عن أمير المؤمنين أبي حفص عمر بن الخطاب رضي الله تعالى عنه قال : سمعت رسول الله صلى الله تعالى عليه وعلى آله وسلم يقول : إنما الأعمال بالنيات وإنما لكل امرئ ما نوى فمن كانت هجرته إلى الله ورسوله فهجرته إلى الله ورسوله ومن كانت هجرته لدنيا يصيبها أو امرأة ينكحها فهجرته إلى ما هاجر إليه
رواه إماما المحدثين : أبو عبدالله محمد ابن إسماعيل بن إبراهيم بن المغيرة بن بردزبه البخاري وأبو الحسين مسلم ابن الحجاج بن مسلم القشيري النيسابوري : في صحيحيهما اللذين هما أصح الكتب المصنفة
จากอะมีริลมุอฺมินีน อบูฮัฟส์ อุมัร บิน อัลค็อฏฏอบ (ร่อฎิยัลลอฮุ อันฮุ) ได้กล่าวว่า: ฉันได้ยินท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิ วะซัลลัม) กล่าวว่า: แท้จริงการงานทั้งหลายนั้นขึ้นอยู่กับการเจตนา และแท้จริง สำหรับทุกคนนั้นมีสิ่งที่เขาได้เจตนาไว้ ดังนั้นผู้ใดที่การอพยพของเขามีเจตนาเพื่ออัลเลาะฮ์และร่อซู้ลของพระองค์ การอพยพของเขาก็ไปยังอัลเลาะฮ์และร่อซู้ลของพระองค์ และผู้ใดที่การอพยพของเขาเพื่อดุนยาที่เขาต้องการจะได้รับมัน หรือเพื่อผู้หญิงคนหนึ่งที่เขาต้องการจะแต่งงานกับนาง ดังนั้นการอพยพของเขาก็ไปสู่สิ่งที่เขาอพยพไปเพื่อสิ่งนั้น
หะดีษบทนี้รายงานโดยนักรายงานฮะดีษสองท่านคือ อบูอับดุลเลาะฮ์ มุฮัมหมัด บิน อิสมาอีล บิน อิบรอฮีม อิบนิ อัลมุฆีเราะห์ บิน บัรดิซบะฮ์ อัลบุคอรีย์ และอบุลฮุซัยน์ มุสลิม บิน อัลฮัจญาจย์ บิน มุสลิม อัลกุชัยรีย์ อันนัยซาบูรีย์ ในหนังสือศ่อฮีห์ของท่านทั้งสองซึ่งเป็นหนังสือที่มีความถูกต้องมากที่สุดในบรรดาหนังสือที่ถูกประพันธ์ขึ้นมา
ความสำคัญของฮะดีษบทนี้ ฮะดีษบทนี้ถือเป็นฮะดีษที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งถือเป็นแกนหลักของหลักการอิสลาม และเป็นรากของศาสนา ดังกล่าวนี้นั้นเป็นสิ่งที่ปรากฏชัดจากคำพูดของปวงปราชญ์ ท่านอบูดาวูด ได้กล่าวว่า หะดีษบทนี้ แท้จริงการงานทั้งหลายขึ้นอยู่กับการเหนียต- เป็นครึ่งหนึ่งของอิสลาม เนื่องจากศาสนานั้นส่วนหนึ่งเป็นสิ่งที่เปิดเผย (ซอฮิร) นั่นก็คือการกระทำ และอีกส่วนหนึ่งนั้นคือส่วนที่ซ่อนเร้น (บาฏิน) นั่นก็คือการเหนียต และท่านอิหม่ามอะห์หมัดและท่านอิหม่ามอัชชาฟิอีย์ได้กล่าวว่า: มี 3 วิชาด้วยกันที่เข้าอยู่ในหะดีษบทนี้ (คือหะดีษที่ว่า แท้จริงการงานทั้งหลายนั้นขึ้นอยู่กับการเหนียต) และเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะการขวนขวายของบ่าวนั้นเกิดขึ้นด้วยกับหัวใจ ลิ้น และอวัยวะต่างๆ ของเขา ดังนั้น การเหนียตที่เกิดขั้นด้วยหัวใจของเขานั้นจึงเป็นหนึ่งในวิชาทั้งสามประเภทดังกล่าว
ด้วยเหตุนี้เองที่บรรดาอุลามาอฺต่างมีความชอบที่จะเริ่มหนังสือหรือบทประพันธ์ของพวกเขาด้วยหะดีษบทนี้ ท่านอิหม่ามอัลบุคอรีย์ได้เริ่มศ่อฮีห์ของท่านด้วยหะดีษบทนี้ และท่านอิหม่ามอันนะวาวีย์ก็เช่นกัน ได้ใช้ฮะดีษบทนี้เป็นปฐมบทของหนังสือทั้งสามเล่มของท่านคือ ริยาดุซซอลีฮีน อัลอัซการ และอัลอัรบะอีน ฮะดีษัน อันนะวะวียะห์ และประโยชน์ของการเริ่มด้วยฮะดีษบทนี้ก็เพื่อเตือนให้นักศึกษาผู้แสวงหาวิชาความรู้ให้ตั้งเหนียตของตนเองในการแสวงหาความรู้และในการกระทำการงานที่ดีอื่นๆ เพื่ออัลเลาะฮ์ตะอาลา
และส่วนหนึ่งจากสิ่งที่บ่งชี้ถึงความสำคัญของหะดีษบทนี้คือ แท้จริงท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิ วะซัลลัม) ได้กล่าวคุฏบะฮ์ด้วยกับหะดีษบทนี้ ดังที่มีรายงานมาโดยท่านอิหม่ามอัลบุคอรีย์ หลังจากนั้นท่านอุมัรก็ได้กล่าวคุฏบะฮ์ด้วยหะดีษบทนี้เช่นกัน ท่านอบูอะบัยด์ได้กล่าวว่า ไม่มีหะดีษไหนอีกแล้วที่จะมีประโยชน์ครอบคลุม เพียงพอ และมากไปกว่าหะดีษบทนี้
สาเหตุการรางานหะดีษท่านอัฏฏ็อบรอนีย์ ได้รายงานไว้ในมุอ์ญัมอัลกะบีรของท่านด้วยสายรายงานที่เชื่อถือได้ จากอิบนุมัสอูด (ร่อฎิยัลลอฮุ อันฮุ) ได้กล่าวว่า ในหมู่พวกเรานั้นมีชายคนหนึ่งที่ได้หมั้นหมายกับหญิงคนหนึ่งที่มีชื่อว่า อุมมุก็อยซ์ หลังจากนั้นนางได้ปฏิเสธที่จะแต่งงานกับเขา นอกจากว่าเขาจะต้องอพยพ ดังนั้นชายผู้นี้จึงได้อพยพ และจึงได้แต่งงานกับนาง ดังนั้นเราจึงได้เรียกชายผู้นี้ว่า ผู้อพยพเพื่ออุมมุก็อยซ์
ท่านสะอีด บิน มันศูร ได้รายงานในซุนันของท่าน ด้วยสายรายงานที่ครบเงื่อนไขของอัลบุคอรย์และมุสลิม จากอิบนุมัสอูด กล่าวว่า ผู้ใดที่อพยพโดยปรารถนาสิ่งหนึ่งสิ่งใด ดังนั้นสิ่งที่เขาจะได้รับนั้นก็เสมือนกับผลที่ชายคนหนึ่งที่อพยพเพื่อแต่งงานกับหญิงนางหนึ่งที่มีชื่อว่า อุมมุก็อยซ์ ดังนั้นจึงมีคนกล่าวกับเขาว่า ผู้อพยพเพื่ออุมมุก็อยซ์
ความเข้าใจที่ได้รับจากหะดีษบทนี้1.
การเหนียตถือเป็นเงื่อนไขบรรดาอุลามาอฺเห็นพร้องต้องกันว่าการงานทั้งหลายที่ออกมาจากผู้ที่มีข้อบังคับ (มุกัลลัฟ) ที่เป็นผู้ที่ศรัทธานั้น จะไม่ถูกพิจารณาในเชิงของศาสนบัญญัติ และจะไม่ได้รับผลบุญจากการกระทำการงานนั้นๆ นอกจากจะต้องด้วยกับการเหนียตเท่านั้น
และการเหนียตในเรื่องของอิบาดะห์ที่เป็นเป้าหมาย เช่น การละหมาด การทำฮัจย์ และการถือศีลอดนั้นเป็นรุ่ก่นข้อหนึ่ง ดังนั้นการทำอิบาดะห์ดังกล่าวจะถือว่าใช้ไม่ได้หากไม่มีมีการเหนียต ส่วนอิบาดะห์ที่เป็นสื่อ เช่น การอาบน้ำละหมาด การอาบน้ำยกหะดัษนั้น มัซฮับหะนะฟีย์กล่าวว่า การเหนียตเป็นเงื่อนไขที่จะทำให้มันสมบูรณ์ เพื่อการได้รับผลบุญ ส่วนมัซฮับชาฟิอีย์กล่าวว่า การเหนียตเป็นเงื่อนไขที่จะทำให้มันใช้ได้ ดังนั้นอิบาดะห์ที่เป็นสื่อก็ถือว่าใช้ไม่ได้หากไม่มีเหนียต
2.
เวลาและตำแหน่งของการเหนียตเวลาของการเหนียตคือเริ่มแรกของอิบาดะห์ เช่น การตักบีรเราะตุลอิหฺรอมสำหรับการละหมาด และการครองอิหฺรอมสำหรับการทำฮัจย์ ส่วนการถือศีลอดนั้นถือว่าเพียงพอแล้วที่จะเหนียตก่อนเริ่มถือศีลอด เนื่องจากความยากลำบากในการเฝ้าติดตามแสงอรุณขึ้น
ส่วนตำแหน่งของการเหนียตนั้น คือหัวใจ ดังนั้นการกล่าวออกมาเป็นคำพูดจึงไม่ใช่เงื่อนไขของการเหนียต แต่ถือเป็นสิ่งที่ดีหากลิ้นจะมาช่วยตอกย้ำหัวใจในขณะที่มีการเหนียต
และถือเป็นเงื่อนไขในการเหนียตที่จะต้องระบุเจาะจงสิ่งที่ตั้งใจจะกระทำ และแยกแยะมันออกจากสิ่งอื่น ดังนั้นจึงไม่เพียงพอที่จะเหนียตละหมาดเพียงเท่านั้น แต่จำเป็นจะต้องระบุเจาะจงลงไปว่า เป็นละหมาดซุฮฺร์ หรือ อัสร์ เป็นต้น
3.
จำเป็นต้องมีการฮิจเราะห์การฮิจเราะห์ (อพยพ) จากแผ่นดินกุฟฟาร ไปยังบ้านเมืองแห่งอิสลามนั้นถือเป็นวาญิบเหนือมุสลิมที่ไม่สามารถแสดงออกซึ่งศาสนาของตนเองได้ และข้อชี้ขาด (ฮุก่ม) นี้นั้นยังคงอยู่ ไม่ถูกจำกัดเฉพาะ (สำหรับการอพยพจากมักกะฮ์ไปสู่มะดีนะฮฺในสมัยของท่านนบี) ส่วนคำกล่าวที่ว่า ไม่มีการฮิจเราะห์หลังจากการพิชิต (อัลฟัตห์) นั้น เป้าหมายก็คือ ไม่มีการฮิจเราะห์ออกจากมักกะห์หลังจากที่ได้มีการเปิดมักกะห์แล้ว เพราะมักกะห์ได้กลายเป็นบ้านเมืองแห่งอิสลามแล้ว
และคำว่า ฮิจเราะห์ นั้นยังนำมาใช้กับสิ่งที่อัลเลาะฮ์ได้ทรงห้าม (และผู้อพยพก็คือ บุคคลที่อพยพจากสิ่งที่อัลเลาะฮ์ทรงห้ามจากสิ่งนั้น) และการอพยพของมุสลิมจากพี่น้องของเขาเกินสามวัน และการอพยพของสตรีจากที่นอนของสามีของนาง และบางครั้งก็จำเป็นที่มุสลิมจะต้องอพยพจากพี่น้องของเขาที่เป็นผู้ฝ่าฝืนบทบัญญัติของอัลเลาะฮ์ ดังเช่นที่อนุญาตสำหรับเขาในการที่จะอพยพจากภรรยาที่ไม่เชื่อฟัง เพื่อเป็นการตักเตือน
4. หะดีษบทนี้ยังชี้ให้เห็นว่า ผู้ใดก็ตามที่เหนียตกระทำการงานที่ดีและมีอุปสรรคที่ทำให้ไม่สามารถทำตามสิ่งที่เหนียตไว้ ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บป่วยหรือการเสียชีวิต หรืออุปสรรคอื่นๆ ในทำนองเดียวกันนี้ เขาก็จะได้รับการตอบแทนในสิ่งนั้น ท่านอัลบัยฎอวีย์ได้กล่าวว่า การงานนั้นจะใช้ไม่ได้หากปราศจากเหนียต เพราะการเหนียตที่ยังไม่มีการกระทำเกิดขึ้นนั้นถือว่าได้รับผลบุญ และการงานที่เป็นการกระทำโดยไม่มีเหนียตนั้นเปรียบเสมือนเม็ดฝุ่นปลิวว่อนที่ไร้ค่า และการเหนียตที่อยู่ในการกระทำนั้นเฉกเช่นวิญญาณที่อยู่ในเรือนร่าง ดังนั้นจะไม่มีการคงอยู่สำหรับร่างกายที่ไร้วิญญาณ และไม่มีการปรากฎของวิญญาณในโลกนี้โดยที่ปราศจากการเชื่อมโยงกับร่างกาย
5. หะดีษบทนี้ยังบ่งชี้ถึงความอิคลาศในการกระทำและการอิบาดะห์ เพื่อที่จะได้รับผลบุญและการตอบแทนในโลกอาคิเราะห์ และได้รับการเตาฟีกและความสำเร็จในดุนยา
6. การงานทุกอย่างที่มีประโยชน์และมีความดีงามที่ควบคู่ไปกับการเหนียตและความอิคลาศ และการแสวงหาความพึงพอพระทัยของอัลเลาะฮ์ตะอาลานั้น ถือเป็นเป็นอิบาดะห์