ผู้เขียน หัวข้อ: การเผยแผ่และการเข้ารับอิสลามในประเทศญี่ปุ่น  (อ่าน 46430 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
salam
จากที่ได้อ่านกระทู้ รู้สึกภูมิใจในความเป็นอิสลาม
มีอะรัยอีกมากมายที่เราต้องศึกษาเรียนรู้

ผมขอบคุณ ผู้ที่ตั้งกระทู้นี้ด้วยครับ
ขอให้อัลลอฮประทานความบารอกัตในการดำเนินชีวิตด้วยเถิด

อามีน ยาร็อบ

 loveit:

วัสลามค่ะ

"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด


มัสยิดโกเบ


ทางไปมัสยิดค่ะ มัสยิดจะตั้งอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟซังโนะมิยะ
เดินขึ้นเนินไปประมาณ 10 นาทีก็จะเจอมัสยิดที่มีเอกลักษณ์คือสีเขียว




ที่ละหมาดสำหรับมุสลิมะฮฺจะอยู่ชั้นบน
โดยจะมีบันไดขึ้นอีกด้านนึงของมัสยิดค่ะ
ที่วางรองเท้า ห้องน้ำ ที่อาบน้ำละหมาดและห้องครัวเล็กมีพร้อมอยู่บนชั้นสอง
แยกต่างหากกับมุสลิมีน อีกทั้งมีที่สำหรับเด็กๆบนชั้นสองด้วยค่ะ



ภาพตอนร่วมกันทานข้าวซุโฮรช่วงเดือนรอมาดอน



ร้านฮาลาลฟู้ด(Kobe Halal Food)ระหว่างทางเดินไปยังมัสยิดโกเบ 


ร้านฮาลาลฟู้ด (Kitano Groceries) จะอยู่ตรงข้ามกับมัสยิดเลยค่ะ





ตบท้ายด้วย...

ภาพน่ารักๆของเด็กๆกับครอบครัวค่ะ ;D



หากพี่น้องมุสลิมท่านใดมาติดต่อธุระหรือมาญี่ปุ่นในแถบคันไซ
ซึ่งจะมีจังหวัด เกียวโต โอซากา โกเบ นารา ชิกะ
และต้องการที่พัก ต้องการความสะดวกต่อการไปมัสยิด
และเรื่องอาหารการกิน ข้าน้อยก็อยากจะแนะนำให้หาจองโรงแรมที่โกเบ
เพราะแถวๆมัสยิดจะมีโรงแรมที่พัก ร้านอาหารฮาลาลและมัสยิด
อีกทั้งยังเป็นชุมชนมุสลิม และการคมนาคมสะดวก
สามารถติดต่อหรือเดินทางไปไหนมาไหนได้สะดวก
เนื่องจากสถานีซังโนะมิยะ(โกเบ)นั้นจะเป็นสถานีใหญ่และเป็นศูนย์กลาง
ของรถไฟหลายๆสาย และโกเบก็เป็นเมืองท่่าและเมืองใหม่
มีศูนย์ชอปปิ้งและแหล่งการค้าทั้งในและต่างประเทศ
ค่าครองชีพและที่พักจะต่ำกว่าจังหวัดเกียวโต...
สามารถเดินทางโดยรถไฟไปโอซากาในระยะเวลาไม่เกินครึ่งช่ัวโมง
และสามารถนั่งต่อไปจังหวัดเกียวโตโดยใช้เวลาเพียงสี่สิบกว่านาที
ซึ่งที่จังหวัดโอซากาจะมีสนามบินนานาชาติคันไซและสนามบินภายในประเทศ
ที่สามารถเดินทางสะดวกทั้งขาไปและกลับและมีบินตรงจากโอซากา
ไปประเทศไทยและประเทศอื่นๆ
หากต้องการเดินทางข้ามภูมิภาคก็จะมีรถไฟชินคันเซ็น
ซึ่งเป็นรถไฟที่เร็วที่สุด สามารถนั่งจากจังหวัดเกียวโต(ฝั่งคันไซหรือภาคตะวันตก)
ไปยังโตเกียว(ฝั่งคันโตหรือภาคตะวันออก)ได้ภายในเวลาประมาณสองชั่วโมงค่ะ
หากหลงทาง สามารถถามทางได้จากอินฟอเมชั่นในสถานีรถไฟ
หรือโกบัง(ป้อมตำรวจ)ได้ค่ะ...

วัสลามค่ะ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธ.ค. 09, 2009, 11:28 PM โดย nada-yoru »
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด


สามารถเข้าไปเยี่ยมชมภาพกันต่อ และกิจกรรมต่างๆ ประวัติความเป็นมา
ของทางเว็บมัสยิดโกเบได้ตามลิงก์นี้เลยค่ะ


http://www.kobemosque.org/Location%20English.htm


"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด


คำในภาษาญี่ปุ่นที่สำคัญหากมาเยือนแดนอาทิตย์อุทัย

หากพี่น้องมุสลิมเรามีความจำเป็นที่ต้องมาติดต่อธุระ มาดะวะห์
มาท่องเที่ยวพักผ่อนที่ญี่ปุ่นหรืออื่นๆก็ตาม...
ด้วยคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะไม่พูดภาษาอังกฤษหรือภาษาอื่นนอกจากภาษาญี่ปุ่น
ดังนั้น...ไม่ว่าท่านจะมีล่ามหรือไม่ก็ตาม การมาเยือนนั้น
จำเป็นต้องมีภาษาที่สามารถสื่อสารง่ายๆไม่กี่ประโยค...
ข้าน้อย nada-yoru จึงขอนำเสนอประโยคง่ายๆที่สามารถฝึกพูดได้
เพียงสิบนาที...

1.โอฮาโยโกะไซมัส (おはようございます)หรือสั้นๆว่า...โอฮาโย (おはよう)...สวัสดีตอนเช้า
ใช้ตั้งแต่เวลาเช้าตรู่ ถึง เที่ยงวัน

2.คอนนิจิวะ (こんにちは)...สวัสดีตอนบ่าย ใช้ตั้งแต่เวลาหลังเที่ยงวันไปจนถึงหกโมงเย็น
โดยประมาณ

3.คอมบังวะ (こんばんは)...สวัสดีตอนเย็นหรือสวัสดียามค่ำคืน...
ใช้ตั้งแต่เวลา 6 โมงเย็น จนถึงเที่ยงคืนโดยประมาณ


4.โอยะสุมินาไซ (おやすみなさい) / โอยะสุมิ (おやすみ)...ราตรีสวัสดิ์...
ใช้กล่าวส่งท้ายเมื่อยามจะเข้าตอน หรือได้เวลานอนแล้ว
หรือปิดบทสนทนาในยามค่ำคืน...

5.ซาโยนาระ..ลาก่อน...

6.อะริกาโตโกะไซมัส (ありがとうございます) / อะริกะโตโกะไซมะชิตะ (ありがとうございました)
/อะริกาโต (ありがとう)แปลว่า...ขอบคุณ

อะริกาโตโกไซมัส จะอยู่ในรูปปัจจุบันกาล...เป็นการขอบคุณในสิ่งที่เกิดขึ้น
และยังไม่เกิดขึ้นหรือเป็นการขอบคุณล่วงหน้า
ขอบคุณในส่ิงที่เกิดขึ้นอยู่ ณ ตอนนี้

อะริกาโตโกไซมะชิตะ จะอยู่ในรูปอดีตกาล...เป็นการขอบคุณในสิ่งที่แล้วมา
หรือสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้ว สิ่งที่เพิ่งจบลงไปก็เช่นกัน...
เช่น มีคนรู้จักชวนเราขึ้นรถ เราขอบคุณด้วยคำว่า อะริกาโตโกไซมัส
(คือขอบคุณที่ชวนเราขึ้นรถเพื่อจะไปส่ง) พอเขาส่งเราถึงที่ เราลงมาจากรถ
เราก็ขอบคุณด้วยคำว่า อะริกาโตโกไซมะชิตะ
(คือขอบคุณสำหรับการที่เขามาส่งเรา ซึ่งมาส่งเสร็จแล้ว)

ส่วนคำว่าอะริกาโต(สั้นๆแบบนี้)ใช้พูดกันระหว่่างเพื่อนฝูงหรือคนสนิทกัน

6.สุมิมาเซน (すみません) / โกเมนนะไซ (ごめんなさい)...ขอโทษ

โดยสองคำนี้มีความหมายที่คล้ายกันคือการขออภัย
แต่จะใช้ต่างกันตรงที่ หากเราต้องการขอทางหรือขออนุญาตใดๆ
ส่วนใหญ่จะเริ่มต้นด้วยการพูดว่า สุมิมาเซน แต่จะไม่พูดว่า โกเมนนาไซ

ส่วนคำว่่า โกเมนนะไซ จะใช้พูดก็ต่อเมื่อเราเดินไปชนเขา
ทำให้อีกฝ่ายเดือนร้อนหรือบาดเจ็บ หรือต้องการขอลุแก่โทษ
ซึ่งในกรณีนี้พูดได้ทั้ง สุมิมาเซนและโกเมนนะไซ
แต่จะใช้คำว่่า โกเมนนะไซมากกว่าค่ะ...

ซึ่งคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ จะพูดสองคำนี้บ่อยจนติดปาก ไม่ว่าสิ่งที่ทำไปนิดหน่อย
หรือจะหนักหนาหรือไม่ ไม่ว่าตนจะเป็นฝ่ายผิดหรือไม่
หากมีการชนหรือปะทะกันเกิดขึ้น โดยส่วนใหญ่มักจะมีประโยคขอโทษ
เพื่อสื่อว่ารู้สึกผิดที่ได้ทำไปและเพื่อให้อีกฝ่ายอ่อนลง ลดการปะทะกันต่อ
เพราะการชนกันเจ็บทั้งคู่...
และจะต่อด้วยคำว่า "ได๋โจบุ" (大丈夫) แปลว่า ไม่เป็นไร
ซึ่งหมายความว่าไม่เอาความ และให้อภัย
บางครั้ง โดนเหยียบเท้าเจ็บจนน้ำตาแทบเล็ด แต่พอเห็นอีกฝ่ายขอโทษขอโพย
เราหรือก็พูดไม่ออก จะต่อว่าก็เห็นใจ คำว่า "ได๋โจบุ"จึงถูกเปร่งออกมา
ซึ่งหากมองตัวของภาษาคือการอดทน ข่มใจ และให้อภัย

คำว่า "ได๋โจบุ"จึงใช้ได้ในหลายกรณี แม้แต่การปลอบใจ
ปลอบขวัญก็สามารถพูดได้ คำเดียวก็ช่วยเยียวยาหัวใจคนได้
ดังนั้น คำๆนี้ จึงสำคัญ หากใครมาเยือนญี่ปุ่น อยากให้หัดไว้ค่ะ...
"ได๋โจบุ" หรือ ประโยคเต็มๆว่า "ได๋โจบุเดส" (大丈夫です) myGreat:


หากการมาเยือนญี่ปุ่นครั้งแรก โดยไม่มีภาษาติดตัวเลย...
ไม่เคยเรียนมา...หากฝึกพูดประโยคที่ข้าน้อยนำเสนอได้
แม้จะน้อยนิด แต่คิดว่าทุกก้าวที่เดินท่านจะไม่เดือดร้อนนัก...
หรือแม้จะสื่อกับเขาไปไม่ได้... 5 คำสั้นๆเท่านั้นค่ะ
"โอฮาโย อะริกาโต ได๋โจบุเดส สุมิมาเซน โกเมนนะไซ"
"สวัสดี ขอบใจ ไม่เป็นไร ขอโทษ" แค่นี้ก็ไม่เป็นไรแล้วค่ะ...
เพราะนี่คือก้าวแรกที่สำคัญ หากมีติดตัวไว้ ท่านจะได้เห็นน้ำใจ
และใบหน้ายิ้มแย้มในการต้อนรับจากเจ้าของประเทศค่ะ...

และที่สำคัญ...ยิ้มสยามในทุกๆคำที่พูด
(แม้จะขื่นขม โดนเหยียบจนเล็บจมก็ตามค่ะ)...

 ;D ;D ;D

และหากเขาพูดอะไรที่เราไม่เข้าใจ...
ส่ายหน้า natural: พร้อมรอยยิ้ม ;D แล้วบอกเขาว่า
"ตะเบะมาเซน" (食べません) แปลว่า ไม่กิน
เพราะหากพูดว่า "วะการิมาเซน" (分かりません) ที่แปลว่า ไม่เข้าใจนั้น
อาจจะยืดยาว ด้วยเพราะเรารู้จักคำว่า ไม่เข้าใจ เขาเลยอาจจะคิดว่า
เราไม่เข้าใจในเนื้อหา เขาจะรีบอธิบายเพิ่มเติม(คนญี่ปุ่นมีความพยายามสูง
ในการอธิบายเพื่อให้อีกฝ่ายเข้าใจให้จงได้ค่ะขอบอก เหอๆ)...
ซึ่งหากเราบอกออกไปว่า "ตะเบะมาเซน" ที่แปลว่า ไม่กิน
อันนี้ เขาจะรู้แล้วว่า เรานั้นมั่วภาษาเขา
ขนาดคำว่า ไม่เข้าใจ เรายังไม่รู้...เขาจะหนีเราไปไกลลิบตา
ไม่มาถามเราอีกต่อไปค่ะ
(เป็นประสบการณ์ที่เคยใช้หนีเซลล์แมน เอ๊ย ทำให้เซลล์แมนหนี
และคนที่ไม่ต้องการเสวนาด้วยมาแล้วค่ะ) hehe

และคำว่า "ตะเบะมาเซน"กับคำว่า "โนะมิมาเซน"นั้น
สามารถใช้ปฏิเสธของกินและเครื่องดื่มที่ชวนให้ระแวง
สำหรับแขกที่เยือนญี่ปุ่นใหม่ หากเขาชวนให้กินหรือดื่มอะไร
เราต้องส่ายหน้า พร้อมกับสองประโยคนั้นค่ะ เลือกเอาได้ค่ะ...

ตะเบะมาเซน (食べません) ...ไม่กิน

โนมิมาเซน (飲みません) ...ไม่ดื่ม

คราวนี้จะหมูจะเหล้า ก็ไม่สามารถเข้าปากเราได้ โดยที่เราไม่รู้ตัวค่ะ...
และที่สำคัญ ปฏิเสธครั้งใด ต้องยิ้มสยามเข้าไว้ค่ะ....
เพราะบางครั้งรอยยิ้มเป็นการกระทำที่สามารถอธิบายเหตุผลทุกอย่างได้ดี
กว่าคำพูดไหน...เพราะต่อให้พูดหรืออธิบายไป เขาก็อาจจะฟังเราไม่รู้เรื่องค่ะ...

อย่างน้อยๆ...ข้าน้อยคนนึงที่สามารถอยู่รอดบนแผ่นดินญี่ปุ่นมาได้
ในช่วงเดือนแรกที่มาเยือนญี่ปุ่นด้วยประโยคทั้งหมดที่กล่าวมากับยิ้มสยามค่ะ...


  ;D ;D ;D


วัสลามค่ะ

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธ.ค. 14, 2009, 03:29 PM โดย nada-yoru »
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ pineapple

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 101
  • It's a LIFE of TEST
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
 salam :ameen:
คอมบังวะ

成せば成る。成さねば成らぬ。

    何事も 成らぬは人の成さぬなりけり。。。

หมายความว่า.....
แปลด่วนอยากรู้ nada-yoru
-:-   -:-  -:-    อย่าให้หัวใจตกหลุ่มพลาง -:- -:- -:-

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
^

วะอะลัยกุมมุสลามค่ะ

คอมบังวะ こんばんは  ;D

ประโยคข้างต้นเขียนไว้เตือนตัวเองน่ะค่ะ...
อ่านและแปลว่า...

 成せば成る。 naseba naru.             ถ้าก่อก็จะเกิด
                 
 成さねば成らぬ。 nasaneba naranu.      ถ้าไม่ก่อก็ไม่เกิด

 何事も、 nanikotomo,              ไม่ว่าจะเรื่องใดๆก็ตาม

 成らぬは人の成さぬなりけり。 naranuwa hitono nasanu narikeri.  

ที่ทำไม่ได้(หรือไม่ได้เกิด) เพราะเราไม่ได้ทำ(หรือไม่ได้ก่อ)


หากแปลตามความเข้าใจ(ของข้าน้อย) จะได้ประมาณว่่า...

"ถ้าเราทำเราก็ได้ทำ(คือไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร
เราจะทำได้หรือทำไม่ได้แต่เราก็ได้ทำ...และมันจะก่อเกิด)
หากไม่ทำก็ทำไม่ได้(อย่างมิต้องสงสัย...คือไม่ก่อเกิด)
ไม่ว่าเรื่องใดๆก็ตามที่ทำไม่ได้ เนื่องจากเราไม่ได้ตั้งมั่นที่จะทำมัน
ดังนั้นจงทำแล้วจะทำได้(คือได้ทำ) ไม่มีคำว่าทำไม่ได้หากว่าทำ" ค่ะ


สรุปคือ...เราจะได้ทำ หากว่าทำ ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร
เมื่อเราทำ เราจะได้เห็นในสิ่งที่ทำ...
และเราจะได้เห็นความสามารถของเราว่ามีแค่ไหน ด้วยการทำมัน...

ปล.จริงๆมันอธิบายยากค่ะ...แต่คิดว่าน่าจะประมาณนั้นค่ะ...
เป็นคำคมของคนญี่ปุ่น เอาไว้ปลุกใจเวลาเราขี้เกียจทำงาน
หรือเวลาที่รู้สึกว่า สิ่งที่ทำมันยากเย็นแสนเข็ญและลำบากเหลือแสน
จนท้อแท้และพาลไม่อยากจะทำเสียเฉยๆ...เขาก็จะตบบ่่า
แล้วพูดประโยคนี้ให้ฟังค่ะ...ประมาณว่า

"ทำเถอะ ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย...
แม้ผลลัพธ์จะเป็นอย่่างไรก็ตามแต่ขอให้พยายามทำมันเถอะ"

คือตัวอักษรคันจิเหมือนกันก็จริง
แต่ว่าความนัยแฝงนั้นต่างกันค่ะ...


พร้อมกับคำว่า..."กัมบัตเตะ!!" 頑張って!! (พยายามเข้า สู้ๆ)

หรือ สู้ต่อไป ทาเคชิ!! hehe

(ซึ่งเป็นประโยคที่มีเป้าหมายเหมือนกันคือ...อย่าท้อแท้ที่จะทำอะไรสักอย่าง)

 ;D

วัสลามค่ะ




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธ.ค. 14, 2009, 03:35 PM โดย nada-yoru »
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด


 salam

ที่ผ่านมามักจะพูดถึงแต่ในด้านดีของประเทศญี่ปุ่น...
ซึ่งมุ่งหวังให้พี่น้องเราได้เห็นสิ่งดีๆที่ประเทศนี้มี ซึ่งมีไม่น้อยเลย...
แต่ทุกที่ย่อมมีทั้งด้านมืดและด้านสว่่าง...
และสิ่งที่ข้าน้อยได้สัมผัสมาร่วมห้าปีกว่าๆ มันทำให้เห็นได้ว่า
ประเทศญี่ปุ่นนั้นยังมีมุมที่หลายๆคนคาดไม่ถึงอีกมากมาย...
เพราะหากว่าได้มาอาศัยอยู่จริงๆ เราจะรู้สึกได้ถึงแรงกดดัน
ไม่ว่าจะเป็นแรงกดดันจากสังคม คนรอบข้าง และแรงกดดันที่มีต่อตัวเอง...
หลายคนที่สนิทและรู้จักเปลี่ยนไป หลายคนคิดจะฆ่าตัวตาย
หลายคนเสียสติ ฟั่นเฟือน และอีกหลายคนที่เหมือนจะเก็บตัว
ไม่ยอมออกมารับรู้อะไรหรือรับรู้โลกภายนอกอีก...
และหลายคนที่ว่่า ก็คือคนที่เรารู้จักและสนิท คนที่อยู่รอบกายเรา
คนที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุข ช่วยเหลือกันมา
คนที่เคยมีใบหน้ายิ้มแย้มสดใสเมื่อในอดีต คนที่เคยร่าเริงเบิกบาน...

หนึ่งปีแรก เราปกติดี มีความสุข ตื่นตาตื่นใจกับสิ่งใหม่ๆที่พบเจอ
พอเริ่มเข้าปีที่สองเราเริ่มรับรู้ถึงอะไรบางอย่างที่ไม่แน่ใจว่าคืออะไร
พอเริ่มเข้าปีที่สาม เราเริ่มรู้แล้วว่า สิ่งนั้นมันสามารถทำให้เราเปลี่ยนแปลงได้
และเมื่ออยู่ไปเรื่อยๆ เราจะเริ่มรู้สึกว่าทางที่เดินมามันเริ่มมืดลงๆ
จนหาทางไปไม่เจอจะกลับหลังก็ไม่ได้...
ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น ไม่มีเสียงใดๆตอบกลับมา
แม้แต่ความต้องการของตัวเรา เรายังไม่รู้ สับสน วุ่นวาย...
หาแสงสว่างในชีวิตไม่เจอ...

บางคนเลือกจะจมดิ่งลงสู่ก้นเหว จนไม่ยอมออกมาอีกเลย
บางคนเลือกจะวิ่งหนี บางคนเลือกจะเผชิญหน้า
และบางคนเลือกจะนั่งอยู่เฉยๆที่เดิมอย่างหมดอาลัยตายอยากกับชีวิต
บางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่ตนเองกำลังเดินไปคือหนทางลงสู่ก้นเหวลึก
แต่ก็ยินดีที่จะเดินไป...
เมื่อมองไปไม่เจอสิ่งใด นอกจากความืด
นั่นแหล่ะ จึงเข้าใจคุณค่าของแสงสว่างและเดินหามัน...

และอะไรกันที่ทำให้รอดออกมาจากความมืดนั้น
อะไรกันที่ทำให้เราได้เห็นแสงสว่างอีกครั้ง....

เสียงหัวใจกู่ก้องร้องบอกว่่า...เราจะรอดได้หรือไม่นั้น...
เราต้องมีที่พึ่งและที่พักพิง ทั้งทางกายและทางใจ...
คนที่จะไปก่อนใครคือคนที่ไร้ที่พึ่งพา
หรืออาจจะมี แต่เขาไม่อยากให้คนอืื่นได้รับรู้ในส่ิงที่เขาสัมผัสอยู่
และแน่นอน...หากเขาไม่มีที่พักพิงหรือที่พึ่ง
ล่องลอยเคว้งคว้างอยู่บนก้อนเมฆ ไม่ช้าเราจะได้เห็นว่าเขาจะไม่ยอมลงมา
หรือจะเรียกว่า อาการหลุดโลก (ไปเที่ยวดาวอังคารเสียแล้ว)...
กู่เท่าไหร่ก็ไม่ยอมหันกลับมามองเราอีก...
นี่คือสิ่งที่ข้าน้อยได้เจอ ได้สัมผัสและได้เห็นมาตลอดระยะเวลาห้าปีกว่า...

ถามตัวเองว่า...เรารอดแล้วจริงๆหรือ...
และอะไรที่ทำให้เราเดินมาถึงวันนี้...
หนึ่งเดียวเท่่านั้น คือ พระเจ้าและคำสอนของพระองค์...
ศาสนาเป็นสิ่งสำคัญที่จะยึดเราเอาไว้ตลอดเวลา
เพราะหากเรายึดสิ่งหนึ่งสิ่งใดในดุนยาเป็นที่ตั้งแล้ว...
วันนึงมันจะโบยบินจากเราไป...
แต่อัลลอฮฺเท่านั้นที่ยังอยู่...อัลลอฮฺเท่านั้นที่มีอยู่จริง...
อัลลอฮฺเท่่านั้นที่เราขอความช่วยเหลือ...
และพระองค์เท่านั้นที่เราสามารถพักพิง พึ่งพาได้...
เราจะรู้ได้อย่างไร หากว่าเราไม่รู้ว่าตัวเองน้ันอ่อนแอและต้องการที่พึ่ง
ซึ่งขณะนั้นไม่มีมนุษย์หน้าไหนหรือสิ่งใด แม้แต่ทรัพย์สินก็ไม่ช่วยเราเลย...
ทุกสิ่งที่มีไม่ได้ช่วยเราเลย...

แต่แปลกที่ศรัทธา แต่บางครั้งกลับยังดื้อดึง ฝ่าฝืนคำบัญชา
ไม่ได้ยอมสิโรราบ ยอมจำนนต่อพระองค์จนหมดใจ...
นั่นคือความอ่อนใช่ไหม... 

ยามใดที่ต้องเผชิญหรือโดนสังคมทำร้ายมาหรือบาดเจ็บ
มีบาดแผลฉกรรจ์ หากไม่หายามาเยียวยารักษา ปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้น
นานวันเข้า ก็จะรู้สึกชินชาและไม่เจ็บปวดกับบาดแผลอื่นๆที่คอยตอกลงที่เก่า
บาดแผลที่เจอทุกวันจะค่อยๆทับลง สุมลง กรีดลงเรื่อยๆ หากก็ไม่เจ็บ
เพราะหัวใจเริ่มแข็งกระด้าง เริ่มเย็นชา ไม่รู้จะเรียกว่าด้านชาหรือด้านทนดี
เพราะแม้แต่คนที่ร้องไห้ราวกับจะตายขอความช่วยเหลืออยู่ตรงหน้า
บางคนกลับไม่รู้สึกรู้สาอะไร หัวใจข้างในนั้นเป็นเช่นไร ยากจะหยั่งถึง...
ท่านทั้งหลายคิดว่่าสังคมที่เป็นแบบนี้ มันฟ้องถึงอะไรได้บ้าง...

ในทางกลับกัน...ยามใดที่เราออกไปเผชิญและโดนทำร้ายจากสังคมภายนอก
มีบาดแผลกลับมา แล้วเราเยียวยารักษาด้วยคำสอนของศาสนา
ยามใดที่เราอ่านอัลกุรอานแล้วรู้สึกแสบ รู้สึกเจ็บปวด เสียใจ ซาบซึ้ง
จนต้องร้องไห้หลั่งน้ำตาออกมา เราจะเริ่มรู้สึกว่า บาดแผลที่ได้รับมา
กำลังได้รับการเยียวยารักษาด้วยอัลกุรอาน...
ซึ่งเป็นของขวัญจากพระเจ้า เป็นยา เป็นทางรอด และเป็นอะไรอีกมากมาย...

ถ้าท่านมียา...ท่านก็จงออกเดินทางมารักษาผู้ป่วยที่ไม่รู้ว่าตนป่วย
และรอการเยียวยาเถอะค่ะ...ข้าน้อยเชืื่อว่า ประเทศที่ดูเจริญแล้วอย่างญี่ปุ่น
คนในประเทศนี้ยังต้องการยา ต้องการศาสนาที่แท้จริง...

หมอก็คือคนทั่วไป เจ็บป่วยได้เหมือนกัน
หากหมอก็ยังคงช่วยเหลือคนป่วยจนสุดความสามารถที่มี
เมื่อยามที่หมอป่วย หมอเองก็ต้องกินยา ต้องเข้ารับการรักษา...

และการที่คนป่วยจะหายป่วยได้นั้น...
มิใช่เพราะยา แต่เพราะความเมตตาของผู้สร้างยา
ผู้ที่เป็นเจ้าของยาที่แท้จริง พระองค์เท่านั้นที่เราขอความช่วยเหลือ...
วัลลอฮุอะลัม


...อัลฮัมดุลิลลาฮฺ...

ปล.สิ่งที่ข้าน้อยพบเจอและสัมผัสจะเป็นหลักฐานได้หรือไม่นั้นข้าน้อยตอบไม่ได้...
แต่หากท่านต้องการหลักฐาน ท่านจงเดินทางเพื่อมาเยือน
และมาดูให้เห็นกับตาของท่านแล้วท่านจะได้เห็น...
แม้อาจจะไม่เหมือนที่ข้าน้อยเห็นหรือสัมผัส
แต่ท่านจะได้เรียนรู้อะไรบางอย่าง...อินชาอัลลอฮฺ...

...อัลลอฮฺคือผู้คุ้มครอง...

วัสลามค่ะ


 
 loveit:


"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ ILHAM

  • เพื่อนตาย T_T
  • *****
  • กระทู้: 11348
  • เพศ: ชาย
  • Sherlock Holmes
  • Respect: +273
    • ดูรายละเอียด
    • ILHAM
^
หลอกให้เราไปหาถึงญี่ปุ่นหรือเปล่านั้น 555
إن شاءالله ติด ENT'?everybody

Sherlock Holmes said "How often have I said to you that when you have eliminated the impossible, whatever remains, however improbable, must be the truth?"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
^

เขากำหนดจะเอาตัวพี่กลับเริน(บ้าน)อีกไม่กี่เดือนแล้วนิ...
คำสั่งลงมาแล้ว...อยู่ต่อไม่ได้แล้วนิ...ม่ายตังค์...555

อีกอย่างคิดถึงบ้านจังเสีย ไม่กลับไม่ได้แล้ว...อินชาอัลลอฮฺ



 hehe hehe
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด

 salam

"เสี้ยวหน่ึงของชีวิตนักศึกษาในประเทศญี่ปุ่น"

เมื่อก่อนตอนแรกเข้ามหาวิทยาลัย...มีเพื่อนร่วมชั้นเรียน 30กว่าคน

ต่อมา...เหลือ 20 กว่าคน

เมื่อสามเดือนก่อน...เหลือ 13 คน

ปัจจุบัน...เหลือ 12 คน

และ...

วันนี้...อาจารย์เรียกนักศึกษาทั้ง 12 คนมาประชุม
เพื่อบอกว่า มีแค่ 6 เป็นอย่่างสูงเท่่านั้นที่อาจารย์ลงความเห็นว่า
มีความเป็นไปได้ว่าจะจบการศึกษาในปีการศึกษานี้...
พร้อมประกาศรายชื่อนั้นให้ทราบโดยทั่วกัน...
ทุกอย่่างเงียบกริบ...ข้าน้อยมองหน้าเพื่อนร่วมห้องแต่ละคน
แล้วยากจะเดาความรู้สึก...แต่สำหรับตัวเองนั้น
ไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเสียใจดี...

ที่สำคัญอาจารย์ยังประกาศอีกว่า...
หนึ่งใน 6 คนที่ว่า...ที่อาจารย์มั่นใจว่าจะจบจริงๆในปีการศึกษานี้
มีเพียงแค่คนเดียว ณ เวลานี้...
ที่เหลืออีก 5 คน ขึ้นอยู่กับความพยายามและความตั้งใจในเวลาจำกัด...
แน่นอน...คนเดียวที่ว่านั้นไม่ใช่เรา...มันไม่ใช่เรื่องเศร้า
เพราะเรารู้ตัวเราดีว่าที่ผ่านมา เราไม่ได้ทุ่มเทให้กับมันเท่าที่ควร
หากอาจารย์ไม่ประกาศออกมาอย่างนี้...ก็คงจะไม่รู้สึกฮึดขึ้นมา...
นั่นคือข้อดีในการประกาศออกมาตรงๆของอาจารย์ให้ลูกศิษย์ได้รับรู้
เพราะการจะเรียนจบได้นั้น อาจารย์ทั้งสองท่านไม่ใช่ผู้ตัดสิน
แต่เป็นคณะกรรมการและคนที่มาชมผลงานเราด้วย...
หากผลงานไม่สามารถส่งขึ้นโชว์ได้ หรือไม่ผ่านมติที่ทางมหาวิทยาลัยวางไว้...
ทุกอย่างที่ทำมาก็จบโดยที่เราไม่จบออกไป...

หากไม่จบ ข้าน้อยคนนึงที่ไม่ได้รู้สึกเสียใจ...
เพราะไม่ได้รู้สึกอะไรกับการได้กระดาษเพียงใบเดียวมาครอบครอง...
เนื่องจากรู้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงของตัวเอง มันไม่ใช่กระดาษแผ่นนั้นอีกแล้ว...
แต่คนที่ส่งเราเรียนจะรู้สึกอย่างไรนี่สิ...
คนที่รอเราอยู่จะรู้สึกอย่่างไรนั่นต่างหากที่ทำให้ต้องตระหนัก
และต้องฝ่ามันไปให้ได้...
แม้จะรู้ว่าที่กำลังจะไป มันเริ่มไม่ใช่เป้าหมายที่แท้จริงก็ตาม

เลยทำให้นึกถึงการปีนยอดฟูจิ...ตอนนั้นรู้สึกว่ายอดของมันอยู่ใกล้แค่นิดเดียว
มองเห็นอยู่รำไรแล้ว...แม้แรงจะหมดแต่เรากลับรู้สึกดีที่จุดหมายที่ว่า
ใกล้เข้ามาทุกขณะ...ทว่า...เมื่อเดินขึ้นไป ใจเริ่มเหี่ยว
เพราะมีหลายคนที่เดินสวนทางลงมา...ไม่บอกก็รู้ว่า เขาไปไม่ถึงยอด...
และเขามุ่งหน้าไปก่อนหน้าเราแล้ว...
แน่นอนว่าเราย่อมสงสัยว่าทำไม อะไรทำให้เขาหมดแรงสู้แล้วเดินกลับหลัง
ในขณะจะถึงยอดเขาอยู่รอมร่อ...
แม้จะไม่ได้ถามแต่สีหน้าท่าทางเหล่านั้นบอกเราได้หลายอย่าง...
เราจึงหันกลับมาถามตัวเองแทนว่า...
เราจะเป็นอย่างเขาไหม...เราจะมีสภาพอย่างเขาไหม...
ยอดเขาที่เป็นเป้าหมายของเราก็อยู่ใกล้แค่เอื้อมแค่นั้นเอง...

เปล่าเลย...ยอดที่เราเห็นๆน่ะ จริงๆแล้วมันยังอีกไกล
หนทางที่เดินไปมันคดเคี้ยวกว่าจะปีนไปถึง...
บางคนร่างกายต้านทานแรงกดดัน(อากาศ)ไม่ไหว หายใจไม่ออก
เลยต้องล่าถอยลงมา...

และเหนือสิ่งอื่นใดก็คือ...เวลา...
เรามีเวลาปีนไปให้ถึงยอดก่อนพระอาทิตย์จะขึ้น...
โดยที่เราไม่รู้ว่ามันจะขึ้นกี่โมง...
แต่เราต้องรีบไปให้ถึงก่อนมันจะโผล่พ้นขอบฟ้า...

การฝ่าฟันความยากลำบากในการปีนเขาเพื่อไปให้ถึงยอดเขานั้น
สนุกและท้าทายฉันใด...
การฝ่าฟันความทุกข์ยากในชีวิตเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายที่หวังไว้
ก็สนุกและท้าทายฉันนั้น...

แม้ท้ายที่สุด...บนนั้น...จะขาดผู้ร่วมทางบางคนไปบ้างก็ตาม...


วัสลามค่ะ

"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ Bangmud

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
 salam

ต้องรอกิน "ไข่บองหลา" ต่อไป

ออฟไลน์ ILHAM

  • เพื่อนตาย T_T
  • *****
  • กระทู้: 11348
  • เพศ: ชาย
  • Sherlock Holmes
  • Respect: +273
    • ดูรายละเอียด
    • ILHAM
ใช่ รีบๆจบเถอะ คงจะมีบางคนรอให้ช่วยกลับไปทำไข่บองหลาให้กินที่บ้านอย่างใจจดใจอยู่มั้ง ปีนขึ้นไปเอาใบมะพร้าวรอพลางๆ
إن شاءالله ติด ENT'?everybody

Sherlock Holmes said "How often have I said to you that when you have eliminated the impossible, whatever remains, however improbable, must be the truth?"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

little cat

  • บุคคลทั่วไป
พี่ค้างสู้ๆ พี่ค้างสู้ตายยย พี่ค้างไว้ลายย แบกคานสู้ๆๆ 5555

แหะๆ เข้ามาให้กำลังใจพี่ค้าง จะเอาเท่าไรดีพี่ ขอมา1โบกี้

นู๋ยกให้ทั้งสถานีเลย 5555

พอยังนิ

พร้อมลุยยังพี่

เอ้า ฮุ่ยเร่ฮุ่ย บึ๊ดจำบึ๊ด จำบึ๊ด จำบึ๊ดดด

 hehe hehe hehe

พี่รีบๆจบภายในปีนี้ให้ได้น้าาา

เราจะได้เจอกันๆๆ

รีบๆเอาคานกลับมาทิ้งไว้ที่เมืองไทยยย

มีคนรอรับคานต่อจากพี่อีกเยอะ

ฮ่าฮ่าาา

ยังไงโคลงเคลงก้อขอดุอาให้อัลลอฮทำให้ทุกการงานและอุปสรรคของพี่สำเร็จลุล่วงผ่านไปด้วยดีนะค้าบบบ

 loveit: loveit: loveit: loveit:







ช่ายๆ ก๊ะโด่โด่ สู้ๆ สู้ตาย สู้ๆ  cool2:

แวะมาเติมกำลังใจให้อีกหนึ่งสถานี หรืออีกหลายๆสถานีงิ  loveit: loveit: loveit:
อ้างถึง
ใช่ รีบๆจบเถอะ คงจะมีบางคนรอให้ช่วยกลับไปทำไข่บองหลาให้กินที่บ้านอย่างใจจดใจอยู่มั้ง ปีนขึ้นไปเอาใบมะพร้าวรอพลางๆ

ปล.เรื่องคานๆระวังเข้าตัวเองนะ เมื่อถึงวัยแล้วจะรู้สึก ใช่ไหมก๊ะ 55555
:laugh:[/color][/b][/size]

ออฟไลน์ ILHAM

  • เพื่อนตาย T_T
  • *****
  • กระทู้: 11348
  • เพศ: ชาย
  • Sherlock Holmes
  • Respect: +273
    • ดูรายละเอียด
    • ILHAM
ที่นี่สถานีพัทลุง ที่นี่สถานีพัทลุง ผู้โดยสารที่มีความประสงค์จะลงสถานีพัทลุง โปรดตรวจสอบสัมภาระของท่านให้เป็นที่เรียบร้อยก่อนลงจากขบวนรถ ขอบคุณค่ะ
إن شاءالله ติด ENT'?everybody

Sherlock Holmes said "How often have I said to you that when you have eliminated the impossible, whatever remains, however improbable, must be the truth?"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
วะอะลัยกุมมุสลามค่ะแชมัด

ญะซากัลลอฮุคอยรอนสำหรับทุกๆกำลังใจค่ะ...
รับรองว่าจะใช้ให้คุ้มไม่ให้เหลือสักหยดเลยค่ะ...

ปล.1...แชมาทวงไข่บองหลาถึงในนี้...อินชาอัลลอฮฺ
ไม่กลับไปทำไม่ได้แล้ว...เดี่ยวสว.จะรอนาน... hehe

ปล.2...มีแมวกับค้างคาวมาช่วยเชียร์...อย่างฮา...
เชียร์ลีดเดอร์ตัวจริงเสียงจริงมาถึงที่...
กำลังใจหนึ่งสถานีเนี่ยกี่โบกี้หนอออออ 555

ปล.3...คิดถึงบรรยากาศเวลาลงรถไฟ
และเม็ดหัวครก(มะม่วงหิมพานต์)อบน้ำผึ้ง
เวลานั่งรถไฟตอนกลับบ้านเรยนิอิลฮามเหอ...
คิดถึงเขาหนอนไช(เขาอกทะลุ)ด้วยงิ...เหอๆ...
ไม่ไหวๆ เพ้อใหญ่แล้วพี่...

ไปดีกว่า...

วัสลามค่ะ




 boulay:


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธ.ค. 22, 2009, 05:36 AM โดย nada-yoru »
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

 

GoogleTagged