ผู้เขียน หัวข้อ: สะลัฟและค่อลัฟ ระหว่าง ความเหมาะสมและความจำเป็น  (อ่าน 6130 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ M. Rodee

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 108
  • Oh ! My Lord...........
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
al-azhary says:
บังนั้น เลือกให้น้ำหนักแนวทางสะลัฟ



ผมก้อเลือกให้น้ำแนวทางนี้คับ เพราะมันเปนแนวทางที่นบีของเรารับรอง ส่วนแนวทางอื่นๆ นั้นผมไม่รู้คับว่ายังไง และก็ไม่ขอไปว่าด้วยถึงแนวทางอื่นๆ เพราะผมไม่มีสิทธิ์ไรที่จะพูดถึงเรื่องนั้นๆ (จะศึกษาต่อไป)จากการศึกษามาจะพบว่าในปัจจุบันนี้ การยืนยันการมีอยู่จิงของพระผู้ทรงเอกะนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องใช้อายะที่เปฯซีฟัตมาบ่งชี้ เรามีอายะอื่นๆ ที่สามารถยืนยันการมีอยู่จิงของพระผู้ทรงกรุณา ผู้ทรงเมตตา เพราะปัจจุบันนี้มันเป็นโลกแห่งวิทยาศาสตร์ คนจะเชื่อสิ่งต่างๆนั้นมันต้องผ่านทางจากการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์  ซึ่งต่างจากพวกเรามุสลิมที่ศรัทธามาตั้งแต่สมัยท่านนบีของเราโดยไม่ต้องผ่านข้อพิสูจน์ใดๆ ซึ่งปัจจุบันข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ในหลายๆเรื่องก้อแสดงให้แห่งถึงการมีอยู่ของพระผู้ทรงรอบรู้   ส่วนในสมัยของอิมาม ฮัลอัซฮารี นั้น มันเป็นโลกแห่งวงการปราชญ์ ดังนั้นในสมัยนั้นเอง คน(ศาสนิกอื่น)ที่จะเชื่อว่าอัลลอฮมีอยู่จิงนั้น ต้องผ่านจากการกลั่นกรองมาจากนักปราชญ์ จากสิ่งนี้เองที่ท่านอิมาม อัลฮัซฮารี ต้องทำการปกป้องอิสลามจากพวกนักปราชญ์ต่างๆ ที่กล่าวว่าอัลลอฮนั้นไม่บริสุทธิ์ (ซุบฮานัลลอฮ) จึงทำให้ท่านอิมามต้องทำการตีความ เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ และในปัจจุบันนี้ปัญหาก็คือ พวกที่กล่าวหาว่าอัลลอฮเหมือนมัคโลค (ซุบฮานัลลอฮ) ใครคือพวกเขาเหล่านั้น ? จะรู้ได้งัยว่าพวกเขาเหล่านั้นนั้นเป็นงัย ? ทำให้เราต้องปกป้องอิสลามจากเค้าเหล่านั้น

     " พระองค์คือผู้ทรงประทานคัมภีร์ลงมาใหัเจ้า โดยที่ส่วนหนึ่งนั้นมีบรรดาโองการที่มีข้อความรัดกุมชัดเจนซึ่งโองการเหล่านั้นคือรากฐานของคัมภีร์ และมีโองการอื่นๆอีกที่มีข้อความเป็นนัยยะ ส่วนบรรดาผู้ที่หัวใจของพวกเขาเอนเอียงออกจากความจริงนั้น เขาจะติดตามโองการที่เป็นนัยยะของคัมภีร์ ทั้งนี้เพื่อแสวงหาความวุ่นวาย และเพื่อการตีความในโองการนั้นๆ และไม่มีใครรู้การตีความโองการนั้นได้นอกจากอัลลอฮ และบรรดาผู้ที่มั่นคงในความรู้เท่านั้นที่พวกเขาจะกล่าวว่า พวกเราศรัทธาต่อโองการนั้นแล้ว ทั้งหมดนั้นมาจากที่ที่พระผู้อภิบาลของเราทั้งสิ้น และจะไม่มีใครได้รับคำแนะนำตักเตือน นอกจากผู้ที่มีสติปัญญาเท่านั้น "
                                                                          ( อาละอิมรอน 7 )
                         
      อัสสลามมุอะลัยกุม

เมื่อ อัลอิสลามได้ให้ความประจักษ์แล้วว่า  ยุคแห่งความเจริญรุ่งเรืองในอดีตนั้น  อะฮ์ลิสซุนนะฮ์อัลอะชาอิเราะฮ์และอัลมะตูรียะฮ์  ได้ทำการปกป้องอะกีดะฮ์อัลอิสลามาโดยตลอด  ซึ่งมีความเหมาะสมในทุกยุคสมัยจนถึงกิยามะฮ์  อยู่ดี ๆ จะมาเปลี่ยนแปลงสัจธรรมไม่ได้หรอก   ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยที่เกิดฟิตนะฮ์อะกีดะฮ์อิสลามถูกคุกคาม  หรืออยู่ในยุคที่อิสลามรุ่งเรืองอะกีดะฮ์ไม่ถูกคุกคาม


 อยากทราบว่าแล้วแนวทางสะลัฟของซอฮาบะ ที่ไม่ตีความ นั้น มันไม่เหมาะสมกับทุกยุคทุกสมัยหรอคับ ขอความคิดเหนคับ
 มีไรพลาดไปก็ขอ มาอัฟ ไว้นะที่นี้ด้วยคับ
'การสรรเสริญนั้นเป็นสิทธิ์ของอัลลอฮ ผู้ทรงสร้างบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน และได้ทรงให้มีความมืดและแสงสว่าง แต่แล้วบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธานั้น
ก็ยังให้มีสิ่งอื่นเท่าเทียมกับพระผู้อภิบาลของพวกเขา'
                                                                       (  อัล อันอาม  1 )

  !..... หัวใจที่รำลึก.....!
 1000 - (1) = 999

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
ถึงน้อง M. Rodee

وعليكم السلام ورحمة الله وبركاته

al-azhary says:
บังนั้น เลือกให้น้ำหนักแนวทางสะลัฟ

ผมก้อเลือกให้น้ำแนวทางนี้คับ เพราะมันเปนแนวทางที่นบีของเรารับรอง ส่วนแนวทางอื่นๆ นั้นผมไม่รู้คับว่ายังไง และก็ไม่ขอไปว่าด้วยถึงแนวทางอื่นๆ เพราะผมไม่มีสิทธิ์ไรที่จะพูดถึงเรื่องนั้นๆ (จะศึกษาต่อไป)จากการศึกษามาจะพบว่าในปัจจุบันนี้

ใช่แล้วครับ  เดิมทีนั้น  ตอนที่บังร่ำเรียนอะกีดะฮ์หรือเตาฮีดที่ปอเนาะก็จะเน้นแนวค่อลัฟของอัลอะชาอิเราะฮ์เพราะช่วงนั้นยังวัยรุ่นอีหม่านยังน้อยจิตใจยังไม่สงบมั่นคง  แต่เมื่อเรียนมากขึ้น ๆ จิตใจก็รู้สึกสงบมั่นคง  จึงเลือกแนวทางสะลัฟของอัลอะชาอิเราะฮ์(ไม่ใช่สะลัฟตามที่วะฮาบียะฮ์แอบอ้าง) ดังนั้นบังจึงเข้าใจว่าการเรียนอะกีดะฮ์แนวทางค่อลัฟนั้นเป็นสะพานทำให้จิตใจของเรามีความมั่งคงสู่แนวทางสะลัฟ  แต่เมื่อศึกษาไปเรื่อย ๆ จึงทราบว่าสะละฟุศศอลิห์เองก็มีการตีความ(ตะวีล)เช่นเดียวกันเหมือนกับค่อลัฟ  ด้วยเหตุนี้แม้บังจะให้น้ำหนักแนวทางสะลัฟ  แต่ก็ไม่ตำหนิแนวทางค่อลัฟเลยยิ่งกว่านั้นยังปกป้องอีกด้วย  เพราะหากเราตำหนิแนวทางค่อลัฟ  ก็เท่ากับเราได้ตำหนิสะละฟุศศอลิห์บางส่วนเช่นเดียวกัน  ดังนั้นอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ที่มาจากอัลอะชาอิเราะฮ์และอัลมะตูรีดียะฮ์ล้วนแต่ให้ความเป็นธรรมต่อสะละฟุศศอลิห์ทั้งสิ้น  ไม่ทำการตำหนิพวกเขาในเชิงหลักการแบบทางอ้อมเหมือนกับแนวทางวะฮะบียะฮ์   

เมื่อแนวทางสะลัฟเป็นแนวทางที่ปลอดภัยยิ่งกว่า  ส่วนแนวทางค่อลัฟนั้นเราสามารถรู้รายละเอียดได้ยิ่งกว่า  ดังนั้นไม่ว่าจะมอบหมายหรือตีความล้วนแต่อยู่ในแนวทางของสะลัฟ  กล่าวคือสะลัฟส่วนมากทำการมอบหมาย  ส่วนสะลัฟส่วนน้อยทำการตีความตามที่ทางเว็บไซต์แห่งนี้ได้ทำการนำเสนออ้างอิงไปแล้ว  ดังนั้นหากน้องกล่าวว่าแนวทางสะลัฟเป็นแนวทางที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมได้ให้การรับรอง  แน่นอนว่าการมอบหมาย(ตัฟวีฎ)หรือตีความ(ตะวีล)ของสะลัฟบางส่วน นบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ก็ให้การรับรองด้วยเช่นกัน

การยืนยันการมีอยู่จิงของพระผู้ทรงเอกะนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องใช้อายะที่เป็นซีฟัตมาบ่งชี้  เรามีอายะอื่น ๆ ที่สามารถยืนยันการมีอยู่จิงของพระผู้ทรงกรุณา ผู้ทรงเมตตา เพราะปัจจุบันนี้มันเป็นโลกแห่งวิทยาศาสตร์ คนจะเชื่อสิ่งต่าง ๆ นั้นมันต้องผ่านทางจากการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์  ซึ่งต่างจากพวกเรามุสลิมที่ศรัทธามาตั้งแต่สมัยท่านนบีของเราโดยไม่ต้องผ่านข้อพิสูจน์ใดๆ ซึ่งปัจจุบันข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ในหลาย ๆ เรื่องก้อแสดงให้แห่งถึงการมีอยู่ของพระผู้ทรงรอบรู้   

สิ่งที่น้องพูดมาก็ถูกต้องแล้วครับ  แต่มันอาจจะเหมาะสมสำหรับตัวของน้องเอง  แต่อะกีดะฮ์อะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์นั้น  ย่อมเหมาะสมในทุกยุคสมัย  เหมาะสมสำหรับประชาชาติอิสลาม  ทั้งชนอาหรับและอื่นจากอาหรับ  ทั้งคนที่มีความรู้(อุลามาอฺ)และคนที่เอาวามสามัญชนทั่วไป  น้องคงทราบดีว่าประชาชาติอิสลามนั้น  มิได้อยู่ในระดับเดียวกันทั้งหมด  สังเกตุง่าย ๆ ที่เมืองไทยบ้านเรา

ระดับที่ 1.  คนที่มีความรู้ระดับอุลามาอฺ
ระดับที่ 2. คนเอาวามสามัญชนที่ร่ำเรียนวิชาความรู้ (นี่คือพวกเรา) และสามารถรู้ความหมายอัลกุรอานได้  ด้วยการไปอ่านอัลกุรอานแปลไทย  หรืออะไร ๆ ก็แล้วแต่
ระดับที่ 3. คนเอาวามสามัญชนทั่วไปที่มีความรู้แบบพอเอาตัวเองและครอบครัวรอด  อ่านอัลกุรอานได้  แต่ไม่เข้าใจอัลกุรอานไม่รู้ความหมายของอัลกุรอาน
ระดับที่ 4. คนเอาวามสามัญชนทั่วไปที่รู้แบบงู ๆ ปลา ๆ เอาตัวเองรอด  อ่านอัลกุรอานก็ไม่ค่อยออก  ถ้าอ่านออกก็แค่ฟาติฮะฮ์และซูเราะฮ์สั้น ๆ เพื่อทำละหมาดให้เซาะห์ใช้ได้
ระดับที่ 5. คนเอาวามสามัญชนที่รู้ว่าตนเองเป็นมุสลิม  แต่ไม่ค่อยละหมาด  อ่านอัลกุรอานผิด ๆ ถูก ๆ  หรืออ่านถูกแบบพอใช้ได้ 

ผู้คนระดับที่ 1 นั้น  มีเปอร์เซ็นที่น้อยมาก  ส่วนคนระดับที่ 2 นั้นก็ยังมีเปอร์เซ็นี่น้อยอยู่ในสังคม  และบุคคลระดับที่ 3 - 5 นั้น   มีมากมายเหลือเกิน  ดังนั้น  ถ้าหากว่าเราไปบอกว่าบุคคลประเภทที่ 3 - 5 ว่า  การเชื่อว่าอัลเลาะฮ์มีนั้น  มีเยอะอัลกุรอานมายืนยันถึงการมีของอัลเลาะฮ์แล้ว  (อันนี้ถูกต้องครับ) แต่คนเอาวามที่อ่านอัลกุรอ่านแต่ไม่เข้าใจอัลกุรอานล่ะ  เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าอายะฮ์ในที่บอกว่าอัลเลาะฮ์ทรงมี   แล้วบุคคลที่อ่านอัลกุรอานไม่ค่อยออกล่ะ  เขาจะสรรหาความหมายของอายะฮ์ใหนมาเป็นหลักฐานที่มายืนยันว่าอัลเลาะฮ์ทรงมี   ทั้งที่พวกเขาแปลอัลฟาติหะฮ์ก็ยังไม่ค่อยเป็นเลย  นอกจากว่ามีผู้รู้มาบอกว่าอัลเลาะฮ์ทรงมีด้วยหลักฐานนั้นหลักฐานนี้แล้วเขาพวกเขาคิดตาม  ไม่ใช่มาบอกว่าอัลเลาะฮ์ทรงมีเพราะมีคนมาบอกตามที่ปู่ย่าตายายบอก ๆ กันมา  แต่เราต้องรู้ว่าอัลเลาะฮ์มีอย่างผู้มีภูมิปัญญา  รู้ว่าอัลเลาะฮ์มีอย่างผู้ที่มีจิตใจใคร่ครวญตามที่อัลกุรอานได้สั่งใช้ 

แต่ถ้าหากน้องมาพูดกับพวกพี่ ๆ ที่มีความรู้ในเว็บนี้  เป็นต้น  ซึ่งพวกเขาอ่านอัลกุรอานก็เข้าใจแล้วและรู้ว่าอัลเลาะฮ์ทรงมีตามนัยยะที่อัลกุรอานได้บอกไว้  แต่ชาวบ้านที่เป็นสามัญชนทั่วไปเขาไม่มีความรู้เหมือนอย่างกับพวกพี่ ๆ ในเว็บนี้  ดังนั้นการสอนหลักอะกีดะฮ์ว่าอัลเลาะฮ์ทรงมีนั้น  ก็ต้องดูระดับของคนด้วยว่าจะสอนอย่างไร  ใช้หลักสูตรใหนดีที่เหมาะกับพวกเขาในการเชื่อมั่นว่าอัลเลาะฮ์ทรงมี  และพระองค์ทรงมีคุณลักษณะ(ซีฟัต)อย่างไรบ้าง  ใช่ไหมครับ  ดังนั้นบังอยากให้น้องอ่านศึกษาทบทวนในกระทู้นี้เพิ่มเติมครับ การเชื่อว่าอัลเลาะฮ์ทรงมีนั้น ด้วยสติปัญญาหรือด้วยหลักฐาน?

ดังนั้นอะกีดะฮ์อะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์อัลอะชาอิเราะฮ์และอัลมะตูรีดียะฮ์นั้น  จึงเหมาะสมสำหรับทุกยุคสมัย  เหมาะสมสำหรับชนทุกระดับให้เลือกศึกษาตามที่ตนเองสามารถนั่นเองครับ 

และในปัจจุบันนี้ปัญหาก็คือ พวกที่กล่าวหาว่าอัลลอฮเหมือนมัคโลค (ซุบฮานัลลอฮ) ใครคือพวกเขาเหล่านั้น ? จะรู้ได้งัยว่าพวกเขาเหล่านั้นนั้นเป็นงัย ? ทำให้เราต้องปกป้องอิสลามจากเค้าเหล่านั้น

ประเด็นปัญหาดังกล่าว  น้องศึกษาดูได้ที่กระทู้นี้ เมื่ออะกีดะฮ์อัลเลาะฮ์ทรงมีรูปร่างเริ่มเปิดเผย  แต่ที่น่าเสียดายก็คือ  หลังจากที่เว็บถูกแฮ็คเมื่อวันก่อน  จึงทำให้ข้อมูลสำคัญในกระทู้เกี่ยวกับการที่อุลามาอฺวะฮาบีได้ยืนยันรับรองเองในการที่อัลเลาะฮ์ทรงมีรูปร่างได้หายไปบางส่วน  อินชาอัลเลาะฮ์คงมีสมาชิกที่อัพแบล็กไว้ทำการนำมูลเชิงวิชาการกลับมาในกระทู้ดังกล่าว

      อัสสลามมุอะลัยกุม

เมื่อ อัลอิสลามได้ให้ความประจักษ์แล้วว่า  ยุคแห่งความเจริญรุ่งเรืองในอดีตนั้น  อะฮ์ลิสซุนนะฮ์อัลอะชาอิเราะฮ์และอัลมะตูรียะฮ์  ได้ทำการปกป้องอะกีดะฮ์อัลอิสลามาโดยตลอด  ซึ่งมีความเหมาะสมในทุกยุคสมัยจนถึงกิยามะฮ์  อยู่ดี ๆ จะมาเปลี่ยนแปลงสัจธรรมไม่ได้หรอก   ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยที่เกิดฟิตนะฮ์อะกีดะฮ์อิสลามถูกคุกคาม  หรืออยู่ในยุคที่อิสลามรุ่งเรืองอะกีดะฮ์ไม่ถูกคุกคาม


 อยากทราบว่าแล้วแนวทางสะลัฟของซอฮาบะ ที่ไม่ตีความ นั้น มันไม่เหมาะสมกับทุกยุคทุกสมัยหรอคับ ขอความคิดเหนคับ
 มีไรพลาดไปก็ขอ มาอัฟ ไว้นะที่นี้ด้วยคับ

ดังที่บังบอกไปแล้วในหลายกระทู้ว่า  แนวทางสะลัฟของซอฮาบะฮ์และชนยุคสะละฟุศศอลิห์นั้น  ก็คือแนวทางสะลัฟที่อัลอะชาอิเราะฮ์รับหลักการมานั่นเองครับ  ดังนั้นอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลอะชาอิเราะฮ์และอัลมะตูรีดียะฮ์ล้วนเหมาะสมในทุกยุคสมัยเพราะเป็นหลักอะกีดะฮ์ของซอฮาบะฮ์และสะละฟุศศอลิห์ครับผม

หากมีอะไรจะถามหรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อการศึกษาค้นคว้า  ก็ถามมาได้เลยครับอย่าเกรงใจ 

วัสลามุอะลัยก้ม
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ Al Fatoni

  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4905
  • เพศ: ชาย
  • จงอยู่กับความจริงแล้วจะไม่หลง
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
สำหรับผมแล้วจะสลัฟ หรือค็ลัฟนั้น ก็คืออันเดียวกันนั่นเอง ต่างกันที่วิธีในการไปถึงฝั่งเท่านั้นเอง แต่สะละฟีย์ผมไม่แน่ใจว่าถืออย่างสลัฟจริงหรือเปล่า หรือเข้าใจผิดเอง นอูฑุบิลลาฮฺ มินฑาลิก - วัสสลามุ อลัยกุม
ท่านขนขวายอะไร ท่านก็จะได้สิ่งนั้น - วัลลอฮุอะอฺลัม

ออฟไลน์ almadany

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 346
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
อัสลามุอะไลกุ้ม...

ไม่ว่าแนวทางสะลัฟ...หรือแนวทางค่อลัฟ....ล้วนแต่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน...ดังนั้นเราไม่ควรเชื่อตามค่านิยม...แต่เราต้องกลับมาพิจารณาตัวเองว่า...เหมาะสมกับแนวทางใหน...เพราะคนเอาวามบางท่านอาจจะบอกว่า...เขาอยู่แนวทางสะลัฟ...แต่เวลาถามว่าสะลัฟมีหลักการและรายละเอียดอย่างไรบ้าง...เขาบอกว่าไม่รู้...เพราะพูดตามคนอื่นที่บอกมาอีกทีว่าสะลัฟนั้นดีอย่างโน้นอย่างนี้...ดังนั้นหากตามวิธีแบบสะลัฟหรือแบบค่อลัฟ...ก็ต้องมีความรู้แนวทางหรือวิธีของพวกเขาในการไปสู่อะกีดะฮ์ที่บริสุทธิ์ด้วย...วัสลาม

ออฟไลน์ almadany

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 346
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
      อัสสลามมุอะลัยกุม

เมื่อ อัลอิสลามได้ให้ความประจักษ์แล้วว่า  ยุคแห่งความเจริญรุ่งเรืองในอดีตนั้น  อะฮ์ลิสซุนนะฮ์อัลอะชาอิเราะฮ์และอัลมะตูรียะฮ์  ได้ทำการปกป้องอะกีดะฮ์อัลอิสลามาโดยตลอด  ซึ่งมีความเหมาะสมในทุกยุคสมัยจนถึงกิยามะฮ์  อยู่ดี ๆ จะมาเปลี่ยนแปลงสัจธรรมไม่ได้หรอก   ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยที่เกิดฟิตนะฮ์อะกีดะฮ์อิสลามถูกคุกคาม  หรืออยู่ในยุคที่อิสลามรุ่งเรืองอะกีดะฮ์ไม่ถูกคุกคาม


 อยากทราบว่าแล้วแนวทางสะลัฟของซอฮาบะ ที่ไม่ตีความ นั้น มันไม่เหมาะสมกับทุกยุคทุกสมัยหรอคับ ขอความคิดเหนคับ
 มีไรพลาดไปก็ขอ มาอัฟ ไว้นะที่นี้ด้วยคับ
ดังที่บังบอกไปแล้วในหลายกระทู้ว่า  แนวทางสะลัฟของซอฮาบะฮ์และชนยุคสะละฟุศศอลิห์นั้น  ก็คือแนวทางสะลัฟที่อัลอะชาอิเราะฮ์รับหลักการมานั่นเองครับ  ดังนั้นอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลอะชาอิเราะฮ์และอัลมะตูรีดียะฮ์ล้วนเหมาะสมในทุกยุคสมัยเพราะเป็นหลักอะกีดะฮ์ของซอฮาบะฮ์และสะละฟุศศอลิห์ครับผม

หากมีอะไรจะถามหรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อการศึกษาค้นคว้า  ก็ถามมาได้เลยครับอย่าเกรงใจ 

วัสลามุอะลัยก้ม

ผมคิดว่าการพิจารณาถึงความเหมาะสมนั้น...ก็ต้องเหมาะสมกันทุกยุคสมัยแหละครับ...เพราะในทุกยุคสมัยมีบุคคลที่ระดับความรู้แตกต่างกันไป...คนยุคสมัยซอฮาบะฮ์เป็นยุคที่อีหม่านเข้มแข็งอย่างที่เราๆ ในยุคสมัยนี้เทียบไม่ถึง...และอีหม่านไปเทียบกับยุคพวกเขาไม่ได้หรอก...ดังนั้นเมื่อแต่ละยุคสมัยมีกลุ่มบุคคลที่ระดับต่างกันไป...หลักการสอนอะกีดะฮ์ก็ต้องมีวิธีสอนที่ต่างกันไปด้วย...เพื่อพวกเขาจะได้เข้าใจอะกีดะฮ์ได้ง่ายขึ้น...เพื่อพวกเขาเข้าใจอะกีดะฮ์ได้ง่ายขึ้น...ต่อไปหากพวกเขาได้ศึกษาเพิ่มเติม...ก็จะมีการอ้างอิงถึงอัลกุรอานและอธิบายอัลกุรอานเพื่อยืนยันว่าอัลเลาะฮ์ทรงมีอย่างไร...

ออฟไลน์ Al Fatoni

  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4905
  • เพศ: ชาย
  • จงอยู่กับความจริงแล้วจะไม่หลง
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
หากแต่บางกลุ่มเท่านั้น ที่พยายามจะแยกว่า "ค็ลัฟ" แตกต่างจาก "สลัฟ" วัลลอฮุ อะอฺลัม - วัสสลาม
ท่านขนขวายอะไร ท่านก็จะได้สิ่งนั้น - วัลลอฮุอะอฺลัม

ออฟไลน์ นูรุ้ลอิสลาม

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1356
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
อยากทราบว่าแล้วแนวทางสะลัฟของซอฮาบะ ที่ไม่ตีความ นั้น มันไม่เหมาะสมกับทุกยุคทุกสมัยหรอคับ ขอความคิดเหนคับ
 มีไรพลาดไปก็ขอ มาอัฟ ไว้นะที่นี้ด้วยคับ

       การตีความนั้น  เมื่ออยู่ในยามจำเป็น  ท่านอัลฮาฟิซฺ อิบนุ เญาซีย์ ได้กล่าวเปรียบเทียบไว้ได้ดีมากเลยครับ

       "แท้จริงซอฮาบะฮ์นั้นเมื่อพวกเขาต้องการมุ่งหน้าไปมักกะฮ์  พวกเขาก็จะไม่เข้าไปที่กูฟะฮ์(อีรัก)  เพราะกูฟะฮ์ไม่ใช่ทางของเขา  เนื่องจากเป้าหมายของพวกเขาเพื่อไปที่อะรอฟะฮ์  ดังกล่าวมิใช่การเข้าไปที่กูฟะฮ์นั้นเป็นบิดอะฮ์  เฉกเช่นดังกล่าวคือ  การที่ซอฮาบะฮ์ไม่ทำการตะวีลมิใช่เพราะว่าการตะวีลเป็นสิ่งที่ต้องห้าม  แต่การที่พวกเขาไม่ตะวีลก็เพราะว่าบรรดาสิ่งคลุมเคลือและบิดอะฮ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสมัยนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในสมัยของพวกเขาที่จำต้องทำการตะวีลซึ่งแตกต่างกับสมัยนี้  เพราะสมัยนี้นั้นบรรดาบิดอะฮ์ได้เกิดขึ้น  บรรดาข้อสงสัยต่างๆ  ได้แพร่หลาย  ดังนั้นในสมัยนี้เราจึงต้องการไปยังการตะวีล  เพื่อต้องการขจัดความคลุมเคลือของการตัชบีห์(การยืนยันถึงความคล้ายคลึงระหว่างอัลเลาะฮ์และมัคโลค) และตะตีล(การปฏิเสธซีฟัต)  และสิ่งกล่าวก็เหมือนกับชายสองคน  ที่มีสุขภาพดี และอีกคนหนึ่งที่มีอาการป่วย  แล้วคนป่วยก็ไม่ยอมเยียวยารักษา  จนกระทั่งเกิดความเสียหายขึ้นแก่เขา  จึงถูกถามแก่คนป่วยว่า  เหตุใดท่านไม่ทำการเยียวยารักษา  คนป่วยตอบว่า  เขาคนนี้ยังไม่ยอมเยียวยารักษาเลย  จึงกล่าวตอบแก่คนป่วยว่า  ท่านเข้าใจผิดแล้ว  เพราะเขานี้มีสุขภาพดี  และผู้ที่มีสุขภาพดีย่อมไม่ต้องการไปยังการรักษาเยียวยา 

       ดังนั้นคนป่วยในยุคสมัยนี้  คือป่วยโรคตัชบีห์และโรคตะตีล  การเยี่ยวยาก็คือการอธิบายและการตีความ  และเสมือนกับการที่คนป่วยดังกล่าวที่ใกล้ตายที่ไม่ต้องการเยียวยาเพราะเลียนแบบคนที่สุขภาพดี  เขาคงต้องเสียหายอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้นเป็นแน่  เช่นเดียวกัน  หากเขาถูกโรคตัชบีห์และโรคตะตีลเข้ามาคอบงำ  แล้วเขาก็ไม่ยอมเยียวยาด้วยการอธิบายและตะวีล  แน่นอนว่าเขาต้องเสียหายอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้นเช่นกัน"  จากหนังสือมะญาลิสอิบนุเญาซีย์ หน้า 12
لا إله إلا الله محمد رسول الله

ออฟไลน์ Al Fatoni

  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4905
  • เพศ: ชาย
  • จงอยู่กับความจริงแล้วจะไม่หลง
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
อ้างถึง
และสิ่งกล่าวก็เหมือนกับชายสองคน  ที่มีสุขภาพดี และอีกคนหนึ่งที่มีอาการป่วย  แล้วคนป่วยก็ไม่ยอมเยียวยารักษา  จนกระทั่งเกิดความเสียหายขึ้นแก่เขา  จึงถูกถามแก่คนป่วยว่า  เหตุใดท่านไม่ทำการเยียวยารักษา  คนป่วยตอบว่า  เขาคนนี้ยังไม่ยอมเยียวยารักษาเลย  จึงกล่าวตอบแก่คนป่วยว่า  ท่านเข้าใจผิดแล้ว  เพราะเขานี้มีสุขภาพดี  และผู้ที่มีสุขภาพดีย่อมไม่ต้องการไปยังการรักษาเยียวยา

              แจ่มแจ้ง ชัดเจนครับ มองเห็นภาพเลย ญาซากั้ลลอฮุ ค็อยร็อน ครับ
ท่านขนขวายอะไร ท่านก็จะได้สิ่งนั้น - วัลลอฮุอะอฺลัม

ออฟไลน์ M. Rodee

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 108
  • Oh ! My Lord...........
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด

         ผมคิดว่าการเยียวยาที่บอกมานั้น อยากทราบว่า มันต้องใช้การเยียวยาด้วยการตีความเท่านั้น หรือป่าวคับ  มันพอจะมีการเยียวยาด้วยวิธีอื่นหรือป่าวคับ ทั้งนี้เพื่อให้คนป่วยได้ทำการเยียวยาได้อย่างไม่ต้องมีความสับสน ที่ว่า การเยียวยาด้วยการตีความนั้นมันเปนทางออกเดียวที่สามารถแก้ได้ มันจะทำให้การเยียวยาโดยการไม่ตีความ ไม่มีความสำคัญเลย ฉะนั้น ผมอยากจะขอให้ชี้แจงโดยไม่ให้เกิดความสับสน ทั้งนี้ทั้งนั้น การเยียวยามันก็สำคัญแก่ตัวเรา เราสามารถเลือกการเยียวยาตามความเหมาะสม ของแต่ละบุคลล  แต่เป้าหมายของการเยียวยามันก็เป้าหมายเดียวกัน    ไงเดียวค่อยเขามาแสดงความคิดเหนต่อดีกว่า มีไรก็ มาอฟ ด้วยคับ
                                                                                                                                                                       
                     
'การสรรเสริญนั้นเป็นสิทธิ์ของอัลลอฮ ผู้ทรงสร้างบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน และได้ทรงให้มีความมืดและแสงสว่าง แต่แล้วบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธานั้น
ก็ยังให้มีสิ่งอื่นเท่าเทียมกับพระผู้อภิบาลของพวกเขา'
                                                                       (  อัล อันอาม  1 )

  !..... หัวใจที่รำลึก.....!
 1000 - (1) = 999

ออฟไลน์ Al Fatoni

  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4905
  • เพศ: ชาย
  • จงอยู่กับความจริงแล้วจะไม่หลง
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
จริงอยู่ที่การเยียวยาสำหรับแต่ละบุคคลย่อมต่างกัน เพราะความสาหัสของโรคและสภาพร่างกายและจิตใจของแต่ละคนย่อมต่างกัน แต่ก็ใช่ว่าทุกการเยียวยาที่คิดว่าดี จะใช้ได้หมด หากแต่การเยียวยาต้องสอดคล้องกับโรคและตำรับยาที่ถูกกำหนดสูตรไว้ ผลที่ออกมาจึงจะใช้ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น การตีความก็เปรียบเสมือนยาขนาดหนึ่งที่ผ่านมารับรองจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมาหลายยุคหลายสมัย ยาขนาดนี้เคยสยบผู้ปฏิเสธอัลลอฮฺมาหลายต่อหลาย ทั้งนี้ เพื่อให้มั่นใจว่า จิตใจของพวกเขาจะไม่ความแครงใจเข้ามาแฝงอีก เพราะมนุษย์มักจะคิดเลยเถิดเสมอ หากหยุดแต่เพียงว่า "พระหัตถ์" ก็คือ "พระหัตถ์" แน่นอนหากเป็นหัวใจที่มั่นคงอย่างศ็หาบะฮ์ พวกเขาเชื่ออย่างมั่นคงว่า นั่นมิใช่เป็นไปตามความหมายที่แท้จริงของคำนั้น ดังนั้น การมอบหมาย และไม่ตีความจึงเกิดขึ้น และพวกเขาสามารถบังคับจิตใจของพวกเขามิให้คิดต่อจนเลยเถิดไปอีกได้ พวกเขาจะไม่คิดต่อว่า พระหัตถ์ที่ว่าเป็นเช่นไร เพราะพวกเขารู้ดีถึงอันตรายต่ออะกีดะฮ์ของพวกเขาที่จะเกิดขึ้นจากการคิดเลยเถิดนั้นได้ แต่เมื่อยุคสมัยผ่านไป ความห่างไกลจากรากเหง้าก็ย่อมห่างไป ผู้ก็เริ่มอ่อนแอลง การที่จะบังคับจิตใจมิให้คิดต่อต่อคำตรัสของอัลลอฮฺที่ทรงกล่าวถึง "พระหัตถ์" "พระเนตร" "พระบาท" เป็นต้น ย่อมห่างไกล และห่างไกลยิ่งขึ้น เพราะมนุย์จะต้องมีช่วงเวลาหนึ่งที่ฉุดคิดว่า สิ่งเหล่านั้นเป็นเช่นไรกันแน่ เป็นอย่างความหมายที่แท้จริงของมัน หรือเป็นในอีกความหนึ่ง การตีความ ก็เปรียนดั่งเป็นการสกัดกั้น เพื่อมิให้ความคิดเหล่านั้นเกิดขึ้น ความคิดที่ว่าก็คือ การคิดว่าความหมายของสิ่งเหล่านั้นคือความหมายที่แท้จริง เพราะหากเขาคิดเช่นนั้น ก็หมายความว่า เขาได้ทำให้พระเจ้าของเขาเหมือนกับสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง ซึ่งนั่นเป็นไปไม่ได้สำหรับพระองค์อย่างเด็ดขาด และการตีความต่อสิ่งเหล่านั้น ก็เป็นการตีความที่สอดคล้องกับพระนามของพระองค์ทั้ง 99 ที่ถูกรายงานมาอย่างมุตะวาติรฺอยู่แล้ว ส่วนความหมายที่แท้จริงจะเป็นเช่นไรนั้น เหล่าผู้ที่ตีความก็ขอมอบหมายต่อพระผู้ทรงอภิบาลอีกที จงจำไว้อย่างหนึ่งว่า "การเรียนรูศิฟัตของอัลลอฮฺ หากว่ายิ่งเรียนยิ่งไม่รู้ว่าพระองค์เป็นเช่นไร นั่นเป็นสัญญาณว่า คุณรู้จักพระองค์แล้ว" เพราะอัลลอฮฺ มิทรงมิสิ่งใดๆ เสมอเหมือนพระองค์ทั้งในด้านการกระทำ พระนาม และคุณลักษณะ พระองค์เอกะในสิ่งเหล่านั้น มหาบริสุทธิ์ยิ่งแด่พระผู้ทรงมหาบริสุทธิ์จากภาคีใดๆ - วัลลอฮุอะอฺลัม - วัสสลามุ อลัยกุม
ท่านขนขวายอะไร ท่านก็จะได้สิ่งนั้น - วัลลอฮุอะอฺลัม

ออฟไลน์ คะลัคคะลุย

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 670
  • เรื่อยไป
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
ทั้งนี้เพื่อให้คนป่วยได้ทำการเยียวยาได้อย่างไม่ต้องมีความสับสน ที่ว่า การเยียวยาด้วยการตีความนั้นมันเปนทางออกเดียวที่สามารถแก้ได้ มันจะทำให้การเยียวยาโดยการไม่ตีความ ไม่มีความสำคัญเลย

การเยียวยาเพราะมีโรค   ดังนั้นหากการไม่ตีความ(ตัฟวีฎ)คือการเยียวยา  ก็แสดงว่าบรรดาซอฮาบะฮ์ก็เป็นโรคมาก่อนแล้วมาเยียวยาด้วยการตีความ 
ดังนั้นหากเราอยากให้ยุคปัจจุบันมีวิธีทางอะกีดะฮ์แบบซอฮาบะฮ์    อยากถามว่ายุคปัจจุบันนี้บรรดามุสลิมีนมีอะกีดะฮ์แข็งเกร่งเท่ากับซอฮาบะฮ์หรือยัง? 

اللهم صل علي سيدنا محمد وعلي آل محمد وصحبه وسلم

ออฟไลน์ M. Rodee

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 108
  • Oh ! My Lord...........
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด


การเยียวยาเพราะมีโรค   ดังนั้นหากการไม่ตีความ(ตัฟวีฎ)คือการเยียวยา  ก็แสดงว่าบรรดาซอฮาบะฮ์ก็เป็นโรคมาก่อนแล้วมาเยียวยาด้วยการตีความ 
ดังนั้นหากเราอยากให้ยุคปัจจุบันมีวิธีทางอะกีดะฮ์แบบซอฮาบะฮ์    อยากถามว่ายุคปัจจุบันนี้บรรดามุสลิมีนมีอะกีดะฮ์แข็งเกร่งเท่ากับซอฮาบะฮ์หรือยัง? 



         
       แล้วเมื่อก่อนนั้นซอฮาบะฮ์นั่นพวกเขาก็ป่วยเหมือนกันนะคับ การเยียวยาของพวกเขาเหล่านั้น ก็คือ อัลกุรอาน งัยคับ แล้วส่วนน้อยจากพวกเขาเหล่านั้นที่ตีความ และส่วนมากจากพวกเขาเหล่านั้นที่ไม่ตีความ       
       ส่วนที่ถามว่า มีอะกีดะฮ์แข็งแกร่งเท่ากับซอฮาบะฮ์หรือยังนั้น ขอตอบว่า มันไม่ถึงอยู่แล้วคับ นบีของเราก็บอกเราแล้วในเรื่องนี้ไม่ใช่หรอ  แล้วขอถามว่าแล้วบรรดาอุลามาหลายๆ ท่าน.ในปัจจุบันที่เค้าไม่ตีความนั้น มีอะกีดะฮ์แข็งแกร่งเท่ากับซอฮาบะฮ์หรือคับ?
   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ต.ค. 10, 2008, 10:31 PM โดย M. Rodee »
'การสรรเสริญนั้นเป็นสิทธิ์ของอัลลอฮ ผู้ทรงสร้างบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน และได้ทรงให้มีความมืดและแสงสว่าง แต่แล้วบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธานั้น
ก็ยังให้มีสิ่งอื่นเท่าเทียมกับพระผู้อภิบาลของพวกเขา'
                                                                       (  อัล อันอาม  1 )

  !..... หัวใจที่รำลึก.....!
 1000 - (1) = 999

ออฟไลน์ M. Rodee

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 108
  • Oh ! My Lord...........
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด


ใช่แล้วครับ  เดิมทีนั้น  ตอนที่บังร่ำเรียนอะกีดะฮ์หรือเตาฮีดที่ปอเนาะก็จะเน้นแนวค่อลัฟของอัลอะชาอิเราะฮ์เพราะช่วงนั้นยังวัยรุ่นอีหม่านยังน้อยจิตใจยังไม่สงบมั่นคง  แต่เมื่อเรียนมากขึ้น ๆ จิตใจก็รู้สึกสงบมั่นคง  จึงเลือกแนวทางสะลัฟของอัลอะชาอิเราะฮ์(ไม่ใช่สะลัฟตามที่วะฮาบียะฮ์แอบอ้าง) ดังนั้นบังจึงเข้าใจว่าการเรียนอะกีดะฮ์แนวทางค่อลัฟนั้นเป็นสะพานทำให้จิตใจของเรามีความมั่งคงสู่แนวทางสะลัฟ  แต่เมื่อศึกษาไปเรื่อย ๆ จึงทราบว่าสะละฟุศศอลิห์เองก็มีการตีความ(ตะวีล)เช่นเดียวกันเหมือนกับค่อลัฟ  ด้วยเหตุนี้แม้บังจะให้น้ำหนักแนวทางสะลัฟ  แต่ก็ไม่ตำหนิแนวทางค่อลัฟเลยยิ่งกว่านั้นยังปกป้องอีกด้วย  เพราะหากเราตำหนิแนวทางค่อลัฟ  ก็เท่ากับเราได้ตำหนิสะละฟุศศอลิห์บางส่วนเช่นเดียวกัน  ดังนั้นอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ที่มาจากอัลอะชาอิเราะฮ์และอัลมะตูรีดียะฮ์ล้วนแต่ให้ความเป็นธรรมต่อสะละฟุศศอลิห์ทั้งสิ้น  ไม่ทำการตำหนิพวกเขาในเชิงหลักการแบบทางอ้อมเหมือนกับแนวทางวะฮะบียะฮ์   

 คับปม  ;D ;D ;D
'การสรรเสริญนั้นเป็นสิทธิ์ของอัลลอฮ ผู้ทรงสร้างบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน และได้ทรงให้มีความมืดและแสงสว่าง แต่แล้วบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธานั้น
ก็ยังให้มีสิ่งอื่นเท่าเทียมกับพระผู้อภิบาลของพวกเขา'
                                                                       (  อัล อันอาม  1 )

  !..... หัวใจที่รำลึก.....!
 1000 - (1) = 999

ออฟไลน์ Al Fatoni

  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4905
  • เพศ: ชาย
  • จงอยู่กับความจริงแล้วจะไม่หลง
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
ถ้าเป็นสลัฟตามแนวอะชาอิเราะฮ์ ก็คือ การมอบหมายต่ออายะฮ์ที่ชุบฮาต อย่างจริงๆ และหยุดอยู่แค่นั้น แต่บางสะละฟีย์ที่อ้างในปัจจุบันนั้น พวกเขาอ้างว่า ห้ามตีความและต้องมอบหมาย แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขากลับยืนยันถึงความหมายที่แท้จริงของมัน พร้อมทั้งอธิบายลักษณะของอวัยวะเหล่านั้น อย่างงี้มันยิ่งกว่าตีความเสียอีก แต่มันคือการมโนภาพ ซึ่งถือเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อแนวทางอะฮฺลุสสุนนะฮ์ วัลญมาอะฮ์

             การตีความในแบบของอะชาอิเราะฮ์กับมุอฺตะซิละฮ์นั้น ย่อมมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน หลายคนมองเพียงผิวเผินเพียงแค่ว่า มุอฺตะซิละฮ์ก็มีการตีความ อะชาอิเราะฮ์ก็มีการตีความ ฉะนั้นทั้งสองก็คงไม่แตกต่างอะไร เพราะผู้ก่อตั้งแนวอะชาอิเราะฮ์เดิมก็เคยเป็นมุอฺตะซิละฮ์มาก่อน ประเด็นตรงนี้เราไม่ขัดแย้ง แต่ที่วะฮาบีย์ไม่เข้าใจและไม่ยอมทำความเข้าใจก็คือ การตีความตามอะชาอิเราะฮ์เป็นเช่นไร และจุดประสงค์เพื่ออะไร และการตีความของมุอฺตะซิละฮ์เป็นเช่นไรและเพื่อจุดประสงค์ใด ทั้งสองย่อมแตกต่างกัน กล่าวคือ จริงอยู่ที่อะชาอิเราะฮ์มีการนำหลักสติปัญญา (หุกุม-อกัล) มาใช้เป็นหนึ่งในตัวสนับสนุน หรือเครื่องมือในการยืนยันถึงความมีอยู่ของอัลลอฮฺ แต่ของอะชาอิเราะฮ์จะแยกอย่างชัดเจนระหว่างหลักสติปัญญากับหลักกฎทางธรรมชาติ (หุกุม-อาดัต) กล่าวคือ แนวทางอะชาอิเราะฮ์ตั้งเงื่อนไขทางสติปัญญาแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ (1) วาญิบต่ออกัล คือ สิ่งที่ต้องมีเท่านั้น การไม่มีสำหรับมัน ถือว่าสติปัญญายอมรับไม่ได้อย่างเด็ดขาดเลย เช่น ความเอกะของอัลลอฮฺ ฯลฯ (2) มุสตฮิลต่ออกัล คือ สิ่งที่ต้องไม่มี การมีสำหรับมัน ถือว่าสติปัญญายอมรับไม่ได้อย่างเด็ดขาด เช่น การเป็นเพศชาย หรือหญิงของอัลลอฮฺ, การมีบุตร หรือภาคีร่วมในการสร้าง หรือบริหารจักรวาล แม้จะสามัคคีก็ตาม ฯลฯ (3) ฮารูสต่ออกัล คือ สิ่งที่เป็นไปได้ทั้งสอง หรือกล่าวอีกความหมายหนึ่งคือ การกระทำ หรือไม่กระทำสิ่งใดๆ ที่เป็นไปตามพระประสงค์ของอัลลอฮฺ โดยพระองค์ทรงอยู่เหนือกฎเกณฑ์ทั้งปวงอย่างแท้จริง เช่น แพะคลอดลูกออกมาเป็นแมว หรือมะพร้าวออกผลเป็นสตรอเบอรี่ หรือคนที่สิบหน้าเหมือนทศกัณฑ์ หรืออัลลอฮฺทรงต้องการให้คนดี ไม่เคยทำบาปตกนรก ส่วนคนชั่ว ไม่เคยทำดี เข้าสวรรค์เป็นต้น ตามหลักสติปัญญาของอะชาอิเราะฮ์แล้ว สิ่งเหล่านั้น สามารถเกิดขึ้นได้ ย่อมเป็นไปได้ และเป็นไปไม่ได้ กล่าวคือ สติปัญญารับได้ทั้งสอง เพราะอะชาอิเราะฮ์ได้วางกฎเกณฑ์สำหรับข้อนี้ว่า ทุกอย่างเป็นไปตามพระประสงค์ของอัลลอฮฺ ที่ทรงวางอยู่เหนือกฎเกณฑ์ทั้งปวง ส่วนว่ามันจะขัดกับหลักใดนั้น เราต้องมาพิจารณากันอีกกรณีหนึ่ง ไม่สมควรปะปนกัน เพราะบางมีอาจจะมีผลร้ายต่ออะกีดะฮ์เราได้
               ทีนี้ลองมาดู หลักสติปัญญาของแนวทางมุอฺตะซิละฮ์ว่าเป็นเช่นใด หลักอกัลของมุอฺซิละฮ์นั้น พื้นฐานของพวกเขาจะต้องสอดคล้องกับกฎทางธรรมชาติทั้งนั้น กล่าวคือ ต้องเป็นสิ่งที่มีเหตุและผลในตัวมัน ต้องสัมผัสได้ และระหว่างหลักสติปัญญากับหลักแห่งกฎธรรมชาติต้องสอดคล้องกัน สามารถไปด้วยกันได้ หรือพูดอีกนัยหนึ่งคือ พระผู้เป็นเจ้าต้องดำเนินไปตามกฎธรรมชาติเช่นกัน หรือแม้กระทั่งคิดว่า พระเจ้าต้องอยู่ภายใต้กฎธรรมชาติเสียด้วยซ้ำไป นี่คือหลักยึดมั่นของชาวกรีกโบราณที่มีอิทธิพลต่อมุอฺตะซิละฮ์ เราจะเห็นข้อแตกต่างอย่างชัดเจนว่า หลักสติปัญญาที่อะชาอิเราะฮ์ได้กำหนดไว้นั้น จะสอดคล้องกับอัลกุรฺอานและสุนนะฮ์อย่างหลีกเลี่ยงมิพ้น เพราะอะชาอิเราะฮ์แยกชัดเจนระหว่างสิ่งที่สติปัญญายอมรับได้หรือไม่ได้ กับสิ่งที่สอดคล้องหรือขัดกับกฎธรรมชาติ
                 กฎธรรมชาติ (หุกุม-อาดัต) ที่ว่า ก็ถูกแบ่งเป็น 3 ประเภทคือ (1) วาญิบต่ออาดัต หมายถึง สิ่งที่สอดคล้อง หรือเป็นไปตามกฎเกณฑ์ หรือปกติวิสัย หรือสิ่งที่เคยเป็นอยู่ปกติของมันอย่างนั้น เช่น ปกติเวลาเราเทน้ำจากแก้วบนพื้นโลก น้ำต้องตกลงพื้น ฯลฯ (2) มุสตฮิลต่ออาดัต หมายถึง สิ่งที่ไม่สอดคล้อง หรือไม่เป็นไปตามกฎเกณฑ์ หรือผิดปกติวิสัย หรือไม่เป็นอย่างที่เคยเป็นอย่างเคย เช่น จากข้อที่ (1) การเทน้ำ ปรากฏว่า วันนั้น เราเทน้ำไป แทนที่น้ำจะตกลงพื้น น้ำกลับลอยขึ้นในอากาศ ลอยละล่อง ในสภาพปกติของพื้นผิวโลก โดยไม่มีความเป็นสูญญากาศในขณะนั้น แน่นอน สิ่งเหล่านี้ หากคิดไปตามหลักสติปัญญาของอะชาอิเราะฮ์ถือว่า เป็นไปได้ เพราะอัลลอฮ์ทรงมรอำนาจในการกระทำสิ่งนั้นได้อย่างง่ายดาย ตามพระองค์ของพระองค์ แต่หากคิดตามหลักสติปัญญาของมุอฺตะซิละฮ์ ซึ่งหลักสติปัญญากับหลักกฎเกณฑ์ทางธรรมชาติจะต้องไปด้วยกัน ก็ต้องฟันธงว่า เป็นไปไม่ได้ อย่างแน่นอน มันขัดต่อสติปัญญา เกิดมาไม่เคยเจอแบบนี้ มันข้อธรรมชาติของมัน เป็นไปไม่ได้อย่าแน่นอน เป็นนิยายปรัมปรา (พี่น้องเห็นแตกต่างยังครับ) และ (3) ญาอิซต่ออาดัต หมายถึง สิ่งที่เป็นไปได้ทั้งสอง เช่น อาดัต (หรือปกติวิสัย) ของบางคนกินข้าวจานเดียวอิ่ม แต่อีกบางคนต้องสองจานถึงจะอิ่ม เป็นต้น
                 เกี่ยวกับหุกุมอกัล (หลักสติปัญญา) และหุกุมอาดัต (กฎเกณฑ์ทางธรรมชาติ/เหตุและผล) นั้น ช่วงนี้ผมได้นำเสนอในหลาย กระทู้หลายครั้งทีเดียว เพราะผมต้องการเน้นเช่นเดียวกับทุกๆ ที่ๆ ผมไม่เรียนอะกีดะฮ์ โต๊ะครูเกือบทั้งหมด หรือทั้งหมดด้วยซ้ำ จะเน้นหลักเหล่านี้เป็นเบื้องต้นก่อน เด็กปอเนาะ 3จ. จะคุ้นกับเรื่องเหล่านี้ดี เพื่อเป็นการปูทางสู่ความเข้าใจในศิฟัตของอัลลอฮฺตามแนวอะฮฺลุสสุนนะฮฺ วัลญมาอะฮ์ แนวอะชาอิเราะฮ์ ที่มีความแตกต่างจากหลักอะกีดะฮ์มุอฺตะซิละฮ์และพวกกุฟฟารฺทั้งหลาย อย่างสิ้นเชิง การนำเสนอของผมย่อมมีข้อผิดพลาด นี่คือการถ่ายทอดจากความเข้าใจเล็กน้อยของผมเท่านั้น ท่านผู้รู้ช่วยท้วงติงและเสริมได้ครับ เพื่อเป็นความรู้แก่ผมเองด้วย - วัลลอฮุ อะอฺลัม - วัสสลาม
ท่านขนขวายอะไร ท่านก็จะได้สิ่งนั้น - วัลลอฮุอะอฺลัม

ออฟไลน์ นูรุ้ลอิสลาม

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1356
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
อัสลามุอะลัยกุ้มฯ

       นี่คือกระทู้จากพันทิป

http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y7110431/Y7110431.html

       ที่พวกนอกลู่ได้ทำภาพขึ้นมาอย่างนี้  เพราะสืบเนื่องมาจากตำราอะกีดะฮ์ของวะฮาบีย์ที่เขาตีพิมพ์เผยแพร่  ความเชื่ออะกีดะฮ์ของวะฮาบีย์จะเชื่อแบบในรูปธรรม  ภาพแบบนี้จึงออกมา  แต่อะฮ์ลิสซุนนะฮ์อัลอะชาอิเราะฮ์เชื่อต่ออัลเลาะฮ์ในเชิงนามธรรมไม่สามารถสัมผัสถึงอัลเลาะฮ์ได้หรอก  จึงไม่มีผู้ใดที่สามารถจะมาจินตนาการได้ถึงขนาดนี้  เพราะการจินตนาการนั้นจะเกิดขึ้นเพราะเหตุการเชื่อแบบรูปธรรม   
لا إله إلا الله محمد رسول الله

 

GoogleTagged