ผู้เขียน หัวข้อ: ชี้แจง .. บทวิภาษของ อ.อัชอะรีย์ต่อ อ.ปราโมทย์  (อ่าน 6653 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ คะลัคคะลุย

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 670
  • เรื่อยไป
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
อ. ปราโมทย์ พูดว่า

ส่วนคำว่า “เผ็ดร้อน” นั้น (ความจริงน่าจะเรียกว่าเป็นการ “แซว” ที่เผ็ดร้อนมากกว่า).. หากพิจารณาอย่างถ่องแท้แล้วจะเห็นว่า ส่วนใหญ่ จะอยู่ในรูปของคำถามที่มีต่อ อ.กอเซ็ม .. ซึ่งท่านคงไม่ปฏิเสธว่า แม้จะแซวเผ็ดร้อนไปบ้าง แต่ก็ไม่ใช่คำพูดหยาบคายแต่ประการใด ...

-----------------------------

แก้ต้วได้ดีมาก  เพราะ อ.ปราโมทย์  ไม่ผิดหรอก  hehe
اللهم صل علي سيدنا محمد وعلي آل محمد وصحبه وسلم

ออฟไลน์ คะลัคคะลุย

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 670
  • เรื่อยไป
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
อ. ปราโมทย์เล่าให้ฟังว่า

และตามที่ผมได้รับทราบมา (ถ้าผิดก็ขออภัย) ว่า อ.อัชอะรีย์เองเคยก้าวร้าวต่อท่านอิบนุตัยมียะฮ์,  ท่านมุหัมมัด บินอับดุลวะฮ์ฮาบ,  ท่านอิบนุ้ลก็อยยิม,  ท่านอัล-อัลบานีย์ เป็นต้น อย่างรุนแรงในเว็บไซด์ของท่าน ...

-----------------------

แค่ทราบมา  แสดงว่า อ.ปราโมทย์ ถูกลูกศิษย์  เป่าหูให้ฟังอีกที  ทั้งที่ลูกศิษย์ อ.ปราโมทย์บางคนเข้ามาเคยด่าเว็บมาสเตอร์ถึงเว็บ!
اللهم صل علي سيدنا محمد وعلي آل محمد وصحبه وسلم

ออฟไลน์ คะลัคคะลุย

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 670
  • เรื่อยไป
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
อ.ปราโมทย์เขียนต่ออีกว่า

ก.  การอ่านอัล-กุรฺอ่านที่กุบูรฺเป็นปัญหาขัดแย้งของนักวิชาการ .. ข้อนี้ อ.อัชอะรีย์คงไม่ปฏิเสธ ...
ดังนั้น เมื่อเห็นผู้ใดอ่านอัล-กุรฺอ่านที่กุบูรฺ ก็อย่าไปห้ามหรือตำหนิเขา .. นี่คือเนื้อหาจากคำกล่าวของท่านซุฟยาน อัษ-เษารีย์และท่านอิบนุตัยมียะฮ์ ที่ อ.อัชอะรีย์นำเสนอมานั้น ... 
ผมจึงอยากจะถามว่า ..
แล้วการที่ท่านอิหม่ามอะห์มัด อิบนุหัมบัลเข้าไปกล่าวในลักษณะคัดค้านต่อชายตาบอดผู้หนึ่งขณะที่เขากำลังอ่านอัล-กุรฺอ่านที่กุบูรฺว่า ...
يَا هَذَا إِنَّ الْقِرَاءَةَ عِنْدَالْقَبْرِ بِدْعَةٌ!  : นี่แน่ะคุณ,  การอ่านอัล-กุรฺอ่านที่กุบูรเป็นบิดอะฮ์นะ! ...
อ.อัชอะรีย์จะอธิบายในเรื่องนี้อย่างไรไม่ทราบ ? ...
ข.  การ “คัดค้านหรือห้าม” เมื่อเห็นผู้กระทำสิ่งที่เป็นปัญหาขัดแย้ง กับ “การเสนอแนะข้อเท็จจริงตามหลักวิชาการในปัญหาขัดแย้ง” เหมือนกันหรือแตกต่างกัน ? ...
หากตอบว่า  การเขียนวิเคราะห์และเสนอแนะข้อเท็จจริงตามหลักวิชาการในปัญหาขัดแย้ง กับการคัดค้านหรือห้ามผู้ที่มีทัศนะตรงกันข้าม มีความหมายเหมือนกัน  บรรดานักวิชาการเกือบทั้งหมดในอดีตก็ล้วนไม่ถูกต้องที่ไปเขียนเสนอแนะทัศนะของตนเองในปัญหาขัดแย้งใดก็ตาม  เพราะเท่ากับเป็นการคัดค้านหรือห้ามทัศนะผู้อื่นที่ขัดแย้งกับตนเองว่าไม่ถูกต้อง ตามมุมมองนี้ ...
แต่ถ้าหากตอบว่า ทั้งสองกรณีนั้นไม่เหมือนกัน ก็ขอบอกว่า ผมไม่เคยไปสะกิดไหล่ใครเพื่อ “คัดค้านหรือห้าม” ไม่ให้อ่านอัล-กุรฺอ่านที่กุบูรฺ -- ดังเช่นที่ท่านอิหม่ามอะห์มัดกระทำต่อชายตาบอดผู้นั้น -- แม้แต่คนเดียว .. นอกจากที่กระทำอยู่ก็คือการเขียนวิเคราะห์หลักฐานตามหลักวิชาการอย่างที่เห็นอยู่นี้เท่านั้น ...

-------------------------------------------

ดูเหมือนว่า ที่ อ.ปราโมทย์ ถามแบบนี้  เพราะคิดไปว่า บทนำที่เว็บมาสเตอร์นั้น  ได้พาดพึง อ.ปราโมทย์  แต่ในรูปการณ์แล้วไม่ใช่เช่นนั้นเลย  แต่ความจริงเว็บมาสเตอร์พูดวิจารณ์ตำหนิลูกศิษย์ของ อ.ปราโมทย์  ที่เข้ามาด่าต่างหาก

แสดงว่า อ.ปราโมทย์  ยังไม่เข้าใจรูปการณ์ของคำพูดเป็นแน่แท้  :o
اللهم صل علي سيدنا محمد وعلي آل محمد وصحبه وسلم

ออฟไลน์ คะลัคคะลุย

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 670
  • เรื่อยไป
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
อ.ปราโมทย์ สาธยายว่า

ส่วนข้ออ้างที่ว่า “นักวิชาการส่วนมากหรือมีมติ(อิจญมาอฺ)ผ่อนปรนให้ให้ปฏิบัติหะดีษเฎาะอีฟได้” .. ทำไม อ.อัชอะรีย์ไม่บอกให้ชัดเจนด้วยว่าหะดีษเฎาะอีฟที่นักวิชาการส่วนมากผ่อนปรนให้ปฏิบัติได้นั้น เฎาะอีฟในลักษณะไหน ? .. เฎาะอีฟในเรื่องใด ?.. และที่ว่าปฏิบัติได้นั้น มีเงื่อนไขอย่างไร ? ...
ผมขออธิบายในกรณีนี้ดังนี้ ...
นักวิชาการมีทัศนะขัดแย้งกันในเรื่อง “การปฏิบัติ” ตามหะดีษเฎาะอีฟเป็น 3 ทัศนะ (ดังระบุในหนังสือ “กอวาอิด อัต-ตะห์ดีษ”  หน้า 113) คือ ...
ทัศนะที่หนึ่ง หะดีษเฎาะอีฟทุกบท --ไม่ว่าเรื่องหุก่มต่างๆหรือเรื่องฟะฎออิลุ้ลอะอฺมาล – ห้ามนำมาปฏิบัติโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น ..  นี่คือทัศนะของท่านยะห์ยา บินมะอีน,  ท่านอบูบักรฺ อิบนุลอะรอบีย์,  ท่านอิบนุหัสม์,  และตามรูปการณ์แล้วน่าจะเป็นทัศนะของท่านบุคอรีย์และท่านมุสลิมด้วย ...
ทัศนะที่สอง หะดีษเฎาะอีฟทุกบท – ไม่ว่าเรื่องหุก่มต่างๆหรือเรื่องฟะฎออิลุ้ลอะอฺมาล – สามารถนำมาปฏิบัติได้โดยปราศจากเงื่อนไข ...
ท่านอัส-สะยูฏีย์อ้างว่า นี่คือทัศนะของท่านอบูดาวูดและท่านอิหม่ามอะห์มัด ...
หมายเหตุ
โปรดเข้าใจด้วยว่า คำว่า “หะดีษเฎาะอีฟ” ตามทัศนะของท่านอิหม่ามอะห์มัดในที่นี้ หมายถึง “หะดีษหะซัน” หรือหะดีษที่สวยงามตามคำกล่าวของท่านอัต-ติรฺมีซีย์ มิใช่หะดีษเฎาะอีฟตามมุมมองของนักวิชาการท่านอื่นๆ ...
นี่คือคำอธิบายของท่านอิบนุตัยมียะฮ์ในหนังสือ “มินฮาจญ์ อัส-ซุนนะฮ์”  ดังการอ้างอิงในหนังสือ “กอวาอิด อัต-ตะห์ดีษ” ของท่านอัล-กอซิมีย์ หน้า 118 ...
ทัศนะที่สาม .. เป็นทัศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่ .. ถือว่า อนุญาตให้นำหะดีษเฎาะอีฟมาปฏิบัติในเรื่องฟะฎออิลุ้ลอะอฺมาล, เรื่องบาปบุญ,  เรื่องสนับสนุนให้ทำความดีและสำทับให้หวาดกลัวจากการทำความชั่วได้ โดยมีเงื่อนไข (ดังมีระบุในหนังสือ “กอวาอิด อัต-ตะห์ดีษ” หน้า 116 และหนังสือหะดีษอื่นๆแทบทุกเล่ม) ดังนี้ ...
1. หะดีษนั้นจะต้องไม่เฎาะอีฟมากเกินไป ...
2. หะดีษนั้น จะต้องอยู่ภายใต้พื้นฐานแห่งการปฏิบัติอยู่ก่อนแล้ว (หมายถึงมีหะดีษที่เศาะเหี๊ยะฮ์ในเรื่องนั้นมายืนยันไว้แล้ว) และ ...
3. จะต้องไม่ยึดมั่นขณะปฏิบัติว่า หะดีษนั้นเป็นหะดีษที่แน่นอนหรือถูกต้อง  แต่ให้ยึดมั่นว่า เป็นการปฏิบัติ “เผื่อๆ” เท่านั้น ...
นอกจากเงื่อนไข 3 ประการข้างต้นแล้ว ท่านอิบนุหะญัรฺ อัล-อัสเกาะลานีย์ยังได้เสนอเงื่อนไขเพิ่มเติมอีกว่า ...
     أُشْتُهِرَ أَنَّ أَهْلَ الْعِلْمِ يَتَسَاهَلُوْنَ فِىْ إِيْرَادِ اْلأَحَادِيْثِ فِى الْفَضَائِلِ وَإِنْ كَانَ فِيْهَا ضَعْفٌ مَالَمْ تَكُنْ مَوْضُوْعَةً، وَيَنْبَغِىْ مَعَ ذَلِكَ إِشْتِرَاطُ أَنْ يَعْتَقِدَ الْعَامِلُ كَوْنَ ذَلِكَ الْحَدِيْثِ ضَعِيْفًا! وَأَنْ لاَ يُشْهِرَ ذَلِكَ لِئَلاَّ يَعْمَلَ الْمَرْءُ بِحَدِيْثٍ ضَعِيْفٍ فَيُشَرِّعَ مَالَيْسَ بِشَرْعٍ،   أَوْ يَرَاهُ بَعْضُ الْجُهَّالِ فَيَظُنَ أَنَّهُ سُنَّةٌ صَحِيْحَةٌ،   وَقَدْ صَرَّحَ بِمَعْنىَ ذَلِكَ اْلأُسْتَاذُ أَبُوْ مُحَمَّدِ بْنُ عَبْدِالسَّلاَمِ وَغَيْرُهُ،  وَلْيَحْذَرِالْمَرْءُ مِنْ دُخُوْلِهِ تَحْتَ قَوْلِهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ   ....  "مَنْ حَدَّثَ عَنِّىْ بِحَدِيْثٍ يُرَى أَنَّهُ كَذِبٌ فَهُوَ أَحَدُ الْكَاذِبَيْنِ" .. فَكَيْفَ بِمَنْ عَمِلَ بِهِ ؟! وَلاَ فَرْقَ فِىْ الْعَمَلِ بِالْحَدِيْثِ فِى اْلأَحْكَامِ أَوْ فِى الْفَضَائِلِ إِذِالْكُلُّ شَرْعٌ! 
“เป็นที่รู้กันอย่างแพร่หลายว่า นักวิชาการได้ผ่อนปรนให้บอกเล่าหะดีษในเรื่องของฟะฎออิลุ้ลอะอฺมาลได้ แม้ในมันจะมีความเฎาะอีฟอยู่บ้างก็ตามตราบใดที่มันมิใช่หะดีษเก๊  เกี่ยวกับเรื่องนี้ สมควรมีเงื่อนไขด้วยว่า ผู้ปฏิบัติจะต้องยึดมั่นว่าหะดีษบทนั้นเป็นหะดีษเฎาะอีฟ และการปฏิบัติดังกล่าวจะต้องไม่ทำให้แพร่หลายด้วย! ทั้งนี้ก็เพื่อมิให้บุคคลใดนำหะดีษเฎาะอีฟมาปฏิบัติจนเป็นสาเหตุให้เขา(ได้ชื่อว่า) เป็นผู้ตราบทบัญญัติในสิ่งที่มันมิใช่เป็นบทบัญญัติ หรืออาจจะมีผู้ไม่รู้บางคนมาเห็น(การกระทำของ)เขาแล้วเลยเข้าใจว่ามันคือซุนนะฮ์ที่ถูกต้อง .. แน่นอน ความหมายดังที่กล่าวมานี้ ท่านอุซตาซอบูมุหัมมัด อิบนุอับดิสสลามและนักวิชาการท่านอื่นๆได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนแล้ว  และบุคคลผู้นั้น(คือผู้ปฏิบัติตามหะดีษเฎาะอีฟ) ก็พึงระวังให้จงหนักจากการล่วงล้ำเข้าสู่ภายใต้คำกล่าวท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมที่ว่า .. “ผู้ใดอ้างรายงานจากฉัน ด้วยหะดีษใดที่ถูกมองว่ามันเป็นท็จ เขาก็คือหนึ่งจากสองที่ร่วมกันกล่าวเท็จ” .. (ขนาดผู้อ้างรายงานหะดีษเฎาะอีฟยังต้องระวังขนาดนี้) แล้วผู้ที่ปฏิบัติมันล่ะ จะ(ต้องระวัง)สักขนาดไหน ?  และไม่มีข้อแตกต่างอันใดในระหว่างการปฏิบัติตามหะดีษในเรื่องหุก่มต่างๆหรือเรื่องฟะฎออิลุ้ลอะอฺมาล เพราะทั้งหมดคือบทบัญญัติเหมือนกัน” ...
(โปรดดูหนังสือ  “تَبْيِيْنُ الْعَجَبِ بِمَا وَرَدَ فِىْ فَضْلِ رَجَبَ”  ของท่านอิบนุหะญัรฺหน้า 3-4) ...
คำกล่าวของท่านอิบนุหะญัรฺที่ว่า .. “ไม่มีข้อแตกต่างอันใดในระหว่างการปฏิบัติตามหะดีษในเรื่องหุก่มต่างๆหรือเรื่องฟะฎออิลุ้ลอะอฺมาล เพราะทั้งหมดคือบทบัญญัติเหมือนกัน” .. แสดงว่า “แนวโน้ม” ของท่านอิบนุหะญัรฺในเรื่องนี้ก็คือ ไม่อนุญาตให้นำหะดีษเฎาะอีฟมาปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหุก่มหรือเรื่องฟะฎออิลุ้ลอะอฺมาล  ...
สำหรับนักวิชาการที่มีทัศนะว่า อนุโลมให้นำหะดีษเฎาะอีฟมาปฏิบัติในเรื่องฟะฎออิลุ้ลอะอฺมาลได้  ท่านอิบนุหะญัรฺก็ได้กำหนดเงื่อนไขในการปฏิบัติไว้หลายประการดังกล่าวมาแล้ว ...

---------------------------------

อ.ปราโมทย์  อธิบายเรื่องหลักฮะดีษฎออีฟมายืดยาวเลย  แล้วถามบังอัซฮะรีว่า  "ทำไม อ.อัชอะรีย์ไม่บอกให้ชัดเจนด้วยว่าหะดีษเฎาะอีฟที่นักวิชาการส่วนมากผ่อนปรนให้ปฏิบัติได้นั้น เฎาะอีฟในลักษณะไหน ? "

แต่จากรูปการณ์แล้วปรากฏว่า  เรื่องหลักฮะดีษฎออีฟนั้น  เว็บมาสเตอร์ต้องการนำเสนอแบบสรุปๆย่อๆ  โดยทิ้งท้ายอ้างอิงว่า   ดูรายละเอียดจุดยืนปราชญ์สะลัฟที่มีต่อฮะดีษฎออีฟได้ที่นี่!

เพื่อจะได้กลับไปดูรายละเอียด  แต่ปรากฏว่า อ.ปราโมทย์ ไม่ได้กลับไปดูรายละเอียด  เพราะลูกศิษย์หัวแก้วหัวแหวน  ปริ้นบทวิภาษไปให้ อ.ปราโมทย์  โดยปริ้นติดแค่ประโยคที่ว่า  "ดูรายละเอียดจุดยืนปราชญ์สะลัฟที่มีต่อฮะดีษฎออีฟได้ที่นี่"  จึงทำให้ อ.ปราโมทย์ไม่รู้เรื่องอะไรว่า  ทางนี้เขาชี้แจงรายละเอียดไปแล้ว

เรื่องมันก็เลย เอวัง   fouet:
اللهم صل علي سيدنا محمد وعلي آل محمد وصحبه وسلم

ออฟไลน์ คะลัคคะลุย

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 670
  • เรื่อยไป
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
อ.ปราโมทย์  ว่าต่อ

ผมขอยืนยันอีกครั้งว่า การอ่านยาซีนหรืออ่านอัล-กุรฺอ่านบทใดที่กุบูรฺ ไม่ใช่เป็นซุนนะฮ์และไม่มีหะดีษมัรฺฟูอฺที่ถูกต้องแม้แต่บทเดียวจากท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมมายืนยันไว้ .. ดังจะได้ชี้แจงความเข้าใจผิดในเรื่องนี้ของ อ.อัชอะรีย์ต่อไป ...

------------------------------

เอาเข้าไป  ทางเว็บมาสเตอร์  เขาพูดถึงเรื่องอนุญาต(ยาอิซฺ)อ่านอัลกุรอานที่กุบูร  แต่ อ.ปราโมทย์ คิดเข้าใจไปเองว่า  เว็บมาสเตอร์ยืนยันว่านบียืนยันเรื่องการอ่านอัลกุรอานหรือยาซีนที่กุบูร  ก็เลยยัดเยียดคำพูดใส่คนเว็บมาสเตอร์ไป 

แสดงว่า อ.ปราโมทย์  ไม่รู้เรื่องว่าวิภาษของเว็บมาสเตอร์เขาพูดเรื่องอะไร ฮุกุ่มอะไร  fouet:
اللهم صل علي سيدنا محمد وعلي آل محمد وصحبه وسلم

ออฟไลน์ คะลัคคะลุย

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 670
  • เรื่อยไป
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
อ.ปราโมทย์พยายามแก้ต่างว่า

3.2 เรื่องที่ว่า .. การอ่านอัล-กุรฺอ่านที่กุบูรฺหรือเพื่ออุทิศผลบุญให้ผู้ตายต้องมีหลักฐานเจาะจง .. นั้น ไม่ใช่ผมอ้างกฎเกณฑ์ข้างต้นเพื่อบอก “เป็นนัย” หรอก  แต่นักวิชาการในอดีตจำนวนมาก อาทิเช่น ท่านอิหม่ามอะห์มัด, ท่านอิบนุ้ลก็อยยิม,  ท่านอัล-ค็อฏฏอบีย์,  ท่านอัล-มุนาวีย์,  ท่านอิหม่ามชาฟิอีย์,  ท่านอิซซุดดีน อิบนุอับดิสสลาม,  ท่านอิบนุกะษีรฺ  เป็นต้น และนักวิชาการในยุคปัจจุบันอีกเยอะแยะที่กล่าว “อย่างชัดเจน” ว่า การอ่านอัล-กุรฺอ่านที่กุบูรฺเป็นบิดอะฮ์,  เป็นเรื่องต้องห้าม,  หรือ การอ่านอัล-กุรฺอ่านนั้นอุทิศผลบุญไม่ถึงผู้ตาย .. ซึ่งแสดงว่า พวกท่านมองว่า “หลักฐานเจาะจง” ในเรื่องนี้ไม่มี จึงได้หุก่มออกมาอย่างนี้ .. ดังจะถึงต่อไปในข้อที่ (4) ...
3.3  ส่วนการที่ อ.อัชอะรีย์พยายามอธิบายว่า สิ่งที่เรียกว่า “หลักฐาน” ย่อมมีทั้งหลักฐานแบบกว้างๆและหลักฐานแบบจำกัด ฯลฯ.. พร้อมกับนำตัวอย่างสิ่งที่เป็นหลักฐานกว้างๆบางอย่างมาประกอบคำอธิบายเพื่อต้องการยืนยันว่า การอ่านอัล-กุรฺอ่านที่กุบูรฺ หรือเพื่ออุทิศผลบุญให้ผู้ตายนั้น มี “หลักฐานกว้างๆ” รองรับ ซึ่ง อ.อัชอะรีย์คงจะหมายถึงหลักฐานส่งเสริมให้อ่านอัล-กุรฺอ่านที่มีอยู่หลายสิบบท, หรือเรื่องท่านนบีย์ไปนมาซมัยยิตที่กุบูรฺนั่นเอง ...
ผมขอเรียนว่า ประเด็นเรื่องหลักฐานกว้าง-หลักฐานแคบอะไรที่ว่านี้ ไม่มีใครปฏิเสธหรอก  และก็ใช่ว่าจะมี อ.อัชอะรีย์เพียงผู้เดียวที่รู้เรื่องนี้ ...
เพราะผู้ที่เคยเรียนวิชาอุศูลุลฟิกฮ์มาบ้างย่อมเข้าใจกันทุกคนแหละ ...
แต่ปัญหาก็คือ อ.อัชอะรีย์รู้หรือเปล่าว่า เรื่องการอ่านอัล-กุรฺอ่านให้ผู้ตาย – ไม่ว่าที่กุบูรฺหรือที่บ้าน -- ไม่ใช่เป็นเรื่องของ “หลักฐานกว้างๆ” ดังความเข้าใจของ อ.อัชอะรีย์  แต่เป็นเรื่องของสิ่งที่เรียกกันว่า نَصٌّ (นัศ) หรือ “หลักฐานที่ชัดเจน” ของมัน ...
ท่านอิบนุกะษีรฺ ได้กล่าวในหนังสือ “ตัฟซีรฺอิบนุกะษีรฺ” เล่มที่ 4 หน้า 276 อันเป็นการอธิบายเรื่อง “การอุทิศผลบุญไม่ถึงผู้ตาย” ว่า ...
     وَبَابُ الْقُرَبَاتِ يُقَتَصَرُ فِيْهِ عَلَى النُّصُوْصِ  فَلاَ يُتَصَرَّفُ فِيْهِ بِأَنْوَاعِ اْلأَقْيِسَةِ وَاْلآرَاءِ
“เรื่องของสิ่งที่จะทำให้ใกล้ชิดอัลลอฮ์ (ผลบุญ) นั้น จะต้องจำกัดตาม نَصٌّ (ตัวบทชัดเจน) เท่านั้น,  จะนำเรื่องนี้ไปปรับเปลี่ยนโยกย้ายตามการกิยาสในรูปแบบต่างๆหรือแนวคิดใดๆหาได้ไม่” ...
หากผมจะถาม อ.อัชอะรีย์ว่า เข้าใจคำว่า “نَصٌّ” หรือไม่? ก็คงจะเป็นการเอา         ”มะพร้าวสด” ไปขายสวน ...
จึงขออธิบายแก่ท่านผู้อ่านอื่นๆ (ที่ยังไม่รู้) ว่า ...
คำว่า “نَصٌّ” นี้  ท่านอิบนุ้ลอะษีรฺได้ให้คำจำกัดความไว้ในหนังสือ “อัน-นิฮายะฮ์ ฟีเฆาะรีบิ้ลหะดีษ”  เล่มที่ 4 หน้า 65 ว่า ...
                          مَا دَلَّ ظَاهِرُ لَفْظِهِ عَلَيْهِ مِنَ اْلأَحْكَامِ
“คือ หุก่มต่างๆซึ่งปรากฏชัดเจนจากการบ่งชี้ของถ้อยคำของมัน” ...
ส่วนในหนังสือปทานุกรม “อัล-มุอฺญัม อัล-วะซีฏ”  เล่มที่ 2 หน้า 926 กล่าวอธิบายว่า ...
             اَلنَّصُّ مَا لاَ يَحْتَمِلُ إِلاَّ مَعْنىً وَاحِدًا،  أَوْ لاَ يَحْتَمِلُ التَّأْوِيْلَ
“นัศ ก็คือ สิ่งซึ่งไม่สามารถจะตีความ(เป็นอย่างอื่น)ได้นอกจากเพียงความหมายเดียว,  หรือสิ่งซึ่งไม่สามารถจะตะอ์วีล(แปรเปลี่ยนความหมาย)) เป็นอย่างอื่นได้” ...
รวมความแล้ว คำว่า “นัศ” (ที่เป็นหลักฐานเรื่องผลบุญ)จึงไม่ได้หมายถึง “หลักฐานกว้างๆ” .. ดังตัวอย่างต่างๆที่ อ.อัชอะรีย์นำมาอ้างหลายหน้ากระดาษ ...
  แต่คำว่า “นัศ” จะหมายถึง “หลักฐานที่ชัดเจนที่ไม่สามารถจะตีความเป็นอย่างอื่นได้” .. อาทิเช่น “นัศ” เรื่องการอ่านอัล-กุรฺอ่านเพื่ออุทิศผลบุญให้ผู้ตาย,  “นัศ” เรื่องการจัดเลี้ยงอาหารเพื่อส่งบุญให้ผู้ตาย เป็นต้น ...
จะเห็นได้ว่า แม้กระทั่งนักวิชาการในอดีต – ทุกท่าน – ที่มีทัศนะตรงกับ อ.อัชอะรีบ์ ก็ไม่ปรากฏว่าจะมีท่านใดอ้าง “หลักฐานกว้างๆ” เรื่องการอ่านอัล-กุรฺอ่าน หรืออ้างหะดีษเศาะเหี๊ยะฮ์เรื่อง “ท่านนบีย์นมาซมัยยิตที่กุบูรฺ” มาเป็นหลักฐานเรื่อง “อ่านอัล-กุรฺอ่านให้ผู้ตายได้” เหมือนการอ้างของ อ.อัชอะรีย์แม้แต่คนเดียว ... 
ตรงกันข้าม พวกท่านกลับอ้าง “นัศ” .. คือ “หะดีษ” ที่กล่าวอย่างชัดเจนเรื่องการอ่านอัล-กุรฺอ่านให้ผู้ตาย แทนที่จะอ้างหลักฐานกว้างๆหรือหะดีษเศาะเหี๊ยะฮ์บทนั้นเหมือน อ.อัชอะรีย์ ...
แม้ว่าหะดีษเรื่องการอ่านอัล-กุรฺอ่านให้ผู้ตายดังกล่าวจะเป็นหะดีษเฎาะอีฟ (ดังการยอมรับของท่านอัส-สะยูฏีย์ในหนังสือ “ชัรฺหุศ ศุดูรฺ” หน้า 311) ก็ตาม ...
ก็ไม่ทราบว่า บรรดานักวิชาการเหล่านั้นท่าน “ลืม” นึกถึง “หลักฐานกว้างๆ” เรื่องส่งเสริมให้อ่านอัล-กุรฺอ่าน, .. และลืมนึกถึง “หะดีษเศาะเหี๊ยะฮ์” เรื่องท่านนบีย์นมาซมัยยิตในกุบูรฺ หรืออย่างไร ? ...
หรือมิฉะนั้นก็เป็นไปได้ว่า  วิชาความรู้ของพวกท่านคงจะยัง “ไม่ถึงขั้น” และยัง “ไม่แตกฉาน” พอในวิชาอุศูลุลฟิกฮ์เหมือน อ.อัชอะรีย์ ??? ...
อีกประการหนึ่ง ในกรณีของหลักฐานกว้างๆนั้น มีหลายกรณีที่เราจำเป็นจะต้องดูการอธิบาย (บะยาน) จาก “การปฏิบัติ” ของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมประกอบด้วย ว่าความ “กว้าง” ของมันมีขอบเขตแค่ไหน  เพราะการ “ตีความ" เอาเองจากหลักฐานกว้างๆโดยพลการ อาจจะนำเราเข้ารกเข้าพงได้ ดังตัวอย่างที่จะถึงต่อไป ...

-----------------------------------

ไปกันคนละเรื่องกันเลยครับ  เว็บมาสเตอร์พูดเรื่องหลักฐาน (ดะดีล) แล้วทำการชี้แจงหลักฐาน(ดะเล้ล)ประเภทต่างๆ  มาประกอบในเรื่องการระงับปฏิบัตนอกจากมีหลักฐาน  โดยพูดว่า "หากผมจะถาม อ.อัชอะรีย์ว่า เข้าใจคำว่า “نَصٌّ” หรือไม่?"  แล้วบอกอีกว่า "

แต่คำพูดที่เว็บมาสเตอร์อธิบายในเรื่องการระงับปฏิบัตินอกจากมีหลักฐานมารับรองนั้น  โดยอธิบายถ้อยคำของหลักการที่ว่า

ท่านอิมามอัชชาฎิบีย์กล่าวเช่นกันว่า

اَلأَصْلُ فِي العِبَادَاتِ عَدَمُ الإِقْدَامِ عَلَيْهَا إِلاَّ بِدَلِيْلٍ

"พื้นฐานเดิมในเรื่องอิบาดะฮ์นั้น  ไม่ให้ย่างก้าวเข้าไปกระทำมัน นอกจากด้วยหลักฐาน" หนังสืออัลมุวาฟะก็อต

ซึ่งเขาพูดกันด้วยคำว่า หลักฐาน  دَلِيْلٍ ไม่ใช่نص นัส  แต่อ่านๆ ดู อ.ปราโมทย์  ก็เอ่ยการยกตัวอย่างของเว็บมาสเตอร์จากทัศนะการปฏิบัติในเรื่องอิบาดะฮ์จากปราชญ์ที่ อ.ปราโมทย์ชื่นชอบ  เช่นท่านอะห์มัด  ท่านอิบนุตัยมียะฮ์  ท่านอิบนุก็อยยิม

ซึ่งตัวอย่างทัศนะต่อไปนี้ท่านนบีไม่ได้ทำ  และไม่มีนัสมาระบุสั่งใช้ให้เจาะจงปฏิบัติเลย  แต่ปราชญ์ที่ อ.ปราโมทย์ชื่นชอบ  ไม่มีความเข้าใจหลักการปฏิบัติอิบาดะฮ์เหมือน อ.ปราโมทย์เลยอะน่ะ 

พี่น้องอ่านดูดังนี้ครับ

ตัวอย่างที่หนึ่ง

ท่าน อบู นุอัยม์ ได้รายงานไว้ว่า

وَكَانَ لِأَبِىْ هُرَيْرَةَ رَضِىَ اللهُ عَنْهُ خَيْطٌ فِيْهِ أَلْفُ عُقْدَةٍ لاَ يَنَامُ حَتَّى يُسَبِّحُ بِهِ

"ท่านอบูหุรอยเราะฮ์(ร.ฏ.) มีเชื่อกที่มีหนึ่งพันปุ่ม เขาจะไม่นอน จนกว่าจะทำการตัสบีห์ด้วยกับมัน(พันครั้ง)" หนังสือฮิลยะตุลเอาลิยาอฺ 1/383

การตัสบีห์นั้นมีหลักฐานของศาสนาแบบกว้าง ๆ ได้รับรองไว้  แต่จะทำการตัสบีห์ 1000 ครั้งก็กระทำได้ซึ่งเป็นรูปแบบกว้าง ๆ ที่ไม่ขัดกับหลักศาสนา  แม้ว่าท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ไม่เคยกำหนดเจาะไว้ก็ตาม

ตัวอย่างที่สอง

ท่านอัซซะฮะบีย์ กล่าวไว้ใน หนังสือ ซิยัร อะลาม อันนุบะลาอ์ว่า

قَالَ عَبْدُ اللهِ بْنُ الِإمَامِ أَحْمَدَ بْنِ حَنْبَلَ : كَانَ أَبِىْ يُصَلِّىْ كُلَّ يَوْمٍ ثَلَاثَمِائَةِ رَكَعَةٍ ، فَلَمَّا مَرِضَ مِنْ تِلْكَ الأَسْوَاطِ أَضْعَفَتْهُ فَكَانَ يُصَلِّىْ كُلَّ يَوْمٍ وَلَيْلَةٍ مِئَةً وَخَمْسِيْنَ رَكَعَةً

"ท่านอับดุลเลาะฮ์ บุตร ท่านอิมามอะหฺมัดบินหัมบัล กล่าวว่า บิดาของฉันเคยละหมาด 300 ร่อกะอัต ในทุกวัน แต่เมื่อขณะที่ท่านป่วยจากการถูกโบยดังกล่าวนั้น  ทำให้ท่านสุขภาพอ่อนแอลง  ดังนั้นท่านจึงทำการละหมาดเพียง 150 ร่อกะอัต ในหนึ่งวันและหนึ่งคืน" ดู ซิยัร อะลาม อันนุบะลาอ์ เล่ม 11 หน้า 212

การละหมาดสุนัตมีหลักฐานจากศาสนามารับรองแบบกว้าง ๆ   แต่รูปแบบการละหมาดโดยกำหนดหรือจำกัด 300 ร่อกะอัต  หรือจำกัด 150 ร่อกะอัตนั้น  เป็นรูปแบบที่ไม่ขัดกับหลักศาสนา  แม้ว่าท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ไม่ได้เคยระบุเจาะจงไว้ก็ตาม

ตัวอย่างที่สาม

ท่านอิบนุตัยมียะฮ์ฟัตวาไว้ว่า

إِذَا هَلَّلَ الإِنْسَانُ هَكَذَا : سَبْعُوْنَ اَلْفاً، أَوْ أَقَلَّ أَوْ أَكْثَرَ وَأُهْدِيَتْ إِلِيْهِ نَفَعَهُ اللهُ بِذَلِكَ، وَلَيْسَ هَذَا حَدِيْثاً صَحِيْحاً وَلَا ضَعِيْفاً

"เมื่อคนหนึ่งได้ทำการกล่าว ตะฮ์ลีล(ลาอิลาฮะอิลลัลเลาะฮ์) เช่นนี้70000 ครั้ง หรือน้อยกว่านั้น หรือมากกว่านั้น แล้ว(การตะลีล)ดังกล่าวก็ถูกฮะดียะฮ์ให้แก่มัยยิด แน่นอนอัลเลาะฮ์จะทรงให้(ผลบุญการตะฮ์ลีล)ดังกล่าวมีผลประโยชน์แก่มัยยิด และหะดิษดังกล่าว(ที่มาระบุเจาะจงให้ตะฮ์ลีลเจ็ดหมื่นครั้ง)นั้น ไม่ใช่หะดิษที่ซอฮิหฺ และฏออีฟ" ดู ฟาตาวา อิบนุตัยมียะฮ์ เล่ม24 หน้า 301

การที่บุคคลหนึ่งกล่าวลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ์นั้น  มีหลักฐานมารับรองแบบกว้าง ๆ   ส่วนจะกล่าวกี่ครั้งนั้นเป็นรูปแบบกว้าง ๆ ที่จะกล่าวเจ็ดหมื่นครั้ง  มากกว่านั้นหรือน้อยกว่านั้นก็ได้  ถือว่าไม่ขัดกับหลักศาสนา  แม้ไม่มีตัวบทมารับรองเจาะจงก็ตาม  ดังนั้นสิ่งที่ไม่ขัดกับหลักศาสนาหรือตัวบท  ย่อมไม่เป็นสิ่งต้องห้ามแต่ประการใด 

ตัวอย่างที่สี่

ท่านอิบนุก็อยยิม  ศิษย์เอกของท่านอิบนุตัยมียะฮ์  ได้กล่าวว่า

 وَاخْتَلَفُوْا فِي العِبَادَةِ البَدَنِيَّةِ كَالصَّوْمِ وَالصَّلاَةِ وَقِرَاءَةِ القُرْآنِ وَالذِّكْرِ فَمَذْهَبُ الإِمَامِ أَحْمَدَ وَجُمْهُوْرِ السَّلَفِ وُصُوْلُهَا وَهُوَ قَوْلُ بَعْضِ أَصْحَابِ أَبِى حَنِيْفَةِ نَصَّ عَلىَ هَذَا الِإمَامُ أَحْمَدُ فِيْ رِوَايَةِ مُحَمَّدِ بْنِ يَحْيىَ الْكَحَّالِ قَالَ قِيْلَ لِأَبِىْ عَبْدِ اللهِ الرَّجُلُ يَعْمَلُ الشَّيْءَ مِنَ الخَيْرِ مِنْ صَلاَةٍ أَوْ صَدَقَةٍ أَوْ غَيْرِ ذَلِكَ فَيَجْعَلُ نِصْفَهُ لِأَبِيْهِ أَوْ لِأُمِّهِ قَالَ أَرْجُوْ أَوْ قَالَ الْمَيِّتُ يَصِلُ إِلِيْهِ كُلُّ شَيْءٍ مِنْ صَدَقَةٍ أَوْ غَيْرِهَا وَقَالَ أَيْضاً اِقْرَأْ آَيَةَ الْكُرْسِيِّ ثَلاَثَ مَرَّاتٍ وَقُلْ هُوَ اللهُ أَحَدٌ وَقُلِ اللَّهُمَّ إِنْ فَضْلَهُ لِأَهْلِ المَقَابِرِ

ท่าน อิบนุก๊อยยิม  ได้กล่าวไว้เช่นกันว่า  "บรรดานักปราชญ์ได้ขัดแย้งเกี่ยวกับอิบาดะฮ์ที่กระทำด้วยร่างกาย  เช่น  การถือศีลอด  การละหมาด   การอ่านอัลกุรอาน  และการซิกรุลลอฮ์   ท่านอิมามอะห์มัด  และปราชญ์สะลัฟส่วนมาก  มีทัศนะว่า  ผลบุญการถือศีลอด  การละหมาด  การอ่านอัลกุรอาน  การซิกรุลลอฮ์  นั้นถึงผู้ตาย  และมันยังเป็นทัศนะบางส่วนของสานุศิษย์อิมามอบูหะนีฟะฮ์  และท่านอิมามอะห์มัดได้กล่าวระบุไว้ในสายรายงานของมุฮัมมัด บิน อะห์มัด  อัลกะห์ฮาล  เขากล่าวว่า  "ได้กล่าวถามแก่ท่านอบีอับดิลลาฮ์ (คือท่านอิมามอะห์มัด) ว่า  ชายคนหนึ่งได้กระทำความดี  จากการละหมาด  การซอดาเกาะฮ์  และอื่น ๆ   แล้วมอบผลบุญครึ่งหนึ่งให้แก่บิดาหรือมารดาของเขา  ท่านอิมามอะห์มัดตอบว่า  "ฉันหวัง(ว่าผลบุญนั้นถึงมัยยิด)"  หรือท่านอิมามอะห์มัดกล่าวว่า "ทุก ๆ สิ่งจากการซอดาเกาะฮ์และอื่น ๆ นั้น  ผลบุญจะถึงแก่มัยยิด"  และท่านอิมามอะห์มัดกล่าวเช่นเดียวกันว่า "ท่านจงอ่านอายะฮ์กุรซีย์ 3 ครั้ง  ท่านกุลฮุวัลลอฮุอะฮัด  และท่านจงกล่าวว่า  "โอ้ผู้อภิบาลแห่งข้า  ความดีงามของมันนั้น  มอบแด่บรรดาชาวกุบูร"    หนังสือ  อัรรั๊วะห์  ของท่านอิบนุก๊อยยิม  1/117

ท่านอิมามอะห์มัดใช้ให้ชายคนหนึ่งอ่านอัลกุรอาน  เช่น อายะฮ์อัลกุรซีย์และอ่านกุลฮุวัลลอฮุอะฮัด เพราะมีหลักฐานเดิมที่ใช้ให้อ่านอัลกุรอาน  ส่วนรูปแบบให้อ่าน 3 ครั้ง  และขอดุอาต่ออัลเลาะฮ์ฮะดียะฮ์ผลบุญแก่ผู้ล่วงลับในกุบูรนั้น  ไม่ขัดกับหลักศาสนา  ยิ่งกว่านั้นยังถูกรับรองจากหลักฐานของศาสนาตามนัยยะแบบกว้าง ๆ ว่าผลบุญจะถึงบรรดาผู้ล่วงลับไปแล้ว 

ตัวอย่างที่ห้า

ท่านอิบนุก็อยยิมได้กล่าวไว้เช่นกันว่า

فَإِنْ قِيْلَ هَذَا لَمْ يَكُنْ مَعْرُوْفاً عَنِ السَّلَفِ وَلاَ أَرْشَدَهُمْ إِلَيْهِ النَّبِيُّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ، فَالْجَوَابُ: إِنْ كَانَ مُوْرِدُ هَذَا السُّؤَالِ مَتَعَرِّفاً بِوُصُوْلِ ثَوَابِ الحَجِّ وَالصِّيَامِ وَالدُّعَاءِ، قِيْلَ لَهُ: مَا الفَرْقُ بَيْنَ ذَلِكَ وَبَيْنَ وُصُوْلِ ثَوَابِ القِرَاءَةِ؟ وَلَيْسَ كَوْنُ السَّلَفِ لَمْ يَفْعَلُوْهُ حُجَّةً فِيْ عَدَمِ الْوُصُوْلِ!! وَمِنْ أَيْنَ لَنَا هَذَا النَّفْيُ الْعَامُّ؟!

ً"หากถามว่า  การอ่านอัลกุรอานฮะดียะฮ์ผลบุญให้ผู้ตายนั้น  ไม่เป็นที่รู้กันจากสะลัฟและท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมก็ไม่ได้แนะนำพวกเขาไว้  คำตอบก็คือ  หากผู้ที่นำคำถามนี้มา  ได้ยอมรับว่าผลบุญการทำฮัจญ์ , การถือศีลอด , และการขอดุอาอ์ , นั้นถึงไปยังผู้ตาย  ก็ขอกล่าวตอบแก่เขาว่า  อะไรคือข้อแบ่งแยก(หรือความแตกต่าง)ระหว่างสิ่งดังกล่าวกับผลบุญการอ่านอัลกุรอานถึงผู้ตาย? และการที่สะลัฟไม่เคยกระทำมันนั้นมิใช่เป็นหลักฐานว่าผลบุญไม่ถึงผู้ตาย  และแล้วจากใหนล่ะ(หลักฐาน)ที่มาปฎิเสธ(ห้าม)แบบโดยรวมต่อพวกเรา?! " หนังสืออัรรั๊วะห์ 1/143

ท่านอิบนุก็อยยิมได้กล่าวว่า  การอ่านอัลกุรอ่านฮะดียะฮ์ผลบุญแก่ผู้ตายนั้น  แม้ท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ไม่เคยกระทำ  และไม่เป็นที่รู้กัน  แต่มีหลักฐานให้ทำการอ่านอัลกุรอานและยืนยันว่าผลบุญของอิบาดะฮ์นั้นถึงแก่ผู้ตาย  ก็ถือว่าไม่เป็นบิดอะฮ์แต่ประการใด  เพราะไม่มีหลักฐานมาปฏิเสธหรือห้ามแบบโดยรวม

ตัวอย่างที่หก

ท่านอิบนุก็อยยิม  กล่าวว่า

وَمِنْ تَجْرِيْبَاتِ السَّالِكِيْنَ الَّتِيْ جَرَّبُوْهَا فَأَلِفُوْهَا صَحِيْحَةٌ : أَنَّ مَنْ أَدْمَنَ يَا حَيُّ يَاقَيُّوْمُ لاَ إِلهَ إِلَّا أَنْتَ أَوْرَثَهُ ذَلِكَ حَيَاةَ الْقَلْبِ وَالْعَقْلِ وَكَان شَيْخُ الإِسْلاَمِ ابْنُ تَيْمِيَّةَ قَدَّسَ اللهُ رُوْحَهُ شَدِيْدَ اللَهْجِ بِهَا جِدًّا وَقَالَ لِيْ يَوْمًا : لِهَذَيْنِ الاِسْمَيْنِ وَهُمَا الَحَيُّ الْقَيُّوْمُ تَأْثِيْرٌ عَظِيْمٌ فِيْ حَيَاةِ الْقَلْبِ وَكَانَ يُشِيْرُ إِلَى أَنَّهُمَا الاِسْمُ الأَعْظَمُ وَسَمِعْتُهُ يَقُوْلُ : مَنْ وَاظَبَ عَلَى أَرْبَعِيْنَ مَرَّةً كُلَّ يَوْمٍ بَيْنَ سُنَّةِ الْفَجْرِ وَصَلاَةِ الْفَجْرِ يَاحَيُّ يَاقَيُّوْمُ لاَإِلَهَ إِلاَّ أَنْتَ بِرَحْمَتِكَ أَسْتَغِيْثُ حَصَلَتْ لَهُ حَيَاةُ الْقَلْبِ وَلَمْ يَمُتْ قَلْبُهُ
 
"ส่วนหนึ่งจากบรรดาการทดสอบของนักตะเซาวุฟ  ซึ่งพวกเขาได้ทดสอบมัน  แล้วพบว่ามันเป็นความถูกต้องจริง  ก็คือผู้ใดที่บากบั่นกล่าวว่า  "ยาฮัยยุ  ยาก็อยยูม  ลาอิลาฮะอิลลา  อันต้า"  แน่นอนว่าดังกล่าวนั้นจะทำให้เขามีหัวใจและสติปัญญาที่มีชีวิตชีวา  และท่านชัยคุลอิสลาม อิบนุ ตัยมียะฮ์  ขออัลเลาะฮ์ทรงปลดเปลื้องวิญญาของท่านให้บริสุทธิ์  ได้กล่าวมันอย่างสม่ำเสมอเป็นอย่างมาก  และวันหนึ่งท่านได้กล่าวแก่ฉันว่า  ให้กับสองพระนามนี้  คือ  อัลฮัยยุ  อัลก็อยยูม  ยังผลอันยิ่งใหญ่ต่อการทำให้หัวใจมีชีวิตชีวา  และท่านได้แนะนำว่า  ทั้งสองพระนามนั้นเป็นพระนามที่ยิ่งใหญ่สุด  และฉันได้ยินท่านอิบนุตัยมียะฮ์กล่าวว่า  ผู้ใดได้กล่าวเป็นประจำถึง 40 ครั้งในทุกวันระหว่างละหมาดสุนัต(ก่อน)ซุบฮ์กับละหมาดซุบฮ์ว่า  ยาฮัยยุ  ยาก็อยยูม  ลาอิลาฮะอิลลาอันต้า บิเราะห์มะติก้า อัสตะฆีษุ  การมีชีวิตชีวาของจิตใจก็จะเกิดขึ้นแก่เขาและหัวใจของเขาจะไม่ตาย" หนังสือ มะดาริจญ์ อัสสาลิกีน 1/448

เป็นที่ทราบกันดีว่า  ไม่มีซุนนะฮ์นบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ระบุสั่งเจาะจงไว้เลยว่า  ให้ทำการกล่าวพระนามของอัลเลาะฮ์ทั้งสองถึง 40 ครั้งทุกวันระหว่างละหมาดสุนัตซุบฮ์กับละหมาดซุบฮ์  แต่อนุญาตได้กระทำได้เพราะยึดหลักฐานแบบกว้าง ๆ (มัฏลัก) ที่ส่งเสริมให้ทำการซิกิร

จากตัวอย่างที่ผมได้หยิบยกมานั้น แม้ท่านอิมามมอะห์มัดและท่านอิบนุตัยมียะะฮ์เอง  ก็ทำอิบาดะฮ์ประเภทที่ไม่มีซุนนะฮ์ของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม มาระบุรูปแบบเจาะจงให้กระทำ แต่เมื่อมีหลักฐานแบบกว้าง ๆ มารับรองแล้ว  ก็อนุญาตให้กระทำได้นั่นเอง

++++++++++++++++++++++++++++++

       จึงอยากถามง่ายๆ เลยว่า  ท่านอิบนุตัยมียะฮ์และท่านอิบนุก็อยยิม  ซิกิร 40 ครั้งโดยเจาะจงเวลาระหว่างละหมาดสุนัตก่อนฟัรดูซุบฮิกับละหมาดซุบฮิ  ทั้งที่นบีไม่ได้บอก  แล้ว นัส نص  ตามหลักการของ อ.ปราโมทย์  ก็ไม่มีมายืนยัน  แล้วตกลง อิบนุตัยมียะฮ์และท่านอิบนุก็อยยิม  เหมือนหลักการเหมือน อ.ปราโมทย์หรือเปล่า? ? ?

       อิมามมอะห์มัด บอกให้อ่าน อายะฮ์กุรซี และกุลฮุวัลลอฮ์  3  แล้วฮะดียะฮ์ผลบุญให้แก่คนตายในกุบูร  แล้วอิมามอะห์มัด  มี  นัส  ตามหลักการของ อ.ปราโมทย์ มารับรองด้วยหรอ 

       สรุปว่า ตัวอย่างเด็ดในเรื่องอิบาดะฮ์ของ  อิมามอะห์มัด  ของอิบนุตัยมียะฮ์  และอิบนุก็อยยิม ตรงนี้  อ.ปราโมทย์  อธิบายไม่ได้!!  เพราะจะไม่ค้านกับทัศนะตนเองเต็มๆ!!  ;D
اللهم صل علي سيدنا محمد وعلي آل محمد وصحبه وسلم

ออฟไลน์ คะลัคคะลุย

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 670
  • เรื่อยไป
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด

อ.ปราโมทย์ พูดหลักการของอิมามชาฟิอีย์ว่า

หลักการที่ว่า “พื้นฐานของการห้ามคือ หะรอม” นี้ ท่านอิหม่ามชาฟิอีย์ก็ได้กล่าวไว้เช่นกันในหนังสือ “อัรฺ-ริซาละฮ์”  หน้า 343 ว่า (หมายเลข 929) ว่า ...
   فَإِذَا نَهَى رَسُوْلُ اللهِ عَنِ الشَّىْءِ مِنْ هَذَا فَالنَّهْىُ مُحَرَّمٌ! لاَ وَجْهَ لَهُ غَيْرُ التَّحْرِيْمِ، إِلاَّ أَنْ يَكُوْنَ عَلَى مَعْنًى كَمَا وَصَفْتُ ...
“เมื่อท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ได้ “ห้าม” สิ่งใดจากสิ่งนี้ การห้ามนั้นก็คือ “หะรอม” .. ไม่มีแนวทางสำหรับมัน(การห้าม)ที่จะอื่นจากหะรอมอีก, นอกจากมันจะอยู่บนความหมาย ดังที่ฉันได้แจ้งลักษณะไว้แล้ว” ...
คำว่า “นอกจากมันจะอยู่บนความหมายที่ฉันได้แจ้งลักษณะไว้”  หมายถึงการมีหลักฐานอื่นมาแปรเปลี่ยนความหมายการห้ามจาก “หะรอม” ไปเป็น “
มักรูฮ์” ...

-------------------------

แต่เว็บมาสเตอร์ได้ยกทัศนะของอิมามชาฟิอีย์ในการอธิบายความหมายของหลักฐานที่มาผันลักษณะการห้ามละหมาดที่กุบูรว่า

ท่านอิมามอัชชาฟิอีย์กล่าวว่า

وَمَعْقُوْلٌ أَنَّهُ كَمَا جَاءَ فِي الْحَدِيْثِ وَلَوْ لَمْ يُبَيِّنْهُ ، لِأَنَّهُ لَيْسَ لِأَحَدٍ أَنْ يُصَلِّيَ عَلَي أَرْضٍ نَجَسَةٍ ، لِأَنَّ الْمَقْبَرَةَ مُخْتَلِطَةُ التُّرَابِ بِلُحُوْمِ المَوْتَي وَصَدِيْدِهِمْ

"ถูกคิดเหตุผลขึ้นมาได้ว่า แท้จริงมันก็เหมือนกับสิ่งที่มีมาในฮะดีษ ถึงหากแม้ว่าท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมจะไม่อธิบายมันไว้ก็ตาม เพราะแท้จริงไม่อนุญาตให้คนหนึ่งทำการละหมาดบนผืนดินที่เป็นนะยิส , เพราะว่ากุบูรนั้นดินได้เจือปนไปด้วยเนื้อของคนตายและน้ำหนองของพวกเขา" อัลอุมมฺ 2/206 ตีพิมพ์ดารุลวะฟาอฺ

ความหมายหนึ่งที่ห้ามละหมาดที่กุบูรตามทัศนะของอิมามชาฟิอีก็คือ  หากดินเจือปนนะยิส 

--------------------------------------


อ.ปราโมทย์อ้างหลักฐานบางส่วนที่ว่า

นั่นคือ การนมาซในกุบูรฺเป็นเรื่องหะรอม (ห้ามขาด) ...
ยิ่งไปกว่านั้น ท่านอิหม่ามอะห์มัดยังได้กล่าวอีกว่า ...
 مَنْ صَلَّى فِىْ مَقْبُرَةٍ أَوْ إِلَى قَبْرٍ أَعَادَ أَبَدًا
“ผู้ใดก็ตามที่นมาซในสุสาน หรือ(นมาซโดย)หันไปยังหลุมศพ เขาจะต้องนมาซใหม่ตลอดไป”
(จากหนังสือ “อัล-มุหั้ลลา” ของท่านอิบนุหัสม์  เล่มที่ 2  ส่วนที่ 4 หน้า 32) ...
หมายความว่า การนมาซในลักษณะดังกล่าวนั้น ใช้ไม่ได้(ไม่เศาะฮ์)
...
--------------------

แต่เว็บมาสเตอร์  ได้อ้างหลักฐานตรงกันข้ามว่า

ท่านอัลบุคอรีย์ ได้กล่าวรายงานว่า

وَرَأَي عُمَرُ أَنَسَ بْنَ مَالِكٍ يُصَلِّيْ عِنْدَ قَبْرٍ، فَقَالَ : الْقَبْرَ الْقَبْرَ وَلَمْ يَأْمُرْهُ الإِعَادَةَ

"ท่านอุมัรได้เห็นท่านอะนัส บิน มาลิก ทำการละหมาดที่กุบูร ดังนั้นท่านอุมัรจึงกล่าวว่า (ระวัง) กุบูร กุบูร และท่านอุมัรก็มิได้ใช้ให้ท่านอะนัสกลับไปละหมาดใหม่" หนังสือฟัตฮุลบารีย์ 1/523

ตกลงว่ารายงานที่ว่าท่านอะห์มัดใช้ให้กลับมาละหมาดใหม่  กับรายงานที่ท่านอุมัร อิบนุ ค้อฏฏ๊อบ  ไม่ได้ใช้ให้กลับมาละหมาดใหม่  อ้นใดจะมีน้ำหนักกว่ากันในเรื่องละหมาดที่กุบูร
اللهم صل علي سيدنا محمد وعلي آل محمد وصحبه وسلم

ออฟไลน์ คะลัคคะลุย

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 670
  • เรื่อยไป
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
อ. ปราโมทย์  อ้างหลักฐานว่า

ส่วนที่ผมเคยกล่าวมาในตอนต้นว่า การห้ามนมาซที่กุบูรฺนั้น มิใช่จะห้ามเฉพาะนมาซฟัรฺฎูหรือนมาซสุนัตอื่นๆ แต่ยังห้ามจากการนมาซญะนาซะฮ์ในระหว่างหลุมฝังศพอีกด้วย นั้น ...
หลักฐานเรื่องนี้ก็คือ หะดีษจากการรายงานของท่านอนัส บินมาลิก ร.ฎ. ที่ว่า ...
          أَنَّ النَّبِىَّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ نَهَى أَنْ يُصَلَّى عَلَى الْجَنَائِزِ بَيْنَ الْقُبُوْرِ
“ท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะวัลลัม ได้ห้ามจากการนมาซญะนาซะฮ์ในระหว่างกุบูรฺ(หลุมศพ)” ...
(บันทึกโดย ท่านอัฏ-ฏ็อบรอนีย์ในหนังสือ “อัล-มุอฺญัม อัล-เอาซัฏ” ด้วยสายรายงานที่หะซัน ..  ดังคำกล่าวของท่านอัล-ฮัยษะมีย์ในหนังสือ “มัจญมะอฺ อัซ-ซะวาอิด”  เล่มที่ 3  หน้า 144-145) ...
การ “ห้ามนมาซในกุบูรฺ” ดังกล่าวทั้งหมดนี้เป็นการห้ามแบบกว้างๆ (عَامٌّ) แต่มีข้อยกเว้น (تَخْصِيْصٌ) เพียงกรณีเดียวคือ การนมาซมัยยิตที่ถูกฝังไปแล้ว โดยเราเพิ่งทราบแล้วไปนมาซที่หลุมของเขาภายหลัง .. ตามนัยของหะดีษบทที่กำลังจะถึงต่อไป

--------------------------------------

ฮะดีษนี้  อ.ปราโมทย์บอกว่า เป็นฮะดีษฮะซันยกอ้างถึงท่านนบีเลย   แต่บางที อ.ปราโมทย์  หมกเม็ดการตัดสินฮะดีษตามอัลบานี  พี่น้องโปรดตรวจสอบสายรายงานนี้ด้วย  ;D
اللهم صل علي سيدنا محمد وعلي آل محمد وصحبه وسلم

ออฟไลน์ คะลัคคะลุย

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 670
  • เรื่อยไป
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
อ.ปราโมทย์กล่าวว่า

(5). ชี้แจงเรื่องการอ่านอัล-กุรฺอ่านที่กุบูรฺ
5.1 อ.อัชอะรีย์กล่าวว่า ... 
“แต่ในขณะเดียวกัน อ.ปราโมทย์พยายามสอดแทรกหุก่มเข้าไปด้วย โดยพยายามบอกว่า การอ่านอัล-กุรฺอ่านที่กุบูรฺเป็นบิดอะฮ์และฮะรอม ซึ่งไม่มีนักปราชญ์แห่งโลกอิสลามในอดีตที่ได้รับการยอมรับ ได้ตัดสินเช่นนั้นเลย ......
ดังนั้น การหุก่มหะรอมประเด็นใดประเด็นหนึ่งที่ไม่มีหลักฐานที่มั๊วะอฺตะบัรฺทั้งในแบบครอบคลุมหรือจำกัดมารับรอง ย่อมเป็นการอุตริกรรมหรืออุปโลกน์ฮุก่มขึ้นมาในศาสนานั่นเอง” ...
ชี้แจง
ก. การสอดแทรกหุก่มตามมุมมองของตนเองด้วยความบริสุทธิ์ใจหลังจากการวิเคราะห์หลักฐานไม่ใช่เป็นเรื่องผิดแปลกแต่ประการใด  เพราะสิ่งนี้ถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่นักวิชาการทุกยุคทุกสมัยปฏิบัติกันอยู่แล้ว ซึ่งสามารถจะหาดูได้จากตำราฟิกฮ์ระดับมาตรฐานทั่วๆไป  อาทิเช่น หนังสืออัล-มุฆนีย์ของท่านอิบนุกุดามะฮ์,  หนังสือซาดุ้ลมะอาดของท่านอิบนุ้ลก็อยยิม,  หนังสืออัล-มุหั้ลลา ของท่านอิบนุหัสม์ เป็นต้น ...
ข.  ถ้า อ.อัชอะรีย์ไม่กล่าวเท็จ  ก็ให้ระบุมาเลยว่า ผมเขียนตอนไหนในการวิภาษคำบรรยาย อ.กอเซ็มว่า การอ่านอัล-กุรฺอ่านที่กุบูรฺ เป็นบิดอะฮ์ (ตามทัศนะของผม) ?? ...
ค.  อ.อัชอะรีย์รู้ได้อย่างไรว่า ไม่เคยมีนักวิชาการที่เป็นที่ยอมรับท่านใดในอดีตตัดสินว่า การอ่านอัล-กุรฺอ่านที่กุบูรฺ เป็นบิดอะฮ์ที่หะรอม ??? ...
ท่านอิหม่ามอะห์มัด อิบนุหัมบัล หรือท่านอิบนุลก็อยยิม อัล-ญูซียะฮ์ เป็นนักวิชาการในอดีตที่เป็นที่ยอมรับของโลกอิสลามหรือไม่ ? ...
การที่ท่านอิหม่ามอะห์มัดไปกล่าวแก่ชายตาบอดที่กำลังอ่านอัล-กุรฺอ่านที่กุบูรฺเพื่อไม่ให้เขาอ่านต่อไปโดยบอกว่ามันเป็น “บิดอะฮ์” ก็ดี,  หรือการที่ท่านอบูดาวูดได้บันทึกในหนังสือ “อัล-มะซาอิล”  หน้า 158 ว่า เคยได้ยินท่านอิหม่ามอะห์มัดตอบเมื่อถูกถามเรื่องอ่านอัล-กุรฺอ่านที่กุบูรฺว่า لاَ!  (ไม่ได้) ก็ดี ...
คำว่า “บิดอะฮ์” และคำว่า “ไม่ได้” ของท่านอิหม่ามอะห์มัดในกรณีนี้ ไม่มีทางจะเข้าใจเป็นอย่างอื่นได้นอกจากการเป็นบิดอะฮ์ที่หะรอม ...
เพราะถ้าเป็นเพียงบิดอะฮ์ที่มักรูฮ์ (น่ารังเกียจ) ท่านอิหม่ามอะห์มัดก็ไม่มีสิทธิ์ไปคัดค้านชายตาบอดคนนั้น และคงจะไม่ตอบคำถามด้วยคำพูดเพียงสั้นๆว่า “ไม่ได้” .. เนื่องจากสิ่งมักรูฮ์นั้น เป็นสิ่งที่ยังปฏิบัติได้  เพียงแต่ “ไม่สมควรปฏิบัติ” เท่านั้น ...

_____________________________

แต่เท่าผมกลับอ่านบทวิภาษ  เว็บมาสเตอร์เขียนเสร็จสิ้นเรียบร้อยเมื่อวันที่  เมื่อวันที่ : 2/2/2009 ว่า

"ดังนั้น  อ.ปราโมทย์ มิได้ต้องการจะวิเคราะห์เรื่องตัวบทฮะดีษเท่านั้น  แต่ท่านพยายามวินิจฉัยสอดใส่ฮุกุ่มตัดสินว่าการอ่านอัลกุรอานที่กุบูรฮะรอมเข้ามาด้วย  ทั้งที่ไม่มีหลักฐานมาระบุเจาะจงเลย"

สงสัยว่า อ.ปราโมทย์  สะเพร่า เพราะไปโต้บทความของคนอื่น หรือได้รับข้อมูลบทวิภาษ  โดยไม่ใตร่ตรวงที่มาให้ดีว่าเขาวิภาษเสร็จสิ้นแล้วหรือยังเป็นแน่  fouet:
اللهم صل علي سيدنا محمد وعلي آل محمد وصحبه وسلم

ออฟไลน์ คะลัคคะลุย

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 670
  • เรื่อยไป
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
อ.ปราโมทย์  กล่าวอย่างเต็มปากเต็มคำว่า

อีกอย่างหนึ่ง ข้ออ้างของ อ.อัชอะรีย์ที่ว่า การนมาซที่กุบูรฺไม่สมควรกระทำ(ห้ามไม่ขาดหรือเป็นมักรูฮ์ตันซีฮ์) ก็เป็นเพียงการอ้าง “ทัศนะ” ของนักวิชาการบางท่าน ...

_____________

เรามาดูว่าเว็บมาสเตอร์ได้อ้างทัศนะนักวิชาการแค่บางส่วน  หรือส่วนน้อยกระทู้นั้นจริงหรือ?  เราลองกลับมาดูเว็บมาสเตอร์นำเสนอกัน  ซึ่งการนมาชที่กุบูรไม่ควรทำนั้น  เป็นทัศนะของนักวิชาการส่วนมาก  ไม่ใช่บางส่วนตามที่ อ.ปราโมทย์  อ้างมา!

นี่คือสิ่งที่เว็บมาสเตอร์นำเสนอทัศนะของปราชญ์ส่วนมาก(ไม่ใช่บางส่วน)

ด้วยเหตุนี้ ผมจึงใคร่ขอนำเสนอฮุกุ่มการละหมาดที่กุบูรแบบสรุป  เพื่อมิให้มีความเข้าใจผิดและนำการอ่านอัลกุรอานทีกุบูรมากิยาสเทียบเคียงกับเรื่องการละหมาดที่กุบูรดังนี้ครับ

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า

وَجُعِلَتْ لِي الْأَرْضُ مَسْجِدًا وَطَهُورًا

"และแผ่นดินถูกทำให้แก่ฉันเป็นมัสยิด(ที่สุยูด)และ(แผ่นดินถูกทำให้)เป็นสิ่งที่สะอาด" รายงานโดยบุคอรี (419)

ฮะดีษนี้เป็นคุณความดีงามที่ถูกมอบแด่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และประชากรของท่าน ดังนั้นไม่ว่าแผ่นดินใดก็ตาม  ก็ย่อมมีความสะอาดสำหรับการทำละหมาดตามที่ฮะดีษซอฮิห์ได้ระบุไว้  และความดีงามที่ถูกมอบให้แก่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม นี้  ก็จะไม่ถูกยกเลิกหรือมีกรณียกเว้น

แต่ทว่ามีรายงานจากท่านอะบูสะอีด อัลคุฎรีย์ ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุ ความว่า

‏قَالَ رَسُولُ اللَّهِ ‏ ‏صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ‏ ‏الْأَرْضُ كُلُّهَا مَسْجِدٌ إِلَّا الْمَقْبَرَةَ وَالْحَمَّامَ

"ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า แผ่นดินทั้งหมดนั้นเป็นมัสยิด(สามารถละหมาดได้)นอกจากกุบูรและห้องน้ำ" รายงานโดยอัตติรมีซีย์ (291)

ฮะดีษแรกได้ระบุว่าแผ่นดินทั้งหมดนั้นสะอาดสามารถที่ทำการละหมาดได้  แต่ฮะดีษที่สองนั้นได้ยกเว้นสถานที่กุบูรและห้องน้ำ  ซึ่งเหตุผลที่ห้ามละหมาดในสถานที่ดังกล่าวนั้น  เนื่องจากเป็นสถานที่ที่เสี่ยงต่อการมีนะยิส  ดังนั้นฮุกุ่มการไม่ให้ละหมาดในสถานที่ดังกล่าวก็เพราะว่าดินที่กุบูรและที่ห้องน้ำเสี่ยงต่อนะยิสนั่นเอง

ท่านอิมามอัชชาฟิอีย์กล่าวว่า

وَمَعْقُوْلٌ أَنَّهُ كَمَا جَاءَ فِي الْحَدِيْثِ وَلَوْ لَمْ يُبَيِّنْهُ ، لِأَنَّهُ لَيْسَ لِأَحَدٍ أَنْ يُصَلِّيَ عَلَي أَرْضٍ نَجَسَةٍ ، لِأَنَّ الْمَقْبَرَةَ مُخْتَلِطَةُ التُّرَابِ بِلُحُوْمِ المَوْتَي وَصَدِيْدِهِمْ

"ถูกคิดเหตุผลขึ้นมาได้ว่า แท้จริงมันก็เหมือนกับสิ่งที่มีมาในฮะดีษ  ถึงหากแม้ว่าท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมจะไม่อธิบายมันไว้ก็ตาม  เพราะแท้จริงไม่อนุญาตให้คนหนึ่งทำการละหมาดบนผืนดินที่เป็นนะยิส , เพราะว่ากุบูรนั้นดินได้เจือปนไปด้วยเนื้อของคนตายและน้ำหนองของพวกเขา" อัลอุมมฺ 2/206 ตีพิมพ์ดารุลวะฟาอฺ

ท่านอัลบุคอรีย์  ได้กล่าวรายงานว่า

وَرَأَي عُمَرُ أَنَسَ بْنَ مَالِكٍ يُصَلِّيْ عِنْدَ قَبْرٍ، فَقَالَ : الْقَبْرَ الْقَبْرَ وَلَمْ يَأْمُرْهُ الإِعَادَةَ

"ท่านอุมัรได้เห็นท่านอะนัส บิน มาลิก ทำการละหมาดที่กุบูร  ดังนั้นท่านอุมัรจึงกล่าวว่า  (ระวัง) กุบูร  กุบูร  และท่านอุมัรก็มิได้ใช้ให้ท่านอะนัสกลับไปละหมาดใหม่" หนังสือฟัตฮุลบารีย์ 1/523

ท่านอะนัส บิน มาลิก ได้ทำการละหมาดที่กุบูร  ซึ่งบ่งชี้ว่าท่านมีทัศนะอนุญาตให้ทำละหมาดที่กุบูรได้  แต่ท่านอุมัรได้เตือนให้ระวังแต่ท่านมิได้ใช้ให้กลับไปละหมาดใหม่  ซึ่งบ่งชี้เพียงว่าการละหมาดที่กุบูรนั้นอนุญาตกระทำได้ตามทัศนะของท่านอุมัรแต่ไม่บังควร(มักโระฮ์) เนื่องจากเกรงว่าดินที่กุบูรจะเปื้อนผสมกับนะยิส

ท่านอิบนุลมุนซิร ได้กล่าวว่า

وَرَوَيْنَا أَنَّ وَاثِلَةَ بْنَ الأَسْقَعِ كَانَ يُصَلِّي فِي الْمَقْبَرَةِ غَيْرَ أَنَّهُ لاَ يَسْتَتِرُ بِقَبْرٍ

"เราได้รายงานว่า  แท้จริงวาษิละฮ์ บิน อัลอัสเกาะอ์  ได้ทำการละหมาดที่กุบูร  แต่เขามิได้นำกุบูรมาเป็นซัตเราะฮ์(สิ่งที่มากั้นมิได้คนเดินผ่าน)" หนังสืออัลเอาซัฏ 2/184

ท่านอัชชะอฺบีย์  ได้รายงานว่า

‏أَخْبَرَنِي مَنْ مَرَّ مَعَ النَّبِيِّ ‏ ‏صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ‏ ‏عَلَى قَبْرٍ ‏ ‏مَنْبُوذٍ ‏ ‏فَأَمَّهُمْ وَصَلَّوْا خَلْفَهُ

"ได้บอกเล่าให้ฉันทราบโดย(ท่านอิบนุอับบาส)ผู้ที่เดินพร้อมกับท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  บนกุบูรที่ถูกปล่อยทิ้งเอาไว้  ดังนั้นท่านนบีจึงเป็นอิหม่ามนำละหมาด(ญะนาซะฮ์)พวกเขา  และพวกเขาก็ทำการละหมาดตามหลังท่านนบี"  รายงานบุคอรีย์ (1250)

ท่านอัลฮาฟิซฺ  อะบู ฮาติม อิบนุ ฮิบบาน  ได้กล่าวว่า

فِيْ هَذَا الْخَبَرِ بَيَانٌ وَاضِحٌ أَنَّ صَلاَةَ الْمُصْطَفَي صَلَّي اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ عَلَي الْقَبرِ إِنَّمَا كَانَتْ عَلَي قَبْرٍ مَنْبُوْذٍ ، وَالْمَنْبُوْذُ نَاحِيَةٌ ، فَدَلَّتْكَ هَذِهِ اللَفْظَةُ عَلَي أَنَّ الصَّلاَةَ عَلَي الْقَبْرِ جَائِزَةٌ إِذَا كَانَ جَدِيْدًا فِيْ نَاحِيَةٍ لَمْ تُنْبَشْ ، أَوْ فِيْ وَسَطِ قُبُوْرٍ لَمْ تُنْبَشْ ، فَأَمَّا الْقُبُوْرُ الَّتْي نُبِشَتْ وَقَلْبُ تُرَابِهَا صَارَ تُرَابُهَا نَجِساً ، لاَ تَجُوْزُ الصَّلاَةُ عَلَي النَّجَاسَةِ إِلاَّ أَنْ يَقُوْمَ الإِنْسَانُ عَلَي شَيْءٍ نَظِيْفٍ ، ثُمَّ يُصَلِّي عَلَي الْقَبْرِ الْمَنْبُوْشِ دُوْنَ الْمَنْبُوْذِ الَّذِيْ لَمْ يُنْبَشْ

"ในฮะดีษนี้  ได้ชี้แจงอย่างชัดเจนว่า  การละหมาดของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ที่กุบูรนั้น  คือการละหมาดบนกุบูรที่ถูกปล่อยทิ้งไว้  และกุบูรที่ถูกปล่อยทิ้งไว้นั้น  ก็เป็นพื้นที่ด้านหนึ่ง  ดังนั้นถ้อยคำนี้จึงบ่งชี้แก่ท่านว่า  การละหมาดที่กุบูรนั้นอนุญาตให้กระทำได้เมื่อพื้นที่อีกด้านหนึ่งเป็นกุบูรที่ฝังใหม่ ๆ โดยมิได้ถูกขุดขึ้นมา  หรือ(อนุญาตให้ละหมาด)กลางกุบูรที่ยังมิได้ถูกขุดขึ้นมา  ดังนั้นสำหรับกุบูรที่ถูกขุดขึ้นมา  แล้วดินของมันถูกพลิกกลับ  แน่นอนว่าดินที่กุบูรนั้นก็ถือว่าเป็นนะยิส  ซึ่งไม่อนุญาตให้ทำการละหมาดบนนะยิสได้  นอกจากบุคคลหนึ่งทำการยืนบนสิ่งหนึ่งที่สะอาด(เช่นมีผ้าปู)  จากนั้นก็ให้เขาทำการละหมาดบนกุบูรที่ถูกขุดขึ้นมาได้  โดยไม่ต้องละหมาดที่กุบูรร้างที่ไม่ถูกขุดขึ้นมา" หนังสืออัลอิห์ซาน บิตัรตีบซอฮิห์อิบนุฮิบบาน 7/359

สิ่งดังกล่าวนี้  บ่งชัดเจนว่าการมักโระฮ์สิ่งดังกล่าวมิใช่มักโระฮ์แบบฮะรอมตามที่ อ.ปราโมทย์ได้กล่าวไว้  แต่สะลัฟส่วนมากมีทัศนะเพียงแค่มักโระฮ์ธรรมดาเท่านั้นเอง  ยิ่งกว่านั้น  ยังมีซอฮาบะฮ์และสะละฟุศศอลิห์บางส่วน  มีทัศนะไม่ถือว่ามักโระฮ์  แต่เป็นที่อนุญาตให้ละหมาดที่กุบูรได้  ดังนั้น อ.ปราโมทย์ จะพูดแบบลอย ๆ ว่าหมายถึงมักโระฮ์ฮะรอมตามทัศนะของสะลัฟย่อมมิได้อย่างเด็ดขาด

การละหมาดที่กูบูรตามทัศนะของมัซฮับทั้งสี่

1. มัซฮับฮะนะฟีย์

ทัศนะของปราชญ์มัซฮับฮะนะฟีย์นั้น  การละหมาดที่กุบูรไม่ถือว่าฮะรอม  แต่เป็นเพียงมักโระฮ์  อนุญาตให้กระทำได้

ในหนังสืออัดดุรมัคตาร (1/254)  ได้กล่าวว่า

وَكَذَا تُكْرَهُ فِيْ أَمَاكِنَ كَفَوْقِ كَعْبَةٍ ، وَفِيْ طَرِيْقٍ، وَمَزْبَلَةٍ، وَمَجْزَرَةٍ، وَمَقْبَرَةٍ، وَمَغْتَسَلٍ

"เช่นเดียวกันนี้  ถือว่ามักโระฮ์ละหมาดในหลายสถานที่ด้วยกัน  เช่น  บนกะบะฮ์ , ตามทางเดิน , สถานที่ทิ้งขยะ , โรงเชือดสัตว์ , สถานที่กุบูร , และสถานที่อาบน้ำ"

ท่านอิมามอิบนุอาบิดีน ได้กล่าวอธิบายไว้ในหนังสือฮาชียะฮ์ของท่าน  ความว่า

وَلاَ بَأْسَ بِالصَّلاَةِ فِيْهَا إِذَا كَانَ فِيْهَا مَوْضِعٌ أُعِدَّ لِلصَّلاَةِ، وَلَيْسَ فِيْهِ قَبْرٌ وَلاَ نَجَاسَةٌ وَلاَ قِبْلَتُهُ إِلَي قَبْرٍ فَالْقَوْلُ بِالكَرَاهَةِ مُقَيَّدٌ ، وَهِيَ كَرَاهَةٌ تَنْزِيْهِيَّةٌ

"ถือว่าไม่เป็นไร  กับการละหมาดที่กุบูร  เมื่อในกุบูรนั้นมีสถานที่เตรียมไว้สำหรับละหมาด  และในสถานที่(ที่ถูกเตรียมไว้สำหรับละหมาด)นั้นต้องไม่มีกุบูร(อยู่ข้างใต้)  ไม่มีนะยิส  และกิบลัตของสถานที่ละหมาดนั้นต้องไม่ผินไปทางกุบูร  ดังนั้นคำกล่าวที่ว่ามักโระฮ์  ย่อมถูกจำกัดความ(ว่าต้องไม่มีนะยิสหรือมีกุบูรอยู่ข้างใต้ผู้ละหมาด)  และมักโระฮ์นี้เป็นเพียงมักโระฮ์ธรรมดา(ไม่ใช่มักโระฮ์ฮะรอม)" ทบทวนเพิ่มเติมจากหนังสืออัลบะห์รุรรออิก 2/35 ของท่านอิบนุนุญัยม์

2. มัซฮับมาลิกีย์

การละหมาดที่กุบูรตามมัซฮับมาลิกีย์  ถือว่าอนุญาตให้กระทำได้

อิมามอันนะวาวีได้กล่าวรายงานถึงมัซฮับอิมามมาลิกว่า

عَنْ مَالِكٍ رِوَايَتَانِ أَشْهَرُهُمَا لاَ يُكْرَهُ مَا لَمْ يَعْلَمْ نَجَاسَتَهَا

"จากท่านมาลิกมีอยู่สองรายงาน  ที่เลื่องลือที่สุด คือไม่มักโระฮ์(ละหมาดที่กุบูร) ตราบใดที่ผู้ละหมาดไม่รู้ว่ามีนะยิส" มัจญ์มั๊วะอฺ 3/165

ท่านชัยค์ อะห์มัด อัดดัรดีร ได้กล่าวว่า

جَازَتِ الصَّلاَةُ بِمَقْبَرَةٍ وَلَوْ عَلَي قَبْرٍ أَوْ بِلاَ حَائِلٍ ، عَامِرَةٍ أَوْ دَارِسَةٍ أَوْ لاَ ، وَلَوْ لِمُشْرِكٍ...إِنْ أَمِنَتْ مِنَ النَّجِسِ

"อนุญาตให้ละหมาดที่กุบูรได้  หากแม้ว่าจะละหมาดที่บนกุบูร หรือละหมาดโดยไม่มีสิ่งใดมากั้น(ระหว่างเขากับกุบูร)ก็ตาม  ไม่ว่ากุบูรนั้นจะเป็นกุบูรที่ยังใช้การอยู่  หรือเป็นกุบูรที่ร้างหรือไม่ก็ตาม  และหากแม้ว่าเป็นกุบูรของพวกตั้งภาคีก็ตามที...(ทั้งนี้ทั้งนั้น) หากกุบูรปลอดจากนะยิส"  หนังสืออัชชัรหุกะบีร 1/188

ท่านชัยค์ อะห์มัด อัดดัรดีร ได้กล่าวเช่นกันว่า

وَجَازَتِ الصَّلاَةُ بِمَقْبَرَةٍ أي فِيْهَا، وَلَوْ عَلَي مَقْبَرَةٍ عَامِرَةٍ أَوْ دَارِسَةٍ وَلَوْ لِكَافِرِيْنَ...إِنْ أَمِنَتِ النَّجَاسَةَ

"และอนุญาตให้ละหมาดที่กุบูรได้ หมายถึง ละหมาดในกุบูรได้  และถ้าหากว่าละหมาดบนกุบูรที่ยังใช้การอยู่หรือทิ้งร้างแล้วก็ตาม  และถ้าหากว่าเป็นกุบูรของพวกกาเฟรก็ตามที...(ทั้งนี้ทั้งนั้น) หากกุบูรได้ปลอดภัยจากนะยิส" หนังสืออัชชัรหุศศ่อฆีร 1/267

3. มัซฮับชาฟิอีย์

มัซฮับชาฟิอีย์นั้น  อนุญาตให้ละหมาดที่กุบูรได้  แต่มักโระฮ์เท่านั้นเอง

ท่านอิมามอัชชาฟิอีย์กล่าวว่า

فَلَوْ صَلَّي فَوْقَ قَبْرٍ، أَوْ إِليَ جَنْبِهِ وَلَمْ يُنْبَشْ أَجْزَأَهُ

"ดังนั้นถ้าหากเขาละหมาดบนกุบูร  หรือข้าง ๆ กุบูร  โดยที่มันยังไม่ถูกขุด  ถือว่าใช้ได้สำหรับเขา"  หนังสือมุคตะซ็อร อัลมุซะนีย์ 19

ท่านอิมามอันนะวาวีย์ ได้อธิบายมัซฮับของอิมามอัชชาฟิอีย์ว่า

إِنْ تَحَقَّقَ أَنَّ الْمَقْبَرَةَ مَنْبُوْشَةٌ لَمْ تَصِحَّ صَلاَتُهُ فِيْهَا بِلاَ خِلاَفٍ إِذَا لَمْ يَبْسُطْ تَحْتَهُ شَيْئاً، وَإِنْ تَحَقَّقَ عَدَمَ نَبْشِهَا صَحَّتْ بِلاَ خِلاَفٍ، وَهِيَ مَكْرُوْهَةٌ كَرَاهَةَ تَنْزِيْهٍ

"หากเขาตรวจสอบแล้วว่าแท้จริงกุบูรนั้นได้ถูกขุดขึ้น  ก็ถือว่าละหมาดของเขาที่กุบูรใช้ไม่ได้โดยไม่มีการขัดแย้งกัน (ทั้งนี้ทั้งนั้น) เมื่อเขาไม่ได้ปูสิ่งหนึ่งไว้ข้างใต้เขา , และถ้าหากเขาตรวจสอบแน่ชัดแล้วว่าไม่มีการขุดกุบูร  ละหมาดของเขาถือว่าใช้ได้โดยไม่มีการขัดแย้งกัน  แต่มันเป็นเพียงมักโระฮ์แบบธรรมดา(ไม่ใช่ฮะรอม)" หนังสือมัจญฺมั๊วะ 3/164

4. มัซฮับฮัมบาลีย์

ท่านอิบนุกุดามะฮ์  ได้กล่าวว่า

إِخْتَلَفَتِ الرِّوَايَةُ عَنْ أَحْمَدَ رَحِمَهُ اللهُ ‏,‏ فِي الصَّلاَةِ فِيْ هَذِهِ الْمَوَاضِعِ فَرُوِىَ أَنَّ الصَّلاَةَ لاَ تَصِحُّ فِيْهَا بِحَالٍ

"มีสายรายงานจากท่านอะห์มัด ร่อฮิมะฮุลลอฮ์ ที่แตกต่างกัน ในเรื่องของละหมาดในสถานที่ต่าง ๆ เหล่านี้ (เช่นสถานที่ห้องน้ำ , สถานที่กุบูร , เป็นต้น)  ดังนั้นได้ถูกรายงาน(จากท่านอะห์มัด)ว่า แท้จริงการละหมาดในกุบูรนั้นใช้ไม่ได้เลยไม่ว่าสภาพใดก็ตาม"

หลังจากนั้นท่านอิบนุกุดามะฮ์  ได้กล่าวว่า

 وَعَنْ أَحْمَدَ رِوَايَةُ أُخْرَى أَنَّ الصَّلاَةَ فِيْ هَذِهِ المَوَاضِعَ صَحِيْحَةٌ مَا لَمْ تَكُنْ نَجَسَةً وَهُوَ مَذْهَبُ مَالِكٍ وَأَبِيْ حَنِيْفَةَ وَالشَّافِعِيِّ

"และรายงานจากท่านอะห์มัดอีกการรายงานหนึ่งว่า  แท้จริงการละหมาดในบรรดาสถานที่เหล่านี้  ถือว่าใช้ได้  ตราบใดที่ไม่เป็นนะยิส  และทัศนะนี้ก็เป็นมัซฮับของท่านมาลิก , อะบูฮะนีฟะฮ์ , และอัชชาฟิอีย์ , อีกด้วย"  หนังสืออัลมุฆนีย์ 2/468

ท่านอิบนุกุดามะฮ์ ได้กล่าวสนับสนุนสายรายงานที่สองของท่านอะห์มัดว่า

وَيَحْتَمِلُ أَنَّ الْمَنْعَ فِيْ هَذِهِ الْمَوَاضِعِ مُعَلَّلٌ بِأَنَّهَا مَظَانٌّ لِلنَّجَاسَاتِ فَإِنَّ الْمَقْبَرَةَ تُنْبَشُ وَيَظْهَرُ التُّرَابُ الَّذِيْ فِيْهِ صَدِيْدُ الْمَوْتَى وَدِمَاؤُهُمْ وَلُحُوْمُهُمْ...فَنُهِىَ عَنِ الصَّلاَةِ فِيْهَا لِذَلِكَ وَتُعُلَّقَ الْحُكْمُ بِهَا وَإِنْ كَانَتْ طَاهِرَةً لِأَنَّ المَظِنَّةَ يَتَعَلَّقُ الْحُكْمُ بِهَا وَإِنْ خَفِيَتِ الحِكْمَةُ فِيْهَا‏,‏ وَمَتىَ أَمْكَنَ تَعْلِيْلُ الحُكْمِ تَعَيَّنَ تَعْلِيْلُهُ وَكَانَ أَوْلَى مِنْ قَهْرِ التَّعَبُّدِ وَمَرَارَةِ التَّحَكُّمِ

"ตีความได้ว่า  การห้าม(ละหมาด)ในสถานที่เหล่านี้  ถูกให้เหตุผลว่า  มันเป็นสถานที่เสี่ยงต่อการมีนะยิส  เพราะกุบูรอาจจุถูกขุดขึ้นมา  และปรากฏว่าเป็นดินที่มีน้ำหนองของคนตาย  มีเลือดและเนื้อของพวกเขา...ดังนั้นที่ถูกห้ามจากการละหมาดในกุบูรก็เพราะเหตุ(การมีนะยิส)ดังกล่าว  และฮุกุ่มการมีนะยิสก็จะถูกเกี่ยวพันกับเรื่องละหมาด  หากแม้ว่ากุบูรจะสะอาดก็ตาม (ก็ถือว่ามักโระฮ์ละหมาด) เพราะสถานที่(ที่เสี่ยงต่อการมีนะยิส)นั้น  ฮุกุ่มก็จะเกี่ยวข้องด้วยกับมัน  หากแม้ว่าเคล็ดลับ(การห้ามละหมาดที่กุบูร)จะไม่ชัดเจนก็ตามที  และเมื่อสามารถให้เหตุผลของฮุกุ่มได้แล้ว  ก็จะต้องเจาะจงเหตุผลของฮุกุ่มนั้น  และดังกล่าวย่อมดีเลิศยิ่งกว่าการคาดคั้นให้เป็นเรื่องของการภักดี(โดยห้ามละหมาดที่กุบูรแบบไร้เหตุผล)และดีกว่าความขมขืนจากการพูดตามอำเภอใจ(โดยไร้เหตุผล)..." หนังสืออัลมุฆนีย์ 1/718

ทัศนะของสะลัฟที่มีต่อฮุกุ่มการละหมาดที่กุบูรนั้น  ท่านอัลมุนซิรได้กล่าวว่า  "ส่วนหนึ่งจากผู้ที่รายงานจากพวกเขาว่ามักโระฮ์ละหมาดในกุบูร คือ  ท่านอะลี , ท่านอิบนุอับบาส , ท่านอิบนุอุมัร , ท่านอะฏออฺ , ท่านอันนะคะอีย์ , และผู้มีทัศนะไม่มักโระฮ์ละหมาดในกุบูรคือ ท่านอะบูฮุร็อยเราะฮ์ , ท่านวาษิละฮ์ บิน อัลอัสเกาะอฺ , และท่านอัลฮะซัน อัลบะซอรีย์"  ทบทวนจากหนังสือ  อัลเอาซัฏ 2/083

ดังนั้นซอฮาบะฮ์และสะลัฟได้ถูกรายงานจากพวกเขาที่ว่า  การละหมาดที่กุบูรเป็นมักโระฮ์เท่านั้น  เฉกเช่นเดียวกับสายรายงานหนึ่งจากท่านอะห์มัด บิน ฮัมบัล  ฉะนั้นท่านอะบูฮะนีฟะฮ์ , ท่านมาลิก , และท่านอิมามอัชชาฟิอีย์  ย่อมสอดคล้องกับทัศนะของซอฮาบะฮ์และปราชญ์สะลัฟท่านอื่น ๆ ยิ่งกว่า

ท่านอิมามอิบนุรอญับ ปราชญ์มัซฮับฮัมบาลีย์  ได้กล่าวว่า 

وَأَكْثَرُ العُلَمَاءِ عَليَ أَنَّ الكَراَهَةَ فِيْ ذَلِكَ كَراَهَةُ تَنْزِيْهٍ ، وَمِنْهُمْ مَنْ رَخَّصَ فِيْهِ

"ปราชญ์ส่วนมากมีทัศนะว่า  การมักโระฮ์ในสิ่งดังกล่าว(ละหมาดในกุบูร) นั้นเป็นมักโระฮ์แบบตันซีฮฺ(มักโระฮ์แบบธรรมดามิใช่ฮะรอม) และนักปราชญ์บางส่วน  มีทัศนะผ่อนปรนในสิ่งดังกล่าว" ฟัตฮุลบารีย์ 3/197 ของท่านอิบนุรอญับ

สรุปคือ  บรรดาอิมามทั้งสามมัซฮับ  คืออิมามอะบูฮะนีฟะฮ์ , อิมามมาลิก , อิมามอัชชาฟิอีย์ , นั้นอนุญาตให้ทำการละหมาดที่กุบูรได้แต่ด้วยเงื่อนไขที่ว่าดินที่กุบูรต้องไม่มีนะยิสผสมอยู่  สำหรับมัซฮับอิมามอะห์มัดนั้น  คือห้ามละหมาด  แต่ท่านอิบนุกุดามะฮ์ได้ให้น้ำหนักว่า  สาเหตุที่ห้ามคือมีนะยิส  ซึ่งตรงนี้จึงทำให้เกิดทัศนะที่สอดคล้องต้องกันระหว่างมัซฮับทั้งสี่ที่ว่า  การละหมาดที่กุบูรอนุญาตให้กระทำได้เมื่อปราศจากนะยิส  วัลลอฮุอะลัม

ส่วนเมืองไทยบ้านเรานั้นไม่มีปัญหาในการละหมาดที่กุบูร  เพราะขนาดละหมาดที่บ้านก็ยังปูผู้สัจญาดะฮ์  และหากมีการละหมาดที่กุบูรกันขึ้นก็ต้องปูเสื่อละหมาดกันอย่างที่เราได้เห็นกัน  ซึ่งไม่มีปัญหาการยืนบนพื้นดินกุบูรที่เจอปนนะยิสอย่างแน่นอน

_____________________

 ;D ;D
اللهم صل علي سيدنا محمد وعلي آل محمد وصحبه وسلم

ออฟไลน์ คะลัคคะลุย

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 670
  • เรื่อยไป
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
อ.ปราโมทย์กล่าวว่า

ข. อ.อัชอะรีย์ ได้กล่าวอ้างข้างๆคูๆว่า การที่ท่านนบีย์และเศาะหาบะฮ์ไปนมาซญะนาซะฮ์ที่กุบูรฺนั้น มีการอ่านฟาติหะฮ์,  มีการซิกรุ้ลลอฮ์ในการนมาซด้วย .. ซึ่ง مَفْهُوْمٌ ของมันก็คือ อนุญาตให้อ่านกุรฺอ่านที่กุบูรฺได้ ...
ผมก็ขออ้างข้างๆคูๆในลักษณะ “ย้อนศร” บ้างว่า หลักฐาน “ห้ามนมาซ” ในกุบูรฺที่ผ่านมาในบทก่อน  – ไม่ว่านมาซฟัรฺฎู,  นมาซสุนัต หรือนมาซมัยยิต – مَفْهُوْمٌ ของมันก็คือ “ห้ามอ่านฟาติหะฮ์” ที่กุบูร ...
เพราะในการนมาซต้องมีการอ่านฟาติหะฮ์ ...
ดังนั้น การห้ามนมาซก็คือการห้ามอ่านฟาติหะฮ์! ...   
และ .. การห้ามอ่านฟาติหะฮ์ที่กุบูรฺ ก็คือ การห้ามอ่านอัล-กุรฺอ่านที่กุบูรฺ (ตามคำอธิบายของ อ.อัชอะรีย์เอง) เอง ...
เอ๊ะ! นี่ผมจะพลอยเป็น .. (?) ..ไปอีกคนหรือนี่ ??? ...

________________

ที่นบีห้ามนั้น  เพราะเหตุกุบูรอาจจะมีน้ำหนองหรือซากเนื้อมัยยิดปะปนกับที่ขุดขึ้นมาที่กุบูร  ตามทัศนะปราชญ์ส่วนมากได้อธิบายไว้มิใช่หรือ  จึงทำให้การสุยูดและนั่งบนดินที่กุบูรทำให้เปื้อนนะยิสได้ 

แต่การอ่านอัลกุรอานที่กุบูร   ไม่ใช่ว่าหากถูกนะยิสแล้วอ่านอัลกุรอานใช้ไม่ได้มิใช่หรือ....ดังนั้นถ้าหากปูเสื่อนั่งอ่านอัลกุรอาน  ก็ไม่ฮะรอมแน่นอน  oh:
اللهم صل علي سيدنا محمد وعلي آل محمد وصحبه وسلم

ออฟไลน์ คะลัคคะลุย

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 670
  • เรื่อยไป
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
อ.ปราโมทย์  พูดว่า

หาก อ.อัชอะรีย์ยังยืนกระต่ายขาเดียวในเรื่องนี้ต่อไปผมก็ไม่ขอต่อล้อต่อเถียงกับท่านอีกแล้ว  แต่ขอยกตัวอย่างเปรียบเทียบดังต่อไปนี้ ...
สมมุติถ้า “การนมาซมัยยิต” ในหะดีษบทนั้นคือ “ต้มยำ”, .. และกุบูรคือ “หม้อใส่ต้มยำ” ...
อ.อัชอะรีย์คงรู้ดีว่า สิ่งที่จะเรียกว่า “ต้มยำ” ตามความเข้าใจของ “คนปกติธรรมดา” ทั่วๆไปนั้น จะต้องประกอบขึ้นจากกุ้งหรือปลาหรือเนื้อ,  ตะไคร้,  ใบมะกรูด, ข่า,  พริกสด, มะเขือเทศ, มะนาว, น้ำปลา, ต้นหอม, คึ่นฉ่าย เป็นต้น ...
ไม่เคยปรากฏเลยสักครั้งเดียวที่แม่ครัวเอกของโลกจะนำส่วนประกอบของต้มยำทั้งหมดดังกล่าวนั้นไปแยกออก แล้วนำเพียง “อย่างใดอย่างหนึ่ง” ไปใส่ใน “หม้อต้ม” เพื่อให้ผู้ใด(คือ มัยยิต) บริโภค .. (ยกเว้นอิสติฆฟารฺ)...
ทั้งนี้ เพราะท่านรู้ดีว่า ต้มยำที่มีคุณค่าอย่างแท้จริงตามหลักโภชนาการต่อผู้บริโภค จะต้องใส่เครื่องปรุงทั้งหมด “รวมกัน” เท่านั้น ...
แต่ อ.อัชอะรีย์กลับจะเอา “ใบมะกรูด” เพียงอย่างเดียวใส่ลงในหม้อ แล้วก็ยืนยัน(และนั่งยัน)แบบหัวชนฝาว่า  การต้มใบมะกรูดอย่างเดียวในหม้อก็ “มีคุณค่า” ต่อผู้บริโภคเหมือนการทำต้มยำด้วยเครื่องปรุงทั้งหมดทุกประการ ...
เมื่อผมถามว่า เคยมีใครในโลกทำต้มยำในหม้อแบบนี้มาก่อนบ้างไหม ? . อ.อัชอะรีย์ไม่ยอมตอบคำถามนี้! .. แต่กลับยืนกรานอย่างหนักแน่นเพียงว่า “ใบมะกรูด” อย่างเดียวในหม้อ ก็มีคุณค่าเหมือนต้มยำและอนุญาตให้ทำได้ .. โดยอ้างเหตุผลว่า เพราะไม่เคยมีใคร“ห้าม” เอาใบมะกรูดอย่างเดียวใส่หม้อต้ม,  และใบมะกรูดก็เป็นองค์ประกอบอย่างหนึ่งของต้มยำ ... 
แถมยังท้าว่า .. ให้ผมหาหลักฐานมาซิว่าเคยมีคนห้ามมิให้ทำอย่างนี้ .. และผมจะปฏิเสธไหมว่าใบมะกรูดก็เป็นองค์ประกอบอย่างหนึ่งของเครื่องต้มยำ ?? ...
โดนเข้าแบบนี้ บอกตรงๆว่าผมก็ไม่รู้จะเถียงท่านยังไงเหมือนกัน เพราะเป็นความจริงของท่าน ...

__________________________

ผมขอออกความเห็นสักหน่อย   ;D

ถ้าหากการละหมาดญะนาซะฮ์   เปรียบเสมือนต้มยำ  ที่ประกอบด้วย กุ้งหรือปลาหรือเนื้อ,  ตะไคร้,  ใบมะกรูด, ข่า,  พริกสด, มะเขือเทศ, มะนาว, น้ำปลา, ต้นหอม, คึ่นฉ่าย เป็นต้น ...

ดังนั้นเมื่อมีผู้ตายเกิดขึ้น  เราก็ทำต้มยัมเรียบร้อยแล้ว(คือละหมาดญะนาซะฮ์)ที่ประกอบไปด้วย  กุ้งหรือปลาหรือเนื้อ,  ตะไคร้,  ใบมะกรูด, ข่า,  พริกสด, มะเขือเทศ, มะนาว, น้ำปลา, ต้นหอม, คึ่นฉ่าย เป็นต้น ...

แต่วันต่อมา  เราไม่ทำต้มยำแบบครบสูตร   แต่เอาแค่  ปลาหรือเนื้อมาต้มกินจิ้มกับน้ำปลาซอยพริก  อ.ปราโมทย์  กล้าตอบไหมว่า   เนื้อหรือปลาที่ต้มสุกเปลื่อยอย่างดีที่เปรียบเสมือนอัลฟาติฮะฮ์) มาจิ้มกับน้ำปลาซอยพริก(ที่เปรียบเสมือนดุอา)  นั้นกินยังไม่ได้?   แต่นี่อะไรกัน อ.ปราโมทย์ดันบังคับให้กินแต่ใบมะกรูด
  boulay:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.พ. 11, 2009, 07:58 AM โดย บ้าวิชา^^ »
اللهم صل علي سيدنا محمد وعلي آل محمد وصحبه وسلم

ออฟไลน์ ฮัยฟาอ์

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 263
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
 salam

เที่ยงนี้อยากกินต้มยำซะแล้น...

ทำเองกินเอง  อ้อ  จะกินใบมะกรูดด้วย

ออฟไลน์ คะลัคคะลุย

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 670
  • เรื่อยไป
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
salam

เที่ยงนี้อยากกินต้มยำซะแล้น...

ทำเองกินเอง  อ้อ  จะกินใบมะกรูดด้วย

แต่โดนบังคับให้กินแต่ใบมะกรูดนี่น่ะซิ  เศร้า   oh:
اللهم صل علي سيدنا محمد وعلي آل محمد وصحبه وسلم

ออฟไลน์ ILHAM

  • เพื่อนตาย T_T
  • *****
  • กระทู้: 11348
  • เพศ: ชาย
  • Sherlock Holmes
  • Respect: +273
    • ดูรายละเอียด
    • ILHAM
ผมชอบนะ เคี้ยวใบมะกรูด เวลากินต้มยำ
إن شاءالله ติด ENT'?everybody

Sherlock Holmes said "How often have I said to you that when you have eliminated the impossible, whatever remains, however improbable, must be the truth?"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

 

GoogleTagged