ผู้เขียน หัวข้อ: ดะวะฮ์ ทางเมลล์  (อ่าน 5026 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ a d n a n

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 698
  • เพศ: ชาย
  • "และคำพูดที่ดี เป็นซอดาเกาะฮฺ" (บุคอรียฺ , มุสลิม)
  • Respect: +13
    • ดูรายละเอียด
ดะวะฮ์ ทางเมลล์
« เมื่อ: พ.ย. 27, 2009, 04:04 PM »
0

 salam

พี่น้องที่รักของอัลลอฮ (ซบ.)

จำไม่ได้แล้วว่าไปทิ้งเมลล์ไว้ที่ไหน จู่ ๆ ก็มีเมลล์มาหาผม ข้อความดังต่อไปนี้

 ดิฉันนับถือศาสนาพุทธแต่ดิฉันมีเอลเดอร์มาสอนที่บ้านโดยให้ดิฉันสวดอ้อนวอน และดิฉันจะสัมผัสได้ว่าพระเจ้ามีจริงดิฉันสวดอ้อนวอนทุกวันแต่ดิฉันก็ยัง สัมผัสได้แต่เพียงบางเบาจนยังไม่สามารถตัดสินใจว่าจะรับ
บัสติสมา เพราะดิฉันถือว่าคำสอนของศานาพุทธเป็นคำสอนที่ดีมากเพียงแต่ถ้าจะไปให้ถึง นิพพานจะต้องดับซึ่งกิเลสทั้งปวงซึ่งดิฉันถือว่าทำยากมากสำหรับตัวดิฉัน  แต่คำสอนของศาสนาคริสต์สอนให้เชื่อในพระเจ้าไม่มีทางรอดอื่นใดนอกจากนี้พระ เยซูคริสต์จะช่วยล้างบาปและถ้าเดินตามแผนของพระองค์จะนำเรากลับไปอยู่กับ พระผู้เป็นเจ้าต่ดิฉันยังสัมผัสไม่ได้ว่าเป็นความจริงขณะนี้ดิฉันไปทั้ง โบสถ์และวัดและต้งใจทำความดีอย่างเช่นมนุษย์ธรรมดาจะทำได้ รบกวนท่านผู้รุ้ช่วยแนะนำด้วย


ผมขอคำแนะนำผู้มีประสบการณ์ หรือทุกท่านหน่อยครับ เพราะไม่เคยที่จะดะวะฮ์ใครในรูปแบบนี้มาก่อน

ยกข้อความมายาว ๆ เลยก็ดีครับ เด๋วผมจะเรียบเรียงอีกครั้ง มารวมกันเป็นสาเหตุประตูสู่ฮิดายัตกันครับ

(ที่คิดไว้ ผมจะเน้นอัคล๊ากเป็นสำคัญ จะให้เค้าค่อย ๆ เรียนรู้ไป และจะเน้นไปในเรื่องความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮตะออาลา และความสัจจริงในอัลกุรอาน)

ตอนนี้ผมยังไม่ได้ตอบกลับไป แต่จะตอบไปเร็ว ๆ นี้ อินชาอัลลอฮ

อัลฮัมดุลลิละฮ ที่พระองค์ทรงป้อนงาน ผมจะพยายามก็งานชิ้นนี้อย่างสุดกำลัง อินชาอัลลอฮ

ขอพี่น้องช่วยดุอาอฺให้ผม และเค้าด้วยครับ (หมายถึงให้พระองค์ฮิดายัต) เธอใช้ชื่อในเมลล์ว่า อุษณีย์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ย. 27, 2009, 04:06 PM โดย a d n a n »
หากมาอย่าง " ผึ้ง " ก็จะได้ ~o น้ำหวาน o~ กลับไป oOo หากมาอย่าง " แมลงวัน " ก็จะไม่ได้อะไร นอกจาก

ออฟไลน์ a d n a n

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 698
  • เพศ: ชาย
  • "และคำพูดที่ดี เป็นซอดาเกาะฮฺ" (บุคอรียฺ , มุสลิม)
  • Respect: +13
    • ดูรายละเอียด
Re: ดะวะฮ์ ทางเมลล์
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: พ.ย. 30, 2009, 09:42 AM »
0
หายไปตั้งหลายวัน กลับมานึกว่าจะมีคนตอบ ที่ไหนได้ไม่มีใครตอบสักคน

งัยก็ ญาซากัลลอฮุค็อยร็อน ทุกท่านครับ (ที่เข้ามาอ่าน)
หากมาอย่าง " ผึ้ง " ก็จะได้ ~o น้ำหวาน o~ กลับไป oOo หากมาอย่าง " แมลงวัน " ก็จะไม่ได้อะไร นอกจาก

ออฟไลน์ ILHAM

  • เพื่อนตาย T_T
  • *****
  • กระทู้: 11348
  • เพศ: ชาย
  • Sherlock Holmes
  • Respect: +273
    • ดูรายละเอียด
    • ILHAM
Re: ดะวะฮ์ ทางเมลล์
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: พ.ย. 30, 2009, 10:40 AM »
0
ลองเอาหนังสือที่พวกวัฮฮาบีเขียนมาให้เขาอ่านสิ เรื่องอากีดัฮพื้นฐานอะไรพวกนี้(ที่ไม่ลึกถึงว่าอัลลอฮอยู่บนอารัช) ที่แนะนำตรงนี้เพราะว่า หาง่าย เล่มเล็ก เข้าใจง่าย ที่จริงของสายเราทำก็มี แต่ส่วนใหญ่ภาษานายุกับอาหรับ ภาษาก็มีแต่เก่ามากๆจนหาไม่ได้แล้วในปัจจุบัน

ไม่จำเป็นไม่แนะนำเลยนะนั่น หนังสือพวกนั้น
إن شاءالله ติด ENT'?everybody

Sherlock Holmes said "How often have I said to you that when you have eliminated the impossible, whatever remains, however improbable, must be the truth?"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ JawhaR

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1303
  • Respect: +12
    • ดูรายละเอียด
Re: ดะวะฮ์ ทางเมลล์
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: พ.ย. 30, 2009, 03:07 PM »
0
อยู่ในช่วงรายอ พี่น้องเค้า คงยังยุ่งอยู่มั้ยครับ
เข้ามาช่วยดัน   :o
I'm just a Mini Muslim and will try to be   StrongeR. Insha-Allah

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: ดะวะฮ์ ทางเมลล์
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: พ.ย. 30, 2009, 06:17 PM »
0
 salam

ลองแนะนำที่เรียนหรือแนะนำให้เธอไปเรียนกับโต๊ะครูโดยตรง
หรือตามสถาบันที่เปิดสอนศาสนาสำหรับมุสลิมใหม่
หรือผู้ที่สนใจอิสลามดูสิคะ...
เพราะว่าเวลาที่เธอเกิดสงสัย เธอจะได้สอบถามโต๊ะครูได้เลย
เพราะปกติผู้ที่ศึกษาอิสลามใหม่ๆมักมีข้อสงสัยต่างๆมากมาย
และบางครั้งเราเองก็ตอบหรืออธิบายให้เขาเข้าใจได้ลำบาก
ยิ่งการอธิบายด้วยตัวอักษรอย่่างเดียว อาจทำให้ความเข้าใจคลาดเคลื่อนได้
แต่หากว่าได้เรียนรู้กับครูโดยตรง โต๊ะครูก็จะมีวิธีการอธิบายหรือเทคนิค
ที่จะทำให้เธอเข้าใจได้ง่ายกว่าเราน่ะค่ะ...และบางทีโต๊ะครู
อาจจะแนะนำหนังสือที่เหมาะสมกับเธอให้กลับไปอ่านได้ด้วยค่ะ...

เพราะเมื่อตอนสมัยมัธยม เคยมีเพื่อนต่างศาสนิกสนใจอยากเรียนรู้อิสลาม
เขาบอกว่า เขาจะลองศึกษาดูก่อนว่าเป็นอย่างไร...
ข้าน้อยก็เลยพาเพื่อนไปทำความรู้จักกับอาจารย์สอนศาสนาในโรงเรียน
ซึ่งมีคาบเรียนศาสนาด้วย...อาจารย์ก็ช่วยอธิบายหลักพื้นฐาน
และแนะนำหนังสือในตู้ให้เพื่อนไปศึกษาดู...หลังๆมาเพื่อนก็ค่อยๆ
ไต่ระดับหนังสือขึ้นเรื่อยๆค่ะ...พอมีอะไรสงสัย เค้าก็จะไปถามอาจารย์
ในคาบเรียนบ้าง ถามข้าน้อยบ้าง มานั่งดูพวกเราละหมาดกันบ้าง
และพยายามเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆเพื่อการศึกษาบ้าง...
แต่ติดอยู่ตรงที่พ่อแม่และครอบครัวของเพื่อนไม่เห็นด้วยเท่านั้นเองค่ะ...
เขาก็เลยยังทำอะไรไม่ได้ แต่ก็ไม่ยอมกินหมู ไม่ยอมกินเหล้า ฝึกถือศีลอด
ไม่เข้าวัดเข้าวา และกราบไหว้สิ่งใด(เท่าที่ข้าน้อยเห็นนะคะ)...
ทำอยู่อย่างนั้นตั้งแต่เขาอยู่ม.ต้นยันม.ปลาย...
ซึ่งก่อนข้าน้อยจะมาเรียนต่างประเทศเขายังบอกเลยว่า...
ต่อไปเขาจะหาสามีที่เป็นมุสลิมแล้วจะไปอยู่กับสามี...
ถึงตอนนั้นพ่อกับแม่คงเข้าใจเขา...ข้าน้อยก็ได้แต่ขอดุอาฮฺให้เพื่อน
ได้เจอกับสามีที่มีอีหม่านที่เข้มแข็ง(และไม่ลืมขอให้ตัวเองด้วยค่ะ ;D )

แล้วก็ขาดการติดต่อกันไปนานเลยค่ะ...ไม่กี่ปีก่อน แม่โทรมาบอกว่า
เพื่อนแวะไปหาพ่อกับแม่ของข้าน้อยที่บ้าน บอกว่าเขาเข้ารับอิสลามแล้ว
คลุมฮิญาบไปหาด้วยค่ะ แถมยังบอกว่า น้องชายของเขาเองก็สนใจอิสลาม
และกำลังศึกษาอยู่ด้วยค่ะ...อัลฮัมดุลิลลาฮฺ...

หลายปีที่เราไม่ได้เจอกันเลย มันทำให้ข้าน้อยรู้สึกตื้นตันมิใช่น้อย
ที่เห็นเพื่อนสนิทคนนี้ที่เคยเรียนด้วยกันมาตั้งแต่ป.2ยันม.6
ได้มาเดินร่วมเส้นทางเดียวกัน...ร่วมศรัทธาเดียวกัน...
และคิดว่าเขาเองคงต้องฟันฝ่าอุปสรรคมามิใช่น้อย
โดยที่ข้าน้อยเองมิได้อยู่ช่วยประคับประคองในภายหลัง...

รู้สึกเพียงว่าเพื่อนคนนี้เขามีความพยายามและขวนขวายให้ได้มาซึ่งศาสนาอิสลาม...
อัลลอฮฺทรงชี้ทางนำสำหรับบุคคลที่พระองค์ทรงประสงค์
และข้าน้อยดีใจที่คนๆนั้นเป็นเพื่อนสนิทในวัยเยาว์ของข้าน้อยด้วย...
เป็นเพื่อนที่ข้าน้อยไม่ได้เลือกคบ ไม่ได้อยากจะสนิทด้วย
แต่เขาเลือกที่จะเดินเข้ามาหาและบอกว่าอยากเป็นเพื่อนกับข้าน้อย...

ยอมรับว่าเมื่อตอนเด็กๆ ข้าน้อยจะคบกันแต่กลุ่มเราเท่านั้น...
ไปไหนก็ไปกันแต่กลุ่มตัวเอง...แต่เมื่อได้รับหน้าที่เป็นหัวหน้า
มันจึงต้องคุมคนทั้งห้อง บางครั้งทั้งโรง...เลยเป็นที่มาหลายๆอย่างในชีวิต
เหมือนอัลลอฮฺลิขิตให้มันเป็นไปในหนทางนั้น
ก็เลยต้องพบปะทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อนหลายศาสนา
(ปัจจุบันก็หลายชาติและหลายศาสนาด้วยค่ะ)
ก็เลยลากเพื่อนๆเข้ามาร่วมด้วยกับตัวเองเสียเลย...

ปัจจุบันพยายามถามข่าวคราวของเขาจากเหล่าเพื่อนๆ
ก็ไม่ได้ข่าวคราวใดๆกลับมา...ไม่รู้ว่าป่านนี้จะแต่งงานไปแล้วหรือยัง...
และยังคงยึดมั่นบนเส้นทางอันเที่ยงแท้
หรือยังอยู่ในร่มเงาแห่งอัลอิสลามอยู่อีกหรือไม่...
แต่เชื่อด้วยหัวใจลึกๆค่ะว่า...สักวันเราคงได้โคจรมาเจอกันอีกครั้ง...
อินชาอัลลอฮฺ...


ปล.เคยฟังมาจากโต๊ะครูมาว่า หากจะดูใครสักคน ให้ดูคนที่เขาเลือกคบ
หรือเพื่อนสนิทของเขา
แต่สำหรับชีวิตข้าน้อยที่ผ่านมา...รู้สึกว่า...บางครั้งเราก็โดนเลือก
ก่อนที่จะได้เลือกด้วยซ้ำไปค่ะ...และไม่เคยมีใครจะอยู่เคียงข้างเราตลอดไป
เหมือนเจอกันเพื่อจาก และจากกันเพื่อเจอ...
สุดท้ายก็มีเพียงอัลลอฮฺเท่านั้นที่อยู่เคียงข้างเราเสมอ...
สำหรับข้าน้อย ไม่ว่าสิ่งใดที่อัลลอฮฺให้เจอ จึงพยามยามนึกเสมอว่า
สักวันมันก็จะจากเราไป หรือไม่ก็จะเป็นเราที่ต้องจากมันไป...
แต่ก่อนจากเราก็ควรให้สิ่งที่ดีกับเขาเท่าที่เราจะมีให้ได้...
เมื่อจากกันไป จะได้นึกถึงกัน และสิ่งที่ดีที่สุดที่ข้าน้อยมีติดตัว
แม้ยังมีไม่มากมายนัก นั่นก็คือศาสนาอิสลาม...
ส่วนเขาจะรับไว้หรือไม่นั้น...อินชาอัลลอฮฺ

และเราจะรู้สึกชื่นในหัวใจ หากว่าสิ่งที่เราให้ไป เขายินดีรับมันเอาไว้
ด้วยหัวใจ แล้วนำไปศึกษาต่อเรื่อยๆ...อัลฮัมดุลิลลาฮฺ

เล่าสู่กันฟังค่ะ

 ;D


วัสลามุอะลัยกุมค่ะ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ย. 30, 2009, 06:29 PM โดย nada-yoru »
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

subson

  • บุคคลทั่วไป
Re: ดะวะฮ์ ทางเมลล์
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: พ.ย. 30, 2009, 06:46 PM »
0
ถามให้คิด...สะกิดใจ
สู่เจ้ามิได้ใคร่ครวญดูบ้างหรือ ?

 
ชารีฟ วงศ์เสงี่ยม
 

บทความต่อไปนี้ถูกเขียนขึ้นเพื่อที่จะเตือนสติผู้ที่ยังปฏิเสธการมีอยู่ของพระผู้สร้างที่แท้จริง หรือ เราจะเรียกว่า พระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริงก็ได้ โดยมีความหวังว่าพี่น้องมุสลิมท่านใดที่มีเพื่อนชาวต่างศาสนิกบทความนี้อาจจะเป็นประโยชน์แก่เขาได้ ก็ขอนำบทความนี้ไปใช้ประโยชน์ให้มากที่สุดเพื่อเป็นก้าวแรกในการสะกิดจิตสำนึกเบื้องลึกของเขาผู้นั้น อิสลามสอนเอาไว้ว่ามนุษย์ทุกคนเกิดขึ้นมาโดยมีความเชื่อในพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริงอยู่ตั้งแต่เกิดแล้ว แต่เนื่องมาจากสภาพแวดล้อมต่างๆที่อยู่รอบตัวเขาทำให้เขาผู้นั้นมีความคิดความเชื่อที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เช่นกลายเป็นผู้ที่ปฏิเสธพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริงไป และบางรายปากก็กล่าวว่า ไม่เชื่อในพระเจ้า หรือพระผู้สร้างที่แท้จริง แต่ในขณะเดียวกันก็กราบไหว้บูชาสิ่งต่างๆสารพัด ไม่ว่าจะเป็น ผีสางนางไม้ รูปปั้นต่างๆ หรือไม่ก็ ต้นไม้ ทั้งนี้อย่างที่บอกไปแล้วว่า มนุษย์เกิดขึ้นมาโดยถูกฝังความเชื่อในพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริงมาในตัวแล้ว ด้วยเหตุนี้มนุษย์ที่หลอกตัวเองก็เลยปฏิเสธ พระผู้เป็นเจ้า หรือพระผู้สร้างที่แท้จริง และหันไปเคารพบูชา พระเจ้าที่จอมปลอมทั้งหลาย ซึ่งภาษาอาหรับใช้คำว่า ตอฆูต ไม่ว่าเขาผู้นั้นจะไม่เรียกสิ่งนั้นว่าพระเจ้าแต่หลีกเลี่ยงไปใช้ชื่ออื่นเพื่อปลอบใจตัวเองและหลอกตัวเอง แต่ในจิตสำนึกลึกๆแล้วเขาก็ไม่อาจที่จะหลอกตัวเองได้ เมื่อพูดถึงเรื่องที่ว่า มนุษย์เกิดขึ้นมาพร้อมกับความเชื่อในพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริง ก็ทำให้นึกถึงคำกล่าวที่ว่า ถ้าคุณเอาเด็กที่เกิดมาใหม่ไปเลี้ยงในสถานที่ที่จัดเตรียมไว้โดยเฉพาะ โดยไม่ให้ได้รับอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อมใดๆทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นศาสนาหรือวัฒนธรรม และไม่ให้เด็กคนนั้นเห็นหรือพบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้ใดทั้งสิ้นเมื่อเขาโตมา เมื่อถึงเวลาก็เอาข้าวเอาน้ำไปให้ แน่นอนที่สุดเด็กคนนั้นจะเติบโตขึ้นมาในสภาพที่เชื่อในพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริงเพียงองค์เดียว โดยไม่ต้องมีใครไปสั่งสอนหรือบอกกล่าวเขาเลย เพียงแต่ว่าเขาจะเรียก พระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริงผู้นั้นโดยใช้ชื่อเรียกว่าอะไรเท่านั้นเอง  แต่ที่สำคัญก็คือ เด็กคนนั้นจะเติบโตขึ้นมาโดยเชื่อถึงการมีอยู่ของพระผู้สร้างหรือพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริง โดยไม่ต้องมีใครไปสั่งสอน

มนุษย์เติบโตมาพร้อมด้วยสติปัญญาและเหตุผลที่จะเป็นเครื่องช่วยตัดสินในกิจการงานต่างๆทั้งที่มีความสำคัญและไม่สำคัญ มนุษย์มีความแตกต่างไปจากสัตว์ตรงที่มนุษย์รู้จักใช้สติปัญญาและเหตุผล ตั้งแต่ตื่นนอนขึ้นมา จนถึงเข้านอนอีกครั้งหนึ่ง มนุษย์เราจะใช้ความคิดอยู่ตลอดเวลา ไม่คิดเรื่องโน้นก็เรื่องนี้ แม้เมื่อเราหยุดพักจากการทำงานหนักที่เหน็ดเหนื่อยแล้วก็ตาม แต่กระนั้นความคิดของเราก็ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยที่จะคิดหยุดพักบ้าง แต่มันก็ยังคง คิดไปต่างๆนาๆ เรื่องใดเรื่องหนึ่ง เมื่อบอกว่ามนุษย์แตกต่างไปจากสัตว์ คุณรู้ไหมครับว่า เมื่อ หนึ่งพันปี หรือ หนึ่งหมื่นปีที่แล้ว นกอาศัยอยู่ที่ไหนกัน ?คุณก็จะตอบว่า อยู่ในรังหรือบนต้นไม้  และในปัจจุบันนี้ล่ะครับ นกที่ว่านี้ อาศัยอยู่ที่ไหน ?...  และคุณรู้ไหมครับว่าเมื่อ หนึ่งพันปี หรือ หนึ่งหมื่นปีที่แล้ว มนุษย์ อาศัยอยู่ที่ไหนกัน ? และในปัจจุบันนี้ มนุษย์อาศัยอยู่ที่ไหนกัน ?  คงตอบและคิดอะไรบางอย่างได้น่ะครับ  ย้อนกลับไปที่เรื่องความคิดของมนุษย์   มนุษย์ผู้ที่มีความคิดอยู่ตลอดเวลาคิดสิ่งนั้นสิ่งนี้  เคยที่จะได้คิดอย่างไม่หลอกตัวเองบ้างไหมว่า มนุษย์ทั้งหลายร่วมทั้งตัวเขาเกิดขึ้นมาบนโลกนี้ได้อย่างไร และเกิดขึ้นมาเพื่ออะไร ตายแล้วจะไปไหน ใครเป็นผู้สร้างเขามา  ร่วมทั้งสรรพสิ่งที่อยู่รอบๆตัวเขาที่เขาเห็นมันอยู่ทุกวันจนเคยชิน เช่น โลกที่เขาอาศัยอยู่ สรรพสัตว์ทั้งหลาย ร่วมทั้งจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล อันหาขอบเขตมิได้ และที่สำคัญที่สุด นั่นคือตัวของเขาเอง ใครกันเหล่าที่ได้สร้างสิ่งเหล่านี้รวมทั้งตัวของเขาขึ้นมา  อิสลามได้สอนให้มนุษย์ ให้ใช้สติปัญญาและเหตุผลที่มีอยู่กับเขาอย่างไม่หลอกตัวเอง โดยสอนให้มนุษย์ได้คิดและใคร่ครวญถึงสิ่งต่างๆเหล่านี้และพยายามที่จะแสวงหาคำตอบ จากแหล่งที่เชื่อถือได้  ในคัมภีร์อัลกุรอาน ซึ่งมีโองการสั้นๆโองการหนึ่งได้ถามเราเอาไว้ให้ได้คิดใคร่ครวญว่า :

 

 

“ พวกเจ้าเห็นสิ่งที่พวกเจ้าหลั่งออกมา (อสุจิ) แล้วมิใช่หรือ?  พวกเจ้าสร้างมันขึ้นมา หรือว่าเราเป็นผู้สร้าง ”

[ความหมายคัมภีร์อัลกุรอาน บทที่ 56 โองการที่ 58-59]

           

            ท่านเคยเห็นน้ำอสุจิที่ท่านหลั่งออกมาไหมครับ ? ถามว่าในปัจจุบันนี้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีความเจริญก้าวหน้าเป็นอย่างมาก  แต่ถามว่ามีนักวิทยาศาสตร์คนไหนบ้างไหมที่สามารถออกมาประกาศว่าตนเองสามารถที่จะสร้างหรือผลิตน้ำอสุจิของมนุษย์ขึ้นมาเองได้ …มีไหมครับ ? มีนักวิทยาศาสตร์คนไหนบ้างไหมครับที่ สามารถสร้างหรือผลิตรังไข่ของเพศหญิงขึ้นมาได้ ? มีนักวิทยาศาสตร์คนไหนบ้างครับที่ สามารถสร้างหรือผลิตลูกอัณฑะขึ้นมาองได้…มีไหมครับ ? มีนักวิทยาศาสตร์คนไหนบ้างไหมครับที่สามารถผลิต โปรตีนโมเลกุลขึ้นมาสักตัวหนึ่งได้ อันเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของชีวิตที่จะขาดเสียมิได้เป็นอันขาด มีไหมครับ?  นี่ยังไม่ต้องพูดถึงเซลล์ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่า โปรตีนโมเลกุลหลายร้อยเท่า  ถ้าคนเรียนวิชาชีววิทยาจะรู้ดีในเรื่องนี้…ถามว่ามนุษย์สร้างมนุษย์ด้วยกันเองขึ้นมาได้ไหม แม้ว่าปัจจุบันนี้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะมีความเจริญก้าวหน้าอย่างมาก อย่างที่เราได้เห็นอยู่แล้วก็ตาม แต่กระนั้น มีมนุษย์หรือนักวิทยาศาสตร์คนไหนบ้างไหมครับที่สามารถสร้างสิ่งเพียงไม่กี่สิ่งที่กล่าวมาแล้วข้างต้นได้ มีไหมครับ ? เมื่อ 50ปีที่แล้ว หรือ 100 ที่แล้ว  หรือเมื่อ 500 ปีที่แล้ว วิทยาศาสตร์ยังไม่มีความเจริญก้าวหน้าอะไรเลย เพราะฉะนั้นเลิกพูดไปได้เลย เพราะตอนนั้นเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่รู้อยู่ไหนเลย ก็ในเมื่อมนุษย์ยังสร้างหรือผลิตแม้แต่อสุจิตัวเดียวขึ้นมาก็ยังไม่ได้ หรือแม้แต่มดตัวเล็กๆเพียงตัวเดียวมนุษย์ก็ไม่มีความสามารถที่จะสร้างขึ้นมาได้ สิ่งที่มนุษย์ผู้มีสติปัญญาและเหตุผลน่าจะถามตัวเองก็คือ :

แล้วมนุษย์เกิดมาได้อย่างไร?  บางคนก็จะตอบมาในทำนองว่า เกิดมาจากเชื้ออสุจิ ถ้าเช่นนั้นก็ถามต่อไปสิว่า แล้วตัวท่านนี้เกิดมาจากน้ำอสุจิของใครครับ…? ท่านก็จะตอบว่า เกิดมาจากน้ำอสุจิของพ่อของท่าน ก็ถามต่อไปว่าและพ่อของท่านสร้างหรือผลิตน้ำอสุจิขึ้นมาเองได้หรือไม่หรือมีความสามารถที่จะบังเกิดตัวเองขึ้นมาได้หรือไม่…? ย่อมไม่ได้อย่างแน่นอน ก็ถามต่อไปว่า แล้วถ้าเป็นเช่นนี้ พ่อท่านเกิดมาจากน้ำอสุจิของใครอีกทีครับ…? ท่านก็จะตอบว่า ของพ่อ ของพ่อของท่านนั้นก็คือ ปู่  ก็ขอถามเพื่อย้ำอีกว่ามนุษย์สามารถที่จะผลิตน้ำอสุจิหรือบังเกิดตัวเองขึ้นมาได้ไหม…? ก็ในเมื่อมนุษย์ไม่มีความสามารถที่จะให้บังเกิดตัวเขาขึ้นมาเองได้ และก็ยังไม่สามารถที่จะสร้างหรือผลิตน้ำอสุจิขึ้นมาได้  ถ้าเช่นนั้นมนุษย์เกิดมาได้อย่างไร ? และใครกันที่เป็นผู้สร้างที่แท้จริงที่สร้างมนุษย์ขึ้นมา ?

ยกตัวอย่างเช่น มีเลขที่ 1-100  ตัวท่านเป็นเลขที่ 100 เกิดมาจากน้ำอสุจิของเลขที่ 99 เลขที่ 99 ก็เกิดมาจากน้ำอสุจิของเลขที่ 98 และเลขที่ 98  ก็เกิดมาจากน้ำอสุจิของเลขที่ 97 ถามว่าถ้าไม่มีเลขที่ 50 จะมีเลขที่ 100 ได้ไหมครับ? จะมีเลขที่ 99 ได้ไหมครับ? และจะมีเลขที่ 98ได้ไหมครับ? ย่อมมีไม่ได้อย่างแน่นอน  ก็ในเมื่อมนุษย์สร้างมนุษย์ด้วยกันเองไม่ได้และก็ยังไม่สามารถที่จะบังเกิดตัวเองขึ้นมาได้แล้ว แล้วมนุษย์เกิดมาได้อย่างไรกัน ใครกันเป็นผู้ที่ สร้างมนุษย์ ขึ้นมา ? ขอถามท่านสักนิดว่า ท่านคิดว่ามันเป็นไปได้ไหม ที่พายุโทนาโดที่ได้พัดผ่านเข้ามายังกองเศษเหล็กและของเก่าที่กองสุมกันอยู่และสามารถทำให้เกิดเป็นเครื่องบินโบอิง 747 ขึ้นมาได้จากเศษเหล็กและของเก่าที่กองสุมกันอยู่นั้น ท่านคิดว่ามันเป็นไปได้หรือไม่ ? แน่นอนผู้ที่มีสติปัญญาไม่ต้องใช้เวลาคิดนานเลยที่ จะตอบคำถามนี้ และท่านรู้ไหมครับว่าความเป็นไปได้ที่มนุษย์จะเกิดขึ้นมาเองโดย ”ธรรมชาติ” ที่บางคนชอบใช้คำนี้กันเพื่อหลอกตัวเองและเป็นการหาทางออกให้แก่ตัวเองอย่างง่ายๆและเพื่อเป็นการปลอบใจตัวเอง หรือการที่มนุษย์จะเกิดขึ้นมาโดยความบังเอิญ นั้นยิ่งมีความเป็นไปไม่ได้หลายร้อยหลายพันเท่าเมื่อเทียบกับตัวอย่างเรื่องเครื่องบินโบอิง 747 ที่ยกมาให้ดูข้างต้นเสียอีก นี่เป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ได้เปรียบเทียบเอาไว้ให้ดูเป็นตัวอย่าง

(Hoyle on Evolution," Nature, vol. 294, November 12, 1981, p. 105)

 

            อย่างที่ได้บอกไปแล้วว่ามนุษย์หลายๆคนที่ชอบหลอกตัวเอง แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคำถามเช่นนี้ ดังตัวอย่างที่ยกมาให้ดู ก็จะพูดออกไปโดยไม่ยั้งคิดเพื่อหาทางออกให้แก่ตัวเอง โดยกล่าวว่า “ ธรรมชาติ” ได้สร้างมนุษย์ขึ้นมา โดยที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่า “ ธรรมชาติ” ที่เขาพูดออกมานี้คืออะไรกัน มีลักษณะอย่างไร เมื่อถึงจุดนี้ผมขอให้ท่านผู้อ่านได้ใช้สติปัญญาคิดดูอีกสักนิดหนึ่ง ถ้าผมจะถามท่านว่า เป็นไปได้ไหมถ้าผมจะพูดว่า” ปล่อยให้ อิฐ หิน ปูน ทราย มันอยู่อย่างนั้นแหละ เดี๋ยวมันก็คงจะสร้างตัวเองเป็นบ้าน ขึ้นมาตามธรรมชาติได้”  แน่นอนถ้าเป็นเช่นนี้ แม้ให้รอเป็นพันเป็นหมื่นปี ก็ไม่มีวันที่  อิฐ หิน ปูน ทราย เหล่านั้นจะมารวมตัวกัน ตาม “ธรรมชาติ” และทำให้เกิดเป็นบ้านขึ้นมาได้ แต่สติปัญญาของมนุษย์บ่งบอกว่า มันจะเป็นบ้านขึ้นมาได้ก็ต่อเมื่อ มีผู้ใดผู้หนึ่งที่มีสติปัญญาและความรอบรู้ นำ อิฐ หิน ปูน ทราย เหล่านี้มาประกอบกันเป็นบ้านหรือเป็นอาคารขึ้นมา และแน่นอนอย่างที่สุดว่าร่างกายมนุษย์เรานี้มีอวัยวะต่างๆที่มีระบบการทำงานที่ซับซ้อนมากไปกว่าคอมพิวเตอร์ที่เราใช้กันอยู่หลายร้อยหลายพันเท่านัก และเป็นไปได้ไหมล่ะครับที่ส่วนประกอบต่างๆของคอมพิวเตอร์เหล่านั้น จะมารวมตัวกันขึ้นมาเองตามธรรมชาติจนกลายเป็น คอมพิวเตอร์สมัยใหม่อันมีระบบการทำงานที่ซับซ้อน เป็นไปได้ไหมครับ ที่สิ่งเหล่านี้รวมทั้งโปรแกรมต่างๆที่ติดมากับคอมพิวเตอร์จะเกิดขึ้นมาเองโดยธรรมชาติโดยที่ไม่มีผู้ที่ใส่โปรแกรมให้กับมันและสร้างมันขึ้นมา ?

ได้มีการคำนวณความเป็นไปได้ที่โปรตีนทั้ง 200 ชนิดที่พบในแบคทีเรียเพียงตัวเดียว ที่จะเกิดขึ้นมาโดยบังเอิญโดยไม่มีผู้สร้างและผู้ควบคุมมันให้เกิดขึ้น  ความเป็นไปได้ก็คือ 1 ตามด้วยศูนย์ 40,000 ตัว นั้นคือไม่มีความเป็นไปได้เลยแม้แต่น้อย เพราะในทางคณิตศาสตร์แล้ว ถ้า 1 ตามด้วยศูนย์ 50 ตัว ก็ถือว่า ไม่มีความเป็นไปได้แล้ว และนี่ ศูนย์มีถึง 40,000 ตัว ก็ยิ่งไม่ต้องพูดเลย ตัวอย่างที่ยกมาให้ดู เป็นเพียง เชื้อแบคทีเรียที่มีระบบการทำงานที่ไม่ซับซ้อนอไรมากเมื่อเทียบกันกับมนุษย์  และคุณรู้หรือไม่ว่า ในเซลล์ที่อยู่ในร่างกายของมนุษย์เรานี้ มี โปรตีนมากถึง 200,000 ชนิด ผู้มีสติปัญญาคิดดูเอาเองก็แล้วกัน ว่าใครกันที่เป็นผู้ทรงควบคุมจัดการบริหารสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้นมาได้ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเกิดขึ้นมาเองโดยความบังเอิญ หรือเกิดขึ้นมาเองโดยธรรมชาติอย่างที่ผู้หลอกตัวเองชอบใช้เป็นข้ออ้างเพื่อหาทางออกให้แก่ตนเอง เมื่อต้องประสบกับคำถามเช่นนี้

(Robert Shapiro, Origins: A Sceptics Guide to the Creation of Life on Earth, New York, Summit Books, 1986. p.127)

 

ฉันใดก็ฉันนั้น ในเมื่อมนุษย์ไม่สามารถบังเกิดตัวของเขาขึ้นมาเองได้ นั้นก็หมายความว่า ตัวเขาไม่อาจที่จะเป็นผู้สร้างที่แท้จริงได้ แต่ในทางตรงกันข้าม เขาคือผู้ที่ถูกสร้างขึ้นมา และแน่นอนที่สุดสิ่งถูกสร้างหรือผู้ที่ถูกสร้างนั้นก็ย่อมที่จะต้องมีจุดเริ่มต้น ถ้าจะถามว่า ตัวคุณและตัวผม รวมทั้งมนุษย์ทั้งหมดโลกที่มีอยู่ในตอนนี้ เมื่อ 200 ปีที่แล้วเราอยู่ที่ไหนกัน ? เราตอบไม่ได้แน่ว่าเราอยู่ที่ไหนกัน แต่ถ้าถามว่า ตัวคุณและตัวผมมีจุดเริ่มต้นขึ้นมาบนโลกเมื่อไหร่ คุณและผมก็จะตอบคำถามนี้ได้เป็นอย่างดี  เมื่อเป็นเช่นนี้เราก็ต้องยอมรับอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ว่า มนุษย์เรามีจุดเริ่มต้น และแน่นอนว่า สิ่งที่มีจุดเริ่มต้นจะต้องเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา เพราะมันไม่สามารถที่จะบังเกิดตัวของมันเองขึ้นมาได้ เราทุกคนบังเกิดมาจากความไม่มีมาสู่ความมีอยู่  ยกตัวอย่างเช่น บ้านที่เราอาศัยอยู่ ประกอบไปด้วย อิฐ หิน ปูนทราย  ถ้าเราเอา หินมาวางไว้กองหนึ่ง เอา ปูนมาวางไว้อีกกองหนึ่ง เอา ทรายมาวางอีกกองหนึ่ง และก็เอา อิฐมาวางเอาไว้อีกกองหนึ่ง  ถามว่า จะเป็นไปได้ไหมที่ของทั้งสี่สิ่งนี้ จะมาร่วมตัวกันเองจนกลายเป็นบ้านขึ้นมา ? แน่นอนมนุษย์ผู้มีสติปัญญาย่อมตอบว่า เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน ถามว่าถ้าเราวางของทั้งสี่อย่างนี้เอาไว้ และอีกห้าสิบปีเรากลับมาดูใหม่ ถามว่า ของทั้งสี่อย่างนั้นคือ  อิฐ หิน ปูนทราย จะเป็นอย่างไร ? แน่นอนมันก็จะคงอยู่ในสภาพเดิม มันถูกกองเอาไว้อย่างไร มันก็เป็นอยู่อย่างนั้น  นั้นก็สรุปได้ว่า บ้านที่เราอาศัยอยู่นี้ จะต้องมีผู้สร้างเพราะมันสร้างตัวเองขึ้นมาไม่ได้ และเมื่อมันเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา มันก็เป็นสิ่งที่มีจุดเริ่มต้น  และในเมื่อมันเป็นสิ่งที่ถูกสร้างก็จะต้องมีผู้ที่สร้างมันขึ้นมาอย่างแน่นอน  เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เราไม่คิดที่จะย้อนกลับมาดูตัวเราบ้างหรือ ว่า เราผู้เป็นมนุษย์ ก็เป็นสิ่งที่มีจุดเริ่มต้น และเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา และใครกันที่เป็นผู้ ที่สร้างมนุษย์ขึ้นมา ? และสร้างมาทำไมกัน ? ตายแล้วเราจะไปไหน?  ผู้ที่สร้างเราขึ้นมาเขาสร้างเรามาทำไม เขาสร้างเราแล้วก็ให้เราตายไปเล่นๆอย่างนั้นหรือโดยไม่มีจุดมุ่งหมาย?  และผู้ที่จะตอบคำถามต่างๆเหล่าได้ดีที่สุดก็คือ ผู้ที่สร้างเราขึ้นมานั้นเอง ผู้ซึ่งเป็นอยู่และไม่ตาย เมื่อพูดถึงจุดนี้ก็มีสิ่งที่เราควรที่จะรับรู้ไว้เป็นความรู้เสริมว่า เป็นไปไม่ได้ที่สิ่งที่ไม่มีชีวิตจะสามารถให้กำเนิดสิ่งหนึ่งสิ่งใดขึ้นมาได้ด้วยตัวของมันเอง อย่างที่ได้ยกตัวอย่างเรื่อง อิฐ หินปูน ทรายมาให้ดูแล้ว เป็นไปได้ไหมที่อิฐ หินปูน ทรายซึ่งตัวมันเองเป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิต มันจะสามารถให้กำเนิดสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มีชีวิตขึ้นมาได้ หรือมันจะสามารถให้กำเนิดสิ่งที่ไม่มีชีวิตด้วยกันเองเช่นบ้านขึ้นมาได้ เป็นไปได้หรือ?  เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้ที่สร้างมนุษย์ขึ้นมาจึงเป็นผู้ที่เป็นอยู่และไม่ตาย และในขณะเดียวกันตัวเราเองนั้นมีจุดเริ่มต้น และก็จะต้องมีจุดจบด้วยกันทุกคนอย่างแน่นอน ดังนั้นตัวเราจึงไม่มีสิทธิที่จะเป็นผู้ที่จะมาตอบคำถามเหล่านั้นได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วท่านไม่คิดที่จะคิดใช้สติปัญญาที่ท่านมีอยู่ในการแสวงหาคำตอบต่อคำถามที่สำคัญต่อชีวิตท่านเหล่านี้บ้างหรือ? ท่านคิดหรือว่า ผู้ที่เขาได้สร้างท่านขึ้นมา เขาจะสร้างท่านขึ้นมาอย่างไร้จุดมุ่งหมาย ไร้แก่นสาร …ท่านคิดอย่างนั้นหรือ?ท่านคิดว่า ตายแล้วก็สุดกันแค่นั้นจบกันเพียงแค่นี้หรือ ?  มันจะไม่เป็นการหลอกตัวเองไปหน่อยหรือที่จะคิดเช่นนั้น? ท่านหลอกตัวเองและหาทางออกให้แก่ตัวเองเพียงแค่คิดปลอบใจตัวเองแบบง่ายๆอย่างนี้หรือ?  แต่กระนั้นถ้าท่านยอมรับแล้วว่าจะต้องมีผู้สร้างอย่างแน่นอน แล้วท่านไม่สนใจบ้างหรือที่จะถามคำถามต่อไปว่า แล้วเขาสร้างเรามาทำไมกัน มีจุดมุ่งหมายเพื่ออะไร ? และถ้าท่านต้องการที่จะรู้คำตอบ คำถามที่ท่านต้องถามตัวเองต่อไปอีกก็คือ

 “ แล้วจะไปหาคำตอบที่แท้จริงได้ที่ไหนกัน?”

 

อิสลามซึ่งมีคัมภีร์อัลกุรอานเป็นทางนำแห่งการดำเนินชีวิตและคัมภีร์อัลกุรอานนี้ก็ยังสามารถยืนยันและพิสูจน์ตัวของมันเองได้ว่า มันไม่สามารถถูกเขียนขึ้นมาโดยมนุษย์ผู้ถูกสร้างได้ ขอย้ำว่าคัมภีร์อัลกุรอานนี้สามารถพิสูจน์และยืนยันในตัวของมันเองได้ว่า ไม่สามารถถูกเขียนขึ้นมาโดยมนุษย์คนใดคนหนึ่งได้อย่างแน่นอน อยากรู้ไหมล่ะครับว่าทำไม ? และคัมภีร์อัลกุรอานที่ว่านี้มาจากไหน และบอกอะไรเอาไว้ ? ถ้าคุณต้องการรู้ และสนใจที่จะแบ่งความคิดของคุณมาคิดในด้านนี้บ้างเผื่อว่าชีวิตคุณจะได้ดีขึ้น และมีเป้าหมายชีวิตที่แน่นอน เพื่อปูทางไปสู่ความสำเร็จของคุณต่อไปทั้งชีวิตความเป็นอยู่ในโลกนี้และชีวิตหลังความตาย ก็หารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ danish8484@yahoo.com     

 

 

ก่อนจากกันขอถามคำถามให้ท่านได้ใช้ความคิดออกกำลังสมองกันสักเล็กน้อยว่า :

 

1. สมมุติว่า มีเครื่องจักรกลที่ไม่เคยมีใครได้เห็นและรู้จักมาก่อนได้ถูกนำมาวางไว้ต่อหน้าท่าน ผมถามท่านว่าใครจะเป็นผู้ที่สามารถที่จะบอกถึงวิธีการทำงานของเครื่องจักรกลนี้ได้ดีที่สุดและถูกต้อง ? 

 

2. สมมุติว่า เครื่องจักรกลที่ว่านี้ได้ถูกนำมาวางไว้ต่อหน้าท่าน และในขณะเดียวกันก็มีคนอยู่สี่คน โดยที่ทั้งสี่คนนี้ต่างคนต่างก็อ้างว่าตนเองเป็นผู้ที่ได้สร้าง เครื่องจักรกลนี้ขึ้นมา ผมถามคุณว่า คุณจะรู้ได้อย่างไรหรือพิสูจน์ได้อย่างไรว่า ในทั้งสี่คนนี้ ใครเป็นผู้ที่ได้สร้างเครื่องจักรกลนี้มาตัวจริง?           

 

3.สมมุติว่ามีคัมภีร์อยู่สี่เล่ม คัมภีร์เล่มที่หนึ่ง สอง สาม ได้พิสูจน์ตัวของมันเองแล้วว่าได้ถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขไปจากเดิมจนไม่อาจรู้ได้ว่าคัมภีร์เล่มนี้จริงๆแล้วได้กล่าวอะไรเอาไว้ และได้บอกหรือได้สอนอะไรเอาไว้บ้างและนอกจากนั้นคัมภีร์เล่มที่ หนึ่ง สอง สาม นี้ก็ยังมีข้อที่ขัดแย้งกันในตัวเองและขัดแย้งซึ่งกันและกันอยู่ และก็ยังมีสิ่งที่ขัดแย้งกับข้อเท็จจริงหลายๆอย่างด้วยกัน และบางเล่มก็มีหลักคำสอนที่มนุษย์ในยุคปัจจุบันไม่สามารถนำมาปฏิบัติได้แล้วหรือถ้าจะปฏิบัติกันจริงๆก็จะต้องสละโลก และบางเล่มก็มีหลักคำสอนที่หละหลวมเกินไป นี้คือสภาพของคัมภีร์สามเล่มแรก  แต่มีคัมภีร์เล่มที่ สี่อยู่เล่มเดียวที่ยังคงความบริสุทธ์ ไม่เคยถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขเลยแม้แต่น้อยและคัมภีร์เล่มที่สี่นี้ก็มีจุดเด่นตรงที่ว่า ได้บอกถึงวิธีการแก้ไขปัญหาต่างๆของมนุษย์ที่มีอยู่ในสังคมโดยเฉพาะปัญหาด้าน ศีลธรรมเอาไว้อย่างชัดเจน และคัมภีร์เล่มที่สี่นี้ก็ ยังมีหลักคำสอนที่ไม่ขัดแย้งกันในตัวเอง และเป็นหลักคำสอนที่ไม่ขัดต่อธรรมชาติของความเป็นมนุษย์อีกด้วยและมนุษย์ทุกรุ่นทุกวัยก็สามารถปฏิบัติตามหลักคำสอนนี้ได้ และคัมภีร์เล่มนี้ก็ไม่แบ่งแยกระหว่างทางโลกและทางธรรมหากแต่ว่าทั้งสองจะต้องดำเนินไปด้วยกันแบบควบคู่กันไปจึงจะสมบูรณ์ได้ และก็ยังเป็นคัมภีร์ที่สามารถใช้ได้ในทุกยุคทุกสมัยทุกสถานที่และทุกเวลาไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรก็แล้วแต่ คัมภีร์เล่มนี้ก็ยังสามารถที่จะนำมาใช้ได้เป็นอย่างดีทั้งต่อตัวเองและต่อสังคมโดยส่วนรวม อีกทั้งบอกให้มนุษย์รู้ถึงเป้าหมายที่แท้จริงที่เขาได้ถูกสร้างขึ้นมาบนโลกนี้ และเมื่อเขาตายแล้วเขาจะไปไหนมีสภาพเป็นอย่างไร รวมทั้งบอกเอาไว้อย่างครบถ้วนว่าอะไรดีอะไรชั่ว และที่สำคัญผู้ที่ได้นำคัมภีร์เล่มที่สี่ที่ว่านี้มาเขาก็บอกด้วยว่าเขาได้รับคัมภีร์นี้มาอีกทีหนึ่ง โดยได้รับมาจากผู้ที่สร้างมนุษย์ขึ้นมาที่แท้จริง และได้บอกยืนยันเอาไว้อย่างไม่คลุมเคลืออีกด้วยว่า ถ้าใครไม่ปฏิบัติตามคัมภีร์เล่มนี้ เขาผู้นั้นจะต้องประสพกับความขาดทุนและความขาดทุนอย่างแน่นอนเมื่อเขาได้ตายไป ในกรณีเช่นนี้ ท่านจะรีบเชื่อคำกล่าวทั้งหมดของเขาผู้ที่ได้นำคัมภีร์นี้มาหรือไม่ ? ถ้าท่านยังไม่ปักใจเชื่อก่อน แล้วท่านจะพิสูจน์เขาผู้นี้ได้อย่างไรว่า เขาพูดจริงหรือพูดเท็จและขอถามท่านว่าถ้าท่านจะต้องเลือกเชื่อและปฏิบัติตามคัมภีร์เล่มใดเล่มหนึ่งจากทั้งสี่เล่มนี้ ท่านจะเลือกเล่มไหน ? และคำถามข้อที่สุดท้าย ก็คือ

 

4. ถ้ามีคัมภีร์อยู่เล่มหนึ่งซึ่งมีอายุเก่าแก่ถึง 1400 กว่าปี และในคัมภีร์เล่มนี้ได้มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ถูกกล่าวเอาไว้ อย่างมากมายโดยไม่ผิดพลาดเลยแม้แต่ข้อเดียว ไม่ว่าจะเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ที่ว่าด้วยการตัวอ่อนของทารก หรือวิชาดาราศาสตร์ และสาขาวิทยาศาสตร์ในด้านแขนงอื่นๆอีกมากมาย  และข้อมูลที่ถูกกล่าวเอาไว้นี้ก็ไม่มีความเป็นไปได้เลยที่จะมีใครไปล่วงรู้ได้เมื่อ 1400 กว่าปีที่แล้ว ทั้งนี้ก็เพราะ เมื่อ 1400 ปีที่แล้วนั้น วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่างๆยังไม่มีความเจริญเลย อุปกรณ์และเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่มีเช่นกัน และข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ที่ถูกกล่าวไว้ในคัมภีร์เล่มนี้ก็เป็นข้อมูลสมัยใหม่ที่เพิ่งถูกค้นพบและจะรู้ได้ก็โดยจะต้องอาศัยเครื่องมือ อุปกรณ์ และเทคโนโลยีสมัยใหม่ช่วยเท่านั้น นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่กว่าจะรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่งได้ก็ต้องใช้อุปกรณ์ต่างๆทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยใหม่ช่วยในการค้นคว้าวิจัยเป็นเวลานานกว่าจะรู้ข้อเท็จจริงในสาขาใดสาขาหนึ่งทางวิทยาศาสตร์ได้  ท่านจะกล่าวอย่างไรเกี่ยวกับคัมภีร์เล่มที่ว่ามานี้ ?

            แต่ก่อนที่จะตอบคำถามข้อนี้เรามาเรียนรู้อะไรบางอย่างที่เกี่ยวกับคณิตศาสตร์กันก่อนที่เรียกว่า ทฤษฏีความเป็นไปได้ ( Theory Of Probability) เพื่อที่จะมีส่วนช่วยในการตอบคำถามข้อนี้ และเป็นที่รู้กันว่าคณิตศาสตร์นั้นเป็นศาสตร์ที่แน่นอนและตายตัวที่สุด เรามาเข้าเรื่องกันเลย สมมติว่า ผมทอยเหรียญ 1 ครั้งแล้วให้คุณทาย ว่าหัวหรือก้อย เปอร์เซ็นต์ที่คุณจะทายถูกนั้นมี 50 % และถ้าผมทอยเหรียญเป็นครั้งที่ 2 แล้วให้คุณทายอีก เปอร์เซ็นต์ที่คุณจะทายถูกก็มี 50 %เช่นกัน แต่ความเป็นไปได้ที่คุณจะทายถูกทั้งสองครั้งนั้น มีความเป็นไปได้ 25%  และครั้งที่ 3 ผมไม่ใช้เหรียญแต่ใช้ลูกเต๋าแทน ซึ่งมี หกด้าน ความเป็นไปได้ที่คุณจะทายถูก เมื่อผมทอยลูกเต๋า ก็คือ 16.666…%  แต่ความเป็นไปได้ที่ คุณจะทายถูกทั้งสามครั้ง นั่นก็คือทอยเหรียญสองครั้ง ทอยลูกเต๋าอีกหนึ่งครั้ง ความเป็นไปได้ก็คือ 4.16666667% แต่ถ้าผมทอยลูกเต๋าเป็นครั้งที่สอง ความเป็นไปได้ที่คุณจะทายถูกก็คือ 16.666…% อีกเช่นกัน แต่ความเป็นไปได้ที่คุณจะทายถูกทั้งหมดสี่ครั้ง นั้นคือ ทอยเหรียญ สองครั้ง และทอยลูกเต๋าอีกสองครั้ง ความเป็นไปได้ก็ 0.69444…% ความเป็นไปได้มีน้อยกว่าหนึ่งเปอร์เซ็นต์ ถ้าจะเขียนให้ดูง่ายๆทางคณิตศาสตร์ก็คือ 1/2x1/2x 1/6x1/6= 144 และเอา 100 หารด้วย 144 ก็จะได้เป็นเปอร์เซ็นต์ความเป็นไปได้ที่จะเดาถูกทั้งหมดสี่ครั้งภายในคราวเดียวกัน  นี่คือตัวอย่างที่ยกมาให้ดูในกรณีที่มีตัวเลือกให้เดา แต่ถ้าผมให้คุณเดาอะไรบางอย่างที่ไม่มีตัวเลือกที่แน่นอนให้ เช่น ก.,ข,ค,ง หรือ 1,2,3,4, หรือ a,b,c,d   เช่นผมให้คุณเดาว่า แผ่น ซีดี ที่อยู่ในมือผมนี้มีอะไรอยู่ จะมีความเป็นไปได้ไหมครับที่คุณจะเดาได้อย่างถูกต้องว่าแผ่น ซีดี นี้มีอะไรอยู่ข้างใน ?  มาถึงตอนนี้ขอให้คุณย้อนกลับไปตอบคำถามที่เกี่ยวกับคัมภีร์เล่มที่กล่าวมาได้แล้วครับ ว่าคุณจะกล่าวอย่างไรเกี่ยวกับคัมภีร์เล่มที่ว่ามานี้

ด้วยกับสติปัญญาและด้วยกับเหตุผลที่ท่านมีอยู่ ผมเชื่อว่าคุณคงจะตอบคำถามทั้งหมดได้อย่างถูกต้องนะครับ

 

[ หรือว่าพวกเขาถูกบังเกิดขึ้นมาโดยไม่มีผู้ใดให้บังเกิด ? หรือว่าพวกเขาเป็นผู้ให้บังเกิดตนเองได้? หรือว่าพวกเขาเป็นผู้สร้างบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน? เปล่าเลยเพราะพวกเขาไม่เชื่อมั่นต่างหาก ]

[คำแปลคัมภีร์อัลกุรอาน บทที่52 โองการที่ 35-36]

 

[ มนุษย์คิดหรือว่าเขาจะถูกปล่อยไว้โดยไร้จุดหมายกระนั้นหรือ? แล้วเขาได้เคยเป็นเพียงหยดหนึ่งจากน้ำอสุจิที่ถูกหลั่งออกมามิใช่หรือ? แล้วเขาได้เคยเป็นก้อนเลือดก้อนหนึ่งและพระองค์ทรงบังเกิดแล้วก็ทรงทำให้สัดส่วนสมบูรณ์ และพระองค์ทรงบันดาลให้เขาเป็นคู่เป็นเพศชายและเพศหญิง ดังนั้นพระองค์ผู้ทรงอานุภาพบันดาลสิ่งนั้น จะไม่ทรงอานุภาพที่จะทำให้คนตายมีชีวิตขึ้นมาอีกกระนั้นหรือ? ]

[คำแปลคัมภีร์อัลกุรอาน 75:36-40]

 

[ โอ้มนุษย์เอ๋ย อะไรเล่าที่ล่อลวงเจ้า (ให้หันห่าง) จากพระเจ้าของเจ้าผู้ทรงเกื้อกูล ผู้ทรงบังเกิดเจ้า แล้วทรงทำให้เจ้าสมบูรณ์ แล้วก็ทรงทำให้เจ้าสมส่วน ]

[ คำแปลคัมภีร์อัลกุรอาน บทที่ 82 โองการที่  6-7]

ออฟไลน์ Andalus

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1131
  • เพศ: ชาย
  • บ่าวผู้ต่ำต้อย
  • Respect: +27
    • ดูรายละเอียด
Re: ดะวะฮ์ ทางเมลล์
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: พ.ย. 30, 2009, 10:05 PM »
0
ไปธรรมศาสตร์ก็ได้มาเหมือนกัน
งัยก็ขอบคุณที่เอามาลง
ให้กับพี่น้องได้อ่านกัน
"โอ้ อัลลอฮฺ ผู้ทรงทำให้จิตใจเปลี่ยนแปลงได้ ขอพระองค์ทรงให้หัวใจของฉันแน่นแฟ้นอยู่บนศาสนา(อิสลาม)ของพระองค์ด้วยเถิด "

ออฟไลน์ Andalus

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1131
  • เพศ: ชาย
  • บ่าวผู้ต่ำต้อย
  • Respect: +27
    • ดูรายละเอียด
Re: ดะวะฮ์ ทางเมลล์
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: ธ.ค. 01, 2009, 09:22 AM »
0
ก็ที่แจกหน้างานตอนลงทะเบียนอะ
"โอ้ อัลลอฮฺ ผู้ทรงทำให้จิตใจเปลี่ยนแปลงได้ ขอพระองค์ทรงให้หัวใจของฉันแน่นแฟ้นอยู่บนศาสนา(อิสลาม)ของพระองค์ด้วยเถิด "

ออฟไลน์ ILHAM

  • เพื่อนตาย T_T
  • *****
  • กระทู้: 11348
  • เพศ: ชาย
  • Sherlock Holmes
  • Respect: +273
    • ดูรายละเอียด
    • ILHAM
Re: ดะวะฮ์ ทางเมลล์
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: ธ.ค. 01, 2009, 09:34 AM »
0
ใช่ อันที่เป็นกระดาษกรีนรีดนั้น
إن شاءالله ติด ENT'?everybody

Sherlock Holmes said "How often have I said to you that when you have eliminated the impossible, whatever remains, however improbable, must be the truth?"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ ILHAM

  • เพื่อนตาย T_T
  • *****
  • กระทู้: 11348
  • เพศ: ชาย
  • Sherlock Holmes
  • Respect: +273
    • ดูรายละเอียด
    • ILHAM
Re: ดะวะฮ์ ทางเมลล์
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: ธ.ค. 01, 2009, 09:49 AM »
0
แต่ก็ยังไม่ลืมยัดข้าวกล่องลงกระเป๋าตั้ง4กล่อง น้ำอีกครึ่งโหล 555
إن شاءالله ติด ENT'?everybody

Sherlock Holmes said "How often have I said to you that when you have eliminated the impossible, whatever remains, however improbable, must be the truth?"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ a d n a n

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 698
  • เพศ: ชาย
  • "และคำพูดที่ดี เป็นซอดาเกาะฮฺ" (บุคอรียฺ , มุสลิม)
  • Respect: +13
    • ดูรายละเอียด
Re: ดะวะฮ์ ทางเมลล์
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: ธ.ค. 02, 2009, 09:59 AM »
0
ญาซากัลลอฮุค็อยร็อน

oo JawhaR oo - ที่ช่วยดัน

nada-yora - ที่เล่าสูกันฟัง คำแนะนำท่านดีมาก ๆ

สับสัน - บทความท่านมีประโยชน์มากครับ

ทุกท่านที่เข้ามาอ่าน / ตอบ - ผมยังรับอยู่เรื่อย ๆ อย่างที่บอกไว้ คือ จะค่อย ๆ ให้เค้าเรียนรู้ไปครับ

ใครมีอะไรดี ๆ (เพิ่มเติม) จัดมาเลยครับ   myGreat:
หากมาอย่าง " ผึ้ง " ก็จะได้ ~o น้ำหวาน o~ กลับไป oOo หากมาอย่าง " แมลงวัน " ก็จะไม่ได้อะไร นอกจาก

ออฟไลน์ a d n a n

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 698
  • เพศ: ชาย
  • "และคำพูดที่ดี เป็นซอดาเกาะฮฺ" (บุคอรียฺ , มุสลิม)
  • Respect: +13
    • ดูรายละเอียด
Re: ดะวะฮ์ ทางเมลล์
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: ธ.ค. 02, 2009, 11:36 AM »
0
Save ไว้ก่อน

มหัศจรรย์แห่งชั้นบรรยากาศ

    เรา อาศัยอยู่ในโลกที่พระผู้ทรงสร้างผู้ทรงเมตตาของเราได้ออกแบบมาอย่างเป็นเลิศ และมีความครบถ้วนสมบูรณ์อย่างน่าทึ่ง แม้แต่ในเรื่องรายละเอียดเล็กๆน้อยๆก็ล้วนเป็นส่วนหนึ่งในแผนการของพระองค์  ลักษณะทางกายภาพของโลกไม่ว่าจะเป็นโครงสร้าง อุณหภูมิและอื่นๆล้วนถูกจัดเตรียมไว้เพื่อชีวิตโดยเฉพาะ อย่างไรก็ตามลักษณะทางกายภาพเช่นนั้นแต่เพียงอย่างเดียวก็ไม่เพียงพอที่จะทำ ให้ชีวิตดำรงอยู่ได้บนโลก ปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งที่จำเป็นอย่างมากสำหรับชีวิตก็คือองค์ประกอบของ บรรยากาศ

    ในภาพยนตร์นวนิยายทางวิทยาศาสตร์ เราจะเห็นว่านักเดินทางในอวกาศและนักค้นคว้าจะพบดาวที่มีชั้นบรรยากาศที่ สามารถหายใจได้อย่างง่ายและมีอยู่ทุกที่ อย่างไรก็ตาม ถ้าเราสามารถออกสำรวจจักรวาลที่แท้จริงได้ เราจะพบว่านี่มิใช่เรื่องจริงเลย มันเป็นไปไม่ได้ที่ดาวดวงอื่นจะมีชั้นบรรยากาศที่สามารถหายใจได้ นั่นก็เพราะว่าบรรยากาศของโลกได้ถูกออกแบบไว้เป็นการเฉพาะเพื่อให้ชีวิตดำรง อยู่ได้ในหลายทางด้วยกัน

    บรรยากาศของโลกประกอบด้วย ไนโตรเจน 77% ออกซิเจน 21% และคาร์บอนไดออกไซด์ 1% ทีนี้ขอให้เรามาเริ่มด้วยแกสที่สำคัญที่สุดก่อน คือ ออกซิเจน ออกซิเจนเป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อชีวิตมากที่สุดเพราะมันเข้าไปทำปฏิกริยา ทางเคมีส่วนใหญ่ที่ให้พลังงานที่ชีวิตต้องการ

    เมื่อ คาร์บอนทำปฏิกริยากับออกซิเจน ผลที่ตามมาก็คือ มันทำให้มีน้ำ คาร์บอนได้ออกไซด์และพลังงาน พลังงานหน่วยเล็กๆที่ถูกเรียกว่า AIP (แอตเลโนซีน ไตรฟอสเฟต) แก้เป็น Adenosine Tri-phophate ATP *1 และได้ถูกใช้ในเซลที่มีชีวิตนี้เกิดขึ้นโดยปฏิกริยานี้ นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมเราจึงต้องการออกซิเจนสำหรับชีวิตและทำไมเราต้อง หายใจเพื่อตอบสนองความต้องการของชีวิต สิ่งที่น่าสนใจของเรื่องนี้ก็คือว่าเปอร์เซนต์ของออกซิเจนในอากาศที่เรา หายใจเข้าไปนั้นได้ถูกกำหนดไว้อย่างถูกดต้องพอเหมาะพอดี

    ไมเคิล เดินตัน (Michael Denton) ได้เขียนถึงเรื่องนี้ไว้ว่า : “ชั้น บรรยากาศของคุณสามารถบรรจุออกซิเจนได้มากกว่านี้และยังทำให้ชีวิตมีอยู่ได้ หรือไม่? ไม่เลย ออกซิเจนเป็นสารที่ทำปฏิกริยามาก แม้แต่เปอร์เซนต์ของออกซิเจนในชั้นบรรยากาศ 21% ที่เป็นอยู่ในขณะนี้ก็ใกล้กับขอบเขตสูงสุดของความปลอดภัยสำหรับชีวิตที่ อุณหภูมิรอบตัว ความเป็นไปได้ของการเกิดไฟไหม้ป่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 70% ทุกๆ 1% ที่มีออกซิเจนเพิ่มขึ้นในชั้นบรรยากาศ”

    เจมส์ เลิฟล็อค (James Lovelock) นักเคมีชีววิทยาชาวอังกฤษได้กล่าวว่า : “กว่า 25% พืชพันธุ์ในปัจจุบันของเราน้อยมากที่จะรอดจากไฟป่าที่จะทำลายป่าฝนและทุ่ง หญ้าขั้วโลกเหนือ….ระดับออกซิเจนในปัจจุบันอยู่ในจุดที่ความเสี่ยงและผล ประโยชน์มีความสมดุลอย่างพอดี”

    การที่อัตราส่วนของออกซิเจนในบรรยากาศยังคงอยู่ในปริมาณที่พอดีเช่นนี้นั้นเป็นผลมาจากระบบการหมุนเวียนอันมหัศจรรย์นั่นเอง

    สัตว์ หายใจเอาออกซิเจนเข้าไปและสร้างคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาซึ่งเป็นสิ่งที่มันไม่ หายใจ แต่พืชกลับทำตรงข้าม กล่าวคือพืชจะหายใจเอาคาร์บอนได้ออกไซด์ที่จำเป็นต่อชีวิตของมันเข้าไปและ ปล่อยออกซิเจนออกมาแทน เนื่องจากระบบนี้เอง ชีวิตจึงดำเนินต่อไป พืชปล่อยออกซิเจนออกมาสู่บรรยากาศนับเป็นจำนวนล้านๆตันทุกวัน


    บรรยากาศและการสูดหายใจเข้าออก
    เราหายใจอยู่ตลอดเวลาในขณะที่เรามีชีวิต ระบบร่างกายของเราถูกออกแบบมาอย่างสมบูรณ์จนเราไม่จำเป็นต้องคิดถึงเรื่องเกี่ยวกับการหายใจ

    ร่าง กายของเราจะประมาณการว่ามันต้องการออกซิเจนมากน้อยแค่ไหนและก็จะจัดการหา ออกซิเจนมาให้ตามจำนวนนั้นไม่ว่าเราจะกำลังเดิน วิ่ง อ่านหนังสือหรือกำลังหลับ เหตุผลที่การหายใจมีความสำคัญต่อเราก็คือการทำปฏิกริยาจำนวนนับล้านที่จะ ต้องเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในร่างกายเพื่อให้เรามีชีวิตอยู่ได้นั้นล้วนต้อง การออกซิเจนทั้งสิ้น

    การที่ท่านสามารถอ่านบทความชิ้นนี้ได้ ก็เนื่องมาจากเซลล์นับล้านที่จอรับภาพในดวงตาของท่านได้รับพลังงานที่มา จากออกซิเจนตลอดเวลา ในทำนองเดียวกัน เนื้อเยื่อในร่างกายของเราและเซลล์ที่สร้างมันขึ้นมาก็ได้รับพลังงานจาก “การเผาไหม้” ขององค์ประกอบคาร์บอนในออกซิเจน ผลผลิตของการเผาไหม้ นั่นคือคาร์บอนได้ออกไซด์ จะต้องถูกปล่อยออกมาจากร่างกาย ถ้าระดับของออกซิเจนในกระแสเลือดของท่านลดลง ผลก็คือการหมดสติและถ้าหากการขาดออกซิเจนเกินกว่าสองสามนาที ผลก็คือการเสียชีวิต

    นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมเราจึงต้อง หายใจ เมื่อเราหายใจ ออกซิเจนก็จะเข้าไปในห้องเล็กๆประมาณ 300 ล้านห้อง แก้เป็น ถุงลมฝอย 300 ล้านถุง (Alveoli)*2 ในปอดของเรา ห้องเหล่านี้ในปอดและหลอดที่มีรูเล็กๆเชื่อมโยงกับมันได้ถูกออกแบบไว้ให้มี ขนาดเล็กมากเพื่อที่จะเพิ่มอัตราการแลกเปลี่ยนออกซิเจนและคาร์บอนได้ออกไซด์ แต่การออกแบบอันสมบูรณ์นั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆด้วยเช่นกัน นั่นคือความหนาแน่น ความเหนียวและความกดอากาศจะต้องถูกต้องตรงกันทั้งหมดสำหรับอากาศที่จะ เคลื่อนเข้าไปข้างในและไหลออกมาจากปอดของเรา

    เมื่อเราหายใจเข้าไป ปอดของเราก็จะใช้พลังงานเพื่อเอาชนะพลังที่ถูกเรียกว่า
    “แรงต้านเส้นทางอากาศ” พลังนี้เป็นผลมาจากแรงต้นของอากาศต่อการเคลื่อนไหว อย่างไรก็ตาม เนื่องจากคุณสมบัติทางด้านกายภาพของบรรยกาศ แรงต้านนี้จะอ่อนพอที่ปอดของเราสามารถสูดอากาศเข้าไปและปล่อยมันออกมาด้วย การใช้พลังงานเพียงน้อยนิด ถ้าแรงต้านอากาศสูงกว่านี้ ปอดของเราก็จะต้องทำงานหนักกว่านี้เพื่อที่จะทำให้เราหายใจได้ ตัวอย่างที่เห็นได้ของเรื่องนี้ก็คือการดูดน้ำเข้าไปในเข็มฉีดยาเป็นเรื่อง ง่ายแต่ถ้าจะดูดน้ำผึ้งเข้าไปในเข็มฉีดยาก็จะยากกว่า เหตุผลก็เพราะน้ำผึ้งมีความหนาแน่นและมีความเหนียวมากกว่าน้ำ

    ปริมาณ ทางด้านจำนวนของบรรยากาศไม่เพียงแต่จะจำเป็นสำหรับเราเพื่อการหายใจเข้าไป เท่านั้น แต่ยังจำเป็นสำหรับโลกของเราด้วย ถ้าหากความกดอากาศที่ระดับน้ำทะเลต่ำกว่าปริมาณที่เป็นอยู่ของมัน อัตราการระเหยของน้ำก็จะสูงมาก น้ำที่เพิ่มขึ้นในบรรยากาศก็จะมี “ผลเรือนกระจก” (greenhouse effect) ที่ดักความร้อนมากขึ้นและเพิ่มอุณหภูมิเฉลี่ยของโลก ในทางตรงข้ามถ้าหากความกดสูงมากกว่านี้ อัตราการระเหยของน้ำก็จะน้อยลงและส่งผลให้ส่วนใหญ่ของโลกกลายเป็นทะเลทราย

    ทั้ง หมดที่ทำให้เกิดความสมดุลนี้ชี้ให้เห็นว่าบรรยากาศของเราได้ถูกออกแบบมา อย่างจงใจและเหมาะเจาะเพื่อให้ชีวิตบนโลกนี้สามารถดำรงอยู่ได้

    นี่ เป็นความจริงที่ได้ถูกค้นพบโดยวิทยาศาสตร์และมันแสดงให้เห็นอีกครั้งหนึ่ง ว่าจักรวาลนี้มิได้เป็นเพียงการเกิดขึ้นโดยบังเอิญของวัตถุ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะต้องมีผู้ทรงสร้างที่คอยควบคุมจักรวาล ผู้กำหนดรูปร่างของวัตถุตามที่ผู้ทรงสร้างนั้นต้องการ และพระผู้ทรงสร้างนี้อีกเช่นกันที่ปกครองกาแล็กซี่และดวงดาวต่างๆไว้ภายใต้ อำนาจของพระองค์

    อำนาจอันสูงสุดนั้น คัมภีร์กุรอานบอก เราว่าคืออัลลอฮฺ พระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก และโลกที่เราอาศัยอยู่นี้ก็ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะและถูกทำให้แผ่ขยายออกไปโดย อัลลอฮฺเพื่อมนุษย์ (ดูกุรอาน 79:30)

    อัลลอฮฺคือ ผู้ทรงทำให้แผ่นดินนี้เป็นที่พำนักของสูเจ้าและชั้นฟ้าเป็นเพดานอันมั่นคง และทรงทำให้สูเจ้าเป็นรูปร่างและทรงทำให้ร่างของสูเจ้าสวยงามและทรงประทาน สิ่งที่ดีๆแก่สูเจ้า นั่นคืออัลลอฮฺพระผู้ทรงอภิบาลของสูเจ้า ดังนั้น อัลลอฮฺพระผู้อภิบาลแห่งสากลโลกทรงเป็นที่จำเริญยิ่ง (กุรอาน 40:64)

    ..................................................
    โดย ฮารูน ยะฮ์ยา แปลโดยอ.บรรจง บินกาซัน

*1,*2 ศัทพ์ทางชีวะ (ผู้รู้ในบอร์ดนี้ บอกมา ญาซากัลลอฮุค็อยร็อนมา ณ ที่นี้ครับ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธ.ค. 02, 2009, 04:13 PM โดย a d n a n »
หากมาอย่าง " ผึ้ง " ก็จะได้ ~o น้ำหวาน o~ กลับไป oOo หากมาอย่าง " แมลงวัน " ก็จะไม่ได้อะไร นอกจาก

ออฟไลน์ a d n a n

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 698
  • เพศ: ชาย
  • "และคำพูดที่ดี เป็นซอดาเกาะฮฺ" (บุคอรียฺ , มุสลิม)
  • Respect: +13
    • ดูรายละเอียด
Re: ดะวะฮ์ ทางเมลล์
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: ธ.ค. 03, 2009, 01:46 PM »
0
พระเจ้าของเราคือใคร??

“ดังนั้น ผู้สร้างย่อมไม่เหมือนกับผู้ที่ถูกสร้าง พวกเจ้าไม่ใคร่ครวญดอกหรือ” (อัลกุรอาน 16:17)

เป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าที่แท้จริงจะเป็นผลผลิตจากความอ่อนแอของเรา หรือเป็นจินตนาการที่เราอุปโลกน์ขึ้นมา พระเจ้าที่แท้จริงต้องเป็นพระเจ้าที่คู่ควรแก่การสักการะบูชา เป็นพระเจ้าผู้สร้างสากลจักรวาลชั้นฟ้าและแผ่นดิน เป็นผู้ควบคุมและอภิบาลสรรพสิ่งทั้งหลาย

พระเจ้าที่แท้จริงต้องเป็นผู้ที่ไม่ทอดทิ้งเรา ติดต่อเรา บอกเรื่องราวและชี้ทางเดินของชีวิตแก่เรา พระเจ้าที่แท้จริงไม่มีวันทอดทิ้งบ่าวของพระองค์โดยปราศจากแสงสว่างชี้นำทาง ไม่มีวันทอดทิ้งมนุษยชาติโดยมิได้อธิบายถึงวิถีการดำเนินชีวิต พระเจ้าที่แท้จริงนี้อยู่ที่ไหน??

แท้จริงแล้ว ความคิดที่สมเหตุสมผลและมีตรรกะที่ถูกต้องย่อมทำให้มนุษย์ประจักษ์กับความ จริง เป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์ผู้แสวงหาความจริงจะหลงทาง ตราบใดที่เขายอมรับและนำตรรกะที่ถูกต้องมาใช้ในการค้นหาสัจธรรม

เรามีความสามารถในการอ่าน ค้นหา ค้นคว้า และศึกษาหาความรู้มิใช่หรือ??

แล้วเคยสักครั้งไหมที่จะถามตัวเองว่า “นอกจากวัตถุรูปปั้นหรือเทวรูปที่เรากำลังพึ่งพิงและเคารพสักการะอยู่ มีพระเจ้าอื่นอีกหรือไม่??” “นอกจากมนุษย์ธรรมดาที่อ่อนแอเจ็บป่วยเช่นเดียวกับเรา ซึ่งเราเคารพบูชาให้ความศักดิ์สิทธิ์ ยังมีพระเจ้าอื่นอีกหรือไม่??”

เราเคยสักครั้งไหมที่จะถามตัวเองว่า “มีใครไหมที่ยินยอมน้อมรับ พึ่งพิง และขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าที่แท้จริง??” “มีใครอื่นไหมที่กำลังบูชาสักการะพระเจ้าที่เป็นผู้สร้างสากลจักรวาลทั้ง มวล??” พวกเขาเป็นใคร??”

เราเคยถามตัวเองไหมว่า “สัจธรรมจะอยู่กับคนที่บูชาวัวหรือ??”

เราเคยถามตัวเองไหมว่า “สัจธรรมจะอยู่กับคนที่สักการะมนุษย์ด้วยกันหรือ??”

เราเคยถามตัวเองไหมว่า “เป็นไปได้หรือที่สัจธรรมจะอยู่กับชาวบูชาไฟ หรือพวกที่บูชาสิ่งอื่น ๆ ที่อ่อนแอบนโลกใบนี้??”

และเราเคยถามตัวเองไหมว่า “เป็นไปได้หรือที่สัจธรรมจะอยู่กับคนที่บูชาสัญลักษณ์ ไม้กางเขน เครื่องราง หรือของขลังต่าง ๆ ??”

เป็น ที่ชัดเจนว่า มันสมองของมนุษย์ย่อมปฏิเสธที่จะเชื่อว่าสิ่งต่าง ๆ ที่กล่าวมานั้นคือผู้สร้างที่แท้จริงของจักรวาลทั้งมวล ปฏิเสธที่จะเชื่อว่าสิ่งเหล่านั้นคือผู้สรรสร้างชั้นฟ้า แผ่นดิน ดวงดาว ระบบสุริยะจักรวาล และสรรพสิ่งต่าง ๆ รวมทั้งปกครองและควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างในสากลจักรวาล..

แน่นอนว่ามันสมองของมนุษย์สามารถคิดเรื่องง่าย ๆ นี้ได้!!

สมอง ของมนุษย์ย่อมต้องรู้สึกสงสัยต่อข้อเท็จจริงต่าง ๆ เช่น บรรดาสิ่งนานาชนิดที่มนุษย์กำลังเรียกว่าพระเจ้านั้นต่างก็มีข้อบกพร่อง ต่างก็ต้องสูญสลายไปในที่สุด และจำต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทั้งรูปร่างและคุณสมบัติ และไม่มีคุณสมบัติแห่งความเป็นอมตะใดๆ

พระเจ้าแบบไหนกันที่ถูกตรึงกางเขน!!??

พระเจ้าแบบไหนกันที่ถูกเชือดโดยมนุษย์และนำไปเป็นอาหาร!!??

พระเจ้าแบบไหนกันที่ถูกเนรมิตขึ้นโดยน้ำมือมนุษย์จากเศษหินดินทรายก่อนที่จะเผชิญกับการผุกร่อนและล่มสลายไป!!??

สิ่งเหล่านี้หรือที่เราเรียกว่าพระเจ้า!!?? สิ่งเหล่านี้หรือที่คู่ควรแก่การเคารพบูชา!!?? ถ้าเช่นนั้น เราต้องกลับมาทบทวนความคิดและตรรกะของเราใหม่!!?? ถ้าเช่นนั้น ก็ไม่ต่างอะไรกับการที่เราพยายามดับไฟที่กำลังลุกโชนในหัวใจด้วยการเติม เชื้อเพลิงเข้าไป!!?? แล้วเช่นนี้ เราจะไปสู่ผลลัพธ์ที่น่าพอใจและตอบคำถามที่ข้องใจของเราได้อย่างไร!!??

เรา ทุกคนต่างยอมรับว่า บางคำถามและบางปัญหาในโลกนี้ สามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีง่าย ๆ สามารถค้นพบคำตอบได้ไม่ยาก แล้วทำไมเราจึงไม่ทำให้ข้อสงสัยเรื่อง “การมีอยู่ของพระเจ้าและการสร้างสรรพสิ่ง” เป็นเรื่องที่สามารถหาคำตอบที่ถูกต้องได้อย่างง่ายดาย??

ใช่!! ถ้า แม้นว่าเราได้สดับตรับฟังสักนิดถึงเสียงที่กำลังเรียกร้อง เสียงที่ไม่มีผู้กล้าหาญเปล่งออกมา(ยกเว้นผู้ที่มีความสามารถทำอย่างที่ กล่าวมานั้นจริง) เสียงนี้ดังก้องกังวานว่า :


“ข้าคือพระเจ้าของพวกเจ้า”
“ข้าคือผู้ที่สร้างพวกเจ้า”
“ข้าคือผู้ที่ทำให้พวกเจ้าเกิดขึ้นมา”
“ข้าคือผู้ที่รู้เรื่องราวของพวกเจ้ามากที่สุด”
“ข้าคือผู้ที่สร้างสรรค์ชั้นฟ้าและแผ่นดิน ทั้งดวงดาว ต้นไม้พืชพันธุ์ต่างๆ ทั้งขุนเขาและทะเลทรายทั้งหลาย”
“ข้าคือผู้ที่สร้างมนุษย์ สัตว์ วิหค และทุกสิ่งทุกอย่างในทะเลและมหาสมุทร”
“ไม่มีสรรพสิ่งใดๆ ในชั้นฟ้าและแผ่นดิน เว้นแต่เป็นสิ่งที่ข้าสร้างขึ้นมาทั้งสิ้น และเป็นหลักฐานที่แสดงถึงอำนาจและการมีอยู่ของข้า”
“ข้ารู้ดีที่สุดว่าสิ่งใดที่ดีต่อพวกเจ้า สิ่งใดที่เป็นประโยชน์ต่อพวกเจ้า ข้าได้สร้างพวกเจ้าขึ้นมาเพื่อทดสอบว่าพวกเจ้าจะเคารพบูชาข้าหรือไม่”
“ข้ามิได้สร้างพวกเจ้ามาโดยปราศจากจุดมุ่งหมายใด ข้ามิใดทอดทิ้งพวกเจ้าให้หลงทาง แต่ข้าได้ส่งบรรดาศาสนทูตยังพวกเจ้า ข้าได้ส่งสาสน์และคัมภีร์ต่างๆ แก่พวกเจ้า เพื่อเป็นข้ออ้างในการสอบสวนพวกเจ้า จากนั้นพวกเจ้าจะกลับมายังข้า (หลังจากถูกทำให้ฟื้นคืนชีพอีกครั้งในวันปรโลก-ผู้แปล) เพื่อที่ข้าจะได้พิพากษาตัดสินระหว่างพวกเจ้าในสิ่งที่พวกเจ้าขัดแย้งกัน”

เสียงเรียกร้องนี้ไม่มีความหมายอะไรต่อหัวใจของเจ้าเลยหรือ!!??
เจ้าไม่สามารถปิดหูของเจ้าเพื่อมิให้ได้ยินเสียงเรียกร้องที่กึกก้องดังกล่าวได้!!??
แท้จริงแล้วเสียงเรียกร้องนี้ได้เข้าไปยังหัวใจของเจ้า ก่อนที่จะเข้าไปในหูของเจ้าเสียอีก!!
เจ้ากำลังเผชิญกับผู้ที่อ้างว่าเขาคือผู้สร้างจักรวาลและสรรพสิ่งทั้งหลาย
เขากำลังกล่าวแก่เจ้าว่า เขาคือผู้ที่สรรสร้างเนรมิตทุกสิ่งทุกอย่างและควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง!!

เสียง เรียกร้องนี้ได้ดังขึ้นเรื่อย ๆ เสียงเรียกร้องนี้ได้ไปถึงทุก ๆ ที่ ดังกึกก้องตลอดมาตั้งแต่สิบสี่ศตวรรษที่ผ่านมา.. เสียงเรียกดังกล่าวดังกึกก้องขึ้นเรื่อย ๆ แผ่ขยายไปทุกที่อย่างไม่มีทีท่าว่าจะลดลง.. เป็นเสียงเรียกที่มีคนยอมรับและศรัทธามั่นเป็นล้าน ๆ ทั้งบรรดาผู้มีความรู้ บรรดานักปราชญ์ บรรดานักคิด บรรดาอัจฉริยะบุคคล บรรดาผู้มีชื่อเสียงและตำแหน่งในสังคม คนธรรมดาสามัญ ทั้งคนยากจนและร่ำรวย ล้วนแล้วแต่ยินยอมและนอบน้อมต่อเสียงเรียกดังกล่าว แล้วท่านล่ะ??


ท่านเคยคิดไหมว่าทำไมจึงไม่มีผู้ใดกล้าประกาศว่าเขาคือผู้สร้างดวงดาวและท้องฟ้า??
เคยคิดไหมว่าทำไมจึงไม่เคยมีใครท้าท้ายเสียงเรียกดังกล่าว??
ทำไมจึงไม่เคยมีใครกล้าอ้างตัวว่าเขาคือผู้สร้างโลกนี้ สร้างภูเขา สร้างทะเลและมหาสมุทร??
หรือเป็นเพราะไม่มีใครมีอำนาจที่จะทำตามที่เขาอ้างได้ยกเว้นพระเจ้าที่แท้จริงเท่านั้น??
แล้วพระเจ้าองค์นั้นมีอยู่จริงหรือเปล่า?? เหตุใดท่านจึงไม่คิดตรึกตรองดู??

มัน เป็นเสียงเรียกที่เอกะ มันเป็นเสียงเรียกที่เป็นเอกลักษณ์ มันเป็นเสียงเรียกที่ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือน มันเป็นเสียงเรียกที่ไม่มีผู้ใดกล้าท้าทาย มันเป็นเสียงเรียกที่ไม่มีสิ่งใดมาร่วมเป็นภาคี..

เสียง เรียกของพระเจ้าที่แท้จริง เสียงเรียกของพระองค์ผู้ซึ่งกล้าประกาศว่า พระองค์คือผู้สร้างจักรวาลและสรรพสิ่งทั้งหลาย พระองค์คือผู้สร้างมนุษย์ พระองค์คือผู้ให้ปัจจัยชีวิต พระองค์คือผู้บริหารและอภิบาลสากลจักรวาลทั้งมวล พระองค์คือผู้ควบคุมชีวิตของมนุษย์ทั้งหลาย

พระองค์ ไม่เพียงแต่ประกาศเท่านั้น แต่ยังทรงบัญญัติหลักการต่าง ๆ ให้เราเดินตามและเรียกร้องให้เราปฏิบัติหน้าที่ของการเป็นบ่าวที่ดี พระองค์บอกเราว่าการทำหน้าที่ที่พระองค์ทรงสั่งคือหนทางสำเร็จบนโลกนี้ และคือหนทางที่ปลอดภัยจากการลงโทษและได้รับการตอบแทนจากพระองค์ในโลกหน้า…

โลก หน้าหรือ?? วันปรโลกหรือ?? มีโลกหน้าด้วยหรือ? มีการฟื้นคืนชีพหลังจากความตายด้วยหรือ? มีการสอบสวน มีการตอบแทน และมีการลงโทษในสิ่งที่เรากระทำในโลกนี้ด้วยหรือ?? ความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ “เสียงเรียก” ดังกล่าวได้ตอกย้ำและยืนยันว่า “แท้ จริงแล้วโลกหน้ามิใช่อื่นใดเลย หากเปรียบเสมือนการเริ่มต้นของชีวิตที่แท้จริงของมนุษย์ หลังจากนั้นมนุษย์จะมีชีวิตที่นิรันดร ชีวิตที่ไม่มีวันตาย ชีวิตที่ไม่มีวันสูญสลาย มนุษย์จะมีชีวิตที่เป็นอมตะอยู่ในความสุขนิรันดร์ หรือมิเช่นนั้นก็ทุกข์ตลอดกาล...

ชีวิต ในโลกหน้าเป็นชีวิตที่มนุษย์จะได้รับการตอบแทนการงานที่เขาได้กระทำในโลกนี้ เป็นชีวิตที่มนุษย์จะได้รับผลลัพธ์อันดีงามในสิ่งที่เขาปฏิบัติและยืนหยัดใน สัจธรรม เป็นชีวิตที่มนุษย์จะได้รับสิ่งตอบแทนอันหอมหวานสำหรับสิ่งที่เขาได้เผย แพร่...

ส่วน ชีวิตในโลกนี้เป็นชีวิตที่จะทดสอบว่าพวกเจ้าได้พยายามค้นหาแสงสว่างทางนำและ กระตือรือร้นในการแสวงหาหนทางแห่งความจริงหรือไม่?? หรือพวกเจ้าชักช้าในการแสวงหาหลักฐานที่จะนำไปสู่สัจธรรม?? หรือพวกเจ้าปล่อยชีวิตและยอมให้จุดจบของพวกเจ้าเป็นไปตามยถากรรม ตามประเพณี ตามธรรมเนียมปฏิบัติ ตามความเชื่อของบรรพบุรุษของพวกเจ้าโดยมิได้ไตร่ตรองสักนิดว่าพวกเขาอยู่ใน สัจธรรมหรือไม่??

เคย คิดบ้างไหมว่าเรากำลังอยู่กับสิ่งหลอกลวง.. เคยคิดบ้างไหมว่าเรากำลังมีชีวิตที่หลงทางและไร้คุณค่า.. มิใช่เรื่องยากเลยหากเราต้องการรู้ว่าเราหลงทางมากมายขนาดไหน!!

เจ้าจงตรึกตรองรูปปั้นที่เจ้ากำลังบูชาอยู่ แล้วเจ้าจะรู้ว่าเจ้าหลงทางมากมายขนาดไหน!!??
เจ้าจงตรึกตรองเทวรูปที่เจ้ากำลังบูชาอยู่ แล้วเจ้าจะรู้ว่าเจ้าหลงทางมากมายขนาดไหน!!??
เจ้าจงตรึกตรองบรรดามนุษย์หรือสัตว์ที่เจ้ากำลังบูชาอยู่ แล้วเจ้าจะรู้ว่าเจ้าหลงทางมากมายขนาดไหน!!??
เจ้าจงตรึกตรองก้อนหินที่เจ้ากำลังบูชาอยู่ แล้วเจ้าจะรู้ว่าเจ้าหลงทางมากมายขนาดไหน!!??
เจ้าจงตรึกตรองต้นไม้ที่เจ้ากำลังบูชาอยู่ แล้วเจ้าจะรู้ว่าเจ้าหลงทางมากมายขนาดไหน!!??
เจ้าจงตรึกตรองกรวดหินดินทรายที่เจ้ากำลังบูชาอยู่ แล้วเจ้าจะรู้ว่าเจ้าหลงทางมากมายขนาดไหน!!??

สิ่ง เหล่านี้ถูกสร้างและอุตริขึ้นมาแล้วถูกแต่งตั้งให้เป็นพระเจ้าของพวกเจ้า พวกเจ้าขอพรจากมัน ขอความช่วยเหลือจากมัน พึ่งพามัน ขอการปกป้องคุ้มครองจากมัน!! ใน ขณะที่พวกเจ้ารู้และสำนึกอยู่เต็มอกว่าสิ่งเหล่านี้ไม่เคยที่จะประกาศว่าพวก มันคือผู้สร้าง ผู้ทำให้เกิด ผู้สรรสร้างจักรวาลทั้งมวล ผู้ประทานปัจจัยยังชีพ ผู้ควบคุมสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งเล็กและใหญ่ พวกมันไม่มีอำนาจแม้แต่จะเอ่ย แม้เพียงตัวอักษรเดียว.. แต่ไฉนเลยพวกเจ้ากลับเคารพบูชาพวกมันซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกสร้าง ยกตำแหน่งมันเสมือนเป็นผู้สร้าง!! แต่พระเจ้าผู้สร้างที่แท้จริงพวกเจ้ากลับละทิ้ง ละเลย และปฏิเสธ!!?? กับ ผู้ที่เรียกร้องและเชิญชวนพวกเจ้าสู่พระเจ้าที่แท้จริง พวกเจ้ากลับเพิกเฉย พวกเจ้ากลับไม่รู้จักเขา ไม่เคยแม้แต่คิดจะค้นหาว่าเขาคือใคร? ไม่เคยคิดที่จะเรียนรู้สิ่งที่เขาได้นำมายังพวกเจ้า??

เขียนโดย jihad เมื่อ 18 กันยายน, 2008 - 11:58.
หากมาอย่าง " ผึ้ง " ก็จะได้ ~o น้ำหวาน o~ กลับไป oOo หากมาอย่าง " แมลงวัน " ก็จะไม่ได้อะไร นอกจาก

ออฟไลน์ a d n a n

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 698
  • เพศ: ชาย
  • "และคำพูดที่ดี เป็นซอดาเกาะฮฺ" (บุคอรียฺ , มุสลิม)
  • Respect: +13
    • ดูรายละเอียด
Re: ดะวะฮ์ ทางเมลล์
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: ธ.ค. 03, 2009, 01:59 PM »
0
ไฟล์เสียง อ.บรรจง บินกาซัน : มาเข้าใจอิสลามกันเถิด

http://www.islamhouse.com/p/173543

ไฟล์เสียง อิสมาแอล วิสุทธิปราณี : มารู้จักอิสลาม !

http://www.islamhouse.com/p/248750

รวมลิ้ง แนะนำอิสลาม

http://www.islamhouse.com/gp/58426

Link อาจารย์ หลาย ๆ ท่าน

http://muslimscholar.wordpress.com/t-banchong-binkasan/

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธ.ค. 03, 2009, 02:14 PM โดย a d n a n »
หากมาอย่าง " ผึ้ง " ก็จะได้ ~o น้ำหวาน o~ กลับไป oOo หากมาอย่าง " แมลงวัน " ก็จะไม่ได้อะไร นอกจาก

ออฟไลน์ a d n a n

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 698
  • เพศ: ชาย
  • "และคำพูดที่ดี เป็นซอดาเกาะฮฺ" (บุคอรียฺ , มุสลิม)
  • Respect: +13
    • ดูรายละเอียด
Re: ดะวะฮ์ ทางเมลล์
« ตอบกลับ #14 เมื่อ: ธ.ค. 03, 2009, 03:54 PM »
0
เรื่องการทรงสร้างมนุษย์ ตามทัศนะของศาสนาอิสลาม

(จาก บทความ "บทเรียนจากการสร้างมนุษย์"  โดย บรรจง บินกาซัน)


คัมภีร์กุรอานได้บอกเล่าเรื่องราวการสร้างมนุษย์ไว้อย่างน่าสนใจและให้แง่คิดว่า
พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์มาจากดิน
ดินซึ่งคัมภีร์กุรอานกล่าวไว้ถึงสามลักษณะด้วยกันว่า
ถ้าหากเอาน้ำใส่เข้าไปก็จะกลายเป็นโคลนและถ้าทิ้งไว้ให้แห้งมันก็จะแข็งตัวจนสามารถท
ำให้เกิดเสียงได้

สิ่งที่คัมภีร์กุรอานกล่าวไว้ไม่ได้ขัดกับความจริงเลย เมื่อมนุษย์ตาย
ร่างกายของมนุษย์ก็จะถูกยุ่ยสลายกลายเป็นดินอีกครั้งหนึ่ง
ซึ่งถ้าหากจะเอาดินมาสังเคราะห์ทางเคมีแล้วก็จะพบว่าเนื้อหนังมังสาของมนุษย์ก็มีแร่
ธาตุและสารประกอบต่างๆที่มีอยู่ในดินเช่นกัน

จากดินธรรมดาที่มนุษย์เดินเหยียบย่ำอยู่บนโลกใบนี้เองที่พระเจ้านำมาใช้สร้างมนุษย์
แต่ก่อนจะลงมือสร้าง
พระองค์ได้ประกาศให้บ่าวและบริวารในอาณาจักรของพระองค์ได้รู้ว่าพระองค์จะสร้างมนุษย
์ขึ้นมาเป็นตัวแทนของพระองค์บนหน้าแผ่นดิน
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทูตสวรรค์ที่เป็นบริวารรับใช้จึงได้ทูลถามว่า
"พระองค์จะสร้างผู้ก่อความเสียหายและหลั่งเลือดบนหน้าแผ่นดินกระนั้นหรือ?"

คำทูลถามของทูตสวรรค์มิได้มีเจตนาจะคัดค้าน
แต่เป็นคำถามที่เหมือนกับทูตสวรรค์จะรู้ว่าที่ไหนมีมนุษย์
ที่นั่นก็จะมีความเสียหายและการหลั่งเลือดกัน จริงหรือไม่
เราก็เห็นกันอยู่

อย่างไรก็ตาม เมื่อพระผู้เป็นเจ้าทรงตัดสินใจที่จะสร้างมนุษย์แล้ว
พระองค์ก็ทรงสร้างมนุษย์คนแรกขึ้นมาในอาณาจักรของพระองค์โดยการเป่าวิญญาณของพระองค์
เข้าไปในดินที่พระองค์ทรงใช้สร้างมนุษย์
ดินที่ไร้ค่าจึงบังเกิดขึ้นมาเป็น "อาดัม" ในบัดดล

การเป่าวิญญาณของพระองค์เข้าไปในดินก็คือ
การถ่ายทอดคุณสมบัติบางส่วนของพระองค์ให้แก่มนุษย์ เช่น
พระองค์ทรงเห็นและทรงได้ยิน
พระองค์ก็ทรงให้มนุษย์มีตาและมีหูเพื่อการมองเห็นและการได้ยิน
เพียงแต่ว่าความสามารถในการมองเห็นและได้ยินของมนุษย์นั้นไม่อาจเทียบเท่ากับพระองค์
ได้
นอกจากนี้แล้วพระองค์ยังเป็นผู้ทรงเมตตาและผู้ทรงให้อภัย ดังนั้น
พระองค์ก็ประทานคุณสมบัติดังกล่าวนี้ให้เป็นธรรมชาติติดตัวมนุษย์มา
ทั้งนี้
เพื่อให้มนุษย์ได้ใช้ในฐานะตัวแทนของพระองค์และพระองค์จะทรงดูว่ามนุษย์จะใช้คุณสมบั
ติที่ได้รับมาหรือไม่
หรือจะใช้ไปอย่างไร

หลังจากประทานชีวิตและความสามารถแก่อาดัมแล้ว
พระองค์ก็ทรงสอนความรู้ทุกอย่างให้แก่อาดัม
เพื่อที่อาดัมจะได้นำความรู้และความสามารถไปใช้ประโยชน์ในการเป็นตัวแทนของพระองค์บน
หน้าแผ่นดิน
ด้วยเหตุนี้เราจึงได้เห็นมนุษย์ผู้เป็นลูกหลานของอาดัมมีความรู้มากมายจนสามารถสร้าง
อารยธรรมความเจริญขึ้นบนโลกใบนี้ได้อย่างน่าทึ่ง

เมื่อสอนความรู้ให้แก่อาดัมแล้ว
พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงบัญชาทุกสรรพสิ่งในอาณาจักรของพระองค์ให้กราบสยบนบนอบต่ออาดัม
นั่นหมายความว่านับแต่นี้ไป
ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องอยู่ใต้อำนาจความรู้ความสามารถของอาดัม ดังนั้น
ปัจจุบันเราจึงได้เห็นว่ากระแสน้ำอันเชี่ยวกรากในแม่น้ำได้ถูกมนุษย์บังคับให้ไหลไปต
ามคลองชลประทานเพื่อหล่อเลี้ยงพื้นที่เกษตรกรรมและพลังของกระแสน้ำได้ถูกนำมาใช้ในกา
รสร้างกระแสไฟฟ้าป้อนสู่ภาคอุตสาหกรรม

คัมภีร์กุรอานกล่าวต่อไปว่า
ทุกสิ่งทุกอย่างในอาณาจักรของพระเจ้าล้วนยอมสยบนบนอบต่ออาดัม ยกเว้น
"อิบลีส" หัวหน้าเผ่าพันธุ์ญินเท่านั้นที่ไม่ปฏิบัติตาม
เมื่อถูกพระเจ้าถามว่าทำไมจึงกล้าโอหังปฏิเสธคำบัญชา มันตอบอย่างโอหังว่า
"อาดัมถูกสร้างมาจากดิน แต่ฉันถูกสร้างมาจากไฟ
เรื่องอะไรที่ฉันจะต้องกราบสยบนบนอบต่ออาดัม"

ความโอหังถือดีว่าชาติพันธุ์ของตัวเองเหนือกว่าผู้อื่น
จนกล้าฝืนคำบัญชาของพระเจ้านี้เองที่ทำให้มันต้องถูกลงโทษซึ่งมันก็รู้ดี
แต่มันได้ขอต่อพระเจ้าให้ผ่อนผันการลงโทษไว้ก่อนจนกว่าจะถึงวันสิ้นโลกและมันขอหลอกล
วงลูกหลานของอาดัมตลอดไป
เพื่อที่มันจะพิสูจน์ให้พระองค์ได้เห็นว่าลูกหลานของอาดัมหรือมนุษย์นั้นมีน้อยคนนัก
ที่จะกตัญญูต่อพระองค์

เมื่ออิบลีสได้รับอนุญาตให้หลอกลวง แต่ไม่มีอำนาจบังคับมนุษย์ให้เชื่อมัน
มันก็คอยจ้องหาทางล่อลวงอาดัมและฮาวา (อีฟ) นับตั้งแต่นั้นมา

เนื่องจากอาดัมและฮาวาถูกห้ามเข้าใกล้ต้นไม้ต้นหนึ่ง
อิบลีสจึงหลอกลวงทั้งสองว่าสาเหตุที่พระเจ้าห้ามเข้าใกล้ต้นไม้ต้นนั้นก็เพราะเกรงว่
าทั้งสองจะกินผลไม้จากต้นไม้นั้นและจะมีชีวิตนิรันดร
ทั้งสองหลงเชื่อจึงเข้าใกล้ต้นไม้ต้องห้ามและฝ่าฝืนคำบัญชาของพระองค์ด้วยการกินผลไม
้เข้าไป
นี่เป็นครั้งแรกที่มนุษย์ฝ่าฝืนคำสั่งของพระเจ้า
ด้วยเหตุนี้อาดัมและฮาวาจึงถูกส่งมายังโลกนี้โดยมีอิบลีสติดตามมาด้วย
แต่ก่อนที่จะถูกส่งมายังโลกนี้
อาดัมและฮาวาได้ถูกเตือนว่าอิบลีสหรือมารร้ายจะเป็นศัตรูของทั้งสองตลอดไปจนถึงวันสิ
้นโลก

กรณีฝ่าฝืนคำบัญชาของพระเจ้าโดยอิบลีสเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เพื่อให้อาดัมรู้ว่าการฝ่าฝืนพระเจ้าจะต้องได้รับการลงโทษ
อิบลีสมีวิธีการหลอกลวงสารพัดและทันสมัยยิ่งขึ้นตามวิวัฒนาการความเจริญของมนุษย์
แต่มันไม่มีอำนาจบังคับมนุษย์ให้คล้อยตามมัน
ในฐานะที่มนุษย์ได้รับสติปัญญา ได้รับศาสนาที่บอกให้รู้ว่า
อะไรผิดอะไรถูกและได้รับเสรีภาพในการเลือก

ดังนั้น มนุษย์จะต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองเลือกทำลงไป

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 5 ฉบับที่ 230 วันที่ 24-30 ตุลาคม
พ.ศ. 2552 หน้า 26 คอลัมน์ สันติธรรม โดย บรรจง  บินกาซัน

http://www.dailyworldtoday.com/columblank.php?colum_id=29779
หากมาอย่าง " ผึ้ง " ก็จะได้ ~o น้ำหวาน o~ กลับไป oOo หากมาอย่าง " แมลงวัน " ก็จะไม่ได้อะไร นอกจาก

 

GoogleTagged