การตายของเคาะลีฟะฮุอุมัรุ และผลงานที่ท่านได้ทิ้งไว้
?การสิ้นชีวิตของอุมัรฺ?
การปกครองอันรุ่งโรจน์ของอุมัรฺได้สิ้นสุดลงด้วยความตายในวันพุธที่ 27 เดือนซุ้ลฮิจญะฮฺ ฮ.ศ.23 ( ค.ศ.643 ) เมื่อเขาอายุได้ 61 ปี โดยทาสชาวเปอร์เซียคนหนึ่งของมุฆีเราะฮฺซึ่งมีนามว่า อบูลุลุ ฟีรูซ ได้เข้ามาร้องทุกข์ต่ออุมัรฺถึงเรื่องที่นายของเขามอบหมายภาระหนักให้เขาปฏิบัติ แต่คำร้องทุกข์ดังกล่าวไม่เป็นความจริง อุมัรฺจึงไม่ได้จัดการอะไรให้ ดังนั้นด้วยด้วยความแค้น ในตอนรุ่งเช้าวันรุ่งขึ้น เมื่ออุมัรฺเดินไปยังมัสญิดเพื่อนมาซประจำเวลารุ่งอรุณ ฟีรูซซึ่งแอบอยู่จึงได้ลอบเข้ามาใช้กริชแทงเขาถึงหกแผล เมื่อผู้คนเห็น จึงกรูกันเข้าไปจับกุมแต่ฟีรูซก็สังหารตัวเองด้วยกริชเล่มเดียวกันนั้น บาดแผลที่สาหัสทำให้อุมัรฺเสียชีวิตในวันต่อมา
ก่อนที่จะสิ้นชีวิต บรรดามุสลิมได้ถามถึงเรื่องคนที่จะมาสืบตำแหน่งต่อ อุมัรฺจึงได้แต่งตั้งผู้อาวฺโส 6 คน คือ อุษมาน, อะลี, ซุเบร, ฏ็อลฮะฮฺ, ซะด์ บิน อบีวักกอส และอับดุรเราะฮฺมาน บิน เอาฟฺ เพื่อเลือก ?เคาะลีฟะฮฺ? กันขึ้นมาเองจากในกลุ่มภายในสามวัน หลังจากนั้น อุมัรฺ ก็ได้ขออนุญาตนางอาอิชะฮฺให้ฝังร่างของเขาไว้เคียงข้างท่านรอซูลุลลอฮฺนางได้ให้อนุญาตถึงแม้ว่านางได้กันสถานที่แห่งนั้นไว้สำหรับตัวเองแล้วก็ตาม
?การรับใช้อิสลามของอุมัรฺ?
ช่วงเวลาแห่งการเป็นคอลีฟะฮฺของอุมัรฺถือเป็น ?ยุคทอง? ของอิสลามในทุกด้าน อุมัรฺถูกจัดว่าเป็นคนที่มีความอัจฉริยะพิเศษที่ไม่เพียงแต่จะเป็นผู้หล่อหลอมชะตากรรมของชาติเท่านั้น แต่เขายังได้สร้างประวัติศาสตร์ของตัวเองด้วย เขาปฏิบัติตามรอยเท้าของท่านรอซูลุลลอฮฺอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ภายใต้การปกครองของเขาเองที่อิสลามได้กลายเป็นอำนาจของโลกและทำให้มหาอำนาจชาติเกรัยงไกรอย่างเปอร์เซียและไบแซนติน (โรมันตะวันออก) ต้องยอมสยบต่ออิสลาม ภายในระยะเวลา 10 ปี ห่างการปกครองอันรุ่งโรจน์ของเขา อาณาจักรเปอร์เซียทั้งหมด ซีเรีย, ปาเลสไตน์, อียิปต์ และส่วนหนึ่งของตุรกีได้เข้ามาอยู่ภายใต้ร่มธงแห่งอิสลามและอีกหลายชาติได้หันมาเข้ารับอิสลาม อุมัรฺ มิได้เป็นแค่เพียงผู้พิชิตเท่านั้น แต่เขายังเป็นนักบริหารผู้ริเริ่มระบบการบริหารที่มีประสิทธิภาพอีกด้วย ดังนั้น เขาจึงเป็นผู้ก่อตั้งระบบการเมืองอิสลามที่แท้จริง เขาได้นำเอากฎหมายของพระเจ้ามาใช้เป็นบทบัญญัติแห่งรัฐอิสลามสากลที่ถูกก่อตั้งขึ้นมาใหม่ เขารักษาความมั่นคงปลอดภัยภายในโดยการจัดตั้งกองกำลังตำรวจ เขาให้เงินช่วยเหลือคนยากจน ก่อสร้างป้อมและคายทหารเพื่อความปลอดภัยของกองทัพอิสลาม ก่อสร้างเมืองใหม่ๆ ขึ้นอีกหลายเมืองเพื่อความเจริญเติบโตของวัฒนธรรมและอารยธรรมอิสลาม ปรับปรุงการเกษตรและเศรษฐกิจและก่อตั้งระบบการศึกษาในรัฐ กล่าวโดยสั้นๆ ก็คือเขาเป็นผู้ก่อตั้งรัฐอิสลามที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมา ซึ่งเราจะพูดถึงรายละเอียดของความสำเร็จของเขาในบทต่อๆไป
?ลักษณะนิสัย?
อุมัรฺเป็นมุสลิมที่เคร่งครัดในหลักศาสนามากผู้หนึ่ง ความสำเร็จของเขาเกิดขึ้นเพราะสองสิ่ง คือความเกรงกลัวอัลลอฮฺ และความรักในร่อซูลของพระองค์ เขาไม่เคยใช้น้ำมันจากบัยตุ้ลมาล(กองคลังสาธารณะ) เพื่อจุดตะเกียงในตอนกลางคืนเป็นการส่วนตัว เมื่อใดก็ตามที่เขาเสร็จงานราชการ เขาจะต้องดับตะเกียง เขาเคยเดินลาดตระเวนในเมืองในตอนกลางคืนเพื่อตรวจดูความจำเป็นและความต้องการและสภาพของประชาชน เขาไม่เคยลังเลที่จะให้ภรรยาของเขาทำงานเป็นหมอตำแยให้แก่ผู้หญิงที่ยากจน เงินเดือนที่เขาได้รับจากบัยตุ้ลมาลนั้นต่ำมากจนแทบไม่พอต่อความจำเป็นต้องกินต้องใช้ของเขาและและครอบครัว เมื่อมีมุสลิมคนสำคัญขอให้ขึ้นเงินเดือนแก่ตัวเขาเอง เขากล่าวว่า ?ท่านรอซูลลุลลอฮฺได้ทิ้งแบบอย่างการประพฤติของท่านไว้เป็นมาตรฐาน ฉันจะต้องปฏิบัติตาม?
อุมัรฺเป็นผู้ปกครองที่ยุติธรรมที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์อิสลาม พลเมืองทุกคนรวมทั้งคอลีฟะห์เองล้วนเท่าเทียมกันต่อหน้ากฎหมายครั้งหนึ่ง อุมัรฺได้ปรากฎตัวต่อหน้าศาลที่มะดีนะฮฺเพื่อชี้แจ้งขอร้องเรียนที่มีต่อเขา กอฎี (ผู้พิพากษา) ทำต้องการจะยืนขึ้นเพื่อให้เกียรติ แด่อุมัรฺไม่อนุญาตให้ทำเช่นนั้น ทั้งนี้เพื่อที่จะไม่ก่อให้เกอดความแตกต่างเขากับคนทั่วไปต่อหน้ากฎหมาย นี่คือบุคลิกของผู้นำในระบอบอิสลาม
อาจกล่าวโดยสั้นๆได้ว่า อุมัรฺเป็นแบบอย่างที่ดีงามของบุคลิกภาพที่ดีงาม และป็น ?คอลีฟะห์? ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของอิสลามหลังจากอบูบักร
?คุณธรรมแห่งความยำเกรงพระเจ้า?
เครื่องแต่งกาย อาหาร และพฤติกรรมทั่วไปของอุมัรเหมือนกับท่านนบีมูฮำหมัด (ขอความสันติจงมีแด่ท่าน) โดยปกติแล้ว เสื้อผ้าที่อุมัรสวมใส่จะมีรอยปะ อาหารที่ท่านกินก็ธรรมดามาก ครั้งหนึ่ง ยะซีด บิน อบูซุฟยานได้เชิญอุมัรฺมางานเลี้ยง และเมื่อมีอาหารจานพิเศษมาให้เขาก็หยุดกินและกล่าวว่า ?สาบานด้วยอัลลอฮฺ ผู้ที่มีชีวิตของอุมัรอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์แล้ว ถ้าหากท่านไม่ปฏิบัติตามหนทางของท่านร่อซูลลุลลอฮฺแล้วละก็ อัลลอฮฺจะทำให้ท่านห่างจากหนทางที่เที่ยงตรง? อุมัรฺไม่เคยทิ้งนิสัยแหงความเรียบง่ายของเขาเลย ถึงแม้ว่าเขาจะปกครองอาณาจักรอันกว้าวใหญ่ไพศาลจากอิหร่านถึงทริโปลี แต่เขาก็ยังนั่งอยู่บนเสือที่ทำจากใบหญ้าเป็นปกติ
อุมัรฺเป็นคนเกรงกลัวอัลลอฮฺและเป็นผู้อุทิศตนให้แก่พระองค์ บ่อยครั้งในเวลานมาซที่เขาร้องไห้น้ำตาไหลพราก โดยเฉพาะเมื่อเขาอ่านหรือได้ยินกรุอานที่กล่าวถึงวันแห่งการตัดสินและนรก ครั้งหนึ่ง อุมัรฺกำลังนมาซในยามรุ่งอรุณ และเมื่อเขาอ่ายกุรอานตั้งแต่อายะห์ที่ 16 ของซูเราะฮฺ ยูซุฟ เขาก็สะอื้นไหลน้ำตาไหลพรากจนคนที่อยู่แถวหลังสุดสามารถได้ยินเสียง
อุมัรฺเป็นผู้เกรงกลัวการชำระบัญชีในวันแห่งการตัดสินมาก ครั้งหนึ่ง เขาได้หยิบเอาฟางหญ้าขึ้นมาถือและกล่าวว่า ?ฉันอยากเป็นฟางหญ้านี่เหลือเกิน (นั่นคือจะได้ปลอดจาการถูกชำระบัญชีในวันแห่งการตัดสิน)?
อุมัรได้เสียสละทรัพย์สินของเขาเกือบทั้งหมดให้แก่หนทางของอัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์ ครั้งหนึ่งเขากล่าวว่า ?ฉันรักรอซูลุลลอฮมากกว่าสิ่งอื่นใดนอกไปจากชีวิตฉัน? เมื่อได้ยินเช่นนั้น ท่านรอซูลุลลอฮฺจึงได้กล่าวว่า ?ไม่มีใครเป็นมุสลิม (ที่แท้จริง) ได้จนกว่าเขาจะรักฉันมากกว่าทุกสิ่งในโลกรวมทั้งชีวิตของเขา? เมื่อได้ยินเช่นนั้นอุมัรจึงกล่าวว่า ?โฮ้ท่านรอซูลุลอฮฺ ฮัจญ์ในระหว่างสมัยที่เป็นเคาะลีฟะฮฺ และในขณะที่เขาจูบหินดำ เขาได้กล่าวว่า ?ฉันรู้ว่าเจ้าเป็นเพียงหินธรรมดาที่ไม่สามารถยังคุณให้โทษแก่ผู้ใดได้ ถ้าหากฉันไม่เห็นท่านรอซู้ลจูบเจ้าละก็ ฉันก็จะไม่จูบเจ้า?
?อุมัรในฐานะวิชาการผู้ยิ่งใหญ่?
สมัยก่อนหน้าอิสลาม ผู้คนส่วนใหญ่ไม่รู้จักการอ่านและเขียนหนังสือในบรรดาชาวอาหรับกุเรชนั้น มีเพียง 17 คนเท่านั้นที่สามารถอ่านหรือเขียนได้ ในตอนที่ท่านนบีมุฮัมมัด (ขอความสันติจงมีแด่ท่าน) เริ่มรับอัลกุรอานจากอัลลอฮฺ อุมัรฺเป็นหนึ่งใน 17 คนนั้น การเขียนและการบรรยายของเขายังคงสามารถพบได้ในหนังสือเก่าๆบางเล่ม คำปราศรัย ครั้งแรกที่เขากล่าวเมื่อตอนเข้ารับตำแหน่งคอลีฟะห์มีใจความสำคัญดังนี้
?โอ้ อัลลอฮฺ ฉันเป็นคนเข้มงวด ได้โปรดทำให้ฉันโอนอ่อน ฉันเป็นคนอ่อนแอ โปรดให้พลังแก่ฉัน พวกอาหรับนั้นเหมือนกับอูฐ ฉันจะพยายามนำพวกเขากลับมาสู่หนทางที่เที่ยงตรง?
อุมัรฺเป็นคนที่สนใจในบทกวี และบางครั้งก็แต่งกลอนเอง อุมัรฺเป็นชาวกุเรชที่ทรงอิทธิพลคนหนึ่ง คนที่รู้ภาษาอาหรับจะสามารถเข้าใจถึงอิทธิพลของงานเขียนและคำพูดของเขาได้ คำพูดของเขาหลายตอนได้กลายเป็นคำพังเพยของงานวรรณกรรม
อุมัรเป็นนักกฎหมายอิสลามคนหนึ่ง เขาไม่ได้อ้างหะดีษของท่านร่อซูลลุลอฮฺไว้มากนักถึงแม้ว่าจะคุ้นเคยกับคำสอนเล่านั้นเพราะกลัวว่าจะผิด และเขาก็ไม่อนุญาตให้ใครอ้างหะดีษซึ่งไม่เป็นที่รู้จักโดยไม่มีผู้ยืนยันสนับสนุน ถ้าหากมีใครอ้างสิ่งที่เขาไม่เคย ได้ยิน เขาก็จะขอให้คนผู้นั้นเอาพยานมายืนยันทันที หากหาไม่ได้ คนที่กล่าวอ้างผู้นั้นจะถูกลงโทษ อุมัรฺเป็นผู้เชี่ยวชาญในการออกกฏหมายจากอัลกุรอานและหะดีษ คำตัดสินและคำวินิจฉัยของเขาสามารถรวบรวมได้เป็นหนังสือเล่มใหญ่ ความจริงแล้ว เขาเป็นผู้หนึ่งที่เปิดประตูแห่ง ?การอิจญ์ติฮาด? (การใช้ดุลยพินิจเพื่อการตัดสินของนักกฎหมาย) ในประวัติศาสตร์ของกฎหมายอิสลามและได้ระงับข้อพิพาทมากมายในระหว่างสมัยเป็นเคาะลีฟะห์
?การเผยแผ่อิสลาม?
ในฐานะที่เป็นตัวแทนของท่านร่อซูลลุลอฮฺ หน้าที่สำคัญประการแรกของเขาก็คือการเผยแผ่คำสอนของอิสลาม ส่วนเป้าหมายของสงครามและการสู้รบต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้น ก็เพื่อเป็นการเปิดหนทางสำหรับมุสลิมในการเผยแผ่อิสลาม เมื่อใดก็ตามที่กองทัพมุสลิมต้องโจมตีสถานที่หนึ่งที่ใด กองทัพนั้นก็จะต้องเรียกร้องเชิญชวนผู้คนมาสู่อิสลามก่อน อุมัรฺเข้มงวดในเรื่องนี้มากและเขาได้ออกคำสั่งถาวรแก่แม่ทัพในกองทั้งหลายมิให้เริ่มทำสงครามจนกว่าจะได้เชิญชวนผู้คนมาสู่อิสลาม ถ้าหากผู้คนยอมรับ กองทัพก็จะต้องไม่ทำสงคราม แต่ถ้าหากผู้คนไม่ยอมรับการสู้รบก็จะมีแต่เฉพาะกับคนที่ไม่ยอมให้เสรีภาพแก่มุสลิมในการเผยแผ่หนทางที่เที่ยงตรงและจะต้องไม่มีการบังคับใครให้ละทิ้งศาสนาเดิมของตนและหันมาเข้ารับอิสลาม นอกจากนี้แล้ว อุมัรฺยังได้ออกคำสั่งมิให้ทหารมุสลิมยึดทรัพย์สินหรือสิ่งใดจากประชาชนที่ถูกยึดครอง
เพื่อให้คนเข้าใจอิสลาม อุมัรฺได้ออกคำสั่งให้มุสลิมจัดบริเวณส่วนหนึ่งไว้เป็นบริเวณสาธิตวิถีชีวตอิสลามให้แก่ผู้คนทั่วไปได้เห็นเป็นรูปธรรม วิธีการดังกล่าวนี้ได้ผล เพราะมีคนจำนวนมากได้หันมาสู่อิสลาม นอกจากนั้นแล้ว ในบางครั้งกองทัพฝ่ายศัตรูทั้งหมดยังได้หันมายอมรับอิสลามเพราะได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรมจากฝ่ายมุสลิมเช่น หลังสงครามกอดีซีดียะฮฺ กองทหารเปอร์เซียจำนวน 4000 คน ได้หันมาเข้ารับอิสลาม หลังจากชัยชนะที่ญะลูลา พวกผู้นำของชาวเมืองได้หันมารับอิสลามพร้อมกับชาวเมือง นายทหารคนหนึ่งในกองทัพของเยซดีเกิร์ด ซึ่งมีชื่อว่า ซียะฮฺ ได้หันมายอมรับอิสลามพร้อมกับทหารในกองทัพ ระหว่างการทำสงครามในเปอร์เซีย ชาวเมืองบุลฮาทในอิยิปต์ทั้งหมดได้หันมายอมรับอิสลามพร้อมกันทีเดียวโดยไม่ถูกบังคับ แต่เพราะเห็นคุณธรรมความดีของมุสลิม พ่อค้าผู้มั่งคั่งและป็นผู้นำประชาชนในตำบลหนึ่งในอิยิปต์ชื่อ ชาตา ได้ยอมรับอิสลามพร้อมกับผู้คนในตำบลนั้นเพียงเพราะได้ยินคุณงามความดีของมุสลิมโดยที่มุสลิมยังไม่ไปถึงตำบลนั้นเสียด้วยซ้ำ นี่เป็นเพียงบางตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าอิสลามเผยแผ่ออกไปเพราบุคลิกภาพของมุสลิมในยุคนั้น
?ภรรยาและลูกๆ?
อุมัรได้แต่งงานกับผู้หญิงต่อไปนี้
1. ซัยนับ เข้ารับอิสลาม แต่สียชีวิตในมักก๊ะฮฺ เธอเป็นน้องสาวของอุษมา บิน มัซอูน เธอได้ให้กำเนิดอับดุลลอฮฺ, อับดุรฺเราะฮฺมาน และฮัฟเซาะฮฺ (ภรรยาของท่านนบี) แก่อุมัร
2. มัลกิอ๊ะฮฺ บินติ ญัรวัล เธอไม่ยอมรับอิสลาม จึงได้ถูกหย่าใน ฮ.ศ. 6 ตามหลักกฎหมายอิสลาม เธอได้กำเนิดบุตรคนหนึ่งชื่อ อุบัยดุลลอฮฺ
3. กุร็อยบ๊ะฮฺ บินติ อบีอุมัยยะฮฺ เธอไม่ได้เข้ารับอิสลามเช่นกันและได้ถูกอย่าในปี ฮ.ศ.6
อุมัรฺแต่งงานกับหญิงทั้งสามคนก่อนเข้ารับอิสลาม หลังจากเข้ารับอิสลามแล้ว อุมัรฺได้ใช้ชีวิตสมรสกับหญิงต่อไปนี้
4. อุมมุฮะกีม บินติ อัลฮาริษ ซึ่งให้กำเนิดบุตรสาวชื่อฟาฏิมะฮฺ
5. ญะมีละฮฺ บินติ อาซิม ซึ่งให้กำเนิดบุตคนหนึ่งชื่อ อาซิม ถึงแม้เธอจะเป็นมุสลิม แต่ก็ถูกอย่าเพราะเหตุผลบางประการ
6. อุมมุกัลซูม บินติ อะลี ซึ่งแต่งงานกับอุมัรฺใน ฮ.ศ. 17 และให้กำเนิดลูกสาวคนหนึ่งชื่อ รุก็อยยะฮฺ และลูกชายคนหนึ่งชื่อ เซด
7. อะตีก๊ะฮฺ
"ลูกของอุมัรฺ"
1. ฮัฟเซาะฮฺ ซึ่งเป็นภรรยาคนหนึ่งของท่านนบีมูฮำหมัด (ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน)
2. รุก็อยยะฮฺ เป็นลูกสาวคนเล็ก
3. อับดุลลอฮฺ ลูกชาย
4. อุบัยดุลลอฮฺ ลูกชาย
5. อาซิม ลูกชาย
6. อบูชะฮฺมะฮฺ ลูกชาย
7. อับดุรเราะฮฺมาน ลูกชาย
8. เซด ลูกชาย
ยังมีต่อนะครับ อินชาอัลลอฮุ