ผู้เขียน หัวข้อ: นำ​เสนอเกี่ยว​กับ​อัลหะดิษ​และ​หลักวิชาอัลหะดีษ  (อ่าน 8325 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ intifad

  • ทีมงานหลังบอร์ด (-_-''')
  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • *****
  • กระทู้: 148
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
    • www.sunnahstudents.com

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته

ในกระดานหมวดของ หะดิษ นี้  พี่น้องสามารถ  นำเสนอหะดิษ  มาให้บรรดาพี่น้องที่มีความรู้ในที่นี้  ช่วยทำการอธิบายก็ได้นะครับ  โดยตั้งกระทู้ขึ้น  มาทางพี่น้องเราจะชี้แจง 

หรือมีหะดิษใดที่พี่น้องของเราไม่รู้ถึงสภานะภาพหรือระดับของหะดิษ  ทางพี่น้องที่มีความรู้ของเราในที่นี้ จะช่วยทำการค้นคว้า  บอกถึง ระดับความซอฮิหฺ  หะซัน และฏออีฟ ของหะดิษได้นะครับ  อินชาอัลเลาะฮ์  หากพวกเรารู้  เราจะตอบและชี้แจงให้

หรือพี่น้องนักศึกษาบางท่าน  ไม่เข้าใจเกี่ยวกับหลักพิจารณาหะดิษในบทหนึ่งบทใด  ก็ตั้งกระทู้ถามเรามาได้นะครับ  หากเรารู้  เราก็จะช่วยกันตอบให้  อินชาอัลเลาะฮ์

والسلام
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ philosophy

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 94
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
تاسلام عليك
ขอร่วมในความดีด้วยคนนะครับ
بسم الله الرحمن الرحيم
หะดีษ حديث
ความหมายของหะดีษ
 

ความหมายทางภาษา

คำว่าหะดีษในภาษาอาหรับมีความหมายดังนี้
          1.  แปลว่า ใหม่ ซึ่งตรงข้ามกับคำว่า เกาะดีม قديم    ซึ่งแปลว่า เก่า

2.    แปลว่า คำพูด เช่น หะดีษของอับดุลลอฮฺ หมายถึง คำพูดของอับดุลลอฮฺ เป็นต้น

 

ความหมายทางวิชาการ

หะดีษ คือ คำพูด  การกระทำ การยอมรับ และคุณลักษณะ ตลอดจนชีวประวัติของท่านนบีมุฮัมหมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวัสลัม)

          อิบนุหะญัร อัล-อัสเกาะลานีย์ให้นิยามของหะดีษว่า ?ทุกๆสิ่งที่พาดพิงถึงท่านนบี(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวัสลัม)?

 

คำที่มีความหมายใกล้เคียงกับหะดีษ
1.    อัซซุนนะฮฺ   السنة       

2.    อะษัร  أثر       

3.    เคาะบัร  خبر

1.  อัซซุนนะฮฺ  السنة  เดิมนั้นแปลว่า แนวทาง หรือ แบบอย่าง  ส่วนความหมายทางวิชาการนั้นมีหลายนิยาม

·  นักปราชญ์วิชาหะดีษและปราชญ์อุศูลุลฟิกฮ์ให้ความหมายอัซซุนนะฮฺเช่นเดียวกับคำว่าหะดีษ

·  นักปราชญ์วิชาฟิกฮฺให้ความหมายอัซซุนนะฮฺว่า สิ่งที่มีบัญญัติพึ่งกระทำ หากละเว้นไม่กระทำก็ไม่มีบทลงโทษใดๆ ซึ่งตรงข้ามกับคำว่าวาญิบ(จำเป็น)หรือฟัรฎู(บังคับต้องกระทำ)

·  นักปราชญ์ทั่วไปใช้คำว่า อัซซุนนะฮฺในบางครั้งหมายถึง สิ่งตรงข้ามกับคำว่าบิดอะฮฺ (อุตริกรรม)

2.  อะษัร  أثر  ความหมายเดิมคือ ร่องรอย เครื่องหมาย หรือสิ่งที่หลงเหลือ

·  นักปราชญ์วิชาหะดีษให้ความหมายอะษัรเช่นเดียวกับคำว่าหะดีษ

·  นักปราชญ์บางท่านให้ความหมายว่า คำพูดหรือการกระทำของเศาะหาบะฮฺและตาบิอีน

3.  เคาะบัร خبر  ความหมายเดิมคือ ข่าว เรื่องราว

·  นักปราชญ์วิชาหะดีษให้ความหมายเคาะบัรเช่นเดียวกับคำว่าหะดีษ

·  นักปราชญ์บางท่านให้ความหมายว่า หะดีษคือสิ่งที่มาจากท่านรอซูล  ส่วนเคาะบัรคือสิ่งที่มาจากผู้อื่น

 

*ปราชญ์ บางท่านก็จำแนกคำที่กล่าวมาข้างต้นดังนี้

·  หะดีษ  حديث คือสิ่งที่มาจากท่านรอซูล

·  อะษัรأثر  คือสิ่งที่มาจากเศาะหาบะฮฺ ตาบีอีนและผู้ที่มาหลังจากพวกเขา

·  ส่วนเคาะบัร  خبر  คือ ชีวประวัติของบรรดากษัตริย์สมัยโบราณและบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์

 

ความแตกต่างระหว่างอัลกุรอานกับหะดีษ
1.      อัลกุรอานคือ   كلام الله(คำดำรัสของอัลลอฮฺ)ทั้งถ้อยคำและความหมาย ส่วนหะดีษเป็น- وحي วะห์ยู(วิวรณ์)จากอัลลอฮฺในด้านความหมายเพียงอย่างเดียว

2.      อัลกุรอานมีความเป็นมหัศจรรย์ และความท้าทาย  إعجاز و تحدى  ทั้งถ้อยคำและความหมายซึ่งต่างกับหะดีษ

3.      ผู้อ่านอัลกุรอานจะได้รับผลบุญถึง 10 เท่าในทุกพยัญชนะของการอ่าน

4.      ผู้หญิงที่มาประจำเดือน  ผู้หญิงมีเลือดหลังคลอด(นิฟาส)  ผู้มีหะดัษ (คือยังไม่อาบน้ำละหมาดหลังจากได้เสียน้ำละหมาดไม่ว่ากรณีใดๆ) หรือผู้มีญุนุบ (คือยังไม่อาบน้ำยกหะดัษหลังจากหลับนอนกับภรรยาหรือฝันเปียก)พวกเขาเหล่านั้นไม่อนุญาตให้แตะต้องคัมภีร์อัลกุรอานเด็ดขาด (บางทัศนะก็อนุญาตให้ผู้มีญุนูบ และผู้มีรอบเดือนอ่าน หรืสัมผัส อัลกุรฺอานได้เช่นกัน) ส่วนตำราหะดีษไม่มีข้อห้ามแต่ประการใด

5.      อัลกุรอานนั้นถูกบัญญัติให้นำมาอ่านในละหมาด ส่วนหะดีษไม่อนุญาตนำมาอ่านในละหมาด

6.      อัลกุรอานถูกถ่ายทอดรุ่นแล้วรุ่นเล่าด้วยกระบวนการ متواتر  มุตะวาติรฺ(มีบุคคลจำนวนมากรายงาน)ซึ่งต่างกับหะดีษบางส่วนเป็นมุตะวาติรฺ บางส่วนเป็นآحاد อาหาด(หะดีษไม่ถึงระดับมุตะวาติรฺ)

7.      ไม่อนุญาตให้รายงานอัลกุรอานด้วยความหมาย แต่หะดีษสามารถรายงานด้วยความหมายได้ตามเงื่อนไขที่มุหัดดิษีน(ปราชญ์หะดีษ)วางไว้

แค่นี้ก่อนครับ
والسلام

ออฟไลน์ del_dangerous

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 178
  • เพศ: ชาย
  • ถ้าชีวิตยังไม่สิ้นก็ต้องดิ้นกันต่อไป
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
หน้า 1
อัสสุนนะฮฺ

ความหมายทางภาษา
          อัสสุนนะฮฺมีความหมายทางภาษาศาสตร์หลายความหมาย อาทิ เช่น แนวทาง วิถีทาง หนทาง ใบหน้า และอื่นๆ

ความหมายทางวิชาการ
          อัสสุนนะฮฺ คือ สิ่งที่มาจากท่านนบี(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวาซัลลัม) ไม่ว่าจะเป็นคำพูด การกระทำ และการยอมรับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ส.ค. 24, 2007, 08:04 PM โดย del_dangerous »
ชีวิตคือการเดินทาง สิ่งที่ดีใจคือไม่ต้องเริ่มต้นใหม่ แต่สิ่งที่น่าเสียใจ คือ ย้อมกลับไปไม่ได้

ออฟไลน์ del_dangerous

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 178
  • เพศ: ชาย
  • ถ้าชีวิตยังไม่สิ้นก็ต้องดิ้นกันต่อไป
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
หน้าที่ 2
คำนิยามของคำว่า อัสสุนนะฮฺ ตามมติปวงปราชญ์ และนักวิชาการแต่ละแขนง

          1. มตินักวิชาการหะดีษ อัสสุนนะฮฺ คือ คำพูด การกระทำ การยอมรับ จรรยามารยาท ทุกอิริยาบท ตามธรรมชาติของท่านร่อซู้ล(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวาซัลลัม) ก่อนแต่งตั้งหรือหลังแต่งตั้ง

          2. มตินักวิชาการอุศูลุลฟิกฮฺ คือคำพูก การกระทำ และการยอมรับที่มาจากท่านร่อซู้ล(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวาซัลลัม)  จากคำนิยามของนักวิชาการอุซู้ลนั้น บ่งบอกถึงการศึกษา วิเคราะห์ถึง คำพูก การกระทำ การยอมรับของท่าน กลายมาเป็นกฎสากลต่างๆ ที่สำคัญ มาใช้เป็นธรรมนูญการดำเนนชีวิต

          จะเห็นได้ว่า นักปราชญ์วิชาหะดีษและปราชญ์อุศูลุลฟิกฮฺให้ความหมายอัสสุนนะฮฺเช่นเดียวกับคำว่าหะดีษ

          3. มตินักวิชาการฟิกฮฺ คือ สุนัต สิ่งที่มีบัญญัติพึ่งกระทำ หากละเว้นไม่กระทำก็ไม่มีบทลงโทษใดๆ ซึ่งตรงข้ามกับคำว่าวาญิบ(จำเป็น)หรือฟัรฎู(บังคับต้องกระทำ)จากคำนิยามดังกล่าว บ่งบอกถึงการศึกษา วิเคราะห์การกระทำต่างๆ ที่กลายมาเป็นกฎฮุก่ม ชะเราะอฺ ทั้งห้า คือ วาญิบ ฮารอม สุนัต มักโระหฺ มุบาฮฺ

          4. นักปราชญ์ทั่วไปใช้คำว่า อัสสุนนะฮฺในบางครั้งหมายถึง สิ่งตรงข้ามกับคำว่า บิดอะฮฺ (อุตริกรรม)
ชีวิตคือการเดินทาง สิ่งที่ดีใจคือไม่ต้องเริ่มต้นใหม่ แต่สิ่งที่น่าเสียใจ คือ ย้อมกลับไปไม่ได้

ออฟไลน์ del_dangerous

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 178
  • เพศ: ชาย
  • ถ้าชีวิตยังไม่สิ้นก็ต้องดิ้นกันต่อไป
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
หน้าที่ 3
ประเภทของอัสสุนนะฮฺและข้อบัญญัติ

คำว่า อัสสุนนะฮฺ เมื่อเราพิจารณาในแก่นของคำๆ นี้แล้ว เราจะพบว่า คำๆ นี้ถูกแยกออกเป็น 3 ประเภท ดังต่อไปนี้

1. ซุนนะฮฺเกาลิยะฮฺ
          แบบฉบับในเชิงคำพูด หมายถึง ทุกๆ ถ้อยคำของท่านร่อซูลุ้ลลอฮฺ(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวาซัลลัม) ที่ทรงกล่าวออกมาตามสภาวการณ์ต่างๆ โดยบ่งชี้ถึงฮุก่มของศาสนา ตัวอย่างเช่น ท่านร่อซู้ลุ้ลลอฮฺ ทรงกล่าวว่า
          ?แท้จริงทุกๆ การปฏิบัตินั้นขึ้นอยู่กับการตั้งเจตนา?
          ?น้ำของมัน (ทะเล) นั้นสะอาด และซาก (สัตว์ที่ตายเอง) ของมันก็หะลาล (กินได้)?

          หะดีษทั้งสองนี้เป็นตัวอย่าง ซุนนะฮฺเกาลิยะฮฺ

2. ซุนนะฮฺฟิอฺลิยาหฺ
          แบบฉบับในเชิงการปฏิบัติ หมายถึง ทุกๆ การปฏิบัติที่เกิดขึ้นจากท่านร่อซูลุ้ลลอฮฺ(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวาซัลลัม) เป็นการปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับศาสนา ไม่ว่า การปฏิบัติละหมาดของท่านร่อซูลุ้ลลอฮฺ(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวาซัลลัม) ซึ่งเป็นสิ่งบ่งบอกถึง วิธีการ และจำนวนรอกาอะหฺของการละหมาด การประกอบพิธีฮัจญ์ การอาบน้ำละหมาด สุนนะฮฺประเภทนี้มีมากมาย เช่น
          รายงานโดยท่านหญิงอาอีซะฮฺว่า ?ท่านร่อซูลุ้ลลอฮฺ(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวาซัลลัม)ชอบเริ่มด้านขวาเสมอในการสวมรองเท้า หวีผม ทำความสะอาด และกิจการทุกอย่างของท่าน?

3. ซุนนะฮฺตักรีริยะฮฺ
          แบบฉบับในเชิงยอมรับ หมายถึง การกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งต่อหน้าหรือลับหลังโดยที่ท่านทราบหรือท่านมิได้ปฏิเสธหรือห้าม ถือว่าสิ่งนั้นทำได้ และเป็นซุนนะฮฺอันเป็นที่มาของฮูก่มอีกด้วย ทั้งนี้เพราะหากการกระทำดังกล่าวผิดหลักการของอิสลามแล้วท่านก็จะไม่นิ่งเฉย แต่จะรีบปฏิเสธและห้ามทันที ดังกรณีที่มีเศาะหะบะหฺสามท่านได้ตั้งใจจะละหมาดตลอดคืนตลอดชีวิต อีกท่านหนึ่งตั้งใจจะทำการถือศีลอดทุกวันตลอดชีวิต และอีกท่านหนึ่งจะไม่ยอมแต่งงานตลอดชีวิต เพื่อจะได้อุทิศเวลาทุกวินาทีในการทำอิบาดะหฺ เมื่อท่านรอซูลุ้ลลุลลอฮฺได้ทราบความตั้งใจของเศาะหะบะฮฺทั้งสามท่านก็รีบห้ามความตั้งใจดังกล่าว พร้อมกับกล่าวว่า
          ?ความจริงฉันเป็นผู้ที่มีความกลัวและยำเกรงต่ออัลลอฮฺมากที่สุดในบรรดาพวกเจ้า แต่ฉันถือศีลอดและงดการถือศีลอด ฉันละหมาดและหลับนอน และฉันแต่งงาน ผู้ใดก็ตามที่ไม่ชอบหนทางของฉันเขาก็มิใช่พวกของฉัน (รายงานโดยบุคอรี มุสลิม และอะหมัด)
         
          สิ่งที่ปรากฏการนิ่งของท่านร่อซู้ลุ้ลลอฮฺ ไม่ได้ปฏิเสธการกระทำหรือการพูดของมุสลิมคนหนึ่งคนใดที่อยู่ต่อหน้าท่านหรือไม่ได้อยู่ต่อหน้าท่าน กอปรท่านร่อซูลุ้ลลอฮฺ(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวาซัลลัม)รู้เรื่องและสามารถที่จะปฏิเสธเรื่องนั้นๆ ตัวอย่าง
          ?การยอมรับของท่านร่อซูลุ้ลลอฮฺต่อการตัดสินปัญหาศาสนาของท่านมุอาซบุตรญ่าบั้ล ที่เมืองเยเมน? และอีกหนึ่งตัวอย่าง
          ?ท่านร่อซูลุ้ลลอฮฺไม่ได้ว่าอะไรกับท่านคอลิดบุตรอั้ลว่าลีด การที่ท่านกินแย้ทะเลทราย ต่อหน้าท่านร่อซูลุ้ลลอฮฺ?
          จากหะดีษข้างต้นแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงการยอมรับของท่านนบีมุฮัมมัด(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวาซัลลัม) โดยการยอมรับด้วยวาจาต่อหน้าเศาะหาบะฮฺ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ส.ค. 25, 2007, 12:44 PM โดย del_dangerous »
ชีวิตคือการเดินทาง สิ่งที่ดีใจคือไม่ต้องเริ่มต้นใหม่ แต่สิ่งที่น่าเสียใจ คือ ย้อมกลับไปไม่ได้

ออฟไลน์ philosophy

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 94
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
السلام علسكم
มาแว้ว...
ประเภทของหะดีษ

การจำแนกประเภทของหะดีษนั้นนักวิชาการได้จำแนกหะดีษเป็นดังนี้

1.      จำแนกตามลักษณะของกระแสรายงาน

2.      จำแนกตามลักษณะของการนำมาใช้มาเป็นหลักฐานอ้างอิง

3.      จำแนกตามลักษณะของผู้สืบ

  จำแนกตามลักษณะของกระแสรายงาน

แบ่งออกเป็นได้ สองประเภทคือ

1.      หะดีษมุตะวาติรฺمتواتر

2.      หะดีษอาหาด آحاد
   หะดีษมุะวาติรฺمتواتر คือหะดีษที่มีบุคคลจำนวนมากในทุกสมัยได้รายงานสืบทอดกันมายังต่อเนื่อง โดยไม่มีความเป็นไปได้เลยว่าบุคคลจำนวนมากเหล่านั้นจะสมคบกันกล่าวเท็จ

โดยจำนวนผู้รายงานในแต่ละช่วงนั้นนักวิชาการได้กำหนดว่าอย่างน้อยต้องมี 10 คนขึ้นไป

          สถานภาพของหะดีษมุตะวาติร ถือว่าเป็นสุดยอดของความถูกต้องโดยไม่มีข้อสงสัยเคลือบแคลงใดๆ ผู้ใดที่ปฏิเสธหะดีษมุตะวาติรผู้นั้นจะตกศาสนาเป็นกาฟิรฺ

 ตัวอย่างหะดีษมุตะวาติร

من كذب علي متعمدا فليتبوأ مقعده من النار

?ผู้ใดที่กล่าวเท็จแก่ฉัน(กุหะดีษนบีมาอ้าง)เขาผู้นั้นจงเตรียมที่นั่งของเขาในนรกเถิด?

ตัวบทหะดีษนี้มีศอหาบะฮ์มากกว่า 70 คนได้รานงานสืบทอดกันมา
ข้อสังเกตุ หะดีษประเภทนี้มีจำนวนน้อยกว่าหะดีษอาหาด
ไว้มาต่อใหม่คร้าบ...
والسلام
 ;) ;) ;)


aswar

  • บุคคลทั่วไป
อัสสลามุอะลัยกุม

ผมขอเสริมพอเป็นตะนอละกันนะครับ

ความหมายทางวิชาการ

หะดีษ คือ คำพูด  การกระทำ การยอมรับ และคุณลักษณะ ตลอดจนชีวประวัติของท่านนบีมุฮัมหมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวัสลัม)

          อิบนุหะญัร อัล-อัสเกาะลานีย์ให้นิยามของหะดีษว่า ?ทุกๆสิ่งที่พาดพิงถึงท่านนบี(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวัสลัม)?

 

คำว่า หะดีษ สำหรับมุหัดดิษีนแล้วครอบคลุมทุกอย่างที่เกี่ยวกับท่านรอซูล ศอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ครับ จึงมีบางท่านให้คำนิยามไว้ว่า

"คือคำพูด การกระทำ การยอมรับที่ถูกอ้างอิงถึงท่านรอซูล รวมถึงลักษณะทางจรรยาหรือลักษณะทางโครงสร้างร่างกายทั้งทางตรงและทางอ้อม รวมถึงการขยับเขยื้อนหรือการหยุดนิ่ง ไม่ว่าจะตอนตื่นอยู่หรือฝัน ไม่ว่าจะก่อนหรือหลังการเป็นรอซูล"

คำว่า ซุนนะฮ์ หรือ คอบัร หรืออะษัร นั้นก็มีความหมายเช่นเดียวกับหะดีษ ในทรรศนะของนักวิชาการหะดีษส่วนใหญ่

ดังกล่าวเพราะนักวิชาการหะดีษ(มุหัดดิษีน)มีการศึกษาเกี่ยวกับท่านรอซูลในแง่ที่ว่าท่านเป็นผู้นำแห่งมวลมนุษย์ เป็นผู้ที่นำแสงสว่างมา ฉะนั้นในทุกย่างก้าว ทุกการเคลื่อนไหว ทุกการหยุดนิ่งจึงเป็นสิ่งที่ต้องรวบรวม เล่าต่อ และศึกษา แม้ว่าเรื่องราวบางอย่างที่ถูกรายงานมานั้นจะไม่เกี่ยวกับหุกมใดๆทางบทบัญญัติก็ตาม

ซึ่งต่างกับฟุกอฮาอ์หรือนักฟิกฮ์ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับหุกมต่างๆทางศาสนา ดังนั้นพวกเขาจึงให้คำนิยามคำว่า "ซุนนะฮ์" ต่างกับมุหัดดิษีนซึ่งเป็นการมองถึงการกระทำของท่านอันจะบ่งบอกถึงหุกมใดหุกมหนึ่งในห้าหุกม...

คำว่า "ทางตรง,ทางอ้อม" ในคำนิยามที่ผมเสนอไปนั้นหมายความว่า
ทั้งคำพูด การกระทำที่เรียกว่าซุนนะฮ์ หรือหะดีษนั้นมีทั้งคำพูดของท่านรอซูลทั้งทางตรงและทางอ้อม

คำพูดทางตรง(หะกีเกาะตัน) เช่น
ท่านรอซูล กล่าวว่า "ทุกๆความดีนั้นเป็นศอดาเกาะฮ์"
ทางอ้อม(หุกมัน) เช่น
คำของศอฮาบะฮ์ที่มีเนื้อหาที่จะมาจากใครอื่นไม่ได้นอกจากท่านนบี หลักในการแยกแยะคือให้ดูว่าเนื้อหานั้นๆสามารถมาจากการใช้สติปัญญาหรือใช้การอิจติฮาดได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ถือว่าเป็นคำพูดของรอซูลทางอ้อม(มัรฟัวอ์ หุกมัน) ถ้าได้ถือว่าเป็นคำของศอฮาบะฮ์ท่านนั้นๆเท่านั้นไม่ใช่ของท่านรอซูล(เมากูฟ)

เนื้อหาที่จะเป็นมัรฟัวอ์หุกมันได้นั้นก็เช่น รายละเอียดวันกิยามะฮ์ สัญญาณวันกิยามะฮ์ ลักษณะนรกสวรรค์ ซึ่งเรื่องลักษณะเช่นนี้ไม่สามารถอิจติฮาดเองได้ โดยต้องมีเงื่อนไขดังต่อไปนี้ด้วย
1. สายสืบถึงศอฮาบะฮ์ท่านนั้นต้องศอเฮียฮ์
2. ต้องไม่ใช่เรื่องที่สามารถอิจติฮาดเองด้วยสติปัญญาได้
3. ศอฮาบะฮ์ท่านนั้นต้องไม่เคยไปรับถ่ายทอดเรื่องเล่าของชาวอิสราเอลมา(อิสรออีลียาต) ศอฮาบะฮ์ที่เคยได้รับเรื่องอิสรออีลียาต เช่น ท่านอับดุลลอฮ์ อิบนุ อัมร์ เป็นต้น

การกระทำของท่านรอซูลโดยตรงเช่น
รายงานที่ว่า "ท่านรอซูลนั้นเมื่อท่านสุญูดจะเอาเข่าลงก่อนมือ และเมื่อท่านลุกขึ้นจะเอามือขึ้นก่อนเข่า"
ทางอ้อมเช่น
รายงานที่ว่า "ท่านอลีย์นั้นละหมาดกุซูฟโดยได้รุกัวอ์มากกว่าหนึ่งครั้ง"
การที่การกระทำของท่านอลีย์ถูกตีความว่าเป็นการกระทำของท่านรอซูลทางอ้อมนั้นก็เพราะว่า เรื่องการละหมาดในลักาณะนี้นั้นไม่สามารถจะคิดเองได้ ท่านจะต้องได้รับการถ่ายทอดมาจากท่านรอซูลเท่านั้น และรายงานนี้ก็อยู่ในเงื่อนไข 3 ข้อดังที่ได้อ้างไปข้างต้น

การยอมรับของท่านรอซูลโดยตรงเช่น
รายงานที่ว่า ท่านรอซูลยอมรับการกินแย้ของบรรดาซอฮาบะฮ์
ทางอ้อมเช่น
บางท่านยกตัวอย่างว่าเป็นรายงานของท่านญาบิรที่ว่า "เราเคยหลั่งข้างนอกในขณะที่กุรอานก็ถูกประทานลงมา(เรื่อยๆ)"
หมายถึงในสมัยของท่านรอซูลนั่นเอง แม้ว่าจะไม่ได้รับการยอมรับตรงๆจากท่าน แต่ในเมื่อเป็นสมัยที่มีการลงกุรอานมาเรื่อยๆ หากว่าการหลั่งภายนอกเป็นหะรอมจริงแน่นอนว่าแม้ท่านรอซูลไม่เคยล่วงรู้แต่อัลกุรอานจะต้องลงมาเตือนเป็นแน่ ดังนั้นเมื่อไม่มีการลงกุรอานมาห้ามนั่นหมายถึงการถูกยอมรับนั่นเอง

ลักษณะของท่านโดยตรงเช่น
รายงานที่ว่า "ท่านรอซูลนั้นไม่ได้สูงฉะลู่แต่ก็มิได้เตี้ยม่อต้อ" เป็นต้น
ทางอ้อมเช่น
รายงานที่ว่า "ท่านอบูบักรนำท่านอัลหะซันมาขี่ที่คอแล้วพูดว่า ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ช่างเหมือนท่านนบีแต่ไม่เหมือนท่านอลีย์ ท่านอลีย์ได้ฟังก็ยิ้ม" เป็นต้น
รายงานดังกล่าวทำให้เรารู้ว่าลักษณะโครงสร้างของท่านรอซูลนั้นเหมือนท่านอัลหะซันลูกชายท่านอลีย์ โดยไม่ได้เป็นการบรรยายถึงท่านรอซูลทางตรง แต่เป็นทางอ้อม ดังนั้นเมื่อมีชายคนหนึ่งมาหาท่านอิบนุ ซีรีน โดยบอกกับท่านว่าเขาได้ฝันเห็นท่านรอซูล ท่านอิบนุ ซีรีนจึงให้เขาบรรยายลักษณะท่าน โดยชายคนนั้นบอกว่า เหมือนกับท่านอัลหะซัน ท่านอิบนุ ซีรีนจึงตอบว่า ท่านได้เห็นท่านนบีจริง

ลักษณะจรรยาของท่านโดยตรงเช่น
รายงานที่ว่า "ท่านรอซูลนั้นเป็นคนขี้อายยิ่งกว่าสาวบริสุทธิ์"
ทางอ้อมเช่น
รายงานที่ว่าศอฮาบะฮ์บางคนกล่าวว่า "ฉันไม่เคยเห็นผู้ใดมีลักษณะบุคลิกคล้ายท่านรอซูลมากไปกว่า อิบนุ อุมมิอับด์" ท่านอิบนุ อุมมิ อับด์ นั้นหมายถึงท่านอิบนุ มัสอูด รอฎิยัลลอฮุอันฮุ

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้คือตัวอย่างของหะดีษ หรือซุนนะฮ์ หรือคอบัร หรืออะษัรที่มีความเดียวกันทั้งหมดในทรรศนะนักวิชาการหะดีษส่วนใหญ่



2.  อะษัร  أثر  ความหมายเดิมคือ ร่องรอย เครื่องหมาย หรือสิ่งที่หลงเหลือ

·  นักปราชญ์วิชาหะดีษให้ความหมายอะษัรเช่นเดียวกับคำว่าหะดีษ

·  นักปราชญ์บางท่านให้ความหมายว่า คำพูดหรือการกระทำของเศาะหาบะฮฺและตาบิอีน


พวกเขาคือนักฟิกฮ์แห่งคุรอซาน โดยจะเรียกคอบัรโดยหมายถึงสิ่งที่เกี่ยวกับท่านรอซูล(มัรฟัวอ์) แต่ถ้าบอกอะษัรนั่นหมายถึงคำของศอฮาบะฮ์(เมากูฟ)หรือตาบิอีน(มักตัวอ์)


ความแตกต่างระหว่างอัลกุรอานกับหะดีษ

7.      ไม่อนุญาตให้รายงานอัลกุรอานด้วยความหมาย แต่หะดีษสามารถรายงานด้วยความหมายได้ตามเงื่อนไขที่มุหัดดิษีน(ปราชญ์หะดีษ)วางไว้



อาทิเช่น

1.ต้องเป็นผู้มีความรู้ในภาษาอาหรับ
2.ต้องรู้ถึงรายละเอียดความแตกต่างของการใช้คำที่จะใช้ในการสื่อความหมายว่าจะสื่อไปทางไหน
3.ตัวบทหะดีษดังกล่าวต้องไม่เป็นญะวามิอุลกะลิมของท่านรอซูล คือ ประโยคที่ท่านรอซูลพูดเพียงไม่กี่คำแต่มีความหมายมากมายมหาศาล ซึ่งเป็นสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงประทานให้กับท่านเป็นการเฉพาะ ดังที่ท่านเคยพูดว่า ".....และฉันได้รับ ญะวามิอุลกะลิม......."
4.ต้องไม่ใช่ถ้อยคำที่ถูกใช้ในการทำอิบาดะฮ์ (มุตะอับบัด บิติลาวะติฮี) เช่น คำตะชะฮุด เป็นต้น
5.ผู้รายงานต้องไม่รู้ตัวบทที่ถูกต้อง หมายถึง หากรู้ว่าคำจริงๆเป็นเช่นไรต้องรายงานตามคำจริง ไม่อนุญาตให้รายงานโดยความหมาย
เป็นต้น

แค่นี้ก่อนละกันครับ

วัสสลาม

aswar

  • บุคคลทั่วไป
อัสสลามุอะลัยกุม


  จำแนกตามลักษณะของกระแสรายงาน

แบ่งออกเป็นได้ สองประเภทคือ

1.      หะดีษมุตะวาติรฺمتواتر

2.      หะดีษอาหาด آحاد


จำแนกตามกระแสรายงาน หมายความว่า ตามจำนวนของสายรายงาน

เพราะหะดีษๆหนึ่งนั้นอาจเป็นไปได้ว่าถูกรายงานมาโดยปริมาณของนักรายงานไม่กี่คน ซึ่งจำเป็นต้องตรวจสอบประวัติผู้รายงาน เพื่อยืนยันถึงความถูกต้องของตัวบทดังกล่าว หะดีษประเภทนี้คือ อาฮาด

หรือหะดีษๆหนึ่งอาจถูกรายงานมาโดยผู้คนจำนวนมากมายที่ไม่อาจคิดได้ว่าสุมหัวกันกุเรื่องดังกล่าวขึ้น โดยไม่มีความจำเป็นต้องตรวจสอบผู้รายงาน เนื่องจากจำนวนที่มากมายดังกล่าวยืนยันด้วยตัวมันเองแล้วว่าตัวบทดังกล่าวเป็นเรื่องจริง ประเภทนี้เรียกว่า มุตะวาติร


หะดีษมุะวาติรฺمتواتر คือหะดีษที่มีบุคคลจำนวนมากในทุกสมัยได้รายงานสืบทอดกันมายังต่อเนื่อง โดยไม่มีความเป็นไปได้เลยว่าบุคคลจำนวนมากเหล่านั้นจะสมคบกันกล่าวเท็จ


ความจริงต้องเพิ่มเติมในคำนิยามนี้ด้วยว่า "ซึ่งเป็นตัวบทที่มีเนื้อหาที่ได้รับมาจากประสาทสัมผัส"

คำว่าประสาทสัมผัสนั้นหมายถึง เรื่องดังกล่าวนั้นผู้ที่ได้รับมาในชั้นแรกต้องได้รับมาแบบได้ยิน หรือได้ฟัง ได้เห็น

เงื่อนไขของมุตะวาติร

1. ต้องถูกรายงานโดยผู้คนจำนวนมากมายที่ไม่สามารถคิดได้ว่าพวกเขาเผอิญรายงานตรงกัน หรือสุมหัวกันเพื่อกุเรื่องดังกล่าวขึ้น
2. จำนวนดังกล่าวต้องมีในทุกชั้นของสายสืบ หมายถึง ต้องเป็นจำนวนมากมายของศอฮาบะฮ์ถ่ายทอดแก่จำนวนมากมายของตาบิอีน สู่จำนวนมากมายในชั้นตาบิอิตตาบิอีน เป็นเช่นนี้กระทั่งสุดสายสืบ หากในชั้นไหนมีจำนวนไม่ถึงดังกล่าวไม่ถือเป็นมุตะวาติร
3. ต้องเป็นเรื่องที่รับมาจากประสาทสัมผัส หู ตา เงื่อนไขนี้เเสดงให้เห็นว่าสิ่งที่เป็นมะอ์กูลาตหรือสามารถใช้สติปัญญาได้นั้นไม่นับเป็นมุตะวาติร ดังนั้น หากมีจำนวนคนรายงานกันมาอย่างหนาแน่นว่า 1+1 = 2 นั่นไม่ใช่หะดีษมุตะวาติร หรือมีการรายงานกันมาว่าโลกเป็นของใหม่(ฮาดิษ) หรือพ่อย่อมแก่กว่าลูก รายงานเหล่านี้ไม่ถือเป็นมุตะวาติร

นักวิชาการหะดีษมากมายโดยเฉพาะรุ่นแรกๆนั้นไม่ได้มีการศึกษาหะดีษมุตะวาติร โดยพวกท่านไม่เห็นว่ามุตะวาติรจะเป็นบทหนึ่งในอุลูมหะดีษ เนื่องจากบรรดามุหัดดิษีนนั้นจะศึกษาตัวบทหะดีษควบคู่ไปกับรายละเอียดของนักรายงานในด้านประวัติส่วนตัว แต่หะดีษมุตะวาติรนั้นไม่จำเป็นต้องสืบหาความน่าเชื่อถือของผู้รายงาน จึงทำให้มุหัดดิษีนยุคก่อนไม่ได้นับมุตะวาติรเป็นบทหนึ่งในวิชาการหะดีษ แต่มุตะวาติรนั้นจะถูกศึกษาจากนักวิชาการอุศูลุลฟิกฮ์


โดยจำนวนผู้รายงานในแต่ละช่วงนั้นนักวิชาการได้กำหนดว่าอย่างน้อยต้องมี 10 คนขึ้นไป


ความจริงแล้วนักวิชาการไม่ได้ใช้คำว่าต้องมากกว่า 10 คน แต่ใช้คำว่า จำนวนใดก็ได้ที่จะได้มาซึ่งปริมาณที่หนาแน่น(ตะวาตุร) ซึ่งเป็นคำที่ครอบคลุมกว่า แม้ว่าหะดีษมุตะวาติรส่วนใหญ่จะมีคนรายงานในแต่ละชั้นมากกว่า 10 คนก็ตาม ซึ่งในเรื่องจำนวนผู้รายงานนั้นมีการขัดแย้งกัน บางคนว่า 4 บ้างว่า 10/12/20 หรือแม้กระทั่ง 70 คน แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่จำนวนใดก็ได้ที่จะได้มาซึ่งปริมาณที่มากมาย

หะดีษมุตะวาติรนั้นแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1. มุตะวาติร ลัฟซีย์
2. มุตะวาตริ มะอ์นะวีย์

มุตะวาติรลัฟซีย์ คือ มุตะวาติรที่มีการรายงานถ้อยคำมาอย่างหนาแน่น เช่น "ผู้ใดที่โกหกใส่ฉันโดยเจตนา จงเตรียมที่นั่งไว้ในไฟนรก" ซึ่งทุกสายถูกรายงานมาในสำนวนลักษณะเช่นนี้ทั้งหมด

มุตะวาติรมะอ์นะวีย์ คือ มุตะวาติรที่มีการรายงานมาในลักษณะของความหมาย เช่น เมื่อท่านรอซูลจะขอดุอาอ์ท่านจะยกมือ
หมายถึง ไม่ได้ถูกรายงานมาเป็นสำนวนหรือถ้อยคำเดียวกัน แต่เป็นรายงานจากหลายคน หลายสถานที่ หลายวาระ อันจะสื่อความหมายได้ว่าเมื่อท่านรอซูลจะขอดุอาอ์เมื่อไหร่ท่านก็จะยกมือ

ยกตัวอย่างง่ายๆเช่น มีรายงานมาว่า นาย ก ให้เงิน นาย ข อีกรายงานมีว่าเคยให้รถจักรยานกับนาย ค อีกรายงานบอกว่าเคยแบ่งที่ดินยกให้นาย ง รายงานทั้งหมดนี้ต่างกรรมต่างวาระ แต่ทั้งหมดได้ทำให้เรารู้ว่า นาย ก เป็นคนที่ใจบุญ เป็นต้น

ท่านอิมามอัซซุยูฏีย์มีหนังสือชื่อ فض الوعاء في أحاديث رفع اليدين في الدعاء ซึ่งเป็นหนังสือที่รวบรวมหะดีษเกี่ยวกับการยกมือของท่านรอซูลเมื่อทำการดุอาอ์ ซึ่งมีอยู่ร้อยหะดีษ อันทำให้เราได้รู้ความหมายโดยรวมว่า "เมื่อท่านจะดุอาอ์ท่านจะยกมือ" เพราะการยกมือขอดุอาอ์ของท่านรอซูลเป็นมุตะวาติรมะอ์นะวีย์นั่นเอง ซึ่งค้านกับบางกลุ่มที่กล่าวว่าให้ดูเนื้อหาในแต่ละเรื่องว่าท่านนบียกที่ใดบ้าง และเมื่อไหร่บ้างจึงจะยกตามเท่านั้น

อัลฮาฟิซอัซซุยูฏีย์ มีหนังสือรวบรวมหะดีษมุตะวาติร ชื่อ อัลอัซฮาร อัลมุตะนาษิเราะฮ์ ฟิลอัคบาร อัลมุตะวาติเราะฮ์ และอัลฟะวาอิด อัลมุตะกาษิเราะฮ์ และอัซซัยยิดอัลกัตตานีย์ มีหนังสือ นัซมุลมุตะนาษิร มินัล หะดีษ อัลมุตะวาติร


ตัวอย่างหะดีษมุตะวาติร

من كذب علي متعمدا فليتبوأ مقعده من النار

?ผู้ใดที่กล่าวเท็จแก่ฉัน(กุหะดีษนบีมาอ้าง)เขาผู้นั้นจงเตรียมที่นั่งของเขาในนรกเถิด?

ตัวบทหะดีษนี้มีศอหาบะฮ์มากกว่า 70 คนได้รานงานสืบทอดกันมา


กล่าวกันว่าไม่มีหะดีษใดที่จะเห็นตรงกันว่าเป็นมุตะวาติรเท่าหะดีษบทนี้ ซึ่งผู้ที่กล่าวว่าหะดีษนี้อยู่ในขั้นมุตะวาติรก็มีเช่น ท่านอันนะวะวีย์ อัลกิรอกีย์ อัซซุยูฏีย์ อัลมุนซิรีย์ เป็นต้น กระทั่งอันนะวะวีย์ได้กล่าวว่าหะดีษนี้มีศอฮาบะฮ์รายงานมากว่า 200 คน ซึ่งนักวิชาการหลายท่านไม่ได้เห็นชอบตามนั้นเช่นอัลอิรอกีย์ ซึ่งอธิบายคำของอันนะวะวีย์ว่า น่าจะหมายถึงหะดีษทั้งหมดที่เกี่ยวกับการโกหกใส่ท่านนบี หมายถึงอันนะวะวีย์อาจนับในเชิงมุตะวาติรมะอ์นะวีย์ ไม่ใช่ลัฟซีย์ หากนับตามลัฟซีย์คือตามสำนวนนี้เท่านั้นก็จะมีศอฮาบะฮ์รายงานมา 70 กว่าท่าน หรือบางท่านบอกถึง 100 ท่าน

ตัวอย่างมุตะวาติรอื่นๆนอกจากหะดีษนี้ก็เช่น

"ขออัลลอฮ์โปรดประทานแสงสว่างแก่คนๆหนึ่ง ที่ได้ฟังคำกล่าวของฉัน แล้วใส่ใจและถ่ายทอดมันแก่ผู้ที่มิได้ฟัง ผู้ที่มีองค์ความรู้อยู่อาจไม่ใช่ฟะกีฮ์ หรือผู้ที่มีองค์ความรู้อยู่อาจได้ถ่ายทอดสู่ผู้ที่มีความเข้าใจมากกว่า"

หรือเช่น หะดีษที่ท่านนบีลูบบนรองเท้าคุฟ หรือหะดีษผู้ใดที่ฝันเห็นฉันแท้จริงเขาได้เห็นฉันเพราะชัยฏอนนั้นไม่สามารถจำแลงเป็นฉันได้ เป็นต้น

วัลลอฮุอะอ์ลัม

วัสสลาม

aswar

  • บุคคลทั่วไป
ดันๆ อิอิ บังนูรทำกระทู้อื่นๆตกขอบหมดเลย  ;D

ออฟไลน์ almadany

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 346
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
กระทู้นี้เริ่มเป็นรูปธรรมขึ้นมาแล้วครับ.....ได้ความรู้ๆ....แต่ต้องขุดขึ้นมาสักหน่อย...เข้าใจว่าหากเราแบ่งปันการนำเสนอ....สิ่งที่เราถนัดและชำนาญ....มันก็เป็นบรรยากาศที่ดีมากๆ.....อย่างเช่นคุณอัสวารนำเสนอเกี่ยวกับหะดิษเป็นหลัก...บังอัลอัซฮะรีนำเสนอเกี่ยวกับตะเซาวุฟเป็นหลัก.....ส่วนผมขาแจมน่ะไปเรื่อย....เพราะยังจับเป็นชิ้นเป็นอันยังไม่ค่อยได้.... ;D

เอาอย่างนี้ไม่ดีหรือครับ....เมื่อคำนิยามของหะดิษได้นำเสนอเรียบร้อยแล้ว.....เมื่อขึ้นประเด็นอื่นๆ....ก็ให้ตั้งกระทู้ใหม่...เพื่อจะได้แยกประเด็นๆไป....พอจะถามขึ้นมาก็จะได้ไม่ต้องสับสน....หรือจะตั้งกระทู้เป็นหมวดๆไปเลย....เช่นกระทู้เสวนาหมวดหะดิษซอฮฺห์และประเภทของมัน....กระทู้หมวดหะดิษฮะซันและประเภทของมัน....กระทู้หมวหะดิษฏออีฟและประเภทของมัน....ก็แค่ความคิดเห็นน่ะ.....

ออฟไลน์ del_dangerous

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 178
  • เพศ: ชาย
  • ถ้าชีวิตยังไม่สิ้นก็ต้องดิ้นกันต่อไป
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
กระทู้นี้เริ่มเป็นรูปธรรมขึ้นมาแล้วครับ.....ได้ความรู้ๆ....แต่ต้องขุดขึ้นมาสักหน่อย...เข้าใจว่าหากเราแบ่งปันการนำเสนอ....สิ่งที่เราถนัดและชำนาญ....มันก็เป็นบรรยากาศที่ดีมากๆ.....อย่างเช่นคุณอัสวารนำเสนอเกี่ยวกับหะดิษเป็นหลัก...บังอัลอัซฮะรีนำเสนอเกี่ยวกับตะเซาวุฟเป็นหลัก.....ส่วนผมขาแจมน่ะไปเรื่อย....เพราะยังจับเป็นชิ้นเป็นอันยังไม่ค่อยได้.... ;D

เอาอย่างนี้ไม่ดีหรือครับ....เมื่อคำนิยามของหะดิษได้นำเสนอเรียบร้อยแล้ว.....เมื่อขึ้นประเด็นอื่นๆ....ก็ให้ตั้งกระทู้ใหม่...เพื่อจะได้แยกประเด็นๆไป....พอจะถามขึ้นมาก็จะได้ไม่ต้องสับสน....หรือจะตั้งกระทู้เป็นหมวดๆไปเลย....เช่นกระทู้เสวนาหมวดหะดิษซอฮฺห์และประเภทของมัน....กระทู้หมวดหะดิษฮะซันและประเภทของมัน....กระทู้หมวหะดิษฏออีฟและประเภทของมัน....ก็แค่ความคิดเห็นน่ะ.....

เอาเลยครับ คุณ kowee

ทำให้เว็บไซต์ แห่งนี้ เป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้เรื่องราวในอิสลาม
ในระดับสูงไปเลยครับ เห็นด้วยอย่างยิ่ง

 >:( เต็มที่ สู้ๆ

วัสลาม
ชีวิตคือการเดินทาง สิ่งที่ดีใจคือไม่ต้องเริ่มต้นใหม่ แต่สิ่งที่น่าเสียใจ คือ ย้อมกลับไปไม่ได้

ออฟไลน์ บาชีร

  • ปีสามสักที
  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2164
  • เพศ: ชาย
  • Respect: +59
    • ดูรายละเอียด

ประเภทต่างๆของหะดีษในแง่ของตัวบท (มะตัน  متن  )

แบ่งเป็น๓ประเภท

๑) มัรฟูอฺ مرفوع

๒)มัวกูฟ موقوف

๓)มักตูอฺ مقطوع

นักเรียนปีสาม กฎหมายอิสลาม อัซฮัร ไคโร

ออฟไลน์ บาชีร

  • ปีสามสักที
  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2164
  • เพศ: ชาย
  • Respect: +59
    • ดูรายละเอียด

มัรฟูอ

ในเชิงภาษา นั้นมีหลายความหมาย

เช่นยกให้สูงขึ้น وَرَفَعْنَا فَوْقَكُمُ الطُّورَ

ใกล้ وَفُرُشٍ مَّرْفُوعَةٍ

ตอบรับ وَالْعَمَلُ الصَّالِحُ يَرْفَعُهُ

ในเชิงอิสติลาฮฺ คือ สิ่งที่อ้างอิงไปยังท่านนบีซอลลอลอฮุอะลัยฮฺวะซัลลัม

ทุกๆคำพูด การกระทำ การยืนยัน คุณลักษณะ รูปร่าง ของท่านบีซอลลอลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม

ไม่ว่าผู้ที่อ้างอิงนั้นจะเป็นซอฮาบะฮฺ หรือตาบิอีน หรือหลังจากสมัยนั้นก็ตาม

สายรายงานจะต่อเนื่อง หรือขาดตอน ก็ถือว่าเป็นหะดีษมัรฟูอฺ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ม.ค. 24, 2010, 04:02 AM โดย bashir »
นักเรียนปีสาม กฎหมายอิสลาม อัซฮัร ไคโร

ออฟไลน์ บาชีร

  • ปีสามสักที
  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2164
  • เพศ: ชาย
  • Respect: +59
    • ดูรายละเอียด

ฮะดีษเมากูฟ

ในเชิงภาษา คือ การห้าม และการกักขัง ซึ่งตรงข้ามกับการขยับ

ในเชิงอิสติลาฮฺ ซึ่งที่่รายงานจากการกระทำของซอฮาบะฮฺ หรือคำพูด หรืออื่นๆจากนั้นซึ่งหยุดอยู่ที่ซอฮาบะฮฺ

และจะไม่เลยไปยังรอซูล ซอลลอลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม

มีอีกทัศนะเพื่มเติมว่า จะต้องไม่มีสิ่งที่บ่งบอกถึงการอ้างอิงไปยังท่านนบี

เช่นการที่ ซอฮาบะฮฺกล่าวว่า จากซุนนะฮฺของท่านนบีคือ.... หรือการที่กล่าวว่า ท่านนบีได้สั่งใช้อย่างนั้นอย่างนี้

ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ก็ถือว่าอยู่ในหุกุมของมัรฟูอฺ
นักเรียนปีสาม กฎหมายอิสลาม อัซฮัร ไคโร

 

GoogleTagged