salam
...เป็นเรืื่องสั้นขยันแต่งค่ะ...
"แสงที่มองไม่เห็น"
^
^
^
...เราเคยสงสัยไหมว่่า แสงเกิดขึ้นได้อย่างไร
ใครคือผู้สร้าง
...เราเคยสงสัยถึงความเป็นแสงหรือเปล่า
...แสงจะมีวันหมดลงหรือไม่
...และเราคงเคยได้ยินคำว่า...
แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี
คนทั่วไปสามารถมองเห็นได้ก็เพราะแสงสว่าง
...แต่คนที่อยู่ในโลกมืด
จะมีแสงใดส่องไปถึงพวกเขาได้
...แล้วคนตาบอด
เขาใช้อะไรนำทาง
คุณสมบัติของแสง
เดินทางเป็นเส้นตรง
การหักเห
การสะท้อน
การกระจาย
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
หน้าที่และความสามารถ
แสงทำให้เรามองเห็น
แสงไม่เลือกส่องยังจุดใดจุดหนึ่งแต่เป็นทุกจุดที่แสงเดินผ่าน
ให้พลัง
ทำให้ความมืดและความกลัวหายไป
ส่องไปยังภายนอก
จุดเด่น
มุมตกกระทบ เท่ากับ มุมสะท้อน
มีบุคคลหนึ่งที่ใครๆเปรียบเขาดั่งแสงสว่าง
แต่สำหรับฉัน...เขาเป็นได้มากกว่านั้น
อาจารย์คะ ทำไมคำว่่า อะคาริ???ถึงแปลว่าแสงสว่างล่ะคะ
ฉันเริ่มถามอาจารย์ผู้หญิงวัยห้าสิบปลายๆ ใบหน้าสดใส
แววตาใจดีที่มอบให้ฉันซึ่งเป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียว
ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่ประเทศญี่ปุ่น
ฉันที่เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมายังเกาะนี้เพื่อจะหอบความรู้
กลับไปยังบ้านเกิด ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มันมา
และคนตรงหน้านี่แหล่ะคือบุคคลที่จะเป็นลำแสงให้ฉันเดินทางไปหามันได้
ฉันที่ตอนนี้ยังไม่มีแสงสว่างในตัวเอง
เพราะตัวคันจิของคำว่าอะคาริประกอบด้วยตัวพระอาทิตย์???
และพระจันทร์???รวมกัน ทำให้มีแสงสว่างตลอด24ชั่วโมงไงนารีจัง
และตัวคันจิตัวนี้ไม่ได้แปลว่าแสงสว่างอย่างเดียวเท่านั้นนะ
แต่มันยังหมายถึงการบรรลุด้วยฉันพยักหน้าเข้าใจคำอธิบาย
ด้วยภาษาญี่ปุ่นอย่างง่ายจากอาจารย์ผู้สอนที่แสนใจดี
และอดทนกับการตอบปัญหาของเด็กต่างชาติอย่างฉัน
ที่มักจะสงสัยโน่นสงสัยนี่แล้วเก็บมาถามอาจารย์สอนภาษา
ซึ่งเป็นผู้เดียวที่จะไขข้อข้องใจให้ฉันได้เสมอ
หลายครั้งที่ได้เรียนภาษาญี่ปุ่นกับอาจารย์ท่่านนี้แล้ว
ทำให้ฉันรู้สึกคุ้นเคย อาจจะเป็นเพราะเราสองคนมีอะไรที่เหมือนกัน
หรือที่เขาเรียกว่า
ความเหมือนในความต่าง
ฉันเป็นคนนึงที่บ้าเรียน จริงจัง ส่วนอาจารย์ขยันสอน
ฉันลงเรียนภาษาญี่ปุ่นโดยไม่ได้รับหน่วยกิต
ส่วนอาจารย์เป็นอาสาสมัครสอน เลยไม่ได้รับค่าจ้าง
ฉันหวังอยากได้ภาษาจากอาจารย์เพื่อเป็นทางไปสู่มวลความรู้
ส่วนอาจารย์หวังอยากมีลูกศิษย์ต่างชาติที่ฉันแอบคิดมาเสมอว่า
อาจารย์คงอยากไปเที่ยวเมืองไทยโดยให้ฉันเป็นไกด์นำเที่ยวแน่นอน
...แต่ถ้าฉันรู้สักนิด ฉันคงไม่คิดแบบนั้นแน่
ฉันมีอาจารย์สอนภาษาแค่คนเดียว ส่วนอาจารย์มีฉันคนเดียวเป็นลูกศิษย์
ฉันไม่ชอบถ่ายรูป พอๆกับอาจารย์
เพราะผ่านมาสามปี เราก็ไม่เคยมีรูปที่ถ่ายด้วยกัน
เราเริ่มต้นจากความเหมือน
ในความต่าง
เพราะ
ฉันเป็นคนหัวแข็ง เอาแต่ใจ ดื้อด้าน
แต่อาจารย์ช่างอดช่างทน อ่อนโยน ช่างตื้อ ช่างยื้อโดยเฉพาะเวลา
ฉันไม่ชอบรอ เพราะเข้าห้องทีไรก็เห็นอาจารย์นั่งอ่านหนังสือ
ในมือมีแต่เอกสาร หนังสือพิมพ์ สถานที่ท่องเที่ยว
และงานเทศกาลต่างๆของญี่ปุ่นที่นำมายัดเยียดให้ฉันทั้งที่ฉันไม่เคยขอ
ไม่รู้จะโฆษณาประเทศตัวเองไปถึงไหน แต่เพื่อความรู้ฉันจึงไม่ปฏิเสธ
เพราะการมาอยู่ที่นี่ ที่ที่มีค่าครองชีพสูงลิบ
ดังนั้นทั้งเงินทั้งเวลาที่เสียไป ฉันต้องเอาคืนให้คุ้ม
ฉันชอบเล่าและจินตนาการถึงอนาคตอันสดใส
แต่อาจารย์ชอบพูดถึงอดีต
ฉันไม่เคยถามอายุหรือเรื่องส่วนตัวของอาจารย์
แต่อาจารย์ชอบถามถึงเรื่องส่วนตัวของฉันตลอด
จนบางทีกว่่าจะเข้าเนื้อหาเรื่องเรียนก็เสียเวลาไปครึ่งชั่วโมง
แต่ไม่เป็นไร เพราะฉันก็ได้หัดพูดญี่ปุ่นกับอาจารย์
ฉันช่างเล่า ส่วนอาจารย์ช่างซัก
และนั่นคือความเหมือนในความต่างที่ลงตัวกันพอดีในความรู้สึกฉัน
นารีซัง เทอมนี้อาจารย์ยามาดะพักการสอนเพราะสุขภาพ
ไม่ค่อยแข็งแรง ไม่แน่ใจว่าจะได้กลับมาสอนอีกหรือเปล่า
แต่เธอไม่ต้องห่วงนะ เพราะทางมหาวิทยาลัยได้จ้างอาจารย์ที่เชียวชาญ
ทางด้านภาษาและการสอนโดยเฉพาะมาสอนพวกเธอ
โดยครั้งนี้จะมีหน่วยกิตให้ด้วย
ขอบคุณค่ะฉันกล่าวขอบคุณฝ่ายจัดการนักศึกษาในมหาวิทยาลัยแห่งนี้
เพราะนั่นหมายความว่าจากนี้ไปฉันจะได้ทั้งภาษาทั้งหน่วยกิต
ไม่เสียเวลาไปเปล่าๆเหมือนหนึ่งปีกับอีกหนึ่งเทอมก่อนที่ได้แค่ความรู้
แต่ไม่ได้หน่วยกิตที่นักศึกษาทั้งหลายอยากเก็บให้ครบภายในเวลาสี่ปี
และคราวนี้ก็มีเพื่อนๆชาวต่างชาติต่างก็ลงเรียนกันหลายคน
สนุกสนานเพราะได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น
ไม่ใช่มีแค่ฉันคนเดียวที่นั่งเรียนกับครูคนเดียวอย่างแต่ก่อน
ส่วนอาจารย์คนใหม่ก็สอนเก่ง สนุกและมักจะหาเกมประกอบการสอน
มาให้พวกเราเล่นกันเสมอ
จนฉันรู้สึกว่าตัวเองเข้าใจภาษามากกว่าอาจารย์คนก่อนสอนเสียอีก
และก็อดที่จะเปรียบเทียบความเก่งในวิชาการของทั้งสองไม่ได้
เพียงแต่อาจารย์คนใหม่แม้ภายนอกจะดูขี้เล่นแต่แฝงไว้ด้วยความจริงจัง
จนฉันไม่กล้าถามโน่นถามนี่มากนัก
เพราะกลัวอาจารย์จะรำคาญเอา บวกกับอาจารย์เป็นผู้ชาย
ฉันเลยไม่กล้าหรือตีสนิทมากนัก
แต่พอเทอมถัดมาซึ่งตอนนั้นฉันอยู่ปีสาม
แล้วอาจารย์คนก่อนก็กลับมาอีกครั้ง
คราวนี้ทางมหาวิทยาลัยได้จัดให้มีทั้งอาจารย์ที่สอนในคาบเรียน
ที่ทางมหาวิทยาลัยจัดให้และที่เป็นอาสาสมัครสอนซึ่งจะไม่ได้หน่วยกิต
จะเรียนหรือไม่เรียนก็ได้เพิ่มขึ้นมาอีกสามท่าน
ทั้งที่เมื่อก่อนมีแค่อาจารย์ยามาดะที่อาสาสมัครสอนแค่คนเดียวเท่านั้น
ตอนนี้เลยกลายเป็นว่ามีอาจารย์สอนภาษาทั้งหมดสี่คนด้วยกัน
ให้เราเลือกเรียน และสำหรับนักศึกษาปีสามอย่างฉัน
จะลงเรียนหรือไม่ก็ได้ และมีโอกาสเลือกอาจารย์ได้ว่า
อยากเรียนกับท่านใด
วันนั้นซึ่งเป็นวันรวมตัวของนักศึกษาต่างชาติและเหล่าอาจารย์ที่เกี่ยวข้อง
ฉันเห็นอาจารย์ยามาดะที่นั่งอยู่ท่ามกลางบรรดาคุณครูสอนภาษา
คนใหม่อีกสองท่่านกับอาจารย์ผู้ชายที่สอนในคาบเรียน
จากอาจารย์ที่เคยมีใบหน้าสดใส กลับซูบซีด ผอมลงจนเห็นได้ชัด
หากรอยยิ้มและแววตายังคงอบอุ่นเหมือนเดิม
ครูขอโทษด้วยนะที่เทอมก่อนไม่ได้มาสอนเธอน้ำเสียงและแววตา
ที่แฝงไว้ด้วยแววบางอย่างที่ฉันเองก็อ่านไม่ออก
กับมือเหี่ยวย่นที่กุมมือฉันเอาไว้ทำให้ฉันรู้สึกแปลกๆในหัวใจ
อย่างบอกไม่ถูก แม้ฉันจะยุ่งยังไงและคิดว่าตอนนี้
ฉันไม่จำเป็นต้องเรียนภาษาญี่ปุ่นกับบรรดาอาจารย์แล้วก็ตาม
แต่เมื่อได้เห็นแววบางอย่างในดวงตาคู่นั้นของอาจารย์
ทำให้ฉันพูดกลับไปว่า
เทอมนี้อาจารย์จะกลับมาสอนอีกครั้งใช่มั้ยคะ
ฉันเห็นอาจารย์ยิ้มร่าออกมา
ฉันรู้ว่าอาจารย์ชอบสอน
ฉันเองก็ชอบเรียนเหมือนกัน
ถ้าเธอเรียน ครูก็สอน แต่ครูไม่ค่อยแข็งแรง
อาจจะสอนเธอได้ไม่เต็มที่นัก
ปีนี้มีอาจารย์มาช่วยสอนเพิ่มอีกสามคน ซึ่งครูก็พอรู้จักมาบ้าง
เพราะเราเป็นอาสาสมัครสอนด้วยกันมาก่อนฉันพอจะเข้าใจความนัย
ของคำพูดนั้นอยู่บ้าง โดยเฉพาะแววตาหม่นแสง
หวังว่าอาจารย์คงไม่คิดว่าฉันจะเลือกเรียนกับท่านอื่นหรอกนะ
แต่แววตามันฟ้องออกมาแบบนั้น
ฉันเลยตอบไปว่า
อาจารย์ไม่ต้องกังวลเรื่องสอนนะคะ ถ้าอาจารย์สะดวกวันไหน
หนูก็จะเรียนวันนั้น เพราะสุขภาพสำคัญกว่า
อีกอย่่างเทอมนี้หนูคงยุ่งมากขึ้น แต่หนูก็ยังอยากเรียนกับอาจารย์อยู่นะคะ
ฉันเองก็ไม่รู้ว่าอะไรผลักดันให้ฉันพูดแบบนั้นไป
ทั้งๆที่ใจจริงฉันแทบหาเวลาเรียนภาษาไม่ได้เลย
เพราะฉันลงเรียนวิชาต่างๆไปเต็มทุกคาบแล้ว
เหลือแค่บ่ายวันศุกร์เท่านั้น ที่ฉันตั้งใจจะให้เป็นวันว่าง
สำหรับเคลียร์งานต่างๆและทบทวนบทเรียน
ซึ่งอาจารย์เองก็บอกว่าไม่ว่างเพราะมีนัดกับหมอทุกๆวันศุกร์
แต่อาจจะพอว่างบ้างบางสัปดาห์
เราสองคนเลยตกลงกันว่าจะนัดเจอกันทางโทรศัพท์
เพราะถึงยังไง เรียนกับอาจารย์ก็ไม่ได้หน่วยกิตอยู่ดี
เรียนเมื่อไหร่ตอนไหนก็ได้ จะไม่เรียนก็ยังได้เลย
เพราะว่าฉันทะนงตนว่าภาษาฉันแข็งแรงแล้ว
แต่ถ้าฉันรู้สักนิด
ฉันคงไม่คิดอย่างนั้นแน่
..มีต่อ..