ผู้เขียน หัวข้อ: เนื้อกุรบานวันอีด ศาสนาอื่นกินได้ไหม ขายได้ไหม  (อ่าน 11108 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ del_dangerous

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 178
  • เพศ: ชาย
  • ถ้าชีวิตยังไม่สิ้นก็ต้องดิ้นกันต่อไป
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด

จากคำถามผมได้ยินมานะครับ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน
1. ศาสนาอื่นกินได้หรือไม่ได้
2. ผู้ที่รับกุรบานไปแล้วขายได้หรือไม่ได้
3. นอกจากกุรบานวันอีดแล้วมีกุรบานอย่างอื่นอีกหรือเปล่า(และอิงคำถามจาก 2 ข้อด้วยนะครับ)

เรียนบัง อัซฮารี และผู้รู้ทุกท่านโปรดชี้แจงให้เข้าใจหน่อยครับ
พร้อมทั้งหลักฐานด้วยนะครับ
เพื่อมีใครถามผมจะได้ตอบได้
เพราะมีบางครั้งที่คนอื่นคิดว่าผมรู้เรื่อง
แต่ผมรู้ตัวเองดีนะครับ ว่า รู้บ้างไม่รู้บ้าง
คือ ไม่ลึกซึ้ง
อีกอย่างการจะตอบอะไรใคร แล้วไม่มีหลักฐาน
เดียวนี้ อันตรายครับ โดนตอกงายหลังเลย
 
ขอบคุณล่วงหน้าเลยนะครับ

วัสสลาม
ชีวิตคือการเดินทาง สิ่งที่ดีใจคือไม่ต้องเริ่มต้นใหม่ แต่สิ่งที่น่าเสียใจ คือ ย้อมกลับไปไม่ได้

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
จากคำถามผมได้ยินมานะครับ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน
1. ศาสนาอื่นกินได้หรือไม่ได้

ประเด็นให้เนื้อกุรบานกับคนกาเฟรนั้น  ไม่มีหลักฐานจากอัลกุรอานและหะดิษโดยตรงระบุเกี่ยวกับเรื่องนี้นะครับ  ดังนั้นปวงปราชญ์จึงจำเป็นต้องวินิจฉัยจากตัวบทและตามเป้าหมายอุดมการณ์ของหลักชะรีอะฮ์ของอิสลามโดยรวม

มัซฮับฮัมบาลีย์ (อัลฮะนาบิละฮ์)

มีทัศนะว่า  อนุญาตให้เนื้อกุรบานกับกาเฟรซิมีย์ได้   หมายถึงกาเฟรที่อยู่ร่วมภายใต้กฏหมายเดียวกับเรา และไม่มีความเป็นศรัตรูต่อกัน  เพราะการให้เนื้อกุรบานเป็นการทำดีอย่างหนึ่ง  ซึ่งการกระทำดีต่อผู้อื่นนั้น  ศาสนาอนุญาตให้กระทำได้  แม้จะเป็นกาเฟรก็ตาม  ตราบใดที่พวกเขาไม่เป็นศัตรูกับเรา

อัลเลาะฮ์ทรงตรัสความว่า

لَا يَنْهَاكُمُ اللَّهُ عَنِ الَّذِينَ لَمْ يُقَاتِلُوكُمْ فِي الدِّينِ وَلَمْ يُخْرِجُوكُم مِّن دِيَارِكُمْ أَن تَبَرُّوهُمْ وَتُقْسِطُوا إِلَيْهِمْ إِنَّ اللَّهَ يُحِبُّ الْمُقْسِطِينَ

"อัลลอฮ์มิได้ทรงห้ามพวกเจ้าเกี่ยวกับบรรดาผู้ที่มิได้ต่อต้านพวกเจ้าในเรื่องศาสนา และพวกเขามิได้ขับไล่พวกเจ้าออกจากบ้านเรือนของพวกเจ้า ในการที่พวกเจ้าจะทำความดีแก่พวกเขา และให้ความยุติธรรมแก่พวกเขา แท้จริงอัลลอฮ์ทรงรักผู้มีความยุติธรรม"

มัซฮับอัชชาฟิอี
 
ท่านอิมาม อิบนุหะญัร อัลฮัยตะมีย์ และท่านอิมาม อัรร๊อมลีย์ วินิจฉัยไว้ว่า " ไม่อนุญาติให้กาเฟรทำการรับประทานเนื้อกุรบานที่เราเชือด และไม่อนุญาติให้คนจนหรือ(คนรวย)ที่ถูกมอบเนื้อกุรบานให้นั้น ทำการให้อาหารกับคนกาเฟรที่ปรุงมาจากเนื้อกุรบาน เนื่องจาก จุดมุ่งหมาย หรือเป้าหมาย ของการทำกุรบาน นั้น เพื่อเป็นการเอื้อเฟื้อ เอื้ออาทร กับบรรดาคนมุสลิมีน เพราะว่ากุรบานนั้น ถือเป็นเป็นอิบาดะฮ์ต่ออัลเลาะฮ์เพื่อเลี้ยงเป็นแขกรับประทานสำหรับมุสลิมีนเท่านั้น ดังนั้น จึงไม่อนุญาติให้ผู้เป็นกาเฟรทำการครอบครองเนื้อกุรบานดังกล่าว

และอิมามชาฟิอีย์ระบุเอาไว้ว่า ผู้ที่ทำกุรบานนั้น หากเขาได้เชือดกุรบาน หลังจากนั้นเขาได้ตกศาสนา(ตกมุรตัดเป็นกาเฟร) เขาก็ไม่สามารถรับประทานเนื้อกุรบานนั้นได้ (แม้กระทั้งเจ้าของกุรบานเองที่ตกมัรตัด ยังรับประทานไม่ได้ แล้วคนกาเฟรอื่นจะรับประทานได้อย่างไร ?)"

บรรดาอุลามาอ์ที่อธิบายหนังสือ ของท่านอิมามอิบนุหะญัรและอิมามรอมลีย์ได้กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า

" แต่มีอุลามาอ์มัซฮับชาฟิอีย์บางท่าน เช่นท่าน อัลมุหิบ อัฏฏ๊อบรีย์ ได้วินิจฉัยว่า อนุญาติให้รับประทานเป็นอาหารกับคนจนที่เป็นกาเฟรซิมมีย์ (กาเฟรที่อยู่ในปกครองของรัฐอิสลาม) จากเนื้อกุรบานที่เป็นสุนัติ และไม่ใช่วายิบ(เช่น บนบานเอาไว้ว่าจะเชือด หรือสั่งเสียว่าให้ทำการเชือด) โดยเปรียบเทียบ(กิยาส)กับการบริจาคท่านทั่วไปที่เป็นสุนัต

แต่ในสำนวนคำพูดของอิมามนะวาวีย์ใน หนังสือมัจญฺมั๊วะของท่าน หลังจากที่ท่านได้ทำการรายงาน คำกล่าวของท่านอิบนุมุงซิร ว่า พวกเขา(บรรดาอุลามาอ์) ได้มีความเห็นขัดแย้ง ในกรณีการให้อาหารด้วยเนื้อกุรบานกับ คนยากจนที่เป็นกาเฟรซิมมีย์ ซึ่งในกรณีนี้ ท่านอบูลหะซัน อัลบะซอรีย์ ท่านอบูหะนีฟะฮ์ และท่านอบู อัษษูร ได้ผ่อนปรนในสิ่งดังกล่าว(คือกระทำได้) และท่านอิมามมาลิกกล่าวว่า "ผู้อื่นจากพวกเขานั้น เป็นที่รักยิ่งมายังเรา(ในการให้รับประทานเนื้อกุรบาน) และอิมามมาลิก ถือว่ามักโระฮ์ การให้หนังสัตว์ที่ถูกเชือดทำกุรบานกับนัสรอนีย์ หรือชิ้นหนึ่งจากเนื้อของมัน และอิมามลัยษ์ ก็ถือว่ามักโระห์เช่นเดียวกัน พร้อมท่านลัยษ์กล่าวว่า หากเนื้อกรุบานถูกมาปรุงเป็นอาหาร จึงถือว่าไม่เป็นไร หากกาเฟรซิมมีย์(ที่ยากจน) ได้มาร่วมรับประทานพร้อมกับบรรดามุสลิมีน และท่านอิบนุมุงซิรกล่าวว่า ฉันไม่เคยรู้ว่าบรรดาอุลามาอ์ของเราได้ทำการกล่าวกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังนั้น นัยยะของมัซฮับนั้น คืออนุญาติให้รับประทานเนื้อกุรบานที่สุนัติได้ สำหรับคนกาเฟรซิมมีย์ที่ยากจน (แต่คำกล่าวข้างหลังนี้ ถือว่าเป็นทัศนะคำกล่าวที่ฏออีฟครับ)(ส่วนหลักฐานจากอัลกุรอานและหะดิษเกี่ยวเรื่องกาเฟรรับประทานเนื้อกุรบานได้หรือไม่นั้น ไม่มีระบุเอาไว้ครับ ซึ่งประเด็นนี้มันอยู่ที่การวินิจฉัยของบรรดาอุลามาอ์ครับ) " ที่ผมนำเสนอมาทั้งหมดนั้น ดูได้ที่ หนังสือ ตั๊วะหฺฟะตุลมั๊วะหฺตาจญฺ ของท่านอิบนุหะญัร และได้อธิบายเสริมโดย ท่าน อัชชัรวานีย์ และอิบนุกอซิม อัลอับบาดีย์ เล่มที่ 9 หน้า 363 - 364 ตีพิมพ์ ดารฺ อัลเอี๊ยะหฺยาอฺ อัตตุรอ๊ษ อัลอะร่อบีย์ / ดู หนังสือ นิฮายะฮ์ อัลมั๊วะหฺตาจญฺ ของท่านอิมาม อัรรอมลีย์ เล่ม 8 หน้า 141 ตีพิมพ์ มุสต่อฟา อัลหะละบีย์ / หนังสือ ก๊อลยูบีย์ เล่ม 4 หน้า 255 ตีพิมพ์ ดารฺ อัลฟิกรฺ / ดู หนังสือ มุฆนีย์ อัลมั๊วะห์ตาจญ์ (หนังสือเล่มนี้อธิบายไว้น้อยเกี่ยวกับประเด็นที่ผมนำมาตอบ) เล่ม 6 หน้า 139 ตีพิมพ์ มักตะบะฮฺ อัตเตาฟีกียะฮ์

จากสิ่งที่นำเสนอมานั้น ผมจะเน้นประเด็นให้ดังนี้ คือ

1. กาเฟรบ้านเรานั้น ให้เนื้อกุรบานกับพวกเขาไม่ได้ เนื่องจากพวกเขาไม่ใช่ซิมมีย์(กาเฟรที่ยอมทำสัญญาอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐอิสลาม)

2. หากเป็นกาเฟรซิมมีย์ที่ร่ำรวย ย่อมให้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด เนื่องจากประเด็นเขาพูดเรื่องกาเฟรซิมมีย์ที่ยากจน

3. หากสมมุติว่า มีกาเฟรซิมมีย์จริงๆ และคุณก็เลือกทัศนะอุลามาอ์ที่ว่า อนุญาติให้อาหารด้วยเนื้อกุรบานกับกาเฟรซิมมีย์ที่ยากจน นั้น ก็สมควรปรุงเป็นอาหารและเชิญเขามารับประทานด้วย หรือเอาเนื้ออื่นๆที่ไม่ใช่เนื้อกุรบานมาปรุงปนกับเนื้อกุรบานด้วย แต่หากให้เป็นเนื้อกับพวกเขานั้น ไม่สมควรอย่างยิ่ง เนื่องจากบางครั้งเขา อาจจะนำมันไปขาย เพื่อให้ได้เงินมา แล้วนำไปใช้จ่ายในทางที่ไม่ถูกต้องครับ

4. หากได้ให้เนื้อกับคนกาเฟรบ้านเราไปแล้ว กุรบานของคุณถือว่าใช้ได้ครับ แต่คุณต้องไปซื้อเนื้ออื่นมาทดแทนในสิ่งที่คุณให้ไป แล้วก็ไปแจกจ่ายให้คนจนครับ

วัลลอฮุอะลัม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ย. 30, 2009, 12:27 PM โดย al-azhary »
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
ประเด็นนี้  หากมีคนถามว่า เราจะเลือกทัศนะใหน ?  ผมขอตอบว่า   ท่านพี่น้องเลือกเอาครับ  เพราะถ้าหากเจอกาเฟรซิมมีย์จริง ๆ  และอยากจะให้เนื้อกุรบาน  ก็ทำตามมัซฮับฮัมบาลีย์ก็ได้ครับ  หรือจะตามมัซฮับชาฟิอีย์  โดยไม่ให้เนื้อกุรบานกับพวกเขา ก็ไม่แปลกครับ  เพราะการทำดีต่อพวกเขานั้นมีหลายคนหนทาง  รอยยิ้มก็ถือเป็นการกระทำดี  ดังนั้น  "การขัดแย้งของประชาชาติอิสลามในด้านฟิกห์นั้นเป็นความเมตตา"  ผมว่าไม่ห่างไกลจากความจริงเลยครับ   :D
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-firdaus~*

  • ทีมงานหลังบอร์ด (-_-''')
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 5015
  • เพศ: หญิง
  • 可爱
  • Respect: +161
    • ดูรายละเอียด
คนแถวบ้าน  จะไม่แจกเนื้อกุรบานแก่กาเฟร

ทำนองเดียวกับ เนื้อที่ทำอากีเกาะฮ์

 ;) ;) ;)


นูรุ้ลอิสลาม

  • บุคคลทั่วไป
ได้อ่านคำตอบของน้องเว๊บมาสเตอร์เกี่ยวกับการตอบปัญหาศาสนา  เลยฉุกคิดหะดิษหนึ่งขึ้นมาว่าน่าจะนำมาเป็นหลักฐานประกอบได้  ที่ว่า

    ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

 ‏ ‏لا تُصَاحِبْ إِلَّا مُؤْمِنًا وَلَا يَأْكُلُ طَعَامَكَ إِلَّا تَقِيُّ ‏

"ท่านอย่าคบเป็นมิตรสหายนอกจากกับผู้ศรัทธาและจะไม่รับประทานอาหารของท่านนอกผู้ที่มีความยำเกรง"  รายงานโดยอบูดาวูด (4192)

     ซึ่งหมายความว่า  ท่านอย่าให้รับประทานอาหารของท่านนอกจากให้รับประทานกับผู้ที่มีความยำเกรง  เนื้อกุรบานถือว่าเป็นเนื้อที่เกี่ยวข้องกับอิบาดะฮ์  เมื่อเรานำมาปรุงอาหารแล้ว  ผู้ที่ยำเกรงสมควรได้รับประทาน  ส่วนผู้ที่ปฏิเสธในอัลเลาะฮ์ไม่สมควรที่จะรับประทานอาหารที่ทำมาจากเนื้อกุรบานที่เป็นอิบาดะฮ์เช่นนี้น่ะครับ  เพราะเนื้อกุรบานนั้นสำหรับแขกของอัลเลาะฮ์  และแขกของอัลเลาะฮ์คือผู้ที่ยำเกรงเป็นมุสลิมนั่นเอง  ดังนั้นแขกของอัลเลาะฮ์จึงไม่ใช่คนเนรคุณต่ออัลเลาะฮ์อย่างแน่นอนครับ

นูรุ้ลอิสลาม

  • บุคคลทั่วไป
คนแถวบ้าน  จะไม่แจกเนื้อกุรบานแก่กาเฟร

ทำนองเดียวกับ เนื้อที่ทำอากีเกาะฮ์

 ;) ;) ;)


ทั้งเนื้อกุรบานและเนื้ออะกีเกาะฮ์  คนกาเฟรก็รับประทานไม่ได้ตามมัซฮับชาฟิอีย์นะครับ

ออฟไลน์ del_dangerous

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 178
  • เพศ: ชาย
  • ถ้าชีวิตยังไม่สิ้นก็ต้องดิ้นกันต่อไป
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
ช่วยตอบประเด็นที่ว่า

ถ้าหากเราได้รับเนื้อกุรบานมาแล้ว เราจะขายได้หรือไม่

และอีกหนึ่งกรณี

ถ้าหากแม่หรือพ่อของเรากลับไปเป็นกาเฟร

แล้วเราไม่ให้ท่านกิน จะถือว่าเรา อกตัญญูหรือไม่

ในเมื่อขณะนั้นเราไม่มีอะไรให้ท่านกินนอกจากเนื้อกุรบาน

วัสลาม
ชีวิตคือการเดินทาง สิ่งที่ดีใจคือไม่ต้องเริ่มต้นใหม่ แต่สิ่งที่น่าเสียใจ คือ ย้อมกลับไปไม่ได้

ออฟไลน์ philosophy

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 94
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
اسلام عليكم
 
  การเชือดกุรบ่าน
 กุรบ่านได้ถูกบัญญัติศัพท์ไว้คือ การเชือดที่ได้กระทำกันในวันอีดิลอัฎฮา (วันที่ 10 ซุลฮิจญะห์) และวันตัซรีก (11, 12, 13 ซุลฮิจญะห์) เพราะถือเป็นการเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺ ซ.บ.

อัลลอฮฺ ซ.บ. ได้ตรัสไว้ในอัล-กุรอานว่า :



ความว่า ?และเราได้ประทานอูฐเหล่านั้นให้เป็นส่วนหนึ่งแห่งเอกลักษณ์ (ศาสนา) ของอัลลอฮฺแก่พวกสูเจ้า พวกสูเจ้าจะได้รับความดีอันมากมายใน (การเชือด) มัน ดังนั้นพวกสูเจ้าจงกล่าวนามของอัลลอฮฺขณะที่มันยืนสามขา (ถูกมัดเมื่อจะเชือด) หลังจากนั้นเมื่อมันล้มลง (ตาย) ดังนั้นสูเจ้าก็จงบริโภคบางส่วนของมัน และพวกสูเจ้าจงให้เป็นอาหารแก่ผู้ขอ และผู้เสนอตัว (ไม่เอ่ยขอ) เช่นนั้นเราได้เอื้ออำนวยซึ่งประโยชน์ของมัน (อูฐ) แก่พวกสูเจ้า เพื่อสูเจ้าจะได้รู้สึกกตัญญู?
(อัล-ฮัจย์ : 36)

อัลลอฮฺ ซ.บ. ทรงตรัสไว้อีกว่า :



ความว่า ?ดังนั้นสูเจ้าจงทำการละหมาดและเชือดสัตว์เถิดเพื่อพระเจ้าของสูเจ้า? (อัล-เกาษัร : 2)

จากท่านหญิงอาอีซะห์ว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า :
ความว่า ?ไม่มีงานใด ๆ สำหรับลูกของอาดัมในวันอีดิ้ลอัฏฮา ซึ่งอัลลอฮฺ ซ.บ. รักมากไปกว่าการเชือดกุรบ่าน กุรบ่านนั้นในวันกิยามะห์จะถูกนำมาเช่นเดียวกับวันที่มันถูกเชือด นั่นก็คือมีอวัยวะครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นเขาของมัน เล็บของมัน หรือขนของมันก็ตาม และเลือดกุรบ่านนั้นก่อนที่มันจะหยดลงสู่พื้นดิน มันได้หยดลงก่อน ในที่ ๆ หนึ่ง ซึ่งอัลลอฮฺ ซ.บ. ได้ทรงเตรียมไว้ ดังนั้นท่านจงเบิกบานเถิดด้วยการทำกุรบ่าน"
(ติรมีซีย์, อิบนุ มาญะฮฺ, อัล-ฮากีม)

ท่านอิบนุ อุมัร ได้กล่าวว่า ?พวกท่านจงพลีสัตว์กุรบ่านเถิด เพราะอัลลอฮฺ ซ.บ. ทรงรักสัตว์กุรบ่าน?

กุรบ่านนั้นเป็นการทำความเคารพภักดีอัลลอฮฺ ซ.บ. ซึ่งพระองค์ทรงบัญญัติไว้ในปีที่ 2 แห่งฮิจเราะห์ศักราช และกุรบ่านนั้นเป็นอิบาดะห์ที่ได้กระทำกันมาตั้งแต่สมัยท่านนบีอิบรอฮีม อะลัยฮิสสลาม

จากซาอีด อิบนุ อัรกอม ได้กล่าวว่า :
ความว่า ?พวกเขาได้ถามว่า :โอ้รซูลุลลอฮฺ การเชือดสัตว์ในวันอีดิ้ลอัฎฮานั้นคืออะไร ? ท่านรซูลได้ตอบว่า : มันคือซุนนะฮฺของพ่อของท่าน (นบีอิบรอฮีม) พวกเขาได้ถามอีกว่า ?เราจะได้อะไรจากมัน? ท่านรซูลจึงตอบว่า "ทุก ๆ เส้นขนของมันเราจะได้รับหนึ่งผลบุญ? พวกเขาได้ถามต่อไปอีกว่า : ถ้าหากขนมันละเอียดเล่า ? ท่านจึงตอบว่าทุก ๆ เส้นขนที่ละเอียดอ่อนของมันนั้นหนึ่งผลบุญ?
(อะฮฺหมัด และอิบนุ มาญะห์)

กฎเกณฑ์ของกุรบ่าน

กฎเกณฑ์กุรบ่านสำหรับท่านนบี ซ.ล. นั้นเป็นสิ่งจำเป็น (วาญิบ) สวนสำหรับประชาชาติอิสลามโดยทั่วไปนั้น บรรดาอุลามาอฺ (ผู้รู้) เช่น ซาฟีอี, ซุฟยาน อัส-เซารี, อับดุลเลาะห์บิน มุบาร๊อก และอื่น ๆ ให้ทัศนะว่าเป็นซุนนะฮฺมุอักกะดะฮฺ

จากอิบนุอับบาสว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า :
ความว่า ?สามอย่างสำหรับตัวฉันนั้นเป็นฟัรฎู (จำเป็น) ส่วนสำหรับพวกท่านนั้นเป็นซุนนะฮฺ คือ กุรบ่าน, ละหมาดวิตร และละหมาดดุฮาสองร๊อกอัต? (บาซาร์ และอัล-ฮากีม)

ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า :
ความว่า ?ฉันถูกบัญชาให้ทำกุรบ่านและเป็นซุนนะฮฺสำหรับพวกท่าน? (เล่าโดย ติรมีซีย์)

ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวไว้อีกว่า :
ความว่า ?กุรบ่านเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับตัวฉัน และมันไม่ได้จำเป็นสำหรับพวกท่าน? (เล่าโดย ดารุกุฎนี)

จากอุมมุ ซาลามะห์ว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า
ความว่า ?เมื่อพวกท่านเห็นดวงจันทร์ของเดือนซุลฮิจญะห์ (ย่างเข้าเดือนซุลฮิจญะห์) และหากท่านมีความต้องการที่จะเชือดกุรบ่าน ดังนั้นพวกท่านจงห่างไกลจากการตัดผมและเล็บ? (เล่าโดย มุสลิม)

ไซยิด ซาบิก ได้ให้คำวิจารณ์เกี่ยวกับฮะดีษซึ่งได้รายงานจากอุมมุ ซาลามะห์นี้ว่า คำว่า ?ต้องการที่จะเชือดกุรบ่าน? นั้นเป็นหลักฐานบ่งบอกว่า กุรบ่านคือซุนนะฮฺไม่ใช่วาญิบ

มีรายงานว่าท่านอบู บักร และท่านอุมัรนั้น เคยหยุดทำกุรบ่าน เพราะเกรงว่าผู้คนจะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นวาญิบ (สิ่งจำเป็น)

จากหลักฐานที่ได้กล่าวมาแล้วนั้นเป็นที่ประจักษ์ว่าการเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺด้วยการทำกุรบ่านนั้นเป็น ?ซุนนะฮฺมุอักกะดะฮฺ?

กุรบ่านถูกบัญญัติใช้แก่ผู้ที่อยู่ในเงื่อนไข เช่น คนอิสลามที่เป็นไท (ไม่เป็นทาส), บรรลุนิติภาวะและมีสติปัญญาสมบูรณ์, ไม่ใช่เด็กหรือคนบ้า, และต้องเป็นผู้ที่มีทรัพย์สินเหลือใช้ในการจับจ่ายแก่ตัวเองและผู้อยู่ใต้ปกครองในช่วงวันอีดิลอัฎฮา (10 ซุลฮิจญะห์) และวันตัซรีก (11, 12, 13 ซุลฮิจญะห์)

จากอิบนุ อับบาส ว่าท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า
ความว่า ?จะไม่มีการ (ใช้เงินตรา) จับจ่ายในสิ่งหนึ่ง สิ่งใดที่จะดีไปกว่าการเชือด (กุรบ่าน) ในวันอีด (อัฎฮา)? (เล่าโดย ดารุกุฎนี)

ถ้าหากบ้านหลังหนึ่งมีผู้อยู่อาศัยเพียงคนเดียว ดังนั้นการทำกุรบ่านถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับตัวของเขา คือเขาต้องทำกุรบ่านให้แก่ตัวของเขาเอง ส่วนในกรณีที่บ้านหลังหนึ่งมีผู้อยู่อาศัยหลายคน (ครอบครัว) และมีคนหนึ่งในพวกเขาทำกุรบ่าน สมาชิกคนอื่น ๆ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องกระทำอีก แต่ทว่าผลบุญนั้นได้เฉพาะผู้ทำเท่านั้น ดังนั้นการทำกุรบ่านพร้อมกันหลาย ๆ คนจะเป็นการดีกว่า

เงื่อนไขของสัตว์ที่ใช้ทำกุรบ่าน

เงื่อนไขของสัตว์ที่จะใช้เชือดกุรบ่านนั้นคือ :

สัตว์ตัวดังกล่าวต้องไม่ตาบอด ไม่ว่าจะบอดข้างเดียวหรือทั้งสองข้างก็ตาม และต้องไม่เป็นโรคตาเจ็บ จนทำให้ตาปิด ไม่ว่าจะหนึ่งหรือสองข้างก็ตาม แต่ทว่าอนุญาตให้ใช้สัตว์ที่ตามัวหรือมองไม่เห็นเฉพาะกลางคืน ทำกุรบ่านได้
สัตว์ดังกล่าวต้องไม่ขาเกหรือเป๋ แต่ถ้าหากขาของมันไม่ค่อยเป็นที่สังเกตเห็นเท่าใดนักก็อนุญาตให้ใช้ทำกุรบ่านได้
สัตว์ดังกล่าวนั้นต้องไม่พิการหรือบาดเจ็บจนทำให้เนื้อของมันลดน้อยลง
สัตว์ดังกล่าวต้องไม่ผอมจนเกินไปจนทำให้สามารถมองเห็นซี่โครงของมันได้อย่างชัดเจน
สัตว์ดังกล่าวต้องไม่หูแหว่งหรือฉีกขาด ไม่ว่าจะเป็นบางส่วนหรือทั้งหมดก็ตาม
สัตว์ดังกล่าวต้องไม่มีหางกุดหรือลิ้นขาด ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตาม นอกเสียจากสัตว์หางของมันกุด (หรือลิ้นขาด) มาตั้งแต่กำเนิด
สัตว์ดังกล่าวต้องไม่ตั้งท้องหรือเพิ่งให้ลูก (คลอดลูก)
สัตว์ดังกล่าวต้องไม่เป็นโรคผิวหนังที่เห็นได้ชัดถึงความน่าเกลียด
ท่านอาลี บิน อบีฎอลิบ ได้กล่าวว่า :
ความว่า ?ท่านรซูลุลลอฮฺ ซ.ล. ใช้ให้เราสังเกตตาและหูของสัตว์ที่จะใช้เชือดกุรบ่าน และท่านได้ห้ามไม่ให้ทำกุรบ่านด้วยกับสัตว์ที่ตาบอดข้างหนึ่ง และที่ถูกตัดหูด้านหน้าหรือด้านหลังของมัน หรือถูกตัดหูทั้งสองข้างพร้อมทั้งที่หูของมันถูกเจาะรู และฟันของมันที่หลุดร่วง
(เล่าโดย อะฮฺหมัด)

จากบัรรออฺ บิน อะซีบ ว่า ท่านนบีได้กล่าวว่า :
ความว่า ?สัตว์ที่ใช้ทำกุรบ่านไม่ได้มี 4 อย่างคือ : สัตว์ที่ตาบอดข้างหนึ่งและเห็นได้ชัดถึงตาที่บอดของมัน, สัตว์ที่เป็นโรคเจ็บป่วยและเห็นได้ชัดถึงอาการป่วยของมัน, สัตว์ที่ขาเป๋และเห็นได้ชัดถึงอาการของมัน, และสัตว์ที่ผอมแห้งมาก ๆ?
(อะฮฺหมัด, ติรมีซีย์)

มีการส่งเสริมให้ทำกุรบ่านด้วยกับสัตว์ที่ถูกตอนแล้ว เพราะสัตว์ที่ถูกตอนแล้วนั้นจะทำให้เนื้อของมันมากขึ้น

ท่านรซูลุลลอฮฺ ซ.ล. เองก็ได้เชือดสัตว์ที่ถูกตอนแล้วเช่นกัน ซึ่งจะเห็นได้จากการรายงานของ อบี รอฟิอฺ ว่า :
ความว่า ?ท่านรซูลุลลอฮฺ ซ.ล. ได้เชือดแกะสองตัวโดยทั้งสองนั้นมีสีขาวปนดำและได้ถูกตอนแล้ว? (เล่าโดย อะฮฺหมัด)

ส่วนท่านหญิงอาอีซะฮฺได้กล่าวว่า
ความว่า ?ท่านรอซูลุลลอฮฺ ซ.ล. ได้เชือดกุรบ่านด้วยกับแกะสองตัวที่มีรูปร่างอ้วนท้วน, มีสีขาวปนดำ, มีเขาสวยและถูกตอนแล้ว? (เล่าโดย อะห์มัด)

การแบ่งส่วนของเนื้อกุรบ่าน

การแบ่งส่วนของเนื้อกุรบ่านที่เป็นซุนนะฮฺ กับการแบ่งเนื้อกุรบ่านที่เป็นวาญิบนั้นพบได้หลายทัศนะด้วยกัน :

1. เนื้อกุรบ่านที่เป็นซุนนะฮฺ

ส่งเสริมให้ผู้ทำกุรบ่าน (เจ้าของ) ได้ลิ้มรสเนื้อกุรบ่านบ้างแม้แต่เพียงเล็กน้อยก็ตาม เพื่อเป็นสิริมงคลในการทำกุรบ่านของเขา ตรงกันข้ามก็ห้าม (ฮะรอม) เก็บเนื้อกุรบ่านทั้งหมดไว้บริโภคแต่เพียงผู้เดียว

ส่วนการแบ่งส่วนเนื้อกุรบ่านที่เป็นซุนนะฮฺนั้นมีหลายวิธีด้วยกันคือ :

ส่งเสริมให้ผู้เป็นเจ้าของกุรบ่านได้บริโภคหัวใจสัตว์ ส่วนอวัยวะอื่นควรบริจาค ดังกล่าวนี้ท่านนบี ซ.ล. ได้เคยทำไว้ซึ่งจะเห็นได้หลักฐาน (ฮะดีษ) ที่รายงานโดย อัล-บัยฮากี
ผู้เป็นเจ้าของกุรบ่านควรเก็บเนื้อกุรบ่านของเขาไว้ 1 ใน 3 ของเนื้อทั้งหมด ส่วนที่เหลืออีก 2 ใน 3 นั้นนำไปศอดะเกาะฮฺ
หลังจากนั้น ผู้เป็นเจ้าของกุรบ่านควรเก็บเอาไว้ 1 ใน 3 จากเนื้อกุรบ่านทั้งหมดและอีก 1 ใน 3 ศอดะเกาะฮฺให้แก่คนยากจน ส่วนอีก 1 ใน 3 แจกจ่ายแก่เพื่อนสนิทมิตรสหาย
ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า :
ความว่า ?ท่านจงบริโภค (เนื้อกุรบ่าน) และจงบริจาคทาน พร้อมทั้งเก็บเอาไว้?

อีกฮะดีษหนึ่งระบุว่า :
ความว่า ?ฉันเคยห้ามพวกท่านบริโภค (เก็บ) เนื้อสัตว์กุรบ่านมากเกินกว่าสามวัน เพื่อว่าจะได้ให้ผู้ที่มีความสามารถได้ช่วยเหลือผู้ด้อยความสามารถ ดังนั้น (ขณะนี้) พวกท่านจงรับประทานมันเถิด สิ่งใดที่เป็นที่ประจักษ์ชัดแก่พวกท่าน, ท่านจงบริจาค และจงเก็บมันเอาไว้? (มุสลิม, อะฮฺหมัด และติรมีซีย์)

เนื้อกุรบ่านที่ใช้ในการแจกจ่ายนั้นต้องเป็นเนื้อสด มิควรแจกจ่ายด้วยกับเนื้อแห้งหรือเนื้อที่ผ่านการต้มแล้ว และก็ไม่ควรที่จะนำเนื้อกุรบ่านมาแกงเพื่อต้องการที่จะเชิญคนยากจนมารับประทานโดยไม่ได้แจกเนื้อ ถ้าหากเนื้อแห้งยังเหลืออยู่หลังจากวันเชือดได้ล่วงเลยไปแล้ว ก็ควรที่จะเอาเนื้อแห้งเหล่านั้นศอดะเกาะฮฺแก่ผู้อื่นบ้าง และไม่สมควรที่จะศอดะเกาะฮฺอวัยวะบางส่วนของสัตว์ที่ไม่ได้จัดอยู่ในประเภทเนื้อ เช่น หนัง หรืออื่น ๆ

ถ้าหากเนื้อกุรบ่านได้นำมารับประทานทั้งหมด โดยไม่ได้ศอดะเกาะฮฺให้แก่คนยากคนจนเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นควรหาเนื้ออื่นมาทดแทนเนื้อกุรบานที่ได้บริโภคไป และเนื้อที่หามาเพื่อเป็นการทดแทนนั้นก็จงบริจาคทาน (ศอดะเกาะฮฺ) แก่คนยากจน

ห้ามขนย้ายเนื้อกุรบ่านจากประเทศหนึ่งไปยังอีกประเทศหนึ่ง เพราะหลักเกณฑ์ของกุรบ่านนั้นไม่ต่างอะไรกับหลักเกณฑ์ของการจ่ายซากาต ซึ่งก็คือการทำกุรบ่านนั้นมีกำหนดเวลาเช่นเดียวกับการจ่ายซากาต

ถ้าหากผู้ใดมอบหมายให้ผู้อยู่ประเทศอื่นทำการเชือดกุรบ่านแทนตัวเขา เพราะประเทศดังกล่าวจะได้รับความสะดวกสบายมากกว่าหรือราคาของสัตว์กุรบ่านถูกกว่า ดังนั้นผู้ที่ได้รับมอบหมายก็ต้องศอดะเกาะฮฺเนื้อกุรบ่านให้แก่ผู้ยากจนในประเทศนั้น ๆ ทั้งหมด อย่าได้ขนย้ายเนื้อกุรบ่านไปยังประเทศอื่น และผู้ได้รับมอบหมายต้องส่งเนื้อกุรบ่านไปยังประเทศของผู้มอบหมาย (เจ้าของกุรบ่าน) แม้แต่เพียงเล็กน้อยก็ตาม ทั้งนี้เพราะมีซุนนะฮฺว่าเจ้าของกุรบ่านควรได้ลิ้มรสเนื้อกุรบ่านของเขาบ้างถ้าหากกุรบ่านนั้นเป็นกุรบ่านซุนนะฮฺ แต่ถ้าหากกุรบ่านดังกล่าวเป็นกุรบ่านวาญิบ (นาซาร) ดังนั้นต้องศอดะเกาะฮฺเนื้อกุรบ่านทั้งหมดในประเทศที่เขาเชือดกุรบ่าน

ท่านสุไลมาน กุรดี ให้ทัศนะว่า : ถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้หนึ่งในการที่จะมอบหมายให้แก่อีกผู้หนึ่งเพื่อซื้อสัตว์กุรบ่านที่มักกะฮฺ และเชือดเพื่อเป็นศอดะเกาะฮฺให้แก่ผู้ยากไร้

ห้ามมิให้เจ้าของกุรบ่านหรือผู้อยู่ใต้ปกครองของเขาขายเนื้อกุรบ่านไม่ว่าจะเป็นส่วนใด ๆ ของสัตว์ และห้ามมิให้นำหนังสัตว์กุรบ่านเป็นค่าตอบแทนแก่ผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ทำการเชือด เพราะค่าตอบแทนในการเชือดนั้นอยู่ในความรับผิดชอบของผู้ทำกุรบ่าน (เจ้าของกุรบ่าน)

ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า :
ความว่า ?บุคคลใดที่ขายหนังกุรบ่านของเขา ดังนั้นก็จะไม่ถูกนับว่าเป็นกุรบ่าน?

ท่านอาลี บิน อบีฎอลิบ ได้กล่าวว่า
ความว่า ?ท่านรซูลุลลอฮฺ ซ.ล. ได้ใช้ให้ฉันดูแลสัตว์ (อูฐ) ของท่านที่จะใช้เชือด และให้ฉันแจกเนื้อของมันและหนังของมัน ให้แก่คนยากจน และท่านนบีไม่ได้บอกให้ฉันให้อะไรแก่ผู้เชือดเลย แต่ท่านกล่าวว่า เราจะให้เขา (ผู้เชือด) ในส่วนของเราเอง? (เล่าโดย อะฮฺหมัด)

จากท่านซาอิดว่า ท่านรซูลุลลอฮฺ ซ.ล. ได้กล่าวว่า :
ความว่า ?พวกท่านจงอย่าขายเนื้อกุรบ่าน จงบริโภคและทำศอดะเกาะฮฺ พร้อมทั้งเอาหนังของมันมาทำประโยชน์ และจงอย่าขาย? (เล่าโดย อะฮฺหมัด)

จากฮะดีษของท่านซาอิดนี้แจ้งว่าไม่จำเป็นต้องให้เนื้อกุรบ่านแก่ผู้เชือดสัตว์ในฐานะเป็นค่าจ้าง และห้ามไม่ให้นำหนังของสัตว์กุรบ่านไปขาย แต่ทว่าอนุโลมให้นำหนังสัตว์กุรบ่านไปทำประโยชน์ได้ (ในกรณีที่เป็นกุรบ่านซุนนะฮฺ) เช่น นำไปทำรองเท้าหรือทำที่ตักน้ำ ดังนั้นผู้เป็นเจ้าของกุรบ่าน (ซุนนะฮฺ) สามารถนำเอาหนังหรือเขาของสัตว์ไปศอดะเกาะฮฺหรือนำไปให้ผู้อื่นยืมได้

2. เนื้อกุรบ่านที่เป็นวาญิบ

อวัยวะทุกส่วนของสัตว์กุรบ่านวาญิบ ไม่ว่าจะเป็นหนังหรือเขาของมัน จำเป็นที่จะต้องศอดะเกาะฮฺไปทั้งหมด ห้ามมิให้ผู้เป็นเจ้าของร่วมรับประทานด้วยแม้แต่น้อย ถ้าหากผู้เป็นเจ้าของได้รับประทานไปเพียงเล็กน้อยก็ตาม ดังนั้นจึงจำเป็นสำหรับเขาที่จะต้องหาซื้อเนื้ออื่นมาทดแทนในจำนวนที่เขาได้รับประทานไป จากนั้นก็นำไปศอดะเกาะฮฺให้แก่ผู้ยากจน

ช่วงเวลาของกุรบ่าน

เวลาของการเชือดกุรบ่านนั้นเริ่มหลังจากแสงอรุณขึ้นในเช้าวันอีดิลอัฎฮา (10 ซุลฮิจญะห์) และหลังจากเสร็จจากการละหมาดและคุฎบะฮฺแล้ว แต่ช่วงเวลาที่ประเสริฐสุดคือช่วงที่ดวงอาทิตย์ขึ้นพอประมาณ (เวลาสาย) ของวันอีดิลอัฎฮาจนกระทั่งสามวันหลังจากนั้น ซึ่งทั้งสามวันนั้นเป็นที่รู้จักกันว่าวันตัซรีก (คือวันที่ 11, 12 และ 13 เดือนซุลฮิจญะห์)

จากอัล-บัรรออว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า :
ความว่า ?แท้จริงสิ่งแรกที่เราได้ทำกันในวันอีดิลอัฎฮา คือเราละหมาด (อีด) หลังจากนั้นเราก็ได้กลับไป แล้วเราก็ได้เชือด (กุรบ่าน) ดังนั้นถ้าผู้ใดได้ทำเช่นนี้ แน่แท้เขาได้ทำตามซุนนะฮฺของเราแล้ว และผู้ใดที่เชือดก่อนหน้านนั้น ดังนั้นการเชือดของเขานั้นถือเป็นเนื้อที่เขามอบให้แก่ครอบครัวของเขาเอง และมันจะไม่ถูกนับอยู่ในการเชือดกุรบ่านแต่อย่างใด?
(บุคอรีย์ และมุสลิม)

ท่านอบู บุรดะฮฺ ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้แสดงคุฎบะฮฺในวันอีดิลอัฎฮา โดยท่านกล่าวว่า
ความว่า ?ผู้ใดที่ได้ทำการละหมาดเหมือนกับการละหมาดของเรา และผินหน้าไปยังกิบลัตของเรา และทำอิบาดะฮฺด้วยกับวิธีการอิบาดะฮฺของเรา ดังนั้นเขาจะไม่เชือดกุรบ่านก่อนที่เขาจะได้ละหมาดเสียก่อน?

ท่านนบี ซ.ล.ได้กล่าวไว้อีกว่า :
ความว่า ?ผู้ใดเชือดก่อนที่จะทำการละหมาด ดังนั้นเขาเพียงเชือดเพื่อตัวของเขาเอง (ไม่ถือว่าเป็นการเชือดกุรบ่าน) และผู้ใดที่ได้เชือดหลังจากเสร็จสิ้นจากการะละหมาดแล้ว ดังนั้นภารกิจของเขาก็จะสมบูรณ์ และการกระทำของเขาเหมาะสมแล้วกับแนวทางของมุสลีมีน?
(บุคอรีย์ และมุสลิม)

จากญุนดุ๊บ บิน ซุฟยาน ว่า ท่านนบีได้กล่าวว่า :
ความว่า ?บุคคลใดที่ได้เชือดกุรบ่านก่อนการละหมาดเขาจงเชือดแทนที่เขาได้เชือดไป และผู้ใดที่ยังมิได้เชือดจนกว่าเราจะละหมาดเสร็จเขาก็จงเชือดมันเถิดด้วยพระนามของอัลลอฮฺ?
(บุคอรีย์ และมุสลิม)

จากฮะดีษที่ได้กล่าวมานั้นชี้ให้เห็นถึงความสอดคล้องกันระหว่างการเชือดกับการทำละหมาด แต่สำหรับผู้ที่ไม่ได้ละหมาดอีดิลอัฎฮา การทำกุรบ่านของเขาก็ต้องสอดคล้องกันกับเวลาของละหมาด คือหลังจากละหมาดและคุฎบะฮฺเรียบร้อยแล้ว

ส่วนวันสุดท้ายของการเชือดนั้นคือวันสุดท้ายของวันตัซรีก (13 ซุลฮิจญะห์) ซึ่งมีฮะดีษจากรายงานของญาบิรบิน มุตอิมว่า :
ความว่า ?ในทุก ๆ วันตัซรีกนั้นคือวันเชือด? (เล่าโดย บัยฮะกี)

ส่วนท่านอาลี บิน อบีฎอลิบ กล่าวว่า : วันของการเชือดนั้นคือ วันอีดิลอัฎฮา และอีกสามวันหลังจากนั้น (11, 12 และ 13 ซุลฮิจญะห์)

สัตว์กุรบ่านที่ไม่ได้ถูกเชือดตามวันเวลาที่กำหนดให้นั้นมันจะไม่ถือว่าเป็นกุรบ่าน แต่ทว่าเป็นการเชือดธรรมดาเท่านั้น

สำหรับกุรบ่านวาญิบ (นาซาร) ที่ยังไม่ได้เชือดในช่วงเวลาดังกล่าว จนกระทั่งมันล่วงเลยไป จำเป็นต้องเชือดทันที ถึงแม้จะอยู่นอกเวลาเชือดก็ตามเพราะถือว่าเป็นการเชือดใช้ (ทดแทน)

ชนิดของสัตว์ที่ใช้ทำกุรบ่าน

สัตว์ที่สามารถนำมาทำกุรบ่านได้นั้นคือ :

อูฐที่มีอายุ 5 ปีขึ้นไป
วัว-ควายที่มีอายุ 2 ปีขึ้นไป
แพะธรรมดาที่มีอายุ 2 ปีขึ้นไป
แกะที่มีอายุครบ 1 ปี หรือแกะที่ฟันของมันหลุดร่วงไปหลังจาก 6 เดือน ถึงแม้มีอายุไม่ครบ 1 ปีก็ตาม
ดังกล่าวนี้คือทัศนะที่แข็งแรง

ไม่พบว่ามีรายงานใด ๆ เลยที่แจ้งว่าท่านนบีเคยทำกุรบ่านด้วยกับสัตว์อื่น ๆ นอกเหนือจากที่ได้กล่าวข้างต้นนี้ ดังนั้นการทำกุรบ่านนอกจากสัตว์ที่ได้ระบุไว้นั้นถือว่าไม่เป็นที่ยอมรับ

จากท่านญาบิร บิน อับดิลลาฮฺ ว่า ท่านนบี ซ.ล.ได้กล่าวว่า :
ความว่า ?ท่านอย่าได้เชือดนอกเสียจากสัตว์ที่มีอายุครบ และถ้าหากท่านไม่สามารถที่จะหามันได้ ดังนั้นก็จงเชือดแพะที่มีอายุครบหนึ่งปี? (เล่าโดย มุสลิม)

จากอบู ฮุรอยเราะฮฺ ว่า นบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า :
ความว่า ?สัตว์กุรบ่านที่ดีที่สุดก็คือแพะที่มีอายุครบหนึ่งปี? (ติรมีซี และอะฮฺหมัด)

ท่านอุกบะฮฺ บิน อะมิร ได้กล่าวถามท่านรอซูลุลลอฮฺ ซ.ล. ว่า :
ความว่า ?โอ้ท่านรอซูลุลลอฮฺ ฉันมีญัซอ? ท่านจึงตอบว่า ?จงเอามันไปทำกุรบ่านเถิด?

ตามทัศนะของอีมามซาฟีอีว่า (ญัซอ) ในฮะดีษต่าง ๆ ที่ได้กล่าวมานั้น หมายถึงแพะที่มีอายุครบหนึ่งปี

ส่วนทัศนะของอีมามนาวาวี ว่า : อุละมาอฺจากมัซฮับทั้งหมดได้ใช้ให้เชือดลูกแกะที่มีอายุครบหนึ่งปี (สำหรับกุรบ่าน) ถึงแม้เขาจะมีสัตว์อื่นอยู่หรือไม่ก็ตาม

อนุญาตให้ทำกุรบ่านได้ด้วยกับสัตว์ที่เกิดจากการผสมพันธุ์ของสัตว์ 2 ชนิด แต่ทว่าอายุของมันนั้นต้องให้มากกว่าอายุของสัตว์กุรบ่านธรรมดา เช่น สัตว์ที่เกิดจากแพะและแกะนั้นอนุญาตให้ทำกุรบ่านได้ ด้วยเงื่อนไขว่าอายุของมันจะต้องเกินกว่า 2 ปี (หมายถึงอายุแพะธรรมดาที่ใช้ทำกุรบ่าน)

ท่านนบีได้กล่าวว่า :
ความว่า ?จงยกย่องให้ความสำคัญกับสัตว์กุรบ่านของท่าน เพราะกุรบ่านนั้น จะทำให้ท่านสะดวกง่ายดายต่อการข้ามสะพาน (ในวันกิยามะฮฺ)?

จากฮะดีษข้างต้นนี้ชี้ให้เห็นว่าในการทำกุรบ่านนั้นควรหาสัตว์ที่ดีที่สุดและประเสริฐที่สดุเท่าที่จะหาได้ เพื่อแสดงถึงความยิ่งใหญ่ (สำคัญ) ของการเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺ ซ.บ. ด้วยการทำกุรบ่าน

ส่วนสีของสัตว์ที่ดีที่สุดในการใช้ทำกุรบ่านก็คือ สีขาว สีค่อนข้างเหลือง, สีเทาแกมแดงสลับสีขาวปนดำ, และสีดำ

สัตว์ตัวผู้ที่ไม่ได้ผสมพันธุ์บ่อยครั้งนั้นประเสริฐกว่าสัตว์ตัวเมีย ตรงกันข้าม สัตว์ตัวเมียที่ยังไม่เคยให้ลูกนั้นประเสริฐกว่าสัตว์ตัวผู้ที่ผสมพันธุ์บ่อยครั้ง (ในการใช้ทำกุรบ่าน)

สัตว์ที่ดีที่สุดในการใช้ทำกุรบ่านคือ อูฐ, รองลงมาคือวัว, จากนั้นก็คือแกะและแพะตามลำดับ ดังกล่าวนี้เพราะถือความมากของเนื้อสัตว์เหล่านั้น

การทำกุรบ่านด้วยแกะ 7 ตัวนั้นประเสริฐก่าการทำกุรบ่านด้วยแพะ 7 ตัว, และการทำกุรบ่านด้วยแพะ 7 ตัวนั้นประเสริฐกว่าการทำกุรบ่านด้วยอูฐหนึ่งตัว เพราะถือเป็นการเพิ่มความใกล้ชิดต่ออัลลอฮฺ ซ.บ. ในการที่เลือดของมันได้หลั่งนองมากกว่า



กะมารุล ชุกริ 

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
ช่วยตอบประเด็นที่ว่า

ถ้าหากเราได้รับเนื้อกุรบานมาแล้ว เราจะขายได้หรือไม่

และอีกหนึ่งกรณี

ถ้าหากแม่หรือพ่อของเรากลับไปเป็นกาเฟร

แล้วเราไม่ให้ท่านกิน จะถือว่าเรา อกตัญญูหรือไม่

ในเมื่อขณะนั้นเราไม่มีอะไรให้ท่านกินนอกจากเนื้อกุรบาน

วัสลาม

بسم الله الرحمن الرحيم

เนื้อกุรบานนั้น  ผู้ที่ทำกุรบานจะนำเนื้อไปขายไม่ได้น่ะครับ   แต่ถ้าหากให้เนื้อกับผู้อื่นไปแล้ว  มีรายละเอียดดังนี้ครับ

คนยากจน  : ให้ทำการซ่อดาเกาะฮ์บริจาคแก่พวกเขา  หลังจากนั้นก็อนุญาตให้คนอยากจนนำเนื้อกุรบานไปทำอะไรก็ได้ตามที่ตนต้องการ  จะนำไปปรุงอาหารอะไรก็ได้  จะนำไปขายก็ได้

คนร่ำรวย  : อนุญาตให้พวกเขาได้โดยหนทางของการส่งมอบแบบของขวัญ (ฮะดียะฮ์ไม่ใช่ซอดาเกาะฮ์)  ดังนั้น จึงไม่อนุญาตให้คนร่ำรวยที่ได้รับเนื้อกุรบานโดยถูกฮะดียะฮ์ให้นั้น  นำไปขายโดยเด็ดขาดนอกจากจะนำไปรับประทานเพียงเท่านั้น

อ้างอิงจาก :  หนังสือ กุลยูบีย์ วะ อุมัยเราะฮ์  4/255 ดารุลฟิกร์

หากพ่อแม่เป็นกาเฟร (วัลอิยาซุบิลลาฮ์) ไม่มีอะไรรับประทานนอกจากเนื้อกุรบาน  ก็จำเป็นต้องให้พ่อแม่รับประทานน่ะครับ   

วัลลอฮุอะลัม
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

นูรุ้ลอิสลาม

  • บุคคลทั่วไป
คนร่ำรวย  : อนุญาตให้พวกเขาได้โดยหนทางของการส่งมอบแบบของขวัญ (ฮะดียะฮ์ไม่ใช่ซอดาเกาะฮ์)  ดังนั้น จึงไม่อนุญาตให้คนร่ำรวยที่ได้รับเนื้อกุรบานโดยถูกฮะดียะฮ์ให้นั้น  นำไปขายโดยเด็ดขาดนอกจากจะนำไปรับประทานเพียงเท่านั้น

ตรงนี้แสดงว่า ขอที่เขามอบให้เป็นที่ระลึกหรือมอบให้เป็นของขวัญ  ก็ไม่อนุญาตเอาไปทำเป็นธุระกิจค้าขายใช่ใหม

ออฟไลน์ del_dangerous

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 178
  • เพศ: ชาย
  • ถ้าชีวิตยังไม่สิ้นก็ต้องดิ้นกันต่อไป
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
ชัดเจนครับบังอัซฮารี ขอบคุณมากครับ

วัสลาม
ชีวิตคือการเดินทาง สิ่งที่ดีใจคือไม่ต้องเริ่มต้นใหม่ แต่สิ่งที่น่าเสียใจ คือ ย้อมกลับไปไม่ได้

ออฟไลน์ นูรุ้ลอิสลาม

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1356
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
3. หากสมมุติว่า มีกาเฟรซิมมีย์จริงๆ และคุณก็เลือกทัศนะอุลามาอ์ที่ว่า อนุญาติให้อาหารด้วยเนื้อกุรบานกับกาเฟรซิมมีย์ที่ยากจน นั้น ก็สมควรปรุงเป็นอาหารและเชิญเขามารับประทานด้วย หรือเอาเนื้ออื่นๆที่ไม่ใช่เนื้อกุรบานมาปรุงปนกับเนื้อกุรบานด้วย แต่หากให้เป็นเนื้อกับพวกเขานั้น ไม่สมควรอย่างยิ่ง เนื่องจากบางครั้งเขา อาจจะนำมันไปขาย เพื่อให้ได้เงินมา แล้วนำไปใช้จ่ายในทางที่ไม่ถูกต้องครับ

ขอหนังสืออ้างอิงหน่อยครับน้อง
لا إله إلا الله محمد رسول الله

ออฟไลน์ Al Fatoni

  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4905
  • เพศ: ชาย
  • จงอยู่กับความจริงแล้วจะไม่หลง
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
คือว่า หากตามที่ผมฟังโต๊ะครูที่ชุมชนสอนกิตาบที่มัสญิดเกี่ยวกับเรื่องกุรฺบาน เกือบจะทุกคนด้วยซ้ำ ที่มักจะห้ามไม่ให้เอาเนื้อกุรฺบานแก่ชาวกาฟิรฺ โดยไม่ได้พิจารณาที่ว่าเขาจะเป็นบุตรบุญธรรมของเรา หรือมีความสัมพัมธ์อะไรกับเรา เช่นเป็นบุพการี เป็นต้น เพราะมันจะทำให้การกุรฺบานของเราเป็นโมฆะได้ แต่เมื่อจำเป็นก็สมควรเตรียมเนื้ออื่นที่ไม่ใช่กุรฺบานให้แทน และรวมทั้งการฝังกระดูกให้พ้นจากการกินของสุนัขด้วย - วัลลอฮุอะอฺลัม - วัสสลาม
ท่านขนขวายอะไร ท่านก็จะได้สิ่งนั้น - วัลลอฮุอะอฺลัม

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
 salam

ตอบโดย อาจารย์ อะลี เสือสมิง

الحمدلله اللهم صل وسلم على محمدالنبى وبعد....؛

กุรบ่านหรืออุฎฮียะฮฺ (أُضْحِيَّة) นั้นมี 2 ประเภท คือ

กุ รบ่านสุนัต  (أَضْحِيَّة الَتَّطُّوعِ)   กุรบ่านประเภทนี้ ที่ดีที่สุด  (الأَفْضَلُ)  ให้ทำซอดะเกาะฮฺกุรบ่านทั้งหมดยกเว้นเหลือเอาไว้กินเพียงคำหนึ่งหรือไม่เกิน สามคำเพื่อเป็นการตะบัรรุ๊ก (ส่วนที่เหลือเอาไว้กินนี้ควรจะเป็นตับ)  และถ้าจะเอาไว้กินส่วนหนึ่ง ทำซอดะเกาะฮฺส่วนหนึ่งและฮะดียะฮฺส่วนหนึ่งก็ได้

ส่วนกุรบ่า นประเภทที่  2  คือ  กุรบ่านวาญิบ  (أضْحيَّة وَاجِبَةٌ)  กุรบ่านประเภทนี้ไม่อนุญาตให้ผู้เป็นเจ้าของกุรบ่านกินเนื้อของมัน (ฮะรอม)  และวาญิบต้องทำซอดะเกาะฮฺทั้งหมดแก่คนยากจนแม้กระทั่งเขาและกลีบเท้าของมัน  ถ้าหากเจ้าของกุรบ่านกินส่วนหนึ่งส่วนใดจากกุรบ่านก็จำเป็นต้องชดใช้เนื้อ ส่วนนั้นแทนแก่คนยากจน  และการทำซอดะเกาะฮฺแก่คนยากจนนี้แม้เพียงซอดะเกาะฮฺให้แก่คนยากจนคนเดียวก็ ถือว่าเป็นที่อนุญาต (เก็บความจาก อิอานะตุตตอลิบีน ; อัดดุมยาฏีย์ เล่มที่ 2 หน้า 378-379)

ประเด็นต่อมาก็คือ  คนยากจนหรือคนรวยที่ถูกมอบเนื้อกุรบ่านให้นั้นมีเงื่อนไขกำหนดว่าพวกเขาจะ ต้องเป็นชาวมุสลิม  ส่วนคนที่ไม่ใช่มุสลิมก็ไม่อนุญาตให้มอบสิ่งหนึ่งสิ่งใดจากกุรบ่านนั้นแก่ พวกเขา ไม่ว่าเนื้อนั้นจะเป็นเนื้อดิบหรือเนื้อที่ถูกปรุงสุกแล้วก็ตาม (อ้างแล้ว เล่ม 2/379) และไม่ว่ากุรบ่านนั้นจะเป็นกุรบ่านสุนัตก็ตาม  (อัลบัยญูรีย เล่มที่ 2 หน้า 567)

ดังที่มีระบุตัวบทเอาไว้ในอัลบุวัยฏีย์ แต่มีปรากฏในอัลมัจญมูอฺ ว่า อนุญาตให้เลี้ยงอาหารแก่คนยากจนจากอะฮฺลิซซิมมะฮฺ   (ชาวยิวและคริสเตียนในรัฐอิสลาม)  จากกุรบ่านสุนัตได้  แต่ถ้าเป็นกุรบ่านวาญิบนั้นไม่อนุญาต  ท่านอัลอัซร่ออีย์ได้แสดงความประหลาดใจเอาไว้  (บินญัยริมี่ย์ฯ เล่มที่ 4 หน้า 286) เกี่ยวกับสิ่งที่มีอยู่ในตำราอัลมัจญมูอฺ และเมื่อค้นตำราอัลมัจญมูอฺ ชัรฮุลมุฮัซซับ แล้วก็พบว่า ท่านอิหม่ามอันนะวาวีย์ (ร.ฮ.) กล่าวว่า : (ประเด็นปัญหาข้อที่ 9) อิบนุ อัลมุนซิร กล่าวว่า : ประชาชาติอิสลามมีมติเห็นพ้องว่า อนุญาตให้เลี้ยงอาหาร (หรือซอดะเกาะฮฺ)  แก่คนยากจนที่เป็นชาวมุสลิมจากเนื้อกุรบ่านนั้น และพวกเขามีความเห็นต่างกันในการเลี้ยงอาหารแก่คนยากจนของอะฮฺลิซซิมมะฮฺ อัลหะซัน อัลบะศอรี่ย์ , อบูฮะนีฟะฮฺ และอบูเซาริน อนุโลมให้ในข้อนี้

อิหม่าม มาลิก กล่าวว่า : คนอื่นที่ไม่ใช่พวกเขาเป็นที่ชอบยิ่งกว่ายังพวกเรา และอิหม่ามมาลิกยังถือว่าเป็นสิ่งน่ารังเกียจ (มักรูฮฺ) ในการมอบหนังกุรบ่านหรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดจากเนื้อกุรบ่านแก่คนนัศรอนีย์  และอิหม่ามอัลลัยซฺก็ถือว่าเป็นที่น่ารังเกียจ (มักรูฮฺ) และท่านกล่าวว่า : ถ้าหากเนื้อกุรบ่านถูกปรุงสุกก็ไม่เป็นอะไรที่คนซิมมี่ย์จะกินส่วนหนึ่งจาก มันพร้อมกับชาวมุสลิม  นี่คือคำกล่าวของอิบนุ อัลมุนซิร , อิหม่ามอันนะวาวีย์กล่าวว่า :  ฉันไม่เคยพบว่ามีคำพูดใดในเรื่องนี้สำหรับอัศฮาบของเรา  และตามข้อชี้ขาดของมัซฮับนั้น ถือว่าอนุญาตให้เลี้ยงอาหารพวกเขาได้จากกุรบ่านสุนัต โดยมิใช่กุรบ่านวาญิบ (คือ กุรบ่านวาญิบนั้นไม่อนุญาต)  แล้วท่านอิหม่ามอันนะวาวีย์ก็กล่าวว่า วัลลอฮุตะอาลาอะอฺลัม (ดู อัลมัจญมูอฺ เล่มที่ 8 หน้า 404)

ส่วน ประเด็นที่อ้างถึงหนังสือบาญูรีย์นั้นน่าจะหมายถึงข้อความที่ระบุว่า : และทางออกจากสิ่งดังกล่าว  (คือการที่ไม่อนุญาตให้เจ้าของกุรบ่านวาญิบกินเนื้อกุรบ่าน)  ก็คือการที่เขาทำกุรบ่านอีกตัวหนึ่งหรือเชือดฮัดย์อีกตัวหนึ่งหรือเชือดอะกี เกาะฮฺอีกตัวหนึ่ง (ที่ไม่ได้นะซัรเอาไว้) หรือการที่เขาปรุงอาหารอีกอันหนึ่งเพิ่มจากสิ่งที่เป็นวาญิบ ฉะนั้นก็อนุญาตให้เขากินส่วนหนึ่งจากมันได้ เพราะมันเป็นสิ่งที่เพิ่มเกินกว่าสิ่งที่เป็นวาญิบ เขามีสิทธิกินมันพร้อมกับเป็นที่น่ารังเกียจ (มักรูฮฺ) ดังที่อัลมาวัรดีย์ได้กล่าวเอาไว้ (อัลบัยญูรีย์ เล่มที่ 2 หน้า 565) เข้าใจว่าเนื้อหาส่วนนี้คือสิ่งที่อาจารย์ผู้นั้นได้นำมากล่าวตามที่คุณ haroon ได้ยินมาซึ่งเป็นทางออกได้เหมือนกันในเรื่องที่ถามมา

(والله أعلم بالصواب)

อ้างอิงจาก ---> คำตอบเรื่องกุรบาน
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

subson

  • บุคคลทั่วไป


ฝากถึง อาจารย์ al-azhary   ว่าให้ตรวจสอบดูอีกครั้ง  เผื่อว่าเป็นการพิมพ์ผิดหรือไม่ได้ตรวจทานก่อนโพสน์

ซึ่งอาจจะสร้างความเข้าใจที่ผิดกับผู้อ่านหรือรุ่นลูกรุ่นหลาน   หากท่านยืนยันว่าไม่ได้พิมพ์ผิด  ผมจะเข้ามาอีกครั้งพร้อมด้วย ตัวบท

คำกล่าวของอาจารย์ที่ว่า " กาเฟรบ้านเรานั้น ให้เนื้อกุรบานกับพวกเขาไม่ได้ เนื่องจากพวกเขาไม่ใช่กาเฟรหัรบีย์ (กาเฟรคู่สงคราม) และกาเฟรซิมมีย์(กาเฟรที่ยอมทำสัญญาอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐอิสลาม)"


ถ้าไม่ผิดอธิบายเสริมสักนิดก็ยังดี เพราะผมรู้สึกว่ายังไม่ถูกต้องตามซุนนะ   ญาซากัลลอฮ

 

GoogleTagged