ถึงน้อง M. Rodee
وعليكم السلام ورحمة الله وبركاته
al-azhary says:
บังนั้น เลือกให้น้ำหนักแนวทางสะลัฟ
ผมก้อเลือกให้น้ำแนวทางนี้คับ เพราะมันเปนแนวทางที่นบีของเรารับรอง ส่วนแนวทางอื่นๆ นั้นผมไม่รู้คับว่ายังไง และก็ไม่ขอไปว่าด้วยถึงแนวทางอื่นๆ เพราะผมไม่มีสิทธิ์ไรที่จะพูดถึงเรื่องนั้นๆ (จะศึกษาต่อไป)จากการศึกษามาจะพบว่าในปัจจุบันนี้
ใช่แล้วครับ เดิมทีนั้น ตอนที่บังร่ำเรียนอะกีดะฮ์หรือเตาฮีดที่ปอเนาะก็จะเน้นแนวค่อลัฟของอัลอะชาอิเราะฮ์เพราะช่วงนั้นยังวัยรุ่นอีหม่านยังน้อยจิตใจยังไม่สงบมั่นคง แต่เมื่อเรียนมากขึ้น ๆ จิตใจก็รู้สึกสงบมั่นคง จึงเลือกแนวทางสะลัฟของอัลอะชาอิเราะฮ์(ไม่ใช่สะลัฟตามที่วะฮาบียะฮ์แอบอ้าง) ดังนั้นบังจึงเข้าใจว่าการเรียนอะกีดะฮ์แนวทางค่อลัฟนั้นเป็นสะพานทำให้จิตใจของเรามีความมั่งคงสู่แนวทางสะลัฟ แต่เมื่อศึกษาไปเรื่อย ๆ จึงทราบว่าสะละฟุศศอลิห์เองก็มีการตีความ(ตะวีล)เช่นเดียวกันเหมือนกับค่อลัฟ ด้วยเหตุนี้แม้บังจะให้น้ำหนักแนวทางสะลัฟ แต่ก็ไม่ตำหนิแนวทางค่อลัฟเลยยิ่งกว่านั้นยังปกป้องอีกด้วย เพราะหากเราตำหนิแนวทางค่อลัฟ ก็เท่ากับเราได้ตำหนิสะละฟุศศอลิห์บางส่วนเช่นเดียวกัน ดังนั้นอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ที่มาจากอัลอะชาอิเราะฮ์และอัลมะตูรีดียะฮ์ล้วนแต่ให้ความเป็นธรรมต่อสะละฟุศศอลิห์ทั้งสิ้น ไม่ทำการตำหนิพวกเขาในเชิงหลักการแบบทางอ้อมเหมือนกับแนวทางวะฮะบียะฮ์
เมื่อแนวทางสะลัฟเป็นแนวทางที่ปลอดภัยยิ่งกว่า ส่วนแนวทางค่อลัฟนั้นเราสามารถรู้รายละเอียดได้ยิ่งกว่า ดังนั้นไม่ว่าจะมอบหมายหรือตีความล้วนแต่อยู่ในแนวทางของสะลัฟ กล่าวคือสะลัฟส่วนมากทำการมอบหมาย ส่วนสะลัฟส่วนน้อยทำการตีความตามที่ทางเว็บไซต์แห่งนี้ได้ทำการนำเสนออ้างอิงไปแล้ว ดังนั้นหากน้องกล่าวว่าแนวทางสะลัฟเป็นแนวทางที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมได้ให้การรับรอง แน่นอนว่าการมอบหมาย(ตัฟวีฎ)หรือตีความ(ตะวีล)ของสะลัฟบางส่วน นบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ก็ให้การรับรองด้วยเช่นกัน
การยืนยันการมีอยู่จิงของพระผู้ทรงเอกะนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องใช้อายะที่เป็นซีฟัตมาบ่งชี้ เรามีอายะอื่น ๆ ที่สามารถยืนยันการมีอยู่จิงของพระผู้ทรงกรุณา ผู้ทรงเมตตา เพราะปัจจุบันนี้มันเป็นโลกแห่งวิทยาศาสตร์ คนจะเชื่อสิ่งต่าง ๆ นั้นมันต้องผ่านทางจากการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งต่างจากพวกเรามุสลิมที่ศรัทธามาตั้งแต่สมัยท่านนบีของเราโดยไม่ต้องผ่านข้อพิสูจน์ใดๆ ซึ่งปัจจุบันข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ในหลาย ๆ เรื่องก้อแสดงให้แห่งถึงการมีอยู่ของพระผู้ทรงรอบรู้
สิ่งที่น้องพูดมาก็ถูกต้องแล้วครับ แต่มันอาจจะเหมาะสมสำหรับตัวของน้องเอง แต่อะกีดะฮ์อะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์นั้น ย่อมเหมาะสมในทุกยุคสมัย เหมาะสมสำหรับประชาชาติอิสลาม ทั้งชนอาหรับและอื่นจากอาหรับ ทั้งคนที่มีความรู้(อุลามาอฺ)และคนที่เอาวามสามัญชนทั่วไป น้องคงทราบดีว่าประชาชาติอิสลามนั้น มิได้อยู่ในระดับเดียวกันทั้งหมด สังเกตุง่าย ๆ ที่เมืองไทยบ้านเรา
ระดับที่ 1. คนที่มีความรู้ระดับอุลามาอฺ
ระดับที่ 2. คนเอาวามสามัญชนที่ร่ำเรียนวิชาความรู้ (นี่คือพวกเรา) และสามารถรู้ความหมายอัลกุรอานได้ ด้วยการไปอ่านอัลกุรอานแปลไทย หรืออะไร ๆ ก็แล้วแต่
ระดับที่ 3. คนเอาวามสามัญชนทั่วไปที่มีความรู้แบบพอเอาตัวเองและครอบครัวรอด อ่านอัลกุรอานได้ แต่ไม่เข้าใจอัลกุรอานไม่รู้ความหมายของอัลกุรอาน
ระดับที่ 4. คนเอาวามสามัญชนทั่วไปที่รู้แบบงู ๆ ปลา ๆ เอาตัวเองรอด อ่านอัลกุรอานก็ไม่ค่อยออก ถ้าอ่านออกก็แค่ฟาติฮะฮ์และซูเราะฮ์สั้น ๆ เพื่อทำละหมาดให้เซาะห์ใช้ได้
ระดับที่ 5. คนเอาวามสามัญชนที่รู้ว่าตนเองเป็นมุสลิม แต่ไม่ค่อยละหมาด อ่านอัลกุรอานผิด ๆ ถูก ๆ หรืออ่านถูกแบบพอใช้ได้
ผู้คนระดับที่ 1 นั้น มีเปอร์เซ็นที่น้อยมาก ส่วนคนระดับที่ 2 นั้นก็ยังมีเปอร์เซ็นี่น้อยอยู่ในสังคม และบุคคลระดับที่ 3 - 5 นั้น มีมากมายเหลือเกิน ดังนั้น ถ้าหากว่าเราไปบอกว่าบุคคลประเภทที่ 3 - 5 ว่า การเชื่อว่าอัลเลาะฮ์มีนั้น มีเยอะอัลกุรอานมายืนยันถึงการมีของอัลเลาะฮ์แล้ว (อันนี้ถูกต้องครับ) แต่คนเอาวามที่อ่านอัลกุรอ่านแต่ไม่เข้าใจอัลกุรอานล่ะ เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าอายะฮ์ในที่บอกว่าอัลเลาะฮ์ทรงมี แล้วบุคคลที่อ่านอัลกุรอานไม่ค่อยออกล่ะ เขาจะสรรหาความหมายของอายะฮ์ใหนมาเป็นหลักฐานที่มายืนยันว่าอัลเลาะฮ์ทรงมี ทั้งที่พวกเขาแปลอัลฟาติหะฮ์ก็ยังไม่ค่อยเป็นเลย นอกจากว่ามีผู้รู้มาบอกว่าอัลเลาะฮ์ทรงมีด้วยหลักฐานนั้นหลักฐานนี้แล้วเขาพวกเขาคิดตาม ไม่ใช่มาบอกว่าอัลเลาะฮ์ทรงมีเพราะมีคนมาบอกตามที่ปู่ย่าตายายบอก ๆ กันมา แต่เราต้องรู้ว่าอัลเลาะฮ์มีอย่างผู้มีภูมิปัญญา รู้ว่าอัลเลาะฮ์มีอย่างผู้ที่มีจิตใจใคร่ครวญตามที่อัลกุรอานได้สั่งใช้
แต่ถ้าหากน้องมาพูดกับพวกพี่ ๆ ที่มีความรู้ในเว็บนี้ เป็นต้น ซึ่งพวกเขาอ่านอัลกุรอานก็เข้าใจแล้วและรู้ว่าอัลเลาะฮ์ทรงมีตามนัยยะที่อัลกุรอานได้บอกไว้ แต่ชาวบ้านที่เป็นสามัญชนทั่วไปเขาไม่มีความรู้เหมือนอย่างกับพวกพี่ ๆ ในเว็บนี้ ดังนั้นการสอนหลักอะกีดะฮ์ว่าอัลเลาะฮ์ทรงมีนั้น ก็ต้องดูระดับของคนด้วยว่าจะสอนอย่างไร ใช้หลักสูตรใหนดีที่เหมาะกับพวกเขาในการเชื่อมั่นว่าอัลเลาะฮ์ทรงมี และพระองค์ทรงมีคุณลักษณะ(ซีฟัต)อย่างไรบ้าง ใช่ไหมครับ ดังนั้นบังอยากให้น้องอ่านศึกษาทบทวนในกระทู้นี้เพิ่มเติมครับ
การเชื่อว่าอัลเลาะฮ์ทรงมีนั้น ด้วยสติปัญญาหรือด้วยหลักฐาน?ดังนั้นอะกีดะฮ์อะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์อัลอะชาอิเราะฮ์และอัลมะตูรีดียะฮ์นั้น จึงเหมาะสมสำหรับทุกยุคสมัย เหมาะสมสำหรับชนทุกระดับให้เลือกศึกษาตามที่ตนเองสามารถนั่นเองครับ
และในปัจจุบันนี้ปัญหาก็คือ พวกที่กล่าวหาว่าอัลลอฮเหมือนมัคโลค (ซุบฮานัลลอฮ) ใครคือพวกเขาเหล่านั้น ? จะรู้ได้งัยว่าพวกเขาเหล่านั้นนั้นเป็นงัย ? ทำให้เราต้องปกป้องอิสลามจากเค้าเหล่านั้น
ประเด็นปัญหาดังกล่าว น้องศึกษาดูได้ที่กระทู้นี้
เมื่ออะกีดะฮ์อัลเลาะฮ์ทรงมีรูปร่างเริ่มเปิดเผย แต่ที่น่าเสียดายก็คือ หลังจากที่เว็บถูกแฮ็คเมื่อวันก่อน จึงทำให้ข้อมูลสำคัญในกระทู้เกี่ยวกับการที่อุลามาอฺวะฮาบีได้ยืนยันรับรองเองในการที่อัลเลาะฮ์ทรงมีรูปร่างได้หายไปบางส่วน อินชาอัลเลาะฮ์คงมีสมาชิกที่อัพแบล็กไว้ทำการนำมูลเชิงวิชาการกลับมาในกระทู้ดังกล่าว
อัสสลามมุอะลัยกุม
เมื่อ อัลอิสลามได้ให้ความประจักษ์แล้วว่า ยุคแห่งความเจริญรุ่งเรืองในอดีตนั้น อะฮ์ลิสซุนนะฮ์อัลอะชาอิเราะฮ์และอัลมะตูรียะฮ์ ได้ทำการปกป้องอะกีดะฮ์อัลอิสลามาโดยตลอด ซึ่งมีความเหมาะสมในทุกยุคสมัยจนถึงกิยามะฮ์ อยู่ดี ๆ จะมาเปลี่ยนแปลงสัจธรรมไม่ได้หรอก ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยที่เกิดฟิตนะฮ์อะกีดะฮ์อิสลามถูกคุกคาม หรืออยู่ในยุคที่อิสลามรุ่งเรืองอะกีดะฮ์ไม่ถูกคุกคาม
อยากทราบว่าแล้วแนวทางสะลัฟของซอฮาบะ ที่ไม่ตีความ นั้น มันไม่เหมาะสมกับทุกยุคทุกสมัยหรอคับ ขอความคิดเหนคับ
มีไรพลาดไปก็ขอ มาอัฟ ไว้นะที่นี้ด้วยคับ
ดังที่บังบอกไปแล้วในหลายกระทู้ว่า แนวทางสะลัฟของซอฮาบะฮ์และชนยุคสะละฟุศศอลิห์นั้น ก็คือแนวทางสะลัฟที่อัลอะชาอิเราะฮ์รับหลักการมานั่นเองครับ ดังนั้นอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลอะชาอิเราะฮ์และอัลมะตูรีดียะฮ์ล้วนเหมาะสมในทุกยุคสมัยเพราะเป็นหลักอะกีดะฮ์ของซอฮาบะฮ์และสะละฟุศศอลิห์ครับผม
หากมีอะไรจะถามหรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อการศึกษาค้นคว้า ก็ถามมาได้เลยครับอย่าเกรงใจ
วัสลามุอะลัยก้ม