.........อบูบักร มีอายุน้อยกว่าท่านรอซูล(ซ.ล.)สองปี นามเดิมของท่านชื่อคือ อับดุลลอฮฺ แต่โลกรู้จักท่านในนาม อบูบักร แปลว่า บิดา ของบักร เนื่องจากบุตรชายคนโตของท่านมีนามว่า บักร บิดาของอบูบักรมีนามว่า อุสมาน หรือเรียกกันอีกนามหนึ่งว่า อบูกอหาฟะฮฺ ส่วนมารดานั้นมีนามว่า ซัลมะฮฺ แต่นิยมเรียกกันอีกนามหนึ่งว่า อุมมุลค็อยร์ อบูบักรมีเชื้อสายมาจากชาวกุเรซ อบูบักรเป็นคนดี รักความยุติธรรม รักความจริงเป็นที่สุด เขาเป็นคนในตระกูลชั้นสูง ท่านรอซูล(ซ.ล.)ก็ยกย่องเขาในฐานะมิตรที่ดีคนหนึ่งของท่าน ทั้งสองกลายเป็นที่สนิทชิดชอบตั้งแต่เมื่อยังเยาว์วัย พอเติบใหญ่วัยฉกรรจ์ ท่านอบูบักรก็กลายเป็นพ่อค้าผู้มั่งคั่งคนหนึ่ง เขาใช้ความมั่งคั่งในการสนับสนุนคนจนด้วยจิตที่เมตตาส่งสาร ถ้าเห็นใครลำบากอยากแค้น เขาก็รู้สึกกระวนกระวายใจ คุณธรรมข้อนี้ทำให้เขาชนะจิตใจประชาชน และคุณสมบัติยิ่งใหญ่ดังกล่าว อบูบักรได้กลายเป็นผู้สนับสนุนที่แข็งแกร่งที่สุดของ ผู้พลิกฟื้นมนุษย์ชาติ
.........อบูบักรได้อยู่ใกล้ชิดกับท่านนบี(ซ.ล.)ตลอดมา เขาจึงรู้จักท่านนบี(ซ.ล.)ดีกว่าคนอื่น เขารู้ตลอดถึงอุปนิสัยของเพื่อนเขา เขาเป็นคนแรกที่เลื่อมใสในการเผยแผร่ศาสนาของท่านนบีและเป็นชายคนแรกที่เข้ารับนับถือศาสนาอิสลามท่านรอซูล(ซ.ล.)ได้กล่าวว่าในบรรดา มิตรสหายที่ดีของข้าพเจ้านั้น อบูบักรเป็นผู้ประเสริฐสุด นี่คือคำกล่าวของท่านรอซู้ล ซึ่งกล่าวต่อหน้ามวลชนที่มาประกอบพิธีฮัจญ์ครั้งสุดท้ายก่อนที่ท่านจะอําลาจากเราไปซึ่งเป็นถ้อยคำที่บ่งบอกถึงความดีอย่างยิ่ง เพราะว่าตลอดชีวิตของท่านเขาเป็นคนเดียวที่ท่านนบีไว้วางใจใกล้ชิดสนิทสนมยิ่งกว่าคนอื่น เขาเป็นคนที่ไม่สนใจกับชีวิตของเขาเองไม่อาศัยในทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ แต่สิ่งเดียวที่เขาคิดและปรารถนา ก็คือ การยืนหยัดช่วยเหลือมิตรสหายของเขาจนกว่าจะบรรลุผลสำเร็จ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน และแล้วท่านนบี(ซ.ล.)ได้ยกย่องเขาไว้ในตำแหน่งสหายอาวุโสคนแรก
........หลังจากวันหยุด ครั้งแรกผ่านไปท่านนบี(ซ.ล.)ได้เล่าเหตุการณ์ในถ้ำฮีรออฺให้อบูบักรฟังว่า อัลลอฮฺทรงแต่งตั้งให้ท่านเป็นศาสนาทูต เขาตัดสินใจเป็นมุสลิมทันที หลังจากรับอิสลามได้ไม่กี่วัน ท่านได้ทําหน้าที่เชิญชวนผู้อื่นให้รับอิสลามด้วย ดังนั้นเมื่อท่านได้ทําหน้าที่ที่สําคัญนี้แล้ว ก็มีหลายคนได้เข้ารับอิสลาม เช่น อุสมาน ฎ้อลหะฮฺ อับดุลเราะห์มานอิบนฺเอาฟ์และสอัด อิบนฺอบีวักกอศ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นกำลังส่วนหนึ่งที่ทำให้ศาสนาอิสลามขยายตัวอย่างกว้างขวางออกไป ท่านนบี(ซ.ล.)ได้มาพบอบูบักรที่บ้านทุกวัน เพื่อปรึกษาหารือเกี่ยวกับเทคนิควิธีการเผยแพร่ศาสนา แล้วทั้งสองก็มักจะไปด้วยกันทุกหนแห่งที่มีการประกาศศาสนาของอัลลอฮฺ
........ในเมื่ออบูญะฮัลเป็นหนึ่งในบรรดาแกนนำที่มีอิทธิพลในนครมักกะฮฺ เขาเป็นศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดของท่านนบี พยายามทุกวิธีทาง เพื่อขัดขวางท่านนบีในการเผ่ยแผร่ดะวะฮฺ อบูบักรก็เป็นผู้ซึ้งพยายามปกป้องท่านนบีที่ได้รับฉายาว่าอัศศิดดีก
.......วันหนึ่งในขณะที่ท่านรอซูล(ซ.ล.)กำลังประกอบอิบาดะฮฺอยู่ในวิหารกะอฺบะฮฺ โดยมีอบูญะฮัลและพรรคพวกกำลังสนทนาอยู่ อบูญะฮัลเห็นปลอดคนจึงพูดขึ้นว่า วันนี้ฉันต้องฆ่ามูหัมหมัดให้ได้ พูดจบเขาก็ตรงเข้าไปที่ท่านนบี(ซ.ล.)โดยใช้ผ้าคาดเอวรัดคอท่านนบี(ซ.ล.)และพยายามขมวดชายผ้า และออกแรงดึงเต็มที่เพื่อจะให้ท่านนบีหายใจไม่ออก ในขณะที่สมัครพรรคพวกของเขาพากันเฮเฮาด้วยความพอใจแต่หารอดพ้น สายตาคู่หนึ่งซึ่งซุ่มคุมเชิงอยู่ห่างๆของอบูบักรทันที่ที่ท่านอยู่เห็นการกระทำก็รีบเข้าขัดขวาง และรีบคลายผ้าออก อบูญะฮัลและศัตรูของอิสลามคนอื่นๆ ช่วยกันรุมทุบตีอบูบักรเพื่อไม่ให้เขาเข้าไปช่วยท่านนบี(ซ.ล.)ให้พ้นจากการ ทรมานของพวกเขา ต่อจากนั้นก็พากันหนีไป อบูบักรถูได้ไปทั้งตัว แต่เขาไม่ได้เสียใจ เขามีความรู้สึกภูมิใจที่การเจ็บตัวของเขาสามารถทำให้เพื่อนคนหนึ่งรอดตาย และคนนั้นเป็นคนที่มีค่ายิ่งกว่าชีวิตของเขาเสียอีก
การอพยพสู่นครมาดีนะฮฺ
.......เที่ยงวันหนึ่งได้มีเสียงคนมาเคาะประตูบ้านอบูบักรเขาก็สังเกตดูปรากฏว่าเป็นท่านรอซูล(ซ.ล.)นั้นเอง ท่านกล่าวว่า ? ถึงเวลาแล้วที่ข้าพเจ้าต้องอพยพไปนครมาดีนะฮฺ ?
........? แล้วข้าพเจ้าจะได้รับเกียรติให้ติดตามท่านด้วยหรือเปล่า ?? อบูบักรถาม
........? แน่นอน ? ? โปรดจัดสิ่งของที่จำเป็นและเตรียมให้พร้อมก่อนที่ค่ำคืนจะมาถึง ? รอซูล(ซ.ล.)ตอบ
........อบูบักรดีใจมากแล้วกล่าวว่า ? ข้าพเจ้ารอคอยโอกาสนี้มานานแล้ว นับด้วยแรมเดือน ข้าพเจ้าได้เตรียมอูฐไว้นานแล้วถึงสองตัว และเป็นอูฐที่ฝีเท้าดีทั้งคู่ ?
........อบูบักรได้มีส่วนสําคัญที่ทำให้การเดินทางของท่านนบีนั้นได้รับความสะดวกมากมาย ทั้งสองต้องซ่อนตัวอยู่ในถ้ำถึงสามวัน โดยมีทาสของอบูบักรคนหนึ่งแกล้งพรางตาศัตรู ด้วยการต้อนสัตว์มาเลี้ยงใกล้ ๆ ในขณะทีอับดุลลอฮฺบุตรชายท่านอบูบักร์ทำหน้าที่สื่อสารคอยส่งข่าวให้ทราบอยู่เสมอ
........อบูบักรได้รับเกียรติยิ่งกว่าคนอื่น ก็เพราะในยามวิกฤตกาลทุกครั้ง อบูบักรไม่เคยคลาดแคล้วจากท่านนบีเลย
........สงครามอุฮูด และ สงครามฮู่นัยน นักรบบางคน ได้แสดงความอ่อนแอให้ปรากฏออกมาด้วยการละทิ้งหน้าที่ อบูบักรไม่ได้อยู่ในบุคคลประเภทนั้น เขายืนหยัดต่อสู้เคียงข้างท่านนบีดุจดังปราการอันแข็งแกร่งสำหรับคุ้มกันภัยให้ท่าน
........สงครามตาบู๊กเป็นสงครามครั้งสุดท้ายในชีวิตแห่งการต่อสู้ของท่านรอซูล(ซ.ล.)ท่านต้องกำหนดแผนการอย่างละเอียดรอบคอบ ท่านขอให้บรรดาศอหาบะฮฺช่วยกันสละทรัพย์ คราวนี้อบูบักรได้สร้างประวัติการเสียสละของท่านอีก จนหมดสิ้น ท่านรวบรวมทรัพย์สมบัติทุกชิ้น มอบให้กับท่านนบี ท่านนบีจึงกล่าวถามว่า ? แล้วท่านได้เหลืออะไรไว้กับบุตรและภรรยาบ้างหรือเปล่า ? ?อบูบักรตอบว่า ? อัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์พอเพียงแล้วสำหรับเขา ?
........หลังจากข่าวการเสียชีวิตของท่านนบี สังคมมาดีนะฮฺปั่นปวน อบูบักรเป็นผู้ซึ้งทําหน้าที่เรียกความสงบคืนมาได้ด้วยการอ่านอายะฮฺอัลกุรอาน
........(และมุฮัมมัดนั้นหาใช่อืนใดไม่นอกจากเป็นรอซูลผู้หนึ่งเท่านั้น ซึ่งบรรดารอซซุลก่อนจากเขาก็ได้ล่วงลับไปแล้ว แล้วหากเขาตายไปหรือเขาถูกฆ่าก็ตาม พวกเจ้าก็หันสันเท้าของพวกเจ้ากลับกระนั้นหรือ และผู้ใดที่หันสันเท้าทั้งสองของเขากลับแล้วไซร้ มันก็จะไม่ให้เกิดอันตรายแก่อัลลอฮฺแต่อย่างใดเลย และอัลลอฮฺนั้นจะทรงตอบแทนแก่ผู้กตัญญูทั้งหลาย) อาลิอิมรอน 144
การแต่งตั้งอบูบักรขึ้นเป็นคอลีฟะฮฺ
.........ถึงแม้ว่าท่านรอซูลได้จากไปแล้วก็จริง แต่ผู้นำรัฐคนใหม่จะต้องเพื่อรักษาแนวทางของท่านรอซูล(ซ.ล.)เอาไว้
.........มุสลิมในตอนนั้นได้แบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ ๆ มูฮาญีรีน กับ อันศอรและได้มีการประชุมกันขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ เพือหารือเกี่ยวกับเรื่องการแต่งตั้งผู้ที่เหมาะสมจะเป็นคอลีฟะฮฺสืบทอดจากท่านนบี(ซ.ล.)
.........หัวหน้าเผ่าค้อซร๊อจคนหนึ่งก็ลุกขึ้นและกล่าวว่า ? ท่านพี่น้องชาวอันศอรโปรดฟังข้าพเจ้าก่อน ถ้าเราได้ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่แล้ว ๆ มาเพื่อความเจริญของอิสลาม แท้จริงเราได้ทำเพียงเพื่อเป็นการภักดีต่ออัลลอฮฺ ( ซ . บ. ) และรอซูลของพระองค์ เรามิได้กระทำเพื่อเป็นการภักดีต่อคนอื่น ดังนั้นเราก็ไม่สมควรที่จะให้มีการต้องแก่งแย่งหน้าที่กัน โปรดรําลึกให้ดีว่า ท่านร่อซูลนั้นมีเชื้อสายเป็นชาวกุเรซโดยตรง เชื้อสายกุเรซจึงย่อมมีสิทธิ์มีความเหมาะสมดีกว่าพวกเรา
.........คำปราศรัยของท่านผู้นี้ยังผลให้ชาวอันศอรสงบปากคำเงียบ เห็นพ้องกันว่าพวก มูฮาญีรีนควรจะได้เป็นคอลีฟะฮฺ ท่านอบูบักรจึงพูดขึ้นว่า สหายทุกคน ท่านอุมัรและท่านอบูอุบัยดะฮฺคู่ควรกับตำแหน่งคอลีฟะฮฺ ฉะนั้นขอให้ท่านเลือกคนใดคนหนึ่งจากสองคนนี้
.........ปรากฏว่าทั้งอุมัร และ อบูอุบัยดะฮฺ อุทานขึ้นอย่างตกใจว่า ? อะไรกันท่านอัสศิดดีก !ทำไมท่านจึงพูดอย่างนี้ จะมีใครที่ไหนกล้ามารับตำแหน่งอันใหญ่หลวง ในเมื่อมีท่านเป็นหลักประกันอยู่ทั้งคน ท่านเป็นยอดบุรุษของชาวมูฮาญีรีน เป็นเพื่อนสนิทของท่านรอซูล(ซ.ล.)ทั้งในยามทุกข์และยามสุข เคยทำหน้าที่เป็นผู้นำในการละหมาด การละหมาดเป็นหลักสำคัญประการแรกของอิสลาม ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้ท่านรอซูล(ซ.ล.)ยิ่งกว่าคนอื่นฉะนั้นท่านจงเหยือดมือออกเถิด เพื่อพวกเราจะได้กล่าวคำสัตยบันต์แสดงความจงรักภักดีต่อท่านสืบต่อไป ?
.........หลังจากนั้นอบูบักรก็ได้รับการแต่งตั้งเป็น คอลีฟะฮฺคนแรกสืบทอดจากท่านนบี(ซ.ล.)และท่านดํารงตําแหน่งคอลีฟะฮฺเป็นเวลา 2 ปี 3 เดือน และ10 วัน
การสิ้นชีพ
..............อบูบักรเริ่มป่วยเมื่อวันที่ 7 ยามาดีลอาคีร ฮ . ศ. 13 และอาการป่วยของท่านก็ได้เพิ่มขึ้นทุกวัน เมื่ออบูบักรป่วยได้สองสัปดาห์อบูบักรก็เสียชีวิตลง ซึ่งท่านมีอายุ 63 ปี ญะนาซะฮฺของท่านถูกนำไปฝังใกล้ๆกับศพของท่านรอซูล (ซ.ล.) ที่นครมาดีนะฮฺใกล้กับมัสยิดท่านนบี(ซ.ล.)
..............ก่อนเสียชีวิต อบูบักรได้สั่งกำชับว่า ? อย่าใช้ผ้าใหม่มาฝังร่างของฉัน จงเอาผ้าที่ฉันกำลังสวมอยู่นี้ ซักให้สะอาดแล้วถึงค่อยฝังให้ฉัน ?
ผลงานของอบูบักร
.............? เป็นผู้ศรัทธาคนแรก
.............? รวบรวมอัลกุรอาน
.............? ปราบปรามกลุ่มมุรตัดที่ปฎิเสธการบริจาคซากาต
.............? ฮิจเราะฮฺพร้อมกับท่านนบี (ซ.ล.)
.............? หัวหน้าคณะในการเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ที่นครมักกะฮฺในปีที่ 9 ฮ.ศ.
.............? เป็นผู้นําละหมาดในขณะที่ท่านรอซูลป่วย
.............? สานต่อทัพอุสามะฮฺ
จบ