ผู้เขียน หัวข้อ: 0032_ช่วยอธิบาย เรื่องการกล่าวอุศ็อลลี  (อ่าน 7021 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ قطوف من أزاهير النور

  • ดุนยา..มาเพื่อไป
  • ทีมงานหลังบอร์ด (-_-''')
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1582
  • อยากเป็นเด็กดีของอัลลอฮฺ
  • Respect: +9
    • ดูรายละเอียด
    • แวะไปเม้นหน่อยน่า ^^

หมายถึงการกล่าวอุซอลลีก่อนตักบีร
เช่น " อุซอลลีฟัรด้อล ... "
ผิดตรงไหน? ยังไง ?
ลักษณะการเหนียตที่แบ่งเป็น
กอศอร ตะรอต ตะเยน (พิมผิดป่าวไม่รุ้) ที่แท้จริงเป็นยังไง
ถ้าไม่ผิด  แล้ว ไม่กล่าวอุซอลลีก่อนตักบีร ผิดไหม ?

รบกวนอธิบาย ..  :)

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ม.ค. 31, 2011, 04:19 PM โดย Al Fatoni »
يَا بُنَيَّ إِنْ قَدَرْتَ أَنْ تُصْبِحَ وَتُمْسِيَ لَيْسَ فِي قَلْبِكَ غِشٌّ لِأَحَدٍ فَافْعَلْ
 ثُمَّ قَالَ لِي يَا بُنَيَّ وَذَلِكَ مِنْ سُنَّتِي وَمَنْ أَحْيَا سُنَّتِي فَقَدْ أَحَبَّنِي وَمَنْ أَحَبَّنِي كَانَ مَعِي فِي الْجَنَّةِ

"โอ้ลูกรัก ถ้าหากเจ้าสามารถที่จะตื่นขึ้นมาในเวลาเช้าจนถึงเวลาเย็น โดยที่เจ้าไม่คิดร้ายต่อผู้ใด เจ้าจงกระทำเถิด
หลังจากนั้นท่านได้กล่าวแก่ฉันอีกว่า โอ้ลูกรัก และนั่นแหละเป็นแนวทางของฉัน
ผู้ใดฟื้นฟูแนวทางของฉันแสดงว่าเขารักฉัน และผู้ใดรักฉัน เขาได้อยู่กับฉันในสวรรค์"
(บันทึกโดย อัตติรมีซี)

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
อุซอลลี ??
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ม.ค. 22, 2007, 05:19 AM »
+1

بسم الله الرحمن الرحيم

الحمد لله رب العالمين و الصلاة والسلام على سيدنا محمد وعلي اله وصحبه أجمعين

การกล่าวอุซ๊อลลีย์ เป็นการเรียกของคนเมืองไทยบ้านเรา แต่ภาษาอาหรับเขาเรียกว่า التلفظ بالنية (การกล่าวคำเหนียต) ดังนั้น ผมจะไม่ขอเรียกว่า การกล่าวอุซ๊อลลีย์ แต่ผมจะใช้คำว่า "การกล่าวคำเหนียต" ซึ่งเป็นการใช้ศัพท์ตามหลักวิชาการฟิกห์ และผมอยากทำความเข้าใจว่า การกล่าวคำเหนียตนี้ ไม่ใช่เป็นการกระทำที่อยู่ในละหมาด แต่เป็นการกระทำที่อยู่นอกละหมาด หรือก่อนจะเริ่มเข้ากระทำละหมาดด้วยการตักบีร่อตุลเอี๊ยะหฺรอม  และมีพี่ที่คัดค้านเรื่องการกล่าวคำเหนียตบางคนกล่าวว่า "การกล่าวคำเหนียตในละหมาดนั้น เป็นบิดอะฮ์" ซึ่งหากใช้คำว่า ในละหมาด นั้น ผมเองก็ขอบอกว่า มันบิดอะฮ์ และทำให้เสียละหมาดอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ประเด็นที่ผมจะชี้แจงนี้ คือการกล่าวคำเหนียตก่อนจะละหมาดครับ

การกล่าวคำเหนียต ก่อนจากละหมาด หรือก่อนจากตักบีร่อตุลเอี๊ยะหฺรอม ถือว่าเป็นสุนัต ตามทัศนะของอุลามาอ์ส่วนมาก ท่านนบี(ซ.ล.) ได้กล่าวไว้ว่า

إنما الأعمال بالنيات

"แท้จริง บรรดาการปฏิบัตินั้น ด้วยการเหนียต"

จากหะดิษนี้ ท่านนบี(ซ.ล.) ไม่ได้กล่าวว่า พวกท่านจงกล่าวคำเหนียตให้ดัง และเช่นเดียวกัน ท่านนบี(ซ.ล.) ก็ไม่ได้กล่าวว่า พวกท่านจงเหนียตค่อยๆในใจ ดังนั้น ผู้ใดที่ทำการเหนียตในใจของเขาในขณะที่ทำการตักบีร่อตุลเอี๊ยะหฺรอม โดยไม่ได้กล่าวคำเหนียตของเขาออกมานั้น  แน่นอนว่า การละหมาดของเขาย่อมใช้ได้ และผู้ใดที่ทำการกล่าวคำเหนียตก่อนจากการตักบีรเล็กน้อยนั้น  แน่นอนว่า การละหมาดของเขาย่อมใช้ได้เช่นเดียวกัน

ดังนั้น การกล่าวคำเหนียตจะเป็นบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลงไปได้อย่างไร? ในเมื่อมีหลักฐานยืนยันว่า ท่านนบี(ซ.ล.) ได้ทำการกล่าวคำเหนียตในบางส่วนของอิบาดะฮ์ต่างๆ  เช่น ท่านนบี(ซ.ล.) ได้กล่าวคำเหนียตโดยให้บรรดาซอฮาบะฮ์ได้ยิน ในขณะทำเอี๊ยะหฺรอมฮัจญฺว่า

لبيك بعمرة وحج

"ข้าพเจ้าได้สนองต่อพระองค์ ด้วยการทำอุมเราะฮ์และฮัจญฺ" (ดู ซ่อฮิหฺ มุสลิม เล่ม 2 หน้า 915 หะดิษที่ 215)

มีรายงานว่าซอฮาบะฮ์ท่านหนึ่ง ได้ทำการกล่าวคำเหนียตการทำฮัจญีแทนพี่น้องหรือญาติของเขาในขณะที่เริ่มเข้าครองอิหฺรอมว่า

عن ابن عباس أن النبى صلى الله عليه وسلم سمع رجلا يقول : لبيك عن شبرمة ، قال : من شبرمة ؟ قال : أخ لى أو قريب لى ، فقال : حججت عن نفسك ؟ قال : لا ، قال : حج عن نفسك ثم حج عن شبرمة . رواه أبوداود وابن ماجه وصححه الحاكم والراجح عند احمد وقفه

" จากท่านอิบนุอับบาส แท้จริงท่านนบี(ซ.ล.) ได้ยินชายคนหนึ่ง กล่าวว่า" ข้าพเจ้าได้สนองคำเรียกร้องต่อพระองค์(ในการทำฮัจญฺ)แทน ชุบรุมะฮ์" ท่านนบี(ซ.ล.)กล่าวว่า "ชุบรุมะฮ์เป็นใครหรือ? เขาตอบว่า "เขาคือพี่น้องฉัน หรือ ญาติใกล้ชิดของฉัน" ดังนั้น ท่านนบี(ซ.ล.)กล่าวว่า "ท่านทำฮัจญฺให้ตัวท่านหรือยัง" ? เขาตอบว่า "ยังครับ" ท่านนบี(ซ.ล.) กล่าวว่า " ท่านจงทำฮัจญฺให้กับตัวท่านก่อน จากนั้น ท่านก็จงทำฮัจญฺแทนชุบรุมะฮ์ " รายงานโดย อบูดาวูด และ อิบนุมะฮ์ และท่านหากิมถือว่าหะดิษนี้ซอฮิหฺ แต่ที่มีน้ำหนักตามทัศนะของท่านอะหฺมัดนั้น คือหะดิษนี้เมากูฟ (แต่ที่แน่ๆคือสายรายงานนี้ซอฮิหฺครับผม) (ดู บุลูฆุลมารอม หน้า 131)

จากเหตุการณ์นี้ เราจะพบว่า ซอฮาบะฮ์ท่านหนึ่ง ได้กำลังเริ่มทำการเข้าครองอะหฺรอมโดยกล่าวเป็นคำพูดออกมาตามที่ตนเองเจตนาในการทำฮัจญฺแทนพี่น้องของเขาที่ชื่อ ชุบรุมะฮ์ ซึ่งตรงนี้ บรรดาปวงปราชน์มีความเข้าใจว่า มันคือ "กล่าวคำเหนียตฮัจญฺ"

ท่านอัลหาฟิซฺ อิบนุหะญัร อัลฮัยษะมีย์ กล่าวว่า

المحرم اي مريد الإحرام ينوى بقلبه وجوبا بالخبر إنما الأعمال بالنيات ولسانه ندبا للإتباع

" ผู้ที่ครอบอิหฺรอม หมายถึง ผู้ที่ต้องการทำอิหฺรอมนั้น ให้เขาทำการเหนียตด้วยหัวใจของเขา เพราะเป็นการวายิบ  เนื่องจากมีหะดิษยืนยันว่า "แท้จริงบรรดาการอะมัล ต้องด้วยการเหนียต(เจตนาตั้งใจ)" และการเหนียตโดยกล่าวด้วยลิ้นนั้น ถือว่าเป็นสุนัต เพราะตามท่านนบี(ซ.ล.) " ดู ตัวะหฺฟะตุลมั๊วะหฺตาจ เล่ม 3 หน้า 27

ท่านอิมามอันนะวาวีย์ได้กล่าวในหนังสือ มินฮาจญฺ อัตตอลิบีน โดยท่านอิบนุหะญัร อัลฮัยษะมีย์ได้อธิบายว่า

ويندب النطق بالمنوى قبيل التكبير ليساعد اللسان القلب وخروجا من خلاف من أوجبه وإن شد وقياسا على ما يأتى فى الحج المندفع به التشنيع بأنه لم ينقل

"สุนัต ให้ทำการกล่าวคำเหนียต ก่อนจากตักบีรเล็กน้อย เพื่อลิ้นจะได้ช่วยกับหัวใจ และเพื่อออกจากการขัดแย้งกับผู้ที่มีทัศนะว่าวายิบ ซึ่งหากแม้นว่าเขาจะมีทัศนะที่ขัดกับทัศนะที่มีน้ำหนักมากกว่าก็ตาม และเพราะไปกิยาส กับสิ่งที่จะนำมากล่าวในเรื่องฮัจญฺ เพื่อจะมาโต้ตอบการตำหนิที่ว่ามัน(การกล่าวคำเหนียต)ไม่ได้ถูกถ่ายทอด(หลักฐานไว้) " ดู ตัวะหฺฟะตุลมั๊วะหฺตาจ อธิบาย หนังสือมินฮาจของอิมามอันนะวาวีย์ เล่ม 2 หน้า 12

และวันหนึ่ง ท่านนบี(ซ.ล.) ได้เข้าไปหาท่านหญิงอาอิชะฮ์(ร.ฏ.) แล้วท่านนบี(ซ.ล.) กล่าวโดยต้องการรับประทานอาหารว่า " ณ ที่พวกเธอนั้น มีสิ่งใด(ที่จะรับประทาน)บ้างใหม? ท่านหญิงอาอิชะฮ์ กล่าว" ไม่มี" ดังนั้น ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) จึงกล่าวว่า

فإنى إذَنْ صائم

"แท้จริง งั้น ฉันก็ทำการถือศีลอด" (ดู ซอฮิหฺมุสลิม เล่ม 2 หน้า 809 หะดิษที่ 170)

ท่านอิมาม อันนะวาวีย์ (ร.ฏ.) กล่าวว่า " ในหะดิษนี้ เป็นหลักฐาน ให้กับมัซฮับของนักปราชญ์ส่วนมาก ที่ว่า การถือศีลอดสุนัตนั้น อนุญาติให้ทำการเหนียตตอนกลางวัน ก่อนจากดวงอาทิตย์คล้อยได้ " ( ดู ชัรหฺ ซอฮิหฺ มุสลิม เล่ม 8 หน้า 35)

เราขอกล่าวว่า การกล่าวของท่านนบี(ซ.ล.) ที่ว่า

فإنى إذن صائم

"แท้จริง งั้น ฉันก็ทำการถือศีลอด"

ก็คือ การกล่าวคำเหนียตถือศีลอด ตามความเห็นของนักปราชน์นั่นเอง คือ ท่านนบี(ซ.ล.) ได้กล่าวคำเหนียตออกมา  ตามเจตนาของท่านในการถือศีลอด

เมื่อท่านผู้อ่านได้เข้าใจสิ่งดังกล่าวมาแล้วนั้น  เราก็จะพบว่า บรรดานักปราชญ์ได้เอา "การกล่าวคำเหนียตก่อนตักบีรร่อตุลเอี๊ยะหฺรอมนั้น ไปกิยาส(เทียบเคียง)กับการกล่าวคำเหนียตในฮัจญฺและการถือศีลอด โดยมีเหตุผลร่วมกันที่ว่า ทั้งสองนั้น เป็นอิบาดะฮ์ ที่จำเป็นต้องมีการเหนียต"

ท่าน ชัยค์ อับดุรเราะหฺมาน อัล-ญะซาอิรีย์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือฟิกห์มัซฮับทั้ง 4 ว่า

" สุนัตให้ทำการกล่าวคำเหนียตด้วยลิ้นของเขา(ผู้ที่ทำละหมาด) เช่น เขาได้กล่าวด้วยลิ้นของเขาว่า "ฉันละหมาดฟัรดูซุฮฺริ " เป็นต้น เพราะสิ่งดังกล่าวนั้น สามารถย้ำเตือนให้กับหัวใจ แต่หากเขาพลาดลิ้น ไปกล่าวว่า ฉันทำละหมาดอัสริ ก็ถือว่าไม่เป็นโทษแต่ประการใด  เนื่องจากท่านทราบดีแล้วว่า สิ่งที่ถูกพิจารณาในการเหนียตนั้น คือเจตนาที่อยู่ในหัวใจ และการกล่าวคำเหนียตด้วยกับลิ้นเพียงอย่างเดียวนั้น ย่อมไม่ใช่เป็นการเหนียต  แต่มันจะช่วยให้หัวใจมีการตื่นตัว (มีความพร้อมในการทำการเหนียต) ดังนั้น การพลาดลิ้น ย่อมไม่มีโทษใด ๆ ตราบใดที่การเหนียตในหัวใจนั้น มีความถูกต้อง และนี้ก็คือ หุกุ่ม ที่มีความสอดคล้องกันตามทัศนะของ มัซฮับชาฟิอีย์ยะฮ์ และมัซฮับหัมบาลีย์ (ว่าการกล่าวคำเหนียตเป็นสุนัต)"

ส่วนมัซฮับของมาลิกีย์นั้น พวกเขากล่าวว่า " การกล่าวคำเหนียตนั้น ไม่ได้ถูกบัญญัติไว้ในละหมาด นอกจากเสียว่า ผู้ที่กระทำการละหมาด มีหัวใจที่ขาดสมาธิ  ดังกล่าวนี้ มัซฮับมาลิกีย์  จึงกล่าวว่า การกล่าวคำเหนียตนี้  สำหรับผู้ที่จิตใจมีสมาธิแล้วไม่ต้องทำดีกว่า และถือว่า เป็นสุนัต สำหรับผู้ที่จิตใจยังขาดสมาธิ(ในการเหนียต) "

สำหรับมัซฮับหะนะฟีย์นั้น พวกเขากล่าวว่า " การกล่าวคำเหนียตเป็นบิดอะฮ์ แต่ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี หากทำไปเพื่อป้องกัน ความลังเล(วิสวัส)ขาดสมาธิ(ในการเหนียต) " ( ดู อัลฟิกหฺ อะลา อัลมะซาฮิบ อัลอัรบะอะฮ์ เล่ม 1 หน้า 171 ตีพิมพ์ ดารุลหะดิษ ไคโร )

ท่าน อิบนุ กุดดามะฮ์ (อุลามาอ์มัซฮับหัมบะลีย์) ได้กล่าวไว้ ว่า

وقول النبى صلى الله عليه وسلم : إنما الأعمال بالنيات . ومعنى النية القصد ومحلها القلب ، وإن لفظ بما نواه كان تأكيدا

" คำกล่าวของท่านนบี(ซ.ล.) ที่ว่า "แท้จริงบรรดาอะมัล ต้องด้วยการเหนียต" โดยที่ความหมายของการเหนียตก็คือ การมุ่งเจตนา และสถานที่ของมันอยู่ที่หัวใจ และหากว่าเขากล่าว ด้วยกับสิ่งที่เขาได้เหนียต แน่นอนว่า มันย่อมเป็นการตอกย้ำ(กับหัวใจ) " ดู หนังสือ อัลมุฆนีย์ ของท่านอิบนุกุดดามะฮ์ เล่ม 2 หน้า 15

จากสิ่งที่กล่าวมานี้ เราขอกล่าวว่า การเหนียตเจตนาทำอิบาดะฮ์ด้วยจิตใจที่มีสมาธินั้น ย่อมเป็นสิ่งที่ศาสนาให้การสนับสนุน และการกล่าวคำเหนียตก็เป็นตัวช่วยย้ำเตือนจิตใจให้มีสมาธิในการเหนียต  ดังนั้น  การกล่าวคำเหนียตย่อมเป็นสิ่งที่ศาสนาส่งเสริมเช่นเดียวกัน ดังที่หลักการหนึ่งระบุไว้ว่า

ما لا يتم المطلوب الشرعى الا به فهو مطلوب شرعا

" สิ่งหนึ่ง ที่ถูกใช้ตามหลักศาสนาจะไม่สมบูรณ์ เว้นแต่ด้วยกับมันนั้น  แน่นอนว่า สิ่งนั้นย่อมถูกใช้ตามหลักศาสนาด้วยเช่นกัน"

เมื่อเป็นเช่นนี้ หากมีคนถามว่า การกล่าวคำเหนียตเป็นวายิบหรือไม่ ? เราขอตอบว่า "ไม่วายิบ" จะทำก็ได้ ไม่ทำก็ได้ แต่สำหรับผู้ที่ละหมาดโดยจิตใจยัง(วิสวัส)ว้าวุ่น ขาดสมาธิ  ก็สมควรกล่าวคำเหนียตครับ เพื่อเราจะสามารถทำการเหนียตในตักบีรได้อย่างมีประสิทธิ์ภาพมากยิ่งขึ้น

ข้อควรทราบ

การกล่าวคำเหนียต ไม่จำเป็นต้องกล่าวด้วยภาษาอาหรับเสมอไป เช่นกล่าวว่า "อุซ๊อลลี ฟัรฏ๊อซซุฮฺร..." แต่อนุญาติให้เรากล่าวเป็นภาษาไทยก่อนตักบีรเล็กน้อยว่า "ข้าพเจ้าละหมาดฟัรดูซุฮฺริ" ก็ถือว่าใช้ได้แล้ว และก็ย่อมเป็นการดีอย่างยิ่ง  เนื่องจากการเหนียตในใจของเรานั้น  ก็เป็นภาษาไทยอยู่แล้ว และท่านผู้อ่านพึงทราบเถิดว่า การกล่าวคำเหนียต ไม่ใช่เป็นการกระทำในละหมาด แต่เป็นการกระทำก่อนละหมาด ดังนั้น ผู้ใดที่ทำการกล่าวคำเหนียตในละหมาด ก็ย่อมทำให้เสียละหมาดอย่างแน่นอน

ส่วนกรณีของการเหนียตนั้น ต้องมี  ก่อซ๊อด , ตะร๊อต(อะอัรรุฏ) , และตะยีน

1.قصد    (ก่อซ๊อด) หมายถึงมุ่งเจตนาว่าเรากำลังจะทำอะไร  ซึ่งในที่นี้  เราต้องการกระทำละหมาด  ก็ต้องตั้งใจและมุ่งเจตตนาว่า  "ข้าพเจ้าละหมาด"  เพื่อที่จะแยกออกจากการกระทำอื่น ๆ

2.تعرض (ตะอัรรุฏ) แต่บ้านเราเรียกว่า ตะร๊อต ก็ไม่แปลก  คือ การกล่าวว่าเป็น ฟัรดูหรือสุนัต เป็นต้น

3.تعيين   (ตะยีน) คือการเจาะจง เวลาของละหมาด  เช่น  กล่าวว่า ซุฮฺริ , อัสริ , หรือ มัฆริบ  เป็นต้น

ดังนั้น  การเหนียตละหมาดฟัรดูจึงจำเป็นต้องมีองค์ประกอบทั้ง 3 ประการนี้  เช่นเราจะละหมาดซุฮฺริ  ก็ให้เราเหนียตว่า "ข้าพเจ้าละหมาดฟัรดูซุฮฺริ"  แค่นี้ก็ถือว่าใช้ได้แล้ว   ส่วนละหมาดสุนัตที่มีการกำหนดเวลาและสาเหตุ  เช่น ละหมาดอีดฟิตริและอัฏฮา  หรือละหมาดสุนัตที่มีสาเหตุจากการเกิดสุริยคราสและจันทรคราส  ก็ให้เหนียตโดยมี  ก่อซ๊อดและตะยีน  ก็ถือว่าใช้ได้แล้ว  เช่นเหนียตว่า "ข้าพเจ้าละหมาดอีดฟิตริ" หรือ "ข้าพเจ้าละหมาดสุริยคราส" เป็นต้น  แต่หากว่าใส่ "ตะร๊อต" เข้าไปด้วย เช่นเหนียตว่า "ข้าพเจ้าละหมาดสุนัตอีดฟิตริ" หรือ "ข้าพเจ้าละหมาดสุนัตสุริยคราส"  ก็ถือเป็นการดีอย่างยิ่ง  (โปรด ดูเพิ่มเติม จากหนังสือ ก๊อลยูบีย์ วะ อุมัยเราะฮ์  เล่ม 1 หน้า 160 - 161 ตีพิมพ์ ดารุลฟิกรฺ)     

والله أعلى وأعلم
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

 

GoogleTagged