ผู้เขียน หัวข้อ: รบกวนขอหลักฐานฮาดีษเรื่องบิดอะที่สามารถมาคัดง้างกับฮาดีษดังต่อไปนี้ได้หน่อย(2)  (อ่าน 7894 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ mumin

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 41
  • เพศ: ชาย
  • Respect: -1
    • ดูรายละเอียด

ดังนั้น  ฮะดิษนี้ที่รายงานมาจากท่านนบี  เรามีความเห็นพร้องกันว่านบีได้กล่าวไว้  แต่ความเข้าใจในฮะดิษมันต่างกัน  ฉะนั้น ตัวบทฮะดิษมันเป็นเรื่องหนึ่ง  และความเข้าใจฮะดิษก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ดังนั้น  ตำราฮะดิษมีมากมายเยอะแยะตะเปะไก่  กรุณาให้คุณยกมาอ้างอิงหน่อยซิครับว่า  นักปราชญ์ฮะดิษผู้มีคุณธรรมและมีความเข้าใจฮะดิษเลิศกว่าเรานั้น  เขามีจุดยืนอย่างไรในการเข้าใจฮะดิษ

แต่ผมว่าคุณ mumin  ไม่กล้ายกมาชี้แจงหรอก   เพราะรู้ชะตากรรมว่าเป็นเช่นไรกับทัศนะที่คุณยึดอยู่  oh:

คุณบอกผมเลี่ยงสนทนาวิชาการ? เอ้า ผมเป็นแค่คนเอาวามธรรมดาๆ คุณจะมาสนทนาวิชาการ
อะไรกับผมครับ? โทษทีจะเอาอะไรกับคนที่ความรู้น้อยกว่าคุณครับ? ผมว่าถ้าคุณแน่จริง โต๊ะครูฝ่ายที่ถูกกล่าวหา
ว่าเป็นวะฮาบีย์เยอะแยะไปครับ ไม่เห็นปากกล้าท้าชนกับเค้าเลยนี่? จะเก่งก็อย่าเก่งแต่กับชาวบ้าน
อย่างเดียวสิครับ ช่วยเก่งให้มันจริงทั่วๆ หน่อย ถ้าคุณแจ๋วจริง ก็ไปขอท้าเปิดเวทีกับโต๊ะครูเหล่านั้นไปเลย


คุณบอกทัศนะหรือความเข้าใจของผมที่มีต่อแนวทางของกลุ่มที่ถูกเรียกว่าวะฮาบีย์
ไม่มีอุลามาห์เห็นด้วย ก็อ่านด้านล่างดูครับ อ้างอิงไว้แล้ว อ่านแบบเปิดใจหน่อยนะครับ อย่าใจแคบ

หลังจากผมลองเปิดหูเปิดตา เปิดใจอ่านดู ทั้งสองแนวทางแล้ว ผมก็ว่าแนวทางที่อ้างอิงนี้ ทำให้ผมเข้าใจ
เกี่ยวกับคำพูดของท่านอุมัรไม่น้อยทีเดียวครับ รวมทั้งเรื่องอื่นๆ ด้วย อัลฮัมดุลิลลาฮ์ที่พระองค์
อัลลอฮ์ทรงให้ผมได้เจอบทความนี้ ด้วยอัซบ้าบที่ผมอยากจะศึกษาโดยใจเปิดกว้างเป็นกลาง
ทำให้ผมได้เจอบทความที่ทำให้ผมได้ศึกษาข้อมูลของทั้งสองแนวทางนี้ได้
อ่านแล้วถึงบางอ้อเลยครับ



หะดิษที่ถูกนำไปอ้างว่ามีบิดอะฮฺหะสะนะฮฺ(ภาค1)
http://www.azsunnah.com/modules.php?name=News&file=article&sid=54
หะดิษที่ถูกนำไปอ้างว่ามีบิดอะฮฺหะสะนะฮฺ(ภาค2)
http://www.azsunnah.com/modules.php?name=News&file=article&sid=55
หะดิษที่ถูกนำไปอ้างว่ามีบิดอะฮฺหะสะนะฮฺ(ภาค3)
http://www.azsunnah.com/modules.php?name=News&file=article&sid=56


คุณ elharm คงเห็นแล้วว่าผมกล้ายกมาชี้แจงในแนวทางของอีกกลุ่มหนึ่งที่ผมกำลังศึกษาอยู่
และคงเห็นว่ามีนักปราชย์มากมายที่สนับสนุนทัศนะนี้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ม.ค. 21, 2008, 07:38 PM โดย al-azhary »
วิถีชีวิตของมุสลิม...

ออฟไลน์ قطوف من أزاهير النور

  • ดุนยา..มาเพื่อไป
  • ทีมงานหลังบอร์ด (-_-''')
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1582
  • อยากเป็นเด็กดีของอัลลอฮฺ
  • Respect: +9
    • ดูรายละเอียด
    • แวะไปเม้นหน่อยน่า ^^
 salam

ต่อไปนี้จะเป็นการเสวนาเชิงวิชาการระหว่าง คุณ mumin และ elharm เพียงสองคนเท่านั้น  ขอให้พี่น้องอ่านและศึกษา  โดยขอความร่วมมือในการไม่โพสต์เข้ามาแทรกการเสวนา  ขอมะอัฟพี่น้องล่วงหน้าด้วย   



ดังนั้นโปรดให้คู่เสวนาเชิงวิชาการทั้งสอง  ปฏิบัติตามกฏระเบียบการเสวนาอย่างเคร่งครัดด้วย  เพื่อการเสวนานี้จะได้ดำเนินไปอย่างมีระเบียบเรียบร้อยและยังคุณประโยชน์แก่ผู้ศึกษา  หากคู่เสวนาท่านใดเสวนานอกระเบียบ  ทางเราจะทำการลบข้อความที่ไม่อยู่ในประเด็น

ผู้ร่วมเสวนาโปรดอ่านระเบียบก่อนทำการเสวนา

ขอบคุณ

วัสลาม
يَا بُنَيَّ إِنْ قَدَرْتَ أَنْ تُصْبِحَ وَتُمْسِيَ لَيْسَ فِي قَلْبِكَ غِشٌّ لِأَحَدٍ فَافْعَلْ
 ثُمَّ قَالَ لِي يَا بُنَيَّ وَذَلِكَ مِنْ سُنَّتِي وَمَنْ أَحْيَا سُنَّتِي فَقَدْ أَحَبَّنِي وَمَنْ أَحَبَّنِي كَانَ مَعِي فِي الْجَنَّةِ

"โอ้ลูกรัก ถ้าหากเจ้าสามารถที่จะตื่นขึ้นมาในเวลาเช้าจนถึงเวลาเย็น โดยที่เจ้าไม่คิดร้ายต่อผู้ใด เจ้าจงกระทำเถิด
หลังจากนั้นท่านได้กล่าวแก่ฉันอีกว่า โอ้ลูกรัก และนั่นแหละเป็นแนวทางของฉัน
ผู้ใดฟื้นฟูแนวทางของฉันแสดงว่าเขารักฉัน และผู้ใดรักฉัน เขาได้อยู่กับฉันในสวรรค์"
(บันทึกโดย อัตติรมีซี)

ออฟไลน์ الأزاهرة

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 139
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
อัลเลาะฮ์ทรงตรัสความว่า "ฟิรอูนกล่าวว่า ข้ามิได้ให้พวกท่านออกความเห็นนอกจากสิ่งที่ฉันมีความเห็นเท่านั้น และข้าจะไม่ชี้นำพวกเจ้านอกจากชี้ลู่ทางอันถูกต้องเท่านั้น"  ฆอฟิร 29  ดังนั้น ฟิรอูนจึงเป็นแบบฉบับผู้ที่ชอบกล่าวและเชื่อว่า "ข้าเท่านั้นที่ถูกและข้าเท่านั้นที่เป็นผู้ชี้ทางนำ"

ออฟไลน์ قطوف من أزاهير النور

  • ดุนยา..มาเพื่อไป
  • ทีมงานหลังบอร์ด (-_-''')
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1582
  • อยากเป็นเด็กดีของอัลลอฮฺ
  • Respect: +9
    • ดูรายละเอียด
    • แวะไปเม้นหน่อยน่า ^^

 salam

ขออนุญาตเรียนสั้น ๆ นะคะ

1. สำหรับข้อความที่ลบไปในกระทู้แรก เพราะผิดกฎเสวนาข้อ 4
2. ถ้าข้อความที่คุณยกมา(ของคุณคนอยากรู้ คุณอิลฮาม คุณซิกดิ๊ก) สมควรถูกลบ .. ข้อความส่วนมากของคุณมุอฺมินก็สมควรถูกลบเช่นกัน
3. การที่คนที่คุณต้องการให้มาเสวนาและทำความเข้าใจด้วยไม่มา  .. แปลว่าคุณทำตัวไม่อยู่ในระเบียบที่จะคุยด้วย ไม่ได้เป็นเพราะเหตุผลที่คุณยกมา
4. ยินดีด้วยค่ะที่รีจิสเตอร์เข้ากลุ่มวาฮาบีแล้ว (เค้ารีจีสเตอกันยังงัยหว่า  hihi:) อย่างน้อยคุณก็เป็นพี่น้องมุสลิมเหมือนกัน wink:

สุดท้าย .. ไม่ชอบใจเลยค่ะที่เห็นคุณโพสต์เป็นภาษาอังกฤษ  พี่น้องส่วนมากในเวบนี้เรียนศาสนา น้อยคนจะเข้าใจ ดูยังไงๆ ก็เหมือนไม่ให้เกียรติ แต่เข้าใจว่าคุณคงไม่ทันคิด เอาเป็นว่าเลิกแล้วต่อกันนะคะ เอาเวลาไปดูแลครอบครัวดีกว่า 

ขอพระเจ้าช่วยเหลือเจ้าค่ะ

วัสลาม
يَا بُنَيَّ إِنْ قَدَرْتَ أَنْ تُصْبِحَ وَتُمْسِيَ لَيْسَ فِي قَلْبِكَ غِشٌّ لِأَحَدٍ فَافْعَلْ
 ثُمَّ قَالَ لِي يَا بُنَيَّ وَذَلِكَ مِنْ سُنَّتِي وَمَنْ أَحْيَا سُنَّتِي فَقَدْ أَحَبَّنِي وَمَنْ أَحَبَّنِي كَانَ مَعِي فِي الْجَنَّةِ

"โอ้ลูกรัก ถ้าหากเจ้าสามารถที่จะตื่นขึ้นมาในเวลาเช้าจนถึงเวลาเย็น โดยที่เจ้าไม่คิดร้ายต่อผู้ใด เจ้าจงกระทำเถิด
หลังจากนั้นท่านได้กล่าวแก่ฉันอีกว่า โอ้ลูกรัก และนั่นแหละเป็นแนวทางของฉัน
ผู้ใดฟื้นฟูแนวทางของฉันแสดงว่าเขารักฉัน และผู้ใดรักฉัน เขาได้อยู่กับฉันในสวรรค์"
(บันทึกโดย อัตติรมีซี)

ออฟไลน์ intifad

  • ทีมงานหลังบอร์ด (-_-''')
  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • *****
  • กระทู้: 148
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
    • www.sunnahstudents.com
เก่งจังเลย คงเป็นคนมีความรู้ ฉลาดล้ำโลกแน่ๆ โพสอังกฤษได้  myGreat:

ออฟไลน์ الأزاهرة

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 139
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Before this i am "AL-ASHAIRAH" since i was born.
But now i want be inside group that u called them "WAHABI",
because u don't think i am "AL-ASHAEIRAH" don't really think.
U kick me to another group. OK, U WILL GET WHAT U NEED. I WILL BE INSIDE ANOTHER GROUP
THAT U CALL "WAHABI" AS U NEED. Please look this toppic :

http://www.azsunnah.com/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=282

I HAVE REGISTED TO GROUP U HAVE CALLED "WAHABI" AS ALL OF U NEED.

พี่น้องลองไปดูลิงค์ที่คุณ mumin นำมาอ้างอิงซิครับ  แม้ผู้ที่อยู่ในแนวทางของเขา คือคุณ muslim25 ก็ยังไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมของคุณ  mumin  ข้อความของคุณ muslim25  มีดังนี้ครับ

 salam

ผมยินดีที่คุณมุมินมาเป็นซุนนะฮ์ แต่ผมไม่เห็นด้วยที่คุณไปเสวนาที่เว็บซุนนะฮ์สติวเด้นเยี่ยงนั้น คือคุณน่าจะเสวนาในเชิงวิชาการโดยทำการหลักการเขาไม่มีน้ำหนัก แล้วค่อยประกาศตนเป็นซุนนะฮ์ แต่เท่าที่ผมอ่านดูก็คิดว่าคุณเป็นซุนนะฮ์อยู่แล้ว ก็ไม่น่าจะไปเสวนารูปแบบนั้น พวกเขาโจมตีเรามาพอแล้ว คุณยังไปทำให้พวกเขายิ่งเปิดประเด็นโจมตีเราอีก ชีอะฮ์โจมตีเรานั้นไร้น้ำหนักแต่พวกอะชาอิเราะฮ์โจมตีเรานั้น เราต้องทำงานหนักพอควรอย่างที่เคยๆผ่านมา การตอบรับก็ยิ่งเพิ่ม ผมว่าเรากลับมาทำให้แนวทางของเราดีและนำเสนอข้อมูลดีๆ จะสมควรกว่าเยอะ

อีกอย่าง คุณมุมินไปอ้างอิงลิงค์ของอาจารย์อะสัน ทั้งที่คุณก็น่าจะรู้อยุ่ว่าพวกเขาจะทำการวิจารณ์ข้อเขียนคุณอะสันโดยปริยาย ทั้งที่บทความใครก็น่าจะเป็นบทความส่วนตัวไม่ควรนำเสนอไปให้พวกเขาวิจารณ์แก้ต่าง

วัสลาม


มาพิจารณากันครับพี่น้อง  อยู่ดีๆ คุณ mumin มาถามฮะดิษเรื่องบิดอะฮ์และเสวนาตามสไตย์ของตนที่เรารู้กัน  แค่พิจารณากันเรื่องฮะดิษบิดอะฮ์ของทำประกาศตนไปเป็นวะฮาบีย์  แค่เรื่องเนี่ยเขาเรียกว่าสร้างภาพทำนุ้ยให้พี่น้องเห็นว่า  โอ้...มีอัลอะชาอิเราะฮ์เปลี่ยนใจ (ง่ายเหมือนเกินไปแค่เรื่องพิจารณาฮะดิษบิดอะฮ์ ทั้งที่ยังเสวนากันไม่จบ)  hehe   แล้วคุณ muslim25 ที่อยู่ในแนวทางของเขา  ยังตำหนิและบอกว่า  คุณ mumin ก็คือซุนนะฮ์ (หรือวะฮาบีมาก่อนนี่แหละ) แต่มาสร้างภาพ  แม้กระทั่งผู้อยู่แนวทางวะฮาบีย์ยังรู้ไต๋คุณมุอฺมินเลย  ยิ่งกว่านั้นคุณ muslim25 เองก็ยังตำหนิพฤติกรรมของคุณ mumin นี้ในเชิงนัยๆ เพราะใครๆ ก็รู้ว่าคุณ mumin กำลังแสดงอะไรอยู่  และยิ่งกว่านั้นคุณ muslim25 เอง ก็ยอมรับว่าหากอัลอะชาอิเราะฮ์วิจารณ์แนวทางวะฮาบีย์แล้วจะมีน้ำหนักและกลุ่มวะฮาบีย์ต้องทำงานหนักแก้ต่างกันไม่หวั่นไม่ไหว  และคุณ muslim25 เองก็เผลอไปยอมรับด้วยว่า อัลอะชาอิเราะฮ์ได้รับการตอบรับเพิ่มขึ้น (ซึ่งก็จริงตามนั้นอย่างที่เราเห็นกัน) อัลฮัมดุลิลลาฮ์  และคุณ mumin ก็พลาดที่ไปตักลีดตามข้อเขียนของคุณอะสันแล้วมาอ้างอิงให้เราแก้ต่าง  ดังนั้นนานทีจะมีวะฮาบีย์สายกลางอย่างคุณ muslim25 นำเสนออะไรๆ ที่ตรงไปตรงมา  ผมว่าวะฮาบีย์เช่นนี้สร้างสรรสังคมน่ะ
อัลเลาะฮ์ทรงตรัสความว่า "ฟิรอูนกล่าวว่า ข้ามิได้ให้พวกท่านออกความเห็นนอกจากสิ่งที่ฉันมีความเห็นเท่านั้น และข้าจะไม่ชี้นำพวกเจ้านอกจากชี้ลู่ทางอันถูกต้องเท่านั้น"  ฆอฟิร 29  ดังนั้น ฟิรอูนจึงเป็นแบบฉบับผู้ที่ชอบกล่าวและเชื่อว่า "ข้าเท่านั้นที่ถูกและข้าเท่านั้นที่เป็นผู้ชี้ทางนำ"

ออฟไลน์ Goddut

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 854
  • Respect: +12
    • ดูรายละเอียด
ไม่ใช่ครับ อิลฮาม ,มุสลิม25 เขาบอกว่า

"เราสมควรทำงานหนัก ตามแนวทางเหมือนที่ผ่านๆ มา"

มันหมายถึงว่า ให้ปฎิบัติตนให้ดี อยู่ในแนวทางของอิสลามที่ดี การตอบรับก็จะมาเอง ประมาณนี้ครับ

ไม่ใช่ การตอบรับ ของเรา หรือของเขา แต่เป็นการตอบรับที่มาจากพี่น้องด้วยกัน เนื่องจากการทำงานหนักเพื่ออัลลอฮฺครับ

วัสลาม...

ออฟไลน์ الأزاهرة

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 139
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
ไม่ใช่ครับ อิลฮาม ,มุสลิม25 เขาบอกว่า

"เราสมควรทำงานหนัก ตามแนวทางเหมือนที่ผ่านๆ มา"

มุสลิม 25 พูดตามตัวอักษรว่า

"พวกเขาโจมตีเรามาพอแล้ว คุณยังไปทำให้พวกเขายิ่งเปิดประเด็นโจมตีเราอีก"

แสดงว่าเขาไม่อยากให้เราเปิดประเด็นโจมพวกเขามากไปกว่านี้

"ชีอะฮ์โจมตีเรานั้นไร้น้ำหนักแต่พวกอะชาอิเราะฮ์โจมตีเรานั้น เราต้องทำงานหนักพอควรอย่างที่เคยๆผ่านมา การตอบรับก็ยิ่งเพิ่ม"

แสดงว่าเมื่อเราวิจารณ์วะฮาบีย์  พวกเขาต้องทำงานหนักพอควร  เช่นกระทู้อะกีดะฮ์  เป็นต้น  ซึ่งการตอบรับความเข้าใจเรื่องอะกีดะฮ์อัลอะชาอิเราะฮ์ก็เพิ่มขึ้นและเว็บไซต์ได้รับการตอบรับเพิ่มขึ้น

"ผมว่าเรากลับมา
ทำให้แนวทางของเราดีและนำเสนอข้อมูลดีๆ จะสมควรกว่าเยอะ"

แสดงว่าอย่าไปทำให้พวกเขาเปิดกระทู้วิจารณ์และต้องคอยไปชี้แจงอย่างหนัก แต่กลับมาทำของเราได้ดีไม่สมควรกว่าหรือ

------------

ผมเข้าใจเช่นนี้  ไม่รู้ว่าเข้าข้างตัวเองหรือเปล่า  party:
 
อัลเลาะฮ์ทรงตรัสความว่า "ฟิรอูนกล่าวว่า ข้ามิได้ให้พวกท่านออกความเห็นนอกจากสิ่งที่ฉันมีความเห็นเท่านั้น และข้าจะไม่ชี้นำพวกเจ้านอกจากชี้ลู่ทางอันถูกต้องเท่านั้น"  ฆอฟิร 29  ดังนั้น ฟิรอูนจึงเป็นแบบฉบับผู้ที่ชอบกล่าวและเชื่อว่า "ข้าเท่านั้นที่ถูกและข้าเท่านั้นที่เป็นผู้ชี้ทางนำ"

ออฟไลน์ Goddut

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 854
  • Respect: +12
    • ดูรายละเอียด
เข้าใจถูก

และผมคิดว่า มุสลิม25 ก็เห็นคล้ายๆ กัน กับผม ที่ไม่ค่อยอยากจะมีเรื่องเท่าใดนัก

แต่ถ้ามาหาเรื่องก่อน มันก็เป็นอีกเรื่องเหมือนกัน

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته

กระทู้นี้ผมจะนำเสนอเอง  เพราะว่าได้เคยโต้ตอบไว้ในเว็บมรดกแล้ว  และจะนำเสนอความเข้าใจของฮะิดิษ  كل بدعة ضلالة  โดยมีฮะดิษนบีบทอื่นมาทอนความหมาย  ตามความเข้าใจของนักปราชญ์ฮะดิษผู้มีคุณธรรม  ซึ่งหากให้ อิลฮาม นำเสนอสิ่งที่ผมไ้ด้เคยเสวนาไป  คุณมุอฺมิน  ก็อาจจะกล่าวไ้ด้ว่า  ไปเอาของคนอื่นมาโพสต์  ดังนั้นกระทู้นี้ผมจะทำการตอบเองในเชิงวิชาการครับ  อินชาอัลเลาะฮ์

والسلام

al-azhary
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته

กระทู้นี้ผมขอล๊อกไว้ชั่วคราวครับ  เพื่อทำการแก้ต่างบทความของบังอะสัน  และหลังจากนั้นจะทำการชี้แจงฮะดิษ كل بدعة ضلالة  แล้วหลังจากนั้นผมก็จะทำการเปิดกระทู้นี้เพื่อทำการเสวนาครับ  อินชาอัลเลาะฮ์ 

والسلام

al-azhary
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
بسم الله الرحمن الرحيم

ในปัจจุบัน  การกล่าวหาหุกุ่มบิดอะฮ์กับบรรดาพี่น้องมุสลิมต่างทัศนะที่เกี่ยวกับปัญหาคิลาฟิยะฮ์ข้อปลีกย่อยนั้น  ได้สร้างความแตกแยกและสั่นคลอนเกิดขึ้นในสังคมมุสลิม  แต่ด้วยการยึดติดและคลั่งไคล้ในทัศนะของตนหรือเชื่อว่าแนวทางของตนเท่านั้นที่ถูกต้อง และเชื่อว่าตนเองกำลังเป็นผู้ฟื้นฟูศาสนานั้น   ทำให้มีความมักง่าย  ด้วยการกล่าว ชิริก  กล่าวบิดอะฮ์ต่อบรรดามุสลิมมีนที่อยู่แนวทางอื่นจากตน  โดยไม่ทำความเข้าใจและศึกษาแนวทางอื่นอย่างใจเป็นธรรมและถี่ถ้วน   ซึ่งปัญหาเหล่านี้  ไม่ใช่จะแก้ด้วยการให้บรรดามุสลิมมีนอีกทัศนะหนึ่งต้องมาเชื่อทัศนะของตนเพียงฝ่ายเดียว  ซึ่งในสภาพความเป็นจริงย่อมทำไม่ได้ในเชิงปฏิบัติอยู่แล้ว  เนื่องจากการขัดแย้งในข้อปลีกย่อยนั้น  ได้มีมาตั้งแต่สมัยของซอฮาบะฮ์จวบจนถึงปัจจุบัน  แต่สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดในขณะนี้ก็คือ  การทำความเข้าใจในหลักการซึ่งกันและกัน  สิ่งใดที่มีทัศนะเห็นพร้องกัน  เราก็สมควรร่วมมือกัน  และสิ่งใดที่ต่างทัศนะกัน เราก็ผ่อนปรนให้กันและกัน   

ก่อนอื่นเราต้องทราบคำนิยามของบิดอะฮ์ในเชิงวิชาการเสียก่อนว่ามันไม่ความหมายว่าอย่างไร  ท่านอิมามอัชชาฟิอีย์  นักปราชญ์สะละฟุศศอลิห์ผู้มีคุณธรรม  ได้ให้คำนิยามไว้ว่า

"สิ่งต่าง ๆ  ที่เกิดขึ้นมาใหม่นั้น  มี 2 ประเภท (1)  สิ่งที่ถูกทำขึ้นมาใหม่  ที่ขัดแย้งกับอัลกุรอาน  ซุนนะฮ์  คำพูดที่ถูกรายงานมา  และอิจญฺมาอ์  สิ่งนี้ย่อมเป็นบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลง (2)  สิ่งที่ถูกทำขึ้นมาใหม่จากคุณงามความดี  ที่ไม่ขัดกับอันหนึ่งอันใด(ที่กล่าวมาแล้ว)นี้  และนี้ย่อมเป็นสิ่งที่ถูกทำขึ้นมาใหม่โดยไม่ถูกตำหนิً" ดู  หนังสือ มะนากิบ อัช-ชาฟิอีย์  เล่ม 1 หน้า 468 - 469 

จากคำนิยามของอิมามอัชชาฟิอีย์  ซึ่งเป็นสะละฟุศศอลิฮ์  นี้  ทำให้เราทราบว่า  บิดอะฮ์มีอยู่ 2 ประเภท  คือ

1. บิดอะฮ์ฏ่อลาละฮ์  คือสิ่งที่ทำขึ้นมาใหม่ที่ขัดแย้งกับอัลกุรอาน , ซุนนะฮ์ , คำพูดที่รายงานจากซอฮาบะฮ์ , และอิจญ์มาอ์

2. บิดอะฮ์หะสะนะฮ์  คือสิ่งที่ทำขึ้นมาใหม่จากคุณงามความดีที่ไม่ขัดแย้งกับอัลกุรอาน , ซุนนะฮ์ , คำพูดที่รายงานจากซอฮาบะฮ์ , และอิจญ์มาอ์

เพราะฉะนั้น  บิดอะฮ์หะสะนะฮ์ ก็คือ ซุนนะฮ์ นั่นเอง ซึ่งท่าน อิบนุ อะษีร ได้กล่าวยืนยันไว้ว่า

والبدعة الحسنة فى الحقيقة سنة، وعلى هذا التأويل يحمل حديث " كل محدث بدعة" على ما خالف أصول الشريعة، وما لم يخالف السنة

"และในความเป็นจริงแล้วบิดอะฮ์หะสะนะฮ์  ก็คือซุนนะฮ์นั่นเอง   และให้อธิบายตามนัยนี้   หะดิษที่ว่า "ทุกๆสิ่งที่เกิดขึ้นมาใหม่นั้น เป็นบิดอะฮ์"  โดยหมายถึง  สิ่งที่ขัดกับหลักพื้นฐานของศาสนา และสิ่งที่ขัดกับซุนนะฮ์ " ดู หนังสือ อันนิฮายะฮ์ เล่ม 1 หน้า 80

จากคำนิยามดังกล่าว  สรุปได้ว่าบิดอะฮ์หะสะนะฮ์  คือ  "ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาใหม่โดยมีรากฐานหรืออยู่บนพื้นฐานของหลักศาสนาและไม่ขัดกับหลักศาสนา ย่อมเป็นสิ่งที่กระทำได้"
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
ผู้เขียนกล่าวว่า
 
การอ้างคำพูดท่านอิบนุมัสอูด มาสนับสนุนว่าในศาสนามีบิดอะฮที่ดี (บิดอะฮหะสะนะฮ) คือจุดบอดอีกข้อหนึ่งของผู้ที่พิสมัยบิดอะฮ
เพราะคำพูดของอิบนิอับบัส (ร่อฎิยัลลอฮฺอัน) ซึ่งได้มีการวิจารณ์ไว้ว่า

انماأثرموقوف على ابن مسعود فليس بحجة

"ความจริงต้นตอ(คำพูดนั้น)หยุดอยู่ที่ อิบนิมัสอูด (หมายถึงหะดิษเมากูฟสืบไม่ถึงท่านนบี) ไม่ใช่เป็นหลักฐาน" อัลอิบดาอฺ หน้า 125


หมายความว่า เอามาเป็นหลักฐานในการสนับสนุนการทำบิดอะฮไม่ได้ และคำพูดนี้ท่านอิบนุมัสอูด(ร่อฎิยัลลอฮฺอัน)ได้กล่าวถึงการชมเชย
คุณคุณลักษณะความดีของเหล่าเศาะหาบะฮว่า

ان الله نظر في قلوب العباد، فوجد قلب محمد صلى الله عليه وسلم خير قلوب العباد، فاصطفاه لنفسه، وابتعثه برسالته، ثم نظر في قلوب العباد بعد قلب محمد صلى الله عليه وسلم، فوجد قلوب أصحابه خير قلوب العباد،فجعلهم وزراء نبيه،يقاتلون على دينه،فما رأه المسلمون حسنا فهو عند الله حسن، وما رأوه سيئا فهو عند الله سيء

          "แท้จริงอัลลอฮ ได้ทรงพิจรณาในบรรดาหัวใจของบรรดาบ่าว แล้วทรงพบว่า หัวใจของ มุหัมหมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม นั้นเป็น
  หัวใจมีความประเสริฐยิ่งในบรรดาหัวใจของบ่าวทั้งหลาย แล้วพระองทรงคัดเลือกเขา ให้แก่พระองค์เอง และทรงแต่งตั้งเขาให้เป็นผู้นำสาส์นของ

          พระองค์ หลังจากนั้น พระองค์ทรงพิจารณาในบรรดาหัวใจของบ่าว รองจากหัวใจของมุหัมหมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม แล้วพบว่า บรรดา
  หัวใจของบรรดาสาวกของเขา (มุหัมหมัด) เป็นหัวใจที่ มีความประเสริฐ ยิ่งในบรรดาหัวใจของบ่าวทั้งหลาย และพระองค์ให้พวกเขาเป็นที่

          ปรึกษาของนบีของพระองค์ โดย พวกเขาทำการต่อสู้เพื่อปกป้องศาสนา ของพระองค์ ดังนั้น สิ่งใดที่พวกเขาเห็นว่าดี สิ่งนั้น อัลลอฮก็เห็นดีด้วยและ
  สิ่งใดที่พวกเขาเห็นว่าไม่ดี ดังนั้น อัลลอฮ ก็เห็นว่าไม่ดี(เช่นกัน)

شرح العقيدة الطحاوية(ص531)وقال الألبان حسن موقوف،أخرجه الطيالسي وأحمد وغيرهما بسند حسن،وصححه الحاكم ووافقه الذهبي.

       คำว่า “المسلمون “ (อัล-มุสลิมูน) เป็น วิสามานยนาม (อิสมุนมะอฺริฟะฮ) เป็นนามที่ชี้เฉพาะเจาะจง ไม่ได้หมายถึง “บรรดามุสลิมทั่วไป)
  และ อลิฟ-ลาม ในคำว่า المسلمون เรียกว่า “อลิฟลาม ลิลอะฮดิซซิกริ” หมายถึง เป็นที่รู้กัน เพราะต้นเรื่อง ท่านอิบนุมัสอูด กล่าวถึงบรรดา

          เศาะหาบะฮ คือ บรรดาเศาะหาบะฮ ไม่ใช่มุสลิมโดยทั่วไป และ นี่คือ อัล-อิจญาอฺ หมายถึง อิจญมาอฺของเหล่าเศาะหาบะอฺ คือสิ่งที่บรรดา
  เหล่าเศาะหาบะฮ มีมติเห็นฟ้องกัน ซึ่ง อัจญมะอฺเศาะหาบะฮ นั้น ไม่มีใคร ปฏิเสธ"

วิจารณ์

คำกล่าวของท่านอิบนุมัสอูด  เรามิได้นำมาสนับสนุนบิดอะฮ์ลุ่มหลง  แต่เรานำมาอ้างอิงเพื่อให้ทราบว่า  บิดอะฮ์หะสะนะฮ์นั้น  ไม่ใช่จะมาคิดทำกันง่าย ๆ ต้องผ่านการวินิจฉัยบนรากฐานของศาสนา  ไม่ขัดกับอัลกุรอาน ซุนนะฮ์  อิจญ์มาอฺ  เป็นต้น 

ดังนั้น  หากคำกล่าวของท่านอิบนุมัสอูด ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุ  หมายถึง  อิจญ์มาอฺ(มติ) ของซอฮาบะฮ์  ก็ไม่ได้ความหมายว่า  อิจญ์มาอฺเกิดขึ้นเพียงแค่ยุคสมัยของซอฮาบะฮ์  เพราะว่าหากยุคสมัยตาบิอีนและตาบิอิตตาบิอีน  มีอิจญ์มาอฺเกิดขึ้น  ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี ณ ที่อัลเลาะฮ์ตาอาลา  แต่ทว่าการอิจญ์มาอฺของซอฮาบะฮ์ถือว่าอิจญ์มาอฺที่ประเสริฐสุด 

ดังนั้น  คำกล่าวของท่านอิบนุมัสอูดนี้  หมายถึงซอฮาบะฮ์  เพราะว่าท่านอิบนุมัสอูดเป็นซอฮาบะฮ์และอยู่ในยุคศอฮาบะฮ์  แต่ทว่าคำกล่าวของท่านอิบนุมัสอูดนี้  นำมาจำกัดเกี่ยวกับเรื่องอิจญ์มาอฺโดยตรงหรือเปล่า?  เราขอตอบว่า "ไม่"  แต่ครอบคลุมในเรื่องของ อุรุฟ (ขนบธรรมเนียมประเพณี) ที่เห็นว่าไม่ขัดกับหลักศาสนาด้วย โปรดดู islam-qa

ดังนั้น  ตามหลักการแล้ว  คำกล่าวของท่านอิบนุมัสอูด "  "สิ่งที่บรรดามุสลิมมีนเห็นว่ามันดีนั้น มันก็ย่อมเป็น ตามทัศนะของอัลเลาะฮ์ด้วย"  หมายถึง  ความเห็นที่ว่าดีนั้น  ต้องเกิดขึ้นจากการอิจญ์ฮาดวินิจฉัย  เพราะความเห็นที่ไม่เกิดจากการอิจญ์ฮาดวินิจฉัยนั้น  ย่อมเป็นที่ดีไม่ได้  และเงื่อนไขของการอิจญฺฮาดนั้น ต้องอยู่บนพื้นฐานของหลักศาสนาที่เกี่ยวกับหลักอิจญ์ฮาด  นั่นคือคุณลักษณะที่แท้จริงในการออกความเห็นในเรื่องศาสนา 

อนึ่ง บรรดาซอฮาบะฮ์นั้นเป็นนักมุจญฺฮิดประมาณ 130 กว่าคน ส่วนซอฮาบะฮ์อื่น ๆ ที่เป็นคนเอาวามไม่ถึงขั้นระดับวินิจฉัย  ก็ไม่สามารถออกความเห็นเกี่ยวกับหลักศาสนาได้   ดังนั้นคำกล่าวของท่านอิบนุมัสอูดนี้  หมายถึงซอฮาบะฮ์ที่มีคุณลักษณะที่ เป็นนักมุจญฺฮิด นักวินิจฉัยที่ทรงความรู้ ดังนั้น คุณลักษณะนี้ ย่อมมีอยู่ในบรรดา บรรดามุสลิมีนที่เป็นอุลามาอ์ฟิกห์ที่เป็นนักมุจญฺฮิด และด้วย คุณลักษณะนี้ก็เป็นคุณลักษณะของซอฮาบะฮ์  ฉะนั้น สิ่งที่บรรดาซอฮาบะฮ์ที่เป็นนักมุจญฺฮิดเห็นว่าดี สิ่งนั้นก็ดีด้วยตามทัศนะของอัลเลาะฮ์ เช่นเดียวกันคือ สิ่งที่บรรดามุสลิมีนที่เป็นนักปราชน์ฟิกห์ที่เป็นมุจญฺฮิดเห็นว่าดี สิ่งนั้นย่อมดีด้วยตามทัศนะของอัลเลาะฮ์ โดยมีเงื่อนไขเพิ่มมาอีกว่า ต้องไม่ขัดกับ อัลกุรอาน ซุนนะฮ์ และอิจญฺมาอ์ และนี่ก็คือความเข้าใจของอุลามอ์อุซูลผู้ทรงความรู้ด้วย

ดังนั้น  จึงเป็นไปไม่ได้  ในการกล่าวว่า  สิ่งที่ไม่ขัดกับอัลกุรอาน  ซุนนะฮ์  และอิจญ์มาอฺ  เป็นสิ่งที่ชั่ว!  และทำให้ตกนรก! 

ดังนั้น  จากคำนิยามดังกล่าว  สรุปได้ว่าบิดอะฮ์หะสะนะฮ์  คือ  "ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาใหม่โดยมีรากฐานหรืออยู่บนพื้นฐานของหลักศาสนาและไม่ขัดกับหลักศาสนา ย่อมเป็นสิ่งที่กระทำได้"  จึงไม่ใช่สิ่งที่ชั่วและไม่ทำให้ตกนรกครับ
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
ผู้เขียนกล่าวว่า

 อิหม่ามชาฟิอี (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า

ليس لاحد دون رسول الله صلى الله عليه وسلم أن يقول إلا بالاستدلال،

"ไม่อนุญาตแก่บุคคลใดอื่นจากท่านรซูลุ้ลลอฮ ศอลฯ ในการที่จะกล่าว(อ้างทัศนะ) นอกจาก ต้องอ้างหลักฐาน"

 และอีกถ้อยคำหนึ่งของท่าน

 ولا يقول بما استحسن، فإن القول بما استحسن شيء يحدثه لا على مثال سبق"

 "และเขาจะไม่กล่าว(อ้างทัศนะ) ในสิ่งที่เห็นว่าดี นั้น คือ สิ่งที่ถูกอุตริขึ้นมาใหม่ โดยไม่มีแบบอย่างมาก่อน"
  ดู อัรริสาละฮ หน้า 504

วิจารณ์

คำกล่าวของอิมามชาฟิอีย์นี้   ไม่เกี่ยวข้องกับการคัดค้านเรื่องบิดอะฮ์หะสะนะฮ์เลยแม้แต่น้อย  ดังนั้นผมจึงไม่ทราบว่าผู้เขียนนำมาอ้างอิงเพื่ออะไร?  ยิ่งกว่านั้นยังไม่เข้าใจคำกล่าวของอิมามชาฟิอีย์ที่อ้างอิงมา  และยิ่งไปกว่านั้น อิมามชาฟิอีย์เอง  มีทัศนะแบ่งบิดอะฮ์ออกเป็น 2 ประเภท!! คือบิดอะฮ์ที่ถูกตำหนิ(ลุ่มหลง) และบิดอะฮ์ที่ดี(ไม่ลุ่มหลง)
ท่านอิมามชาฟิอีย์กล่าวว่า 

สิ่งต่าง ๆ  ที่เกิดขึ้นมาใหม่นั้น  มี 2 ประเภท
(1)  สิ่งที่ถูกทำขึ้นมาใหม่  ที่ขัดแย้งกับอัลกุรอาน  ซุนนะฮ์  คำพูดที่ถูกรายงานมา  และอิจญฺมาอ์  สิ่งนี้ย่อมเป็นบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลง
(2)  สิ่งที่ถูกทำขึ้นมาใหม่จากคุณงามความดี  ที่ไม่ขัดกับอันหนึ่งอันใด(ที่กล่าวมาแล้ว)นี้  และนี้ย่อมเป็นสิ่งที่ถูกทำขึ้นมาใหม่โดยไม่ถูกตำหนิ
ท่านอุมัรได้กล่าว  เกี่ยวกับ(การรวม)ละหมาดตะรอวิหฺ ว่า
نعمت البدعة هذه
"เป็นบิดอะฮ์ที่ดี  คือ(ตะรอวิหฺ) อันนี้"
หมายความว่า"การ(รวมตัว)ละหมาดตะรอวิหฺ(20 ร่อกะอัต)ในคืนร่อมาฏอนนี้  คือสิ่งที่ทำขึ้นมาใหม่โดยที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน  และเมื่อมีการกระทำขึ้นมาแล้ว  ก็ไม่เป็นการขัดต่อสิ่งที่กล่าวมา "  และสายรายงานนี้ ซอเฮี๊ยะห์   ดู  หนังสือ มะนากิบ อัช-ชาฟิอีย์  เล่ม1 หน้า 468 - 469

ท่านอบู นุอัยม์  ได้นำเสนอรายงานอีกสายรายงานหนึ่ง  ไว้ในหนังสือ  หิลยะตุลเอาลิยาอ์  เล่ม 9 หน้า 113  ว่า "ท่านอิมามอัช-อัชชาฟิอีย์  กล่าวว่า  บิดอะฮ์นั้น  มี 2  ประเภท  คือบิดอะฮ์ที่ถูกสรรเสริญ  และบิดอะฮ์ที่ถูกตำหนิ  ดังนั้น  สิ่งที่สอดคล้องกับซุนนะฮ์  ย่อมเป็นสิ่งที่ถูกสรรเสริญ  และสิ่งที่ขัดกับซุนนะฮ์  ย่อมเป็นสิ่งที่ถูกตำหนิ  และอิมามชาฟิอีย์  ได้อ้างหลักฐานด้วยคำกล่าวของท่านอุมัร(ร.ฏ.) เกี่ยวกับ ละหมาดตะรอวิหฺในเดือนรอมฏอนที่ว่า
نعمت البدعة هذه
"เป็นบิดอะฮ์ที่ดี  คือ(ตะรอวิหฺ) อันนี้"

ดังนั้น   การนำคำกล่าวของอิมามชาฟิอีย์มาประกอบบทความของตนเกี่ยวกับการค้านเรื่องบิดอะฮ์หะสะนะฮ์นั้น  ถือว่าฟังไม่ขึ้นโดยประการทั้งปวงและไม่เข้าใจคำกล่าวของอิมามอัชชาฟิอีย์ 

ผู้เขียนอ้างอิงคำกล่าวของอิมามชาฟิอีย์ว่า

ليس لاحد دون رسول الله صلى الله عليه وسلم أن يقول إلا بالاستدلال،

"ไม่อนุญาตแก่บุคคลใดอื่นจากท่านรซูลุ้ลลอฮ ศอลฯ ในการที่จะกล่าว(อ้างทัศนะ) นอกจาก ต้องอ้างหลักฐาน"

คำกล่าวของอิมามอัชชาฟิอีย์นั้น  ถูกต้องครับ  เพราะว่าการกล่าวทัศนะใดทัศนะหนึ่งนั้น  ต้องมีหลักฐานมาอ้างอิง  ดังนั้น  การแบ่งบิดอะฮ์เขาก็มีหลักฐานพิจารณาจากอัลกุรอานและฮะดิษ  และบิดอะฮ์หะสะนะฮ์  คือ  ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาใหม่โดยมีรากฐานหรืออยู่บนพื้นฐานของหลักศาสนาและไม่ขัดกับหลักศาสนา  ดังกล่าวจึงไม่ได้ขัดแย้งกับคำพูดของอิมามชาฟิอีย์เลย  และอิมามชาฟิอีย์ก็มีทัศนะแบ่งแยกบิดอะฮ์ครับ 
 
ผู้เขียนอ้างอิงคำกล่าวของอิมามชาฟิอีย์อีกว่า

ولا يقول بما استحسن ، فإن القول بما استُحسِن شيء يُحدِثه لا على مثالٍ سابق

"และเขาจะไม่กล่าว(อ้างทัศนะ) ในสิ่งที่เห็นว่าดี นั้น คือ สิ่งที่ถูกอุตริขึ้นมาใหม่ โดยไม่มีแบบอย่างมาก่อน"  ดู อัรริสาละฮ หน้า 504

คำกล่าวของอิมามชาฟิอีย์นี้  ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการคัดค้านบิดอะฮ์หะสะนะฮ์เลยแม้แต่น้อย  เพราะอิมามชาฟิอีย์เองนั้น  ก็ยึดทัศนะการแบ่งแยกบิดอะฮ์   และคำกล่าวของอิมามชาฟิอีย์นี้   พูดถึงเรื่อง  อัลอิสติห์ซาน  ซึ่งการอิสติห์ซานนี้  หลัก ๆ แล้ว  อิมามชาฟิอีย์ให้เห็นด้วย  เพราะไปกิยาสกับสิ่งที่ไม่มี مثالٍ سابق (ฮุกุ่มที่เหมือนกันมาอยู่ก่อน)  เช่นฮุกุ่มจากอัลกุรอาน  ซุนนะฮ์  และอิจญ์มาอฺ เป็นต้น   ซึ่งหากมีฮุกุ่มที่เหมือนกันมาอยู่ก่อน  ก็สามารถที่จะไปกิยาสเทียบเคียงได้   แต่ถ้าหากไม่มีฮุกุ่มที่เหมือนกันมาอยู่ก่อนหน้านี้   ก็ไม่ได้อยู่ในหลักการกิยาสที่ถูกต้องตามทัศนะของอิมามชาฟิอีย์  แต่อยู่ในหลักความเห็นที่อุตริขึ้นเองโดยไม่ได้ไปเทียบเคียง(กิยาส)กับฮุกุ่มจากอัลกุรอาน  ซุนนะฮ์  และอิจญ์มาอฺ  ที่มีอยู่ก่อนหน้านี้  และนั่นก็คือความหมายคำพูดของอิมามชาฟิอีย์  ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการคัดค้านเรื่องบิดอะฮ์หะซะนะฮ์เลยแม้แต่น้อย  ดังนั้นการอ้างอิงคำกล่าวของอิมามชาฟิอีย์นี้  มันคนละเรื่องกัน   

เมื่อพูดถึงเรื่องอัลอิสติห์ซานแล้ว  เราลองมาทำความเข้าใจหลักอัลอิสติห์ซานอย่างไรที่อิมามชาฟิอีย์คัดค้านเพื่อประดับความรู้กันสักนิดครับ 

ท่าน อัล-อามิดีย์ กล่าวว่า

النوع الثالث : الإستحسان

وقد أختلف فيه فقال به أصحاب أبو حنيفة وأحمد بن حنبل ؛ وأنكر الباقون ، حتى نقل عن الشافعى أنه قال : من استحسن ، فقد شرع

ความว่า" ได้ขัดแย้งกัน ในเรื่อง อัลอิสติหฺซาน ดังนั้น ได้กล่าวยอมรับการ อัลอิสติหฺซาน โดยบรรดาศานุศิษย์ของอบูหะนีฟะฮ์ และท่านอะหฺมัด บิน หัมบัล และบรรดากลุ่มที่เหลือ ให้การปฏิเสธ จนกระทั้ง ถูกถ่ายทอดคำกล่าวของ ท่านอัชชาฟิอีย์ ว่า "ผู้ใดที่ทำการอิสติหฺซาน เขาย่อมวางบทบัญญัติขึ้น(เอง)" (ดู อัล-อิหฺกาม ฟี อุซูลุลอะหฺกาม เล่ม 4 หน้า 390)

แล้วอะไรคือ อัล-อัสติหฺซาน ตามหลักวิชาอุซูลลุลฟิกห์ ? หรือว่า วะฮาบีย์ เขาไปแปลคำกล่าวของอิมามชาฟิอีย์ ในเชิงภาษา แล้วก็เอามาสนับสนุนแนวทางของตนเองนั้น ก็เอาไปหลอกชาวบ้านเอาวามนั้นได้ แต่อย่าเอาหลอกผู้ที่อัลเลาะฮ์ทรงให้เขามีความรู้เล็กๆน้อยๆ

คำนิยามของ" อัลอิสติหฺซาน"
ตามหลักภาษา หมายถึง ถือว่าดี คิดว่าดี เชื่อว่าดี หรือนับว่าดี
ตามหลักวิชาการหมายถึง " การเปลี่ยนการเอาหุกุ่มหนึ่งที่ได้จากการกิยาสที่ชัดเจน ไปยังการใช้กิยาสล้ำลึกกว่า เนื่องจากมีหลักฐาน(หมายถึงเหตุผล)อื่นมาให้น้ำหนักมากกว่า"

อัลอิสติหฺซานนี้ มีหลายประเภทด้วยกัน

ดูตัวอย่าง

- การอิสติหฺซานด้วยการ กิยาสที่(มีน้ำหนัก)ล้ำลึก

เช่นการ วะกัฟที่ดินเพาะปลูก ซึ่งสามารถมาใช้ได้ 2 การกิยาส

1. กิยาสที่ชัดเจน คือการวะกัฟนั้น เสมือนกับการ ขาย ซึ่งผู้วะกัฟไม่มีกรรมสิทธิ์ใดๆกับสิ่งที่วะกัฟไปแล้ว ซึ่งเหมือนกับการขายให้ผู้อื่นไปแล้ว ดังนั้น ผู้วะกัฟ จะไปใช้ประโยชน์ในการเดินผ่าน หรือไปเอาน้ำมาใช้เรื่องส่วนตนไม่ได้แล้ว เพราะเหมือนกับขายผู้อื่นไปแล้ว นี่เขาเรียกว่า เอาการวะกัฟ ไปกิยาสกับการ ขาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ชัดเจนครับ

2. กิยาสที่(มีน้ำหนัก)ล้ำลึก คือการวะกัฟ เสมือนกับการ ให้เช่า เนื่องจากผู้ใช้เช่าก็ยังได้รับประโยชน์จากสิ่งที่ตนให้ผู้อื่นทำการเช่า และผู้ที่ทำการเช่าก็ได้รับผลประโยชน์อยู่แล้ว การวะกัฟก็เช่นกัน คือทั้งผู้วะกัฟ และผู้ที่ถูกวะกัฟให้กับเขา ก็สามารถได้รับผลประโยชน์ทั้งสองฝ่ายด้วยกับสิ่งที่วะกัฟไป

ฉะนั้น การกิยาสแบบที่สอง จึงมีน้ำหนักมากกว่าอีกแบบที่หนึ่ง เพราะจุดมุ่งหมายของการวะกัฟนั้นคือ การเอาผลประโยชน์จากมัน

- การอิสติหฺซานด้วยการ อุรุฟ (ตามธรรมเนียมชนส่วนมาก)

เช่นผู้คนต่างรู้ดีว่า ทำสิ่งหนึ่งที่ขัดกับหลักกิยาสและหลักการทั่วไป ด้วยเหตุที่มีความจำเป็น
เช่นการให้เช้าห้องน้ำ ด้วยราคาที่ตายตัว โดยไม่ได้กำหนดปริมานน้ำที่ลูกค้าจะใช้ หรือระยะเวลาที่อยู่ในห้องน้ำ ซึ่งตามหลัก กิยาส ถึงว่าไม่อนุญาติ เนื่องจากการเช่าคลุ่มถึงข้อตกลงให้เช่าที่ไม่แน่ชัด ว่าเช่าเวลาเท่าไหร่ ใช้น้ำปริมานเท่าไหร่ เป็นต้น แต่ดังกล่าวก็อนุญาติ เพราะมีความจำเป็น และไม่อยากให้เกิดความลำบาก ฉะนั้น ดังกล่าวนี้ จึงถึงว่าการ อัลอิสติหฺซาน

ความจริงการ อิสติหฺซานนี้ อยู่ในหลักการกิยาส และหลักอัลอิสติหฺซานนี้ บรรดาอุลามาอ์มัซฮับชาฟิอีย์ก็นำมาใช้ และอัลอิสติหฺซานที่อยู่ในลักษณะเช่นนี้ ก็ไม่มีผู้ใดให้การคัดค้าน เพราะมันไม่ได้ใช้พื้นฐานอารมณ์มาเป็นที่ตั้ง ดังนั้น คำกล่าวของอิมามชาฟิอีย์ที่ว่า "ผู้ใดทำการอัลอิสติหฺซาน เขาย่อมวางบทบัญญัติขึ้นมาเอง" ย่อมหมายถึง การอิสติหฺซานที่เอาอารมณ์มาเป็นที่ตั้ง หรือตามอารมณ์ แต่ทำการอิสติหฺซาน โดยตามหลักการ ก็ย่อมไม่มีปัญหาแต่ประการใด

ดังนั้น วะฮาบีย์จะเอาคำกล่าวของอิมามชาฟิอีย์ (ร.ฏ.) มาแอบอ้างให้เข้าทางตนย่อมไม่ได้ เนื่องจากมันเป็นธรรม

เนื่องจากอิมามชาฟิอีย์ ก็ให้หลักอิสติหฺซาน เช่นท่านอัล-อามิดีย์ ได้กล่าวถ่ายทอดคำกล่าวของอิมามชาฟิอีย์ไว้ว่า

وقد نقل عن الشافعى أنه قال : أستحسن فى المتعة أن يكون ثلاثين درهما ؛ وأستحسن ثبوت الشفعة للشفيع الى ثلاثة أيام ؛ وأستحسن ترك شىء من نجوم الكتابة. وقال فى السارق إذا أخرج يده اليسرى بدل اليمنى ، فقطعت : القياس أن تقطع يمناه ، والإستحسان أن لا تقطع

"ได้ถูกถ่ายทอด จากอิมามอัช-ชาฟิอีย์ ซึ่งแท้จริง ท่านกล่าวว่า ฉันได้ถือว่าดี(อิสติหฺซาน) ในเรื่องให้ค่าเลี้ยงดูนั้น คือ 30 ดิรฮัม และฉันถือว่าดี กับการให้คงการร่วมหุ้นส่วนกัน กับผู้ที่ร่วมหุ้นส่วนนั้น (อย่างน้อย)ระยะเวลา 3 วัน และฉันถือว่าดี กับการทิ้งทรัพย์สินบางส่วน (ให้แก่ทาส) จากทรัพย์งวดต่างๆของการที่ทาสได้หาเงินมาไถ่ตัวตนเอง และอิมามชาฟิอีย์ กล่าวเกี่ยวกับ ผู้ขโมยว่า เมื่อเขายื่นมือซ้ายแทนมือขวาออกมา ก็ให้ตัดมือซ้าย โดยที่ อัลกิยาสแล้ว คือให้ตัดมือขวา แต่ที่นับว่าดีนั้น ไม่ควรตัด" (เนื่องจากเขาจะได้เอามือขวาที่ถนัดไปดำรงชีวิตประจำวันได้สะดวก) (ดู อัลอิหฺกาม ฟี อุซูล อัลอะหฺกาม เล่ม 4 หน้า 391)

ดังนั้น การอิสติหฺซานตามทัศนะของอิมามชาฟิอีย์ที่ต้องห้ามนั้น คือการอิสติหฺซานตามอารมณ์และไม่มีรากฐานจากหลักการ
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
ผู้เขียนกล่าวว่า

ส่วนคำของเศาะหาบะฮ เช่นการกระทำของอุมัร หรือเคาะลิฟะอคนอื่นๆนั้นจะนำมาอ้างเรื่องบิดอะฮฺหะสะนะฮฺ ย่อมฟังไม่ขึ้น ท่านอิบนุตัยมียะฮกล่าวไว้ว่า

"السنة هي ما قام الدليل الشرعي عليه بأنه طاعة لله ورسوله، سواء فعله رسول الله صلى الله عليه وسلم أو فعل على زمانه، أو لم يفعله ولم يفعل على زمانه، لعدم المقتضي حينئذ لفعله أو وجود المانع منه، فما سنّه الخلفاء الراشدون ليس بدعة شرعية ينهى عنها، وإن كان يسمى في اللغة بدعة فكونه ابتدئ

อัสสุนนะฮ คือ สิ่งที่มีหลักฐานทางศาสนบัญญัติมายืนยัน ว่ามันเป็นการภักดีต่ออัลลอฮ และร่อซูลของพระองค์ แม้ว่าท่านร่อซูลุลลอฮ
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ปฏิบัติในสมัยของท่านหรือไม่ปฏิบัติก็ตาม เนื่องจาก ไม่มีความจำเป็นที่จะปฏิบัติในเวลานั้น หรือมีอุปสรรคมา
ขัดขวาง ดังนั้น สิ่งใดก็ตามที่ เคาะลิฟะฮอัรรอชิดีน ทำแบบอย่างเอาไว้ มันไม่ใช่บิดอะฮในทางศาสนบัญญัติ ที่ต้องห้ามและหากปรากฏว่ามันถูก
เรียกในทางด้านภาษาว่า บิดอะฮ มันก็มี(ความหมายว่า) เ ริ่มต้น – มัจญมัวะฟะตาวา เล่ม 21 หน้า 317

วิจารณ์

ก่อนอื่นผมอยากชี้แจงว่า  บิดอะฮ์หะสะนะฮ์ ก็คือ ซุนนะฮ์(หะสะนะฮ์) นั่นเอง ซึ่งท่าน อิบนุ อะษีร ได้กล่าวยืนยันไว้ว่า

والبدعة الحسنة فى الحقيقة سنة، وعلى هذا التأويل يحمل حديث " كل محدث بدعة" على ما خالف أصول الشريعة، وما لم يخالف السنة

"และในความเป็นจริงแล้วบิดอะฮ์หะสะนะฮ์  ก็คือซุนนะฮ์นั่นเอง   และให้อธิบายตามนัยนี้   หะดิษที่ว่า "ทุกๆสิ่งที่เกิดขึ้นมาใหม่นั้น เป็นบิดอะฮ์"  โดยหมายถึง  สิ่งที่ขัดกับหลักพื้นฐานของศาสนา และสิ่งที่ขัดกับซุนนะฮ์ " ดู หนังสือ อันนิฮายะฮ์ เล่ม 1 หน้า 80

กล่าวคือ  บิดอะฮ์หะสะนะฮ์  หมายถึง  "ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาใหม่โดยมีรากฐานหรืออยู่บนพื้นฐานของหลักศาสนาและไม่ขัดกับหลักศาสนา ย่อมเป็นสิ่งที่กระทำได้"

สำหรับการเอาคำพูดของท่านอิบนุตัยมียะฮ์  มาอ้างอิงเพื่อคัดค้านการแบ่งแยกบิดอะฮ์หะสะนะฮ์นั้น  ย่อมฟังไม่ขึ้น  เพราะท่านอิบนุตัยมียะฮ์  ก็ยอมรับในเรื่องการแบ่งบิดอะฮ์

ท่าน อิบนุตัยมียะฮ์ กล่าวไว้ใน มัจญฺมั๊วะอฺ อัลฟะตาวา ว่า

ومن هنا يعرف ضلال من ابتدع طريقاً أو اعتقاداً زعم أن الايمان لا يتم إلا به، مع العلم بأن الرسول لم يذكره، وما خالف النصوص فهو بدعة باتفاق المسلمين، وما لم يعلم أنه خالفها فقد لا يسمى بدعة، قال الشافعي ـ رحمه الله ـ: البدعة بدعتان: بدعة خالفت كتاباً وسنة وإجماعاً وأثراً عن بعض [أصحاب] رسول الله صلى الله عليه وسلّم، فهذه بدعة ضلالة. وبدعة لم تخالف شيئاً من ذلك، فهذه قد تكون حسنة لقول عمر: نعمت البدعة هذه! هذا الكلام أو نحوه رواه البيهقي بإسناده الصحيح في المدخل

"จาก ณ ที่นี้ จึงรู้ถึง ความลุ่มหลง ของผู้ที่ได้อุตริ หนทางหนึ่ง หรือหลักการยึดมั่นหนึ่ง แล้วอ้างว่า การศรัทธานั้น จะไม่สมบูรณ์ นอกจากด้วยกับมัน พร้อมกับรู้ว่า แท้จริง ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ไม่ได้กล่าวมันเอาไว้ และสิ่งที่ขัดแยังกับ บรรดาตัวบท มันย่อมเป็นบิดอะฮ์ ด้วยมติของบรรดามุสลิมีน และสิ่งที่ไม่ทราบว่า มันขัดกับบรรดาตัวบท แท้จริงแล้ว มันย่อมไม่ถูกเรียกว่า เป็นบิดอะฮ์ ท่าน อิมาม อัชชาฟิอีย์ (ร.ห.) กล่าวว่า บิดอะฮ์นั้น มีสองประเภท คือบิดอะฮ์ที่ขัดแย้งกับ อัลกุรอาน ซุนนะฮ์ มติปวงปราชน์ และสิ่งรายงานจากบรรดาซออาบะฮ์ของท่านร่อซูลุลลอฮ์(ซ.ล.) ดังนั้น มันนี้ย่อมเป็นบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลง และ(สอง)บิดอะฮ์ที่ไม่เคยทราบเลยว่า มันขัดกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดจากดังกล่าวนั้น ดังนี้นั้น มันย่อมบิดอะฮ์หะสะนะฮ์ เพราะคำกล่าวของ ท่านอุมัร ที่ว่า "บิดอะฮ์ที่ดี คือ อันนี้" คำกล่าวนี้ หรือเหมือนกับคำกล่าวนี้ ได้รายงานโดย ท่านอัล-บัยฮะกีย์ ด้วยสายรายงานของเขาที่ซอฮิหฺ ไว้ในหนังสือ อัลมัดค๊อล" ดู เล่ม 20 หน้า 159 ตีพิมพ์ ดารฺ อาลัม อัลกุตุบ

ท่าน อิบนุ ตัยมียะฮ์ได้กล่าวไว้ในหนังสือ ดุรอุตตะอารุฏ ว่า

فإن ما خالف النصوص فهو بدعة باتفاق المسلمين وما لم يعلم أنه خالفها فقد يسمى لا بدعة قال الشافعي رضي الله تعالى عنه : البدعة بدعتان : بدعة خالفت كتابا أو سنة أو إجماعا أو أثرا عن بعض أصحاب رسول الله صلى الله عليه وسلم فهذه بدعة ضلالة وبدعة لم تخالف شيئا من ذلك فهذه قد تكون حسنة لقول عمر : نعمت البدعة هذه هذا الكلام أو نحوه رواه البيهقي بإسناده الصحيح في المدخل

"แท้จริง สิ่งที่ขัดแย้งกับ บรรดาตัวบทนั้น มันคือบิดอะฮ์ ด้วยมติปวงปราชน์มุสลิมีน และสิ่งที่ไม่ทราบว่า มันขัดแย้งกับบรรดาตัวบท แท้จริงแล้ว มันย่อมไม่ถูกต้องเรียกว่า เป็นบิดอะฮ์ ท่านอิมาม อัช-ชาฟิอีย์ กล่าวว่า บิดอะฮ์นั้น มีสองประเภท คือบิดอะฮ์ที่ขัดแย้งกับ อัลกุรอาน ซุนนะฮ์ มติปวงปราชน์ และสิ่งรายงานจากบรรดาซออาบะฮ์ของท่านร่อซูลุลลอฮ์(ซ.ล.) ดังนั้น มันนี้ย่อมเป็นบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลง และ(สอง)บิดอะฮ์ที่ไม่เคยทราบเลยว่า มันขัดกับสิ่งหนึ่งสิ่งใด จากดังกล่าวนั้น ดังนี้นั้น มันย่อมบิดอะฮ์หะสะนะฮ์ เพราะคำกล่าวของ ท่านอุมัร ที่ว่า "บิดอะฮ์ที่ดี คือ อันนี้" คำกล่าวนี้ หรือเหมือนกับคำกล่าวนี้ ได้รายงานโดย ท่านอัล-บัยฮะกีย์ ด้วยสายรายงานของเขาที่ซอฮิหฺ ไว้ในหนังสือ อัลมัดค๊อล" ดู เล่ม 1 หน้า 140

ท่านมุหัมมัด บิน อับดุลวะฮาบ กล่าวไว้ในหนังสือ อัดดุร๊อร อัสสะนียะฮ์ ริซาละฮ์ ที่ 16 เล่มที่ 5 ว่า

والمقصود بيان ما نحن عليه من الدين وأنه عبادة الله وحده لا شريك له فيها يخلع جميع الشرك ومتابعة الرسول فيها تخلع جميع البدع إلا بدعة لها أصل في الشرع كجمع المصحف في كتاب واحد وجمع عمر رضي الله عنه الصحابة على التروايح جماعة وجمع ابن مسعود أصحابه على القصص كل خميس ونحو ذلك فهذا حسن والله أعلم

" จุดมุ่งหมาย คือ การอธิบาย สิ่งที่เราได้อยู่บนมันจากเรื่องของศาสนา และมันคือ การอิบาดะฮ์ต่ออัลเลาะฮ์เพียงองค์เดียว โดยไม่มีภาคีต่อพระองค์ในอิบาดะฮ์นั้น และการเจริญรอยตามท่านร่อซูล(ซ.ล.)ในการทำอิบาดะฮ์ ก็คือเป็นการถอดบรรดาบิดอะฮ์ทั้งหมด นอกจาก บิดอะฮ์ ที่มีรากฐานตามหลักศาสนาให้แก่มัน เช่นการรวบรวมอัลกุรอานให้อยู่ในฉบับเดียวกัน การที่ท่านอุมัร(ร.ฏ.)ได้รวมบรรดาซอฮาบะฮ์ให้ทำละหมาดตะรอวิหฺแบบญะมาอะฮ์ การที่ท่านอิบนุมัสอูด ได้รวมบรรดาศานุศิษย์ของท่านให้ทำการ เล่าประวัติเรื่องราวต่างๆ ในทุกวันพฤหัส และอื่นๆจากสิ่งดังกล่าว ดังนั้น (บิดอะฮ์ดังกล่าวที่มีรากฐานจากศาสนา)นี้ ย่อมเป็นสิ่งที่ดี "

เรามาพิจารณาดูซิครับ สิ่งที่ทำขึ้นมาใหม่นั้น โดยไม่ขัดแย้งกับตัวบท อัลกุรอานและซุนนะฮ์ ย่อมไม่ใช่บิดอะฮ์ ตามทัศนะของ ท่านอิบนุตัยมียะฮ์ แต่ตามทัศนะของเรานั้น มันคือบิดอะฮ์หะสะนะฮ์ เพราะมันไม่ขัดกับตัวบทอัลกุรอานและซุนนะฮ์ สรุปง่ายๆก็คือ มันแค่ขัดแย้งในเชิงในการใช้คำเท่านั้นเอง และที่สำคัญใน ณ ที่นี้ คือ ไม่ว่าจะเรียก ซุนนะฮ์หะสะนะฮ์ หรือ บิดอะฮ์หะสะนะฮ์ก็ตาม แต่สิ่งที่ถูกเรียกนั้น ก็คือ สิ่งที่ทำขึ้นมาใหม่ โดยไม่ขัดกับตัวบทครับ
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

 

GoogleTagged