ผู้เขียน หัวข้อ: มีใครสนใจในเรื่องของจิตวิญญาณ (ร่างอีกหนึ่งร่างที่อยู่ในตัวเรา) บ้างครับ  (อ่าน 3653 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sa27

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 35
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด

salam

ไม่รู้มีใคร่บ้างครับที่มีความสนใจเกี่ยวกับเรื่องของตัวตนที่แท้จริงของเรา  มีใคร่บ้างครับที่มีความรับรู้ รู้สึก ว่าเราไม่ได้อยู่คนเดียวแต่เรามีเพื่อนที่อยู่ข้างในตัวของเราเองอีก

มีใคร่บ้างครับที่ได้รับรู้ความรู้ใหม่ที่ส่งผ่านมายังตัวตนของเรา  มีใคร่บ้างครับที่รู้สึกว่าตัวเองเหมือนท่อที่คอยรับน้ำที่ลงมาจากเบื้องบน

ถ้ามีใคร่มีความรับรู้  ลักษณะอย่างนี้  ช่วยเล่าหรือแบ่งปันความรู้ที่ได้รับรู้บ้างครับ

จากคนที่ต้องการรู้จักตัวที่รู้จักตัวรู้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ม.ค. 31, 2008, 02:30 PM โดย sa27 »
จากผู้ที่ต้องการรู้จักตัวรู้ที่รู้จักตัวรู้

ออฟไลน์ ILHAM

  • เพื่อนตาย T_T
  • *****
  • กระทู้: 11348
  • เพศ: ชาย
  • Sherlock Holmes
  • Respect: +273
    • ดูรายละเอียด
    • ILHAM
เพื่อนในตัวเองก็มีอยู่จะออกมาเวลาเราคิดอะไรไงครับ เราคิด อีกคนสนับสนุนไม่ก็ค้าน อะไรประมาณนั้นครับ
ผมก็คิดแบบนี้ไม่รู้ว่าคนอื่นจะคิดยังไง
إن شاءالله ติด ENT'?everybody

Sherlock Holmes said "How often have I said to you that when you have eliminated the impossible, whatever remains, however improbable, must be the truth?"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ Rachyds

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 100
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • http://rachyds.siamvip.com
 :salam:

017;85. และพวกเขาจะถามเจ้า เกี่ยวกับวิญญาณจงกล่าวเถิดว่า “เรื่องวิญญาณนั้นเป็นไปตามพระบัญชาของพระเจ้าของฉันและพวกท่านจะไม่ได้รับความรู้ใดๆ เว้นแต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น”

ถ้ามาเจาะลึกประเด็นกันถึงเรื่องเราะห์ เราก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้ถึงสิ่งที่เป็นรูปธรรม และนามธรรม สิ่งที่อยู่ในรูปธรรมนั้นคิดว่าเป็นที่ทราบกันดีทุกคนในวิชาวิทยาศาสตร์ คือมีสี่ห้องและทำหน้าที่สำหรับสูบฉีดโลหิตไปทั่วร่างกาย แต่สิ่งที่เป็นสิ่งเร้นลับที่อัลลอฮ(ซ.บ)ได้ทรงเก็บใว้เป็นความลับ และทรงเกริ่นใว้เป็นนัยนิดนึงว่า "เว้นแต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น"ก็ยังคงเป็นสิ่งที่คลุมเครือหรือยากที่จะศึกษามาจนถึงปัจจุบัน
 032;007. ผู้ทรงทำให้ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างมันให้ดีงาม  และพระองค์ทรงเริ่มการสร้างมนุษย์จากดิน
032;008. แล้วทรงให้การสืบตระกูล ของมนุษย์มาจากน้ำ (อสุจิ) อันไร้ค่า
032;009. แล้วทรงทำให้เขามีสัดส่วนที่สมบูรณ์ และทรงเป่ารูหฺ (วิญญาณ) ของพระองค์เข้าไปในเขาและทรงให้พวกเจ้าได้ยินและได้เห็นและให้มีจิตใจ (สติปัญญา)  ส่วนน้อยเท่านั้นที่พวกเจ้าขอบคุณ
   สัตว์และมนุษย์มีจิตและวิญญานและสมองเหมือนกัน แต่อัลลอฮ(ซ.บ)ทรงสร้างความแตกต่างระหว่างมนุษย์กับสัตว์ก็คือมันสมองหรือสติปัญญาในการใคร่ครวญ ปัญญาเหล่านั้นพระองค์มอบให้เป็นอภิสิทธิแก่มนุษย์ รู้จักที่จะแยกแยะสิ่งใหนถูกหรือผิด พร้อมกันนั้นก็ได้ทรงสร้างหลักชาริอัต หรือกฎหมายต่างๆครอบครุมเอาใว้

007;175. “และจงอ่านให้พวกเขาฟัง ซึ่งข่าวของผู้ที่เราได้ให้บรรดาโองการของเราแก่เขา แล้วเขาได้ถอนตัวออกจากโองการเหล่านั้น แล้วชัยฏอนก็ติดตามเขา ดังนั้นเขาจึงอยู่ในหมู่ผู้หลงผิด”   
007;176. “และหากเราประสงค์แล้ว แน่นอนเราก็ยกเขาขึ้นและ ด้วยบรรดาโองการเหล่านั้น แต่ทว่าเขาคงมั่นอยู่กับดิน และปฏิบัติตามความใคร่ใฝ่ต่ำของเขา ดังนั้นอุปมาของผู้นั้น จึงดั่งอุปไมยของสุนัขหากเจ้าขับไล่มัน มันก็จะหอบแลบลิ้นห้อยลง นั่นแหละคือ อุปมากลุ่มชนที่ปฏิเสธบรรดาโองการของเรา ดังนั้นเจ้าจงเล่าเรื่องราวเหล่านั้นเถิด เพื่อว่าพวกเขาจะไดใคร่ครวญ” 
007;177. “เป็นตัวอย่างที่ชั่วช้าจริงๆ กลุ่มชนที่ปฏิเสธบรรดาโองการของเรา และก็ตัวของพวกเขานั้นเองพวกเขาอธรรมกันอยู่” 
007;178. “ผู้ที่อัลลอฮ์ทรงแนะนำนั้น เขาก็เป็นผู้รับคำแนะนำ และผู้ที่พระองค์ทรงปล่อยให้หลงผิด นั้นชนเหล่านี้แหละพวกเขาคือผู้ที่ขาดทุน 
 

 


 

ออฟไลน์ Rachyds

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 100
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • http://rachyds.siamvip.com
 :salam:

พระองค์อัลลอฮ(ซ.บ) จะเรียกวิญญานกลับได้สองทางด้วยกัน
1.การตายอย่างสมบูรณ์ คือการตายอย่างถาวร
2.การตายชั่วขณะ หรือนอนหลับ เพราะคนนอนเหมือนกับตาย โดยที่เขาจะไม่เห็น ไม่ได้ยิน เมื่อถึงเวลาตื่นนอนแสดงว่าวิญญาณนั้นได้กลับมายังร่างเหมือนเดิม

039;042 อัลลอฮทรงปลิดชีวิตในยามตายของมัน และมัน(ชีวิต)จะยังไม่ตายในเวลานอนหลับของมัน พระองค์จะทรงปลิดชีวิตที่พระองค์กำหนดความตายให้แก่มัน และพระองค์ทรงยืดชีวิตอื่นไปจนถึงเวลาที่กำหนดใว้ แท้จริงในการนั้น แน่นอนย่อมเป็นสัญญานสำหรับหมู่ชนผู้ใคร่ครวญ

ออฟไลน์ tatcha_jah ~♪

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 341
  • Respect: +9
    • ดูรายละเอียด




 มีใคร่บ้างครับที่รู้สึกว่าตัวเองเหมือนท่อที่คอยรับน้ำที่ลงมาจากเบื้องบน




อืม...แล้วไอ้น้ำที่ว่า...มันมีผลต่อจิตใจเราไหม
คุณคิดว่าถ้าคุณมีน้ำจากเบื้องบนแล้วคุณมีพลังหรือป่าว

เราพอจะเข้าใจ...แต่เราไม่จินตนาการแบบนั้นนะ

อยากถามผู้รู้ว่า..ถ้าเชื่อแบบนี้มันผิดไหม


เราสนใจเรื่องจิตใจนะ...สนใจเรื่องจิตวิทยา
แต่ไม่ค่อยจะสนใจเรื่องเหนือธรรมชาติ
เพราะเรารู้สึกว่า...ตัวเราไม่ใช่ท่านบีที่จะมีมั๊วะยีซาต

งงไหม
เราชักงงกับตัวเอง

^^"

วัสลามค่า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ต.ค. 01, 2010, 12:04 AM โดย tatcha_jah ~♪ »
ผู้ศรัทธาต่ออัลลอห์...ท้ายสุดจะได้ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ในวันอาคิเราะห์

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
อัสลามุอะลัยกุม วะเราะมาตุลลอฮฺ วะบารอกาตุ

เอาเข้าจริงๆ สำหรับข้าน้อยนั้น...
เรื่องของจิตใจ หรือวิญญาณนั้นยังคงเป็นปริศนา
ที่ยากท่ีจะไขให้กระจ่างชัด...

เหมือนอัลลอฮฺได้ทรงเก็บความลับนี้เอาไว้...
และน้อยมากที่เราจะได้รู้...

ถ้าเปรียบกับเรื่องของห้วงมหาสมุทรที่สุดแสน
จะกว้างขวาง เรายังศึกษาหรือเดินทางลงไป
สืบเสาะหาความรู้กันได้บ้างแล้ว...

แต่ห้วงหัวใจนั้น ยังยากแท้จะหยั่งถึง...
เรายังหาเครื่องมือที่หยั่งความลึกของห้วงหัวใจไม่ได้เลย
อย่างน้อยห้วงลึกของมหานที เราก็มีเครื่องมือวัดแล้ว

แต่เราจะหาเครื่องมืออะไรในการมาวัดใจ
วัดความลึกของจิตใจว่ามันมีอะไรอยู่ในนั้นบ้าง...

ในศาสนาพุทธจะมีคำสอนนึงที่ข้าน้อยได้เรียนมา
คือ เขาจะให้นั่งสมาธิเพื่อแยกกายหยาบ(ร่างกายเรา)
ออกจากกายละเอียดหรือกายทิพย์(จิตวิญญาณ)ออกจากกัน
ให้ได้...ที่ถ้าจำไม่ผิด เขาจะเรียกว่า "การเข้าฌาณ"
ไม่แน่ใจว่าเขียนถูกมั้ย...
ซึ่งจะทำให้จิตว่าง แล้วกายทั้งสองจะแยกออกจากกัน
อะไรทำนองนั้น...

แต่สำหรับข้าน้อย...จะไม่ปล่อยให้จิตว่างค่ะ...
เพราะที่รู้มาก็คือถ้ามันว่างเมื่อไหร่
ชัยตอนอาจจะไปนั่งแทนที่

สิ่งที่ข้าน้อยทำคือ พยายามฝึกจิตให้นิ่งสงบ
ด้วยการรำลึกถึงอัลลอฮฺ
ซึ่งอัลลอฮฺจะมานั่งอยู่ในจิตใจที่สงบ...
และด้วยกับการรำลึกถึงอัลลอฮฺนั้นแล
ที่เป็นหนึ่งในการขับไล่ชัยตอนออกไปให้ห่างตัวเรา...

และจะพยายามขัดเกลาจิตใจ
ด้วยการพยายามเอาสิ่งที่ทำให้หัวใจขุ่นมัวออกไป....
เปรียบเหมือนกับการถูบ้านขัดบ้าน...ขัดร่างกายภายนอก
ให้สะอาด ไร้กลิ่นเหม็นหรือคราบสกปรก

บางคน แรกพบเราชอบเพราะกลิ่นกายของเขาสะอาด
น่ามอง ชวนให้คบหา ภาพลักษณ์ดูดีไปหมดทุกสัดส่วน

แต่พออยู่ด้วยนานๆไป
แม้กลิ่นกายของเขา รูปกายของเขาจะยังคงความสะอาด
ปราศจากสิ่งไม่ดีดังเดิม
แต่เรากลับได้รับกลิ่นบางอย่างจากภายใน
ที่ทำให้เราต้องกลับมาหวนคิดได้อีกครั้ง...

เหมือนทุเรียน ตอนที่ยังไม่สุกมันก็ยังไม่ส่งกลิ่นออกมา
สักเท่าไหร่...ซ้ำยังมีเปลือกหุ้มหนา ยากที่จะแกะ

แต่เมื่อเรารอสักพัก รอจนมันสุกได้ที่
กลิ่นของมันจากเนื้อข้างในก็จะค่อยๆส่งกลิ่นออกมา
ทะลุเปลือกเข้าสู่จมูกเรา...
ทำให้เราได้รับรู้กลิ่นของเนื้อทุเรียนที่อยู่ข้างใน
ว่ามันมีกลิ่นเช่นไร...

บางคนก็ว่ามันหอม บางคนก็ว่ามันเหม็น...

แต่สำหรับข้าน้อย ไม่ว่าจะหอมหรือเหม็น
กลิ่นนั้นมันก็ฟ้องถึงตัวตนของมัน...

เมื่อใดที่เราแกะเปลือกทุเรียนที่สุกแล้วออก
(แน่นอนว่าเปลือกทุเรียนตอนสุกแกะง่ายกว่าตอนที่ยังไม่สุก)
โดยแยกเอาเนื้อไปไว้อีกที่นึง แล้วเอาเปลือกไปไว้อีกที่นึง
แล้วคราวนี้ลองดมกลิ่นของเปลือก และกลิ่นของเนื้อทุเรียนดู

มันช่างแตกต่างกันเหลือเกิน...

จากครั้งแรกที่เราดมกลิ่นทุเรียนผ่านเปลือก
เราอาจจะคิดว่า เปลือกทุเรียนหอม
แต่เมื่อเราได้ทำการแยกแล้ว เราจึงได้รู้ว่าไอ้กลิ่นที่เรา
ได้รับมานั้น มันเป็นกลิ่นของเนื้อทุเรียนข้างในที่มีกลิ่นแรง
จนทะลุออกมานอกเปลือกได้นั่นเอง...
อันเปลือกนั้นกลิ่นไม่ได้แรงอย่างที่รู้สึกไป...

เราจึงแยกกลิ่นของเปลือกกับเนื้อทุเรียนออกจากกันได้...
โดยไม่ต้องใช้วิธีนั่งทางในเลย...
แค่อดทนรอเวลาเท่านั้น

...เมื่อถึงเวลา ความลับจะถูกเปิดเผยออกมา
ด้วยตัวของมันเอง

...หากไม่แล้ว
ก็แสดงว่า พระเจ้าไม่ได้ประสงค์จะให้เรารู้...
เราก็อย่าไปรู้มันเลย...

ถ้าเราอยากมองให้ทะลุเปลือกของใครเข้าไป
ก็คงจะยากถ้าจะมองให้เห็นเลยในช่วงแรกๆ
เพราะมันต้องใช้เวลาในการรอคอยค่ะ...
แค่รอเวลาโดยไม่ต้องทำอะไรหรือไม่แตะต้องเขาเลย...
มองๆไปเดี๋ยวกลิ่นต่างๆจากภายในจะส่งกลิ่นออกมาเอง...
เมื่อถึงเวลาของมัน...

สำคัญตรงที่ว่า เมื่อได้รับรู้กลิ่นดังกล่าวแล้ว
เราจะแยกแยะออกมาว่า อันไหนกลิ่นของเปลือก
อันไหนกลิ่นของเนื้อใน...

สำหรับตัวของตัวเอง ข้าน้อยก็ใช้วิธีแยกแยะเช่นนี้
เหมือนกันค่ะ...คือ...พยายามศึกษาว่าอะไรคือความต้องการ
ทางกาย อะไรคือความต้องการทางใจ
แล้วอะไรที่เกิดขึ้นเพราะจิตใจเป็นสาเหตุ
แล้วอะไรที่เกิดขึ้นเพราะกายเป็นสาเหตุ...
ถ้าหิวข้าว แสดงว่ากายเราต้องการ
ถ้ากินแล้วท้องก็อิ่มแปร้แล้ว เห็นของว่างรออยู่ตรงหน้า
ก็อยากจะกินอีก คิดว่า อันนี้มันคงไม่ใช่ความต้องการ
ของร่างกายแล้วมั้งคะ...อิอิอิ

เพราะว่าจริงๆแล้วท้องมันอิ่มแล้วนี่นา...

แวะมาแช...แล้วไปหาของว่างกินดีกว่า...
ว่าแล้วก็หิว...

วัสลามค่ะ



"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ sulaimaan

  • เพื่อนแรกพบ (^^)/
  • *
  • กระทู้: 5
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
อัสลามุอะลัยกุม วะเราะมาตุลลอฮฺ วะบารอกาตุ

เอาเข้าจริงๆ สำหรับข้าน้อยนั้น...
เรื่องของจิตใจ หรือวิญญาณนั้นยังคงเป็นปริศนา
ที่ยากท่ีจะไขให้กระจ่างชัด...

เหมือนอัลลอฮฺได้ทรงเก็บความลับนี้เอาไว้...
และน้อยมากที่เราจะได้รู้...

ถ้าเปรียบกับเรื่องของห้วงมหาสมุทรที่สุดแสน
จะกว้างขวาง เรายังศึกษาหรือเดินทางลงไป
สืบเสาะหาความรู้กันได้บ้างแล้ว...

แต่ห้วงหัวใจนั้น ยังยากแท้จะหยั่งถึง...
เรายังหาเครื่องมือที่หยั่งความลึกของห้วงหัวใจไม่ได้เลย
อย่างน้อยห้วงลึกของมหานที เราก็มีเครื่องมือวัดแล้ว

แต่เราจะหาเครื่องมืออะไรในการมาวัดใจ
วัดความลึกของจิตใจว่ามันมีอะไรอยู่ในนั้นบ้าง...

ในศาสนาพุทธจะมีคำสอนนึงที่ข้าน้อยได้เรียนมา
คือ เขาจะให้นั่งสมาธิเพื่อแยกกายหยาบ(ร่างกายเรา)
ออกจากกายละเอียดหรือกายทิพย์(จิตวิญญาณ)ออกจากกัน
ให้ได้...ที่ถ้าจำไม่ผิด เขาจะเรียกว่า "การเข้าฌาณ"
ไม่แน่ใจว่าเขียนถูกมั้ย...
ซึ่งจะทำให้จิตว่าง แล้วกายทั้งสองจะแยกออกจากกัน
อะไรทำนองนั้น...

แต่สำหรับข้าน้อย...จะไม่ปล่อยให้จิตว่างค่ะ...
เพราะที่รู้มาก็คือถ้ามันว่างเมื่อไหร่
ชัยตอนอาจจะไปนั่งแทนที่

สิ่งที่ข้าน้อยทำคือ พยายามฝึกจิตให้นิ่งสงบ
ด้วยการรำลึกถึงอัลลอฮฺ
ซึ่งอัลลอฮฺจะมานั่งอยู่ในจิตใจที่สงบ...
และด้วยกับการรำลึกถึงอัลลอฮฺนั้นแล
ที่เป็นหนึ่งในการขับไล่ชัยตอนออกไปให้ห่างตัวเรา...

และจะพยายามขัดเกลาจิตใจ
ด้วยการพยายามเอาสิ่งที่ทำให้หัวใจขุ่นมัวออกไป....
เปรียบเหมือนกับการถูบ้านขัดบ้าน...ขัดร่างกายภายนอก
ให้สะอาด ไร้กลิ่นเหม็นหรือคราบสกปรก

บางคน แรกพบเราชอบเพราะกลิ่นกายของเขาสะอาด
น่ามอง ชวนให้คบหา ภาพลักษณ์ดูดีไปหมดทุกสัดส่วน

แต่พออยู่ด้วยนานๆไป
แม้กลิ่นกายของเขา รูปกายของเขาจะยังคงความสะอาด
ปราศจากสิ่งไม่ดีดังเดิม
แต่เรากลับได้รับกลิ่นบางอย่างจากภายใน
ที่ทำให้เราต้องกลับมาหวนคิดได้อีกครั้ง...

เหมือนทุเรียน ตอนที่ยังไม่สุกมันก็ยังไม่ส่งกลิ่นออกมา
สักเท่าไหร่...ซ้ำยังมีเปลือกหุ้มหนา ยากที่จะแกะ

แต่เมื่อเรารอสักพัก รอจนมันสุกได้ที่
กลิ่นของมันจากเนื้อข้างในก็จะค่อยๆส่งกลิ่นออกมา
ทะลุเปลือกเข้าสู่จมูกเรา...
ทำให้เราได้รับรู้กลิ่นของเนื้อทุเรียนที่อยู่ข้างใน
ว่ามันมีกลิ่นเช่นไร...

บางคนก็ว่ามันหอม บางคนก็ว่ามันเหม็น...

แต่สำหรับข้าน้อย ไม่ว่าจะหอมหรือเหม็น
กลิ่นนั้นมันก็ฟ้องถึงตัวตนของมัน...

เมื่อใดที่เราแกะเปลือกทุเรียนที่สุกแล้วออก
(แน่นอนว่าเปลือกทุเรียนตอนสุกแกะง่ายกว่าตอนที่ยังไม่สุก)
โดยแยกเอาเนื้อไปไว้อีกที่นึง แล้วเอาเปลือกไปไว้อีกที่นึง
แล้วคราวนี้ลองดมกลิ่นของเปลือก และกลิ่นของเนื้อทุเรียนดู

มันช่างแตกต่างกันเหลือเกิน...

จากครั้งแรกที่เราดมกลิ่นทุเรียนผ่านเปลือก
เราอาจจะคิดว่า เปลือกทุเรียนหอม
แต่เมื่อเราได้ทำการแยกแล้ว เราจึงได้รู้ว่าไอ้กลิ่นที่เรา
ได้รับมานั้น มันเป็นกลิ่นของเนื้อทุเรียนข้างในที่มีกลิ่นแรง
จนทะลุออกมานอกเปลือกได้นั่นเอง...
อันเปลือกนั้นกลิ่นไม่ได้แรงอย่างที่รู้สึกไป...

เราจึงแยกกลิ่นของเปลือกกับเนื้อทุเรียนออกจากกันได้...
โดยไม่ต้องใช้วิธีนั่งทางในเลย...
แค่อดทนรอเวลาเท่านั้น

...เมื่อถึงเวลา ความลับจะถูกเปิดเผยออกมา
ด้วยตัวของมันเอง

...หากไม่แล้ว
ก็แสดงว่า พระเจ้าไม่ได้ประสงค์จะให้เรารู้...
เราก็อย่าไปรู้มันเลย...

ถ้าเราอยากมองให้ทะลุเปลือกของใครเข้าไป
ก็คงจะยากถ้าจะมองให้เห็นเลยในช่วงแรกๆ
เพราะมันต้องใช้เวลาในการรอคอยค่ะ...
แค่รอเวลาโดยไม่ต้องทำอะไรหรือไม่แตะต้องเขาเลย...
มองๆไปเดี๋ยวกลิ่นต่างๆจากภายในจะส่งกลิ่นออกมาเอง...
เมื่อถึงเวลาของมัน...

สำคัญตรงที่ว่า เมื่อได้รับรู้กลิ่นดังกล่าวแล้ว
เราจะแยกแยะออกมาว่า อันไหนกลิ่นของเปลือก
อันไหนกลิ่นของเนื้อใน...

สำหรับตัวของตัวเอง ข้าน้อยก็ใช้วิธีแยกแยะเช่นนี้
เหมือนกันค่ะ...คือ...พยายามศึกษาว่าอะไรคือความต้องการ
ทางกาย อะไรคือความต้องการทางใจ
แล้วอะไรที่เกิดขึ้นเพราะจิตใจเป็นสาเหตุ
แล้วอะไรที่เกิดขึ้นเพราะกายเป็นสาเหตุ...
ถ้าหิวข้าว แสดงว่ากายเราต้องการ
ถ้ากินแล้วท้องก็อิ่มแปร้แล้ว เห็นของว่างรออยู่ตรงหน้า
ก็อยากจะกินอีก คิดว่า อันนี้มันคงไม่ใช่ความต้องการ
ของร่างกายแล้วมั้งคะ...อิอิอิ

เพราะว่าจริงๆแล้วท้องมันอิ่มแล้วนี่นา...

แวะมาแช...แล้วไปหาของว่างกินดีกว่า...
ว่าแล้วก็หิว...

วัสลามค่ะ

 :salam:

ลึกล้ำ... myGreat: ขอจำสำนวนไปสอนน้องน้องด้วยนะครับ ;D
วัสลาม

 

GoogleTagged