-หะดีด : 12) .
จากโองการข้างต้นท่าน อาบู หัยยาน กล่าวว่า “ปรากฏว่าท่าน อุซตาซ อาบู อาลี ทำ การตะวีลตีความความหมาย ว่า
(اسْأَل بِسَبَبِهِ خَبِيرا) ดังนั้นจงถามผู้ทรงภูมิรู้ ถึงสาเหตุของเรื่อง(ที่เกี่ยวกับการบันดาลต่างๆ)นั้นเถิด ” ซึ่งดังกล่าววนี้ คือ การตะวี้ลตีความของ สำนักมัซฮับ อัล-บะซอรียูน (البَصَرِيُّوْن) เนื่องจากพวกเขามีทัศนะ ว่า บาอฺในโองการข้างต้นนั้น มีความหมาย “อัซซะบะบียะฮ์”(ดังที่ได้อธิบายมาแล้วในความหมายที่สิบ) โดยพวกเขาเห็นว่า บุพบท บาอฺ นั้นไม่ได้มีความ (عَنْ) อยู่เลย.
ซึ่งทัศนะของ ”อัล-บะซอรียูน”ข้างต้นไม่ถูกยอมรับ เนื่องจากยังห่างไกล(เมื่อเทียบกับความเป็นจริง) เนื่องจาก ถ้อยความในขณะนั้น ไม่ได้ให้ความหมายว่า ตัวที่ถูก ญาร ด้วย บุพบท บาอฺ (المَجْرُوْر بِالْبَاء) คือ สิ่งที่ถูกทวงถามถึง (المَسْؤُوْلُ عَنْه) ทั้งๆที่มันคือเป้าประสงค์ จุดมุ่งหมาย.
(13) ความหมายที่สิบสาม : (الاسْتِعَلَاء) “อัล-อิสติอฺลาอฺ” ซึ่งมีความหมายว่า (عَلَى) . ซึ่งความหมายนี้ถูกเชื่มโยงสืบไปยัง สำนักมัซฮับ “อัลกูฟียีน” และท่าน “อัล-อัคฟัช”.
ตัวอย่างเช่น :
- โองการ
(مَنْ إِنْ تَأْمَنْهُ بِقِنْطَارٍ ) “(ชาวคัมภีร์บางคน)เป้นผู้ซึ่งถ้าเจ้าวางใจเขาด้วย(การฝาก)ทรัพย์มหาสาล(ไว้)(เขาก้จะส่งมันคืนแก่เจ้า)” (อาลาอิมรอน :75). ซึ่งหลักฐานที่บ่งชี้ว่า บาอฺในโองการนี้ มีความหมายว่า (عَلَى) นั้น ก็ด้วยโองการที่ว่า
(هَلْ آمَنُكُمْ عَلَيْهِ إِلَّا كَمَا أَمِنْتُكُمْ عَلَى أَخِيهِ مِنْ قَبْلُ ) (ยูสุฟ :64) กล่าวคือ เราจะเห้นได้ว่า ในอายะฮ์นี้ คำว่า ” أمن “ จะ “มุตะอัดดีย์” เชื่อมกับคำอื่นโดยใช้บุพบท ” عَلَى” ในสองที่ด้วยกันคือ “آمَنُكُمْ عَلَيْهِ” และ “أَمِنْتُكُمْ عَلَى أَخِيهِ”.
- โองการ
(وَإِذَا مَرُّوا بِهِمْ يَتَغَامَزُونَ)”และเมื่อเขา(ชาวศรัทธา)ผ่านมายังพวกนั้น พวกนั้นก็จะหลิ่วตาอย่างเย้ยหยัน” (อัล-มุฏอฟฟิฟีน :30). ซึ่งหลักฐานที่บ่งชี้ว่า บาอฺในโองการนี้ มีความหมายว่า (عَلَى) นั้น ก็ด้วยโองการที่ว่า
(وَإِنَّكُمْ لَتَمُرُّونَ عَلَيْهِمْ مُصْبِحِينَ) (อัศ-ศ๊อฟฟ๊าต :137) กล่าวคือ เราจะเห้นได้ว่า ในอายะฮ์นี้ คำว่า ” مرّ “ จะ “มุตะอัดดีย์” เชื่อมกับคำอื่นโดยใช้บุพบท ” عَلَى” ใน “لَتَمُرُّونَ عَلَيْهِمْ ” .
(14) ความหมายที่สิบสี่ : (الانْتِهَاء) “อัล-อินติฮาอฺ” ซึ่งมีความหมายว่า (إِلَى) . ตัวอย่างเช่น : โองการ
(وَقَدْ أَحْسَنَ بِي) أَي إِلَيّ “และองค์อภิบาลของฉันทรงโปรดปรานความดีงามแก่ฉัน” (ยูสุฟ :100).
นักวิชาการ บางท่านมีทัศนะว่า คำว่า “أَحْسَنَ” ข้างต้นนั้นครอบคลุมถึงความหมายของ “لطف” เมื่อเป็นเช่นนี้ ดังนั้น บาอฺใน อายะฮ์ ที่กล่าวมานี้จึงมีความหมาย “อัล-อิลศอก” อันเนื่องมาจากว่า ความอ่อนโยน ความเมตตา (لطف) นั้น ติดพันอยู่กับผู้พูด.
(15) ความหมายที่สิบห้า : (القَسَمُ) “อัล-กอซัม” ซึ่งมีความหมายว่า “สาบาน” . ซึ่ง บาอฺ นับว่าเป็น อัศล์ (รากฐาน) (الْأًصْل) ของ บุพบทที่ใช้ในการสาบาน (حُرُوفُ القَسَم) (ซึ่งมีอยู่สามตัว บาอฺ วาว และ ตาอฺ) ด้วยเหตุนี้จึงทำให้บาอฺ มีคุณสมบัติพิเศษ กว่า วาว และตาอฺ ดังนี้ :
หนึ่ง : อนุญาตให้ กล่าวกริยา (ฟิอฺล์)ที่บ่งชี้ถึงการสาบานหลังจาก บาอฺ ได้ เช่น
(أُقْسِمُ باللّه لتًفْعَلَنّ) ฉันขอสาบานต่ออัลลอฮ์ท่านต้องทำ แต่สำหรับ วาว และ ตาอฺ กลับไม่อนุญาต จึงไม่สามารถกล่าวได้ว่า
(أُقْسِمُ تاللّه ) หรือ
(أُقْسِمُ واللّه) .
สอง : อนุญาตให้ บาอฺเข้าหน้า คำสรพพนาม (الضَمِيْر) ได้ เช่น
(بكَ لأفْعَلَنّ) แต่สำหรับ วาว และ ตาอฺ กลับไม่อนุญาต จึงไม่สามารถกล่าวได้ว่า
(تكَ لأفْعَلَنّ) หรือ
(وكَ لأفْعَلَنّ).
สาม : อนุญาตให้ บาอฺใช้ในการสาบาน “อัล-อิสติอฺฏอฟีย์” (الْقَسَم الاسْتِعْطَافِيّ) ได้ (คือการ สาบานที่คำตอบของมันเป็นประโยค “อินชาอีย์” الإنْشَائِيّ เช่นคำถาม และ การสาบาน เป็นต้น ) ตัวอย่างเช่น
(بالله هَلْ قَامَ زَيْدٌ؟) แต่สำหรับ วาว และ ตาอฺ กลับไม่อนุญาตเช่นนี้ .
แต่นักวิชาการบางท่าน กลับมีความเห็นว่า บาอฺในตัวอย่างข้างต้นนี้ ไปเกี่ยวข้อง (مُتَعَلِّقَة) กับ คำกริยา “أَسْألُكَ” ซึ่งถูกตัดไปเสียแล้ว ไม่ใช่เกี่ยวข้องกับ คำกริยา “أَقْسِمُ” ฉะนั้นทัศนะนี้จึงไม่นับ การสาบาน “อัล-อิสติอฺฏอฟีย์”.
นักวิชาการมีทัศนะ ต่างกันในโองการ :
( يَا بُنَيَّ لَا تُشْرِكْ بِاللَّهِ إِنَّ الشِّرْكَ لَظُلْمٌ عَظِيمٌ ) “โอ้ลูกของฉัน เธออย่าตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์ เพราะแท้จริงการตั้งภาคีนั้นเป็นความอธรรมอย่างใหญ่หลวง” (ลุกมาน :13).
-นักวิชาการบางท่าน (อัล-อิตกอน ฟี อุลู้มิ้ล กุร-อาน 1/86) มีทัศนะว่า : บาอฺในโองการข้างต้น มีความหมาย “การสาบาน” โดยอ่านหยุดที่คำว่า “لَا تُشْرِكْ” และเริ่มอ่านใหม่ว่า “بِاللَّهِ” แม้กระนั้นก็ตาม ทว่า ทัศนะนี้ถือว่า เป็นทัศนะที่แปลก (ฆอรีบ) (غًرِيْبٌ) กล่าวคือ สาเหตุที่แปลกเนื่องจากว่า บริบทการสาบาน ที่ปรากฏในอัลกุรอ่านที่ไม่ถูกกล่าวกริยาที่บ่งชี้ถึงการสาบานนั้นจะถูกใช้กับ อักษร วาวเท่านั้น ส่วน อักษร บาอฺ -ในลักษณะนี้- นั้นจะต้องกล่าว กริยามาด้วย (ดู ตำรา มะนารุ้ล ฮุดา ฟีบะยานิ้ล วักฟ์ วั้ลอิบติดา : อะหมัด อัล-อัชมุนีย์ หน้า 303).
- ทว่า ปรมาจารย์บางท่านของ ท่าน อัซ-ซันฮูรีย์ ไม่ยอมรับในทัศนะข้างต้น โดยกล่าวว่า “อนึ่งการที่ บาอฺมีความหมาย การสาบานอยู่ด้วยนั้น เรายอมรับ แต่ ในโองการนี้ไม่ได้เป็นเช่นนั้น”
หมายเหตุ :(1)
ทัศนะที่หนึ่ง : ทัศนะ “อัล-บะศอรียูน” มีความเห็นว่า บุพบท ( ฮุรุฟ ) จะไม่มาแทนซึ่งกันและกันดังเช่นสภาพ ของ “ตัวบังคับอัล- ญัซม์” (عَامِلُ الجَزْم) และ “ตัวบังคับอัน- นัสบ์” (عَامِلُ النَّصْب) ส่วนในกรณีที่เราอาจเข้าใจไปได้ว่า เป็นแทนซึ่งกันและกันระหว่าง ฮุรุฟ นั้น ตามทัศนะนี้เขาจะจัดเข้าในเรื่องของ
-1) การ ตะวีล ตีความ(التَّأوِيْل) เช่น โองการ
( وَلَأُصَلِّبَنَّكُمْ فِي جُذُوعِ النَّخْلِ ) “และข้า(ฟิรเอาน์)จะตรึงพวกเจ้าไว้กับลำต้นของอินทผาลัม” (ฏอฮา : 71) ซึ่งคำว่า “فِي” ในอายะฮ์มิได้หมายความว่า “عَلَي” แต่ทว่าจะถูกจัดอยู่ในประเภทของ การยืมคำ (الاسْتِعَارَة) “อัลอิสติอาเราะฮ์”.
-2) หรือไม่ก็จะถูกจัดอยู่ในเรื่องของ การครอบคลุมความหมายอื่น (التَّضْمِيْن) “อัต-ตัฏมีน” เช่น โองการ
(وَقَدْ أَحْسَنَ بِي) أَي إِلَيّ “และองค์อภิบาลของฉันทรงโปรดปรานความดีงามแก่ฉัน” (ยูสุฟ :100).
นักวิชาการ บางท่านมีทัศนะว่า คำว่า “أَحْسَنَ” ข้างต้นนั้นครอบคลุมถึงความหมายของ “لطف”
(2)
ทัศนะที่สอง ทัศนะ “อัล-กูฟียูน”และนักวิชายุคหลัง มีความเห็นว่า บุพบท ( ฮุรุฟ ) มาแทนซึ่งกันและกัน โดยไม่ต้อง มีการตีความตะวีล ไม่มีการ ยืมคำ หรือ การมีความหมายครอบคลุม (ตัฏมีน) แต่อย่างใด.
บรรณานุกรม :ตำราที่ใช้ประกอบ(ซึ่งสามาถรค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมได้จากตำราเหล่านี้) :-
- “เอาเดาะหุ้ล มะซาลีก อิลา อัลฟียะฮ์ อิบนิ มาลิก” เล่มที่ 3 หน้า 30-31.
- “หาชียะฮ์ อัล-คุฎอรีย์ อะลา ชัรห์ อิบนิ อะกีล อะลา อัลฟียะฮ์ อิบนิ มาลิก
เล่มที่ 1 หน้า 527-528.
- “หาชียะฮ์ อัด-ดุซูกีย์ อะลา มุฆนิ้ลละบีบ อัน กุตุบิ้ล อะอารีบ” เล่มที่ 1 หน้า 280-302.
- “ชัรหฺ อัล-อาญูรรูมียะฮ์ ฟี อิลม์ อัลอารอบียะฮ์” : เชค อัส-สันฮูรีย์ เล่มที่ 1 หน้า 111-114.
- “หาชียะฮ์ อัศ-ศ๊อบบาน อะลา ชัรห์ อัล-อัชมูนีย์” เล่มที่ 2 หน้า 328-332.
- “อัล-มุอฺญัม อัล-วาฟีย์ ฟี อัน-นะหฺว์ อัล-อะรอบีย์ ” หน้า 107-108.[/size]