ผู้เขียน หัวข้อ: เล่าสู่ - เรียนรู้ เรื่องซอฮาบะฮ์..  (อ่าน 38696 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ +Kamarutdin+

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 60
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: เล่าสู่ - เรียนรู้ เรื่องซอฮาบะฮ์..
« ตอบกลับ #30 เมื่อ: เม.ย. 05, 2007, 12:48 AM »
0
?อาณาจักรโรมันตะวันออก?



        การยึดครองซีเรีย สาเหตุของสงครามระหว่างมุสลิมกับพวกไบแซนติน  (หรือที่เรียกกันว่าโรมัน)   นั้นได้พูดกัน
มาแล้วกล่าวคือ ในระหว่างสมัยอบูบักรฺฝ่ายมุสลิมได้โจมตีพวกโรมันที่ชายแดนซีเรีย และ ได้ยึดเมืองบางเมืองไว้   เช่น
บุสรอและอัจญ์นะดัยน์  หลังจากนั้นก็เข้าล้อมเมืองดามัสกัสไว้เมื่อตอนที่อบูบักรสิ้นชีวิตลง หลังจากที่ยึดดามัสกัสได้แล้ว มุสลิมก็เข้ายึดเมืองฮิมส์ และ กอสริน ผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการยึดครองเมืองทั้งสามนี้ก็คือ  คอลิด บิน วะลีด  ซึ่งอุมัรฺยอมรับในความสามารถและและกล่าวว่า  ?ขออัลลอฮฺได้โปรดประทานความจำเริญแก่วิญญาณของอบูบักรด้วยเถิด เขาใช้คอลิดถูกกับงานแล้ว?

        การพ่ายแพ้ของเมืองสำคัญทั้งสามนี้สร้างความโกรธแค้นให้แก่ เฮราคลีอุส จักรพรรดิแห่งอาณาจักรไบแซนตินเป็นอย่างมาก ดังนั้นจักรพรรดิจึงได้จัดกองทัพใหญ่เพื่อโจมตีมุสลิม และเพื่อที่จะเผชิญหน้ากองทัพใหญ่จากฝ่ายไบแซนติส กองกำลังมุสลิมจึงได้ออกมาจากเมืองบางเมืองที่ควบคุมไว้และได้คืน ?ญิซยะฮฺ? (ภาษีป้องกันทางทหาร) ที่เก็บมาจากชาวเมืองที่มิใช่มุสลิมให้แก่ชาวเมืองเหล่านั้นโดยกล่าวว่า  ?ในเมื่อเราไม่สามารถคุ้มครองพวกท่านได้ เราก็ขอคืนมันให้แก่ท่าน? นี่คือตัวอย่างอันโดดเด่นที่ไม่เหมือนใครในประวัติศาสตร์ที่สร้างความประทับใจให้แก่คนที่มิใช่มุสลิมในดินแดนที่มุสลิมยึดครอง หนังสือประวัติศาสตร์บางเล่มยังได้เขียนถึงขนาดว่า
ชาวเมืองหลายคนถึงขนาดร้องไห้เมื่อมุสลิมออกไปจากเมือง




?สงคราม ยาร์มูค? (วันที่ 15 เดือนเราะญับ  ฮ.ศ. 15/ ค.ศ.  636 )



        หลังจากพ่ายแพ้ที่เมืองดามัสกัส  ฮิมส์  และเมืองอื่นๆแล้ว พวกโรมันก็ได้หนีไปยังเมืองอันติออคซึ่งเมืองที่จักรพรรดิเฮราคลีอุสอาศัยอยู่ และกำลังคิดจะย้ายไปยังเมืองคอนสแตนติโนเปิลซึ่งเป็นเมืองหลวงหลักของเขา  พวกโรมันได้ขอร้อง
เฮราคลีอุสให้ช่วยต่อต้านและขับไล่มุสลิม ดังนั้น เฮราคลีอุสจึงได้ใช้เมืองอันติออคเป็ยศูนย์จัดกองทัพใหญ่เพื่อขับไล่มุสลิม

        ฝ่ายมุสลิมซึ่งรู้ความเคลื่อนไหวดังกล่าวแล้ว   จึงได้จัดเตรียมกองทัพ  พร้อมที่จะเผชิญหน้ากองทัพของพวก
ไบแซนตินที่ยาร์มูค กองทัพโรมันที่ยกมาครั้งนี้มีขนาดใหญ่กว่ากองทัพมุสลิมเป็นอย่างมาก ในตอนเริ่มต้นสงคราม การบังคับบัญชากองทัพของ คอลิด บิน วะลีด แต่ในระหว่างรบ อุมัรได้ถอดถอนเขาออกจากการเป็นแม่ทัพ และ ได้แต่งตั้ง อบู อุบัยด๊ะฮฺ  บิน ญัรรอฮฺ ให้ขึ้นมาเป็นแม่ทัพแทน การทำสงครามเริ่มต้นในวันที่ 20 สิงหาคม  ค.ศ. 636 โดยที่ฝ่ายโรมันต้องประสบความพ่ายแพ้และทหารต้องล้มตายลงเป็นจำนวนมาก ธีโอโดรัสเองก็ถูกฆ่าตายในสนามรบ ทำให้ทหารในกองทัพขวัญเสียแตกกระเจิงและเกิดความโกลาหลขึ้น

        สงครามยาร์มูคเป็นจุดผกผันในประวัติศาสาตร์ของอาณาจักรไบแซนติน เพราะการพ่ายแพ้ในสงครามครั้งนี้ทำให้อำนาจของไบแซนตินได้ถูกทำลายลงและซีเรียได้ตกเป็นของมุสลิม เฮราคลีอุสเอง พอได้ยินข่าวการพ่ายแพ้ที่ยาร์มูคก็หนีไปยังเมืองอนติออคและหลังจากนั้นก็กลับไปยังเมืองคอนสแตนติโนเปิล ก่อนออกเดินทางเขาได้กล่าวอย่างอาลัยว่า 
?ลาก่อนซีเรีย  ?ช่างเป็นเมืองที่ประเสริฐเหลือเกินสำหรับศัตรู?



?การปลดคอลิคออกจากตำแหน่งแม่ทัพ?



        คอลิค บิน วะลีด เป็นแม่ทัพที่มีความแข็มแข็งและมีความสามารถมากคนหนึ่งของอิสลาม เขาจัดอยู่ในตำแหน่งแห่งวีรบุรุษคนหนึ่งซึ่งอุทิศชีวิตทั้งหมดให้แก่หนทางแห่งอิสลาม  อุมัรุก็ชื่นชมในผลงานของเขา แต่ถึงกระนั้น ก็มีหลายคนร้องเรียนเกี่ยวกับเรื่องพฤติกรรมของเขา โดยเฉพาะความฟุ่มเฟือยเมื่อเขาจ่ายราวัลให้แก่กวีคนหนึ่ง ถึง 10,000 ดีนาร์ คอลิคเองก็ไม่สามารถอธิบายเรื่องนี้ให้อุมัรุเป็นที่พอใจได้  ดังนั้นคอลิคจึงถูกอุมัรุปลดออกจากตำแหน่งแม่ทัพ แต่ถึงจะไม่มีตำแหน่งก็ตามคอลิคก็พิสูจน์ตัวเองว่าเขาเป็นมุสลิมที่แท้จริงและยังทำหน้าที่เป็นทหารในกองทัพต่อสู้ศัตรูต่อไปแม้กำลังอยู่ในระหว่างสงครามก็ตาม เมื่อมีคนถามเขาว่า ทำไมเขาจึงไม่ท้อแท้ต่อข่าวการถูกปลด เขากล่าวว่า ?ก็ฉันต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮุ?

        ตามนักประวัติศาสตร์ที่มีความเห็นว่าสงครามยาร์มูคเกิดขึ้นก่อนการยึดดามัสกัสนั้น  คอลิคได้ถูกปลดออกจากตำแหน่งในตอนต้นๆที่อุมัรุขึ้นมารับตำแหน่งเคาะลีฟะฮุ  ในขณะที่บางคนก็คิดว่ามันเกิดขึ้นประมาณปีฮิจญ์เราะฮุศักราชที่17 เพราะคนพวกนี้ถือว่าสงครามยาร์มูคเกิดขึ้นหลังการยึดดามัสกัส

        เกี่ยวกับเรื่องการปลดคอลิคออกจากตำแหน่งแม่ทัพ  นักประวัติศาสตร์มุสลิมกล่าวว่า : ?อุมัรุปลดคอลิคออกจากตำแหน่งมิใช่เพราะความโหดเหี้ยมหรือการกระทำความผิด แต่เพราะอุมัรุไม่ต้องการให้ผู้คนหลงยึดติดกับตัวบุคคลจนลืมมองไปถึงผู้ที่ประทานความสำเร็จให้ นั้นคือ อัลลอฮุ?



?การยึดเยรูซาเล็ม?



        เดิมทีนั้น อุมัรุ  อิบนุ  อัลอาศ  เป็นแม่ทัพทำหน้าที่อยู่ที่เมืองเยรูซาเล็มหลังจากยึดเมืองอันติออคและเมืองสำคัญอื่นๆของอาณาจักรไบแซนตินได้  อบู อุบัยด๊ะฮุ  ก็ได้เขามาร่วมพร้อมกับคอลิค บิน วะลีด  แม่ทัพทั้งสามล้อมเมืองเยรูซาเล็มที่มีกำแพงล้อมรอบไว้  แต่เนื่องจากชาวเมืองเยรูซาเล็มได้เห็นการพ่ายแพ้ของพวกไบแซนตินแล้ว  จึงได้เสนอขอทำสัญญาสันติภาพโดยมีเงื่อนไขว่า เคาะลีฟะฮุจะต้องลงนามในสัญญาเอง เมื่อข้อเสนอดังกล่าวถูกนำไปยังอุมัรุ  และหลังจากที่ได้มีการปรึกษาหารือกับสภาผู้ปกครองแล้ว อุมัรุก็ยอมรับข้อเสนอ

       

?อุมัรุไปยังเยรูซาเล็ม?



        ก่อนออกเดินทางไปยังเยรูซาเล็ม  อุมัรุได้แต่งตั้งให้อะลีทำหน้าที่ดูแลเมืองแทน หลังจากนั้น เขาก็เดินทางออกไปยังเยรูซาเล็มกับคนรับใช้ของเขา  อุมัรุใช้อูฐเพียงตัวเดียวเป็นพาหนะโดยพลัดกันขี่  ตอนเข้าเมืองเยรูซาเล็มเป็นคราวของคนรับใช้ของเขาจะต้องเป็นคนขี่ คนรับใช้ของอุมัรุจึงเสนอให้เขาเป็นคนนั่ง  แต่อุมัรุได้ปฏิเสธและได้กล่าวว่า  ?อิสลาม(การเป็นมุสลิม) ก็พอแล้วสำหรับทุกคน?  อุมัรุเข้าเมืองเยรูซาเล็มโดยจูงอูฐที่มีคนรับใช้นั่งอยู่บนหลัง  เสื้อผ้าของเขามอมแมมและมีรอยปะหลายแห่ง  อบู อุบัยด๊ะฮุ  คอลิค บิน วะลีด  และแม่ทัพคนอื่นๆได้ออกมาต้อนรับโดยสวมใส่เสื้อผ้าหรูหรราคาแพง เมื่ออุมัรุเห็นเข้าจึงเอาเม็ดทรายปาใส่แม่ทัพเหล่านั้นและกล่าวว่า  ?แค่เพียง 2 ปี พวกท่านเปลี่ยนไปมากถึงขนาดนี้เชียวหรือ?  หนทางเดียวสำหรับความสำเร็จคือหนทางของท่านศาสดา?

        หลังจากนั้น อุมัรุก็ได้ลงนามในสัญญาซึ่งในนั้นระบุว่าชาวเมืองเยรูซาเล็มจะได้รับความปลอดภัยทั้งในชีวิต และทรัพย์สิน ศาสนสถานจะได้รับการดูแลรักษา และประชาชนทุกคนจะได้รับเสรีภาพในการปฏิบัติศาสนาอย่างเสรี

        ดังนั้น  ประตูเมืองเยรูซาเล็มจึงได้ถูกเปิดและมุสลิมได้เข้าเมืองในปี ฮ.ศ. 16 (ค.ศ.635) แต่นักประวัติศาสตร์ก็บอกว่าเป็นปี ฮ.ศ. 17

        ในตอนที่อุมัรุเข้าเมืองนั้นเป็นเวลานมาซพอดี  พวกคริสเตรียนอนุญาตให้อุมัรุนมาซในโบสถ์ใหญ่ แต่อุมัรุไม่ทำเช่นนั้น เพื่อที่ประชากรรุ่นต่อไปจะได้ไม่มีข้ออ้าวมายึดโบสถ์แห่งนี้ไปจากพวกคริสเตรียน แต่ท่านได้นมาซร่วมกับบรรดามุสลิมบนทางขึ้นโบสถ์ แต่ถึงกระนั้นก็ตาม อุมัรุก็ได้เขียนหนังสือบอกบิชอปว่ามิให้ใช้ทางขึ้นโบสถ์นี้สำหรับการนมาซรวมหรือการอะซานในอนาคต



?มัสญิดอุมัรุที่เยรูซาเล็ม? 



        อุมัรุได้วางรากฐานมัสญิดแห่งนี้ไว้ตรงสถานที่ที่เรียกกันว่า ?ศ็อครอ? ซึ่งบิชอปเสนอให้  สถานที่แห่งนี้เป็นบริเวณ
ที่อัลลอฮุได้ประทานบัญญัติแก่นบียะกู๊บและเป็นสถานที่ตั้งของวิหารแห่โซโลมอน  ในการก่อสร้างมัสญิดนั้น  อุมัรุก็ทำงานเหมือนกับคนงานอื่นที่ร่วมกันสร้างและมัสญิดแห่งนี้ถูกเรียกว่า ?มัสญิดอุมัรุ?



?การพิชิตญะซีเราะฮุ (คาบสมุทร) เมโสโปเตเมีย?



        หลังจากการพิชิตเยรูซาเล็ม พวกโรมันพยายามที่ยึดซีเรียกลับคืนอีกครั้งหนึ่ง  ฝ่ายมุสลิมนั้นไม่ต้องการที่จะขยายดินแดนออกไป แต่มีนโยบายเพียงคุ้มครองป้องกันมาตุภูมิเดิมคืออาราเบียไว้เท่านั้นและเป้าหมายการต่อสู้ก็เพียงเพื่อที่จะทำการเผยแผ่อิสลามเป็นไปอย่างเสรี  เมื่อใดก็ตามที่มุสลิมได้รับอนุญาตให้เผยแผ่อิสลามอย่างเสรีการต่อสู้ก็จะไม่เกิดขึ้นดังที่จะสังเกตุเห็นได้จากในกรณีของเยรูซาเล็มในประวัติศาสตร์อิสลาม ไม่มีชาติใดเลยที่ถูกบังคับให้ต้องละทิ้งศาสนาของตนเองและหันมารับอิสลาม

        ประชาชนแห่งญะซีเราะฮุ(ปัจจุบันคือแผ่นดินตะวันตกเฉียงเหนือของอีรัก)  ได้วางแผนที่จะขับไล่มุสลิมออกจากซีเรีย  จักรพรรดิเฮราคลีอุสแห่งไบแซนไตได้ส่งกองทัพมาช่วยผู้คนเหล่านี้โดยเริ่มจากการบุกเมือง  ?ฮิมส์?  ซึงเป็นเมืองป้อมปราการที่มุสลิมเคยยึดมาได้โดย อบู อุบัยด๊ะฮุ  แต่มุสลิมก็สามรถต้านทานการบุกและขับไล่ผู้รุกรานออกไปได้  เมื่อทราบข่าวเช่นนั้น  อุมัรุก็สั่งให้กองทัพมุสลิมภาพใต้การนำของ อะยาด บิน ฆอนัม  บุกเข้ายึดญะซีเราะฮุ และหลังจากยึดได้แล้ว ก็ให้เจ้าเมืองแห่งฮิมส์เป็นผู้ดูแล



?ภัยอดอยาก และโรคระบาด?



        ในปี ฮ.ศ.17-18  แคว้นฮิญาซ (อาราเบียตอนเหนือ) และซีเรีย ต้องเผชิญกับความอดอยากและภัยแล้ง อุมัรุจึงได้สั่งให้นำอาหารมาจากอียิปต์ซึ่งตอนนั้นส่วนหนึ่งถูกยึดครองโดย  อัมรุ อิบนุ อัลอาศ  เมล็ดข้าวจำนวนมาก  ได้ถูกนำมายังมะดี-
นะฮุและท่านได้ลงมือแจกจ่ายให้แก่คนอยากจนด้วยตัวเอง ในช่วงแห่งความอดอยากนั้น อุมัรุก็อดอยากเหมือนกับคนทั่วไปโดยที่เขาไม่เคยใช้อภิสิทธิ์แต่อย่างใด  เมื่อมีคนร้อง ให้เขาระวังเรื่องสุภาพ  อุมัรุกลับตอบว่า  ?ถ้าหากฉันไม่ได้ลิ้มรสความหิว ฉันจะรู้ถึงความเดือดร้อนของคนอื่นได้อย่างไรเล่า??

        ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเองก็มีโรคระบาดเกิดขึ้นในส่วยใหญ่ของอีรัก  ซีเรียและอียิปต์  ซึ่งไม่เพียงแต่จะสร้างความทุกข์อยากให้แก่พลเมืองเท่านั้น  แม้แต่กองทัพมุสลิมก็พลอยติดโรคระบาดนี้ไปด้วย หลังจากโรคระบาดหายแล้ว  อุมัรุได้ไปยังซีเรียเพื่อตรวจดูความเสียหายที่เกิดขึ้นจากภัยโรคระบาด  เมื่อไปถึงเขาก็พบว่าบุคคลสำคัญสามคนคือ อบู อุบัยด๊ะฮุ
มุอาซ บิน ญะบัล และยะซีด บิน อบูซุฟยาน  ได้เสียชีวิตไปแล้ว ดังนั้น อุมัรุจึงได้แต่ตั้ง  มอาวิยะฮุ บิน อบูซุฟยาน  ให้เป็นเจ้าเมืองดามัสกัสแทนยะซีด บิน อบูซุฟยาน ซึ่งเป็นพี่ชาย



?การยึดครองอียิปต์?



        ในเวลานั้น อียิปต์เป็นแคว้นใหญ่แห่งหนึ่งของอาณาจักรไบแซนตินและฐานทัพเรือที่แข็มแข็งของพวกไบแซนตินอยู่ที่เมืองอเล็กซานเดรีย อียิปต์จึงเป็นอันตรายสำคัญต่อความมั่นคงปลอดภัยของฮิญาซ เพราะพวกโรมันได้วางแผนการมาตลอดที่จะช่วงชิงเอาดินแดนที่มุสลิมยึดครองกลับคืนมาโดยใช้อียิปต์เป็นฐานสำคัญทางทหาร ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นเรื่องจำเป็นจากทัศนะของทางทหารที่ต้องพลักดันพวกโรมันออกไปจากอียิปต์   ดังนั้นในตอนปลายปี  ฮ.ศ. 17  ( ค.ศ. 638 )
อัมรุ อิบนุ อัลอาศ  ผู้มีส่วนสำคัญในการพิชิตปาเลสไตน์ จึงได้ขอให้อุมัรุมอบอำนาจให้เขาเริ่มดำเนินการมาตราการทางทหารโดยการรุกคืบเข้าไปยังฮุบเขาในลุ่มแม่น้ำไนล์  เมื่อได้รับอนุญาตจากเคาะลีฟะฮุอุมัรุแล้ว  อัมรุ อิบนุ อัลอาศ ก็ออกเดินทางจากปาเลสไตน์ไปยังอียิปต์พร้อมกำลังทหารสี่พันคน ( หมายเหตุ : นักประวัติศาสตร์หลายคนกล่าวว่าเหตุการณ์นี้เดขึ้นเมื่อ ฮ.ศ. 18 หรือ ค.ศ. 639 และทั้งหมดนั้นเห็นพ้องว่าอียิปต์ส่วนนั้นได้ถูกยึดครองก่อยภัยอดอยาก ซึ่งเกิดในปี ฮ.ศ. 17-18 ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง การเคลื่อนทัพของอัมรุ อิบนุ อัลอาศ ในครั้งนั้นก็จะต้องเกิดขึ้นใน ฮ.ศ. 18

        อัมรุ อิบนุ อัลอาศ เข้าอียิปต์ทาง วะดี อัลอาริช และหลังจากเข้ายึดเมืองเล็กๆ บางเมืองแล้ว  ก็ได้เข้าล้อมและยึดค่ายทหารโรมันที่แข็งแร็งที่สุดแห่งหนึ่งที่เมืองฟุสตาต (ต่อมาคือเมืองไคโร) เอาไว้ได้

        การพ่ายแพ้ที่ฟุสตาตทำให้อำนาจทางการทหารของพวกโรมันในอียิปต์สั่นคลอนเป็นอย่างมาก    พอทราบข่าว
คอนสแตนตินที่ 2 จักรพรรดิไบแซนตินรู้สึกโกรธมากและได้สั่งกองทัพใหญ่ไปยังอเล็กซานเดรีย ดังนั้น อัมรุ อิบนุ อัลอาศ จึงยกกองทัพออกฟุสตาตไปยังอเล็กซานเดรีย โดยเคาะลีฟะฮุอุมัรุได้ส่งกำลังทหารเสริมเข้ามาให้  อเล็กซานเดรียเป็นฐานที่มันที่แข็งแรงของพวกโรมันในอียิปต์ซึ่งพวกโรมันสามรถเสริมกำลังทหารและสเบียงต่างๆมายังเมืองนี้ได้โดยทางทะเล ดังนั้น การยึดเมืองนี้จริงเป็นเรื่องยาก  อัมรุ อิบนุ อัลอาศ ล้อมเมืองนี้อยู่หกเดือนก็ยังไม่เป็นผล  เมื่อทราบข่าวว่าสถานการณ์ยังคงเป็นอยู่เช่นนี้  อุมัรุ จึงได้เขียนจดหมายถึง อัมรุ อิบนุ อัลอาศ ว่า

        ?ฉันกลัวว่าบรรดามุสลิมไม่ได้ปฏิบัติตามคำสอนของอัลกรุอานและแบบอย่าง (ซุนนะฮุ) ของท่านรอซุลุลลอฮุอย่างครบถ้วน หนทางเดียวที่จะได้รับชัยชนะก็คือการปฏิบัติตามทางของท่านรอซูลุลลอฮุอย่างเคร่งครัด  ดังนั้น  พวกเขาจึงควรปฏิบัติให้เคร่งครัดยิ่งกว่านี้..แล้วพยายามเข้าตีศัตรูอีกเป็นครั้งสุดท้าย?

        อัมรุ อิบนุ อัลอาศ  อ่านจดหมายต่อหน้าบรรดมุสลิม  ดังนั้นคำสั่งของอุมัรุจึงได้รับการปฏิบัติทันที และในสุดท้ายมุสลิมก็สามารถยึดอเล็กซานเดรียได้ในปี ค.ศ. 642 ตามประวัติศาสตร์ตะวันตก  แต่นักประวัติศาสตร์มุสลิมบางคนระบุว่า  อเล็กซานเดรียถูกยึดครองในปี  ค.ศ.  640  ( ฮ.ศ. 20 )   เมื่อยึดเมืองที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นความรุ่งโรจน์ของพวกโรมันได้
อัมร์ อิบนุ อัลอาศ  ก็ได้เขียนจดหมายไปยังเคาะลีฟะฮุว่า ? ฉันยึดเมืองเอาไว้ได้แล้ว โดยมีทรัพย์สินที่ยึดได้คือ บ้าน 4,000
หลัง   พร้อมที่อาบน้ำ 4,000 แห่ง  พวกยิวที่ต้องภาษีรายหัวจำนวน  40,000 คน   และ  สถานที่พักผ่อนหย่อนใจอีก       400 แห่ง ?  ฟิลิป ฮิตตี้  ได้เขียนว่า : ?เคาะลีฟะฮุได้ฉลองข่าวจากแม่ทัพด้วยขนมปังและอินทผลัม ทุกคนรื่นเริงในการแสดงความขอบคุณพระเจ้าในมัสญิดของนบี ?

        หลังจากนั้น อัมรุ อิบนุ อัลอาศ  ก็ได้ยึดครองค่ายทหารที่เหลืออยู่ในอียิปต์จนกระทั่งอียิปต์ทั้งหมดได้ตกอยู่ใต้
อิสลามอย่างสมบรูณ์ ชาวคริสเตรียนและชาวยิวในท้องถิ่นได้รับเสรีภาพในการนับถือศาสนาของตนต่อไป  ภาษีต่างๆ ที่พวกโรมันเรียกเก็บได้ถูกยกเลิกและภาพโดยทั่วไปของประเทศก็ดีขึ้นอย่างที่ชาวอียิปต์ไม่เคยได้รับมาก่อนหน้านี้

        ในเวลานั้น  อียิปต์มีประเพณีอุบาทว์ปฏิบัติกันอย่างหนึ่งคือ ในทุกปีชาวอียิปต์จะนำสาวสวยคนหนึ่งมาสังเวยบูชาแม่น้ำไนล์เพื่อให้แม่น้ำมีน้ำเพิ่มขึ้น  หลังจากที่ยึดอียิปต์ได้แล้วก็ได้มีรายงานเรื่องนี้ไปยังอุมัรุ  อุมัรุจึงได้สั่งห้ามประเพณีดังกล่าว  บังเอิญในปีนั้นแม่น้ำไนล์เกิดมีน้ำน้อยและดูเหมือนจะแห้งขอดลงด้วย  อัมรุ อิบนุ อัลอาศ จึงได้เขียนจดหมายไปยังอุมัรุเพื่อขอคำแนะนำ  อุมัรุจึงได้เขียนจดหมายซึ่งมีข้อความดังต่อไปนี้  และขอให้อัมรุ อิบนุ อัลอาศ  โยนลงไปในแม่น้ำไนล์ :

        ?จากอุมัรุ  บ่าวของอัลลอฮุและอามีรุ ( ผู้นำ ) ของบรรดามุสลิม  ถึงแม่น้ำไนล์แห่งอียิปต์  โอ้  แม่น้ำไนล์  ถ้าหากเจ้าไหลตามความต้องการของเจ้าเอง  เราก็ไม่ต้องการเจ้า  แต่ถ้าเจ้าไหลโดยคำสั่งของอัลลอฮุ  เราวิงวอนขอต่อพระองค์ให้เจ้าไหลตลอดเวลา?
       
        จดหมายฉบับนั้นถูกโยนลงไปในแม่น้ำไนล์  และในปีนั้นแม่น้ำไนล์ก็มีน้ำไหลเอ่อขึ้นมา  โดยเหตุนี้เองชาวอียิปต์จึงได้หยุดประเพณีที่มิใช่อิสลามและได้ยอมรับอำนาจทางจิตวิญญาณของอิสลาม


ยังมีต่อนะครับ อินชาอัลลอฮุ




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เม.ย. 05, 2007, 12:55 AM โดย +Kamarutdin+ »
.....เมื่อใครคนหนึ่งซ่อนเร้นสิ่งใดไว้ในหัวใจของเขา  ลิ้นของเขาก็จะชี้ให้ และ สีหน้าของเขาก็เปิดมันออกมา จงอย่าเป็นทาสของผู้ใดนอกจากตัวท่านเอง เพราะ อัลลอฮุ ได้ทำให้ท่านเกิดมาเป็นอิสระ.....

ออฟไลน์ yaseen

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 36
  • ชีวิตนักเดินทาง
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: เล่าสู่ - เรียนรู้ เรื่องซอฮาบะฮ์..
« ตอบกลับ #31 เมื่อ: เม.ย. 09, 2007, 03:09 PM »
0
ญะซากัลลอฮฺค็อยรอน

รอติดตามอ่านอยู่..ชอบๆ
อ่านแล้วทำให้นึกย้อนไปในตอนนั้น ซอฮาบะฮฺ ลำบากกว่าพวกเราหลายเท่านักกับการต่อสู้เพื่ออิสลามของพวกเรา  ;D
+ในร่างกายนั้นมีก้อนเนื้อหนึ่ง เมื่อมันดี ร่างกายทุกส่วนก็จะดี เมื่อมันเสีย ทุกส่วนของร่างกายก็จะเสีย จงจำไว้เถิด เนื้อก้อนนั้นคือหัวใจ+

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
เล่าสู่ - เรียนรู้ เรื่องซอฮาบะฮ์..
« ตอบกลับ #32 เมื่อ: เม.ย. 10, 2007, 09:12 AM »
0
ผมคิดว่า  การนำเสนอของคุณ +Kamarutdin+ ต้องใช้เวลาว่างพอสมควรที่จะทำการพิมพ์นำเสนอ  ยังไงก็ جزاك الله خيرا ครับ
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ บุคคลธรรมดา

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 433
  • live&learn in Islam
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
Re: เล่าสู่ - เรียนรู้ เรื่องซอฮาบะฮ์..
« ตอบกลับ #33 เมื่อ: เม.ย. 10, 2007, 10:51 AM »
0
ญะซากั้ลลอฮ์ คุณ kamarutdin  ค่ะ

ยิ่งได้อ่านจากที่นำเสนอ ก้อ ยิ่ง ซาบซึ้งใจ กับ ชีวิตประวัติ ของท่าน อุมัร
กับบางช้อท บางตอน ที่แสดงถึง ความลงตัว ของท่าน
ที่ผสมทั้งความดุดัน และความ อ่อนโยน
ความฉลาด และ พลังแห่งศรัทธาของท่าน

จะติดตามอ่านต่อค่ะ

 ;) ;)
ถ้าหากว่าเราจะข้ามไปยังอีกฝั่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยแอ่งปลักโคลน
แน่นอนที่สุด เราจะถึงฝั่งนั้นในสภาพที่เปรอะเปื้อนด้วยโคลน...
โคลนที่อยู่ในแอ่งนั้น มันจะทิ้งร่องรอยที่เท้าของเรา
และในที่ที่ เราได้เหยียบย่างไป

                        "อัลชะฮีด ซัยยิด กุฏุบ"

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
เล่าสู่ - เรียนรู้ เรื่องซอฮาบะฮ์..
« ตอบกลับ #34 เมื่อ: เม.ย. 10, 2007, 06:42 PM »
0
ที่ผสมทั้งความดุดัน และความ อ่อนโยน
ความฉลาด และ พลังแห่งศรัทธาของท่าน

ผมชอบท่าน ซัยยิดินา อุมัร อัลฟารูก มาก ๆ ครับ ท่านเข้มงวดในตอนกลางวัน  แต่ท่านชอบแอบร้องไห้ในตอนกลางคืน
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ salamah

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 761
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: เล่าสู่ - เรียนรู้ เรื่องซอฮาบะฮ์..
« ตอบกลับ #35 เมื่อ: เม.ย. 12, 2007, 08:30 AM »
0

ผมชอบท่าน ซัยยิดินา อุมัร อัลฟารูก มาก ๆ ครับ ท่านเข้มงวดในตอนกลางวัน  แต่ท่านชอบแอบร้องไห้ในตอนกลางคืน

ทำไมล่ะคะปู่อัลฯทำไมท่านซัยยิดินา   อุมัร   อัลฟารูก........ถึงต้องแอบร้องไห้ในตอนกลางคืนด้วยล่ะคะ
ถึงไม่รอบรู้ทุกด้าน    แต่ขอเป็นมุสลิมะห์ที่ดีก็พอ

ออฟไลน์ +Kamarutdin+

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 60
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: เล่าสู่ - เรียนรู้ เรื่องซอฮาบะฮ์..
« ตอบกลับ #36 เมื่อ: เม.ย. 24, 2007, 11:18 AM »
0


                                              การตายของเคาะลีฟะฮุอุมัรุ  และผลงานที่ท่านได้ทิ้งไว้


?การสิ้นชีวิตของอุมัรฺ?


         การปกครองอันรุ่งโรจน์ของอุมัรฺได้สิ้นสุดลงด้วยความตายในวันพุธที่  27 เดือนซุ้ลฮิจญะฮฺ  ฮ.ศ.23 ( ค.ศ.643 ) เมื่อเขาอายุได้ 61 ปี โดยทาสชาวเปอร์เซียคนหนึ่งของมุฆีเราะฮฺซึ่งมีนามว่า อบูลุลุ ฟีรูซ ได้เข้ามาร้องทุกข์ต่ออุมัรฺถึงเรื่องที่นายของเขามอบหมายภาระหนักให้เขาปฏิบัติ แต่คำร้องทุกข์ดังกล่าวไม่เป็นความจริง  อุมัรฺจึงไม่ได้จัดการอะไรให้  ดังนั้นด้วยด้วยความแค้น ในตอนรุ่งเช้าวันรุ่งขึ้น เมื่ออุมัรฺเดินไปยังมัสญิดเพื่อนมาซประจำเวลารุ่งอรุณ ฟีรูซซึ่งแอบอยู่จึงได้ลอบเข้ามาใช้กริชแทงเขาถึงหกแผล เมื่อผู้คนเห็น จึงกรูกันเข้าไปจับกุมแต่ฟีรูซก็สังหารตัวเองด้วยกริชเล่มเดียวกันนั้น บาดแผลที่สาหัสทำให้อุมัรฺเสียชีวิตในวันต่อมา

       ก่อนที่จะสิ้นชีวิต บรรดามุสลิมได้ถามถึงเรื่องคนที่จะมาสืบตำแหน่งต่อ อุมัรฺจึงได้แต่งตั้งผู้อาวฺโส 6 คน คือ อุษมาน, อะลี, ซุเบร, ฏ็อลฮะฮฺ, ซะด์ บิน อบีวักกอส และอับดุรเราะฮฺมาน บิน เอาฟฺ เพื่อเลือก ?เคาะลีฟะฮฺ? กันขึ้นมาเองจากในกลุ่มภายในสามวัน หลังจากนั้น อุมัรฺ ก็ได้ขออนุญาตนางอาอิชะฮฺให้ฝังร่างของเขาไว้เคียงข้างท่านรอซูลุลลอฮฺนางได้ให้อนุญาตถึงแม้ว่านางได้กันสถานที่แห่งนั้นไว้สำหรับตัวเองแล้วก็ตาม


?การรับใช้อิสลามของอุมัรฺ?


        ช่วงเวลาแห่งการเป็นคอลีฟะฮฺของอุมัรฺถือเป็น ?ยุคทอง? ของอิสลามในทุกด้าน อุมัรฺถูกจัดว่าเป็นคนที่มีความอัจฉริยะพิเศษที่ไม่เพียงแต่จะเป็นผู้หล่อหลอมชะตากรรมของชาติเท่านั้น แต่เขายังได้สร้างประวัติศาสตร์ของตัวเองด้วย เขาปฏิบัติตามรอยเท้าของท่านรอซูลุลลอฮฺอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ภายใต้การปกครองของเขาเองที่อิสลามได้กลายเป็นอำนาจของโลกและทำให้มหาอำนาจชาติเกรัยงไกรอย่างเปอร์เซียและไบแซนติน (โรมันตะวันออก) ต้องยอมสยบต่ออิสลาม ภายในระยะเวลา 10 ปี ห่างการปกครองอันรุ่งโรจน์ของเขา  อาณาจักรเปอร์เซียทั้งหมด ซีเรีย, ปาเลสไตน์, อียิปต์ และส่วนหนึ่งของตุรกีได้เข้ามาอยู่ภายใต้ร่มธงแห่งอิสลามและอีกหลายชาติได้หันมาเข้ารับอิสลาม อุมัรฺ มิได้เป็นแค่เพียงผู้พิชิตเท่านั้น แต่เขายังเป็นนักบริหารผู้ริเริ่มระบบการบริหารที่มีประสิทธิภาพอีกด้วย ดังนั้น เขาจึงเป็นผู้ก่อตั้งระบบการเมืองอิสลามที่แท้จริง เขาได้นำเอากฎหมายของพระเจ้ามาใช้เป็นบทบัญญัติแห่งรัฐอิสลามสากลที่ถูกก่อตั้งขึ้นมาใหม่  เขารักษาความมั่นคงปลอดภัยภายในโดยการจัดตั้งกองกำลังตำรวจ  เขาให้เงินช่วยเหลือคนยากจน  ก่อสร้างป้อมและคายทหารเพื่อความปลอดภัยของกองทัพอิสลาม  ก่อสร้างเมืองใหม่ๆ  ขึ้นอีกหลายเมืองเพื่อความเจริญเติบโตของวัฒนธรรมและอารยธรรมอิสลาม ปรับปรุงการเกษตรและเศรษฐกิจและก่อตั้งระบบการศึกษาในรัฐ  กล่าวโดยสั้นๆ  ก็คือเขาเป็นผู้ก่อตั้งรัฐอิสลามที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมา  ซึ่งเราจะพูดถึงรายละเอียดของความสำเร็จของเขาในบทต่อๆไป


?ลักษณะนิสัย?


        อุมัรฺเป็นมุสลิมที่เคร่งครัดในหลักศาสนามากผู้หนึ่ง     ความสำเร็จของเขาเกิดขึ้นเพราะสองสิ่ง    คือความเกรงกลัวอัลลอฮฺ และความรักในร่อซูลของพระองค์ เขาไม่เคยใช้น้ำมันจากบัยตุ้ลมาล(กองคลังสาธารณะ) เพื่อจุดตะเกียงในตอนกลางคืนเป็นการส่วนตัว เมื่อใดก็ตามที่เขาเสร็จงานราชการ เขาจะต้องดับตะเกียง เขาเคยเดินลาดตระเวนในเมืองในตอนกลางคืนเพื่อตรวจดูความจำเป็นและความต้องการและสภาพของประชาชน เขาไม่เคยลังเลที่จะให้ภรรยาของเขาทำงานเป็นหมอตำแยให้แก่ผู้หญิงที่ยากจน เงินเดือนที่เขาได้รับจากบัยตุ้ลมาลนั้นต่ำมากจนแทบไม่พอต่อความจำเป็นต้องกินต้องใช้ของเขาและและครอบครัว เมื่อมีมุสลิมคนสำคัญขอให้ขึ้นเงินเดือนแก่ตัวเขาเอง เขากล่าวว่า ?ท่านรอซูลลุลลอฮฺได้ทิ้งแบบอย่างการประพฤติของท่านไว้เป็นมาตรฐาน ฉันจะต้องปฏิบัติตาม?

        อุมัรฺเป็นผู้ปกครองที่ยุติธรรมที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์อิสลาม พลเมืองทุกคนรวมทั้งคอลีฟะห์เองล้วนเท่าเทียมกันต่อหน้ากฎหมายครั้งหนึ่ง อุมัรฺได้ปรากฎตัวต่อหน้าศาลที่มะดีนะฮฺเพื่อชี้แจ้งขอร้องเรียนที่มีต่อเขา กอฎี (ผู้พิพากษา) ทำต้องการจะยืนขึ้นเพื่อให้เกียรติ แด่อุมัรฺไม่อนุญาตให้ทำเช่นนั้น ทั้งนี้เพื่อที่จะไม่ก่อให้เกอดความแตกต่างเขากับคนทั่วไปต่อหน้ากฎหมาย นี่คือบุคลิกของผู้นำในระบอบอิสลาม

       อาจกล่าวโดยสั้นๆได้ว่า อุมัรฺเป็นแบบอย่างที่ดีงามของบุคลิกภาพที่ดีงาม และป็น ?คอลีฟะห์? ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของอิสลามหลังจากอบูบักร


?คุณธรรมแห่งความยำเกรงพระเจ้า?


        เครื่องแต่งกาย อาหาร และพฤติกรรมทั่วไปของอุมัรเหมือนกับท่านนบีมูฮำหมัด (ขอความสันติจงมีแด่ท่าน) โดยปกติแล้ว เสื้อผ้าที่อุมัรสวมใส่จะมีรอยปะ อาหารที่ท่านกินก็ธรรมดามาก ครั้งหนึ่ง ยะซีด บิน อบูซุฟยานได้เชิญอุมัรฺมางานเลี้ยง และเมื่อมีอาหารจานพิเศษมาให้เขาก็หยุดกินและกล่าวว่า ?สาบานด้วยอัลลอฮฺ ผู้ที่มีชีวิตของอุมัรอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์แล้ว ถ้าหากท่านไม่ปฏิบัติตามหนทางของท่านร่อซูลลุลลอฮฺแล้วละก็ อัลลอฮฺจะทำให้ท่านห่างจากหนทางที่เที่ยงตรง? อุมัรฺไม่เคยทิ้งนิสัยแหงความเรียบง่ายของเขาเลย ถึงแม้ว่าเขาจะปกครองอาณาจักรอันกว้าวใหญ่ไพศาลจากอิหร่านถึงทริโปลี แต่เขาก็ยังนั่งอยู่บนเสือที่ทำจากใบหญ้าเป็นปกติ

        อุมัรฺเป็นคนเกรงกลัวอัลลอฮฺและเป็นผู้อุทิศตนให้แก่พระองค์ บ่อยครั้งในเวลานมาซที่เขาร้องไห้น้ำตาไหลพราก โดยเฉพาะเมื่อเขาอ่านหรือได้ยินกรุอานที่กล่าวถึงวันแห่งการตัดสินและนรก ครั้งหนึ่ง อุมัรฺกำลังนมาซในยามรุ่งอรุณ และเมื่อเขาอ่ายกุรอานตั้งแต่อายะห์ที่ 16 ของซูเราะฮฺ ยูซุฟ เขาก็สะอื้นไหลน้ำตาไหลพรากจนคนที่อยู่แถวหลังสุดสามารถได้ยินเสียง

        อุมัรฺเป็นผู้เกรงกลัวการชำระบัญชีในวันแห่งการตัดสินมาก ครั้งหนึ่ง เขาได้หยิบเอาฟางหญ้าขึ้นมาถือและกล่าวว่า ?ฉันอยากเป็นฟางหญ้านี่เหลือเกิน (นั่นคือจะได้ปลอดจาการถูกชำระบัญชีในวันแห่งการตัดสิน)?

        อุมัรได้เสียสละทรัพย์สินของเขาเกือบทั้งหมดให้แก่หนทางของอัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์ ครั้งหนึ่งเขากล่าวว่า ?ฉันรักรอซูลุลลอฮมากกว่าสิ่งอื่นใดนอกไปจากชีวิตฉัน? เมื่อได้ยินเช่นนั้น ท่านรอซูลุลลอฮฺจึงได้กล่าวว่า ?ไม่มีใครเป็นมุสลิม (ที่แท้จริง) ได้จนกว่าเขาจะรักฉันมากกว่าทุกสิ่งในโลกรวมทั้งชีวิตของเขา? เมื่อได้ยินเช่นนั้นอุมัรจึงกล่าวว่า ?โฮ้ท่านรอซูลุลอฮฺ ฮัจญ์ในระหว่างสมัยที่เป็นเคาะลีฟะฮฺ และในขณะที่เขาจูบหินดำ เขาได้กล่าวว่า ?ฉันรู้ว่าเจ้าเป็นเพียงหินธรรมดาที่ไม่สามารถยังคุณให้โทษแก่ผู้ใดได้ ถ้าหากฉันไม่เห็นท่านรอซู้ลจูบเจ้าละก็ ฉันก็จะไม่จูบเจ้า?


?อุมัรในฐานะวิชาการผู้ยิ่งใหญ่?


        สมัยก่อนหน้าอิสลาม ผู้คนส่วนใหญ่ไม่รู้จักการอ่านและเขียนหนังสือในบรรดาชาวอาหรับกุเรชนั้น มีเพียง 17 คนเท่านั้นที่สามารถอ่านหรือเขียนได้ ในตอนที่ท่านนบีมุฮัมมัด (ขอความสันติจงมีแด่ท่าน) เริ่มรับอัลกุรอานจากอัลลอฮฺ อุมัรฺเป็นหนึ่งใน 17 คนนั้น การเขียนและการบรรยายของเขายังคงสามารถพบได้ในหนังสือเก่าๆบางเล่ม คำปราศรัย ครั้งแรกที่เขากล่าวเมื่อตอนเข้ารับตำแหน่งคอลีฟะห์มีใจความสำคัญดังนี้

        ?โอ้ อัลลอฮฺ ฉันเป็นคนเข้มงวด ได้โปรดทำให้ฉันโอนอ่อน ฉันเป็นคนอ่อนแอ โปรดให้พลังแก่ฉัน พวกอาหรับนั้นเหมือนกับอูฐ ฉันจะพยายามนำพวกเขากลับมาสู่หนทางที่เที่ยงตรง?

        อุมัรฺเป็นคนที่สนใจในบทกวี และบางครั้งก็แต่งกลอนเอง อุมัรฺเป็นชาวกุเรชที่ทรงอิทธิพลคนหนึ่ง  คนที่รู้ภาษาอาหรับจะสามารถเข้าใจถึงอิทธิพลของงานเขียนและคำพูดของเขาได้ คำพูดของเขาหลายตอนได้กลายเป็นคำพังเพยของงานวรรณกรรม

        อุมัรเป็นนักกฎหมายอิสลามคนหนึ่ง เขาไม่ได้อ้างหะดีษของท่านร่อซูลลุลอฮฺไว้มากนักถึงแม้ว่าจะคุ้นเคยกับคำสอนเล่านั้นเพราะกลัวว่าจะผิด และเขาก็ไม่อนุญาตให้ใครอ้างหะดีษซึ่งไม่เป็นที่รู้จักโดยไม่มีผู้ยืนยันสนับสนุน ถ้าหากมีใครอ้างสิ่งที่เขาไม่เคย ได้ยิน เขาก็จะขอให้คนผู้นั้นเอาพยานมายืนยันทันที หากหาไม่ได้ คนที่กล่าวอ้างผู้นั้นจะถูกลงโทษ อุมัรฺเป็นผู้เชี่ยวชาญในการออกกฏหมายจากอัลกุรอานและหะดีษ คำตัดสินและคำวินิจฉัยของเขาสามารถรวบรวมได้เป็นหนังสือเล่มใหญ่ ความจริงแล้ว เขาเป็นผู้หนึ่งที่เปิดประตูแห่ง ?การอิจญ์ติฮาด? (การใช้ดุลยพินิจเพื่อการตัดสินของนักกฎหมาย) ในประวัติศาสตร์ของกฎหมายอิสลามและได้ระงับข้อพิพาทมากมายในระหว่างสมัยเป็นเคาะลีฟะห์


?การเผยแผ่อิสลาม?


        ในฐานะที่เป็นตัวแทนของท่านร่อซูลลุลอฮฺ หน้าที่สำคัญประการแรกของเขาก็คือการเผยแผ่คำสอนของอิสลาม ส่วนเป้าหมายของสงครามและการสู้รบต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้น ก็เพื่อเป็นการเปิดหนทางสำหรับมุสลิมในการเผยแผ่อิสลาม เมื่อใดก็ตามที่กองทัพมุสลิมต้องโจมตีสถานที่หนึ่งที่ใด กองทัพนั้นก็จะต้องเรียกร้องเชิญชวนผู้คนมาสู่อิสลามก่อน อุมัรฺเข้มงวดในเรื่องนี้มากและเขาได้ออกคำสั่งถาวรแก่แม่ทัพในกองทั้งหลายมิให้เริ่มทำสงครามจนกว่าจะได้เชิญชวนผู้คนมาสู่อิสลาม ถ้าหากผู้คนยอมรับ กองทัพก็จะต้องไม่ทำสงคราม แต่ถ้าหากผู้คนไม่ยอมรับการสู้รบก็จะมีแต่เฉพาะกับคนที่ไม่ยอมให้เสรีภาพแก่มุสลิมในการเผยแผ่หนทางที่เที่ยงตรงและจะต้องไม่มีการบังคับใครให้ละทิ้งศาสนาเดิมของตนและหันมาเข้ารับอิสลาม นอกจากนี้แล้ว อุมัรฺยังได้ออกคำสั่งมิให้ทหารมุสลิมยึดทรัพย์สินหรือสิ่งใดจากประชาชนที่ถูกยึดครอง

       เพื่อให้คนเข้าใจอิสลาม อุมัรฺได้ออกคำสั่งให้มุสลิมจัดบริเวณส่วนหนึ่งไว้เป็นบริเวณสาธิตวิถีชีวตอิสลามให้แก่ผู้คนทั่วไปได้เห็นเป็นรูปธรรม วิธีการดังกล่าวนี้ได้ผล เพราะมีคนจำนวนมากได้หันมาสู่อิสลาม นอกจากนั้นแล้ว ในบางครั้งกองทัพฝ่ายศัตรูทั้งหมดยังได้หันมายอมรับอิสลามเพราะได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรมจากฝ่ายมุสลิมเช่น หลังสงครามกอดีซีดียะฮฺ กองทหารเปอร์เซียจำนวน 4000 คน ได้หันมาเข้ารับอิสลาม หลังจากชัยชนะที่ญะลูลา พวกผู้นำของชาวเมืองได้หันมารับอิสลามพร้อมกับชาวเมือง นายทหารคนหนึ่งในกองทัพของเยซดีเกิร์ด ซึ่งมีชื่อว่า ซียะฮฺ ได้หันมายอมรับอิสลามพร้อมกับทหารในกองทัพ ระหว่างการทำสงครามในเปอร์เซีย ชาวเมืองบุลฮาทในอิยิปต์ทั้งหมดได้หันมายอมรับอิสลามพร้อมกันทีเดียวโดยไม่ถูกบังคับ แต่เพราะเห็นคุณธรรมความดีของมุสลิม พ่อค้าผู้มั่งคั่งและป็นผู้นำประชาชนในตำบลหนึ่งในอิยิปต์ชื่อ ชาตา ได้ยอมรับอิสลามพร้อมกับผู้คนในตำบลนั้นเพียงเพราะได้ยินคุณงามความดีของมุสลิมโดยที่มุสลิมยังไม่ไปถึงตำบลนั้นเสียด้วยซ้ำ นี่เป็นเพียงบางตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าอิสลามเผยแผ่ออกไปเพราบุคลิกภาพของมุสลิมในยุคนั้น


?ภรรยาและลูกๆ?


อุมัรได้แต่งงานกับผู้หญิงต่อไปนี้


        1. ซัยนับ เข้ารับอิสลาม แต่สียชีวิตในมักก๊ะฮฺ เธอเป็นน้องสาวของอุษมา บิน มัซอูน เธอได้ให้กำเนิดอับดุลลอฮฺ, อับดุรฺเราะฮฺมาน และฮัฟเซาะฮฺ (ภรรยาของท่านนบี) แก่อุมัร

        2.  มัลกิอ๊ะฮฺ บินติ ญัรวัล เธอไม่ยอมรับอิสลาม จึงได้ถูกหย่าใน ฮ.ศ. 6 ตามหลักกฎหมายอิสลาม เธอได้กำเนิดบุตรคนหนึ่งชื่อ อุบัยดุลลอฮฺ

        3. กุร็อยบ๊ะฮฺ บินติ อบีอุมัยยะฮฺ เธอไม่ได้เข้ารับอิสลามเช่นกันและได้ถูกอย่าในปี ฮ.ศ.6

อุมัรฺแต่งงานกับหญิงทั้งสามคนก่อนเข้ารับอิสลาม หลังจากเข้ารับอิสลามแล้ว อุมัรฺได้ใช้ชีวิตสมรสกับหญิงต่อไปนี้


        4. อุมมุฮะกีม บินติ อัลฮาริษ ซึ่งให้กำเนิดบุตรสาวชื่อฟาฏิมะฮฺ

        5. ญะมีละฮฺ บินติ อาซิม ซึ่งให้กำเนิดบุตคนหนึ่งชื่อ อาซิม ถึงแม้เธอจะเป็นมุสลิม แต่ก็ถูกอย่าเพราะเหตุผลบางประการ

        6. อุมมุกัลซูม บินติ อะลี ซึ่งแต่งงานกับอุมัรฺใน ฮ.ศ. 17 และให้กำเนิดลูกสาวคนหนึ่งชื่อ รุก็อยยะฮฺ และลูกชายคนหนึ่งชื่อ เซด

        7. อะตีก๊ะฮฺ


"ลูกของอุมัรฺ"


        1. ฮัฟเซาะฮฺ   ซึ่งเป็นภรรยาคนหนึ่งของท่านนบีมูฮำหมัด (ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน)

        2. รุก็อยยะฮฺ  เป็นลูกสาวคนเล็ก

        3. อับดุลลอฮฺ ลูกชาย

        4. อุบัยดุลลอฮฺ ลูกชาย

        5. อาซิม ลูกชาย

        6. อบูชะฮฺมะฮฺ ลูกชาย

        7. อับดุรเราะฮฺมาน ลูกชาย

        8. เซด ลูกชาย


ยังมีต่อนะครับ อินชาอัลลอฮุ

.....เมื่อใครคนหนึ่งซ่อนเร้นสิ่งใดไว้ในหัวใจของเขา  ลิ้นของเขาก็จะชี้ให้ และ สีหน้าของเขาก็เปิดมันออกมา จงอย่าเป็นทาสของผู้ใดนอกจากตัวท่านเอง เพราะ อัลลอฮุ ได้ทำให้ท่านเกิดมาเป็นอิสระ.....

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
เล่าสู่ - เรียนรู้ เรื่องซอฮาบะฮ์..
« ตอบกลับ #37 เมื่อ: เม.ย. 24, 2007, 03:36 PM »
0
السلام عليكم ورحمة الله وربركاته

คุณ +Kamarutdin+ สบายดีนะครับ   ;D
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ +Kamarutdin+

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 60
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: เล่าสู่ - เรียนรู้ เรื่องซอฮาบะฮ์..
« ตอบกลับ #38 เมื่อ: เม.ย. 24, 2007, 03:45 PM »
0
السلام عليكم ورحمة الله وربركاته

คุณ +Kamarutdin+ สบายดีนะครับ   ;D

วะอลัยกุ้มมุสสลาม วะเราะมาตุ้ลลอฮุ ฮิบะวารอกาตุฮุ ครับ al-azhary

อัสสลามมุอลัยกุ้มฯ ครับ al-azhary และเพื่อนๆสมาชิกทุกท่าน  ;D
 
อัลฮัมดุลิลละห์ ครับ สบายดีครับ ช่วงนี้วุ่นๆเลยไม่ค่อยได้เข้ามาเลย al-azhary และ เพื่อนๆสมาชิกทุกท่าน คงสบายดีนะครับ

อินชาอัลลอฮุ เรื่องท่านอุมัรุ ตอนหน้าคงจบครับ...

มหาบริสุทธิ์แด่พระองค์ ขออัลลอฮุทรงคุ้มครอง และ ประทานพร al-azhary และ เพื่อนๆสมาชิก sunnahstudents.com ของ

เราทุกๆท่าน นะครับ อามีน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เม.ย. 24, 2007, 03:47 PM โดย +Kamarutdin+ »
.....เมื่อใครคนหนึ่งซ่อนเร้นสิ่งใดไว้ในหัวใจของเขา  ลิ้นของเขาก็จะชี้ให้ และ สีหน้าของเขาก็เปิดมันออกมา จงอย่าเป็นทาสของผู้ใดนอกจากตัวท่านเอง เพราะ อัลลอฮุ ได้ทำให้ท่านเกิดมาเป็นอิสระ.....

ออฟไลน์ musalmarn

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 796
  • เพศ: ชาย
  • สักวัน... ฉันจะขี่ม้า
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
    • ชมรมศาสนศึกษา แผนกอิสลาม มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์
Re: เล่าสู่ - เรียนรู้ เรื่องซอฮาบะฮ์..
« ตอบกลับ #39 เมื่อ: พ.ค. 03, 2007, 02:34 PM »
0
^
^
^

กะลังรออ่านตอนจบอยู่  ;)

รู้สึกฮึกเหิมทุกครั้งที่ได้อ่าน ฮายาตุศศอฮาบะฮ

 :)

นูรุ้ลอิสลาม

  • บุคคลทั่วไป
Re: เล่าสู่ - เรียนรู้ เรื่องซอฮาบะฮ์..
« ตอบกลับ #40 เมื่อ: พ.ค. 04, 2007, 12:55 PM »
0
ขอบคุณ คุณ +Kamarutdin+ ที่ได้นำเสนอให้เราอ่านกันครับ   และกระทู้ดี ๆ อย่างนี้  น่าจะ ตรึงหมุดเอาไว้ข้างบนนะครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ค. 04, 2007, 06:26 PM โดย al-azhary »

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
เล่าสู่ - เรียนรู้ เรื่องซอฮาบะฮ์..
« ตอบกลับ #41 เมื่อ: พ.ค. 04, 2007, 06:30 PM »
0
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته

ผมได้ติดหมุดให้เรียบร้อยแล้วครับ  โปรดนำเสนอต่อเลยนะครับ

والسلام

أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ บุคคลธรรมดา

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 433
  • live&learn in Islam
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
Re: เล่าสู่ - เรียนรู้ เรื่องซอฮาบะฮ์..
« ตอบกลับ #42 เมื่อ: พ.ค. 04, 2007, 08:42 PM »
0
อัสลามุอะลัยกุ้ม

ติดตาม อ่าน คุณ kamarutdin ด้วย คนค่ะ
เข้ามาขุดเรื่อย ๆ แม้เจ้าตัว จะยังไม่พร้อม ก้อ ตาม  ;D
ถ้าหากว่าเราจะข้ามไปยังอีกฝั่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยแอ่งปลักโคลน
แน่นอนที่สุด เราจะถึงฝั่งนั้นในสภาพที่เปรอะเปื้อนด้วยโคลน...
โคลนที่อยู่ในแอ่งนั้น มันจะทิ้งร่องรอยที่เท้าของเรา
และในที่ที่ เราได้เหยียบย่างไป

                        "อัลชะฮีด ซัยยิด กุฏุบ"

ออฟไลน์ +Kamarutdin+

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 60
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: เล่าสู่ - เรียนรู้ เรื่องซอฮาบะฮ์..
« ตอบกลับ #43 เมื่อ: พ.ค. 04, 2007, 08:47 PM »
0
อัสลามุอะลัยกุ้ม

ติดตาม อ่าน คุณ kamarutdin ด้วย คนค่ะ
เข้ามาขุดเรื่อย ๆ แม้เจ้าตัว จะยังไม่พร้อม ก้อ ตาม  ;D


วะอลัยกุ้มมุสลาม ครับ
อินชาอัลลอฮุ ครับ วันอาทิตย์นี้จะนำเสนอตอนจบนะครับ เพราะวันอาทิตย์จะได้กลับบ้านซะที  ;D
.....เมื่อใครคนหนึ่งซ่อนเร้นสิ่งใดไว้ในหัวใจของเขา  ลิ้นของเขาก็จะชี้ให้ และ สีหน้าของเขาก็เปิดมันออกมา จงอย่าเป็นทาสของผู้ใดนอกจากตัวท่านเอง เพราะ อัลลอฮุ ได้ทำให้ท่านเกิดมาเป็นอิสระ.....

ออฟไลน์ บุคคลธรรมดา

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 433
  • live&learn in Islam
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
Re: เล่าสู่ - เรียนรู้ เรื่องซอฮาบะฮ์..
« ตอบกลับ #44 เมื่อ: พ.ค. 04, 2007, 08:53 PM »
0
อัสลามุอะลัยกุ้ม

ติดตาม อ่าน คุณ kamarutdin ด้วย คนค่ะ
เข้ามาขุดเรื่อย ๆ แม้เจ้าตัว จะยังไม่พร้อม ก้อ ตาม  ;D


วะอลัยกุ้มมุสลาม ครับ
อินชาอัลลอฮุ ครับ วันอาทิตย์นี้จะนำเสนอตอนจบนะครับ เพราะวันอาทิตย์จะได้กลับบ้านซะที  ;D


งั้น อาทิตย์นี้ เรามีนัดกัน ค่ะ ณ ทู้นี้
อินชาอัลลอฮฺ

 ;)
ถ้าหากว่าเราจะข้ามไปยังอีกฝั่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยแอ่งปลักโคลน
แน่นอนที่สุด เราจะถึงฝั่งนั้นในสภาพที่เปรอะเปื้อนด้วยโคลน...
โคลนที่อยู่ในแอ่งนั้น มันจะทิ้งร่องรอยที่เท้าของเรา
และในที่ที่ เราได้เหยียบย่างไป

                        "อัลชะฮีด ซัยยิด กุฏุบ"

 

GoogleTagged