salam
มีหนังสือแปลโดยท่านอาจารย์การีม วันแอเลาะอยู่เล่มหนึ่งครับ
ลองอ่านดูครับเผื่อมีคำตอบในปัญหาคาใจเกี่ยวกับตะเซาวุฟ ดังนี้ครับ
ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์ผู้ทรงเมตตาปรานีเสมอ
หนังสือเล่มนี้ ผมได้ถอดความมาจากต้นฉบับภาษาอาหรับ ซึ่งเขียนโดย มูฮัมมัด ซักกี อิบรอฮีมเพื่อเป็นเอกสารประกอบคำบรรยายในวิชาตะเซาวุฟของโคงการอบรมสัมมนาวิชาการอิสลาม หลักสูตรเร่งรัด ที่โรงเรียนอิสลามสัมพันธ์ บางบัวทอง นนทบุรีจัดขึ้น เป็นหนังสือที่นิยมนำมาศึกษากันอย่างแพร่หลายในสังคมมุสลิม มีผู้สนใจเป็นจำนวนมาก เสนอให้จัดพิมพ์เป็นรูปเล่ม แต่โครงการไม่มีงบประมาณพอที่จะสนองตอบความต้องการนั้นได้ อีกทั้งต้นฉบับก็กระจัดกระจาย ซึ่งทางโครงการฯ ก็ได้พยายามรวบรวมและถอดความขึ้นใหม่ ในบางส่วนที่หาไม่ได้
อัลฮัมดัลิลแลฮ์ ความต้องการของผู้สนใจเป็นจำนวนมากดังกล่าวได้รับการตอบสนองจากองค์พระผู้เป็นเจ้า โดยการประสานงานของอาจารย์อาบิดีน วันหวัง ได้รับการอุปถัมภ์ในการจัดพิมพ์ เพื่อมอบเป็นวิทยาทานโดยไม่คิดมูลค่า จำนวนหนึ่งพันเล่มจากท่านที่เคารพหลายท่านที่ได้ร่วมกันสละทุนทรัพย์และได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายที่ร่วมกันประคับประคองให้หนังสือเล่มนี้ออกสู่สายตาของท่านทั้งหลาย
ขออัลลอฮ์ (ซ.บ.) ได้โปรดประทานความสุข สดชื่น และสมหวังทั้งดุนยาและอาคิเราะฮ์ จงประสบแด่ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายทุกคน และหากผู้ใดพบความผิดพลาด ไม่ว่าจะด้วยกรณีใดๆ เพื่อเป็นกุศลสำหรับตัวท่าน โปรดแจ้งให้ทราบ เพื่อจะได้เปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องในการจัดพิมพ์ครั้งต่อไป
อับดุลการีม วันแอเลาะ
10 พ.ย. 2532
ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์ผู้ทรงเมตตาปรานีเสมอ
การสรรเสริญเป็นของอัลลอฮ์ ขอซอละหวาดและสลามจงประสพแด่ผู้ที่พระองค์ทรงคัดเลือก และผู้ที่พระองค์ทรงคุ้มครอง ทั้งในเบื้องต้นและบั้นปลาย
กองบรรณาธิการฝ่ายจัดพิมพ์ และเผยแพร่ขอเสนอสารประโยชน์ทางวิชาการที่มีความสำคัญที่สุด
ด้วยศรัทธา และความสำรวม และด้วยการธำรงไว้ซึ่งอำนาจแห่งอัลลอฮ์และด้วยหน้าที่แห่งการเผยแผ่ (เชิญชวน) สู่อัลลอฮ์ (ซ.บ.) เรามีความยินดีที่จะได้เสนอข้อมูลททางวิชาการเกี่ยวกับที่มาอันบริสุทธิ์ของโลกซูฟีในอิสลามแก่ท่านทั้งหลาย ในการจัดพิมพ์ครั้งที่สามนี้ทั้งนี้หลังจากได้ขัดเกลาและเติมต่อให้สมบูรณ์ที่สุดเราขอเสนอแด่ซูฟีมุสลิมที่ได้รับแนวทางอันถูกต้อง และแด่ผู้ค้นคว้าแนวทางแห่งความผูกพันต่ออัลลอฮ์ (ซ.บ.) และแด่ผู้ที่สนใจแสวงหาความสมบูรณ์ และความเข้าใจอันถูกต้อง และแด่ผู้ที่มีวัฒนธรรมอันสัตย์ซื่อ ต่อการสัมผัสธาตุแท้อันไร้มลทิน และสดับยอมรับวิชาการ และแด่ผู้ที่ทุ่มเทเพื่อสร้างเอกภาพขึ้นในสังคมมุสลิม หลังจากที่ได้มีการแตกแยกเป็นคณะต่าง ๆ ที่ตัดสินปัญหากันด้วย อารมณ์ และบุคคลนิยม อันเป็นการตัดขาดจากห่วงยึดที่มีมาโดยตลอด
พฤติกรรมอันเป็นมรดกของอิสลามนี้ เป็นหน้าที่ของทุกคนที่เจริญรอยตาม
ผู้แต่งหนังสือเล่มนี้คือ มูฮัมมัด ซักกีย์ อิบรอฮีม
ตำแหน่ง ผู้นำ อัล-อะซีเราะฮ์ อัล-มุฮัมมะดียะห์
ตำแหน่ง คณะกรรมการสภาสูงว่าด้วยกิจการฝ่ายอิสลาม
ตำแหน่ง เชค ต่อรีเกาะฮ์ อัลมุฮัมมะดียะฮ์ อัซซาลิซียะห์
คำถามที่หนึ่ง
ก. ตะเซาวุฟในอิสลามนั้น มีจุดมุ่งหมายอย่างไร ?
ข. ตะเซาวุฟมีมาตั้งแต่สมัยร่อซู้ล ฯ (ซ.ล.) จริงหรือ ?
ค. เพราะเหตุใด จึงให้คำนิยามแตกต่างกัน ?
ง. เพราะเหตุใด จึงระบุถึงแหล่งที่มาแตกต่างกัน ?
คำตอบที่หนึ่ง
ก. จุดมุ่งหมายของตะเซาวุฟในอิสลามนั้น รู้ได้จากคำนิยามที่ให้กันไว้หลายรูปแบบ ซึ่งพอสรุปได้ว่า
التخل
ความว่า การเปลื้องหรือถอดความต่ำต้อยทั้งปวงทิ้งไป และสวมใส่สิ่งที่ดีงามทั้งปวง เป็นพฤติกรรมที่ก้าวไปสู่ระดับที่ใกล้ชิดและถึงพระองค์เป็นการย้อนกลับไปเริ่มต้นสถาปนาการเป็นมนุษย์และผู้พบตัวเองกับพระผู้อภิบาลของเขา ทั้งในด้านคติกรรม วจีกรรมพฤติกรรม และมโนกรรม ในสภาพการณ์ทั่ว ๆ ไปของมนุษย์
คำนิยามดังกล่าวข้างต้นนี้ สามารถสรุปให้สั้นลงมาเหลือคำเดียวว่า اَلتقْوَى คือความยำเกรงระดับสูงทั้งภายนอกและภายใน จริง ๆ แล้วตักวานั้นคือความเชื่อที่มีพฤติกรรมสนองตอบ กล่าวคือ สัมพัธภาพระหว่างมนุษย์กับอัลลออฮ์ (ซ.บ.) ในลักษณะของการ (อิบาดะห์) ถวายความจงรักภักดีที่ต้องสวยงามและสัมพันธภาพระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ ในทางพฟติกรรมที่ดีงาม ดังกล่าวนี้ คือ วะฮีที่อัลลอฮ์ (ซ.บ.) ท่านได้ประทานมายังนะบีทุกท่าน และบนพื้นฐานดังกล่าวนี้ทำให้มนุษย์ก้วขึ้นสู่ฐานะอันสูงส่ง
สำหรับสัญญานของตักวานั้น คือ การขัดเกลา ดังอัล-กุรอานในซูเราะฮ์อัล-อะลา โองการหนึ่งกล่าวว่า
ความว่า โดยแน่แท้ผู้ที่ขัดเกลาตัวเองนั้น คือผู้ที่มีชัย
และกุรอานซูเราะฮ์อัซซัมซิ อีกโองการหนึ่งกล่าวว่า
ความว่า โดยแน่แท้ผู้ที่ขัดเกลามัน คือ ผู้ที่มีชัย
ข. ตามความเข้าใจดังกล่าวนั้น ย่อมมั่นใจได้ว่า ตะเซาวุฟนั้นมีมาตั้งแต่สมัยของท่านนะบี ศ้อลฯ สมัยซอฮาบะฮ์ สมัยตาบิอีน และในสมัยถัด ๆ มา
และตะเซาวุฟที่เด่นที่สุดนั้น จะต้องเป็นแบบอย่างที่ดีเช่น มีการเชิญชวน การต่อสู้ การมีพฤติกรรมที่ดีการซิเกร การใช้ความคิด และการมีสมถะ ซึ่งทั้งหมดดังกล่าวนี้ คือส่วนประกอบของตักวา หรือการขัดเกลาอย่างนี้แหละคือตะเซาวุฟที่มาพร้อมกับวะอีจากอัลลอฮ์ (ซ.บ.) อันหมายถึงตะเซาวุฟของกุรอาน และซุนนะห์ ซึ่งแยกได้ว่า ตเซาวุฟที่เรียกว่าความยำเกรง และการขัดเกลานั้น คือ ตะเซาวุฟจากอัล-กุรอาน ส่วนตะเซาวุฟที่เรียกว่าคุณธรรมนั้นคือ ตะเซาวุฟจากอัล-ฮาดีส และเมื่อรวมเข้าด้วยกันแล้วเรียกว่าอยู่ใน مَقَامَ ตำแหน่งอันสูงสุดของอิสลามดังที่พระมหาคัมภีร์อัล-กุรอานซูเราะห์ อาละอิมรอนโองการที่ 79 กล่าวว่า
ความว่า พวกท่านจงเป็นผู้รู้ ผู้ปฏิบัติเพื่อพระผู้อภิบาล ตามที่พวกท่านศึกษาและรู้จากคัมภีร์
ดังกล่าวนี้คือตะเซาวุฟที่เรารู้จัก แต่หากมีตะเซาวุฟแหวกไปจากเส้นทางนี้ เราก็ไม่เกี่ยวข้องด้วยภัยพิบัติหรือโทษทัณฑ์ก็จะประสบแก่พลพรรคของตะเซาวุฟในแนวทางนั้น ซึ่งเราจะไม่ถูกสอบสวน เพราะมีอัลกุรอานซูเราะฮ์อัตตูร โองการที่ 21 กล่าวไว้ว่า
ความว่า คนทุกคนนั้นต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ได้กระทำ
พึงรู้ว่า ตะเซาวุฟ(วิชาตเซาวุฟ) นั้นอย่างหนึ่งและซูฟี (ผู้รู้ตะเซาวุฟนั้นก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง)
ค. สำหรับการที่คำนิยามของวิชาตะเซาวุฟมีอยู่หลายอย่างนั้น ก็ขึ้นอยู่กับความเข้าใจของแต่ละคนซึ่งแต่ละคนก็จะมีความเข้าใจของตนเองน้อยบ้าง มากบ้าง สูงบ้าง ต่ำบ้าง ก็ไม่ได้เป็นการขัดกันแต่ประการใด และแท้ที่จริงนั้น มันก็คือสิ่งเดียวกัน คือธาตุแท้อันเดียวกัน เช่น สวนที่กว้าง ผู้คนที่เดินเข้าไปต่างก็ไปนั่งกันอยู่ตามใต้ต้นไม้ และแน่นอนแต่ละคนก็จะบรรยายถึงสภาพสวนตามลลักษณะของความรู้สึกที่เมื่อได้อยู่ใต้ต้นไม้แต่ลต้นของแต่ละคนซึ่งก็ไม่มีคนใดกล่าวว่าในสวนนี้ ไม่มีต้นไม้อื่นนอกจากต้นนี้
ไม่ว่าคำนิยามของวิชานี้ จะมีมากมายสักปานใดก็ตาม แต่ต่างก็มุ่งหมายถึงการขัดเกลา การตักวา การมีคุณธรรม ซึ่งคือ ตำแหน่งอันสูงสุดของอิสลาม คือตะเซาวุฟ ในแนวทางของการฮิจเราะฮ์สู่อัลลอฮ์ ดังอัล-กุรอานซูเราะห์อัซซาริยาต โองการที่ 50
ความว่า ดังนั้น พวกท่านจงหนีไปหาอัลลอฮ์ (ซ.บ.) แท้จริงฉันนี้เป็นผู้แนะนำแนวทางอันชัดแจ้งจากพระองค์เท่านั้น (หมายถึงให้ไปหาผลบุญ ไปหาการตออัต ให้หนีการลงโทษ หนีการทรยศ)
และอัล-กุรอานซูเราะฮ์อังกะบูต โองการที่ 26 กล่าวว่า
ความว่า แท้จริง ฉันนอพยพไปสู่ผู้อภิบาลของฉัน
จริง ๆ แล้ว คำนิยามทั้งหมดที่แตกต่างกันนั้นก็คือคำนิยามเดียวกันที่ต่างให้ความสมบูรณ์ซึ่งกันและกัน
ง. สำหรับความแตกต่างในด้านแหล่งที่มาของวิชาตะเซาวุฟนั้น เกิดขึ้นจากศัตรูของอัลลอฮ์ (ซ.บ.) ที่ได้พยายามทำให้ความบริสุทธิ์ต้องแปดเปื้อนมีมลทิน
ตะเซาวุฟนั้น ก็มีรายละเอียด มีส่วนประกอบดังกล่าวมาแล้ว ใครก็ตามที่บิดเบือนไม่รักษาส่วนประกอบของตะเซาวุฟไว้ ก็ถือว่าผิดพลาด หลงใหล มิได้พิจารณาธาตุแท้ของตะเซาวุฟ ดังนั้น การที่เข้าใจตะเซาวุฟอย่างนั้น แล้วก็หู่ก่มลงไปว่าไม่ถูกต้องก็เป็นเพราะตะเซาวุฟนั้นมิใช่ตะเซาวุฟที่ครบส่วนประกอบ หรือครบเครื่องปรุง แน่นอนต้องผิดพลาด
การที่จะถือว่า เมื่อสิ่งนี้ผิด สิ่งอื่นก็ผิดด้วยนั้นไม่ใช่ความถูกต้องแน่นอน กินกับปัญญาหรือ ? ถูกแล้วหรือ? ที่มุสลิมจะสลัดอิสลามของเขาเนื่องจากมีมุสลิมบางกลุ่มบางพวกดื่มเหล้า หรือมั่วอยู่กับสิ่งต้องห้ามแล้วถือว่า การกระทำของพวกเหล่านั้น เป็นหลักฐานว่าอิสลามไม่ได้มาจากอัลลอฮ์ (ซ.บ.) เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอย่างลึกซึ้งครับ โอ้มวลมนุษย์เอ๋ย !
คำถามที่สอง
ก. ใครคือคนซูฟี ?
ข. ทำไมจึงแตกต่างไปจากมุสลิมทั่วไป ?
ค. คนซูฟี กับ คนตะกี (คนที่มีความยำเกรง) คนที่เป็นมุมิน คนที่เป็นมุสลิม หรือคนที่เป็นซิดดีก มีความแตกต่างหรือไม่ ?
ง. หากไม่มีข้อแตกต่างกัน ทำไมจึงเรียกว่าคนซูฟี ?
คำตอบที่สอง
ก. ซูฟีที่แท้จริงนั้น คือมุสลิมตังอย่าง บรรดาผู้นำหรืออิหม่ามทางซูฟีต่างมีทัศนะสอดคล้องกันว่าตะเซาวุฟนั้นคือ อัล-กุรอาน และอัล-ฮาดีสที่ยึดถือและปฏิบัติตามด้วยความจริงใจ และอย่างมีความระมัดระวัง ซึ่งบรรดาผู้นำหรืออิหม่ามทางซูฟีต่างกำหนดเป็นเงื่อนไขให้สานุศิษย์ยึดมั่นอยู่ในโองการจากพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานที่ว่า
ความว่า พวกท่านจงเป็นผู้รู้ ผู้ปฏิบัติเพื่อพระผู้อภิบาลตามที่พวกท่านศึกษา และรู้จากคัมภีร์
ความรู้ ณ ที่นี้(ที่สำคัญ) คือ ความรู้ทางศาสนาที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของอัล-กุรอาน และอัล-ฮาดีส ซึ่งเป็นบ่อเกิดของวิชาการทุกแขนงที่ทำให้มนุษย์มีการพัฒนา และมีอารยธรรมที่ดีงามสืบต่อกันมา ดังนั้นวิชาตะเซาวุฟจึงเป็นวิชาที่ครอบคลุมทั้งเรื่องของศาสนาและเรื่องของดุนยา
ด้วยเหตุนี้ บรรดาผู้นำตะเซาวุฟ เป็นสำคัญสำหรับท่าน ญุเนด (ร.ฮ.) จึงกล่าวว่า
ผู้ใดที่ไม่ถึงซึ่งความรู้ในอัล-กุรอาน และอัล-ฮาดีส ผู้นั้นมิใช่ซูฟี
ซึ่งบรรดาผู้นำในทางตะเซาวุฟ ทั้งในรุ่นแรกและรุ่นถัดมา ต่าก็มีทัศนะสอดคล้องกัน ท่านสามารถค้นคว้าหลักฐานจากทัศนะของพวกเขาได้ที่ อัล-กุซัยรีย์อัซซะรอนีย์ ตลอดจนที่อยู่ในสมัยเดียวกันกับท่านทั้งสองนี้และในสมัยถัด ๆ มา
ข. ที่ว่าซูฟีแตกต่างไปจากมุสลิมทั่ว ๆ นั้น คือ แตกต่างกันที่ อะมั้ล (ความเคร่งครัดในการปฏิบัติ) ดังนั้น เมื่อซูฟีได้ปฏิบัติตนตามแบบอย่าง อีกทั้งยังมีการเชิญชวนด้วยนั้น ซูฟีจึงมีความแตกต่างไปจากชนกลุ่มอื่น ๆ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความพยายามและการต่อสู้อย่างจริงจังของพวกเขา ซึ่งลักษณะอย่างนี้ก็คือลักษณะเฉพาะ ที่อาจจะมีขึ้นในรูปแบบใด และในชนกลุ่มใดก็ได้
ชาวซูฟี ถือว่าสิ่งใดที่ปวงปราชญ์มีทัศนะต่างกันนั้นเป็นสิ่งที่หะรอมทั้งนี้ก็เพื่อหลีกตัวเองออกจากสภาพอันกำกวมนั่นเอง พวกเรารู้กันดีว่าคนในสมัยแรกเข้าทิ้ง กล่าวคือ ไม่สนใจของที่หะล้าลกันถึงเก้าในสิบส่วนทั้งนี้เพราะกลัวว่า จะตกอยู่ในสภาพที่หะรอม พวกเขายึดกันอย่างนี้อย่างจริงจัง และพวกเขาก็พยายามกระทำในสิ่งที่พึงต้องกระทำกันอย่างจริงจังด้วย
อัลเลาะห์กล่าวว่า
ความว่า และสำหรับผู้คนที่ต่างระดับกันนั้นก็สืบเนื่องมาจากการกระทำของพวกเขา
จึงได้ความว่า ณ ที่นี้ว่า การกระทำนั้นคือ พื้นฐานแห่งความแตกต่าง
ค. สำหรับความแตกต่างระหว่างคนซูฟี กับมุสลิมหรือมุมินหรือตากีนั้น ก็เพราะอิสลามได้กำหนดให้เรารู้จักนุษย์ ตามลักษระเฉพาะของพวกเขา อัลลอฮ์ (ซ.บ.) ท่านเรียกมุฮาญิรีน อันศอร ทั้งนี้ก็ด้วยลักษณะเฉพาะของพวกเขา ซึ่งพวกเขาก็เป็นมุสลิมเป็นมุมิน เป็นอัตกิยาอ์
ท่านร่อซู้ล ศ้อลฯ เรียกท่านบิล้าลว่า บิล้าล อัล-หะบะซีย์ เรียกศุเฮบว่า ศุเฮบอัรรูมีย์ เรียกซัลมานว่า ซัลมาน อัล-ฟาริซีย์ตามสัญชาติของพวกเขาแตกต่างกัน ทั้ง ๆ ที่พวกเขาก็เป็นมุสลิม เป็นมุมิน เป็นอุตกิยาอ์
และอัล-กุรอานก็เรียกมุสลิมเป็นหลายอย่าง เช่น เรียกว่า คอซิอีน กอนิตีน ตาบิอีน มตะศ๊อดดิกีน อาบิดดีน ฮามิดีน และอื่น ๆ ทั้ง ๆที่พวกเขาเหล่านั้นก็คือ ชาวลาอิลาฮะอิ้ลลัลลอฮ์
ดังนั้น การเรียกมนุษย์โดยระบุลักษณะเฉพาะด้วยนั้น คือ ซุนนะฮ์ แนวทาง ของอัล-กุรอาน และ อัล-ฮาดีส
เมื่อชนกลุ่มนี้เป็นที่รู้จักกันในนามของ ซูฟียะฮ์ จึงงไม่ได้เป็นบิดอะฮ์แต่อย่างใดที่จะเรียกพวกเขาอย่างนี้
ไฉนการเรียกอย่างนี้ จึงทำให้คิดกันไปต่าง ๆ นานา แต่กลับไม่คิดไม่สงสัยเมื่อเรียกกันว่า ซะละฟียะอ์ อัซฮะรียะฮ์ ซาฟีอียะฮ์ มาลิกียะฮ์ ฮัมบะลียะฮ์ หรือว่าในขณะนั้นเขาตั้งสมาคมที่มีชื่อเช่นนี้กัน พึงสังเกตว่าเป็นคำถามที่ไม่น่าถาม ทั้งนี้หากผู้ถามมิได้เป็นผู้คลั่งไคล้อยู่ในแนวทางที่อัปปาง