ผู้เขียน หัวข้อ: อัลกุรอานกับวิทยาศาสตร์  (อ่าน 17499 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: อัลกุรอานกับวิทยาศาสตร์
« ตอบกลับ #30 เมื่อ: ก.ย. 16, 2009, 10:29 AM »
0
 salam

คราวนี้ขอนำเสนอบทความด้านสมุทรศาสตร์กันนะคะ


"มุมมองนักวิทยาศาสตร์ กับ คัมภีร์ศาสนา"


          คุณค่าของอัลกุรอานไม่ได้อยู่ที่การอ่านหรือเป็นแค่เพียงหลักการ
ในศาสนาเท่านั้น ผู้เชี่ยวชาญและผู้รู้ในศาสตร์แขนงต่างๆ ทั้ง แพทย์ศาสตร์ คณิตศาสตร์  อักษรศาสตร์ รัฐศาสตร์ โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์ได้ถึงความรู้แจ้ง
ทุกๆ ด้านที่กล่าวไว้ในอัลกุรอาน

          นักวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะนักสมุทรศาสตร์ (Oceanography scientist)
ได้อธิบายถึงปรากฏการทางวิทยาศาสตร์ใต้ทะเล โดยเชื่อมโยงเข้ากับอัลกุรอาน
บทซูเราะอัล-นูรฺ อายะฮฺที่ 40 ซึ่งกล่าวถึงโลกใต้ทะเลและบนชั้นฟ้าอย่างชัดเจน
อายะฮฺบทนี้มีความว่า

"หรือเปรียบเสมือนความมืดมนทั้งหลายในท้องทะเลลึก
มีคลื่นซ้อนคลื่นท่วมมิดตัวเขา และเบื้องบนของมันก็มีเมฆหนาทึบ
ซ้อนกันชั้นแล้วชั้นเล่า เมื่อเขาเอามือของเขาออกมา
เขาแทบจะมองไม่เห็นมัน และผู้ใดที่อัลลอฮ์ไม่ทรงทำให้เขาได้รับแสงสว่าง
เขาก็จะไม่ได้รับแสงสว่างเลย"


         อายะฮฺบทนี้กล่าวถึงความมืดมิดของท้องทะเลและการเกิดคลื่นใต้น้ำ
ตามที่หลายท่านคงเคยได้ยินมา แต่ในบทความนี้จะขอนำเสนอข้อมูลเชิงลึก
และบทวิเคราะห์อัลกรุอานตามหลักวิทยาศาสตร์
ของ ซูเราะฮฺอัล-นูรฺ อายะฮฺที่ 40 ดังนี้


สภาพใต้ทะเล


         นักสมุทรศาสตร์ได้แบ่งชั้นของความลึกในทะเล
โดยใช้ลักษณะสภาพแวดล้อมเป็นตัวกำหนด 5 ระดับ ดังนี้

• The Sunlight Zone หรือ Epipelagic Zone

• The twilight Zone หรือ Mesopelagic Zone

• The midnight Zone หรือ Bathypelagic Zone

• The pitch-black Zone หรือ Abyssal/Abyssalpelagic Zone

• The Hadalpelagic Zone

...มีต่อค่ะ...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ย. 05, 2009, 07:06 PM โดย nada-yoru »
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: อัลกุรอานกับวิทยาศาสตร์
« ตอบกลับ #31 เมื่อ: ก.ย. 16, 2009, 10:41 AM »
0
          อัลกุรอานเอ่ยถึงนั้นมีความน่าจะเป็นอย่างมากที่จะกล่าวถึงชั้นของความลึก
ที่เรียกว่า The Midnight Zone หรือ Bathypelagic Zone

แต่ก่อนที่เราจะพูดถึงความจริงทางวิทยาศาสตร์ที่เชื่อมโยงเข้ากับอัลกุรอาน
เราควรจะทำความรู้จักกับสภาพของ The Midnight Zone กันเสียก่อน

          Midnight Zone เป็นชั้นความลึกที่อยู่ในระดับ 1,000 เมตร ถึง 4,000 เมตร
ในชั้นนี้จะไม่มีแสงสว่างเนื่องจากแสงจากดวงอาทิตย์จะกระจายและสะท้อนกลับ
ตั้งแต่ระดับความลึกที่ 200 เมตร แต่ยังมีแสงสีฟ้าที่ส่องลอดลงมาได้
ก่อนจะถูกกรองหายไปก่อนถึงระดับความลึกที่ 1,000 เมตร

         แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าความลึกในะดับนี้จะไม่มีแสงสว่างอยู่เลย
สัตว์น้ำที่อาศัยอยู่ในชั้น Midnight Zone สามารถผลิต สารเรืองแสงตามธรรมชาติ
ที่มีลักษณะคล้ายพรายน้ำ ซึ่งมองดูคล้ายๆ หิ่งห้อยในทะเล
สารเรืองแสงดังกล่าวจะช่วยในการมองเห็นและใช้เป็นเครื่องมือในการหาอาหาร

          แม้ว่าความลึกในชั้นนี้จะมีอุณหภูมิคงที่ประมาณ 4?C
มีแสงสว่างจากสารเรืองแสงจากสัตว์น้ำ แต่มีแรงดันของน้ำทะเลสูงเกินกว่า
ระดับปฏิบัติการของเรือดำน้ำที่จะดำลงไปถึง มีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดเดียว
ที่สามารถดำลงไปหาอาหารได้อย่างง่ายดาย นั้นคือ วาฬสเปิร์ม (Sperm Whale,
ชื่อวิทยาศาสตร์: Physeter macrocephalus หรือ Physeter catodon)


จากข้อมูลดังกล่าวเมื่อเทียบกับอัลกุรอานในซูเราะห์ อัล-นูรฺ อายะฮฺที่ 40
บทที่กล่าวว่า

"หรือเปรียบเสมือนความมืดมนทั้งหลายในท้องทะเลลึก " 

และ   

"เมื่อเขาเอามือของเขาออกมา เขาแทบจะมองไม่เห็นมัน"

 
       จะเห็นได้ว่าในชั้น Midnight Zone เป็นความลึกชั้นแรกที่ไม่มีแสงสว่างอยู่เลย
หรืออีกนัยหนึ่งคือมืดสนิท ตามที่กล่าวไว้ในอัลกุรอานอย่างถูกไม่ผิดเพี้ยน

         การสะท้อนของแสงหรือการกรองแสง(และรังสี) ธรรมชาติมีการกรองแสง
โดยทำให้แสงเกิดการสะท้อนและกระจายอยู่สามจุดใหญ่ๆคือ

การกรองแสงและรังสีตามธรรมชาติมี 3 วิธี  คือ

1. ชั้นบรรยากาศ มีเมฆในชั้นต่างๆ เป็นตัวกรองแสง

2. ผิวน้ำหรือผิวน้ำทะเล ทำให้เกิดการสะท้อนของแสง

3. น้ำหรือน้ำทะเลเป็นตัวกลางทำให้เกิดการหักเหของแสง ทำให้แสงอ่อนค่าลง

 
       และนี่ก็เป็นหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่ตรงกับคำอธิบายที่นักอธิบาย
ความหมายอัลกุรอานได้ให้ไว้ดังที่ปรากฎในกรุอานท่อนนี้
ได้อย่างไม่มีที่ข้อโต้แย้งใดๆ ทั้งสิ้น

...มีต่อค่ะ...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ย. 05, 2009, 07:08 PM โดย nada-yoru »
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: อัลกุรอานกับวิทยาศาสตร์
« ตอบกลับ #32 เมื่อ: ก.ย. 16, 2009, 10:47 AM »
0


“มีคลื่นซ้อนคลื่นท่วมมิดตัวเขา”

         นิตยสาร Times Magazine ฉบับวันที่ 24 กรกฎาคม ค.ศ. 1964
ได้นำเสนอบทความเรื่อง “Underwater Waves Make Underwater Weather”
เนื้อหากล่าวถึงการค้นพบคลื่นใต้น้ำของ Dr. Theodore Pochapsky
จากห้องปฏิบัติการ Hudson Laboratories แห่งมหาวิทยาลัย Columbia University
ประเทศสหรัฐอเมริกา ดังนี้

        จากการทิ้งทุ่นสำรวจจำนวน 5 ทุ่นและการเก็บข้อมูลใต้น้ำ
ในมหาสมุทรแอตแลนติก ในบริเวณทิศตะวันออกของสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า (Bermuda) ทุ่นสามารถจับและบันทึกการเคลื่อนไหวที่มีลักษณะเหมือนคลื่นบนผิวน้ำ
ทุกประการ แต่ตำแหน่งดังกล่าวอยู่ในบริเวณใต้น้ำลึก ผลการสำรวจยังยืนยันอีกว่า
คลื่นใต้น้ำมีความสูงถึง 3 เมตร และบางครั้งยังสามารถตรวจจับคลื่นที่มีความสูง
ถึง 30 เมตร มีอัตราการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วประมาณ 2 กิโลเมตรต่อชั่วโมง...

         หลังจากนั้นอีกประมาณ 40 ปี ในวันที่ 24 เมษายน ค.ศ. 2004
นิตยาสาร New Scientist ได้ตีพิมพ์บทความชื่อ “The World Underwater Wave”
โดยอ้างอิงจากการค้นพบของนาย David Cacchione จากหน่วยสำรวจทางภูมิศาสตร์
ที่ชื่อ US Geological Survey and Lincoln Pratson แห่งมหาวิทยาลัย Duke University
มลรัฐ North Carolina ประเทศสหรัฐอเมริกา ดังนี้

         การสำรวจพบคลื่นใต้น้ำซึ่งมีลักษณะคล้ายกับคลื่นบนผิวน้ำ
ที่เดินทางผ่านระหว่างชั้นน้ำใต้ทะเลที่มีความลึก คลื่นใต้น้ำมีความสูงประมาณ
50-100 เมตร มีความกว้างของฐานคลื่นตั้งแต่ 100 เมตรไปจนถึง 10 กิโลเมตร
สามารถเคลื่อนตัวไปไกลหลายสิบกิโลเมตร
แต่คลื่นใต้น้ำเป็นคลื่นที่เคลื่อนตัวได้ช้ามาก

         และนี่อาจเป็นการค้นพบปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ
ที่สามารถนำมาใช้อธิบายข้อความในอายะฮ์นี้ที่ว่า

"มีคลื่นซ้อนคลื่นท่วมมิดตัวเขา"

          คลื่นบนผิวน้ำซ้อนอยู่บนคลื่นใต้น้ำ มีความสูงนับสิบเมตร
สูงกว่าความสูงของมนุษย์มากมายนัก
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า “ท่วมมิดตัว” อย่างแน่นอน

วัลลอฮุอะลัม

...มีต่อค่ะ...

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ย. 05, 2009, 07:11 PM โดย nada-yoru »
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: อัลกุรอานกับวิทยาศาสตร์
« ตอบกลับ #33 เมื่อ: ก.ย. 16, 2009, 10:54 AM »
0

"การแบ่งชั้นของเมฆ"


อายะฮฺนี้ยังกล่าวถึงชั้นของเมฆไว้อย่างตรงตัวว่า

"และเบื้องบนของมันก็มีเมฆหนาทึบซ้อนกันชั้นแล้วชั้นเล่า"

         เมื่อลองทบทวนความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในสมัยมัธยมต้น
เรื่องปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ สิ่งที่ตรงกับที่อัลกรุอานกล่าวไว้คือ

        ในปี ค.ศ. 1802 Luke Howard ได้นำเสนอทฤษฎีต่อสมาคม Askesian Society
เรื่องการแบ่งกลุ่มเมฆเป็น 4 กลุ่ม หรือ 8 ชั้นตามลักษณะของมัน
โดยยึดเอาระดับความสูงเป็นเกณฑ์

เมฆระดับสูง (ตระกูล A)

          ก่อตัวที่ระดับความสูงมากกว่า 16,500 ฟุต (5,000 เมตร)
ที่ความสูงระดับนี้ น้ำส่วนใหญ่จะแข็งตัว
ดังนั้นเมฆจะประกอบด้วยผลึกน้ำแข็ง ชนิดของเมฆในกลุ่มนี้ประกอบด้วย

• เมฆซีร์รัส (Cirrus - Ci): Cirrus, Cirrus uncinus, Cirrus Kelvin-Helmholtz

• เมฆซีร์โรคิวมูลัส (Cirrocumulus - Cc)

• เมฆซีร์โรสตราตัส (Cirrostratus - Cs)


เมฆระดับกลาง (ตระกูล B)

          ก่อตัวที่ความสูงระหว่าง 6,500 - 16,500 ฟุต (2,000 - 5,000 เมตร)
เมฆจะประกอบด้วยละอองน้ำและละอองน้ำเย็นจำนวนมาก
ชนิดของเมฆในกลุ่มนี้คือ

• เมฆอัลโตคิวมูลัส (Altocumulus - Ac)

• เมฆอัลโตสตราตัส (Altostratus - As)


เมฆระดับต่ำ (ตระกูล C)

         ก่อตัวที่ความสูงระดับต่ำกว่า 6,500 ฟุต (2,000 เมตร)
และรวมถึงเมฆสตราตัส (Stratus) ส่วนเมฆสตราตัสที่ลอยตัวอยู่ระดับพื้นดิน
เรียกว่า “หมอก” ชนิดของเมฆในกลุ่มนี้คือ

• เมฆสตราตัส (Stratus - St)

• เมฆสตราโตคิวมูลัส (Stratocumulus - Sc)

• เมฆนิมโบสตราตัส (Nimbostratus - Ns)


เมฆแนวตั้ง (ตระกูล D)

เป็นเมฆที่มีแนวก่อตัวในแนวตั้ง ทำให้เมฆมีความสูงจากฐาน ประกอบด้วย

• เมฆคิวมูโลนิมบัส (Cumulonimbus – Cb) หรือ “เมฆฟ้าคะนอง"

• เมฆคิวมูลัส (Cumulus)


         จะเห็นได้ว่าทฤษฎีการแบ่งเมฆออกเป็นชั้นๆ พึ่งเกิดขึ้นได้เมื่อ 200 กว่าปี
ที่ผ่านมานี้เอง นับว่าห่างไกลกันมากกับที่อัลกรุอ่านได้กล่าวไว้
เมฆในแต่ละชั้นจะอยู่ในรูปของสะสารและของเหลวที่รวมตัวกันอย่างหนาแน่น
ตรงตามที่อัลกุรอานกล่าวไว้ทุกประการ

"และเบื้องบนของมันก็มีเมฆหนาทึบซ้อนกันชั้นแล้วชั้นเล่า"

วัลลอฮุอะลัม

...มีต่อค่ะ...

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ย. 05, 2009, 07:16 PM โดย nada-yoru »
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: อัลกุรอานกับวิทยาศาสตร์
« ตอบกลับ #34 เมื่อ: ก.ย. 16, 2009, 11:23 AM »
0

แสงสว่าง

"และผู้ใดที่อัลลอฮ์ไม่ทรงทำให้เขาได้รับแสงสว่าง เขาก็จะไม่ได้รับแสงสว่างเลย"


         เมื่อฟังแล้วอาจจะอนุมานได้ว่า ถ้าอัลลอฮฺให้แสงสว่างแก่เขา
เขาก็จะได้รับแสงสว่าง แต่ถ้าย้อนกลับไปดูในตอนต้นที่เรากล่าวถึงสิ่งมีชีวิต
ที่อาศัยอยู่ในชั้น Midnight Zone ที่สามารถผลิตสารเรืองแสง
เพื่อช่วยในการมองเห็นและใช้เป็นเครื่องมือในการหาอาหาร

ข้อมูลดังกล่าวอาจจะชี้ให้เห็นว่า

ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ๆมืดมิดแห่งใดก็ตาม ถึงแม้ว่าสถานที่แห่งนั้นแสงสว่าง
หรือแสงแดดจะไม่สามารถส่องไปถึงได้ หากอัลลอฮ์ทรงมีพระประสงค์
ให้มองเห็นหรือให้มีแสงสว่าง แสงสว่างก็จะบังเกิดขึ้น

 
         แต่ถ้าข้อความนี้แปลเป็นสำนวนอุปมาตามที่นักอธิบายความหมายกุรอาน
หลายท่านกล่าวไว้ว่า แสงสว่างคือ“ความรู้” นักสำรวจและนักวิทยาศาสตร์
ต่างยอมรับว่า มนุษย์เรามีความรู้เกี่ยวกับโลกที่เราอาศัยอยู่ทั้งจากการค้นคว้า
หรือค้นพบไม่เกิน 20% เท่านั้น ในขณะที่นักวิชาการบางกลุ่มเชื่อว่าน่าจะสูงถึง
30%-40%

         นั่นก็หมายถึงว่ายังมีความรู้อีกมากที่ยังคงเป็นความลับที่รอให้มนุษย์
ใช้สติปัญญาค้นหาความจริง และแน่นอนว่ายังมีความรู้แจ้งอีกมากมาย
ที่ซ่อนอยู่ในอัลกุรอาน ดังคำกล่าวที่ว่า

"และผู้ใดที่อัลลอฮ์ไม่ทรงทำให้เขาได้รับแสงสว่าง เขาก็จะไม่ได้รับแสงสว่างเลย"


         บทความทั้งหมดเป็นเพียงแนวคิดในหนึ่งของอายะฮ์สั้นๆ
ที่อธิบายและชี้นำให้เห็นการเชื่อมโยงระหว่างปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ
ในสี่รูปแบบตั้งแต่บนชั้นฟ้าถึงใต้ทะเลลึกกับอัลกุรอาน

          และในอัลกุรอานแม้กระทั่งในอายะฮ์นี้ยังสามารถตีความได้อีกหลายรูปแบบ
ซ้ำยังสามารถแสดงให้เห็นถึงข้อคิดและการเตือนสติ
โดยที่ยังไม่รวมถึงวิทยปัญญาอีกหลายหลากที่สติปัญญาของผม
ยังไม่สามารถตีความออกมาได้


เช่นนี้แล้วเรายังจะปฏิเสธความประเสริฐของอัลกุรอาน
ที่เขียนขึ้นโดยผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอีกหรือ? สมแล้วกับพระนามที่ว่า


ผู้ทรงสร้าง

ผู้ทรงรอบรู้

อัลลอฮ์ เท่านั้นที่ทรงรู้ดี


โดย:ดร.รออีส บิน อาซิม

จาก: http://www.islammore.com/main/content.php?page=sub&category=4&id=1170



____________________________________________________

ไม่ว่าจะห้วงอวกาศอันไกลโพ้นหรือว่าห้วงทะเลลึกอันมืดมิด
อัลกุรอานยังได้กล่าวเอาไว้

และแม้กระทั่งห้วงลึกของจิตใจของมนุษย์ อันยากแท้หยั่งถึง
อัลกุรอานก็ได้กล่าวเอาไว้เป็นข้อเตือนใจแล้วเช่นกัน

...อัลลอฮุอักบัร... 

ปล.คนโพสเองไม่สามารถลงภาษาอาหรับและภาพประกอบได้
ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ

หากท่านผู้ศึกษาต้องการดูภาพประกอบพร้อมภาษาอาหรับก็ลองกดเข้าไป
ตามลิงค์ที่อ้างอิงเอาไว้ได้ค่ะ

คนโพสมีหน้าที่โพสในสิ่งที่อ่านและศึกษามา หาได้เป็นผู้คิดค้นหรือค้นคว้าในเนื้อหา
ทุกอย่างอยู่ที่ผู้ศึกษาทั้งหลาย จะใช้วิจารณญาณในการเรียนรู้
และเอกองค์อัลเลาะฮฺ ซุบฮานาฮุวะตาอาลาเท่านั้นคือผู้ทรงรู้ยิ่งและรู้จริงในทุกสิ่ง

"และผู้ใดที่อัลลอฮ์ไม่ทรงทำให้เขาได้รับแสงสว่าง เขาก็จะไม่ได้รับแสงสว่างเลย"

อินชาอัลลอฮฺ

วัลลอฮุอะลัม

ขอให้สนุกกับการอ่านนะคะ
แล้วจะนำบทความที่เห็นว่าเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยให้กันในคราถัดไปนะคะ

^_______________________________________________________^

 loveit:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ย. 05, 2009, 07:21 PM โดย nada-yoru »
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ เหรียญ 2 ด้าน

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 753
  • เพศ: ชาย
  • เรียบง่าย แต่ไร้เทียมทาน (จิงๆๆ)
  • Respect: +8
    • ดูรายละเอียด
    • กัมปงดูกู
Re: อัลกุรอานกับวิทยาศาสตร์
« ตอบกลับ #35 เมื่อ: ก.ย. 16, 2009, 11:33 AM »
0
 salam

วิทยาศาสตร์เป็นส่วนนึงของอัลกุรอาน
ชื่อที่เคยใช้ในบอร์ดคือ ahmdduku, الدوكوي, เหรียญ 2 ด้าน

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: อัลกุรอานกับวิทยาศาสตร์
« ตอบกลับ #36 เมื่อ: ก.ย. 21, 2009, 11:21 PM »
0
salam

วิทยาศาสตร์เป็นส่วนนึงของอัลกุรอาน

 salam

ค่ะ...ยิ่งเรียนก็จะยิ่งรู้และยิ่งถูกทดสอบอีหม่านมากขึ้นด้วยค่ะ hehe
เลยรู้สึกว่าตัวเองนั้นอ่อนแอมากค่ะ...

วัสลามุอะลัยกุมค่ะ

^____________^
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: อัลกุรอานกับวิทยาศาสตร์
« ตอบกลับ #37 เมื่อ: ก.ย. 21, 2009, 11:49 PM »
0
 salam

คราวนี้ขอนำบทความที่หลายๆคนอาจจะเคยอ่านผ่านตามาบ้างแล้ว
แต่จะขอนำมารวมเอาไว้ในกระทู้นี้นะคะ

ถามให้คิด...สะกิดใจ


"สูเจ้ามิได้ใคร่ครวญดูบ้างหรือ"


     บทความต่อไปนี้ถูกเขียนขึ้นเพื่อที่จะเตือนสติผู้ที่ยังปฏิเสธการมีอยู่
ของพระผู้สร้างที่แท้จริง หรือ เราจะเรียกว่า พระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริงก็ได้
โดยมีความหวังว่าพี่น้องมุสลิมท่านใดที่มีเพื่อนชาวต่างศาสนิก
บทความนี้อาจจะเป็นประโยชน์แก่เขาได้ ก็ขอนำบทความนี้ไปใช้ประโยชน์
ให้มากที่สุดเพื่อเป็นก้าวแรกในการสะกิดจิตสำนึกเบื้องลึกของเขาผู้นั้น

อิสลามสอนเอาไว้ว่ามนุษย์ทุกคนเกิดขึ้นมาโดยมีความเชื่อในพระผู้เป็นเจ้า
ที่แท้จริงอยู่ตั้งแต่เกิดแล้ว แต่เนื่องมาจากสภาพแวดล้อมต่างๆที่อยู่รอบตัวเขา
ทำให้เขาผู้นั้นมีความคิดความเชื่อที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

เช่นกลายเป็นผู้ที่ปฏิเสธพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริงไป และบางรายปากก็กล่าวว่า
ไม่เชื่อในพระเจ้า หรือพระผู้สร้างที่แท้จริง แต่ในขณะเดียวกัน
ก็กราบไหว้บูชาสิ่งต่างๆสารพัด ไม่ว่าจะเป็น ผีสางนางไม้ รูปปั้นต่างๆ
หรือไม่ก็ ต้นไม้

ทั้งนี้อย่างที่บอกไปแล้วว่า มนุษย์เกิดขึ้นมาโดยถูกฝังความเชื่อในพระผู้เป็นเจ้า
ที่แท้จริงมาในตัวแล้ว ด้วยเหตุนี้มนุษย์ที่หลอกตัวเองก็เลยปฏิเสธ พระผู้เป็นเจ้า
หรือพระผู้สร้างที่แท้จริง และหันไปเคารพบูชา พระเจ้าที่จอมปลอมทั้งหลาย
ซึ่งภาษาอาหรับใช้คำว่า ตอฆูต ไม่ว่าเขาผู้นั้นจะไม่เรียกสิ่งนั้นว่าพระเจ้า
แต่หลีกเลี่ยงไปใช้ชื่ออื่นเพื่อปลอบใจตัวเองและหลอกตัวเอง
แต่ในจิตสำนึกลึกๆแล้วเขาก็ไม่อาจที่จะหลอกตัวเองได้

เมื่อพูดถึงเรื่องที่ว่า มนุษย์เกิดขึ้นมาพร้อมกับความเชื่อในพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริง
ก็ทำให้นึกถึงคำกล่าวที่ว่า ถ้าคุณเอาเด็กที่เกิดมาใหม่ไปเลี้ยง
ในสถานที่ที่จัดเตรียมไว้โดยเฉพาะ โดยไม่ให้ได้รับอิทธิพล
จากสิ่งแวดล้อมใดๆทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นศาสนาหรือวัฒนธรรม
และไม่ให้เด็กคนนั้นเห็นหรือพบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้ใดทั้งสิ้น
เมื่อเขาโตมา เมื่อถึงเวลาก็เอาข้าวเอาน้ำไปให้

แน่นอนที่สุดเด็กคนนั้นจะเติบโตขึ้นมาในสภาพที่เชื่อในพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริง
เพียงองค์เดียว โดยไม่ต้องมีใครไปสั่งสอนหรือบอกกล่าวเขาเลย
เพียงแต่ว่าเขาจะเรียก พระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริงผู้นั้นโดยใช้ชื่อเรียกว่าอะไรเท่านั้นเอง 

แต่ที่สำคัญก็คือ เด็กคนนั้นจะเติบโตขึ้นมาโดยเชื่อถึงการมีอยู่ของพระผู้สร้าง
หรือพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริง โดยไม่ต้องมีใครไปสั่งสอน

มนุษย์เติบโตมาพร้อมด้วยสติปัญญาและเหตุผลที่จะเป็นเครื่องช่วยตัดสิน
ในกิจการงานต่างๆทั้งที่มีความสำคัญและไม่สำคัญ
มนุษย์มีความแตกต่างไปจากสัตว์ตรงที่มนุษย์รู้จักใช้สติปัญญาและเหตุผล
ตั้งแต่ตื่นนอนขึ้นมา จนถึงเข้านอนอีกครั้งหนึ่ง มนุษย์เราจะใช้ความคิดอยู่ตลอดเวลา
ไม่คิดเรื่องโน้นก็เรื่องนี้ แม้เมื่อเราหยุดพักจากการทำงานหนักที่เหน็ดเหนื่อยแล้วก็ตาม

แต่กระนั้นความคิดของเราก็ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยที่จะคิดหยุดพักบ้าง
แต่มันก็ยังคง คิดไปต่างๆนาๆ เรื่องใดเรื่องหนึ่ง เมื่อบอกว่ามนุษย์แตกต่างไปจากสัตว์

คุณรู้ไหมครับว่า เมื่อ หนึ่งพันปี หรือ หนึ่งหมื่นปีที่แล้ว นกอาศัยอยู่ที่ไหนกัน ?
คุณก็จะตอบว่า อยู่ในรังหรือบนต้นไม้  และในปัจจุบันนี้ล่ะครับ
นกที่ว่านี้ อาศัยอยู่ที่ไหน ?...  และคุณรู้ไหมครับว่าเมื่อ หนึ่งพันปี
หรือ หนึ่งหมื่นปีที่แล้ว มนุษย์ อาศัยอยู่ที่ไหนกัน ?
และในปัจจุบันนี้ มนุษย์อาศัยอยู่ที่ไหนกัน ?  คงตอบและคิดอะไรบางอย่างได้น่ะครับ 

ย้อนกลับไปที่เรื่องความคิดของมนุษย์   มนุษย์ผู้ที่มีความคิดอยู่ตลอดเวลา
คิดสิ่งนั้นสิ่งนี้  เคยที่จะได้คิดอย่างไม่หลอกตัวเองบ้างไหมว่า
มนุษย์ทั้งหลายร่วมทั้งตัวเขาเกิดขึ้นมาบนโลกนี้ได้อย่างไร และเกิดขึ้นมาเพื่ออะไร ตายแล้วจะไปไหน ใครเป็นผู้สร้างเขามา  ร่วมทั้งสรรพสิ่งที่อยู่รอบๆตัวเขาที่เขาเห็นมัน
อยู่ทุกวันจนเคยชิน เช่น โลกที่เขาอาศัยอยู่ สรรพสัตว์ทั้งหลาย
รวมทั้งจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล อันหาขอบเขตมิได้
และที่สำคัญที่สุด นั่นคือตัวของเขาเอง ใครกันเหล่าที่ได้สร้างสิ่งเหล่านี้
รวมทั้งตัวของเขาขึ้นมา 

อิสลามได้สอนให้มนุษย์ ให้ใช้สติปัญญาและเหตุผลที่มีอยู่กับเขาอย่างไม่หลอกตัวเอง
โดยสอนให้มนุษย์ได้คิดและใคร่ครวญถึงสิ่งต่างๆเหล่านี้และพยายามที่จะแสวงหา
คำตอบ จากแหล่งที่เชื่อถือได้  ในคัมภีร์อัลกุรอาน ซึ่งมีโองการสั้นๆโองการหนึ่ง
ได้ถามเราเอาไว้ให้ได้คิดใคร่ครวญว่า :

“ พวกเจ้าเห็นสิ่งที่พวกเจ้าหลั่งออกมา (อสุจิ) แล้วมิใช่หรือ? 
พวกเจ้าสร้างมันขึ้นมา หรือว่าเราเป็นผู้สร้าง ”


[ความหมายคัมภีร์อัลกุรอาน บทที่ 56 โองการที่ 58-59]


ท่านเคยเห็นน้ำอสุจิที่ท่านหลั่งออกมาไหมครับ ?
ถามว่าในปัจจุบันนี้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีความเจริญก้าวหน้าเป็นอย่างมาก

แต่ถามว่ามีนักวิทยาศาสตร์คนไหนบ้างไหมที่สามารถออกมาประกาศว่าตนเองสามารถที่จะสร้างหรือผลิตน้ำอสุจิของมนุษย์ขึ้นมาเองได้ …มีไหมครับ ?

มีนักวิทยาศาสตร์คนไหนบ้างไหมครับที่ สามารถสร้างหรือผลิตรังไข่ของเพศหญิง
ขึ้นมาได้ ? มีนักวิทยาศาสตร์คนไหนบ้างครับที่ สามารถสร้างหรือผลิตลูกอัณฑะ
ขึ้นมาเองได้…มีไหมครับ ? มีนักวิทยาศาสตร์คนไหนบ้างไหมครับ
ที่สามารถผลิต โปรตีนโมเลกุลขึ้นมาสักตัวหนึ่งได้ อันเป็นส่วนประกอบที่สำคัญ
ของชีวิตที่จะขาดเสียมิได้เป็นอันขาด มีไหมครับ? 

นี่ยังไม่ต้องพูดถึงเซลล์ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่า โปรตีนโมเลกุลหลายร้อยเท่า 
ถ้าคนเรียนวิชาชีววิทยาจะรู้ดีในเรื่องนี้…

ถามว่ามนุษย์สร้างมนุษย์ด้วยกันเองขึ้นมาได้ไหม

แม้ว่าปัจจุบันนี้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะมีความเจริญก้าวหน้าอย่างมาก
อย่างที่เราได้เห็นอยู่แล้วก็ตาม แต่กระนั้น มีมนุษย์หรือนักวิทยาศาสตร์
คนไหนบ้างไหมครับที่สามารถสร้างสิ่งเพียงไม่กี่สิ่งที่กล่าวมาแล้วข้างต้นได้
มีไหมครับ ? เมื่อ 50ปีที่แล้ว หรือ 100 ที่แล้ว  หรือเมื่อ 500 ปีที่แล้ว
วิทยาศาสตร์ยังไม่มีความเจริญก้าวหน้าอะไรเลย เพราะฉะนั้นเลิกพูดไปได้เลย
เพราะตอนนั้นเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่รู้อยู่ไหนเลย

ก็ในเมื่อมนุษย์ยังสร้างหรือผลิตแม้แต่อสุจิตัวเดียวขึ้นมาก็ยังไม่ได้
หรือแม้แต่มดตัวเล็กๆเพียงตัวเดียวมนุษย์ก็ไม่มีความสามารถที่จะสร้างขึ้นมาได้
สิ่งที่มนุษย์ผู้มีสติปัญญาและเหตุผลน่าจะถามตัวเองก็คือ :
แล้วมนุษย์เกิดมาได้อย่างไร?  บางคนก็จะตอบมาในทำนองว่า เกิดมาจากเชื้ออสุจิ
ถ้าเช่นนั้นก็ถามต่อไปสิว่า แล้วตัวท่านนี้เกิดมาจากน้ำอสุจิของใครครับ…?
ท่านก็จะตอบว่า เกิดมาจากน้ำอสุจิของพ่อของท่าน
ก็ถามต่อไปว่าและพ่อของท่านสร้างหรือผลิตน้ำอสุจิขึ้นมาเองได้หรือไม่
หรือมีความสามารถที่จะบังเกิดตัวเองขึ้นมาได้หรือไม่…?

ย่อมไม่ได้อย่างแน่นอน ก็ถามต่อไปว่า แล้วถ้าเป็นเช่นนี้
พ่อท่านเกิดมาจากน้ำอสุจิของใครอีกทีครับ…? ท่านก็จะตอบว่า
ของพ่อ ของพ่อของท่านนั้นก็คือ ปู่ 

ก็ขอถามเพื่อย้ำอีกว่ามนุษย์สามารถที่จะผลิตน้ำอสุจิหรือบังเกิดตัวเองขึ้นมาได้ไหม…?
ก็ในเมื่อมนุษย์ไม่มีความสามารถที่จะให้บังเกิดตัวเขาขึ้นมาเองได้
และก็ยังไม่สามารถที่จะสร้างหรือผลิตน้ำอสุจิขึ้นมาได้ 
ถ้าเช่นนั้นมนุษย์เกิดมาได้อย่างไร ? และใครกันที่เป็นผู้สร้างที่แท้จริง
ที่สร้างมนุษย์ขึ้นมา ?

ยกตัวอย่างเช่น มีเลขที่ 1-100  ตัวท่านเป็นเลขที่ 100 เกิดมาจากน้ำอสุจิ
ของเลขที่ 99 เลขที่ 99 ก็เกิดมาจากน้ำอสุจิของเลขที่ 98 และเลขที่ 98  ก็เกิดมาจากน้ำอสุจิของเลขที่ 97 ถามว่าถ้าไม่มีเลขที่ 50 จะมีเลขที่ 100 ได้ไหมครับ?
จะมีเลขที่ 99 ได้ไหมครับ? และจะมีเลขที่ 98ได้ไหมครับ? ย่อมมีไม่ได้อย่างแน่นอน  ก็ในเมื่อมนุษย์สร้างมนุษย์ด้วยกันเองไม่ได้และก็ยังไม่สามารถที่จะบังเกิดตัวเอง
ขึ้นมาได้แล้ว แล้วมนุษย์เกิดมาได้อย่างไรกัน ใครกันเป็นผู้ที่สร้างมนุษย์ขึ้นมา ?

ขอถามท่านสักนิดว่า ท่านคิดว่ามันเป็นไปได้ไหม ที่พายุโทนาโดที่ได้พัดผ่านเข้ามา
ยังกองเศษเหล็กและของเก่าที่กองสุมกันอยู่และสามารถทำให้เกิดเป็นเครื่องบิน
โบอิง 747 ขึ้นมาได้จากเศษเหล็กและของเก่าที่กองสุมกันอยู่นั้น
ท่านคิดว่ามันเป็นไปได้หรือไม่ ? แน่นอนผู้ที่มีสติปัญญาไม่ต้องใช้เวลาคิดนานเลย
ที่จะตอบคำถามนี้ และท่านรู้ไหมครับว่าความเป็นไปได้ที่มนุษย์จะเกิดขึ้นมาเองโดย ”ธรรมชาติ” ที่บางคนชอบใช้คำนี้กันเพื่อหลอกตัวเองและเป็นการหาทางออก
ให้แก่ตัวเองอย่างง่ายๆและเพื่อเป็นการปลอบใจตัวเอง
หรือการที่มนุษย์จะเกิดขึ้นมาโดยความบังเอิญ นั้นยิ่งมีความเป็นไปไม่ได้
หลายร้อยหลายพันเท่าเมื่อเทียบกับตัวอย่างเรื่องเครื่องบินโบอิง 747
ที่ยกมาให้ดูข้างต้นเสียอีก นี่เป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ได้เปรียบเทียบเอาไว้
ให้ดูเป็นตัวอย่าง
(Hoyle on Evolution," Nature, vol. 294, November 12, 1981, p. 105)

...มีต่อค่ะ...
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ย. 05, 2009, 07:32 PM โดย nada-yoru »
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: อัลกุรอานกับวิทยาศาสตร์
« ตอบกลับ #38 เมื่อ: ก.ย. 22, 2009, 12:19 AM »
0
อย่างที่ได้บอกไปแล้วว่ามนุษย์หลายๆคนที่ชอบหลอกตัวเอง
แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคำถามเช่นนี้ ดังตัวอย่างที่ยกมาให้ดู
ก็จะพูดออกไปโดยไม่ยั้งคิดเพื่อหาทางออกให้แก่ตัวเอง โดยกล่าวว่า
“ ธรรมชาติ” ได้สร้างมนุษย์ขึ้นมา โดยที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่า “ ธรรมชาติ”
ที่เขาพูดออกมานี้คืออะไรกัน มีลักษณะอย่างไร

เมื่อถึงจุดนี้ผมขอให้ท่านผู้อ่านได้ใช้สติปัญญาคิดดูอีกสักนิดหนึ่ง
ถ้าผมจะถามท่านว่า เป็นไปได้ไหมถ้าผมจะพูดว่า

” ปล่อยให้ อิฐ หิน ปูน ทราย มันอยู่อย่างนั้นแหละ
เดี๋ยวมันก็คงจะสร้างตัวเอง เป็นบ้านขึ้นมาตามธรรมชาติได้” 


แน่นอนถ้าเป็นเช่นนี้ แม้ให้รอเป็นพันเป็นหมื่นปี
ก็ไม่มีวันที่  อิฐ หิน ปูน ทราย เหล่านั้นจะมารวมตัวกันตาม “ธรรมชาติ”
และทำให้เกิดเป็นบ้านขึ้นมาได้

แต่สติปัญญาของมนุษย์บ่งบอกว่า มันจะเป็นบ้านขึ้นมาได้ก็ต่อเมื่อ
มีผู้ใดผู้หนึ่งที่มีสติปัญญาและความรอบรู้ นำ อิฐ หิน ปูน ทราย เหล่านี้
มาประกอบกันเป็นบ้านหรือเป็นอาคารขึ้นมา

และแน่นอนอย่างที่สุดว่าร่างกายมนุษย์เรานี้มีอวัยวะต่างๆที่มีระบบการทำงาน
ที่ซับซ้อนมากไปกว่าคอมพิวเตอร์ที่เราใช้กันอยู่หลายร้อยหลายพันเท่านัก
และเป็นไปได้ไหมล่ะครับที่ส่วนประกอบต่างๆของคอมพิวเตอร์เหล่านั้น
จะมารวมตัวกันขึ้นมาเองตามธรรมชาติจนกลายเป็น คอมพิวเตอร์สมัยใหม่
อันมีระบบการทำงานที่ซับซ้อน

เป็นไปได้ไหมครับ ที่สิ่งเหล่านี้รวมทั้งโปรแกรมต่างๆที่ติดมากับคอมพิวเตอร์
จะเกิดขึ้นมาเองโดยธรรมชาติโดยที่ไม่มีผู้ที่ใส่โปรแกรมให้กับมันและสร้างมันขึ้นมา ?

ได้มีการคำนวณความเป็นไปได้ที่โปรตีนทั้ง 200 ชนิดที่พบในแบคทีเรียเพียงตัวเดียว
ที่จะเกิดขึ้นมาโดยบังเอิญโดยไม่มีผู้สร้างและผู้ควบคุมมันให้เกิดขึ้น 
ความเป็นไปได้ก็คือ 1 ตามด้วยศูนย์ 40,000 ตัว
นั้นคือไม่มีความเป็นไปได้เลยแม้แต่น้อย

เพราะในทางคณิตศาสตร์แล้ว ถ้า 1 ตามด้วยศูนย์ 50 ตัว
ก็ถือว่า ไม่มีความเป็นไปได้แล้ว และนี่ ศูนย์มีถึง 40,000 ตัว ก็ยิ่งไม่ต้องพูดเลย ตัวอย่างที่ยกมาให้ดู เป็นเพียง เชื้อแบคทีเรียที่มีระบบการทำงานที่ไม่ซับซ้อนอะไรมาก
เมื่อเทียบกันกับมนุษย์  และคุณรู้หรือไม่ว่า ในเซลล์ที่อยู่ในร่างกายของมนุษย์เรานี้
มีโปรตีนมากถึง 200,000 ชนิด ผู้มีสติปัญญาคิดดูเอาเองก็แล้วกันว่า
ใครกันที่เป็นผู้ทรงควบคุมจัดการบริหารสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้นมาได้
เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเกิดขึ้นมาเองโดยความบังเอิญ
หรือเกิดขึ้นมาเองโดยธรรมชาติอย่างที่ผู้หลอกตัวเองชอบใช้เป็นข้ออ้าง
เพื่อหาทางออกให้แก่ตนเอง เมื่อต้องประสบกับคำถามเช่นนี้
(Robert Shapiro, Origins: A Sceptics Guide to the Creation of Life on Earth,
New York, Summit Books, 1986. p.127)
 

ฉันใดก็ฉันนั้น ในเมื่อมนุษย์ไม่สามารถบังเกิดตัวของเขาขึ้นมาเองได้
นั้นก็หมายความว่า ตัวเขาไม่อาจที่จะเป็นผู้สร้างที่แท้จริงได้

แต่ในทางตรงกันข้าม เขาคือผู้ที่ถูกสร้างขึ้นมา และแน่นอนที่สุดสิ่งถูกสร้าง
หรือผู้ที่ถูกสร้างนั้นก็ย่อมที่จะต้องมีจุดเริ่มต้น ถ้าจะถามว่า ตัวคุณและตัวผม
รวมทั้งมนุษย์ทั้งหมดโลกที่มีอยู่ในตอนนี้ เมื่อ 200 ปีที่แล้วเราอยู่ที่ไหนกัน ?
เราตอบไม่ได้แน่ว่าเราอยู่ที่ไหนกัน

แต่ถ้าถามว่า ตัวคุณและตัวผมมีจุดเริ่มต้นขึ้นมาบนโลกเมื่อไหร่
คุณและผมก็จะตอบคำถามนี้ได้เป็นอย่างดี  เมื่อเป็นเช่นนี้เราก็ต้องยอมรับ
อย่างหลีกเลี่ยงมิได้ว่า มนุษย์เรามีจุดเริ่มต้น

และแน่นอนว่า สิ่งที่มีจุดเริ่มต้นจะต้องเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา
เพราะมันไม่สามารถที่จะบังเกิดตัวของมันเองขึ้นมาได้
เราทุกคนบังเกิดมาจากความไม่มีมาสู่ความมีอยู่ 

ยกตัวอย่างเช่น บ้านที่เราอาศัยอยู่ ประกอบไปด้วย อิฐ หิน ปูนทราย 
ถ้าเราเอาหินมาวางไว้กองหนึ่ง เอา ปูนมาวางไว้อีกกองหนึ่ง
เอาทรายมาวางอีกกองหนึ่ง และก็เอาอิฐมาวางเอาไว้อีกกองหนึ่ง 
ถามว่า จะเป็นไปได้ไหมที่ของทั้งสี่สิ่งนี้ จะมาร่วมตัวกันเองจนกลายเป็นบ้านขึ้นมา ?

แน่นอนมนุษย์ผู้มีสติปัญญาย่อมตอบว่า เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน
ถามว่าถ้าเราวางของทั้งสี่อย่างนี้เอาไว้ และอีกห้าสิบปีเรากลับมาดูใหม่
ถามว่า ของทั้งสี่อย่างนั้นคือ  อิฐ หิน ปูนทราย จะเป็นอย่างไร ?
แน่นอนมันก็จะคงอยู่ในสภาพเดิม มันถูกกองเอาไว้อย่างไร มันก็เป็นอยู่อย่างนั้น 

นั้นก็สรุปได้ว่า บ้านที่เราอาศัยอยู่นี้ จะต้องมีผู้สร้างเพราะมันสร้างตัวเองขึ้นมาไม่ได้ และเมื่อมันเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา มันก็เป็นสิ่งที่มีจุดเริ่มต้น 
และในเมื่อมันเป็นสิ่งที่ถูกสร้างก็จะต้องมีผู้ที่สร้างมันขึ้นมาอย่างแน่นอน 

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เราไม่คิดที่จะย้อนกลับมาดูตัวเราบ้างหรือว่า
เราผู้เป็นมนุษย์ ก็เป็นสิ่งที่มีจุดเริ่มต้น และเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา
และใครกันที่เป็นผู้ที่สร้างมนุษย์ขึ้นมา ? และสร้างมาทำไมกัน ?
ตายแล้วเราจะไปไหน?  ผู้ที่สร้างเราขึ้นมาเขาสร้างเรามาทำไม
เขาสร้างเราแล้วก็ให้เราตายไปเล่นๆอย่างนั้นหรือโดยไม่มีจุดมุ่งหมาย? 
และผู้ที่จะตอบคำถามต่างๆเหล่าได้ดีที่สุดก็คือ ผู้ที่สร้างเราขึ้นมานั้นเอง
ผู้ซึ่งเป็นอยู่และไม่ตาย

เมื่อพูดถึงจุดนี้ก็มีสิ่งที่เราควรที่จะรับรู้ไว้เป็นความรู้เสริมว่า
เป็นไปไม่ได้ที่สิ่งที่ไม่มีชีวิตจะสามารถให้กำเนิดสิ่งหนึ่งสิ่งใดขึ้นมาได้
ด้วยตัวของมันเอง อย่างที่ได้ยกตัวอย่างเรื่อง อิฐ หินปูน ทรายมาให้ดูแล้ว

เป็นไปได้ไหมที่อิฐ หินปูน ทรายซึ่งตัวมันเองเป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิต
มันจะสามารถให้กำเนิดสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มีชีวิตขึ้นมาได้
หรือมันจะสามารถให้กำเนิดสิ่งที่ไม่มีชีวิตด้วยกันเองเช่นบ้านขึ้นมาได้ เป็นไปได้หรือ? 

เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้ที่สร้างมนุษย์ขึ้นมาจึงเป็นผู้ที่เป็นอยู่และไม่ตาย
และในขณะเดียวกันตัวเราเองนั้นมีจุดเริ่มต้น และก็จะต้องมีจุดจบด้วยกันทุกคน
อย่างแน่นอน

ดังนั้นตัวเราจึงไม่มีสิทธิที่จะเป็นผู้ที่จะมาตอบคำถามเหล่านั้นได้
ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วท่านไม่คิดที่จะคิดใช้สติปัญญาที่ท่านมีอยู่ในการแสวงหาคำตอบ
ต่อคำถามที่สำคัญต่อชีวิตท่านเหล่านี้บ้างหรือ?

ท่านคิดหรือว่า ผู้ที่เขาได้สร้างท่านขึ้นมา เขาจะสร้างท่านขึ้นมาอย่างไร้จุดมุ่งหมาย
ไร้แก่นสาร …ท่านคิดอย่างนั้นหรือ?ท่านคิดว่า ตายแล้วก็สุดกันแค่นั้นจบกัน
เพียงแค่นี้หรือ ?  มันจะไม่เป็นการหลอกตัวเองไปหน่อยหรือที่จะคิดเช่นนั้น?
ท่านหลอกตัวเองและหาทางออกให้แก่ตัวเองเพียงแค่คิดปลอบใจตัวเองแบบง่ายๆ
อย่างนี้หรือ?  แต่กระนั้นถ้าท่านยอมรับแล้วว่าจะต้องมีผู้สร้างอย่างแน่นอน
แล้วท่านไม่สนใจบ้างหรือที่จะถามคำถามต่อไปว่า แล้วเขาสร้างเรามาทำไมกัน
มีจุดมุ่งหมายเพื่ออะไร ? และถ้าท่านต้องการที่จะรู้คำตอบ
คำถามที่ท่านต้องถามตัวเองต่อไปอีกก็คือ

“ แล้วจะไปหาคำตอบที่แท้จริงได้ที่ไหนกัน?”

...มีต่อค่ะ...

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ย. 05, 2009, 07:35 PM โดย nada-yoru »
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: อัลกุรอานกับวิทยาศาสตร์
« ตอบกลับ #39 เมื่อ: ก.ย. 22, 2009, 12:35 AM »
0
      อิสลามซึ่งมีคัมภีร์อัลกุรอานเป็นทางนำแห่งการดำเนินชีวิตและคัมภีร์อัลกุรอานนี้
ก็ยังสามารถยืนยันและพิสูจน์ตัวของมันเองได้ว่า มันไม่สามารถถูกเขียนขึ้นมา
โดยมนุษย์ผู้ถูกสร้างได้ ขอย้ำว่าคัมภีร์อัลกุรอานนี้สามารถพิสูจน์และยืนยัน
ในตัวของมันเองได้ว่า ไม่สามารถถูกเขียนขึ้นมาโดยมนุษย์คนใดคนหนึ่ง
ได้อย่างแน่นอน อยากรู้ไหมล่ะครับว่าทำไม ? และคัมภีร์อัลกุรอานที่ว่านี้
มาจากไหน และบอกอะไรเอาไว้ ? ถ้าคุณต้องการรู้ และสนใจที่จะแบ่งความคิด
ของคุณมาคิดในด้านนี้บ้างเผื่อว่าชีวิตคุณจะได้ดีขึ้น และมีเป้าหมายชีวิตที่แน่นอน
เพื่อปูทางไปสู่ความสำเร็จของคุณต่อไปทั้งชีวิตความเป็นอยู่ในโลกนี้
และชีวิตหลังความตาย ก็หารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ danish8484@yahoo.com     


ก่อนจากกันขอถามคำถามให้ท่านได้ใช้ความคิดออกกำลังสมองกันสักเล็กน้อยว่า :
 
1. สมมุติว่า มีเครื่องจักรกลที่ไม่เคยมีใครได้เห็นและรู้จักมาก่อน
ได้ถูกนำมาวางไว้ต่อหน้าท่าน ผมถามท่านว่าใครจะเป็นผู้ที่สามารถ
ที่จะบอกถึงวิธีการทำงานของเครื่องจักรกลนี้ได้ดีที่สุดและถูกต้อง ?
 
2. สมมุติว่า เครื่องจักรกลที่ว่านี้ได้ถูกนำมาวางไว้ต่อหน้าท่าน
และในขณะเดียวกันก็มีคนอยู่สี่คน โดยที่ทั้งสี่คนนี้ต่างคนต่างก็อ้างว่าตนเอง
เป็นผู้ที่ได้สร้างเครื่องจักรกลนี้ขึ้นมา ผมถามคุณว่า คุณจะรู้ได้อย่างไร
หรือพิสูจน์ได้อย่างไรว่า ในทั้งสี่คนนี้ ใครเป็นผู้ที่ได้สร้างเครื่องจักรกลนี้มาตัวจริง?           
 
3.สมมุติว่ามีคัมภีร์อยู่สี่เล่ม คัมภีร์เล่มที่หนึ่ง สอง สาม ได้พิสูจน์ตัวของมันเองแล้วว่า
ได้ถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขไปจากเดิมจนไม่อาจรู้ได้ว่าคัมภีร์เล่มนี้จริงๆ
แล้วได้กล่าวอะไรเอาไว้ และได้บอกหรือได้สอนอะไรเอาไว้บ้าง
และนอกจากนั้นคัมภีร์เล่มที่ หนึ่ง สอง สาม นี้ก็ยังมีข้อที่ขัดแย้งกันในตัวเอง
และขัดแย้งซึ่งกันและกันอยู่ และก็ยังมีสิ่งที่ขัดแย้งกับข้อเท็จจริงหลายๆอย่างด้วยกัน
และบางเล่มก็มีหลักคำสอนที่มนุษย์ในยุคปัจจุบันไม่สามารถนำมาปฏิบัติได้
แล้วหรือถ้าจะปฏิบัติกันจริงๆก็จะต้องสละโลก และบางเล่มก็มีหลักคำสอน
ที่หละหลวมเกินไป นี้คือสภาพของคัมภีร์สามเล่มแรก 

แต่มีคัมภีร์เล่มที่สี่อยู่เล่มเดียวที่ยังคงความบริสุทธ์ ไม่เคยถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขเลยแม้แต่น้อยและคัมภีร์เล่มที่สี่นี้ก็มีจุดเด่นตรงที่ว่า ได้บอกถึงวิธีการแก้ไขปัญหาต่างๆของมนุษย์ที่มีอยู่ในสังคมโดยเฉพาะปัญหาด้าน ศีลธรรมเอาไว้อย่างชัดเจน
และคัมภีร์เล่มที่สี่นี้ก็ยังมีหลักคำสอนที่ไม่ขัดแย้งกันในตัวเอง
และเป็นหลักคำสอนที่ไม่ขัดต่อธรรมชาติของความเป็นมนุษย์อีกด้วย

และมนุษย์ทุกรุ่นทุกวัยก็สามารถปฏิบัติตามหลักคำสอนนี้ได้
และคัมภีร์เล่มนี้ก็ไม่แบ่งแยกระหว่างทางโลกและทางธรรม
หากแต่ว่าทั้งสองจะต้องดำเนินไปด้วยกันแบบควบคู่กันไปจึงจะสมบูรณ์ได้
และก็ยังเป็นคัมภีร์ที่สามารถใช้ได้ในทุกยุคทุกสมัยทุกสถานที่และทุกเวลา
ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรก็แล้วแต่ คัมภีร์เล่มนี้ก็ยังสามารถที่จะนำมาใช้
ได้เป็นอย่างดีทั้งต่อตัวเองและต่อสังคมโดยส่วนรวม

อีกทั้งบอกให้มนุษย์รู้ถึงเป้าหมายที่แท้จริงที่เขาได้ถูกสร้างขึ้นมาบนโลกนี้
และเมื่อเขาตายแล้วเขาจะไปไหนมีสภาพเป็นอย่างไร รวมทั้งบอกเอาไว้อย่างครบถ้วนว่าอะไรดีอะไรชั่ว และที่สำคัญผู้ที่ได้นำคัมภีร์เล่มที่สี่ที่ว่านี้มาเขาก็บอกด้วยว่า
เขาได้รับคัมภีร์นี้มาอีกทีหนึ่ง โดยได้รับมาจากผู้ที่สร้างมนุษย์ขึ้นมาที่แท้จริง
และได้บอกยืนยันเอาไว้อย่างไม่คลุมเคลืออีกด้วยว่า ถ้าใครไม่ปฏิบัติตามคัมภีร์เล่มนี้
เขาผู้นั้นจะต้องประสพกับความขาดทุนและความขาดทุนอย่างแน่นอนเมื่อเขาได้ตายไป

ในกรณีเช่นนี้ ท่านจะรีบเชื่อคำกล่าวทั้งหมดของเขาผู้ที่ได้นำคัมภีร์นี้มาหรือไม่ ?
ถ้าท่านยังไม่ปักใจเชื่อก่อน แล้วท่านจะพิสูจน์เขาผู้นี้ได้อย่างไรว่า
เขาพูดจริงหรือพูดเท็จ และขอถามท่านว่าถ้าท่านจะต้องเลือกเชื่อ
และปฏิบัติตามคัมภีร์เล่มใดเล่มหนึ่งจากทั้งสี่เล่มนี้ ท่านจะเลือกเล่มไหน ?
และคำถามข้อที่สุดท้าย ก็คือ

4. ถ้ามีคัมภีร์อยู่เล่มหนึ่งซึ่งมีอายุเก่าแก่ถึง 1400 กว่าปี
และในคัมภีร์เล่มนี้ได้มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ถูกกล่าวเอาไว้อย่างมากมายโดยไม่ผิดพลาดเลยแม้แต่ข้อเดียว ไม่ว่าจะเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์
ที่ว่าด้วยการตัวอ่อนของทารก หรือวิชาดาราศาสตร์ และสาขาวิทยาศาสตร์
ในด้านแขนงอื่นๆอีกมากมาย  และข้อมูลที่ถูกกล่าวเอาไว้นี้ก็ไม่มีความเป็นไปได้เลย
ที่จะมีใครไปล่วงรู้ได้เมื่อ 1400 กว่าปีที่แล้ว

ทั้งนี้ก็เพราะ เมื่อ 1400 ปีที่แล้วนั้น วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่างๆ
ยังไม่มีความเจริญเลย อุปกรณ์และเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่มีเช่นกัน
และข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ที่ถูกกล่าวไว้ในคัมภีร์เล่มนี้
ก็เป็นข้อมูลสมัยใหม่ที่เพิ่งถูกค้นพบและจะรู้ได้ก็โดยจะต้องอาศัยเครื่องมือ
อุปกรณ์ และเทคโนโลยีสมัยใหม่ช่วยเท่านั้น

นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่กว่าจะรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่งได้ก็ต้องใช้อุปกรณ์ต่างๆ
ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยใหม่ช่วยในการค้นคว้าวิจัยเป็นเวลานาน
กว่าจะรู้ข้อเท็จจริงในสาขาใดสาขาหนึ่งทางวิทยาศาสตร์ได้ 
ท่านจะกล่าวอย่างไรเกี่ยวกับคัมภีร์เล่มที่ว่ามานี้ ?

    แต่ก่อนที่จะตอบคำถามข้อนี้เรามาเรียนรู้อะไรบางอย่างที่เกี่ยวกับคณิตศาสตร์
กันก่อนที่เรียกว่า ทฤษฏีความเป็นไปได้ ( Theory Of Probability)
เพื่อที่จะมีส่วนช่วยในการตอบคำถามข้อนี้
และเป็นที่รู้กันว่าคณิตศาสตร์นั้นเป็นศาสตร์ที่แน่นอนและตายตัวที่สุด
เรามาเข้าเรื่องกันเลย

สมมติว่า ผมทอยเหรียญ 1 ครั้งแล้วให้คุณทาย ว่าหัวหรือก้อย
เปอร์เซ็นต์ที่คุณจะทายถูกนั้นมี 50 % และถ้าผมทอยเหรียญเป็นครั้งที่ 2
แล้วให้คุณทายอีก เปอร์เซ็นต์ที่คุณจะทายถูกก็มี 50 %เช่นกัน
แต่ความเป็นไปได้ที่คุณจะทายถูกทั้งสองครั้งนั้น มีความเป็นไปได้ 25% 

และครั้งที่ 3 ผมไม่ใช้เหรียญแต่ใช้ลูกเต๋าแทน ซึ่งมี หกด้าน
ความเป็นไปได้ที่คุณจะทายถูก เมื่อผมทอยลูกเต๋า ก็คือ 16.666…% 
แต่ความเป็นไปได้ที่ คุณจะทายถูกทั้งสามครั้ง นั่นก็คือทอยเหรียญสองครั้ง
ทอยลูกเต๋าอีกหนึ่งครั้ง ความเป็นไปได้ก็คือ 4.16666667%
แต่ถ้าผมทอยลูกเต๋าเป็นครั้งที่สอง ความเป็นไปได้ที่คุณจะทายถูกก็คือ 16.666…% อีกเช่นกัน แต่ความเป็นไปได้ที่คุณจะทายถูกทั้งหมดสี่ครั้ง
นั้นคือ ทอยเหรียญ สองครั้ง และทอยลูกเต๋าอีกสองครั้ง
ความเป็นไปได้ก็ 0.69444…%

ความเป็นไปได้มีน้อยกว่าหนึ่งเปอร์เซ็นต์ ถ้าจะเขียนให้ดูง่ายๆทางคณิตศาสตร์ก็คือ
1/2x1/2x 1/6x1/6= 144 และเอา 100 หารด้วย 144
ก็จะได้เป็นเปอร์เซ็นต์ความเป็นไปได้ที่จะเดาถูกทั้งหมดสี่ครั้งภายในคราวเดียวกัน 
นี่คือตัวอย่างที่ยกมาให้ดูในกรณีที่มีตัวเลือกให้เดา

แต่ถ้าผมให้คุณเดาอะไรบางอย่างที่ไม่มีตัวเลือกที่แน่นอนให้ เช่น ก.,ข,ค,ง
หรือ 1,2,3,4, หรือ a,b,c,d   

เช่นผมให้คุณเดาว่า แผ่น ซีดี ที่อยู่ในมือผมนี้มีอะไรอยู่ จะมีความเป็นไปได้ไหมครับ
ที่คุณจะเดาได้อย่างถูกต้องว่าแผ่น ซีดี นี้มีอะไรอยู่ข้างใน ? 

มาถึงตอนนี้ขอให้คุณย้อนกลับไปตอบคำถามที่เกี่ยวกับคัมภีร์เล่มที่กล่าวมาได้แล้วครับ
ว่าคุณจะกล่าวอย่างไรเกี่ยวกับคัมภีร์เล่มที่ว่ามานี้
ด้วยกับสติปัญญาและด้วยกับเหตุผลที่ท่านมีอยู่
ผมเชื่อว่าคุณคงจะตอบคำถามทั้งหมดได้อย่างถูกต้องนะครับ

"หรือว่าพวกเขาถูกบังเกิดขึ้นมาโดยไม่มีผู้ใดให้บังเกิด ?
หรือว่าพวกเขาเป็นผู้ให้บังเกิดตนเองได้? หรือว่าพวกเขาเป็นผู้สร้างบรรดาชั้นฟ้า
และแผ่นดิน? เปล่าเลย เพราะพวกเขาไม่เชื่อมั่นต่างหาก"

[คำแปลคัมภีร์อัลกุรอาน บทที่52 โองการที่ 35-36]


"มนุษย์คิดหรือว่าเขาจะถูกปล่อยไว้โดยไร้จุดหมายกระนั้นหรือ?
แล้วเขาได้เคยเป็นเพียงหยดหนึ่งจากน้ำอสุจิที่ถูกหลั่งออกมามิใช่หรือ?
แล้วเขาได้เคยเป็นก้อนเลือดก้อนหนึ่งและพระองค์ทรงบังเกิด
แล้วก็ทรงทำให้สัดส่วนสมบูรณ์ และพระองค์ทรงบันดาลให้เขาเป็นคู่เป็นเพศชาย
และเพศหญิง ดังนั้นพระองค์ผู้ทรงอานุภาพบันดาลสิ่งนั้น
จะไม่ทรงอานุภาพที่จะทำให้คนตายมีชีวิตขึ้นมาอีกกระนั้นหรือ? "


[คำแปลคัมภีร์อัลกุรอาน 75:36-40]


"โอ้มนุษย์เอ๋ย อะไรเล่าที่ล่อลวงเจ้า (ให้หันห่าง) จากพระเจ้าของเจ้า
ผู้ทรงเกื้อกูล ผู้ทรงบังเกิดเจ้า แล้วทรงทำให้เจ้าสมบูรณ์
แล้วก็ทรงทำให้เจ้าสมส่วน"


[ คำแปลคัมภีร์อัลกุรอาน บทที่ 82 โองการที่  6-7]


โดย:ชารีฟ วงศ์เสงี่ยม

___________________________________


วัลลอฮุอะลัม

วัสลามุอะลัยกุมวะเราะมะตุลลอฮฺวะบารอกาตุ

^____________________________________^

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ย. 05, 2009, 07:41 PM โดย nada-yoru »
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ เหรียญ 2 ด้าน

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 753
  • เพศ: ชาย
  • เรียบง่าย แต่ไร้เทียมทาน (จิงๆๆ)
  • Respect: +8
    • ดูรายละเอียด
    • กัมปงดูกู
Re: อัลกุรอานกับวิทยาศาสตร์
« ตอบกลับ #40 เมื่อ: ก.ย. 22, 2009, 04:33 PM »
0
ขอบคุณครับ
ชื่อที่เคยใช้ในบอร์ดคือ ahmdduku, الدوكوي, เหรียญ 2 ด้าน

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: อัลกุรอานกับวิทยาศาสตร์
« ตอบกลับ #41 เมื่อ: ต.ค. 11, 2009, 01:28 PM »
0
 salam

"นก"


   นก จัดเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังชนิดหนึ่งซึ่งอยู่ในชั้น Aves
(คำว่า Aves เป็นภาษาละติน หมายถึง นก) โดยมีลักษณะทั่วไปคือ
เป็นสัตว์ทวิบาท เลือดอุ่น ออกลูกเป็นไข่ รยางค์คู่หน้า เปลี่ยนแปลงไปเป็นปีก
มีขนนก และมีกระดูกที่กลวงเบา

ในปัจจุบันทั่วโลกมีนกอยู่ประมาณ 8,800 ถึง 9,800 ชนิด
(ตามการจัดอนุกรมวิธานที่ต่างกัน)

ซึ่งนับว่านกเป็นชั้นของสัตว์มีกระดูกสันหลังที่มีความหลากหลายมากที่สุด
ในบรรดาชั้นของสัตว์มีกระดูกสันหลังทั้งหลายที่อาศัยอยู่บนพื้นดิน

ความหลากหลายของนกนับเนื่องไปตั้งแต่ในเรื่องของขนาดตัว สีสัน
เสียงร้อง อาหารการกิน และถิ่นที่อยู่อาศัย

นกเป็นสัตว์ที่มีความสำคัญเป็นอันมากทั้งต่อระบบนิเวศและต่อชีวิตมนุษย์
ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับนกเป็นไปอย่างแน่นแฟ้น
และการเกื้อกูลกันระหว่างนกกับสรรพสิ่งต่าง ๆ ตามธรรมชาติ
ก็เป็นไปอย่างแนบแน่น


นก...ความหัศจรรย์ของการสร้างแห่งพระผู้เป็นเจ้า
อัลลอฮฺพระผู้เป็นเจ้าได้บัญชาให้มนุษย์ไตร่ตรองเรื่องการสร้างของพระองค์
เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันว่าพระองค์ทรงมีอยู่จริง

พระองค์ทรงยกเอานกและการบินของนกเป็นอุทาหรณ์ที่บ่งบอกถึงการสร้าง
ของพระผู้ทรงมีความสามารถ เป็นหลักฐานที่บ่งบอกแน่ชัดว่า
นกไม่ได้มาจากปลาที่พัฒนาปีกของตนขึ้นมาเองแล้วบินไปในท้องฟ้า
อย่างที่พวกดาร์วินิสต์เชื่อกัน

"พวกเขาไม่ได้เห็นนกที่อยู่เบื้องบนพวกเขาดอกหรือ?
พวกมันกางปีกและหุบปีก ไม่มีผู้ใดจะจับดึงพวกมันได้
นอกจากพระผู้ทรงกรุณาปรานี แท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นทุกสรรพสิ่ง”

(อัลกุรอาน 67:19)


   การบินของนกเป็นความมหัศจรรย์ที่มนุษย์ในอดีตและปัจจุบัน
พยายามขบคิดอยู่ตลอดเวลา

ในอดีต การบินเป็นปริศนาสำหรับมนุษย์ และพวกเขาพยายาม
ค้นหาคำตอบตลอดมา

ในเวลาปัจจุบันเมื่อมนุษย์ได้ค้นพบวิธีการบินแล้ว มนุษย์ก็ยังฉงนต่อกลไกของปีกนก
เพราะมนุษย์ยังไม่สามารถสร้างปีกเครื่องบินให้ได้เท่าเทียมกับปีกนกได้

ในเวลาหลายปีที่ผ่านมา มนุษย์ได้สร้างเครื่องบินและปรับปรุงปีกเครื่องบินให้ดีขึ้น
โดยการศึกษาปีกของนก ความโค้งของปีกนกทำให้เกิดแรงยก
ที่ต้องการเพื่อต้านแรงโน้มถ่วงที่ดึงลงมา แต่เมื่อเอียงปีกขึ้นมากเกินไป
จะเกิดการติดขัดขึ้นได้

เพื่อเลี่ยงการติดขัดนี้ ที่ขอบหน้าของปีกนกจึงมีแถวขนซึ่งจะโผล่ออก
เมื่อมุมเอียงของปีกมีมากขึ้น แผ่นขนเหล่านี้จะคงรักษาแรงยกไว้
โดยกันไม่ให้กระแสอากาศแยกจากพื้นผิวปีก อีกสิ่งหนึ่งที่จะควบคุมลมแปรปรวน
และป้องกัน “การติดขัด” คือ ขนอะลูลา ขนนกกระจุกเล็กๆ
ซึ่งนกจะกระดกขึ้นได้เหมือนนิ้วหัวแม่มือ

ตรงปลายปีกของทั้งนกและเครื่องบินจะมีกระแสอากาศวนเกิดขึ้น
และทำให้เกิดแรงต้าน นกจะลดแรงต้านนี้โดยสองวิธี

นกบางชนิด เช่น นกแอ่นและนกอัลบาทรอสมีปีกที่ยาวเรียงปลายแหลม
ปีกแบบนี้จะขจัดกระแสอากาศวนได้เกือบหมด

นกชนิดอื่น เช่น เหยี่ยวตัวใหญ่และนกแร้งมีปีกกว้างซึ่งจะทำให้เกิดกระแสวนได้มาก แต่นกจะแก้ปัญหานี้ด้วยการกางขนที่ปลายปีกออกกว้างเหมือนกางนิ้วมือ
โดยวิธีนี้ทำให้ปลายปีกที่ไม่แหลมกลายเป็นปลายแหลมหลาย ๆ แฉก
ซึ่งจะลดกระแสอากาศวนและแรงต้าน

นักออกแบบเครื่องบินได้นำรูปแบบต่าง ๆ ของปีกนกเหล่านั้นไปใช้
ในการพัฒนาปีกเครื่องบิน ความโค้งของปีกเครื่องบินทำให้เกิดแรงยกตัว
ปีกเล็ก และกระโดงต่าง ๆ ช่วยควบคุมกระแสอากาศ หรือเป็นตัวช่วยห้ามล้อ

เครื่องบินลำเล็กบางชนิดลดแรงต้านที่ปลายปีกโดยการติดแผ่นแบน
ตั้งฉากกับพื้นผิวปีก


     อย่างไรก็ตาม ปีกเครื่องบินที่มนุษย์สร้างขึ้นนั้น
ก็ยังไม่อาจเทียบกับกลไกอันมหัศจรรย์ในปีกนกได้





เรียบเรียงโดย นัชมุดดีน ตอฮีรี
เขียนโดย andromeda.ih

วัลลอฮุอะลัม

ผิดพลาดประการใด โปรดชี้แนะด้วยนะคะ

วัสลามุอะลัยกุมค่ะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ย. 05, 2009, 07:44 PM โดย nada-yoru »
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: อัลกุรอานกับวิทยาศาสตร์
« ตอบกลับ #42 เมื่อ: พ.ย. 05, 2009, 06:59 PM »
0
 salam


เนบิวลากุหลาบแดง

หลายๆอย่างที่กล่าวในกุรอานมนุษย์ในยุควิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
เพิ่งจะประจักษ์ ดังในซุเราะฮฺ ฮามีม(41) อายัตที่ 53




ความว่า
"ต่อไปเราจะทำให้พวกเขาได้มองเห็นสัญลักษณ์ต่างๆ
ของเราที่อยู่(ในจักรวาลนี้ ) และในตัวของพวกเขาเอง
จนกระทั้งได้ประจักษ์แจ่มชัดแก่พวกเขา ว่าที่จริงแล้ว
อัลกุรอานนั้นเป็นสัจธรรม(ที่พิสูจน์ได้ทุกสภาวะ)
ยังไม่เพียงพออีกหรือ ที่องค์อภิบาลของเจ้าทรงเป็นสักขีพยานเหนือทุกๆสิ่ง"


รูปล่างนี้เป็นรูปเนบิวลา กุหลาบแดง ที่ถ่ายจากกล้องโทรทรรศ์ที่อยู่บนอวกาศ
ชื่อ ฮัมเบิลเทเลสโคป

( The picture is taken by the NASA Hubble Space Telescope of the
"Cat's Eye Nebula." It is an exploding star 3,000 light years away.
They should have called it the " Red Rose Nebula."
the image was published by NASA on Oct 31, 1999.
Original image at http://antwrp.gsfc.nasa.gov/apod/ap991031.html )

เนบิวลาเป็นกลุ่มของดาวที่มีมากเป็นแสนล้านดวง เนบิวลา กุหลาบแดงนี้
อยู่ห่างจากโลก 3,000 ปีแสง และเป็นเนบิวลาที่กำลังระเบิดอยู่(แตกสลาย!)
เนบิวลานี้เป็นหนึ่งในเนบิวลา ที่มีเป็นล้านๆเนบิวลาทั้งจักรวาล   




ในกุรอานซุเราะฮฺอัร เราะฮฺมาน(55) อายัตที่ 37 กล่าวว่า




ความว่า
"ครั้นแล้ว เมือฟากฟ้าได้แตกสลาย
และเปลี่ยนสภาพเป็นเหมือนกุหลาบ ดังสี"




ที่มา:http://www.cis.psu.ac.th/fathoni/lesson/sci/rose.html

วัลลอฮุอะลัม

วัสลามุอะลัยกุม

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ย. 05, 2009, 07:02 PM โดย nada-yoru »
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ ILHAM

  • เพื่อนตาย T_T
  • *****
  • กระทู้: 11348
  • เพศ: ชาย
  • Sherlock Holmes
  • Respect: +273
    • ดูรายละเอียด
    • ILHAM
Re: อัลกุรอานกับวิทยาศาสตร์
« ตอบกลับ #43 เมื่อ: พ.ย. 05, 2009, 07:36 PM »
0
แอนโดรมีด้า
إن شاءالله ติด ENT'?everybody

Sherlock Holmes said "How often have I said to you that when you have eliminated the impossible, whatever remains, however improbable, must be the truth?"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: อัลกุรอานกับวิทยาศาสตร์
« ตอบกลับ #44 เมื่อ: พ.ย. 05, 2009, 08:01 PM »
0
แอนโดรมีด้า

อันนี้ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาทราย(กาแลกซี่)... hehe

เรื่องราวก็น่าติดตามนะอิลฮามสำหรับเเอนโดรมีดา...
ได้ข่าวว่าเป็นจอมเขมือบ

วัสลามุอะลัยกุมค่ะ

^__________________^


"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

 

GoogleTagged